
ขยายความ : ไม่ย่อท้อใฝ่โพธิญาณ ๑.



พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๙ พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๑๑ สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค
เล่มนี้ว่าด้วยธรรมะสำคัญเรื่องใหญ่ ๆ รวม ๑๒ สังยุตต์ คือ :-
๑. มัคคสังยุตต์ ประมวลเรื่องมรรคมีองค์ ๘ อันเป็นทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์.
๒. โพชฌงคสังยุตต์ ประมวลเรื่องโพชฌงค์ ๗ คือ องค์แห่งปัญญาเป็นเครื่องตรัสรู้มีสติ เป็นต้น.
๓. สติปัฏฐานสังยุตต์ ประมวลเรื่องสติปัฏฐาน ๔ คือ การตั้งสติ ๔ ประการ มีตั้งสติไว้ที่กาย เป็นต้น.
๔. อินทรียสังยุตต์ ประมวลเรื่องอินทรีย์ ๕ คือ ธรรมอันเป็นเรื่องใหญ่ในหน้าที่ของตน มีศรัทธาความเชื่อ เป็นต้น.
๕. สัมมัปปธานสังยุตต์ ประมวลเรื่องความเพียรชอบ ๔ ปารการ มีเพียรทำไม่ให้เกิดความชั่ว ที่ยังไม่เกิด เป็นต้น.
๖. พลสังยุตต์ ประมวลเรื่องพละ ๕ ประการ มีศรัทธาความเชื่อ เป็นต้น.
๗. อิทธิปาทสังยุตต์ ประมวลเรื่องอิทธิบาท ๔ คือ ธรรมะอันให้บรรลุความสำเร็จ ๔ ประการ มีฉันทะความพอใจ เป็นต้น.
พึงสังเกตว่า ตั้งแต่สังยุตต์ที่ ๑ ถึงที่ ๗ นี้ ว่าด้วยโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ เป็นแต่ไม่เรียงลำดับตามหมวดเท่านั้น.
๘. อนุรุทธสังยุตต์ ประมวลเรื่องพระอนุนุทธ์ ผู้เป็นพุทธอนุชา.
๙. ฌานสังยุตต์ ประมวลเรื่องฌาน คือ การเพ่งอารมณ์จนจิตสงบได้ฌานที่ ๑ ถึงที่ ๔.
๑๐. อานาปานสังยุตต์ ประมวลเรื่องสติกำหนดลมหายใจเข้าออก ซึ่งเป็นวิธีทำจิตให้สงบประการหนึ่งที่นับว่าสำคัญ.
๑๑. ปัตติสังยุตต์ ประมวลเรื่องการที่จะเป็นพระโสดาบัน คือ พระอริยบุคคลชั้นที่ ๑ ซึ่งเป็นชั้นแรกใน ๔ ชั้น
๑๒. สัจจสังยุตต์ ประมวลเรื่องอริยสัจจ์ ซึ่งเป็นธรรมที่เป็นหลักสำคัญทางพระพุทธศาสนา

ขอยกข้อธรรมบางส่วนมาแสดงดังนี้
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๙ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๑ [ฉบับมหาจุฬาฯ] สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค
๑. มัคคสังยุต , ๑. อวิชชาวรรค , ๒. อุปัฑฒสูตร ว่าด้วยความเป็นผู้มีมิตรดีเป็นพรหมจรรย์กึ่งหนึ่ง
[๒] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ นิคมของเจ้าศากยะ ชื่อว่าสักกระ แคว้นสักกะ ครั้งนั้นแล ท่านพระอานนท์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายอภิวาทแล้ว นั่ง ณ ที่สมควร ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ความเป็นผู้มีมิตรดี(๑-) มีสหายดี(๒-) มีเพื่อนดี(๓-) เป็นพรหมจรรย์(๔-) กึ่งหนึ่ง”
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
“อย่ากล่าวอย่างนั้น อานนท์ อย่ากล่าวอย่างนั้น อานนท์ ที่จริง ความเป็นผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนดี เป็นพรหมจรรย์ทั้งหมดทีเดียว อานนท์ ภิกษุผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนดีพึงหวังข้อนี้ได้ว่า จักเจริญอริยมรรคมีองค์ ๘ ทำอริยมรรคมีองค์ ๘ ให้มาก”
“ภิกษุผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนดี เจริญอริยมรรคมีองค์ ๘ ทำอริยมรรคมีองค์ ๘ ให้มาก อย่างไร คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้
๑. เจริญสัมมาทิฏฐิอันอาศัยวิเวก (ความสงัด) อาศัยวิราคะ (ความคลายกำหนัด) อาศัยนิโรธ (ความดับ) น้อมไปในโวสสัคคะ (ความสละ)
๒. เจริญสัมมาสังกัปปะอันอาศัยวิเวก ...
๓. เจริญสัมมาวาจา ...
๔. เจริญสัมมากัมมันตะ ...
๕. เจริญสัมมาอาชีวะ ...
๖. เจริญสัมมาวายามะ ...
๗. เจริญสัมมาสติ ...
๘. เจริญสัมมาสมาธิอันอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ น้อมไปในโวสสัคคะ”
“ภิกษุผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนดี เจริญอริยมรรคมีองค์ ๘ ทำอริยมรรคมีองค์ ๘ ให้มาก อย่างนี้แล”
_____________________________________
(๑-) มิตรดี หมายถึง มิตรที่มีคุณธรรม คือศีลเป็นต้น (องฺ.จตุกฺก.อ. ๒/๒๒/๓๐๐)
(๒-) สหายดี หมายถึง เพื่อนร่วมงานที่ดี (องฺ.ทสก.อ. ๓/๑๗/๓๒๒)
(๓-) เพื่อนดี หมายถึง เพื่อนที่รักใคร่สนิทสนมรู้ใจกัน ซื่อสัตย์ต่อกัน (องฺ.ทสก.อ. ๓/๑๗/๓๒๒)
(๔-) พรหมจรรย์ ในที่นี้หมายถึง อริยมรรค (สํ.ส.อ. ๑/๑๒๙/๑๔๙)
อนึ่ง ข้อที่ว่าความเป็นผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนดี เป็นพรหมจรรย์ทั้งหมดทีเดียวนั้นพึงทราบโดยปริยายนี้ ด้วยว่าเพราะอาศัยเราผู้เป็นมิตรดี เหล่าสัตว์ผู้มีชาติ (ความเกิด) เป็นธรรมดาย่อมพ้นจากชาติ ผู้มีชรา (ความแก่) เป็นธรรมดาย่อมพ้นจากชรา ผู้มีมรณะ (ความตาย) เป็นธรรมดาย่อมพ้นจากมรณะ ผู้มีโสกะ (ความเศร้าโศก) ปริเทวะ (ความคร่ำครวญ) ทุกข์ (ความทุกข์กาย) โทมนัส (ความทุกข์ใจ)และอุปายาส (ความคับแค้นใจ) เป็นธรรมดาย่อมพ้นจากโสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัสและอุปายาส
“อานนท์ ข้อที่ว่าความเป็นผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนดี เป็นพรหมจรรย์ทั้งหมดทีเดียวนั้นพึงทราบโดยปริยายนี้แล”
อุปัฑฒสูตรที่ ๒ จบ

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๙ ภาษาบาลี อักษรไทย พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๑ สุตฺต. สํ. มหาวารวคฺโค
[๔] เอวมฺเม สุตํ เอกํ สมยํ ภควา สเกฺยสุ วิหรติ สกฺกรํ นาม สกฺยานํ นิคโม ฯ
อถ โข อายสฺมา อานนฺโท เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิ ฯ
เอกมนฺตํ นิสินฺโน โข อายสฺมา อานนฺโท ภควนฺตํ เอตทโวจ อุปฑฺฒมิทํ ภนฺเต พฺรหฺมจรยสฺส ยทิทํ กลฺยาณมิตฺตตา กลฺยาณสหายตา กลฺยาณสมฺปวงฺกตาติ ฯ
[๕] มา เหวํ อานนฺท อวจ มา เหวํ อานนฺท อวจ สกลเมว หิทํ อานนฺท พฺรหฺมจริยํ ยทิทํ กลฺยาณมิตฺตตา กลฺยาณสหายตา กลฺยาณสมฺปวงฺกตา ฯ
กลฺยาณมิตฺตสฺเสตํ อานนฺท ภิกฺขุโน ปาฏิกงฺขํ กลฺยาณสหายกสฺส กลฺยาณสมฺปวงฺกสฺส อริยํ อฏฺฐงฺคิกํ มคฺคํ ภาเวสฺสติ อริยํ อฏฺฐงฺคิกํ มคฺคํ พหุลีกริสฺสตีติ ฯ
[๖] กถญฺจานนฺท ภิกฺขุ กลฺยาณมิตฺโต กลฺยาณสหาโย กลฺยาณสมฺปวงฺโก อริยํ อฏฺฐงฺคิกํ มคฺคํ ภาเวติ อริยํ อฏฺฐงฺคิกํ มคฺคํ พหุลีกโรติ ฯ
อิธานนฺท ภิกฺขุ สมฺมาทิฏฺฐึ ภาเวติ วิเวกนิสฺสิตํ วิราคนิสฺสิตํ นิโรธนิสฺสิตํ โวสฺสคฺคปริณามึ
สมฺมาสงฺกปฺปํ ภาเวติ วิเวกนิสฺสิตํ ฯเปฯ
สมฺมาวาจํ ภาเวติ ฯเปฯ
สมฺมากมฺมนฺตํ ภาเวติ ฯเปฯ
สมฺมาอาชีวํ ภาเวติ ฯเปฯ
สมฺมาวายามํ ภาเวติ ฯเปฯ
สมฺมาสตึ ภาเวติ ฯเปฯ
สมฺมาสมาธึ ภาเวติ วิเวกนิสฺสิตํ วิราคนิสฺสิตํ นิโรธนิสฺสิตํ โวสฺสคฺคปริณามึ ฯ
เอวํ โข อานนฺท ภิกฺขุ กลฺยาณมิตฺโต กลฺยาณสหาโย กลฺยาณสมฺปวงฺโก อริยํ อฏฺฐงฺคิกํ มคฺคํ ภาเวติ อริยํ อฏฺฐงฺคิกํ มคฺคํ พหุลีกโรติ ฯ
[๗] ตทิมินาเปตํ อานนฺท ปริยาเยน เวทิตพฺพํ ยถา สกลเมวิทํ พฺรหฺมจริยํ ยทิทํ กลฺยาณมิตฺตตา กลฺยาณสหายตา กลฺยาณสมฺปวงฺกตาติ ฯ
มมญฺหิ อานนฺท กลฺยาณมิตฺตํ อาคมฺม ชาติธมฺมา สตฺตา ชาติยา ปริมุจฺจนฺติ ชราธมฺมา สตฺตา ชราย ปริมุจฺจนฺติ มรณธมฺมา สตฺตา มรเณน ปริมุจฺจนฺติ โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสธมฺมา สตฺตา โสกปริเท ทุกฺขโทมนสฺสุปายาเสหิปริมุจฺจนฺติ ฯ
อิมินา โข เอตํ อานนฺท ปริยาเยน เวทิตพฺพํ ยถาสกลเมวิทํ พฺรหฺมจริยํ ยทิทํ กลฺยาณมิตฺตตา กลฺยาณสหายตา กลฺยาณสมฺปวงฺกตาติ ฯ

อรรถกถา สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค มัคคสังยุตต์ อวิชชาวรรคที่ ๑
๒. อุปัฑฒสูตร
อรรถกถาอุปัฑฒสูตรที่ ๒
อุปัฑฒสูตรที่ ๒ กล่าวไว้แล้วใน โกสลสังยุต นั่นแล.
จบอรรถกถาอุปัฑฒสูตรที่ ๒
@@@@@@@
อรรถกถา สังยุตตนิกาย สคาถวรรค โกสลสังยุตต์ ทุติยวรรคที่ ๒
ทุติยอัปปมาทสูตรที่ ๘
อรรถกถาทุติยอัปปมาทสูตรที่ ๘
พึงทราบวินิจฉัยในทุติยอัปปมาทสูตรที่ ๘ ต่อไป :-
บทว่า โส จ โข กลฺยาณมิตฺตสฺส ความว่า ก็ธรรมนี้นั้น ย่อมชื่อว่าสวากขาตธรรมของผู้มีมิตรดีเท่านั้น หาใช่สวากขาตธรรมของผู้มีมิตรชั่วไม่.
จริงอยู่ ธรรมเป็นสวากขาตธรรม แม้ของทุกคนก็จริง ถึงอย่างนั้น ย่อมทำประโยชน์ให้เต็มแก่ผู้มีมิตรดี ผู้ตั้งใจฟังด้วยดี ผู้เชื่อถือ เหมือนยาเป็นประโยชน์แก่ผู้ใช้ หาเป็นประโยชน์แก่คนผู้ไม่ใช้ไม่ ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสคำนี้ พึงทราบว่าเทศนาธรรมในคำว่า ธมฺโม นี้.
บทว่า อุปฑฺฒมิทํ ความว่า ได้ยินว่า พระเถระเจ้าไปในที่ลับคิดว่า เมื่อมิตรดีผู้โอวาทพร่ำสอนมีอยู่ สมณธรรมนี้ย่อมสำเร็จประโยชน์แก่ผู้ตั้งอยู่ในความพยายามเฉพาะตัว ดังนั้น พรหมจรรย์กึ่งหนึ่งมาจากมิตรดี กึ่งหนึ่งมาจากความพยายามเฉพาะตัว.
ครั้งนั้น พระเถระดำริว่า เราอยู่ในปเทสญาณ (ญาณในธรรมบางส่วน) รู้บางส่วน ไม่อาจคิดได้หมดทุกส่วน จำต้องทูลถามพระศาสดา จึงจักหมดสงสัย เพราะฉะนั้น ท่านจึงเข้าไปเฝ้าพระศาสดา แล้วกล่าวอย่างนั้น.
@@@@@@@
บทว่า พฺรหฺมจริยสฺส ได้แก่ อริยมรรค.
บทว่า ยทิทํ กลฺยาณมิตฺตตา ความว่า ความเป็นผู้มีมิตรดีที่ได้ ย่อมมาสู่พรหมจรรย์กึ่งหนึ่ง จากพรหมจรรย์กึ่งหนึ่ง ดังนั้น พระเถระจึงกล่าวว่า อริยมรรคมีสัมมาทิฏฐิเป็นต้น ครึ่งหนึ่งย่อมมาจากความเป็นผู้มีมิตรดี อีกครึ่งหนึ่งย่อมมาจากความพยายามเฉพาะตัว.
ก็จริงอยู่ นี้เป็นความปรารถนาของพระเถระ แท้จริง แม้ในที่นี้ธรรมที่แบ่งแยกไม่ได้นี้ ก็ไม่อาจแบ่งแยกได้ว่า บรรดาอริยมรรคมีสัมมาสัมทิฏฐิเป็นต้น เท่านี้เกิดจากความมีมิตรดี เท่านี้เกิดจากความพยายามเฉพาะตน เปรียบเหมือนเมื่อคนมากคนยกเสาหิน ก็แบ่งแยกไม่ได้ว่า ที่เท่านี้คนโน้นยก ที่เท่านี้คนโน้นยก และเหมือนอย่างว่า เมื่อบุตรอาศัยมารดาบิดาเกิดขึ้น ก็แบ่งแยกไม่ได้ว่าเกิดจากมารดาเท่านี้ เกิดจากบิดาเท่านี้ ฉะนั้น.
ถึงกระนั้น พรหมจรรย์ชื่อว่ากึ่งหนึ่ง ตามอัธยาศัยของพระเถระว่า เพราะเป็นผู้มีมิตรดี ก็ได้คุณกึ่งหนึ่ง พรหมจรรย์ชื่อว่าทั้งสิ้น ตามอัธยาศัยของพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ก็ได้คุณทั้งสิ้น.
ก็คำว่า กลฺยาณมิตฺตตา นี้ท่านถือว่า ชื่อว่าได้คุณที่เป็นส่วนเบื้องต้น ว่าโดยใจความก็ได้แก่ขันธ์ ๔ คือ ศีลขันธ์ สมาธิขันธ์ วิปัสสนาขันธ์อันอาศัยกัลยาณมิตรได้มา. อาจารย์บางพวกกล่าวว่า สังขารขันธ์ก็มี.
@@@@@@@
บทว่า มาเหวํ อานนฺท ความว่า อย่าพูดอย่างนี้ เธอเป็นพหูสูต บรรลุปฏิสัมภิทาฝ่ายเสขะ รับพร ๘ ประการแล้วอุปัฏฐากเรา เธอผู้ประกอบด้วยอัจฉริยัพภูตธรรม ๔ ประการ ไม่ควรกล่าวอย่างนี้แก่บุคคลเช่นนั้น.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสคำนี้ว่า ดูก่อนอานนท์ ความมีมิตรดี ความมีสหายดี ความมีเพื่อนดี เป็นพรหมจรรย์ทั้งสิ้น ดังนี้ ทรงหมายว่า มรรค ๔ ผล ๔ วิชชา ๓ อภิญญา ๖ ทั้งหมดมีมิตรดีเป็นมูลทั้งนั้น.
บัดนี้ เมื่อจะทรงแสดงเหตุ โดยการเปล่งพระวาจานั่นแล จึงตรัสคำว่า กลฺยาณมิตฺตสฺเสตํ เป็นต้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปาฏิกงฺขํ ความว่า พึงหวัง พึงปรารถนาว่ามีอยู่แท้.
บทว่า อิธ แปลว่า ในศาสนานี้.
ก่อนอื่น อาทิบททั้ง ๘ ในคำว่า สมฺมาทิฏฺฐึ ภาเวติ เป็นต้นมีพรรณนาสังเขปดังนี้. สัมมาทิฏฐิมีลักษณะเห็นชอบ สัมมาสังกัปปะมีลักษณะยกสหชาตธรรมขึ้นสู่อารมณ์ชอบ สัมมาวาจามีลักษณะกำหนดอารมณ์ชอบ สัมมากัมมันตะมีลักษณะตั้งตนไว้ชอบ. สัมมาอาชีวะมีลักษณะทำอารมณ์ให้ผ่องแผ้วชอบ. สัมมาวายามะมีลักษณะประคองชอบ สัมมาสติมีลักษณะปรากฏชอบ สัมมาสมาธิมีลักษณะตั้งมั่นชอบ.
บรรดามรรคมีองค์ ๘ นั้น มรรคองค์หนึ่งๆ มีกิจ ๓ คือ ก่อนอื่นสัมมาทิฏฐิย่อมละมิจฉาทิฏฐิ พร้อมกับเหล่ากิเลสที่เป็นข้าศึกของตนอย่างอื่นๆ ๑ ทำนิโรธให้เป็นอารมณ์ ๑ และเห็นสัมปยุตธรรมเพราะไม่ลุ่มหลง โดยกำจัดโมหะอันปกปิดสัมปยุตธรรมนั้น ๑.
แม้สัมมาสังกัปปะเป็นต้น ก็ละมิจฉาสังกัปปะเป็นต้น และทำนิโรธให้เป็นอารมณ์ อย่างนั้นเหมือนกัน แต่โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในมรรคมีองค์ ๘ นั้น สัมมาสังกัปปะย่อมยกอารมณ์ขึ้นสู่สหชาตธรรม.
สัมมาวาจาย่อมกำหนดถือเอาชอบ สัมมากัมมันตะย่อมตั้งตนไว้ชอบ สัมมาอาชีวะย่อมผ่องแผ้วชอบ สัมมาวายามะย่อมประคองความเพียรๆ ชอบ สัมมาสติย่อมตั้งไว้ชอบ สัมมาสมาธิย่อมตั้งมั่นชอบ.
@@@@@@@
อนึ่งเล่า ธรรมดาสัมมาทิฏฐินี้ ในส่วนเบื้องต้นย่อมมีขณะต่างๆ มีอารมณ์ต่างๆ แต่ในขณะมรรคจิตมีขณะอันเดียว มีอารมณ์อย่างเดียว. แต่ว่าโดยกิจ ย่อมได้ชื่อ ๔ ชื่อมี ทุกฺเข ญาณํ รู้ในทุกข์ดังนี้เป็นต้น
แม้สัมมาสังกัปปะ เป็นต้น ในส่วนเบื้องต้นก็มีขณะต่างกัน มีอารมณ์ต่างกัน แต่ในขณะแห่งมรรคจิตย่อมมีขณะอันเดียว มีอารมณ์อย่างเดียว.
ในมรรคมีองค์ ๘ นั้น สัมมาสังกัปปะว่าโดยกิจ ย่อมได้ชื่อ ๓ ชื่อมีเนกขัมมสังกัปปะเป็นต้น.
สัมมาวาจาเป็นต้นย่อมเป็นวิรัติ ๓ บ้าง เป็นเจตนาเป็นต้นบ้าง แต่ในขณะแห่งมรรคจิตก็เป็นวิรัติเท่านั้น.
สัมมาวายามะและสัมมาสติทั้งสองดังว่ามานี้ ว่าโดยกิจก็ได้ชื่อ ๔ ชื่อโดยสัมมัปปธาน ๔ สติปัฏฐาน ๔.
ส่วนสัมมาสมาธิทั้งในส่วนเบื้องต้น ทั้งในขณะแห่งมรรคจิต ก็สมาธิอย่างเดียว.
@@@@@@@
ครั้นทราบการพรรณนาอาทิบททั้ง ๘ ที่ท่านกล่าวโดยนัยว่า สมฺมาทิฏฐึ ดังนี้เป็นต้นอย่างนี้ก่อนแล้ว บัดนี้ พึงทราบความในคำว่า ภาเวติ วิเวกนิสฺสิตํ เป็นต้นดังนี้.
บทว่า ภาเวติ แปลว่า เจริญ. อธิบายว่า ทำให้เกิด บังเกิดในจิตสันดานของตน.
บทว่า วิเวกนิสฺสิตํ แปลว่า อาศัยวิเวก.
บทว่า วิเวโก ได้แก่ ความเป็นผู้สงัด.
พึงทราบความดังนี้ว่า ความเป็นผู้สงัดนี้ ได้แก่ วิเวก ๕ อย่างคือ ตทังควิเวก วิกขัมภนวิเวก สมุจเฉทวิเวก ปฏิปัสสัทธิวิเวก นิสสรณวิเวก. วิเวกมี ๕ อย่างดังนี้.
บทว่า วิเวกนิสฺสิตํ ก็ได้แก่ เจริญสัมมาทิฏฐิที่อาศัยตทังควิเวก อาศัยสมุจเฉทวิเวก และอาศัยนิสสรณวิเวก.
อนึ่งเล่า พระโยคี [โยคาวจร] ผู้ประกอบเนืองๆ ซึ่งอริยมรรคภาวนานี้ ในขณะเจริญวิปัสสนาย่อมเจริญสัมมาทิฏฐิที่อาศัยตทังควิเวก โดยกิจที่อาศัยนิสสรณวิเวกโดยอัธยาศัย แต่ในขณะแห่งมรรคจิตย่อมเจริญสัมมาทิฏฐิที่อาศัยสมุจเฉทวิเวกโดยกิจ ที่อาศัยนิสสรณวิเวกโดยอารมณ์.
ในบทว่าที่อาศัยวิราคะเป็นต้น ก็นัยนี้.
ก็วิราคะเป็นต้น ก็มีวิเวกความสงัดเป็นอรรถนั่นแหละ.
@@@@@@@
ก็ในที่นี้อย่างเดียว โวสสัคคะมี ๒ อย่างคือ ปริจาคโวสสัคคะและปักขันทนโวสสัคคะ.
บรรดาโวสสัคคะ ๒ อย่างนั้น การละกิเลสด้วยอำนาจตทังคปหานในขณะเจริญวิปัสสนา และการละกิเลสด้วยอำนาจสมุจเฉทปหานในขณะแห่งมรรคจิต ชื่อว่าปริจาคโวสสัคคะ.
ในขณะเจริญวิปัสสนาก็แล่นไปสู่พระนิพพานด้วยความเป็นผู้น้อมไปในพระนิพพานนั้น แต่ในขณะแห่งมรรคจิตก็แล่นไปสู่พระนิพพานด้วยการทำพระนิพพานให้เป็นอารมณ์ ชื่อว่าปักขันทนโวสสัคคะ.
โวสสัคคะแม้ทั้งสองนั้นย่อมควรในอรรถกถานัยที่ผสมทั้งโลกิยะและโลกุตระนี้.
จริงอย่างนั้น สัมมาทิฏฐินี้ย่อมสละกิเลสและแล่นไปสู่พระนิพพานโดยประการตามที่กล่าวแล้ว ด้วยคำทั้งสิ้นนี้ว่า โวสฺสคฺคปริณามึ ท่านอธิบายไว้ดังนี้ว่า กำลังน้อมไปและน้อมไปแล้ว กำลังบ่มและบ่มสุกแล้ว เพื่อโวสสัคคะ.
จริงอยู่ ภิกษุผู้ประกอบเนืองๆ ซึ่งอริยมรรคภาวนานี้ ย่อมเจริญสัมมาทิฏฐิโดยอาการที่สัมมาทิฏฐินั้นกำลังบ่มเพื่อโวสสัคคะคือการสละกิเลส และเพื่อโวสสัคคะคือการแล่นไปสู่พระนิพพาน และโดยอาการที่สัมมาทิฏฐินั้นบ่มสุกแล้ว.
ในองค์มรรคที่เหลือก็นัยนี้.
@@@@@@@
บทว่า อาคมฺม ได้แก่ ปรารภหมายถึง อาศัยแล้ว.
บทว่า ชาติธมฺมา ได้แก่ มีการเกิดเป็นสภาวะ คือมีการเกิดเป็นปกติ [ธรรมดา].
บทว่า ตสฺมา ความว่า เพราะเหตุที่แม้อริยมรรคทั้งสิ้นอาศัยกัลยาณมิตรจึงได้ ฉะนั้น
ศัพท์ว่า หนฺท เป็นนิบาตลงในอรรถว่าเชื้อเชิญ.
บทว่า อปฺปามาทํ ปสํสนฺติ ได้แก่ บัณฑิตทั้งหลายย่อมสรรเสริญความไม่ประมาท เพราะฉะนั้น จึงควรทำความไม่ประมาท.
บทว่า อตฺถาภิสมยา แปลว่า เพราะได้ประโยชน์.
จบอรรถกถาทุติยอัปปมาทสูตรที่ ๘

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๙ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๑ [ฉบับมหาจุฬาฯ] สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค
๑. มัคคสังยุต, ๑. อวิชชาวรรค, ๔. ชาณุสโสณิพราหมณสูตร
๓. สารีปุตตสูตร ว่าด้วยพระสารีบุตร
[๓] เรื่องเกิดขึ้นที่กรุงสาวัตถี ครั้งนั้นแล ท่านพระสารีบุตรเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวาย
อภิวาทแล้ว นั่ง ณ ที่สมควร ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ความเป็นผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนดี เป็นพรหมจรรย์ทั้งหมดทีเดียว”
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
“ถูกละ ถูกละ สารีบุตร ความเป็นผู้มีมิตรดี มีสหายดีมีเพื่อนดี เป็นพรหมจรรย์ทั้งหมด สารีบุตร ภิกษุผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนดี พึงหวังข้อนี้ได้ว่า จักเจริญอริยมรรคมีองค์ ๘ ทำอริยมรรคมีองค์ ๘ ให้มาก
ภิกษุผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนดี เจริญอริยมรรคมีองค์ ๘ ทำอริยมรรคมีองค์ ๘ ให้มากอย่างไร คือ
ภิกษุในธรรมวินัยนี้
๑. เจริญสัมมาทิฏฐิอันอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ น้อมไปในโวสสัคคะ
ฯลฯ
๘. เจริญสัมมาสมาธิอันอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ น้อมไปในโวสสัคคะ
ภิกษุผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนดี เจริญอริยมรรคมีองค์ ๘ ทำอริยมรรคมีองค์ ๘ ให้มาก อย่างนี้แล
@@@@@@@
สารีบุตร อนึ่ง ข้อที่ว่าความเป็นผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนดี เป็นพรหมจรรย์ทั้งหมดนั้น พึงทราบโดยปริยายนี้ ด้วยว่าเพราะอาศัยเราผู้เป็นมิตรดี เหล่าสัตว์ผู้มีชาติเป็นธรรมดาย่อมพ้นจากชาติ ผู้มีชราเป็นธรรมดาย่อมพ้นจากชรา ผู้มีมรณะเป็นธรรมดาย่อมพ้นจากมรณะ ผู้มีโสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาสเป็นธรรมดาย่อมพ้นจากโสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส
สารีบุตร ข้อที่ว่าความเป็นผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนดี เป็นพรหมจรรย์ทั้งหมดนั้น พึงทราบโดยปริยายนี้แล”
สารีปุตตสูตรที่ ๓ จบ



พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๙ ภาษาบาลี อักษรไทย พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๑ สุตฺต. สํ. มหาวารวคฺโค
[๘] สาวตฺถีนิทานํ ฯ
อถ โข อายสฺมา สารีปุตฺโต เยนภควา เตนุปสงฺกมิ อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํนิสีทิ ฯ
เอกมนฺตํ นิสินฺโน โข อายสฺมา สารีปุตฺโต ภควนฺตํ เอตทโวจ สกลมิทํ ภนฺเต พฺรหฺมจริยํ ยทิทํ กลฺยาณมิตฺตตา กลฺยาณสหายตา กลฺยาณสมฺปวงฺกตาติ ฯ
[๙] สาธุ สาธุ สารีปุตฺต สกลมิทํ สารีปุตฺต พฺรหฺมจริยํ ยทิทํ กลฺยาณมิตฺตตา กลฺยาณสหายตา กลฺยาณสมฺปวงฺกตา ฯ
กลฺยาณมิตฺตสฺเสตํ สารีปุตฺต ภิกฺขุโน ปาฏิกงฺขํ กลฺยาณสหายสฺส กลฺยาณสมฺปวงฺกสฺส อริยํ อฏฺฐงฺคิกํ มคฺคฺ ภาเวสฺสติ อริยํ อฏฺฐงฺคิกํ มคฺคํ พหุลีกริสฺสตีติ ฯ
[๑๐] กถญฺจ สารีปุตฺต ภิกฺขุ กลฺยาณมิตฺโต กลฺยาณสหาโย กลฺยาณสมฺปวงฺโก อริยํ อฏฺฐงฺคิกํ มคฺคํ ภาเวติ อริยํ อฏฺฐงฺคิกํ มคฺคํ พหุลีกโรติ ฯ
อิธ สารีปุตฺต ภิกฺขุ
สมฺมาทิฏฺฐึ ภาเวติ วิเวกนิสฺสิตํ วิราคนิสฺสิตํ นิโรธนิสฺสิตํ โวสฺสคฺคปริณามึ
ฯเปฯ
สมฺมาสมาธึ ภาเวติ วิเวกนิสฺสิตํ วิราคนิสฺสิตํ นิโรธนิสฺสิตํ โวสฺสคฺคปริณามึ ฯ
เอวํ โข สารีปุตฺต ภิกฺขุ กลฺยาณมิตฺโต กลฺยาณสหาโย กลฺยาณสมฺปวงฺโก อริยํ อฏฺฐงฺคิกํ มคฺคํ ภาเวติ อริยํ อฏฺฐงฺคิกํ มคฺคํ พหุลีกโรติ ฯ
[๑๑] ตทิมินาเปตํ สารีปุตฺต ปริยาเยน เวทิตพฺพํ ยถา สกลมิทํ พฺรหฺมจริยํ ยทิทํ กลฺยาณมิตฺตตา กลฺยาณสหายตา กลฺยาณสมฺปวงฺกตาติ ฯ
มมญฺหิ สารีปุตฺต กลฺยาณมิตฺตํ อาคมฺม ชาติธมฺมา สตฺตา ชาติยา ปริมุจฺจนฺติ ชราธมฺมา สตฺตา ชราย ปริมุจฺจนฺติ มรณธมฺมา สตฺตา มรเณน ปริมุจฺจนฺติ โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสธมฺมา สตฺตา โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาเสหิ ปริมุจฺจนฺติ ฯ
อิมินา โข เอตํ สารีปุตฺต ปริยาเยน เวทิตพฺพํ ยถา สกลมิทํ พฺรหฺมจริยํ ยทิทํ กลฺยาณมิตฺตตา กลฺยาณสหายตา กลฺยาณสมฺปวงฺกตาติ ฯ



อรรถกถา สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค มัคคสังยุตต์ อวิชชาวรรคที่ ๑
๓. สารีปุตตสูตร
อรรถกถาสารีปุตตสูตรที่ ๓
พึงทราบวินิจฉัยในสารีปุตตสูตรที่ ๓
บทว่า สกลมิทํ ภนฺเต ความว่า พระอานนทเถระไม่รู้ว่า มรรคพรหมจรรย์แม้ทั้งสิ้นอันตนได้ เพราะอาศัยกัลยาณมิตรดังนี้ เพราะยังไม่ถึงที่สุดแห่งสาวกบารมีญาณ.
ส่วนพระธรรมเสนาบดีได้รู้แล้ว เพราะดำรงอยู่ในที่สุดแห่งสาวกบารมีญาณ. เพราะฉะนั้น ท่านจึงกราบทูลอย่างนี้. เพราะเหตุนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้ประทานสาธุการแก่พระเถระนั้นว่า สาธุ สาธุ ดังนี้.
จบอรรถกถาสารีปุตตสูตรที่ ๓