ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
หน้า: [1] 2 3 ... 10
 1 
 เมื่อ: วันนี้ เวลา 06:05:10 pm 
เริ่มโดย todaytimepost11 - กระทู้ล่าสุด โดย todaytimepost11
⭐ บริการรับทุบตึก รื้อถอนอาคารครบวงจร ประเมินหน้างานฟรี ⭐!

✅ หมดปัญหาเรื่องการรื้อถอน! เราคือผู้เชี่ยวชาญด้านการรับทุบตึก รื้อถอนอาคารและสิ่งปลูกสร้างทุกประเภท ด้วยประสบการณ์กว่า 10 ปี ทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล


รับทุบตึก รื้อถอนอาคารและสิ่งปลูกสร้างทุกชนิด รับเหมารื้อถอนก่อสร้าง รับทุบบ้าน รับทุบอาคารเก่า โรงงาน บริการรื้อถอน ทุบตึก สิ่งปลูกสร้างทุกประเภท รับเหมารื้อถอนสิ่งปลุกสร้างทุกชนิด ใช้เครื่องจักรและเครื่องมืออุปกรณ์รื้อถอนครบครัน พร้อมเคลียร์พื้นที่ ด้วยประสบการณ์มากกว่า 10 ปี ทั่วกรุงเทพและปริมณฑล

รับทุบตึก รื้อถอนฟรี ประเมินหน้างานฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย รื้อถอนอาคารสิ่งปลูกสร้างทุกชนิด อาคารพาณิชย์ อพาร์ทเม้นท์ รื้อถอนโรงงาน รื้อถอนโกดัง รื้อถอนอาคาร รื้อโกดังเก่า รับรื้อโครงเหล็ก บริการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างทุกชนิดครบวงจร

รับรื้อถอนอาคาร บ้าน โกดังเก่า ประเมินหน้างานฟรี ทั่วกรุงเทพและปริมณฑล รับรื้อถอนสำนักงาน รับซื้อโครงสร้างเหล็ก บริการรับทุบตึกรื้อถอนฟรี ประเมินหน้างานฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย

ทุบตึก บ้าน โรงงาน รื้อถอนฟรี รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างทุกชนิดไม่มีค่าใช้จ่าย บ้าน อาคารพาณิชย์ โรงงาน โกดัง อพาร์ทเม้นท์ ด้วยทีมงานมืออาชีพ



????️ บริการหลักของเรา: รับทุบตึกรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างทุกชนิด ????️

เราให้บริการครอบคลุมงานรื้อถอนทุกรูปแบบ โดยเน้นการใช้เครื่องจักรและเครื่องมือที่ทันสมัย เพื่อให้งานเสร็จตามกำหนดและมีความปลอดภัยสูงสุด:

  • รับทุบตึก และรื้อถอนอาคารทุกประเภท:
       
    • รับทุบบ้านเก่า บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์
    • รื้อถอนอาคารพาณิชย์ อาคารสูง อพาร์ทเม้นท์ คอนโด
    • รื้อถอนโรงงาน รื้อถอนโกดังเก่า และอาคารขนาดใหญ่
  • รับเหมารื้อถอนก่อสร้าง และสิ่งปลูกสร้างเฉพาะส่วน
  • พร้อมบริการ รับรื้อโครงเหล็ก และรับซื้อโครงสร้างเหล็ก (ช่วยลดภาระค่าใช้จ่าย)
  • บริการเคลียร์พื้นที่ ขนย้ายเศษวัสดุก่อสร้าง และขยะจากการรื้อถอน

เมื่อคุณต้องการพื้นที่ใหม่สำหรับการก่อสร้าง หรือต้องการปรับปรุงอาคารเก่าให้กลับมาใช้งานได้ การรื้อถอนที่ปลอดภัย รวดเร็ว และเป็นมืออาชีพคือหัวใจสำคัญ เราคือทีมงานมืออาชีพที่พร้อมให้บริการรับทุบตึก และรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างอย่างครบวงจร ตั้งแต่ขั้นตอนการประเมิน ไปจนถึงการเคลียร์พื้นที่ให้พร้อมสำหรับการเริ่มต้นใหม่

  • บริการประเมินหน้างานฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่ายในการเข้าสำรวจและประเมินราคา
  • มีโอกาส รับทุบตึก รื้อถอนฟรี! (ในกรณีที่มูลค่าของวัสดุที่รื้อถอนครอบคลุมค่าใช้จ่าย)
  • ทีมงานมีประสบการณ์มากกว่า 10 ปี ในงานรับทุบตึก ทั่วกรุงเทพและปริมณฑล
  • ใช้เครื่องจักรและอุปกรณ์รื้อถอนที่ได้มาตรฐาน เพื่อความแม่นยำและปลอดภัยสูงสุด

เราให้คำปรึกษาและดำเนินการด้วยความรวดเร็ว ตรงไปตรงมา พร้อมรับประกันความเรียบร้อยของพื้นที่หลังการทำงาน เพื่อให้คุณมั่นใจได้ว่าโครงการใหม่ของคุณจะเริ่มต้นได้อย่างราบรื่น

???? สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม หรือนัดประเมินหน้างานฟรี! ????

[size=18pt]คุณ ดาว
  โทรศัพท์: 093-252-1148, 084-913-1688

https://www.รับจ้างทุบตึก.com
https://www.xn--12clc7cjpd1eygm2cv1t.com




 2 
 เมื่อ: วันนี้ เวลา 06:49:19 am 
เริ่มโดย raponsan - กระทู้ล่าสุด โดย raponsan
.



เผยรายละเอียดฉบับเต็ม MOU ไทย-สหรัฐฯ "กระจายแร่ธาตุสำคัญ-ส่งเสริมการลงทุน"

ทำเนียบขาวเปิดเผยรายละเอียดบันทึกความเข้าใจ ว่าด้วยความร่วมมือในการกระจายห่วงโซ่อุปทานแร่ธาตุสำคัญของโลกและการส่งเสริมการลงทุน แต่ไม่มีผลทางกฏหมายระหว่างประเทศและสามารถยุติได้ทุกเมื่อ



 :96: :96: :96:

บันทึกความเข้าใจ ระหว่างรัฐบาลสหรัฐอเมริกาและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย ว่าด้วยความร่วมมือเพื่อกระจายห่วงโซ่อุปทานแร่ธาตุสำคัญของโลก และส่งเสริมการลงทุน

รัฐบาลสหรัฐอเมริกาและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย (ต่อไปนี้เรียกรวมกันว่า "ภาคี")

โดยมีความประสงค์ที่จะส่งเสริมความร่วมมือในการเสริมสร้างธรรมาภิบาลในภาคทรัพยากรแร่ธาตุสำคัญ ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาคเอกชนของทั้งสองประเทศ และขยายความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุน เพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วมของประเทศไทยในห่วงโซ่อุปทานโลกที่มั่นคงและเชื่อถือได้

โดยตระหนักถึงความสัมพันธ์ทางการค้าและการลงทุนอันยาวนานและก่อให้เกิดประโยชน์ร่วมกัน ตลอดจนความสำคัญของการส่งเสริมการค้าและการลงทุนเพื่อการเติบโตและการพัฒนาเศรษฐกิจ

โดยตระหนักเพิ่มเติมว่า การมีตลาดแร่ธาตุสำคัญที่มั่นคง หลากหลาย มีสภาพคล่อง และเป็นธรรม มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการสำรวจ การสกัด การแปรรูป การใช้ประโยชน์อย่างมีประสิทธิภาพ การนำกลับมาใช้ใหม่ และการรีไซเคิล

โดยมุ่งประสงค์ที่จะยกระดับความร่วมมือเพื่อประโยชน์ร่วมกันด้านความมั่นคงทางเศรษฐกิจและทรัพยากรของทั้งสองประเทศ

โดยเน้นย้ำความสำคัญของการส่งเสริมการสกัด การแปรรูป และการรีไซเคิลแร่ธาตุภายใต้มาตรฐานสากลสูงสุด

โดยคำนึงถึงความเชี่ยวชาญทางเทคนิค กฎระเบียบ นโยบาย การบริหารจัดการ และประสบการณ์เฉพาะด้านทรัพยากรแร่ที่ทั้งสองประเทศมีอยู่

โดยมีความประสงค์ที่จะเสริมสร้างการค้าและการลงทุนในห่วงโซ่อุปทานแร่ธาตุสำคัญ เพื่อให้เกิดความมั่นคงและความเชื่อถือได้ของแหล่งทรัพยากรระดับโลก ส่งเสริมการถ่ายทอดเทคโนโลยี การวิจัยและพัฒนา และการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเชิงนวัตกรรม

โดยเชื่อมั่นว่าความร่วมมือระหว่างภาคีจะเป็นประโยชน์ร่วมกัน ในการสร้างสภาพแวดล้อมการลงทุนที่มั่นคงสำหรับทั้งนักลงทุนภายในประเทศและต่างประเทศ เพิ่มความยืดหยุ่นและความยั่งยืนของห่วงโซ่อุปทานแร่ธาตุสำคัญ และส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาคธุรกิจของทั้งสองประเทศในด้านการสำรวจ การพัฒนา การแปรรูป และการใช้ประโยชน์แร่ธาตุสำคัญ

ภาคีจึงได้บรรลุความเข้าใจร่วมกัน ดังต่อไปนี้

@@@@@@@

วัตถุประสงค์

บันทึกความเข้าใจฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างภาคีในการพัฒนาและขยายห่วงโซ่อุปทานแร่ธาตุสำคัญ ส่งเสริมการค้าและการลงทุนในด้านการสำรวจ การสกัด การแปรรูป การกลั่น การรีไซเคิล และการนำกลับมาใช้ประโยชน์ของแร่ธาตุสำคัญ ส่งเสริมการลงทุนที่เพิ่มมูลค่าในประเทศและพัฒนาอุตสาหกรรมการแปรรูปภายในประเทศ แทนการพึ่งพาการส่งออกวัตถุดิบ และสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านไปสู่ตลาดแร่ธาตุสำคัญและแร่หายากที่เปิดกว้าง มีประสิทธิภาพ ปลอดภัย และโปร่งใส เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงและความมั่งคั่งของห่วงโซ่อุปทานแร่ธาตุสำคัญและแร่หายากในสหรัฐอเมริกาและประเทศไทย

กรอบความร่วมมือ

    1. การแลกเปลี่ยนข้อมูลและความเชี่ยวชาญภาคีมีเจตนาที่จะแลกเปลี่ยนข้อมูล ความรู้ และความเชี่ยวชาญด้านเทคนิคตามแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดระดับสากล เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคแร่ธาตุสำคัญของประเทศไทย รวมทั้งช่วยวิเคราะห์ศักยภาพของฐานทรัพยากรแร่ และประสานงานในโครงการสำคัญเพื่อสร้างห่วงโซ่อุปทานแร่ธาตุที่มั่นคง ยืดหยุ่น และมีความรับผิดชอบ โดยภาคีอาจพิจารณาลงทุนในโครงการที่เกี่ยวข้องตามกฎหมายภายในประเทศของตน และโครงการดังกล่าวควรมีองค์ประกอบของการถ่ายทอดเทคโนโลยี การพัฒนาศักยภาพบุคลากร และการฝึกอบรม โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาอุตสาหกรรมแปรรูปในประเทศ

    2. กลไกความร่วมมือภาคีอาจจัดการประชุมระหว่างเจ้าหน้าที่ของทั้งสองฝ่าย จัดการสัมมนา เวิร์กช็อป การวิจัยร่วมด้านธรณีวิทยา การแลกเปลี่ยนข้อมูล ตลอดจนการประชุมร่วมกับภาคเอกชน มหาวิทยาลัย และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอื่น ๆ รวมถึงกิจกรรมเสริมสร้างศักยภาพ

    3. ด้านนโยบายและกฎระเบียบภาคีอาจร่วมมือกันในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับแนวปฏิบัติด้านกฎระเบียบที่ดี เช่น การปรับปรุงกระบวนการอนุญาตให้รวดเร็วขึ้น ประเด็นด้านการลงทุน และการประสานความร่วมมือระหว่างรัฐบาลกลางกับหน่วยงานระดับจังหวัดหรือท้องถิ่น รวมถึงร่วมกันพัฒนาและเสริมสร้างกลไกที่ป้องกันการขายสินทรัพย์แร่ธาตุสำคัญและแร่หายากที่อาจกระทบต่อความมั่นคงแห่งชาติ

    4. การเข้าถึงข้อมูลโครงการลงทุนภาคีจะจัดให้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับโครงการหรืองานประมูลที่อาจเกิดขึ้นโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และไม่ช้ากว่าช่วงเวลาที่ข้อมูลนั้นเปิดเผยต่อผู้ลงทุนรายอื่น เพื่อให้บริษัทและพันธมิตรของภาคีมีเวลาพอในการพิจารณาเข้าร่วม

    5. การคุ้มครองตลาดภายในประเทศภาคีจะประสานงานเพื่อคุ้มครองตลาดแร่ธาตุสำคัญและแร่หายากในประเทศของตน บนพื้นฐานของนโยบายตลาดเสรีและการค้าที่เป็นธรรม โดยจัดตั้งตลาดที่มีมาตรฐานสูง ให้สิทธิพิเศษแก่ผู้ประกอบการที่ผ่านเกณฑ์ และอาจกำหนดกรอบราคาขั้นต่ำหรือมาตรการที่ใกล้เคียง

การดำเนินงานและการแลกเปลี่ยนข้อมูล

ภาคีมีเจตนาจะประชุมเป็นประจำ ทั้งในรูปแบบการพบปะโดยตรงหรือทางออนไลน์ เพื่อหารือเกี่ยวกับโอกาสด้านการค้าและการลงทุนในห่วงโซ่อุปทานแร่ธาตุสำคัญ หรือจัดการประชุมเพิ่มเติมตามความเหมาะสมในกรณีเร่งด่วน ทั้งนี้ แต่ละฝ่ายจะพิจารณาเป็นอิสระว่าโครงการใดเหมาะสมสำหรับการมีส่วนร่วมเพิ่มเติม

@@@@@@@

การมีผลบังคับใช้และการยุติความร่วมมือ

1. บันทึกความเข้าใจฉบับนี้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ลงนามโดยภาคีทั้งสองฝ่าย

2. ความร่วมมือทั้งหมดภายใต้บันทึกความเข้าใจฉบับนี้อยู่ภายใต้การพิจารณาถึงความพร้อมของเงินทุน บันทึกความเข้าใจฉบับนี้ไม่ได้แสดงถึงภาระผูกพันทางการเงิน ภาคีแต่ละฝ่ายมีความประสงค์ที่จะดำเนินกิจกรรมที่กำหนดไว้ภายใต้บันทึกความเข้าใจฉบับนี้ โดยเป็นไปตามกฎหมายและข้อบังคับที่เกี่ยวข้องของตน

3. บันทึกความเข้าใจฉบับนี้ไม่มีผลผูกพันทางกฎหมายระหว่างประเทศ และไม่กระทบต่อข้อตกลงอื่นที่มีอยู่ระหว่างภาคี

4. ภาคีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจยุติความร่วมมือภายใต้บันทึกความเข้าใจนี้ได้ทุกเมื่อ โดยแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรถึงอีกฝ่ายผ่านช่องทางการทูต

5. การยุติความร่วมมือจะไม่กระทบต่อกิจกรรมที่ได้เริ่มดำเนินการไปแล้วภายใต้บันทึกความเข้าใจนี้ก่อนวันที่ยุติ.






Thank to : https://www.thairath.co.th/news/foreign/2891612
27 ต.ค. 2568 14:05 น. | ข่าว > ต่างประเทศ | ไทยรัฐออนไลน์
ที่มา : The White House

 3 
 เมื่อ: วันนี้ เวลา 06:38:54 am 
เริ่มโดย raponsan - กระทู้ล่าสุด โดย raponsan
.



รู้จัก “แรร์เอิร์ธ” หมากสำคัญเกมการเมืองโลก หลัง "ไทย-สหรัฐฯ" เซ็น MOU

รู้จัก “แรร์เอิร์ธ” แร่หายากที่ถูกใช้เป็นหมากสำคัญในเกมการเมืองโลก ที่ล่าสุดไทยและสหรัฐฯ ได้ร่วมลงนาม MOU ขยายห่วงโซ่อุปทานแร่ธาตุสำคัญ-ส่งเสริมการลงทุน 

เมื่อวันที่ 26 ต.ค.ที่ผ่านมา หลังการลงนามถ้อยแถลงเพื่อนำไปสู่สันติภาพไทย-กัมพูชา นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ยังได้ร่วมลงนาม MOU แร่แรร์เอิร์ธ ซึ่งมีชื่อเต็มว่า “บันทึกความเข้าใจเรื่องความร่วมมือในการพัฒนาความหลากหลายของห่วงโซ่อุปทานของแร่ธาตุที่มีความสำคัญในระดับโลก และการส่งเสริมการลงทุน”

MOU ฉบับดังกล่าว มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือในการพัฒนาและขยายห่วงโซ่อุปทานแร่ธาตุสำคัญ ส่งเสริมการค้าและการลงทุนในด้านการสำรวจ การสกัด การแปรรูป การกลั่น การรีไซเคิล และการนำกลับมาใช้ประโยชน์ของแร่ธาตุสำคัญ (อ่าน : เผยรายละเอียดฉบับเต็ม MOU ไทย-สหรัฐฯ "กระจายแร่ธาตุสำคัญ-ส่งเสริมการลงทุน”)

@@@@@@@

“แรร์เอิร์ธ” คืออะไร.?

แรร์เอิร์ธ หรือ แร่หายาก (Rare Earth Elements : REEs) คือกลุ่มโลหะ 17 ชนิด ประกอบด้วย ธาตุในหมู่แลนทาไนด์ (Lanthanides) จำนวน 15 ธาตุ คือ แลนทานัม (La), ซีเรียม (Ce), เพรซีโอดิเมียม (Pr), นีโอดิเมียม (Nd), โพรมีเทียม (Pm), ซาแมเรียม (Sm), ยูโรเพียม (Eu), แกโดลิเนียม (Gd), เทอร์เบียม (Tb), ดิสโพรเซียม (Dy), โฮลเมียม (Ho), เออร์เบียม (Er), ทูเลียม (Tm), อิตเตอร์เบียม (Yb), และ ลูทีเชียม (Lu) และธาตุในหมู่โลหะทรานซิชัน 2 ธาตุ คือ สแกนเดียม (Sc) และ อิตเทรียม (Y)

แม้จะถูกเรียกว่า “แร่หายาก” แต่แท้จริงแล้ว แรร์เอิร์ธสามารถพบได้ในเนื้อหินเกือบทุกชนิดที่เป็นส่วนประกอบของเปลือกโลก แต่หาในรูปแบบบริสุทธิ์ได้ยากมาก ต้องมีกระบวนการขุดและกลั่นหลายขั้นตอน ใช้เทคโนโลยีที่ซับซ้อนและต้นทุนสูง อีกทั้งในกระบวนการเหล่านี้ยังสร้างมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมสูง ทำให้หลายประเทศไม่ต้องการที่จะผลิตแร่เหล่านี้เอง





“แรร์เอิร์ธ” ใช้ทำอะไร.?

แรร์เอิร์ธ เป็นวัตถุดิบต้นน้ำที่มีความสำคัญมากในการผลิตอุตสาหกรรมไฮเทค ตั้งแต่สมาร์ทโฟน รถยนต์ไฟฟ้า เทคโนโลยีการแพทย์ ไปจนถึงอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ และเทคโนโลยีอวกาศ

แรร์เอิร์ธ ถูกใช้ในการผลิตโลหะผสม (metal alloy) ตัวเร่งปฏิกิริยาในอุตสาหกรรมยานยนต์และปิโตรเคมี (catalyst&chemical process) อุตสาหกรรมเซรามิก/แก้ว (ceramics&glass) สารเรืองแสง (phosphors) เช่น หลอดแอลอีดี, หลอดฟลูออเรสเซนต์, การแสดงผลจอแบน, เลเซอร์ แบตเตอรี่โซลิดสเตตแบบชาร์จไฟได้ (Ni-MH) ไฟเบอร์ออปติก และอื่น ๆ

เป็นองค์ประกอบสำคัญในเทคโนโลยีสมัยใหม่ต่าง ๆ เช่น เซลล์เชื้อเพลิงโซลิดสเตต (solid state fuel) ตัวนำยิ่งยวด (superconductors) การระบายความร้อนด้วยแม่เหล็ก (magnetic cooling) การกักเก็บไฮโดรเจน (hydrogen storage)

แม่เหล็กถาวรประสิทธิภาพสูง (high performance permanent magnets) ซึ่งมีความสำคัญอย่างมากสำหรับเทคโนโลยีชั้นสูง เช่น กังหันลม (wind turbines) รถยนต์ไฮบริด (hybrid cars) ไปจนถึงไดรฟ์บันทึกข้อมูล (HD drives) ลำโพง และไมโครโฟนโทรศัพท์มือถือ

@@@@@@@

แรร์เอิร์ธไทย อยู่ตรงไหนของโลก.?

แหล่งแร่แรร์เอิร์ธในไทย พบกระจายตัวทางด้านตะวันตกของประเทศ ตั้งแต่ภาคเหนือจนถึงภาคใต้ เช่น จังหวัดเชียงราย แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ อุทัยธานี กาญจนบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร ระนอง พังงา และสุราษฎร์ธานี

สำหรับในระดับโลก “ประเทศจีน” ถือเป็นเจ้าตลาดแรร์เอิร์ธในระดับ เกือบผูกขาด (near monopoly) โดยองค์การพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) ประเมินว่า จีนครองสัดส่วนการผลิตแรร์เอิร์ธราว 61% ของทั้งโลก และ 92% ของการแปรรูป

ข้อมูลจาก สำนักงานสำรวจธรณีวิทยาแห่งสหรัฐอเมริกา (USGS) ระบุว่า ในปี 2024 มีการผลิตแร่แรร์เอิร์ธราว 390,000 ตัน REO (Tons of Rare Earth Oxides) ดังนี้

อันดับประเทศผลิตแรร์เอิร์ธ (Mine production) ปี 2024

    1.จีน 270,000 ตัน REO
    2. สหรัฐฯ 45,000 ตัน REO
    3. เมียนมา 31,000 ตัน REO
    4. ไทย, ออสเตรเลีย, ไนจีเรีย เท่ากันที่ 13,000 ตัน REO
    5. อินเดีย 2,900 ตัน REO

ขณะที่ปริมาณแร่แรร์เอิร์ธสำรองของทั้งโลก อยู่ที่มากกว่า 90 ล้านตัน REO โดยประเทศไทยอยู่อันดับ 12 ที่ 4,500 ตัน REO ขณะที่ 5 อันดับแรกคือ

    1. จีน 44,000,000 ตัน REO
    2. บราซิล 21,000,000 ตัน REO
    3. อินเดีย 6,900,000 ตัน REO
    4. ออสเตรเลีย 5,700,000 ตัน REO
    5. รัสเซีย 3,800,000 ตัน REO





“แรร์เอิร์ธ” หนึ่งในไพ่ตายของจีน

เนื่องจากจีนเป็นเจ้าตลาด ทำให้ควบคุมห่วงโซ่อุปทานแรร์เอิร์ธได้ มีอำนาจตัดสินใจว่าจะส่งหรือไม่ส่งแร่ให้บริษัทไหน และใช้เป็นเครื่องมือต่อรองทางการค้าที่สำคัญ โดยเฉพาะกับอีกชาติมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ ที่ในการนำเข้าแรร์เอิร์ธในช่วงปี 2020-2023 กว่า 70% มาจากประเทศจีน

สหรัฐฯ และชาติอื่นๆ มีความพยายามจะกระจายการนำเข้าแรร์เอิร์ธจากประเทศอื่นๆ มากขึ้น โดยในปี 2024 สหภาพยุโรป (EU) ได้ออกกฎหมายวัตถุดิบที่มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ของสหภาพยุโรป (Critical Raw Materials Act) กำหนดเป้าหมายลดการพึ่งพาการนำเข้า สำหรับการสกัด, การแปรรูป และการรีไซเคิลแร่ธาตุภายในปี 2030 เน้นการรีไซเคิลแร่หายากที่มีอยู่แล้วในยุโรป และกระจายการนำเข้าไปยังประเทศอื่นๆ เช่น บราซิล ออสเตรเลีย

ก่อนหน้านี้เมื่อเดือน พ.ค. 2568 ประธานาธิบดี ทรัมป์ ได้ลงนามในข้อตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ (Economic Partnership Agreement) กับประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครน ซึ่งจะเปิดโอกาสให้สหรัฐฯ เข้าถึงแร่แรร์เอิร์ธของยูเครน แลกกับการที่สหรัฐฯ จะคุ้มครองความมั่นคงในสงคราม

ล่าสุดเมื่อ 20 ต.ค. 2568 ประธานาธิบดีทรัมป์ ยังได้ลงนามข้อตกลงเรื่องแร่แรร์เอิร์ธและแร่ธาตุสำคัญ กับนายแอนโทนี อัลบาเนซี นายกฯ ออสเตรเลีย หลังเมื่อช่วงต้นเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา ประเทศจีนเริ่มออกมาตรการจำกัดการส่งออกแรร์เอิร์ธ ก่อนมาถึงการลงนามระหว่างสหรัฐฯ และประเทศไทยในการประชุมอาเซียนครั้งนี้






อ้างอิง : usgs, bbc, investingnews, กรมทรัพยากรธรณี
บทความโดย ทีมข่าวเฉพาะกิจ | ไทยรัฐออนไลน์
Thank to : https://www.thairath.co.th/scoop/theissue/2891664
27 ต.ค. 2568 ,16:15 น. | สกู๊ปไทยรัฐ > THE ISSUE > ไทยรัฐออนไลน์

 4 
 เมื่อ: ตุลาคม 27, 2025, 09:35:30 pm 
เริ่มโดย todaytimepost11 - กระทู้ล่าสุด โดย todaytimepost11
ขออนุญาต อัพเดทกระทู้

 5 
 เมื่อ: ตุลาคม 27, 2025, 07:03:08 pm 
เริ่มโดย todaytimepost11 - กระทู้ล่าสุด โดย todaytimepost11
ขออนุญาต อัพเดทกระทู้

 6 
 เมื่อ: ตุลาคม 27, 2025, 01:18:24 pm 
เริ่มโดย raponsan - กระทู้ล่าสุด โดย nongyao
 thk56

 7 
 เมื่อ: ตุลาคม 27, 2025, 07:14:29 am 
เริ่มโดย raponsan - กระทู้ล่าสุด โดย raponsan
.



หายใจลึก ๆ แล้วปล่อยใจให้โล่ง : เทคนิคจัดการความเครียดด้วยการหายใจอย่างมีสติ

ในยุคที่ชีวิตเต็มไปด้วยความเร่งรีบและความกดดันจากทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นงานที่ล้นมือ เรื่องส่วนตัวที่ยังแก้ไม่ตก หรือแม้แต่ข่าวสารที่ถาโถมเข้ามาทุกวัน การรู้สึกเครียดและหนักอึ้งไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่สิ่งสำคัญคือเราจะจัดการกับความเครียดเหล่านั้นอย่างไรต่างหาก หนึ่งในวิธีที่ง่ายและทรงพลังที่สุดก็คือ “การหายใจลึก ๆ อย่างมีสติ”

ทำไมการหายใจลึก ๆ ถึงช่วยลดความเครียดได้.?

การหายใจลึก ๆ (Deep Breathing) เป็นการกระตุ้นระบบประสาทพาราซิมพาเทติก (Parasympathetic Nervous System) ซึ่งเป็นระบบที่ช่วยให้ร่างกายผ่อนคลายและฟื้นฟูตัวเอง เมื่อเราหายใจเข้าลึก ๆ และช้า ๆ ร่างกายจะได้รับออกซิเจนมากขึ้น ระดับคอร์ติซอล (ฮอร์โมนความเครียด) ก็จะลดลง ทำให้รู้สึกสงบและผ่อนคลายขึ้นในทันที

นอกจากนี้ การหายใจลึก ๆ ยังช่วยปรับอัตราการเต้นของหัวใจให้สม่ำเสมอ และทำให้สมองส่วนที่เกี่ยวกับอารมณ์และความเครียด เช่น อะมิกดาลา (Amygdala) สงบลงได้อีกด้วย

@@@@@@@

5 เทคนิคการหายใจลึก ๆ เพื่อลดความเครียด

1. เทคนิค 4-7-8 Breathing

วิธีทำ :-
      - หายใจเข้าทางจมูกช้า ๆ นับ 1-4
      - กลั้นหายใจไว้นับ 1-7
      - ค่อย ๆ ปล่อยลมหายใจทางปากช้า ๆ นับ 1-8
   
ทำไมถึงได้ผล : เทคนิคนี้ช่วยชะลออัตราการเต้นของหัวใจและส่งสัญญาณให้ร่างกายผ่อนคลาย เหมาะกับการทำก่อนนอนหรือเวลาที่รู้สึกเครียดจัด

2. Box Breathing (หายใจแบบกล่อง)

วิธีทำ :-
      - หายใจเข้าทางจมูก นับ 1-4
      - กลั้นหายใจ นับ 1-4
      - ปล่อยลมหายใจทางปาก นับ 1-4
      - พักก่อนจะเริ่มใหม่ นับ 1-4
   
ทำไมถึงได้ผล : เทคนิคนี้นิยมใช้ในกองทัพและวงการกีฬาช่วยเพิ่มสมาธิและลดความตื่นเต้น

3. Diaphragmatic Breathing (หายใจด้วยกะบังลม)

วิธีทำ :-
      - นอนราบ วางมือบนหน้าท้อง
      - หายใจเข้าลึก ๆ ให้ท้องพองขึ้น (ไม่ใช่หน้าอก)
      - ปล่อยลมหายใจออกให้ท้องยุบลง
   
ทำไมถึงได้ผล : การหายใจแบบนี้จะทำให้ปอดขยายตัวได้เต็มที่ ช่วยลดอาการวิตกกังวลได้ดี

4. Alternate Nostril Breathing (สลับรูจมูก)

วิธีทำ :
      - ใช้นิ้วโป้งปิดรูจมูกขวา หายใจเข้าทางซ้าย
      - ปิดรูจมูกซ้าย หายใจออกทางขวา
      - ทำสลับไปมา
   
ทำไมถึงได้ผล : ช่วยปรับสมดุลระหว่างสมองซีกซ้ายและขวา ทำให้รู้สึกสงบและมีสมาธิมากขึ้น

5. Breath Focus (โฟกัสที่ลมหายใจ)

วิธีทำ :-
      - นั่งในท่าสบาย หลับตา
      - หายใจเข้าช้า ๆ พร้อมนึกคำว่า “สงบ”
      - หายใจออกพร้อมนึกคำว่า “ปล่อย”
   
ทำไมถึงได้ผล : ช่วยให้จิตใจไม่ว้าวุ่นและไม่ฟุ้งซ่านไปกับความคิดลบ





เมื่อหายใจลึก ๆ เป็นนิสัย…

การฝึกหายใจลึก ๆ เป็นประจำไม่เพียงแต่ช่วยลดความเครียดในช่วงเวลานั้น ๆ แต่ยังช่วยให้ระบบประสาทและร่างกายตอบสนองต่อความเครียดได้ดีขึ้นในระยะยาว อีกทั้งยังส่งผลให้มีสมาธิมากขึ้น ช่วยให้จัดการปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพและสงบเยือกเย็น

ดังนั้น หากวันนี้รู้สึกเหนื่อยล้าหรือเครียดเกินไป อย่าลืมหยุดสักครู่ หายใจลึก ๆ แล้วปล่อยใจให้โล่งนะคะ

การฝึกหายใจเป็นหนึ่งในวิธีที่ช่วยให้เราคลายความเครียดและกลับมาอยู่กับปัจจุบัน แต่ถ้าบางครั้งรู้สึกว่าแค่ฝึกหายใจก็ยังไม่พอ.. ooca พร้อมเป็นพื้นที่ปลอดภัยให้คุณพูดคุยและดูแลใจตัวเอง

ใช้งาน ooca ได้แล้วบน Line Health เพียงแค่แอดไลน์ @LINEHEALTH ก็สามารถนัดหมายปรึกษานักจิตวิทยาและจิตแพทย์ได้ง่าย ๆ ทุกที่ ทุกเวลา

หายใจลึก ๆ แล้วให้ ooca ช่วยดูแลใจนะ





Thank to : https://ooca.co/blog/mindfulbreathing-techniques/
March 10, 2025   

 8 
 เมื่อ: ตุลาคม 27, 2025, 06:52:43 am 
เริ่มโดย raponsan - กระทู้ล่าสุด โดย raponsan
.



ประโยชน์การกินเจ ช่วยพักระบบย่อย ล้างพิษร่างกาย ลดเสี่ยงโรค

เทศกาลกินเจ นอกจากงดเนื้อสัตว์และอาหารกลิ่นฉุน ควรเลือกกินอาหารครบ 5 หมู่ เน้นผักผลไม้ หลีกเลี่ยงของทอด ดื่มน้ำมาก พักผ่อนพอ เพื่อสุขภาพดี

เทศกาลกินเจ ในปีนี้ ชาวไทยเชื้อสายจีนหลายคน ได้มีการเตรียมความพร้อมกันไว้บ้างเเล้ว ไม่ว่าจะเป็น การทำความสะอาดภายในบ้าน การเลือกซื้อสิ่งของที่จำเป็น เเละสิ่งสำคัญอีกอย่างในช่วงเทศกาลกินเจ คือ การเลือกกินอาหาร เพราะจะเป็นช่วงที่มีการงดกินเนื้อสัตว์ ไข่ หรืออาหารที่มีกลิ่น เช่น กระเทียม หัวหอม ผักชี เป็นต้น

โดยส่วนใหญ่อาหารเจ จะเป็นอาหารที่ทำมาจากเเป้ง เเละมีน้ำมันเป็นส่วนประกอบอยู่มาก เลยทำให้ต้องมีการคำนึงถึงปริมาณในการกินเเต่ละครั้งให้มีความเหมาะสม



Freepik/freepik | ประโยชน์การกินเจ


ประโยชน์ของการกินเจ

    1. ช่วยให้ระบบอาหารมีการพัก หลังจากการที่ทำงานหนักมาตลอด
    2. ผิวพรรณดูเปล่งปลั่ง เพราะได้รับสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามิน เเละเเร่ธาตุ
    3. ช่วยล้างสารพิษที่ตกค้างอยู่ในร่างกาย
    4. ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคต่างๆ

กินเจอย่างไร ให้มีสุขภาพดี

    1. กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ หรือโปรตีนที่สามารถทดแทนเนื้อสัตว์ได้ เช่น นมถั่วเหลือง น้ำเต้าหู้ พืชตระกูลถั่ว
    2. เน้นผักหรือผลไม้ ให้มีความหลากสี เเละไม่ผ่านการหมักดอง
    3. หลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสจัด เช่น หวานจัด เค็มจัด เเละเผ็ดจัด
    4. หลีกเลี่ยงอาหารประเภททอด เเต่เลือกเป็นการ ต้ม นึ่ง ตุ๋น ยำ เเทน
    5. หลีกเลี่ยงอาหารสำเร็จรูป เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป

การดูเเลสุขภาพช่วงกินเจ

    1. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
    2. จิตใจเเจ่มใส โล่งสบาย ไม่เครียด
    3. ดื่มน้ำให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 8 เเก้ว
    4. เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 5 ปี ไม่ควรกินเจ เพราะเป็นช่วงวัยที่มีการเจริญเติบโต เเละต้องได้รับสารอาหารที่เพียงพอ เพื่อให้มีสุขภาพที่ดี เเละเเข็งเเรง

@@@@@@@

ที่สำคัญ การดูเเลสุขภาพไม่จำเป็นต้องเป็นเเค่ช่วงเทศกาลกินเจ เราควรที่จะดูเเลสุขภาพเป็นประจำ หรือมอบสิ่งดีๆให้กับร่างกายอยู่เสมอ เพื่อให้มีสุขภาพที่ดี ห่างไกลจากโรคร้าย




ขอบคุณข้อมูลจาก : โรงพยาบาลเปาโล โชคชัย 4
ขอบคุณที่มา : https://www.pptvhd36.com/health/care/7541
โดย PPTV Online | เผยแพร่ : 21 ต.ค. 2568

 9 
 เมื่อ: ตุลาคม 26, 2025, 11:16:34 pm 
เริ่มโดย todaytimepost11 - กระทู้ล่าสุด โดย todaytimepost11
ขออนุญาต อัพเดทกระทู้

 10 
 เมื่อ: ตุลาคม 26, 2025, 09:50:37 am 
เริ่มโดย raponsan - กระทู้ล่าสุด โดย raponsan
.



"ธรรมะไร้กรอบศาสนา" สำรวจแนวคิดพุทธแบบใหม่ ใช้เทคโนโลยีของใจ



KEY POINTS

   • อะไรคือกระแส "พุทธแบบไม่มีศาสนา" ที่กำลังเกิดขึ้นในเวลานี้ทั้งในโลกตะวันตกและโลกตะวันออก
   • บางคนมองว่า “พุทธ” เป็นวิถีชีวิต ไม่ใช่ศาสนา และเป็นเครื่องมือสำหรับการเข้าใจความจริงของชีวิต ไม่ใช่เรื่องของการบูชา
   • Secular Buddhism เกิดขึ้นภายใต้ความพยายาม “ลอกเปลือกพิธีกรรม ความเชื่อในสิ่งเหนือธรรมชาติ และอำนาจของศาสนจักร” ออกไป เพื่อรักษา “แก่น” ที่ยังมีความหมายในยุคแห่งวิทยาศาสตร์และเหตุผล



 :25: :25: :25:

“ธรรมะไม่ใช่ศาสนา... แต่เป็นจริยธรรมเชิงปฏิบัติที่ตั้งอยู่บนความจริงของชีวิต”

บางคนมองว่า เวลานี้คือวิกฤตของศาสนาพุทธ แต่หัวขบวนทางปัญญา มองว่านี่คือโอกาสที่จะทำให้เรามองศาสนาในมุมใหม่ ไม่ใช่เพียงแค่การประกอบพิธีกรรมแต่คุณธรรมที่แท้กลับถูกละเลย เพราะตราบใดที่เราเป็นมนุษย์ไม่ว่าจะอยู่ในยูนิฟอร์มใด “บททดสอบความดี” มีอยู่ เกิดขึ้น ตั้งอยู่เสมอ ทุกวินาทีที่มีชีวิต และพร้อมจะดับมนุษย์ผู้นั้นได้ทุกเมื่อ เพราะยูนิฟอร์มหาใช่เกราะหรือโล่ห์กำบังกาย หากคือการบอกสถานะทางสังคม ไม่ต่างจากมนุษย์คนอื่น

เรามาดูกันว่า ในเมื่อศาสนาเจอการท้าทายอยู่ตลอดเวลา มนุษย์ที่ฉลาดขึ้นทุกวันกำลังแสวงหาอะไร ในเมื่อ "ความทุกข์" ก็ยังอยู่ที่เดิมในเรื่องเดิมๆ มาอย่างยาวนานตราบเท่าที่ยังมีเผ่าพันธุ์มนุษย์อยู่บนโลก

อะไรคือกระแส "พุทธแบบไม่มีศาสนา" ที่กำลังเกิดขึ้นในเวลานี้ทั้งในโลกตะวันตกและโลกตะวันออก โพสต์ทูเดย์ชวนมาหาคำตอบกัน

@@@@@@@

เพราะบางคนมองว่า “พุทธ” เป็นวิถีชีวิต ไม่ใช่ศาสนา และเป็นเครื่องมือสำหรับการเข้าใจความจริงของชีวิต ไม่ใช่เรื่องของการบูชา...

พวกเขาปฏิเสธความเชื่อทางไสยศาสตร์ เช่น การกราบไหว้เทพ เจ้าที่ การทำบุญสะเดาะเคราะห์ หรืออิทธิฤทธิ์ต่าง ๆ แต่กลับมุ่งเน้นไปที่การปฏิบัติแบบจับต้องได้ เช่น การฝึกสติ (Mindfulness) สมาธิ และการรู้จักตนเอง

ยิ่งกว่านั้นยังเปิดกว้างทั้งในทางวิทยาศาสตร์และจิตวิทยา เห็นว่าธรรมะสามารถกลมกลืนกับการค้นคว้าทางสมอง จิตใจ และพฤติกรรม สามารถนำมาปรับใช้ได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนศาสนา ผู้ไม่ได้นับถือพุทธก็สามารถฝึกและใช้หลักธรรมะในชีวิตได้

    "แท้แล้ว “พุทธแบบไม่มีศาสนา” หรือ Secular Buddhism คือการเคลื่อนไหวเพื่อรักษาแก่นพุทธ (สติ ปัญญา การดับทุกข์) โดยไม่จำเป็นต้องยึดติดกับรูปแบบศาสนา พิธีกรรม หรือความเชื่อเหนือธรรมชาติ"

แนวทางนี้อาจไม่เหมาะกับทุกคน แต่เป็น “สะพานเชื่อม” ที่ช่วยให้คนรุ่นใหม่ และคนในโลกตะวันตกสามารถเข้าถึงพุทธธรรมในแบบที่เรียบง่าย ลึกซึ้ง และไม่ขัดกับวิถีชีวิตสมัยใหม่

จุดเริ่มต้น

ในปี 1997 หนังสือเล่มหนึ่งได้เปลี่ยนวิธีที่ชาวตะวันตกมองพุทธศาสนาไปอย่างสิ้นเชิง นั่นคือ Buddhism Without Beliefs โดย Stephen Batchelor อดีตพระชาวอังกฤษผู้เคยศึกษาพุทธศาสนาในอินเดีย ทิเบต และศรีลังกา ก่อนจะถอดจีวรและเขียนบทวิเคราะห์ที่กล้าหาญที่สุดในรอบศตวรรษ

เขาเสนอว่า พระพุทธเจ้าไม่ได้เป็นศาสดาในความหมายแบบศาสนายุคหลัง แต่เป็นนักคิดและนักปฏิบัติที่ชี้ทางออกจาก “ความทุกข์” ผ่านการสังเกต การภาวนา และการเข้าใจความจริง

   “ธรรมะไม่ใช่ศาสนา... แต่เป็นจริยธรรมเชิงปฏิบัติที่ตั้งอยู่บนความจริงของชีวิต”
    Stephen Batchelor กล่าวไว้เช่นนั้น





การลอกเปลือกศาสนาออกจากพุทธ และ “การฝึกสติคือเทคโนโลยีของจิตใจ ไม่ใช่พิธีกรรมทางศาสนา”

Secular Buddhism จึงเกิดขึ้นภายใต้ความพยายาม “ลอกเปลือกพิธีกรรม ความเชื่อในสิ่งเหนือธรรมชาติ และอำนาจของศาสนจักร” ออกไป เพื่อรักษา “แก่น” ที่ยังมีความหมายในยุคแห่งวิทยาศาสตร์และเหตุผล

พุทธแบบนี้ ไม่พูดถึงสวรรค์-นรก ชาติหน้า พรหมลิขิต หรือเทพเทวดา แต่มุ่งไปที่คำสอนที่จับต้องได้ เช่น การเจริญสติ (Mindfulness) การเฝ้าสังเกตอารมณ์และความคิด ความเข้าใจ “ไตรลักษณ์” (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) และการใช้ปัญญาในการเผชิญความทุกข์ในชีวิตประจำวัน

@@@@@@@

จากห้องสมาธิ… สู่ห้องประชุม

หลังจากแนวคิดนี้เริ่มเติบโตในกลุ่มนักปรัชญาและนักปฏิบัติในยุโรปและอเมริกา Secular Buddhism ได้แทรกซึมเข้าสู่วงการจิตวิทยา การแพทย์ และแม้กระทั่งธุรกิจระดับโลก

Jon Kabat-Zinn ศาสตราจารย์ด้านการแพทย์จาก MIT พัฒนาโปรแกรม MBSR (Mindfulness-Based Stress Reduction) โดยดัดแปลงการเจริญสติแบบพุทธให้เหมาะกับผู้ป่วยโรคเครียดเรื้อรังและโรคซึมเศร้า ผลลัพธ์คือโรงพยาบาลในอเมริกานำไปใช้จริงอย่างแพร่หลาย

Sam Harris นักประสาทวิทยาและนักคิดอิสระ เปิดตัวแอป “Waking Up” ให้คนทั่วโลกฝึกสมาธิโดยไม่ต้องเชื่อเรื่อง “ศาสนา” เขากล่าวว่า “การฝึกสติคือเทคโนโลยีของจิตใจ ไม่ใช่พิธีกรรมทางศาสนา”

องค์กรระดับโลกอย่าง Google, Apple, Nike, Intel นำการฝึกสติแบบ “Secular” เข้าสู่การพัฒนาภาวะผู้นำ ลดความเครียดในองค์กร และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน

เหตุการณ์สำคัญที่สะท้อนกระแสนี้ตัวอย่างชัดๆ คือโรงเรียนในอังกฤษ-อเมริกา บรรจุการฝึกสติลงในหลักสูตร นักเรียนฝึกสติแทนการลงโทษพฤติกรรม

แอปฝึกสมาธิอย่าง Calm, Headspace ติดอันดับยอดดาวน์โหลดทั่วโลก โดยใช้วิธีพูดถึง “การหายใจ” “ความรู้สึก” และ “การอยู่กับปัจจุบัน” โดยไม่ใช้คำศัพท์พุทธใด ๆ ที่เข้าใจยาก

พระอาจารย์ในไทย เช่น พระไพศาล วิสาโล, พระชยสาโร ได้รับความนิยมจากคนรุ่นใหม่เพราะสอน “ธรรมะ” โดยไม่เน้นพิธีกรรม

@@@@@@@

ความเปลี่ยนแปลงในโลกพุทธทั่วโลก

พุทธกำลังเปลี่ยนจาก “ศาสนา” เป็น “วิถีชีวิต” มนุษย์เริ่มศึกษาโลกตามความเป็นจริง โดยใช้ปัญญามากกว่าการท่องจำตามๆ กันมา ในขณะที่วัดและสถาบันศาสนาหลายแห่งสูญเสียศรัทธาจากพฤติกรรมสงฆ์ ที่ผู้คนทั่วไปมองว่าทำให้ศาสนาแปดเปื้อน

    "ความจริงคือ ศาสนาหรือพุทธ ยังอยู่ที่เดิม และบริสุทธิ์ดุจเดิม แต่มนุษย์ที่พ่ายแพ้ต่อกิเลสตัณหาในขณะที่กำลังเดินทางอยู่บนเส้นทางสู่ธรรมสูงสุดต่างหากที่แปดเปื้อนจนต้องอัปเปหิตัวเองออกมาจากโลกแห่งกฎระเบียบอันเคร่างครัด"

เขาเหล่านั้นกลับทำให้คนรุ่นใหม่ มี “สติ” ในเรื่องของศาสนามากขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ในขณะที่คนรุ่นใหม่จำนวนมากเริ่มไม่เข้าวัด ไม่สนพิธีกรรม ก็ยิ่งทำให้ คนในวัดเองก็ไม่สนในเรื่องของคุณธรรมเช่นกัน หากวัดกลายเป็น ธุรกิจในเรื่องของพุทธพาณิชย์เป็นที่ตั้ง ไม่ใช่ทุกวัดแต่หลายวัด แสวงหาโอกาส ในกลุ่มคนบางกลุ่มที่ยังศรัทธาในทาง โชคลาภ ทรัพย์สิน มากกว่ามุ่งแสวงหาธรรมะที่แท้

การตีความใหม่ของ “ศรัทธา”

Secular Buddhism ไม่ได้ปฏิเสธ “ศรัทธา” แต่แปรความหมายศรัทธาใหม่เป็นการเปิดใจทดลองปฏิบัติ
    “ฉันยังไม่รู้ว่าจริงไหม แต่ฉันจะลองทำดู”

ต่างจากศรัทธาแบบเก่าที่ว่า
    “ฉันเชื่อ เพราะพระบอกมา หรือเพราะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์”





ทำไม “พุทธแบบไม่มีศาสนา” ถึงเติบโต?

เพราะสังคมสมัยใหม่ต้องการทางออกทางใจ แต่ไม่ต้องการศาสนา ผู้คนเหนื่อยล้า เบื่อหน่ายจากพิธีกรรมที่ไร้ความหมาย โลกเชื่อในวิทยาศาสตร์มากขึ้น แต่ยังโหยหาความสงบ พุทธมีจุดแข็งตรง “การปฏิบัติ” ที่ไม่ต้องมีศรัทธาล่วงหน้า

“การถอดเปลือกศาสนาออกจากพุทธศาสนา อาจไม่ใช่การทำลาย แต่คือการคืนพุทธธรรมให้คนธรรมดา”

Secular Buddhism ไม่ใช่การปฏิเสธพุทธศาสนา แต่คือความพยายามแยก “สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน” ออกจาก “สิ่งที่สังคมเติมแต่งขึ้น” สำหรับคนรุ่นใหม่ที่เติบโตมากับเทคโนโลยีและเหตุผล แต่ยังต้องเผชิญความทุกข์ ความกลัว และความไม่แน่นอน นี่อาจเป็นพุทธที่เขาเข้าถึงได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนศาสนา

“ธรรมะจะไร้ค่า ถ้ามันอยู่แต่ในวัด และอยู่ไกลจากชีวิตจริง” นักศึกษานิรนามคนหนึ่งกล่าวหลังฝึก MBSR

สรุป คือ “พุทธแบบไม่มีศาสนา” เป็นการคืนแก่นพุทธสู่ชีวิต โดยไม่ต้องแบกเปลือกศาสนาเหมาะสำหรับคนที่ต้องการ ทางออกทางจิตใจ โดยไม่ต้องยึดติดพิธีกรรม เป็นประตูเปิดให้คนรุ่นใหม่เข้าถึงธรรมะอย่างง่าย ไม่รู้สึกถูกบังคับ

และอาจไม่ใช่คำตอบสุดท้ายสำหรับทุกคน หากแต่ช่วย “ต่อชีวิตให้พุทธธรรม” ในโลกที่ศรัทธาแบบเดิมกำลังเสื่อมลง...

@@@@@@@

แล้วเหตุการณ์ของพระสงฆ์ไทยในปัจจุบันทำให้ศาสนาเสื่อมหรือไม่?

หากมองว่า “ศาสนา = คำสอนของพระพุทธเจ้า”
คำตอบ คือ ศาสนาไม่เสื่อม คำสอน เช่น อริยสัจ 4 ไตรลักษณ์ มรรคมีองค์ 8 ฯลฯ ยังคงเป็นสัจธรรมที่ใช้ได้ในทุกยุค

แต่ปัญหา คือ คำสอนเหล่านี้ “ไม่ถูกปฏิบัติ” หรือ “ถูกบิดเบือน” โดยบางส่วนของสถาบันสงฆ์ในปัจจุบัน

และหากมองว่า “ศาสนา = ระบบองค์กรสงฆ์”
คำตอบ คือ ความเสื่อมปรากฏชัดเจน และกระทบศรัทธาในวงกว้าง

ตัวอย่างเหตุการณ์ในประเทศไทยที่สะท้อน “วิกฤตศรัทธา”

คดีเงินทอนวัด -ข้าราชการร่วมกับพระชั้นผู้ใหญ่ยักยอกงบประมาณพัฒนาวัด

พระใช้ชีวิตหรูหรา เช่น พระครอบครองรถหรู, ของแบรนด์เนม, พักโรงแรมห้าดาว

พุทธพาณิชย์ การปลุกเสกวัตถุมงคลเชิงพาณิชย์ ทำให้บางวัดกลายเป็นธุรกิจ

กรณีล่วงละเมิดทางเพศ พระสงฆ์บางรูปถูกจับในคดีล่วงละเมิดสตรีหรือเด็ก

การเมืองภายในสงฆ์ เช่น ความขัดแย้งเรื่องตำแหน่งเจ้าคณะ การจัดสรรตำแหน่ง

@@@@@@@

ผลกระทบที่เกิดขึ้น

คนรุ่นใหม่ห่างวัด ไม่เชื่อคำเทศน์ที่ไม่เชื่อมโยงชีวิตจริง บางคนเลือกเลิกนับถือศาสนาหรือหันไป “ทางเลือกใหม่” เช่น พุทธโลกวิสัย (Secular Buddhism), สมาธิแบบไม่อิงศาสนา และเกิดวาทกรรม “พุทธเสื่อม” ในสื่อสังคมออนไลน์มากขึ้น

แต่เราควรมาทำความเข้าใจใหม่ว่า

“พระบางรูป” ไม่เท่ากับ “พระพุทธศาสนา” และ

“ความเสื่อมของพระสงฆ์บางรูป ไม่เท่ากับการเสื่อมของพระธรรม”

ผู้รู้ ผู้ทรงปัญญาที่แท้หลายท่าน เช่น พระไพศาล วิสาโล หรือพระชยสาโร ย้ำว่า
 
“ศาสนาเสื่อมเพราะคนไม่ปฏิบัติตาม ไม่ใช่เพราะคำสอนไม่ดี”





Thank to :  https://www.posttoday.com/smart-life/727427
19 กรกฎาคม 2568 | ศิวดี อักษรนำ

หน้า: [1] 2 3 ... 10