ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
หน้า: 1 [2] 3 4 ... 10
 11 
 เมื่อ: ธันวาคม 20, 2025, 07:54:28 am 
เริ่มโดย raponsan - กระทู้ล่าสุด โดย raponsan
.



"จักรแก้ว" ของพระมหาจักรพรรดิ คือ 'ยานอวกาศ' แบบวาร์ปไดรฟ์

ดร.สรกานต์ ศรีตองอ่อนเสนอความเห็นว่า จักรแก้วของพระมหาจักรพรรดิ อาจเป็นยานอวกาศแบบวาร์ปไดร์ฟ ไว้ในงานเขียนที่มีชื่อว่า “พุทธจักรวาล”

พุทธจักรวาล เป็นหนังสือธรรมะที่อธิบายเรื่องจักรวาลวิทยาผ่านมุมมองของฟิสิกส์และดาราศาสตร์ ซึ่งผู้เขียนได้ตั้งข้อสมมติฐานได้ออกมาน่าสนใจในหลาย ๆ ประเด็น เช่น การอธิบายว่าโลกธาตุที่พระพุทธเจ้าตรัสน่าจะเป็นเอกภพ หรือตำแหน่งที่ตั้งของทวีปทั้ง 4 ในคติไตรภูมิ น่าจะเป็นดาวที่อยู่ในกาแล็กซี แม้กระทั่งอิทธิฤทธิ์ของพระเถระที่เหาะไปยังที่ต่าง ๆ เพียงช่วงแวบเดียวแล้วมาถึงที่หมายทันที เรื่องนี้ก็สามารถอธิบายได้ด้วยทฤษฎีทางฟิสิกส์

หลายท่านอาจคุ้นว่า พระมหาจักรพรรดิจะครอบครองรัตนะ 7 ประการ** จักรแก้วก็เป็น 1 ใน 7 รัตนะเช่นกัน ทำไมดร.สรกานต์จึงตั้งข้อสังเกตว่า จักรแก้ว อาจเป็นยานอวกาศแบบวาร์ปไดร์ฟ ในอรรถกถามหานิทานสูตรระบุว่า พระมหาจักรพรรดิราชทรงใช้จักรแก้วเป็นพาหนะไปในทวีปทั้ง 3 ซึ่งได้มีมนุษย์ในดินแดนนั้นเดินทางมายังชมพูทวีปด้วย

__________________
**รัตนะ 7 ประการ ได้แก่
   ๑. กงจักรแก้ว (จักรรัตนะ)
   ๒. ช้างแก้ว (หัตถีรัตนะ)
   ๓. ม้าแก้ว (อัศวรัตนะ)
   ๔. มณีแก้ว (มณีรัตนะ)
   ๕. นางแก้ว (อิตถีรัตนะ)
   ๖. ขุนคลังแก้ว (คหปติรัตนะ) และ
   ๗. โอรสแก้ว (ปริณายกรัตนะ)

จากนั้นพระองค์ทรงท่องเที่ยวไปในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาและดาวดึงส์ ท้าวสักกเทวราชยอมแพ้พระบารมีมอบราชสมบัติอันเป็นทิพย์ให้ครอบครอง เมื่อพำนักเสวยกามทิพย์อยู่นานจนกระทั่งร่างกายของมนุษย์กลายเป็นทิพย์แบบเทวดา พอเสด็จกลับไปโลกมนุษย์ เมื่อความเป็นมนุษย์กลับมา ก็ทรงไม่สามารถปรับสภาพได้จึงทำให้พระองค์สวรรคตทันที เมื่อพระมหาจักรพรรดิสวรรคต จักรแก้วก็หายไปด้วย ทำให้มนุษย์ในทวีปทั้ง 3 ที่ติดตามมาไม่สามารถกลับบ้านเกิดของตนได้ ต้องอาศัยอยู่ในชมพูทวีปต่อไป




ดร.สรกานต์ เสนอเรื่องที่น่าสนใจ ถึง 6 เรื่องด้วยกัน

1. หากตั้งสมมติฐานว่าจักรวาลในพุทธศาสนาหมายถึงกาแล็กซี ชมพูทวีปคือระบบสุริยจักรวาล ดังนั้น 3 ทวีปก็อาจเป็นดาวเคราะห์ที่มีมนุษย์อาศัยอยู่ ซึ่งอาจห่างเป็นหลายหมื่นปีแสง แต่จักรแก้วเป็นพาหนะที่ลำเลียงผู้คนจากต่างดาวมายังโลก แสดงให้เห็นว่าจักรแก้วเป็นพาหนะที่เร็วกว่าแสงอย่างมาก สามารถเทียบเท่ายานอวกาศแบบวาร์ปไดร์ฟที่เดินทางผ่านรูหนอน

2. จักรแก้วสามารถเดินทางไประหว่างภพ เข้าไปในภพที่เร้นลับ เช่น สวรรค์ได้ มีข้อสังเกตว่าเป็นการเดินทางที่ยังอยู่ในภพที่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าส่องถึง

3. จักรแก้วมีขนาดใหญ่สามารถบรรจุคนจาก 3 ทวีปได้ หรืออาจจะเป็นเพราะจักรแก้วสามารถปรับขยายได้

4. ตีความว่า จักรแก้ว อาจเป็นคำเรียกพาหนะที่มีลักษณะทรงกลมคล้ายจักร ซึ่งสอดคล้องกับจานบิน UFO

5. หากเรื่องจักรแก้วเป็นเรื่องที่แต่งขึ้น ก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลพอสมควร เพราะกล่าวถึงเรื่องพระมหาจักรพรรดิขึ้นไปประทับบนสวรรค์ ครั้งเสด็จกลับก็สิ้นพระชนม์เนื่องจากพระวรกายปรับตามสภาพไม่ได้ ซึ่งเป็นเรื่องของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าส่องถึง

6. หากเป็นจริงตามอรรถกถา แสดงว่าโลกมนุษย์มีมนุษย์จากต่างดาวเข้ามาอยู่บนโลก แล้วกลับบ้านไม่ได้ เช่น ชาวอุตรกุรุทวีป ชาวอมรโคยาน และชาวปุพพวิเทหะ


@@@@@@@

ดร.สรกานต์ให้ข้อสังเกตอีกอย่างคือ ชาวอุตรกุรุทวีปน่าจะตั้งรกรากถิ่นฐานที่ กุรุรัฐ ในอินเดีย หรือบริเวณทุ่งกุรุเกษตร ที่เป็นสถานที่ทำสงครามระหว่างกลุ่มพี่น้องเการพและปาณฑพในมหาภารตะ เพราะมีการค้นพบว่าในบริเวณนั้นมีอาวุธสงครามที่มีความล้ำยุคมาก เมื่อเทียบกับอาวุธสงครามอื่นที่ร่วมสมัยเดียวกัน

บทความน่าสนใจ :-

- ถอดรหัสจักรวาล พระปรางค์วัดอรุณ ราชวราราม
- วิ่งไล่ตามก้อนเมฆ นิทานของผู้ใหญ่ แต่งโดยหลวงปู่ ติชนัทฮันห์
- ทำไมต้องสวด ชุมนุมเทวดา ก่อนสวดมนต์บทอื่น ๆ
- พระเนมิราช พระราชาผู้ท่องนรก-สวรรค์
- สัมผัส สวรรค์ ทั้งที่ยังมีลมหายใจ ได้จริงไหม ?



ขอขอบคุณ :-
ที่มา : พุทธจักรวาล โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. สรกานต์ ศรีตองอ่อน
ภาพ : https://pixabay.com
https://cheewajit.com/healthy-mind/158137.html
https://cheewajit.com/healthy-mind/158137.html/2
June 06, 2019 | A Cuisine

 12 
 เมื่อ: ธันวาคม 19, 2025, 12:34:26 pm 
เริ่มโดย todaytimepost11 - กระทู้ล่าสุด โดย todaytimepost11
ขออนุญาต อัพเดทกระทู้

 13 
 เมื่อ: ธันวาคม 19, 2025, 08:46:03 am 
เริ่มโดย raponsan - กระทู้ล่าสุด โดย raponsan
.

พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ทรงฉายใน พ.ศ. 2450


ค้นต้นแบบพระประวัติกรมหลวงชุมพรฯ ฉบับอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ เมื่อพบหลวงปู่ศุขครั้งแรก




 :96: :96: :96:

พระประวัติกรมหลวงชุมพรฯ มีหลากหลายแง่มุมทั้งในเชิงพระกรณียกิจ และพระประวัติในเชิงเกร็ดตำนาน ซึ่งต้องยอมรับว่า ประชาชนทั่วไปสนใจทั้งสองแง่มุม แต่จากมุมมองของบางท่านอาจเห็นว่า คนสนใจท่านในฐานะสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นพิเศษ

พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ เป็นทั้งทหารเรือและเจ้านายผู้ใหญ่ที่มีพระกรณียกิจหลากหลายด้านทั้งในกองทัพ และในแง่การแพทย์ในช่วงที่ทรงเป็น “หมอพร” นอกจากพระปรีชาสามารถแล้ว พระประวัติความเป็นมายังมีมิติอื่นร่วมอยู่ด้วย โดยเฉพาะแง่ตำนานอภินิหาร ดังที่ม.ร.ว. อภิเดช อาภากร “หลานปู่” ของ พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ เคยเอ่ยถึงเสด็จปู่ เมื่อครั้งรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับกรมหลวงชุมพรฯ เพื่อเขียนหนังสือเรื่อง “หลวงปู่ศุขกับกรมหลวงชุมพรฯ”

เมื่อพิจารณาจากชื่อหนังสือแล้ว อาจพอจินตนาการได้ว่า คำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่มักจะเล่าถึงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ของพระองค์ไม่แพ้เรื่องราวแง่มุมพระปรีชาสามารถ และพระกรณียกิจ

ประเด็นนี้เคยมีผู้ศึกษาพระประวัติตั้งเป็นโจทย์ในการค้นหาที่มาความเป็นไปอันนำมาสู่พระประวัติและคำบอกเล่าในส่วนที่เชื่อมโยงกับอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ของพระองค์ ผู้ที่ศึกษาแง่มุมนี้ยังมีศรัณย์ ทองปาน นักเขียนและผู้เขียนหนังสือ “เสด็จเตี่ย พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์” หนังสือพระประวัติอีกเล่มที่รวบรวมแง่มุมมต่างๆ และมีเนื้อหาส่วนหนึ่งพูดถึงข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับความเป็นมาของพระประวัติในแง่มุมเกี่ยวกับปาฏิหาริย์ในเวลาต่อมา

@@@@@@@

ศรัณย์ ทองปาน สืบค้นความได้ว่า เมื่อ พ.ศ. 2496 นาวาตรีหลวงรักษาราชทรัพย์ (รักษ์ เอกะวิภาต) อดีตนายทหารในวัยเกือบ 70 ปี ผู้ใกล้ชิดกรมหลวงชุมพรฯ เขียนจดหมายมาถึงกองบรรณาธิการของ “นาวิกศาสตร์” นิตยสารภายในของกองทัพเรือ บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับกรมหลวงชุมพรฯ

ศรัณย์ ทองปาน บรรยายว่า เนื้อหาในเรื่องเล่าผ่านจดหมายเหล่านี้มีสัดส่วนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์อยู่ด้วย โดยใช้คำเรียกพระองค์ว่า “เจ้าพ่อ” เรื่องหนึ่งที่มักถูกอ้างอิงกันคือการพบกันกับหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า จังหวัดชัยนาทเป็นครั้งแรก เนื้อหาระบุแค่เดือน ไม่บอกปีที่แน่ชัด แต่สันนิษฐานว่าเกิดขึ้นใน พ.ศ. 2447 มีใจความว่า

“เดือน 5 หน้าร้อน เจ้าพ่อเสด็จประพาสตากอากาศไปทางเหนือ มีเรือกลไฟ 1 ลํา จูงเรือพระประเทียบที่ประทับ ได้ไปจอดหุงข้าวต้มแกงที่ศาลาวัดมะขามเฒ่า ในวันนั้นบังเอิญท่านอาจารย์วัดมะขามเฒ่าใช้เด็กวัดไปตัดหญ้าที่ดงต้นกล้วยๆ ที่ออกปลีที่แก่แล้วมี 7-8 ต้น เด็กวัดก็ตัดหัวปลีกล้วยมากองไว้ พอตกเวลาบ่ายท่านอาจารย์ก็ลงมาจากกุฏิดูเด็กที่ตัดกล้วยแล้วไปนั่งอยู่ที่กองหัวปลีกล้วย ท่านเอาหัวปลีที่กองอยู่นั้นมาลูบๆ คลําๆ สักครู่หนึ่งก็วางหัวปลีลงที่ดิน หัวปลีนั้นก็กลายเป็นกระต่ายวิ่งเพ่นพ่านไปหมด

เจ้าพ่อเห็นเข้าก็เรียกคนในเรือให้มองดู อีกสักครู่หนึ่ง ท่านก็เรียกกระต่ายที่วิ่งอยู่นั้นมาที่ท่านๆ ก็จับ กระต่ายๆ ก็กลับกลายเป็นหัวปลีไปอย่างเดิม เมื่อเจ้าพ่อเห็นดังนั้นก็เลื่อมใสนับถือท่านอาจารย์วัดมะขามเฒ่าทันที แล้วเจ้าพ่อก็เสด็จขึ้นไปหาอาจารย์ที่ดงต้นกล้วย พร้อมด้วยบริวาร 3 คน คุยกันอยู่สักครู่ใหญ่ ท่านอาจารย์ก็เชิญขึ้นไปคุยกันที่กุฏิ คุยกันไปคุยกันมา เจ้าพ่อก็พอพระทัย ประมาณ 4-5 ทุ่มจึงได้เสด็จกลับลงมาประทับเรือ ทางฝ่ายท่านอาจารย์ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นใคร รุ่งขึ้นจึงให้คนไปสืบถามพวกที่มากับเจ้าพ่อ จึงได้รู้ความว่านี่แหละ พระองค์เจ้าอาภากรฯ ลูกในหลวงรัชกาลที่ 5 เมื่อท่านอาจารย์ทราบดังนั้นก็พอใจมาก”



พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ทรงฉายใน พ.ศ. 2450


อย่างไรก็ตาม เมื่อศรัณย์ สืบค้นการบอกเล่าจากอีกแหล่งคือเรื่องเล่าโดยหม่อมเจ้าหญิงจิตรแจรง อาภากร พระธิดา ซึ่งศรัณย์ แสดงความคิดเห็นว่า มีแนวโน้มจะอยู่ในเหตุการณ์ด้วย รายละเอียดกลับแตกต่างกันพอสมควร ข้อความส่วนหนึ่งจากเรื่องเล่าของท่านหญิงมีว่า

“เสด็จพ่อทรงโปรดเสด็จประพาสทางแม่น้ำ มีเรือไปสองลํา หน้าร้อนเดือน 5 ทรงมีเรือยนต์ลากจูงเรือเครื่องแวะไปเรื่อยๆ ทางเหนือ จนถึงวัดหนึ่ง ชื่อวัดมะขามเฒ่า จังหวัดชัยนาท มีแพที่หน้าวัดจอดใต้ต้นไม้ใหญ่ร่มดี มีเด็กลูกวัด พระเณรออกมาดูเมื่อเรือเข้าไปจอด แพก็น่านั่งเล่น เอาไม้ไผ่ผูกเป็นแพ มีหลังคากันฝนกันแดดด้วย เราก็ลงอาบน้ำอาบท่ากันสบาย ขออนุญาตพระเอาเรือเข้าไปจอด รับประทานอาหารกลางวัน ลูกศิษย์ลงมาถางหญ้าตัดกล้วย ตัดหัวปลีกองไว้

หม่อมๆ ถามว่าตัดไปทําอะไร เด็กก็บอกเอาไปกินบ้างก็ได้ เราหยิบมา 2 หัวมาต้มแกง และจิ้มน้ำพริก เด็กก็เล่าให้ฟัง ท่านอาจารย์ที่วัดชื่อ “ศุข” เป็น “พระครูวิมลคุณากร” หลวงพ่อใจดีและมีวิชาอาคมขลัง พอดีท่านอาจารย์เดินลงมา เสด็จพ่อก็ขึ้นไปนมัสการ ท่านก็เลยเชิญให้ประทับคุยกันที่แพ รู้สึกโปรดอัธยาสัย คุยกันจนเย็น ท่านเชิญให้เสด็จไปที่กุฏิ เสด็จพ่อขอผลัดเป็นวันรุ่งเกรงใจท่านเพราะเย็นมากแล้ว

พอท่านอาจารย์ขึ้นไปแล้ว เด็กๆ ลงมาเล่าว่าหลวงพ่อเก่งต่างๆ มีวิชาอาคมขลัง มีอภินิหารอยู่ยงคงกระพันชาตรี ฯลฯ เสด็จพ่อสนพระทัย พอเช้ารุ่งขึ้นท่านลงมาเชิญเสด็จเอง เสด็จไปคุยกับหลวงพ่อจนบ่าย ลูกๆ จึงขึ้นไปเชิญเสด็จเสวยกลางวัน หลวงพ่อก็ลืมฉันเพล ตั้งแต่วันนั้นมา เสด็จพ่อไปคุยและขอเป็นลูกศิษย์เรียนวิชาอาคมเกือบทุกวัน…”


@@@@@@@

ศรัณย์ ตั้งสมมติฐานว่า เกร็ดพระประวัติฉบับของคุณหลวงรักษาราชทรัพย์น่าจะตีพิมพ์รวมเล่มครั้งแรกในหนังสืออนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพของท่านเอง เมื่อ พ.ศ. 2499 หน้าปกเขียนชื่อว่า “เกียรติประวัติ กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ เวทย์มนตร์ ตำรายาจากคัมภีร์ของ (เจ้าพ่อ)” และตั้งข้อสังเกตว่า น่าจะแพร่หลายมากยิ่งขึ้นเมื่อกองประวัติศาสตร์กรมยุทธการทหารเรือ คัดมารวมพิมพ์ในหนังสือ “อนุสรณ์เปิดกระโจมไฟชุมพรเขตรอุดมศักดิ์” ที่ชลบุรี เมื่อพ.ศ. 2503 ซึ่งเชื่อว่า ได้กลายเป็นต้นแบบของพระประวัติกรมหลวงชุมพรฯ กลุ่มปาฏิหาริย์ในภายหลัง

ในเกร็ดพระประวัติของกรมหลวงชุมพรฯ ไม่เพียงมีนามพระภิกษุแค่หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า แต่ยังมีพระภิกษุที่กรมหลวงชุมพรฯ ทรงนับถืออีกจำนวนหนึ่ง อาทิ หลวงพ่อพริ้ง วัดบางประกอก และยังมีพระเกจิที่มีนามเกี่ยวข้องกับกรมหลวงชุมพรฯ อีกจำนวนมาก เรื่องราวของกรมหลวงชุมพรฯ ที่เกี่ยวกับพระเกจิ มักดำเนินไปในลักษณะคล้ายกัน คือ เสด็จเตี่ย สนใจในวิชา และทรงยอมรับนับถือในวิชาของพระภิกษุ

ความเกี่ยวข้องระหว่างกรมหลวงชุมพรฯ กับพระเกจิ (ที่มีชื่อเรื่องวิชาอาคม) ส่วนหนึ่งอาจเป็นเรื่องที่ส่งเสริมกิตติศัพท์คำเล่าลือเรื่องความขลังและความศักดิ์สิทธิ์ แต่ท่ามกลางเรื่องเล่า ย่อมมีที่มาที่ไปบางส่วนมาจากพระจริยวัตรส่วนพระองค์ที่ทรงมีพระเมตตาต่อบุคคลทุกหมู่ ซึ่งเป็นที่ประจักษ์แล้วว่า พระองค์ไม่เพียงชนะใจนักเรียนที่เป็นกลุ่มนักเลงในยุคต้นของกองทัพเรือได้ พระองค์ยังมีพระเมตตาต่อคนทั่วไป ดังที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงนิพนธ์ในพระประวัติกรมหลวงชุมพรฯ ว่า

“ไม่ว่าใครที่บรรดากรมหลวงชุมพรฯ ได้คบหาสมาคม จะเป็นพระก็ตาม คฤหัสถ์ก็ตาม เจ้าก็ตาม ไพร่ก็ตาม คงมีใจรักใคร่ไม่เลือกหน้า…”

คลิกอ่านเพิ่มเติม : สาเหตุการสิ้นพระชนม์ของกรมหลวงชุมพรฯ วิเคราะห์ผ่านการแพทย์สมัยใหม่
คลิกอ่านเพิ่มเติม : ทำไมทหารเรือรักกรมหลวงชุมพรฯ เผยพระจริยวัตร-สยบ “นักเลง” สมานรอยร้าวระหว่างรุ่น
คลิกอ่านเพิ่มเติม : ห้วงสุดท้ายก่อนกรมหลวงชุมพรฯ สิ้นพระชนม์ ทรงประชวรแต่ยังต้องรักษาน้ำใจชาวบ้าน




ขอขอบคุณ :-
website : https://www.silpa-mag.com/history/article_35092
เผยแพร่ : วันจันทร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2565
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรก : เมื่อ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

อ้างอิง :-
- กองประวัติศาตร์ กรมยุทธการทหารเรือ. พระประวัติ นายพลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์. หนังสือที่ระลึกในพิธีเปิดอนุสาวรีย์ พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์, 2542
- ศรัณย์ ทองปาน. เสด็จเตี่ย พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์. กรุงเทพฯ : สารคดี, 2549

 14 
 เมื่อ: ธันวาคม 19, 2025, 08:10:54 am 
เริ่มโดย raponsan - กระทู้ล่าสุด โดย raponsan
.

พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์


19 ธันวาคม 2423 วันประสูติ “เสด็จเตี่ย-กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์”

พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ทรงเป็นพระเจ้าลูกยาเธอลำดับที่ 28 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมารดาคือ เจ้าจอมมารดาโหมด ธิดาของเจ้าพระยาสุรวงศ์ไวยวัฒน์ ประสูติเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2423

พระองค์ทรงได้รับถวายพระสมัญญาจากกองทัพเรือว่าเป็น “พระบิดาของกองทัพเรือไทย” และต่อมาได้แก้ไขเป็น “องค์บิดาของทหารเรือไทย” เมื่อวันที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2544 จากพระกรณียกิจของพระองค์ที่ทรงวางรากฐานและพัฒนาปรับปรุงทหารเรือสยามให้เจริญก้าวหน้าตามแบบประเทศตะวันตก



พระองค์เจ้าอาภากรฯ (ประทับพื้น) กับพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และนายทหารเรืออังกฤษ


ส่วนกรณีที่นักเรียนนายเรือพากันเรียกพระองค์ว่า “เสด็จเตี่ย” นั้น พลเรือโท ศรี ดาวราย สันนิษฐานว่า มาจากการที่พระองค์ทรงขัดดาดฟ้าให้นักเรียนนายเรือใหม่ๆ ที่ฝึกภาคทางทะเลบนเรือหลวงพาลีรั้งทวีปดูเป็นแบบอย่าง ในปี พ.ศ. 2462 หลังจากที่ทอดพระเนตรเห็นนักเรียนเหล่านั้นทำงานนี้ด้วยท่าทางเงอะงะเก้งก้าง โดยตรัสกับพวกนักเรียนเหล่านั้นว่า “อ้ายลูกชาย มานี่เตี่ยจะสอนให้”

เมื่อช่วงต้นรัชกาลที่ 6 กรมหลวงชุมพรฯ ทรงออกจากราชการซึ่ง สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงพระนิพนธ์ถึงเหตุการณ์ดังกล่าวว่า “…กรมหลวงชุมพรฯ ไม่ทรงสบาย ได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตออกเป็นนายทหารกองหนุนอยู่ชั่วคราว ๑ จนถึงปีมะเส็ง พ.ศ. ๒๔๖๐ จึงเสด็จกลับเข้ามารับราชการเป็นตำแหน่งจเรทหารเรือ…”

แต่กรณีนี้ ศรัณย์ ทองปาน มีความเห็นต่างออกไปโดยเห็นว่า “…ในช่วงต้นรัชกาลที่ ๖ เกิดเหตุนายทหารเรือผู้หนึ่งเมาสุราในร้านอาหารสันธาโภชน์ ที่ตำบลบ้านหม้อ แล้วเกิดวิวาทกับมหาดเล็กหลวง ทำให้รัชกาลที่ ๖ ทรงพิโรธ ดังความในพระราชหัตถเลขาตอนหนึ่งว่า ‘…ปรากฎชัดว่าได้ฝึกสอนนักเรียนนายเรือในหนทางไม่ดี ทำให้มีจิตร์ฟุ้งสร้านจนนับว่าเสื่อมเสียวินัยและนายของทหาร…สมควรลงโทษเป็นตัวอย่าง’



พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ทรงฉายในปี พ.ศ. 2450


ประกอบกับมีข่าวลือว่า กรมหมื่นชุมพรเขตรอุดมศักดิ์กับกรมขุนนครสวรรค์วรพินิต กำลังวางแผนก่อกบฏ ชิงราชสมบัติ โดยแม้ว่าพระองค์ทรงออกจากราชการแล้วทางการก็ยังให้ตำรวจท้องที่คอยติดตามการเคลื่อนไหวของพระองค์…”

ระหว่างที่ทรงอยู่นอกราชการ กรมหลวงชุมพรฯ ทรงหาเลี้ยงชีพด้วยการเป็นหมอยา ใช้พระนามว่า “หมอพร” ในช่วงนี้เองที่กล่าวกันว่า ทรงปราบนักเลงนางเลิ้งได้อยู่หมัด ได้นักเลงมาเป็นลูกน้องด้วย ช่วงเวลานี้กินเวลาราว 6 ปี พระองค์จึงได้กลับเข้ารับราชการกองทัพเรืออีกครั้ง หลังสยามประกาศสงครามกับเยอรมนี

เมื่อได้เสด็จกลับเข้ารับราชการทหารเรือและทรงอุทิศพระองค์ปฏิบัติราชการทหารเรือด้วยพระอุตสาหะวิริยะแล้วก็ได้รับพระมหากรุณาธิคุณเลื่อนพระยศเป็นนายพลเรือโท และนายพลเรือเอก ทั้งยังได้โปรดเกล้าฯ เฉลิมพระอิสริยยศเป็น กรมขุนและกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ตามลำดับ กับได้โปรดเกล้าฯให้ทรงดำรงตำแหน่งเสนาธิการทหารเรือ ซึ่งเป็นตำแหน่งบังคับบัญชากำลังพลเทียบเท่าตำแหน่งผู้บัญชาการทหารเรือในปัจจุบัน ก่อนที่จะโปรดเกล้าฯให้ทรงดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงทหารเรืออันเป็นตำแหน่งสูงสุดในราชการทหารเรือ

ในบั้นปลายพระชนมชีพ กรมหลวงชุมพรฯ ได้กราบถวายบังคมลาออกไปรักษาพระองค์ที่มณฑลสุราษฎร์ซึ่งเดิมมีชื่อว่า “มณฑลชุมพร” อันพ้องกับพระนามกรม และได้ประชวรสิ้นพระชนม์เสียที่นั้น เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2466

อ่านเพิ่มเติม :-

    • ทำไมทหารเรือรักกรมหลวงชุมพรฯ เผยพระจริยวัตร-สยบ “นักเลง” สมานรอยร้าวระหว่างรุ่น
    • ห้วงสุดท้ายก่อนกรมหลวงชุมพรฯ สิ้นพระชนม์ ประชวรแต่ยังต้องรักษาน้ำใจชาวบ้าน
    • ค้นต้นแบบพระประวัติกรมหลวงชุมพรฯ ฉบับอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ เมื่อพบหลวงปู่ศุขครั้งแรก
    • กรมหลวงชุมพรฯ กับการเลี้ยงนักมวยในวัง สู่การปั้นชกไฟต์แห่งยุค กำปั้นไทยดวล “มวยจีน





ขอขอบคุณ :-
ผู้เขียน : กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม
เผยแพร่ : วันศุกร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ.2568
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรก : เมื่อ 18 ธันวาคม 2559
website : https://www.silpa-mag.com/this-day-in-history/article_4922

อ้างอิง :-
- บทความ “เหตุที่กรมหลวงชุมพรฯ ทรงถูกปลดจากทหารเรือ” โดย วรชาติ มีชูบท ใน ศิลปวัฒนธรรม ฉบับกรกฎาคม 2558
- บทความ “ประวัติศาสตร์วิเคราะห์: กรณีสิ้น
พระชนม์ของพลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์” โดย รศ.นพ. เอกชัย โควาวิสารัช ใน ศิลปวัฒนธรรม ฉบับกรกฎาคม 2558

 15 
 เมื่อ: ธันวาคม 19, 2025, 07:59:33 am 
เริ่มโดย raponsan - กระทู้ล่าสุด โดย raponsan
.

พระมหากษัตริย์เสด็จเลียบพระนคร (ภาพจาก หนังสือ จิตรกรรมฝีพระหัตถ์และจิตรกรรมตามแนวพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี วัดอัมพวันเจติยาราม)


7 สิ่งมงคล คู่บารมีพระมหากษัตริย์ ตามคติไตรภูมิกถา มีอะไรบ้าง ให้คุณด้านใด.?

“แก้ว 7 ประการ” สิ่งมงคลคู่บารมีพระมหากษัตริย์ตามคัมภีร์ไตรภูมิกถา หรือ “ไตรภูมิพระร่วง” มีอะไรบ้าง แต่ละอย่างส่งเสริมหรือให้คุณด้านใด.?

ไตรภูมิกถา พระราชนิพนธ์ใน พระมหาธรรมราชาที่ 1 (ลิไทย) คือวรรณกรรมพุทธศาสนาที่มีอิทธิพลต่อสังคมและวัฒนธรรมไทยมาอย่างยาวนาน จนเป็นรากฐานทางความเชื่อ ตลอดจนศิลปกรรมเนื่องในศาสนาทั้งหลาย

นอกจากคัมภีร์จะอธิบายถึงนรก สวรรค์ ความดี ความชั่ว และการเผยแผ่พระธรรมคำสอนแล้ว ยังมีส่วนที่อธิบายถึงการกำเนิดสรรพสิ่ง ระบบสังคม รูปแบบการปกครอง รวมถึงสภาวะความเป็น “กษัตริย์” ภายใต้แนวคิดพุทธศาสนาด้วย

ในประเด็นข้างต้น ไตรภูมิกถาได้เล่าถึงคติ พระญาจักรวรรดิราช หรือพระมหากษัตริย์ที่เป็นใหญ่กว่ากษัตริย์อื่น ๆ ว่าเป็นผู้หมั่นทำบุญ รักษาศีล และปฏิบัติบูชาพระรัตนตรัยอยู่เป็นนิจ เมื่อตายจึงได้เกิดเป็นท้าวพระญา มีอำนาจบารมีและมีสิทธิ์ในการปกครองจากอานิสงส์ผลบุญที่สั่งสมไว้แต่อดีตชาติ

ทั้งนี้ก็ใช่ว่าใคร ๆ ทำบุญรักษาศีลแล้วจะเป็นพระมหากษัตริย์ได้ เพราะยังต้องเป็น “พุทธวงศ์” หรือพระโพธิสัตว์ด้วย พระมหากษัตริย์ในจารีตไทยจึงเป็น “พุทธราชา” มีทั้งบุญญาธิการและทรงธรรม นอกจากนั้นยังมีของคู่บารมีเป็นแก้ว 7 ประการ เป็นสิ่งมงคลจากอำนาจบุญขององค์พระมหากษัตริย์ ซึ่งมีส่วนช่วยให้พระองค์ปกครองบ้านเมืองอย่างราบรื่น

7 สิ่งมงคล ได้แก่
   ๑. กงจักรแก้ว (จักรรัตนะ)
   ๒. ช้างแก้ว (หัตถีรัตนะ)
   ๓. ม้าแก้ว (อัศวรัตนะ)
   ๔. มณีแก้ว (มณีรัตนะ)
   ๕. นางแก้ว (อิตถีรัตนะ)
   ๖. ขุนคลังแก้ว (คหปติรัตนะ) และ
   ๗. โอรสแก้ว (ปริณายกรัตนะ)



(ซ้ายไปขวา) โคอุสุภราช ช้างฉัททันต์ และม้าสินธพ ในภาพเขียนเรื่อง จันทคาธชาดก จิตรกรรมฝาผนังวัดหนองบัว ต. ป่าคา อ. ท่าวังผา จ. น่าน (ภาพจาก เฟซบุ๊ก กลุ่มอนุรักษ์จิตรกรรมและประติมากรรม กองโบราณคดี กรมศิลปากร)


สำหรับคติความเชื่อเกี่ยวกับแก้วทั้ง 7 ประการ มีดังนี้

• กงจักรแก้ว เป็นกงจักรวิเศษที่จมอยู่ในมหาสมุทร เมื่อพระญาจักรวรรดิราชเกิดขึ้น จักรนี้จะลอยขึ้นมาสู่ราชมณเฑียร พาพระญาจักรวรรดิราชและประชาชนเหาะไปเลียบกำแพงจักรวาล แล้วปราบทวีปทั้ง 4 ได้แก่ อุตรกุรุทวีป บูรพวิเทหทวีป อมรโคยานทวีป และชมพูทวีป เมืองทั้งหลายอ่อนน้อมโดยปราศจากสงคราม

กงจักรแก้วยังมีอำนาจแหวกมหาสมุทรให้เห็น “แก้วสัตตพิธรัตนะ” ที่จมอยู่เบื้องล่าง อันจะกลายเป็นสมบัติของพระญาจักรวรรดิราชด้วย

• ช้างแก้ว หรือ ช้างเผือกในตระกูลฉัททันต์และตระกูลอุโปสถ และม้าแก้ว ม้าในตระกูลสินธพ เป็นสัตว์คู่บุญที่เหาะมาสู่พระญาจักรวรรดิราชแล้วพาพระองค์ไปเวียนเขาพระสุเมรุราช เลียบกำแพงจักรวาล จากนั้นกลับมาให้ทันเวลาอาหารเช้า

• มณีแก้ว คือ แก้ววิเศษบนยอดเขาวิบุลบรรพต มีแก้วบริวาร 84,000 ดวง เมื่อเหาะมาสู่พระญาจักรวรรดิราชพร้อมรัศมีเรืองรองจะสามารถบันดาลกลางคืนให้สว่างไสวดุจกลางวัน ช่วยให้ผู้คนทำงานยามค่ำคืนได้อย่างสะดวกสบาย

• นางแก้ว เป็นสตรีสาวผู้เกิดในอุตรกุรุทวีป มีคุณสมบัติเป็นอุดมคติ เช่น รูปโฉมงดงามหมดจด ร่างกายมีรัศมีเปล่งปลั่งไกล 10 ศอก ผิวกายเย็นและหอมดั่งแก่นจันทน์ กลิ่นกฤษณา กลิ่นปากหอมดั่งดอกบัว นางแก้วจะคอยปรนนิบัติพระญาจักรวรรดิราชและเชื่อฟังคำสั่งของพระองค์ทุกประการ

• ขุนคลังแก้ว คือ มหาเศรษฐีผู้มีตาทิพย์ หูทิพย์ ล่วงรู้ได้ว่ามีทรัพย์สมบัติอยู่ที่ใดในแผ่นดิน สามารถอธิษฐานให้แก้วแหวนเงินทองต่าง ๆ มาสู่พระญาจักรวรรดิราชตามพระราชประสงค์

• สุดท้าย โอรสแก้ว คือ พระโอรสองค์โตสุดของพระญาจักรวรรดิราช มีอำนาจอ่านใจคนซึ่งอยู่ห่างออกไปถึง 12 โยชน์ (192 กิโลเมตร) จึงสามารถคอยกราบทูลพระราชบิดาให้ระแวดระวังภัยจากผู้คิดร้ายได้ทันเวลา และมีบทบาทช่วยแบ่งเบาราชกิจทั้งหลายของพระญาจักรวรรดิราช



ภาพเขียนพระราชโอรส หรือ “โอรสแก้ว” (กลาง) กับพระมเหสีเทวี หรือ “นางแก้ว” (ขวา) สตรีชั้นสูงในราชสำนัก จิตรกรรมทศชาติชาดก เรื่อง เตมิยชาดก (ภาพจาก สมุดภาพไตรภูมิ ฉบับกรุงศรีอยุธยา เลขที่ 6 กรมศิลปากรจัดพิมพ์เผยแพร่ พ.ศ. 2542)


อย่างไรก็ตาม แม้ไตรภูมิกถาจะเผยว่าพระญาจักรวรรดิราชมีพระราชอำนาจล้นพ้นจากบุญญาบารมีของพระองค์ และ 7 สิ่งมงคลที่คอยเกื้อหนุน แต่ยังพ่วงด้วยคำอธิบายว่าอำนาจทั้งหลายดำรงอยู่บน “ธรรม” เป็นสำคัญ และอาจเสื่อมสลายได้หากพระองค์ไม่ตั้งอยู่ในคุณธรรม

ธรรมของกษัตริย์จึงเป็นปัจจัยสำคัญในการปกครองบ้านเมือง และไตรภูมิกถาก็วางต้นแบบกษัตริย์ผู้ทรงธรรม โดยใช้แนวคิดพุทธศาสนาเชื่อมโยงศาสนจักรและอาณาจักรเข้าด้วยกัน เพื่อสร้างดุลยภาพทางสังคมและการเมืองนั่นเอง

อ่านเพิ่มเติม :-

    • ช้างเผือก สัตว์คู่พระบารมี ตลอด 200 กว่าปีมานี้ รัชกาลใดที่ไม่มีช้างเผือก
    • พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ กษัตริย์ผู้ปราศจาก “ช้างเผือก” ไร้ช้างแก้วประจำรัชกาล
    • “ไตรภูมิพระร่วง” วรรณกรรมของพระยาลิไท กษัตริย์องค์ที่ 5 แห่งสุโขทัย





ขอขอบคุณ :-
ผู้เขียน : กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม
เผยแพร่ : วันอังคารที่ 16 ธันวาคม พ.ศ.2568
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรก : เมื่อ 16 ธันวาคม 2568
website : https://www.silpa-mag.com/culture/article_160407

อ้างอิง :-
- วกุล มิตรพระพันธ์, สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร. คติความเชื่อและที่มาของ “กษัตริย์” ในไตรภูมิกถา. วารสารศิลปากร ฉบับพฤษภาคม-มิถุนายน พ.ศ. 2564.
- ราชบัณฑิตยสถาน. (2544). พจนานุกรมศัพท์วรรณคดีไทย สมัยสุโขทัย ไตรภูมิกถา. กรุงเทพฯ : ราชบัณฑิตยสถาน.

 16 
 เมื่อ: ธันวาคม 19, 2025, 07:40:39 am 
เริ่มโดย raponsan - กระทู้ล่าสุด โดย raponsan
.



ยิ่งพูดยิ่งพัง! จิตวิทยาเผย 3 เรื่องส่วนตัว ที่คน EQ สูง "กลัวดอกพิกุลร่วง" ไม่ชอบโพทะนา

ฉลาดพูด! 3 ความลับที่คน EQ สูง "กลัวดอกพิกุลร่วง" ห้ามเล่าให้คนอื่นฟัง ถ้าอยากชีวิตดี แต่คน EQ ต่ำกลับชอบโพทะนา

ความฉลาดทางอารมณ์ หรือ EQ ของแต่ละคน ไม่ได้วัดกันที่แบบทดสอบเพียงอย่างเดียว แต่มันแสดงออกมาอย่างชัดเจนผ่าน "คำพูด" ในชีวิตประจำวัน

3 เรื่องส่วนตัวที่คนฉลาด (EQ สูง) จะรูดซิปปากเงียบกริบ แต่คน EQ ต่ำกลับชอบโพทะนาจนภัยเข้าตัว! . โบราณว่า "ปลาหมอตายเพราะปาก" ในออฟฟิศก็เช่นกัน...

ในโลกแห่งการสื่อสาร คำพูดไม่ได้เป็นแค่เครื่องมือแลกเปลี่ยนข้อมูล แต่ยังสะท้อนถึงสติปัญญาและมารยาท คนโบราณกล่าวไว้ว่า "โรคภัยเข้าทางปาก ภัยพิบัติออกจากปาก" (ปลาหมอตายเพราะปาก) คนที่มี EQ สูงจะเข้าใจเรื่องนี้ดีที่สุด พวกเขารู้ว่าอะไรควรพูด อะไรควรเงียบ โดยเฉพาะ "เรื่องส่วนตัว" ที่พวกเขาจะระมัดระวังเป็นพิเศษ ตรงกันข้ามกับคนที่ไม่ทันระวัง ที่มักจะ "ชักศึกเข้าบ้าน" ด้วยการเล่าทุกเรื่องให้คนอื่นฟัง


@@@@@@@

และนี่คือ 3 เรื่องส่วนตัว ที่คนฉลาดและ EQ สูง มักจะหลีกเลี่ยงไม่พูดถึง :-

1. ไม่เอา "เรื่องในบ้าน" ไปบ่นในที่ทำงาน

ลิ้นกับฟันย่อมกระทบกัน ความขัดแย้งในครอบครัวเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้ทุกบ้าน แต่ถ้าคุณหอบเอาความหงุดหงิดจากที่บ้านไปบ่นให้เพื่อนร่วมงานฟัง นอกจากจะดูไม่เป็นมืออาชีพแล้ว ยังอาจสร้างผลเสียให้กับตัวเองในระยะยาว

หากคุณบ่นเรื่องสามี ภรรยา หรือลูกให้หัวหน้าหรือเพื่อนร่วมงานฟังบ่อยๆ พวกเขาอาจมองว่าคุณ "จัดการอารมณ์ไม่ได้" และอาจส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือในการทำงาน ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือตัวละคร ซูหมิงเจ๋อ จากซีรีส์จีนเรื่อง All is Well แม้เขาจะการศึกษาสูงและเก่งแค่ไหน แต่การเอาเรื่องดราม่าในครอบครัวไปเล่าในที่ทำงาน ทำให้ภาพลักษณ์เขาดูแย่และกระทบต่อความก้าวหน้า

คน EQ สูง : จะแยกแยะเรื่องงานและเรื่องส่วนตัวออกจากกันอย่างเด็ดขาด และไม่ทำให้ "เรื่องในมุ้ง" กลายเป็นหัวข้อสนทนาในออฟฟิศ

2. ไม่เปิดเผย "รายได้" ให้ใครรู้

เรื่องเงินเป็นเรื่องละเอียดอ่อน มันสะท้อนถึงความสามารถ คุณค่า และศักดิ์ศรี การบอกตัวเลขเงินเดือนที่ชัดเจนอาจกระตุ้นให้เกิด "การเปรียบเทียบ" และ "ความอิจฉาริษยา" หรือร้ายแรงกว่านั้นคือนำภัยมาสู่ตัว

มีกรณีศึกษาในโซเชียลมีเดียจีน (Weibo) ของหญิงสาววัย 32 ปี ที่นัดทานข้าวกับเพื่อนสนิทสมัยเด็ก 2 คน ในขณะที่คนหนึ่งกำลังตกงานและเครียดเรื่องเงิน อีกคนกลับคุยโวเรื่องโบนัสก้อนโตอย่างสนุกปาก ผลสุดท้ายคือความสัมพันธ์ที่ร้าวฉานและความอึดอัดใจที่เกิดขึ้นในกลุ่มเพื่อน

คน EQ สูง : ยึดคติ "รวยไม่โอ้อวด จนไม่พร่ำบ่น" หากถูกถามเรื่องเงินเดือน พวกเขาจะตอบเลี่ยงๆ หรือตอบแบบกว้างๆ เพื่อรักษาน้ำใจและบรรยากาศที่ดีในการสนทนา

3. ไม่เล่ารายละเอียด "ความรัก" แม้แต่กับเพื่อนสนิท

หลายคนติดนิสัยเล่าทุกอย่างให้เพื่อนสนิทฟัง โดยเฉพาะเรื่องแฟน แต่ความสัมพันธ์เป็นเรื่องของคนสองคน การเล่ารายละเอียดที่ลึกซึ้งหรือปัญหาที่ซับซ้อนเกินไป อาจทำให้เพื่อนเกิดอคติและให้คำแนะนำที่อาจทำลายความสัมพันธ์ของคุณได้

เหมือนในภาพยนตร์เรื่อง Soul Mate (เธอกับฉัน เพื่อนกันโลกไม่ลืม) ที่เพื่อนรักสองคนต้องมาแตกหักเพราะเรื่องความรักและความรู้สึกที่ซับซ้อนเกินกว่าคนนอกจะเข้าใจ จำไว้ว่าเพื่อนมีหน้าที่แค่ "รับฟังและแนะนำ" ไม่ใช่ "ตัดสินใจแทน" การพึ่งพาความเห็นเพื่อนมากไปอาจทำให้คุณขาดความเป็นตัวของตัวเอง

คน EQ สูง : จะเว้นระยะห่างที่เหมาะสม เก็บพื้นที่ส่วนตัวไว้ไตร่ตรองและเยียวยาตัวเอง โดยไม่ดึงคนนอกเข้ามาพัวพันในความสัมพันธ์มากเกินไป





ศิลปะขั้นสูงของการสื่อสารคือการรู้ว่า "เมื่อไหร่ควรพูด และเมื่อไหร่ควรเงียบ" การรักษาความลับใน 3 เรื่องนี้ (ครอบครัว, รายได้, ความรัก) ไม่ใช่การปิดบัง แต่เป็นการให้เกียรติตัวเองและรักษาความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง

เมื่อเราเลิกเรียกร้องความเห็นใจด้วยการ "แฉตัวเอง" หรือเลิกสอดรู้เรื่องคนอื่นเพื่อ "ตีสนิท" เมื่อนั้นเราถึงจะก้าวสู่การเป็นผู้ใหญ่ที่มีวุฒิภาวะและมี EQ สูงอย่างแท้จริง




ขอขอบคุณ
ข้อมูล : soha | S! News : สนับสนุนเนื้อหา | 15 ธ.ค. 68 (13:03 น.)
website : https://www.sanook.com/news/9862490/

 17 
 เมื่อ: ธันวาคม 18, 2025, 11:19:38 am 
เริ่มโดย todaytimepost11 - กระทู้ล่าสุด โดย todaytimepost11
ขออนุญาต อัพเดทกระทู้

 18 
 เมื่อ: ธันวาคม 17, 2025, 11:45:06 am 
เริ่มโดย raponsan - กระทู้ล่าสุด โดย raponsan
.



๑ วันมี ๒๔ ชั่วโมง ตื่นบำเพ็ญกัมมัฏฐาน ๕ ส่วน (๒๐ ชั่วโมง) นอน ๑ ส่วน (๔ ชั่วโมง)

ภิกษุชื่อว่า ประกอบความเพียรเครื่องตื่นอยู่เนืองๆ เป็นอย่างไร.?

คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ชำระจิตให้บริสุทธิ์จากธรรมที่เป็นตัวขัดขวางด้วยการจงกรม ด้วยการนั่งตลอดวัน

    • ชำระจิตให้บริสุทธิ์จากธรรมที่เป็นตัวขัดขวางด้วยการจงกรม ด้วยการนั่งตลอดปฐมยามแห่งราตรี
    • นอนดุจราชสีห์โดยข้างเบื้องขวาซ้อนเท้าเหลื่อมเท้า มีสติสัมปชัญญะ หมายใจว่า จะลุกขึ้นในมัชฌิมยามแห่งราตรี
    • ลุกขึ้นชำระจิตให้บริสุทธิ์จากธรรมที่เป็นตัวขัดขวางด้วยการจงกรม ด้วยการนั่งตลอดปัจฉิมยามแห่งราตรี

ภิกษุชื่อว่า ประกอบความเพียรเครื่องตื่นอยู่เนืองๆ เป็นอย่างนี้แล

ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยธรรม ๓ ประการนี้แล ชื่อว่าปฏิบัติไม่ผิด และเธอชื่อว่าปรารภเหตุเพื่อความสิ้นอาสวะ

________________________________
ข้อความบางตอนใน อปัณณกสูตร อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๐
http://www.84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=20&siri=60

@@@@@@@

ทว่า ชาคริยํ อนุยุตฺโต ความว่า เป็นผู้แบ่งกลางคืนกลางวันออกเป็น ๖ ส่วน แล้วประกอบเนืองๆ ซึ่งความเป็นผู้ตื่นใน ๕ ส่วน. อธิบายว่า ขะมักเขม้นในการตื่นอยู่นั่นเอง.

___________________________
ข้อความบางตอนใน อรรถกถาอปัณณกสูตร
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=20&i=455

@@@@@@@

หมายเหตุ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ให้ความหมายของเวลาไว้ ดังนี้

ปฐมยาม [ปะถมมะ-] น. ยามต้น, ในบาลีแบ่งคืนออกเป็น ๓ ยาม กำหนดยามละ ๔ ชั่วโมง เรียกว่า ปฐมยาม มัชฌิมยาม และปัจฉิมยาม ปฐมยามกำหนดเวลาตั้งแต่ย่ำค่ำ หรือ ๑๘ นาฬิกา ถึง ๔ ทุ่ม หรือ ๒๒ นาฬิกา. (ป.).

มัชฌิมยาม น. ยามกลาง, ในบาลีแบ่งคืนเป็น ๓ ยาม กำหนดยามละ ๔ ชั่วโมง เรียกว่า ปฐมยาม มัชฌิมยาม ปัจฉิมยาม มัชฌิมยาม กำหนดเวลาตั้งแต่ ๔ ทุ่ม หรือ ๒๒ นาฬิกา ถึงตี ๒ หรือ ๒ นาฬิกา. (ป.).

ปัจฉิมยาม [ปัดฉิมมะ-] น. ยามหลัง, ยามสุดท้าย, ในบาลีแบ่งคืนออกเป็น ๓ ยาม กำหนดยามละ ๔ ชั่วโมง เรียกว่า ปฐมยาม มัชฌิมยาม และปัจฉิมยาม ปัจฉิมยามกำหนดเวลาตั้งแต่ตี ๒ หรือ ๒ นาฬิกา ถึงย่ำรุ่ง หรือ ๖ นาฬิกา. (ป.).




ขอบคุณที่มา : เฟซบุ้ค พระไตรปิฎกศึกษา | 8 มกราคม 2024 
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=697853395802540&id=100067336562453&set=a.417219013865981

 19 
 เมื่อ: ธันวาคม 17, 2025, 10:02:57 am 
เริ่มโดย todaytimepost11 - กระทู้ล่าสุด โดย todaytimepost11
ขออนุญาต อัพเดทกระทู้

 20 
 เมื่อ: ธันวาคม 16, 2025, 08:02:20 pm 
เริ่มโดย todaytimepost11 - กระทู้ล่าสุด โดย todaytimepost11
ขออนุญาต อัพเดทกระทู้

หน้า: 1 [2] 3 4 ... 10