ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
หน้า: 1 [2] 3 4 ... 10
 11 
 เมื่อ: ธันวาคม 27, 2025, 10:27:12 am 
เริ่มโดย todaytimepost11 - กระทู้ล่าสุด โดย todaytimepost11
ขออนุญาต อัพเดทกระทู้

 12 
 เมื่อ: ธันวาคม 26, 2025, 10:25:41 am 
เริ่มโดย todaytimepost11 - กระทู้ล่าสุด โดย todaytimepost11
ขออนุญาต อัพเดทกระทู้

 13 
 เมื่อ: ธันวาคม 26, 2025, 08:38:19 am 
เริ่มโดย raponsan - กระทู้ล่าสุด โดย raponsan
.



ยาสูบ สรรพคุณและประโยชน์ของใบยาสูบ 27 ข้อ.!
โดย เมดไทย , เมื่อ 23 พฤษภาคม 2020 (เวลา 19:05 น.)



 :96:

ยาสูบ

ยาสูบ ชื่อสามัญ Tobacco[1] ยาสูบ ชื่อวิทยาศาสตร์ Nicotiana tabacum L. จัดอยู่ในวงศ์มะเขือ (SOLANACEAE)[1] สมุนไพรยาสูบ มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า ยาซูล่ะ (กะเหรี่ยงเชียงใหม่), ยาซุ (กะเหรี่ยงแม่ฮ่องสอน), เกร๊อะหร่าเหมาะ (กะเหรี่ยงแดง), ยาออก (ลั้วะ), สะตู้ (ปะหล่อง), จะวั้ว (เขมร-สุรินทร์) เป็นต้น

ชนิดของยาสูบ

ยาสูบที่สำคัญแบ่งออกเป็น 2 ชนิด (species) ได้แก่ ชนิด Nicotiana tabacum (ที่กล่าวถึงในบทความนี้)
   - ชนิดนี้มีพื้นที่ปลูกถึงร้อยละ 90 ของพื้นที่ปลูกยาสูบทั่วโลก นิยมนำไปใช้ทำผลิตภัณฑ์ยาสูบทั้งหลาย
   - ชนิด Nicotiana rustica ชนิดนี้จะมีปริมาณของสารนิโคตินค่อนข้างสูง นำไปใช้ในการทำสารฆ่าแมลง ทำยาเคี้ยว และยาฉุน


@@@@@@@

ลักษณะของต้นยาสูบ

ต้นยาสูบ มีถิ่นกำเนิดในเขตร้อนของทวีปอเมริกา จัดเป็นไม้ล้มลุกที่มีอายุเพียงปีเดียว ลำต้น ไม่แตกกิ่งก้านสาขา มีความสูงประมาณ 0.6-2 เมตร ตามลำต้นและยอดมีขนที่อ่อนนิ่มปกคลุม อยู่ และทุกส่วนของต้นมีต่อมน้ำยางเหนียว ต้นยาสูบเป็นพรรณไม้กลางแจ้งที่ขยายพันธุ์โดยใช้เมล็ด เจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนซุยที่ต้องการความชื้นปานกลาง





ใบยาสูบ ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงตรงข้ามกันเป็นคู่ ๆ ไปตามข้อต้น ลักษณะของใบเป็นรูปไข่กลับหรือรูปไข่แกมขอบขนาน ปลายใบมน โคนใบแคบหรือสิบเรียวและแทบจะไม่มีก้านใบ ส่วนขอบใบเรียบและเป็นคลื่นเล็กน้อย ใบมีขนาดกว้างประมาณ 10-20 เซนติเมตรและยาวประมาณ 30-60 เซนติเมตร แผ่นใบเป็นสีเขียวมีขนาดใหญ่และหนา ท้องใบและหลังใบมีขนอ่อน ๆ ปกคลุมอยู่




ดอกยาสูบ ออกดอกเป็นช่อยาวขึ้นไป โดยจะออกตรงส่วนของปลายยอด โดยดอกจะบานจากส่วนล่างไปหาส่วนบนตามลำดับ ดอกย่อยเป็นสีชมพูอ่อนเกือบขาวหรือเป็นสีแดงเรื่อ ๆ มีกลีบดอก 5 กลีบ โคนกลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นรูประฆัง ปลายกลีบแหลม มีขนสีขาวปกคลุม ส่วนกลีบเลี้ยงดอกเป็นสีเขียว โคนเชื่อมติดกัน ปลายแยกเป็นแฉกแหลมและมีขน ดอกมีความสวยงามน่าชมมาก







ผลยาสูบ ผลเป็นผลแห้งแบบแคปซูล ลักษณะของผลเป็นรูปขอบขนาน ผลอ่อนเป็นสีเขียว เมื่อแก่จะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลและแตกออกได้ ภายในผลมีเมล็ดสีน้ำตาลขนาดเล็กอยู่เป็นจำนวนมาก




ประเภทของยาสูบ

แบ่งตามกรรมวิธีการบ่มยาได้เป็น 3 ประเภท ได้แก่ ใบยาบ่มไอร้อน (ได้แก่ ใบยาเวอร์จิเนีย), ใบยาบ่มแดด (ได้แก่ ใบยาเตอร์กิช), และใบยาบ่มอากาศ (ได้แก่ ใบยาเบอร์เลย์, ใบยาแมรี่แลนด์) โดยพันธุ์ยาสูบที่นิยมปลูกในประเทศไทยคือสายพันธุ์เวอร์จิเนียร์ (ชนิดบ่มไอร้อน) และสายพันธุ์เตอกิช (ชนิดบ่มแดด) และการนำมาผลิตจะใช้ใบยาเวอร์จิเนียมากที่สุดคือร้อยละ 68 ส่วนใบยาเบอร์เลย์และเตอร์กิชจะใช้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ใบยาเวอร์จิเนีย (Virginia) – ลักษณะของใบยาจะแห้งเป็นสีเหลืองหรือส้ม มีปริมาณนิโคตินต่ำถึงปานกลาง มีน้ำตาลในใบยาแห้งสูง เป็นใบยาที่มีคุณภาพดีและมีกลิ่นหอมคล้ายน้ำผึ้ง แหล่งเพาะปลูก ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย แพร่ น่าน หนองคาย และนครพนม

ใบยาเตอร์กิช (Turkish or Oriental) – ลักษณะของใบยาจะแห้งเป็นสีเหลืองหรือสีส้มอมน้ำตาล ใบมีขนาดเล็ก มีปริมาณนิโคตินน้อย มีน้ำตาลปานกลาง มีกลิ่นหอมเพราะมีน้ำมันหอมระเหยสูง แหล่งเพาะปลูก ได้แก่ จังหวัดขอนแก่น มหาสารคาม ร้อยเอ็ด และนครพนม

ใบยาเบอร์เลย์ (Burley) – ลักษณะของใบยาจะเป็นสีน้ำตาลอ่อนถึงสีน้ำตาลแก่ มีปริมาณนิโคตินสูง มีน้ำตาลน้อยมาก เป็นใบยาที่มีคุณภาพดีมีกลิ่นหอมคล้ายโกโก้ มีน้ำหนักเบา คุณภาพในการบรรจุมวนดี โครงสร้างโปร่งดูดซึมน้ำหอมน้ำปรุงได้ดี แหล่งเพาะปลูก ได้แก่ จังหวัดเพชรบูรณ์ สุโขทัย หนองคาย และนครพนม


@@@@@@@

สรรพคุณของยาสูบ

  1. ใบยาสูบมีรสเผ็ดร้อนเมาเบื่อฉุน เป็นยาระงับประสาท ทำให้นอนหลับ ทำให้ผอม เพราะมีสารสงบประสาทที่ไประงับความอยากอาหาร
  2. ใบยาสูบใช้ทำเป็นยาเส้นผสมกับปูนแดงและใบเนียม ใช้ปรุงยานัตถุ์แก้หวัดคัดจมูก
  3. ช่วยแก้หอบหืด
  4. ช่วยขับเสมหะ
  5. ทำให้อาเจียน
  6. ช่วยขับพยาธิในลำไส้
  7. ช่วยขับปัสสาวะ แก้นิ่ว
  8. ในการใช้ภายนอกจะใช้ใบยาสูบเป็นยาสมานบาดแผล
  9. ชาวกะเหรี่ยงแดงจะใช้เป็นยาประคบเพื่อช่วยห้ามเลือด
10. ช่วยแก้พิษงู
11. ใช้เป็นยาถอนพิษ รักษาแผลน้ำร้อนลวก ด้วยการใช้ยาเส้นหรือยาตั้ง 1 หยิบมือ นำมาคลุกกับน้ำมันมะพร้าวปิดบริเวณที่ถูกน้ำร้อนลวก จะช่วยถอนพิษได้
12. รากและใบใช้เป็นยารักษาโรคผิวหนัง กลากเกลื้อน เรื้อนกวาง ผื่นคัน หิด (รากและใบ) ส่วนอีกวิธีใช้ใช้ยางสีดำๆ ในกล้องสูบยาของจีน ใช้ใส่แต้มแผล แก้หิดได้ดีมาก หรือนำมาใช้เคี่ยวกับน้ำมันทารักษาโรคผิวหนังต่าง ๆ
13. ช่วยแก้ลมพิษ
14. ใช้รักษาเหา ให้ใช้ใบยาสูบแก่ที่ตากแห้งแล้ว 1 หยิบมือ นำมาผสมกับน้ำมันก๊าดประมาณ 3-4 ช้อนแกง แล้วใช้ชโลมทั้งน้ำและยาเส้นลงบนผมทิ้งไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง แล้วสระออกให้สะอาด โดยให้ทำติดต่อกันประมาณ 3-4 วัน
15. ช่วยแก้ปวด ลดอาการบวม แก้ปวดข้อ ปวดศีรษะ ปวดฟัน
16. ชาวอินเดียนพื้นเมืองจะใช้ยาสูบเป็นยาแก้ปวด โดยเฉพาะการปวดท้องคลอด ด้วยการนำมาสูบกิน หรือใช้เป็นยานัตถุ์
17. ในทางยานิโคตินถูกนำมาใช้เป็นยาแก้ไข้มาลาเรีย แก้โรคทางเดินปัสสาวะอักเสบ
18. แม้ว่าบุหรี่จะทำให้ร่างกายเป็นโรค แต่สารนิโคตินในบุหรี่ก็สามารถเป็นยาสำหรับบางคนได้เพราะทำให้คนที่เป็นโรคพาร์กินสัน โรคจิตเภท โรคอัลไซเมอร์ ฯลฯ ทำงานดีขึ้น เพราะในคนที่เป็นโรคพาร์กินสันและอัลไซเมอร์นั้น สมองจะขาด Dopamine แต่สารนิโคตินนั้นสามารถไปกระตุ้นการหลั่ง Dopamine ได้ ทำให้คนที่เป็นอัลไซเมอร์มีความจำดีขึ้น ส่วนคนที่เป็นโรคพาร์กินสันร่างกายก็จะไม่กระตุกมาก เป็นต้น

@@@@@@@

ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของยาสูบ

    • ในใบยาสูบพบสารอัลคาลอยด์ นิโคติน (Nicotine) C_10 H_14 N_2 อยู่ประมาณ 0.6-9% ซึ่งสารอัลคาลอยด์พวก Pyridine นี้จะมีลักษณะเป็น oily, volatile liquid ทำให้ไม่มีสีแล้วกลายเป็นสีเหลือง ถ้าหากถูกอากาศจะเป็นสีน้ำตาล หากนำมาสูดดมเข้าไปจะไปกัดเนื้อเยื่อในจมูก มีกลิ่นเผ็ดร้อน แต่ก็ยังมีสารที่ทำให้มีกลิ่นหอมที่ชื่อว่า Nicrotranin หรือ Tabacco camphor โดยสารชนิดนี้จะเกิดก็ต่อเมื่อนำมาใบยามาบ่ม

    • จากรายงานของสถาบันมะเร็งแห่งชาติ ระบุว่า โดยเฉลี่ยแล้วในใบยาสูบทำบุหรี่จะมีปริมาณของสารนิโคตินอยู่ 20 มิลลิกรัม ยาเส้นใช้กล้องสูบมี 25 มิลลิกรัม และใบยาที่ทำให้ซิการ์จะมีนิโคตินอยู่ 100 มิลลิกรัม รวมไปถึงสารประกอบอื่น ๆ อีกด้วย


@@@@@@@

ประโยชน์ของยาสูบ

 1. ใบอ่อนจะนำมาใช้มวนบุหรี่และใช้ทำซิการ์
 2. ใบแก่จะนำมาทำเป็นยาเส้นยาตั้ง ยาฉุน และใช้มวนบุหรี่] ชาวกะเหรี่ยงจะใช้ใบแก่นำมาซอยให้เป็นฝอยแล้วตากแห้ง พันด้วยใบตองแห้งใช้เป็นยาสูบ หรือใช้เป็นไส้บุหรี่ขี้โย

 3. ในส่วนของยาตั้งนั้นหากนำมาผสมกับน้ำมันก๊าดแล้วนำมาใส่ผมก็จะเป็นยาฆ่าเหาได้ โดยให้ใส่ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที ให้ทำวันละ 1 ครั้ง ติดต่อกันประมาณ 2-3 วัน เหาก็จะหาย แต่ต้องระวังอย่าให้ยาเข้าตาได้
 4. ใบมีสารนิโคตินอยู่ประมาณ 7% ละลายได้ง่ายในน้ำ แอลกอฮอล์ และอีเทอร์ ใช้ทำเป็นยาฉีดฆ่าแมลงและเพลี้ยต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี เพราะจัดเป็นสารพิษชนิดหนึ่ง (การผสมให้ใช้นิโคติน 1 ส่วน สบู่อ่อน 20 ส่วน ในน้ำ 2,000 ส่วน) ยานี้มีพิษแรง การนำมาใช้ต้องระมัดระวังไม่ให้ถูกผิวหนัง เพราะจะซึมเข้าไปและเป็นพิษมาก
 5. ใบใช้ทาภายนอกเพื่อป้องกันทากและปลิงเกาะได้
 6. ใบเอาไปใส่ไว้ในรังไก่ เพื่อช่วยไล่ไรไก่ หรือนำมาตำแล้วแช่ในน้ำ ใช้ฉีดพ่นไรไก่
 7. ใบนำมาคั้นเอาแต่น้ำใช้ทาผิวหนังวัวควายที่เป็นหนอง
 8. ชาวอินเดียนพื้นเมืองถือว่ายาสูบเป็นของศักดิ์สิทธิ์ มีการสูบยาเป็นประเพณีเพื่อแสดงความเป็นมิตร และใบยาสูบเป็นของที่มีราคาที่ใช้แทนเงินได้อีกด้วย
 9. ยาสูบเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญมากอย่างหนึ่งของประเทศไทย เดิมจะใช้เฉพาะมวนบุหรี่สูบกันภายในประเทศ แต่ในปัจจุบันผลผลิตใบยาสูบเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญมากของไทย เพราะสามารถทำรายได้ให้กับประเทศถึงปีละ 2,500-3,000 ล้านบาท อีกทั้งผลผลิตของใบยาสูบยังมีความสำคัญต่อการดำรงชีพของเกษตรกร และมีความสำคัญต่อเนื่องถึงอุตสาหกรรมการผลิตบุหรี่ของโรงงานยาสูบ





ประเภทของของผลิตภัณฑ์ยาสูบ

ผลิตภัณฑ์ยาสูบสามารถจำแนกตามการใช้งานออกได้เป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ยาสูบชนิดมีควันและผลิตภัณฑ์ยาสูบชนิดไม่มีควัน ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้

  • ผลิตภัณฑ์ยาสูบชนิดมีควัน (Smoked tobacco) สามารถจำแนกออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ บุหรี่โรงงาน บุหรี่มวนเอง และผลิตภัณฑ์ยาสูบอื่น ๆ เช่น ซิการ์, ไปป์, ยาสูบที่สูบผ่านน้ำ, (ชิชา, ฮุกก้า, บารากู่) และอื่น ๆ เช่น บุหรี่ขี้โย (บุหรี่พื้นเมืองของชาวเหนือ), บุหรี่ชูรส (บุหรี่ที่มีรสชาติเลียนแบบผลไม้ รสหวาน สมุนไพร)

  • ผลิตภัณฑ์ยาสูบชนิดไม่มีควัน (Smokeless tobacco) ได้แก่ ยาเส้นหรือยาเส้นปรุง (ใช้สำหรับอมหรือจุกทางปาก เคี้ยวหรือใช้เป็นส่วนผสมของหมากพลู), ยานัตถุ์ และบุหรี่ไฟฟ้า


@@@@@@@

โทษของยาสูบ

  (1) สารนิโคตินในใบยาสูบเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้คนติดบุหรี่ โดยบุหรี่ที่วางขายตามท้องตลาดจะมีปริมาณของนิโคตินประมาณ 4-4.5% หากเข้าไปในร่างกายของคนสูบเพียงครั้งเดียว ก็สามารถทำให้คนสูบนั้นติดบุหรี่ได้ทันที ยิ่งถ้าเป็นผู้หญิงการติดบุหรี่ก็จะยิ่งง่ายกว่าผู้ชาย และยังเลิกได้ยากกว่าผู้ชายอีกด้วย เพราะปอดผู้หญิงมีขนาดเล็กกว่าผู้ชายนั่นเอง

  (2) ในสมัยก่อนเราจะใช้ยาสูบทำเป็นยาระงับประสาท ยาทำให้นอนหลับ ทำให้อาเจียน และขับเหงื่อ แต่ในปัจจุบันได้มีการค้นพบว่ามันมีสารที่เป็นพิษต่อร่างกายหลายชนิด การสูบบุหรี่ทำให้ไอและเจ็บคอ เนื่องจากลำคอและหลอดลมเกิดการอักเสบบวม ทำให้เกิดการเสพติด ทำให้ประสาทส่วนกลาง คือ หัวใจทำงานได้ไม่เต็มที่ หัวใจอ่อนและเต้นไม่สม่ำเสมอ ทำให้ความจำเสื่อม ความดันโลหิตต่ำ หายใจอ่อน เหงื่อออกมากผิดปกติ และมีอาการมือสั่น แต่ในคนที่สูบเป็นประจำ จะไม่มีอาการเหล่านี้ เพราะร่างกายสามารถออกซิไดซ์นิโคตินได้พอสมควร โดยคนที่สูบซิกาแรควันละ 25 มวน จะทำให้เสียสีของเม็ดเลือดแดงไปประมาณ 25% ในคราวหนึ่ง

  (3) นิโคตินในระดับต่ำจะไปกระตุ้น Nicrotinic receptor แต่ในขนาดสูงจะไปปิดกั้นNicrotinic receptor อาการที่พบจะซับซ้อน อาจทำให้หัวใจเต้นเร็วหรือช้ากว่าปกติกระตุ้นประสาทส่วนกลางทำให้เกิดอาการสั่นหรือชักได้ โดยปกติจะมีฤทธิ์ช่วยลดความเครียดและความวิตกกังวล และเพิ่มระดับความรู้สึกเจ็บปวด

  (4) ผู้ที่ติดบุหรี่มักจะมีอาการไอ มีอาการหอบแห้งในลำคอ ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งปอด และหลอดลมอักเสบ

  (5) บุหรี่เป็นสารเสพติดที่ติดได้ง่ายยิ่งกว่าแอลกอฮอล์ โดยจัดเป็นสารสงบประสาท ระงับความอยากอาหาร เพิ่มน้ำตาลในเลือดเล็กน้อย ทำให้ประสาทเกี่ยวกับการรับรสเสียไป ก่อให้เกิดโรคมะเร็งปอด และเป็นโทษต่อร่างกายนานับประการ เพราะถ้าทำการสกัดสารนิโคตินออกมาจากซิการ์เพียงมวนเดียว แล้วนำมาฉีดเข้าเส้นเลือดคน จะมีพิษถึงขนาดทำให้ตายได้เลย

  (6) ผลของนิโคตินจากการสูบบุหรี่จะเกิดผลกระทบต่อประสาทส่วนกลางภายใน 10 วินาที หากมีการเคี้ยวยาสูบจะมีผลของนิโคตินที่ทำให้เกิดเส้นเลือดตีบ เป็นโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูงหากกินเป็นเวลา 3-5 นาที จะทำให้เกิดผลต่อระบบประสาท CNS นอกจากนี้นิโคตินยังมีผลทำให้เบื่ออาหารและเป็นโรคถุงลมโป่งพอง ประสาทรับรู้รสและกลิ่นเสียไป ปอดจะถูกทำลายหากสูบเป็นเวลานาน และจะเป็นสาเหตุของโรคปอด โรคหลอดเลือด โรคมะเร็ง และโรคหัวใจ

  (7) ผลของนิโคตินหากเสพเป็นระยะเวลานานจะทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ หงุดหงิด มีอาการฉุนเฉียวง่าย ขาดสมาธิและนอนไม่หลับ

  (8) การสูบบุหรี่หรือผลิตภัณฑ์อื่น ๆ พบว่าในบริเวณที่ลุกไหม้ จำนวน 5% ของนิโคตินจะถูกเผาไหม้เป็นสารอินทรีย์และไม่มีพิษ จำนวน 30% เป็นควันกระจายออกไป จำนวน 25% ถูกสูบเข้าไปในปากและหลอดลม ทำให้นิโคตินจับอยู่บริเวณปากและบางส่วนก็เข้าไปทางเส้นเลือด และจากส่วนที่เข้าไปนั้น 95% จะเข้าไปที่ปอด ซึ่งนอกจากนิโคตินแล้วยังมีสารสำคัญอีกพวก คือ ทาร์(Tars) ซึ่งจะปรากฏอยู่ในรูปต่าง ๆ หลายชนิด ในขณะที่เผาไหม้ใบยาสูบและกระดาษ ซึ่งสารที่สำคัญ คือ Benzopyrine (เชื่อว่าเป็นสารที่ทำให้เซลล์เปลี่ยนเป็นเซลล์มะเร็งได้)

  (9) ในควันบุรี่ตอนปลายที่เกิดการเผาไหม้และระเหย จะมีนิโคติน ทาร์ คาร์บอนไดออกไซด์ คาร์บอนมอนอกไซด์ แอมโมเนียม ไฮโดรเจนซัลไฟต์ ไฮโดรเจนไซยาไนด์ ล้วนเป็นสารที่ทำให้เกิดการระคายเคืองต่อปอด ถุงลม เยื่อบุกระเพาะ นิโคตินทำให้หัวใจเต้นเร็ว ความดันโลหิตสูง การบีบตัวของหลอดเลือด ทำให้เกิดการอุดตันของหลอดเลือดได้ โดยเฉพาะทาร์ที่ทำให้เกิดมะเร็งปอด

  (10) ผู้ที่สูบบุหรี่มีโอกาสสูงที่จะเป็นโรคมะเร็งที่ปาก กล่องเสียง เต้านม กระเพาะ ลำไส้ใหญ่ หลอดอาหาร หลอดไต ตับอ่อน ไต มดลูก และเม็ดเลือดได้ และคนที่สูบบุหรี่จัดมักมีอายุสั้น เพราะป่วยด้วยโรคหลายโรค ส่วนผู้ป่วยที่เป็นโรคหอบหืด หากมีการสูบบุหรี่ด้วยก็จะยิ่งมีโอกาสสูงในการเสียชีวิตมากกว่าผู้ป่วยด้วยโรคเดียวกันนี้ถึง 3 เท่า

  (11) นอกจากสารนิโคตินในบุหรี่ที่ทำให้คนติดกันอย่างงอมแงมแล้วเลิกบุหรี่ บุหรี่ยังมีสารเคมีที่เป็นพิษอีกมากมาย เช่น 4-aminobiphenyl (ทำให้เป็นมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ), Nitrosamines (ทำให้เกิดมะเร็งมากที่สุด), Hydrogen cyanide (ทำให้ปอดระคายเคือง), Carbon monoxide (ทำให้ระดับออกซิเจนในเลือดต่ำ) และในควันบุหรี่ยับพบสารBenzo-a-pyrene, Benzene, Acrolein, Polonium และสารตะกั่ว ซึ่งสารเหล่านี้ล้วนเป็นสารพิษทั้งสิ้น ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าผู้สูงอายุที่สูบบุหรี่มักจะเป็นโรคความดันโลหิตสูงโรคหลอดเลือดในสมองแตก ตาเป็นต้อ ผิวหนังเหี่ยวย่น และหากล้มกระดูกแตก แผลกระดูกก็จะสมานช้า

  (12) ควันบุหรี่ยังทำให้ผู้สูบเป็นโรคถุงลมปอดอักเสบ หลอดลมอักเสบเรื้อรัง ระบบภูมิคุ้มกันทำงานบกพร่อง และทารกที่คลอดจากสตรีที่สูบบุหรี่มักมีน้ำหนักตัวต่ำกว่าปกติ และแม่ที่สูบบุหรี่มักจะมีปัญหาในการตั้งครรภ์และการคลอดมากกว่าแม่ที่ไม่สูบบุหรี่เลย

  (13) ควันบุหรี่ใช่ว่าจะฆ่าเฉพาะคนที่สูบบุหรี่เท่านั้น เพราะการใกล้ชิดกับผู้สูบบุหรี่ก็สามารถทำให้ควันบุหรี่มีละอองพิษผ่านเข้าไปทำร้ายเยื่อหุ้มปอดและเนื้อเยื่อในปอดของคนใกล้ชิดได้ แม้ว่าควันพิษนั้นจะมีน้อยเพียง 1% ของคนที่สูบโดยตรงก็ตาม แต่จากสถิติการตายเพราะการสูดควันโดยทางอ้อมก็มีมากขึ้นเรื่อย ๆ ทุกปี

  (14) ในบุหรี่จะประกอบไปด้วยใบยาสูบหั่น น้ำมันดิน กระดาษสำหรับมวน ซึ่งจะมีก๊าซอยู่มากถึง 12 ชนิดด้วยกัน โดยชนิดนี้ร้ายแรงจะมีอยู่ 3 ชนิด คือ คาร์บอนมอนอกไซด์ (CO), ไนโตรเจนไดออกไซด์ (NO_2 ), ไฮโดรไซอาไนด์ (CN) ส่วนนิโคตินเป็นสารที่มีอยู่ในใบยาสูบ น้ำมันดินที่มีอยู่ในบุหรี่ เมื่อสูบเข้าไปจะไปเกาะที่ผนังปอดและหลอดลม

  (15) การสูบบุหรี่ด้วยวิธีการเผาใบยาจะทำให้นิโคตินและอัลคาลอยด์ต่าง ๆ สลายตัว โดยวัตถุเหล่านี้จะทำให้เกิดเป็นพิษขึ้นในการสูบบุหรี่ และมีหลายคนแสดงว่าการสูบบุหรี่มีฤทธิ์ในการกล่อมประสาท แต่ไม่ใช่เป็นผลอันเนื่องมาจากฤทธิ์ของนิโคติน

  (16) คนที่ติดบุหรี่มากเมื่อไม่ได้รับนิโคติน จะเกิดอาการกระสับกระส่าย สมาธิสั้น นอนไม่หลับ 20 นาทีหลังจากการอดบุหรี่ ความดันโลหิตจะลดลง ชีพจรเต้นช้าลง และเมื่อผ่านไป 8 ชั่วโมง ระดับออกซิเจนในเลือดจะเพิ่มขึ้นจนถึงระดับปกติ แต่ในขณะเดียวกันระดับคาร์บอนมอนอกไซด์ก็จะลดลงด้วย และหลังจากหยุดสูบบุหรี่ 2 วัน ระบบความรู้สึก การรับรสและกลิ่นต่าง ๆ จะทำงานได้ดีขึ้น และเมื่อผ่านไป 3 เดือน การเคลื่อนไหวของร่างกาย การทำงานของปอดก็จะดีขึ้นด้วย ยิ่งถ้าหากหยุดไปได้นานถึง 10 ปี โอกาสที่จะเป็นโรคต่าง ๆ ก็ลดลงถึง 50% แต่การจะทำได้ในขนาดนี้คนที่ติดบุหรี่จะต้องมีความตั้งใจ ความอดทน และความพยายามสูง จึงจะชนะยาเสพติดชนิดนี้ได้




อย่างไรก็ตาม แม้ว่ายาสูบจะมีอันตรายและเป็นโทษต่อร่างกายสารพัด แต่ผลเหล่านี้จะเกิดช้า โดยอาจใช้ระยะเวลาเป็นสิบ ๆ ปี ทำให้หลาย ๆ คนไม่รู้สึกตระหนักถึงอันตรายของยาสูบ แต่ในปัจจุบันสังคมเริ่มเข้าใจเกี่ยวกับโทษของบุหรี่กันมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะมีการห้ามสูบในที่สาธารณะและห้ามเยาวชนสูบ รวมทั้งจำกัดการโฆษณาและให้พิมพ์คำเตือนถึงอันตรายบนซองบุหรี่ ฯลฯ

หากต้องการเอกสารอ้างอิง ขอให้คลิกไปอ่านต้นฉบับ
หรือ https://medthai.com/ยาสูบ/



ขอขอบคุณ :-
ภาพประกอบ : www.flickr.com (by Forest and Kim Starr, naturgucker.de / enjoynature.net, madeinsheffield
webssite : https://medthai.com/ยาสูบ/ 
เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย (Medthai) เมื่อ 23 พฤษภาคม 2020 (เวลา 19:05 น.)

 14 
 เมื่อ: ธันวาคม 26, 2025, 07:13:11 am 
เริ่มโดย raponsan - กระทู้ล่าสุด โดย raponsan
.



ในหลวง พระราชินี ทรงเปิดสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 5 บึงกาฬ-บอลิคำไซ

ในหลวง พระราชินี เสด็จฯไปทรงเปิดสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 5 บึงกาฬ-บอลิคำไซ

เมื่อเวลา 16.05 น. วันที่ 25 ธันวาคม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินโดยเครื่องบินพระที่นั่ง ไปยังท่าอากาศยานทหาร กองบิน 23 จังหวัดอุดรธานี  เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเป็นประธานร่วมกับ นายทองลุน  สีสุลิด ประธานประเทศแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และนางนาลี  สีสุลิด ภริยา ในพิธีเปิดสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 5 (บึงกาฬ-บอลิคำไซ) อำเภอเมืองจังหวัดบึงกาฬ

เมื่อเสด็จพระราชดำเนินถึงท่าอากาศยานทหาร กองบิน 23 จังหวัดอุดรธานี นายราชันย์ ซุ้นหั้ว ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี พร้อมด้วยคณะข้าราชการและประชาชน เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทรับเสด็จ ต่อจากนั้น ประทับเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่ง เสด็จพระราชดำเนินไปยังสนามเฮลิคอปเตอร์ชั่วคราว ด่านพรมแดนสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 5 (บึงกาฬ-บอลิคำไซ)







จากนั้นเวลา 16.53 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินถึงยังสนามเฮลิคอปเตอร์ชั่วคราว สะพานมิตรภาพไทย-ลาว (บึงกาฬ-บอลิคำไซ) ณ ที่นั้น นายนคร ศิริปริญานันท์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดบึงกาฬ พร้อมด้วยคณะข้าราชการ เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทรับเสด็จ จากนั้นเสด็จเข้าห้องประทับรับรอง ทรงลงพระปรมาภิไธยและพระนามาภิไธย ในแผ่นศิลา เสร็จแล้ว ประทับรถยนต์พระที่นั่ง เสด็จพระราชดำเนินไปยังพลับพลาพิธีบริเวณกลางสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 5 (บึงกาฬ-บอลิคำไซ)






เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินถึงพลับพลาพิธีบริเวณกลางสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 5 (บึงกาฬ-บอลิคำไซ) พร้อมกับนายทองลุน สีสุลิด ประธานประเทศแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และนางนาลี  สีสุลิด ภริยา ซึ่งเดินมาจากฝั่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ณ ที่นั้น นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม นายปิยพงษ์ จิวัฒนกุลไพศาล อธิบดีกรมทางหลวง พร้อมด้วยคณะข้าราชการและประชาชน เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทรับเสด็จ

ต่อจากนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงมีพระราชปฏิสันถารกับนายทองลุน  สีสุลิด ประธานประเทศแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และนางนาลี  สีสุลิด ภริยา จากนั้น พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ นายสอนไซ  สีพันดอน นายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว กราบบังคมทูลรายงาน เสร็จแล้ว พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรไทย กราบบังคมทูลรายงานวัตถุประสงค์ของการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 5 (บึงกาฬ-บอลิคำไซ) พร้อมทั้งกราบบังคมทูลเชิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 5 (บึงกาฬ-บอลิคำไซ)





พร้อมด้วยนายทองลุน สีสุลิด ประธานประเทศแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และนางนาลี สีสุลิด ภริยา ต่อจากนั้น ทรงพระดำเนินไปยังแท่นพิธี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงกดปุ่มไฟฟ้าเปิดแพรคลุมป้ายสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 5 (บึงกาฬ-บอลิคำไซ) พร้อมกับนายทองลุน สีสุลิด ประธานประเทศแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ขณะนั้น พระสงฆ์ทั้ง 2 ประเทศเจริญชัยมงคลคาถาพร้อมกัน จากนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทอดพระเนตรนิทรรศการความเป็นมาและวัตถุประสงค์การก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 5 (บึงกาฬ-บอลิคำไซ) เสร็จแล้ว ทรงพระดำเนินไปยังบริเวณหน้าป้ายที่ระลึกการเปิดใช้สะพานและป้ายแสดงกรรมสิทธิ์ พร้อมด้วยนายทองลุน สีสุลิด ประธานประเทศแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และนางนาลี สีสุลิด ภริยา




ในโอกาสนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ฉายพระบรมฉายาลักษณ์ ร่วมกับนายทองลุน สีสุลิด ประธานประเทศแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และนางนาลี สีสุลิด ภริยา พร้อมด้วยข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ของทั้งสองประเทศ ในการนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงมีพระราชปฏิสันถารกับนายทองลุน สีสุลิด ประธานประเทศแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และนางนาลี สีสุลิด ภริยา ต่อจากนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ประทับรถยนต์พระที่นั่ง เสด็จพระราชดำเนินกลับไปยังสนามเฮลิคอปเตอร์ชั่วคราว ด่านพรมแดนสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 5 (บึงกาฬ-บอลิคำไซ) ฝั่งไทย




ทั้งนี้ มีราษฎรในพื้นที่จังหวัดบึงกาฬและจังหวัดใกล้เคียงจำนวนมากมาเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทรับเสด็จ ด้วยความจงรักภักดีและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้

เมื่อเสด็จพระราชดำเนินถึงสนามเฮลิคอปเตอร์ชั่วคราว ด่านพรมแดนสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 5 (บึงกาฬ-บอลิคำไซ) ฝั่งไทย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ นายกรัฐมนตรีกับรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายหนังสือที่ระลึกสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 5 (บึงกาฬ-บอลิคำไซ) ต่อจากนั้น พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ ปลัดกระทรวงคมนาคมและอธิบดีกรมทางหลวง เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายตราไปรษณียากรที่ระลึกสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 5 (บึงกาฬ-บอลิคำไซ) จากนั้น พระราชทานพระบรม





ราชวโรกาสให้ นายสุรพล เจริญภูมิ ผู้ว่าราชการจังหวัดบึงกาฬ เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายผ้าไหมทอมือย้อมสีธรรมชาติ “สิริบึงกาฬราชพัสตรา” ของที่ระลึกจังหวัดบึงกาฬแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และนางจิรภา เจริญภูมิ นายกเหล่ากาชาดจังหวัดบึงกาฬ เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายผ้าไหมทอมือย้อมสีธรรมชาติ “ขวัญมิ่งสองฝั่งโขง” ของที่ระลึกจังหวัดบึงกาฬแด่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสร็จแล้ว ประทับเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่ง เสด็จพระราชดำเนินไปยังท่าอากาศยานทหาร กองบิน 23 จังหวัดอุดรธานี เพื่อประทับเครื่องบินพระที่นั่ง เสด็จพระราชดำเนินกลับกรุงเทพมหานคร

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงมุ่งมั่นในการสืบสาน รักษา และต่อยอดพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ด้วยพระราชหฤทัยอันแน่วแน่ในการยกระดับคุณภาพชีวิตของราษฎรให้ดียิ่งขึ้น พร้อมทั้งทรงธำรงไว้ซึ่งสายสัมพันธ์อันงดงามกับนานาประเทศ ซึ่งรวมถึงสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว มิตรประเทศเพื่อนบ้านที่มีสายสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นบนพื้นฐานของมิตรภาพความเข้าใจอันดี และมีวัฒนธรรมประเพณีที่สืบทอดมาร่วมกัน โดยในปี 2568 ทั้งสองประเทศได้ร่วมกันเฉลิมฉลองวาระครบ 75 ปีแห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน ด้วยพระราชวิสัยทัศน์อันกว้างไกล ทรงให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่เชื่อมโยง




ระหว่างประเทศไทยกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยเฉพาะโครงการสะพานมิตรภาพ ซึ่งไม่เพียงเป็นเส้นทางคมนาคม หากยังเป็นสัญลักษณ์แห่งมิตรภาพอันมั่นคงและความร่วมมืออันแนบแน่นของทั้งสองประเทศ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเป็นประธานร่วมกับนายหนูฮัก พูมสะหวัน ประธานประเทศแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ในพิธีเปิดสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 1 (หนองคาย-เวียงจันทน์) เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2537 พระราชกรณียกิจในด้านนี้ได้ส่งผลเป็นรูปธรรมต่อการเสริมสร้างศักยภาพของเศรษฐกิจชายแดน การเดินทางของประชาชนทั้งสองประเทศ และการพัฒนาเศรษฐกิจในภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงให้เจริญเติบโตร่วมกันอย่างยั่งยืน

การจัดสร้างสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 5 (บึงกาฬ-บอลิคำไซ) เชื่อมต่อทางหลวงแผ่นดิน หมายเลข 222 อำเภอเมืองบึงกาฬ จังหวัดบึงกาฬ กับถนนสาย 13 เมืองปากซัน แขวงบอลิคำไซ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว มีรูปแบบการก่อสร้างตัวสะพานเป็นรูปแบบคานขึง สร้างด้วยคอนกรีตอัดแรงรูปกล่อง มีขนาด 2 ช่องจราจร ความยาวรวม 1,350 เมตร มีเอกลักษณ์ทางสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นคือการนำรูปทรงของ “แคน” ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีพื้นบ้านลุ่มน้ำโขง มาออกแบบเป็นเสาหลักของสะพาน เพื่อสื่อถึงวัฒนธรรมประเพณี ที่สืบทอดมาร่วมกันและความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นของสองประเทศ

โดยการเปิดสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งนี้ สะท้อนให้เห็นอย่างเด่นชัดถึงความสัมพันธ์ฉันมิตรอันใกล้ชิดที่มีมายาวนาน บนพื้นฐานของความเคารพยกย่องและความมุ่งมั่นตั้งใจร่วมกันในการสร้างสรรค์ประโยชน์แก่ประเทศและประชาชนทั้งสองฝ่าย ผ่านการพัฒนาความร่วมมือและความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ในกิจการด้านต่างๆ ทั้งในระดับทวิภาคีและกรอบอาเซียนมาอย่างเข้มแข็ง ซึ่งสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งนี้จะเป็นฟันเฟืองสำคัญของยุทธศาสตร์การเชื่อมโยงโลจิสติกส์ระดับภูมิภาคที่สนับสนุนการคมนาคมขนส่งระหว่างประเทศไทย สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม และสาธารณรัฐประชาชนจีน ให้มีความคล่องตัว ปลอดภัย และประหยัดต้นทุน อีกทั้งยังเสริมสร้างศักยภาพของเศรษฐกิจชายแดน เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย และเปิดโอกาสทางการค้าการลงทุนภายใต้กรอบความร่วมมือในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง และยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ อิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง ให้เจริญก้าวหน้าต่อไป




ขอบคุณ : https://www.matichon.co.th/royal/news_5522244
วันที่ 25 ธันวาคม 2568 - 18:25 น.   

 15 
 เมื่อ: ธันวาคม 26, 2025, 07:03:34 am 
เริ่มโดย raponsan - กระทู้ล่าสุด โดย raponsan
.



สิริมงคล“ในหลวง-พระราชินี”เสด็จฯเปิดสะพานมิตรภาพไทย-ลาว5วันนี้ บริการฟรีรอประกาศเก็บเงิน

สิริมงคล“ในหลวง-พระราชินี”เสด็จฯทรงเปิดสะพานมิตรภาพไทย-ลาว5 เชื่อมบึงกาฬ-บอลิคำไซ วันนี้ เริ่ม 26 ธ.ค. บริการฟรีรอประกาศเก็บเงิน

“ทีมข่าวนวัตกรรมขนส่งเดลินิวส์”  รายงานว่า   ช่วงเย็นวันนี้(25 ธ.ค. 2568)  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดสะพานมิตรภาพไทย – ลาว แห่งที่ 5 (บึงกาฬ – บอลิคำไซ) ขณะที่กรมทางหลวง(ทล.) เจ้าของโครงการและผู้เกี่ยวข้องพร้อมเข้าเฝ้ารับเสด็จฯ ด้วยความปลื้มปีติที่ทรงพระกรุณาเสด็จฯทรงเปิดสะพานเป็นสิริมงคล





โครงการฯมีวงเงินก่อสร้าง 3,787 ล้านบาท ร่วมลงทุนโดยรัฐบาลไทย-สปป.ลาว  ฝ่ายไทย 2,500ล้าน ฝ่ายสปป.ลาว 1,287 ล้าน  แบ่งก่อสร้าง 5 สัญญา ฝ่ายไทย 3 สัญญาและฝ่ายลาว2 สัญญา    สะพานข้ามแม่น้ำโขงมีขนาด 2 ช่องจราจร  ความยาว 1,350 เมตร  เชื่อมถนน 4 ช่องจราจร ความยาวรวมถนน 16.340  กม.  ตั้งอยู่ในพื้นที่ อ.เมือง จ.บึงกาฬ เชื่อมเมืองปากซัน แขวงบอลิคำไซ สปป.ลาว

มีจุดเริ่มต้นโครงการฝั่งไทย แยกจากทล. 222 เชื่อมโครงข่ายถนนระหว่างจ.สกลนคร และบึงกาฬ  ตามแนวระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก – ตะวันตก (East-West Economic Corridor – EWEC) ไปยังท่าเรือน้ำลึก เมืองวุงอ่าง และเมืองดานัง ประเทศเวียดนาม





ส่วนแนวเส้นทางฝั่งสปป.ลาว เชื่อมถนนหมายเลข 13 ต่อไปยังถนนหมายเลข 8 เส้นทางจาก สปป.ลาว ไป เมืองวินห์ เมืองฮานอย ประเทศเวียดนาม และเชื่อมประเทศจีนตอนใต้ ผ่านทางหลวงอาเซียนหมายเลข 1 (AH1) ประเทศเวียดนาม  เปิดประตูเศรษฐกิจบานใหม่ของประเทศไทย สนับสนุนมูลค่าการค้าชายแดน ไทย – สปป.ลาว เพิ่มขึ้นกว่า 2.8 หมื่นล้านบาท/ปี 

ขณะที่ประชาชนทั้ง 2 ประเทศเดินทางได้สะดวกรวดเร็วและปลอดภัยยิ่งขึ้น จากปัจจุบันชาว จ.บึงกาฬ ใช้เรือโดยสารข้ามฟากแม่น้ำโขงไปแขวงบอลิคำไซ




ทั้งนี้จะเปิดใช้สะพานตั้งแต่วันที่ 26 ธ.ค. ช่วงแรกให้บริการฟรีไปก่อน รอประกาศในราชกิจานุเบกษาเก็บค่าธรรมเนียมยานพาหนะ ดังนี้ 

- รถยนต์นั่งไม่เกิน 7 ที่นั่ง 50 บาท
- รถโดยสารขนาดเล็ก (8-12 ที่นั่ง) 100 บาท
- รถโดยสารขนาดกลาง (13-24 ที่นั่ง) 150 บาท
- รถโดยสารขนาดใหญ่ (มากกว่า 24 ที่นั่ง) 200 บาท
- รถบรรทุก 4 ล้อ 50 บาท
- รถบรรทุก 6 ล้อ 250 บาท
- รถบรรทุก 10 ล้อ350 บาท
- รถบรรทุกเกิน 10 ล้อ 500 บาท

***อัตราค่าธรรมเนียมเท่ากับสะพานไทย-ลาวอื่นๆ





ขณะที่กระทรวงมหาดไทย ได้ประกาศเปิดจุดผ่านแดนถาวรสะพานมิตรภาพไทย-ลาว5 แล้ว มีผลวันที่ 25 ธ.ค. 2568



ขอขอบคุณ :-
ที่มา : https://www.dailynews.co.th/news/5439369/
ข่าว > นวัตกรรมขนส่ง | 25 ธ.ค. 2568 • 8:05 น.

 16 
 เมื่อ: ธันวาคม 25, 2025, 02:19:32 pm 
เริ่มโดย todaytimepost11 - กระทู้ล่าสุด โดย todaytimepost11
ขออนุญาต อัพเดทกระทู้

 17 
 เมื่อ: ธันวาคม 25, 2025, 11:43:26 am 
เริ่มโดย raponsan - กระทู้ล่าสุด โดย raponsan
.



พระโอสถมวน "กลีบบัว" ความละเมียดละไมของภูมิปัญญาไทยโบราณ

ทำความรู้จัก"ภูมิปัญญา"โบราณกับการพิถีพิถันประดิษฐ์ “บุหรี่กลีบบัว” พระโอสถมวนหรือบุหรี่สำหรับเจ้านายชั้นผู้ใหญ่

ดอกบัว ถือเป็นไม้ที่มีประโยชน์และคุณค่าตั้งแต่รากถึงดอก เพราะสามารถนำมาทำอาหาร ขนม ทำเป็นน้ำชา บูชาพระ หรือแม้กระทั่งสกัดเป็นยาเพื่อบรรเทาอาการต่างๆ และบำรุงร่างกายได้ ส่วนกลีบบัวนอกจากความสวยงามแล้วในสมัยโบราณยังเคยมีการนำมาทำเป็นยาสูบโดยใช้เกสรบัวหลวงตากแห้ง

รวมถึงนำดอกไม้และสมุนไพรอื่นๆ มาเป็นส่วนประกอบ เราจึงชวนคุณผู้อ่านมาดูว่าการทำยาสูบและพระโอสถมวนในสมัยโบราณมีความละเอียดอ่อนอย่างไรกันบ้าง







ด้วยภูมิปัญญาของคนไทยในสมัยโบราณที่พบตามหลักฐานในบทกาพย์เห่เรือ พระราชนิพนธ์ใน พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ตอนหนึ่งในบทเห่เดือนนักขัตฤกษ์ความว่า :

โคลง
      ๐ หวนเห็นหีบหมากเจ้า      จัดเจียน มาแม่
     พลูจีบต่อยอดเนียน            น่าเคี้ยว
     กลี่กล่องกระวานเขียน         มือญี่ ปุ่นเฮย
     บุหรี่ใส่กล่องเงี้ยว              ลอบให้เหลือหาญ ฯ


กาพย์
       ๐ หมากเจียนเจ้างามปลอด     พลูต่อยอดน่าเอ็นดู
     กระวานอีกกานพลู                  บุหรี่ให้ใจเหลือหาญ
       ๐ เช็ดหน้าชุบน้ำอบ              หอมตรลบดอกดวงมาลย์
     บังอรซ่อนใส่พาน                   ส่งมาให้ไม่เว้นวัน ฯ





ส่วนประกอบของบุหรี่ คือ ยาเส้น ได้มาจากการคัดเลือกใบยาสูบ ที่มีความแก่ ระดับปานกลาง​ มี 3 ระดับ​ คือ

1. ยาฉุน คือ ใบยาสูบ ที่แก่จัด นับจาก ยอดใบ ลงมา 9-10 ใบ มีรสชาติฉุนมาก ขื่นมากเวลาสูบ
2. ยากลาง คือ ใบยาที่ นับจากยอดลงมา 4 ใบ มีความเข้มของยา ปานกลาง
3. ยาจืด คือ ใบยาที่อ่อน นับจากยอด 2 ใบมีความอ่อนมาก ในระดับความขื่น





ส่วนใหญ่บุหรี่กลีบบัวจะเลือกยากลางลงมาเป็นส่วนผสม แต่ครั้งโบราณแหล่งยาเส้นที่ดีที่สุดของไทย อยู่ที่เมืองเพชรบูรณ์ หรือเลย ส่วนใหญ่จะผลิตและส่งมาจำหน่ายในภาคกลาง​

ส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนืออยู่ที่อำเภอศรีสงคราม​ จ.นครพนม โดยชาวบ้านแต่เดิมนั้นจะปลูกยาสูบเวลาน้ำโขงลดระดับช่วงมีตะกอนแม่น้ำมาสะสมในดอนหรือริมตลิ่งเรียก “ดินน้ำไหลทรายมูล” ซึ่งดินชนิดนี้มีแร่ธาตุมากมายเหมาะแก่การเพาะปลูกใบยาสูบ ทำให้ใบมีขนาดใหญ่ยาวและมีคุณสมบัติที่ดีแห่งหนึ่งของไทย โดยพืชที่นำมาใช้ทำใบยาสูบได้แก่

    1. ดอกปีบ ตากแห้งทั้งดอกมีสรรพคุณรักษา โรคทางเดินหายใจ
    2. พิมเสนเกล็ดทอง (ปัจจุบันไม่มีผลิตแล้ว)
    3. เกสรบัวหลวงตากแห้ง
    4. ใบกระวานแห้ง หรือ เมล็ดคั่วร้อน
    5. อบเชย บางสูตรอาจใส่ชะเอม เพื่อความชุ่มคอ แต่เมื่อมีการเผาไหม้ เมื่อมีการจุดยาเส้นแล้วสิ่งที่จะทำให้ชุ่มคอ คือ พิมเสนเพราะเป็นสารระเหย สิ่งเหล่านี้คือตัวหลักในยามวน​ ส่วนบางสูตรอาจจะซอยผิวส้มซ่า หรือใส่กานพลูลงไป







การมวนใบยาจะต้องมีใบตองอ่อนที่นาบกับหินอ่อนร้อนๆ จนแห้งมามวนเป็นใบยาสูบ แล้วนำกลีบดอกบัวหลวง ที่บานเต็มที่ใกล้โรยมานาบเป็นแผ่นรองนอกความยาวราวๆ 4.5 นิ้ว โดยประมาณ ติดด้วยยางมะตูมขนาดราวๆ ลำเทียนฝั้นปลายนิ้วก้อยนางก็จะได้ใบยากลีบบัวสวยงามออกมา

แต่ปัจจุบันภูมิปัญญาไทยเหล่านี้ไม่มีการสืบสาน​ ทำให้ถูกกลืนกลบไปจนหมดสิ้น​ มีบุหรี่ต่างชาติและซิก้าเข้ามาแทนที่คงจะเหลือแค่ตำนานที่เล่าขานเท่านั้น



ขอบคุณภาพและเนื้อหาจาก​ Bunchai thongcharoenbougram FB: เลาะรั้ว​ ชมวัง
website : https://www.komchadluek.net/kom-lifestyle/480639 | 26 ส.ค. 2564





บุหรี่กลีบบัวในตำนาน

คนไทยในปัจจุบันหลงลืมกันหมดแล้วว่า "พระโอสถมวน" หรือชาวบ้านเรียกติดปากกันว่าบุหรี่ แต่บุหรี่ชุดนี้ไม่ใช่ของคนทั่วไป เป็นบุหรี่สำหรับเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ใช้

บุหรี่แบบนี้ทำขึ้นมาจากภูมิปัญญาของคนไทยสมัยก่อน ราวๆสมัยรัชการที่ 2 หรือก่อนหน้านั้นคงมีแต่เท่าที่พบหลักฐานจาก "กาพย์เห่เรือในพระราชนิพนธ์" พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ล้นเกล้าฯ รัชการที่ 2 ในตอน บทเห่ในเดือนนักขัตฤกษ์ ความว่า





หวนเห็นหีบหมากเจ้า.      จัดเจียน มาแม่
พลูจีบต่อยอดเนียน.        น่าเคี้ยว
กลี่กล่องกระวานเขียน.     มือญี่.  ปุ่นเอย
บุหรี่ใส่กล่องเงี๊ยว.          ลอบให้เหลือหาญฯ

หมากเจียนเจ้างามปลอด.  พลูต่อยอดน่าเอ็นดู. 
กระวาน อีกกานพลู.        บุหรี่ไห้ ใจเหลือหาญ
เช็ดหน้าชุบน้ำอบ           หอมตลบดอกดวงมาลย์
บังอรซ่อนใส่พาน           ส่งมาให้ไม่เว้นวัน





ยาเส้นได้จากการคัดเลือกใบยาสูบที่มีความแก่ระดับกลาง ยาเส้นมี 3 ระดับ

1. ยาฉุน คือ ใบยาสูบที่แก่จัดนับจากยอดใบลงมา 9-10 ใบ มีรสชาติฉุนมากขื่นมากเวลาสูบ
2. ยากลาง คือ ใบยาที่นับจากยอดลงมา 4 ใบ มีความเข้มของยาปานกลาง
3. ยาจืด คือ ใบยาที่อ่อนนับจากยอด 2 ใบมีความอ่อนมากในระดับความขื่น







ส่วนใหญ่บุหรีกลีบบัวจะเลือกยากลางมาเป็นส่วนผสม แต่ครั้งโบราณ แหล่งยาเส้นที่ดีที่สุดของไทยอยู่ที่เมืองเพชรบูรณ์ เลย ส่วนใหญ่ผลิตและมาส่งจำหน่ายในภาคกลาง

ส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อยู่ที่อำเภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนม ชาวบ้านจะปลูกยาสูบเวลาน้ำโขงลดระดับ (ช่วงมีตะกอนแม่น้ำ) มาสะสมในดอนหรือริมตลิ่ง เรียก "ดินน้ำไหลทรายมูล" ดินชนิดนี้ มีแร่ธาตุมากมายเหมาะแก่การเพาะปลูก ใบยาสูบจึงมีขนาดใหญ่ ยาวและมีคุณสมบัติที่ดีแห่งหนึงของไทย



ดอกปีบตากแห้ง


พิมเสนเกล็ดทอง (ปัจจุบันไม่มีผลิตแล้ว)


เกสรบัวหลวงตากแห้ง


ใบกระวานแห้ง หรือ เมล็ด คั่วร้อน


อบเชย


ชะเอม


   - ดอกปีบตากแห้ง มีสรรพคุณรักษาโรคทางเดินหายใจ
   - พิมเสนเกล็ดทอง (ปัจจุบันไม่มีผลิตแล้ว)
   - เกสรบัวหลวงตากแห้ง
   - ใบกระวานแห้ง หรือ เมล็ด คั่วร้อน
   - อบเชย บางสูตรอาจใส่ชะเอมเพื่อความชุ่มคอ แต่เมื่อการเผาไหม้ เมื่อจุดยาแล้ว สิ่งที่จะชุ่มคอ คือ พิมเสน นั่นเอง

สิ่งเหล่านี้ คือ ตัวหลักในยามวนการมวนใบยาจะต้องมีใบตองอ่อน ที่นาบกับหินอ่อนร้อนๆจนแห้ง มาเป็นตัวมวนแล้ว กลีบดอกบัวหลวง ที่บานเต็มที่ใกล้โรยมานาบ เป็นแผ่น รองนอกความยาวราวๆ 4.5 นิ้ว. โดยประมาณติดด้วยยางมะตูม ขนาดราวๆ ลำเทียน ฟั่นปลายนิ้วก้อยนาง





เอาเล่าคร่าวๆให้เข้าใจ นะครับ ปัจจุบันไม่มีแล้ว การสืบการสานภูมิปัญญาไทย ถูกกลืนกลบไปหมด บุหรี่ต่างชาติและซิก้า เข้ามาแทนที่คงจะเหลือ แค่ตำนานที่เล่าขานเท่านั้นเอง








ขอบคุณที่มา : นายแว่นขยันเที่ยว
https://www.bloggang.com/m/viewdiary.php?id=pitchayut8&month=08-2021&date=17&group=2&gblog=56
ฝากกด like Facebook นายแว่นขยันเที่ยว :-
https://www.facebook.com/profile.php?id=100067508431820
ขอบคุณที่เข้ามาเป็นกำลังใจให้ผม "นายแว่นขยันเที่ยว"

 18 
 เมื่อ: ธันวาคม 25, 2025, 09:32:16 am 
เริ่มโดย raponsan - กระทู้ล่าสุด โดย raponsan
.



ในหลวง เคยสูบพระโอสถมวน (บุหรี่) แต่ทรงเลิกได้ เพราะพสกนิกร

เพจรวมพลังต่อต้านคอร์รัปชั่น ระบุถึงพระราชดำรัส เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ.2547 เกี่ยวกับภัยของบุหรี่ ใจความว่า อดีตในหลวงเคยสูบพระโอสถมวน(บุหรี่) แต่ทรงเลิกได้ เพราะท่านต้องการเป็นแบบเยี่ยงอย่างที่ดี แก่พสกนิกร

ถ้ามีคนมาถามว่าทำไมคนไทยถึงรักในหลวง ให้ใช้เวลาทั้งชีวิตบอกถึงความดีท่านคงไม่พอ แต่ถ้าให้พูดถึงท่านแบบบ้านๆเข้าใจง่าย ท่านเป็นผู้ชายที่มีเชื้อสายกษัตริย์ เรียนจบนอก ติดดิน รักสัตว์ เก่งดนตรี เก่งกีฬา ใจดีมีเมตตา รักเดียวใจเดียว ไม่เปลี่ยนแปลง เขียนเพลงได้ เล่นดนตรีได้หลายชนิด ถ่ายรูปเก่ง ขับเรือได้(เรือท่านต่อเอง) เก่งวิทยาศาสตร์ พูดได้หลายภาษา เรียนเก่ง

พูดเพราะเป็นสุภาพบุรุษ แต่งตัวดี มีธรรมมะในใจ ไม่ถือตัว รักครอบครัว รักพ่อแม่ รักสังคม เป็นนักสังคมและนักพัฒนา นักประดิษฐ์ เป็นนักสำรวจ นักวางแผน นักเดินทาง เก่งทั้งศาสตร์และศิลป์ มีอารมณ์ขันและมีความโรแมนติค ท่านยังทำประโยชน์เพื่อประเทศชาติ เกินกว่าที่มุษย์คนนึงจะทำเพื่อคนอื่นได้





ท่านเคยสูบบุหรี่แต่เลิกบุหรี่ไปนานแล้ว (โบราณชาววังเขาสูบกันปกติ ไม่ใช่เรื่องเสื่อมเสีย แต่อย่างใด รัชกาลที่ ๕ และที่๗ก็ทรงโปรดบุหรี่ไปป์) ที้ท่านเลิกบุหรี่เพราะไม่ดีต่อสุขภาพ และท่านต้องการเป็นแบบอย่างที่ดีแก่พสกนิกรถ้าไปบอกใครว่านี้รวมอยู่ในคนๆเดียว คงจะไม่มีใครเชื่อ แต่มีพระองค์มีอยู่จริง ไม่มีใครเทียบเท่าท่านได้อีกแล้วจริงๆ

แล้วเรื่องทรงสูบพระโอสถมวนของในหลวง พระองค์ไม่เคยทรงปิดบัง และไม่เคยปฏิเสธว่าทรงเคยสูบ เพราะในอดีตการสูบบุหรี่ไม่ใช่เรื่องน่ารังเกียจเหมือนในยุคปัจจุบันนี้ และในหลวงก็ทรงรู้โทษภัยของการสูบบุหรี่เป็นอย่างดี เพราะโทษภัยนี้ก่อให้เกิดพระโรค แก่พระญาติสนิทของในหลวง ก็คือ สมเด็จพระชนนี และสมเด็จพระพี่นางเธอฯ รวมทั้งโรคพระหทัยของพระองค์ก็มีสาเหตุจากการสูบบุหรี่ เช่นกัน

ผมขอยกส่วนหนึ่งของพระราชดำรัส เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ.2547 เกี่ยวกับภัยของบุหรี่ มาให้อ่านครับ




".... เราเองเริ่มสูบบุหรี่ตั้งแต่เด็ก ๆ บุหรี่ จริงไม่มี เป็นไม้ซางแห้ง ๆ สูบ ก็เด็ก ๆ เขาเล่นสูบ แต่ทีหลังเลิก มาตอนอายุ 18 ได้สูบบุหรี่ เพราะทำไม เพราะตอนนั้นสมเด็จพระบรมราชชนนี ท่านบอกว่า เด็ก ๆ ห้ามสูบบุหรี่ ๆ เด็ก ๆ หมายความว่าลูกท่าน ต้องอายุ 18 ก่อน แต่ตอนนั้นอายุ 18 และก็มาหลังสงครามพอดี พวกทหารฝรั่งเขามีกระป๋องสำหรับทหาร มีอาหารยังชีพ และมีบุหรี่ 6 มวนในนั้น คนเขาก็ให้มา เราก็ลอง เวียนหัว ตอนนั้นอายุ 18 นานๆ ไปก็เลยชินแต่ว่าบุหรี่อย่างนั้น ก็หมดไป หมดสงครามเห็นเขาสูบบุหรี่ ก็เลยสูบตั้งแต่นั้นมา

สูบบุหรี่มาจนกระทั่งทีหลังมันมีอาการหัวใจ หมอก็บอกให้เลิกสูบบุหรี่ ก็ไม่เชื่อหมอ ก็ยังอาการหัวใจต่อ จนกระทั่งหลังๆ มีบุหรี่อยู่ในห้องไม่ไหว วางไว้บนโต๊ะ ยังมีอยู่ในนั้นในซองบุหรี่มีสัก 10 มวน วางเอาไว้ไม่แตะอีกเลย เพราะว่าบอกให้เลิก เราก็เลิกทีละมวน ทีหลังเอ้ามี 2 มวน ทำไปทำมา เราก็เอาหนังสือราชการนั้นมาเอามาวางทับ ถุงบุหรี่ก็อยู่ใต้หนังสือราชการ ไม่รู้เดี๋ยวนี้รู้เขาคงขุดไปทิ้งหมดแล้ว แต่อยู่ใต้ที่ตั้งหนังสือนี่




ภาพสมเด็จย่าในอิริยาบถสูบพระโอสถมวน(บุหรี่)
ขอบคุณภาพจาก : X lll•ประวัติศาสตร์แนวเอียง•lll ,@somsakjeam112 ,8:17 ก่อนเที่ยง · 29 เม.ย. 2021


ภาพสมเด็จย่าในอิริยาบถสูบพระโอสถมวน(บุหรี่)
ขอบคุณภาพจาก : X lll•ประวัติศาสตร์แนวเอียง•lll ,@somsakjeam112 ,8:17 ก่อนเที่ยง · 29 เม.ย. 2021


 เข้าใจว่าประมาณปีหนึ่งไม่ได้แตะ เพราะว่าถ้าไปแตะ ต้องไปขุดหนังสือราชการ หนังสือราชการไม่ทำราชการนะ หนังสือราชการมาก็เอามาทำ ๆ แล้วก็เอามาตั้งต่อ แล้วก็ตั้งอยู่สูง เดี๋ยวนี้หนังสือราชการด่วนที่สุด ขึ้นมาสูงเท่านี้ ตอนหลังก็มาขุดๆๆ จนหมด แต่ยังมีด่วนมาก ด่วนที่สุด ได้ทำ 3 ธันวาคม ทำเสร็จแล้ว ก็แสดงว่าช้าไปหนึ่งวันเท่านั้น แต่ด่วน ด่วนมาก นั้นมันเดือนพฤศจิกา ประมาณ 2 อาทิตย์ต้องไปขุด เดี๋ยวกลับไปต้องไปขุด ไม่งั้นกลับไปหัวหินต้องหอบไป ไม่งั้นเดี๋ยวไม่ได้นอน ถ้าไม่นอนเดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าตื่นไม่ไหวเป็นอย่างนี้เสมอ

ถึงวันเกิดนี่วันเกิดก็มีการพบปะอย่างงี้ แล้วก็จะต้องไปนอน ถ้าไม่ได้นอน ถ้าไปมหาสมาคมจะร่วงลงไปทุกครั้ง พอขึ้นสูงนี่นะ เพราะว่าขาก็ไม่ค่อยดีแล้วนะ ก็เลยต้องเตรียมตัว แต่อย่างไรก็ตาม เราก็ได้มาพูดค่อยข้างจะยาวก็พอดี พอดีเวลาเหลือ 2 นาที เหลือ 2 นาที ให้ดนตรีขึ้นใหม่ ขอให้ท่านที่มาที่นี่ได้มีความแจ่มใส วันนี้รู้สึกท่านจะแจ่มใสดี ต้องแจ่มใส เพราะว่าถ้าไม่แจ่มใสทำงานไม่ได้ต้องให้ท่านทำงานได้ แล้วก็คิดถึงงานที่จะต้องทำ ทำให้ดี ๆ ไม่ทำให้เละ ถ้าทำให้เละ ประเทศชาติก็เละ ก็ขอให้มีความสุข ความสำเร็จทุกอย่างทุกประการ"






ดูทั้งหมด : รวมเรื่องของในหลวง รัชกาลที่ 9


ขอขอบคุณ :-
Credit : รวมพลังต่อต้านคอร์รัปชั่น
website : https://socialnews.teenee.com/penkhao/6353.html
NongJJ (ทีมงาน TeeNee.Com) วันเสาร์ ที่ 22 ตุลาคม 2559 เวลา 23:56 น.





สำนึกพระบารมี รัชกาลที่ 9 ผู้ทรงขับเคลื่อนคุมยาสูบของไทย

ในวันที่ 4 ธันวาคม 2547 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ตรัสแสดงความห่วงใยปัญหาการสูบบุหรี่ในหมู่เยาวชนและพิษภัยของบุหรี่ กับคณะรัฐมนตรีและคณะบุคคลภาคส่วนต่างๆ ที่เข้าเฝ้าฯ เพื่อเป็นแนวทางให้ผู้เกี่ยวข้องตระหนักถึงปัญหาและช่วยกันลงมือแก้ไข ดังความตอนหนึ่งว่า

…เด็กๆ จะต้องสามารถเรียนรู้ เรียนให้ทำงาน เพื่อช่วยบ้านเมือง ถ้าเด็กไม่มีความรู้ ช่วยบ้านเมืองไม่ได้ บ้านเมืองไปไม่รอด เพราะเด็กมัวแต่ไปเสพยาเสพติด สูบบุหรี่ ไม่ดี เสพยาไม่ต้องบอกหรอกว่าเสียหายยังไง แต่บุหรี่นี่หูเสีย ตาเสีย สมองเสีย เส้นเลือดเสีย…

…คนที่สูบบุหรี่สมองก็ทึบ ทำไปทำมาก็ทึบขึ้นทุกที เพราะว่าทึบเพราะว่าเส้นเลือดในสมองมันตีบ มันเล็ก คิดอะไรไม่ออก ตอนแรกนึกว่าคิดออก แต่ทีหลังมันก็คิดไม่ออก ทีแรกนึกว่า คนเราสูบบุหรี่ทำให้กระฉับกระเฉง ตรงข้าม ไม่กระฉับกระเฉง ทำให้รู้สึกว่าทึบ สมองมันทึบ สมองมันตัน ก็เลยเห็นว่าเลิกสูบบุหรี่ดีกว่า เห็นมีการรณรงค์ให้เลิกสูบบุหรี่ แล้วก็ห้ามขายบุหรี่แก่เด็กอายุต่ำกว่า 18 ที่จริงเด็กอายุ 50 ก็ควรจะห้าม… พระราชดำรัสนี้ ส่งผลให้ผู้เกี่ยวข้องต่างตระหนักและเห็นถึงความสำคัญของการป้องกันและแก้ไขปัญหาการบริโภคยาสูบ และดำเนินการอย่างจริงจังมากขึ้น

@@@@@@@

นพ.บัณฑิต ศรไพศาล รองผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ เปิดเผยว่า ตลอด 25 ปี การป้องกันและแก้ไขปัญหาการบริโภคยาสูบในประเทศไทย เกิดขึ้นในช่วงรัชสมัยการปกครองปีที่ 46-70 หรือปี 2535-2559 ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ประเทศไทยได้ผ่านกฎหมายควบคุมการบริโภคยาสูบที่สำคัญ 2 ฉบับ คือ พ.ร.บ.ควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ.2535 และ พ.ร.บ.คุ้มครองสุขภาพของผู้ไม่สูบบุหรี่ พ.ศ.2535

โดยมีสาระสำคัญ คือ พ.ร.บ.ควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบฯนั้น ห้ามไม่ให้มีการโฆษณายาสูบในสื่อต่างๆ โดยสิ้นเชิง และ พ.ร.บ.คุ้มครองสุขภาพของผู้ไม่สูบบุหรี่ ห้ามการสูบบุหรี่ในที่สาธารณะเพื่อปกป้องไม่ให้ผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ต้องได้รับควันบุหรี่มือสองจากผู้ที่สูบบุหรี่ กฎหมาย 2 ฉบับนี้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงค่านิยมที่เห็นการสูบบุหรี่เป็นเรื่องเท่จากการโฆษณาและจากการเห็นผู้ที่สูบบุหรี่อยู่ในสถานที่ต่างๆ ทั่วไปหมด กลายเป็นค่านิยมที่เห็นว่า การสูบบุหรี่เป็นที่น่ารังเกียจ

จากการเห็นว่าผู้สูบบุหรี่ไม่สามารถสูบบุหรี่ตามสถานที่สาธารณะได้อย่างเปิดเผย จนกลายเป็นเหมือนต้องหาที่สูบแบบหลบๆ ซ่อนๆ ตลอดจนไม่มีการโฆษณาจูงใจมอมเมาให้เห็นว่าการสูบบุหรี่เป็นเรื่องดีอีกต่อไปในประเทศไทย

ในช่วงปี 2536-2555 รัฐบาลไทยยังขึ้นภาษีบุหรี่รวม 10 ครั้ง คิดเป็นขึ้นภาษีบุหรี่เฉลี่ยทุก 2 ปี นอกจากนั้น ประเทศไทยยังเป็นประเทศที่มีมาตรการเตือนพิษภัยของการบริโภคยาสูบด้วยภาพคำเตือนบนซองบุหรี่เป็นประเทศที่ 4 ของโลก โดยเริ่มต้นในปี 2547 และต่อมา ปี 2556 มีการขยายขนาดภาพคำเตือนเป็นร้อยละ 85 ของซองบุหรี่ ซึ่งเป็นขนาดภาพคำเตือนที่ใหญ่ที่สุดในโลกในขณะนั้น





และล่าสุด ปี 2559 กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เครือข่ายหมออนามัย และอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ทั่วประเทศ สมาพันธ์เครือข่ายแห่งชาติเพื่อสังคมไทยปลอดบุหรี่ และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ตลอดจนภาคีเครือข่ายต่างๆ ร่วมกันจัดโครงการรณรงค์เชิญชวนท้าชวนให้เกิดผู้เลิกสูบบุหรี่สำเร็จจำนวน 3 ล้านคน 3 ปี ทั่วประเทศไทย เพื่อเทิดไท้องค์ราชัน

ด้วยพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทั้งทางตรงและทางอ้อม และมาตรการต่างๆ ที่กล่าวมาข้างต้น พร้อมด้วยการดำเนินการรณรงค์ให้ความรู้ถึงโทษพิษภัยของยาสูบแก่ประชาชน ตลอดจนการเชิญชวนและท้าชวนให้ผู้สูบเลิกสูบบุหรี่ ส่งผลให้อัตราการสูบบุหรี่ลดลงจากร้อยละ 32 ในปี 2534 เหลือร้อยละ 20 ในปี 2558 พร้อมกับการเปลี่ยนค่านิยมจากการเห็นการสูบเป็นเรื่องเท่ กลายเป็นเห็นการสูบเป็นเรื่องไม่เป็นที่ยอมรับในสังคม นี่คือความสำเร็จของการดำเนินงานป้องกันและแก้ไขปัญหายาสูบ นพ.บัณฑิตกล่าว

องค์การอนามัยโลกพิจารณาเห็นว่า ประเทศไทยประสบความคืบหน้าอย่างมากในการควบคุมยาสูบ เป็นแบบอย่างให้แก่ประเทศต่างๆ ในโลกได้ จึงจัดให้มีการถวายโล่เกียรติยศแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เป็นกรณีพิเศษในงานวันงดสูบบุหรี่โลกที่จัดขึ้นเป็นพิเศษที่กรุงเทพมหานคร ในปี 2543 โดยระบุคำประกาศเกียรติคุณบนโล่ที่ถวายพระองค์ ดังนี้


@@@@@@@

ขอพระราชทานทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชแห่งประเทศไทย เพื่อเชิดชูพระเกียรติในฐานะที่ทรงเป็นผู้นำทางจิตใจที่มุ่งมั่นและกอปรด้วยพลัง ทรงเป็นแบบอย่างทางสาธารณสุข ได้ทรงสร้างแนวทางตลอดจนบริบททางวัฒนธรรม ที่สนับสนุนกิจกรรมต่อต้านบุหรี่ที่โดดเด่นที่สุดในเอเชีย อีกทั้งได้พระราชทานแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่แก่ราษฎรของพระองค์ ประชาชนในภูมิภาคและในโลก

นพ.บัณฑิตกล่าวทิ้งท้ายว่า นี่คือประจักษ์พยานที่โลกมองเห็นพระบารมีของพระองค์ที่สนับสนุนอยู่เบื้องหลังความสำเร็จของการขับเคลื่อนการควบคุมการบริโภคยาสูบในประเทศไทย




ขอบคุณที่มา :-
website : https://www.matichon.co.th/local/news_344118
วันที่ 2 พฤศจิกายน 2559 - 10:18 น.   

 19 
 เมื่อ: ธันวาคม 25, 2025, 08:30:55 am 
เริ่มโดย raponsan - กระทู้ล่าสุด โดย raponsan
.


บุหรี่ (บาลีวันละคำ 4,621)
ดูก่อนภราดา.! ห้ามใจไม่ได้ ห้ามอะไรก็ห้ามไม่ได้ ห้ามใจได้ ก็ไม่ต้องห้ามอะไรเลย



 :49:

บุหรี่ บาลีว่าอย่างไร.?

คำว่า “บุหรี่” พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า :-
“บุหรี่ : (คำนาม) ยาสูบที่ใช้ใบตองหรือกระดาษเป็นต้นมวนใบยาที่หั่นเป็นฝอย.”

พจนานุกรม สอ เสถบุตร แปล “บุหรี่” เป็นอังกฤษว่า cigar, cigarette

พจนานุกรมอังกฤษ-บาลี แปล cigar, cigarette เป็นบาลีว่า :-
dhūmavaṭṭikā ธูมวฏฺฏิกา (ทู-มะ-วัด-ติ-กา) = สิ่งที่เป็นมวนกลมและมีควัน





“ธูมวฏฺฏิกา” ประกอบด้วยคำว่า ธูม + วฏฺฏิกา

(๑) “ธูม” อ่านว่า ทู-มะ รากศัพท์มาจาก ธู (ธาตุ = หวั่นไหว) + ม ปัจจัย : ธู + ม = ธูม (ปุงลิงค์) แปลตามศัพท์ว่า “สิ่งที่เคลื่อนไหวขึ้นไปข้างบน” หมายถึง ควันไฟ, ไอ (smoke, fumes)

ในภาษาไทย พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 ไม่ได้เก็บรูปคำ “ธูม” ไว้ แต่เก็บเป็น “ธุม” (ธุ– สระ อุ) บอกไว้ว่า :-

“ธุม, ธุม– : (คำแบบ) (คำนาม) ควัน. (ป., ส. ธูม).”

(๒) “วฏฺฏิกา” อ่านว่า วัด-ติ-กา รูปคำเดิมมาจาก วฏฺฏิ + ก สกรรถ + อา ปัจจัยเครื่องหมายอิตถีลิงค์

    (ก) “วฏฺฏิ” อ่านว่า วัด-ติ รากศัพท์มาจาก วฏฺฏ (ธาตุ = หมุน, วน) + อิ ปัจจัย : วฏฺฏ + อิ = วฏฺฏิ(อิตถีลิงค์) แปลตามศัพท์ว่า “สิ่งที่กลม” “สิ่งที่หมุนเวียน”

         “วฏฺฏิ” ในบาลีใช้ในความหมายดังนี้
           (1) ไส้ตะเกียง (a wick)
           (2) สิ่งที่สอดเข้าไป, ผ้าซับใน, เยื่อ, หนัง (enclosure, lining, film, skin)
           (3) ขอบ, มุม, ริม, เส้นรอบวง (edge, rim, brim, cireumference)
           (4) ตอน, ขอบ, ชาย (strip, fringe)
           (5) ฝัก, ถุง, ฝักถั่ว (a sheath, bag, pod)
           (6) ก้อน, ลูกกลม (a lump, ball)
           (7) การกลิ้งหรือม้วน, การไหล [พูดถึงน้ำ], การเทลง (rolling forth or along, a gush [of water], pour)

    (ข) วฏฺฏิ + ก สกรรถ (ลง ก ปัจจัย แต่มีความหมายเท่าเดิม) + อา ปัจจัยเครื่องหมายอิตถีลิงค์ : วฏฺฏิ + ก = วฏฺฏิก + อา = วฏฺฏิกา (วัด-ติ-กา) แปลว่า “สิ่งที่กลม” “สิ่งที่หมุนเวียน” “สิ่งที่ประกอบกันเป็นมวน” มีความหมายเท่ากับ “วฏฺฏิ”





ประสมคำ

ธูม + วฏฺฏิกา = ธูมวฏฺฏิกา (ทู-มะ-วัด-ติ-กา) แปลว่า “มวนที่มีควัน” > บุหรี่ > cigar, cigarette

ขยายความ

คำว่า “มวน” พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 เก็บไว้เป็น “มวน ๒” บอกไว้ว่า :-

“มวน ๒ : (คำกริยา) ม้วนเส้นยาสูบด้วยใบตองหรือใบจากเป็นต้นให้เป็นบุหรี่. (คำนาม) ลักษณนามของบุหรี่ เช่น บุหรี่ ๒ มวน.”

“บุหรี่” นั้น ตามวัฒนธรรมเดิมของไทย เมื่อจัดถวายพระ ท่านเรียกว่า “เภสัช” แปลว่าเรามองว่า “บุหรี่” เป็น “ยา” ชนิดหนึ่ง

จึงขึ้นอยู่กับว่า พระสูบบุหรี่ในฐานะเป็น “ยา” หรือสูบในฐานะเป็น “ยาเสพติด” และจะมีเกณฑ์วินิจฉัยอย่างไรว่า สูบแค่ไหนเป็นยา สูบแค่ไหนเป็นยาเสพติด กระบวนการตรวจสอบจะทำกันอย่างไร

แต่ที่สำคัญที่สุดคือ ในวิถีชีวิตสงฆ์ มีความจำเป็นแค่ไหนเพียงไรที่พระจะต้องใช้วิธีบุหรี่เป็นยารักษาโรค ใครจะเป็นผู้ตอบวินิจฉัยคำถามนี้.?

ดูก่อนภราดา.! ห้ามใจไม่ได้ ห้ามอะไรก็ห้ามไม่ได้ ห้ามใจได้ ก็ไม่ต้องห้ามอะไรเลย



ขอบคุณ : https://dhamtara.com/?p=31263
18 เมษายน 2025 | suriyan bunthae
#บาลีวันละคำ (4,621) ,5-2-68


 :49: :49:

พระสูบบุหรี่ อาบัติไหม.?
เจ้าของกระทู้ : ธรรมทัศนะ | วันที่ 29 ก.ย. 2568

การที่จะปรับอาบัติของพระที่สูบบุหรี่ต้องเกิดจากพุทธบัญญัติ พระพุทธเจ้าต้องประชุมสงฆ์ว่า ภิกษุสูบบุหรี่ไม่ได้ เมื่อภิกษุสูบบุหรี่แล้วจึงเป็นอาบัติ แต่สมัยนั้นไม่มี ถ้าท่านเห็นโทษ ท่านก็ละได้ ถ้าท่านยังไม่เห็นโทษ ก็ยังละไม่ได้

@@@@@@@

พระสูบบุหรี่จะผิดศีลหรือเปล่า.?

สุ. ต่อไปเป็นคำถามของเด็กนักเรียน บุหรี่เป็นยาเสพติดหรือเปล่า ถ้าเป็น พระสูบบุหรี่จะผิดศีลหรือเปล่า

อ.สมพร บุหรี่ในสมัยพุทธกาลไม่ได้บัญญัติไว้ ในสมัยนี้เราก็มาคิดดูว่า การสูบบุหรี่ไม่เหมาะสม เมื่อไม่เหมาะสมก็ไม่สมควรเหมือนกัน แต่ไม่มีการปรับอาบัติ การที่จะปรับอาบัติของพระที่สูบบุหรี่ต้องเกิดจากพุทธบัญญัติ พระพุทธเจ้าต้องประชุมสงฆ์ว่า ภิกษุสูบบุหรี่ไม่ได้ เมื่อภิกษุสูบบุหรี่แล้วจึงเป็นอาบัติ แต่สมัยนั้นไม่มี

ผู้ที่บวชเป็นพระแล้ว ถ้าท่านเห็นการสูบบุหรี่ การติดบุหรี่ ไม่ดี ท่านก็ เลิกไปเอง ละไปเอง คือ ถ้าท่านเห็นโทษ ท่านก็ละได้ ถ้าท่านยังไม่เห็นโทษ ก็ยังละไม่ได้

พระก็ตาม ฆราวาสก็ตาม ก็เหมือนกัน ถ้าเห็นโทษแล้ว จึงจะละได้ สมมติว่าเราดื่มสุราประจำ ถ้ายังไม่เห็นโทษของการดื่มสุรา เราก็ยังละสุราไม่ได้ ยังเห็นว่า สุรามีคุณ ตราบใดที่เราเห็นโทษของสุราแล้ว เราไม่ดื่ม ขณะนั้นก็เป็นกุศล

เพราะฉะนั้น เรื่องบุหรี่ ไม่มีพุทธบัญญัติ แล้วแต่จะคิดเอา [ตอนที่ 1844]



(ท่านอาจารย์สมพร ศรีวราทิตย์ ณ อาคารมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ซอยเจริญนคร ๗๘)



ขอบคุณ : https://www.dhammahome.com/webboard/topic/51041
บ้านธัมมะ > กระดานสนทนา > สนทนาธรรม

 20 
 เมื่อ: ธันวาคม 24, 2025, 11:56:44 am 
เริ่มโดย todaytimepost11 - กระทู้ล่าสุด โดย todaytimepost11
รับทุบตึก รื้อถอนฟรี ประเมินหน้างานฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย รื้อถอนอาคารสิ่งปลูกสร้างทุกชนิด อาคารพาณิชย์ อพาร์ทเม้นท์ รื้อถอนโรงงาน รื้อถอนโกดัง รื้อถอนอาคาร รื้อโกดังเก่า รับรื้อโครงเหล็ก บริการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างทุกชนิดครบวงจร

รับรื้อถอนอาคาร บ้าน โกดังเก่า ประเมินหน้างานฟรี ทั่วกรุงเทพและปริมณฑล รับรื้อถอนสำนักงาน รับซื้อโครงสร้างเหล็ก บริการรับทุบตึกรื้อถอนฟรี ประเมินหน้างานฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย

⭐ทุบตึก บ้าน โรงงาน รื้อถอนฟรี รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างทุกชนิดไม่มีค่าใช้จ่าย บ้าน อาคารพาณิชย์ โรงงาน โกดัง อพาร์ทเม้นท์ ด้วยทีมงานมืออาชีพ

 บริการหลักของเรา: รับทุบตึกรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างทุกชนิด

เราให้บริการครอบคลุมงานรื้อถอนทุกรูปแบบ โดยเน้นการใช้เครื่องจักรและเครื่องมือที่ทันสมัย เพื่อให้งานเสร็จตามกำหนดและมีความปลอดภัยสูงสุด:

    รับทุบตึก และรื้อถอนอาคารทุกประเภท:
       
        รับทุบบ้านเก่า บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์
        รื้อถอนอาคารพาณิชย์ อาคารสูง อพาร์ทเม้นท์ คอนโด
        รื้อถอนโรงงาน รื้อถอนโกดังเก่า และอาคารขนาดใหญ่
    รับเหมารื้อถอนก่อสร้าง และสิ่งปลูกสร้างเฉพาะส่วน
    พร้อมบริการ รับรื้อโครงเหล็ก และรับซื้อโครงสร้างเหล็ก (ช่วยลดภาระค่าใช้จ่าย)
    บริการเคลียร์พื้นที่ ขนย้ายเศษวัสดุก่อสร้าง และขยะจากการรื้อถอน


เมื่อคุณต้องการพื้นที่ใหม่สำหรับการก่อสร้าง หรือต้องการปรับปรุงอาคารเก่าให้กลับมาใช้งานได้ การรื้อถอนที่ปลอดภัย รวดเร็ว และเป็นมืออาชีพคือหัวใจสำคัญ เราคือทีมงานมืออาชีพที่พร้อมให้บริการรับทุบตึก และรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างอย่างครบวงจร ตั้งแต่ขั้นตอนการประเมิน ไปจนถึงการเคลียร์พื้นที่ให้พร้อมสำหรับการเริ่มต้นใหม่

    บริการประเมินหน้างานฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่ายในการเข้าสำรวจและประเมินราคา
    มีโอกาส รับทุบตึก รื้อถอนฟรี! (ในกรณีที่มูลค่าของวัสดุที่รื้อถอนครอบคลุมค่าใช้จ่าย)
    ทีมงานมีประสบการณ์มากกว่า 10 ปี ในงานรับทุบตึก ทั่วกรุงเทพและปริมณฑล
    ใช้เครื่องจักรและอุปกรณ์รื้อถอนที่ได้มาตรฐาน เพื่อความแม่นยำและปลอดภัยสูงสุด


เราให้คำปรึกษาและดำเนินการด้วยความรวดเร็ว ตรงไปตรงมา พร้อมรับประกันความเรียบร้อยของพื้นที่หลังการทำงาน เพื่อให้คุณมั่นใจได้ว่าโครงการใหม่ของคุณจะเริ่มต้นได้อย่างราบรื่น

 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม หรือนัดประเมินหน้างานฟรี!

คุณ ดาว  โทรศัพท์: 093-252-1148, 084-913-1688

web:www.รับจ้างทุบตึก.com
www.xn--12clc7cjpd1eygm2cv1t.com
 

หน้า: 1 [2] 3 4 ... 10