รับทุบตึก รื้อถอนฟรี ประเมินหน้างานฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย รื้อถอนอาคารสิ่งปลูกสร้างทุกชนิด อาคารพาณิชย์ อพาร์ทเม้นท์ รื้อถอนโรงงาน รื้อถอนโกดัง รื้อถอนอาคาร รื้อโกดังเก่า รับรื้อโครงเหล็ก บริการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างทุกชนิดครบวงจร
รับรื้อถอนอาคาร บ้าน โกดังเก่า ประเมินหน้างานฟรี ทั่วกรุงเทพและปริมณฑล รับรื้อถอนสำนักงาน รับซื้อโครงสร้างเหล็ก บริการรับทุบตึกรื้อถอนฟรี ประเมินหน้างานฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย
⭐ทุบตึก บ้าน โรงงาน รื้อถอนฟรี รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างทุกชนิดไม่มีค่าใช้จ่าย บ้าน อาคารพาณิชย์ โรงงาน โกดัง อพาร์ทเม้นท์ ด้วยทีมงานมืออาชีพ
บริการหลักของเรา: รับทุบตึกรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างทุกชนิด
เราให้บริการครอบคลุมงานรื้อถอนทุกรูปแบบ โดยเน้นการใช้เครื่องจักรและเครื่องมือที่ทันสมัย เพื่อให้งานเสร็จตามกำหนดและมีความปลอดภัยสูงสุด:
รับทุบตึก และรื้อถอนอาคารทุกประเภท:
รับทุบบ้านเก่า บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์
รื้อถอนอาคารพาณิชย์ อาคารสูง อพาร์ทเม้นท์ คอนโด
รื้อถอนโรงงาน รื้อถอนโกดังเก่า และอาคารขนาดใหญ่
รับเหมารื้อถอนก่อสร้าง และสิ่งปลูกสร้างเฉพาะส่วน
พร้อมบริการ รับรื้อโครงเหล็ก และรับซื้อโครงสร้างเหล็ก (ช่วยลดภาระค่าใช้จ่าย)
บริการเคลียร์พื้นที่ ขนย้ายเศษวัสดุก่อสร้าง และขยะจากการรื้อถอน
เมื่อคุณต้องการพื้นที่ใหม่สำหรับการก่อสร้าง หรือต้องการปรับปรุงอาคารเก่าให้กลับมาใช้งานได้ การรื้อถอนที่ปลอดภัย รวดเร็ว และเป็นมืออาชีพคือหัวใจสำคัญ เราคือทีมงานมืออาชีพที่พร้อมให้บริการรับทุบตึก และรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างอย่างครบวงจร ตั้งแต่ขั้นตอนการประเมิน ไปจนถึงการเคลียร์พื้นที่ให้พร้อมสำหรับการเริ่มต้นใหม่
บริการประเมินหน้างานฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่ายในการเข้าสำรวจและประเมินราคา
มีโอกาส รับทุบตึก รื้อถอนฟรี! (ในกรณีที่มูลค่าของวัสดุที่รื้อถอนครอบคลุมค่าใช้จ่าย)
ทีมงานมีประสบการณ์มากกว่า 10 ปี ในงานรับทุบตึก ทั่วกรุงเทพและปริมณฑล
ใช้เครื่องจักรและอุปกรณ์รื้อถอนที่ได้มาตรฐาน เพื่อความแม่นยำและปลอดภัยสูงสุด
เราให้คำปรึกษาและดำเนินการด้วยความรวดเร็ว ตรงไปตรงมา พร้อมรับประกันความเรียบร้อยของพื้นที่หลังการทำงาน เพื่อให้คุณมั่นใจได้ว่าโครงการใหม่ของคุณจะเริ่มต้นได้อย่างราบรื่น
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม หรือนัดประเมินหน้างานฟรี!
คุณ ดาว โทรศัพท์: 093-252-1148, 084-913-1688
www.รับจ้างทุบตึก.com
https://www.xn--12clc7cjpd1eygm2cv1t.com
- สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน «
- กระทู้เมื่อเร็วๆ นี้
|
11
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: รับทุบตึก | บริการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างทุกประเภท ทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล
เมื่อ: ธันวาคม 22, 2025, 10:32:41 am
|
||
| เริ่มโดย todaytimepost11 - กระทู้ล่าสุด โดย todaytimepost11 | ||
|
12
เมื่อ: ธันวาคม 22, 2025, 08:13:16 am
|
||
| เริ่มโดย raponsan - กระทู้ล่าสุด โดย raponsan | ||
|
.
![]() ภาพวาดกรุงศรีอยุธยา โดย Johann Christoph Haffner ราว ค.ศ. 1700 “คำสาปแช่ง” ในจารึกสมัยอยุธยา คนสาปแช่งเรื่องอะไรบ้าง.? ![]() เคยสงสัยไหม ในจารึกสมัยอุยธยา ปรากฏ “คำสาปแช่ง” ว่าอะไร.? มีข้อมูลระบุว่า คำสาปแช่งในจารึกสมัยกรุงศรีอยุธยา เป็นการสาปแช่งหลังข้อความที่กล่าวถึงกัลปนา (หมายถึง ที่ดินหรือสิ่งอื่น ๆ ที่เจ้าของอุทิศประโยชน์แก่วัดหรือศาสนา-ผู้เขียน) เช่น หากใครนำของวัดไปเป็นของคนอื่น หรือนำข้าพระ (ผู้ที่มูลนายยกให้เพื่อรักษาวัดและปฏิบัติพระสงฆ์-ผู้เขียน) ไปเป็นของตน หรือทำให้ข้าพระพ้นจากสถานะ ก็ขอให้คนนั้นตกนรกหมกไหม้ ![]() ภาพวาดกรุงศรีอยุธยา โดย Struys Jan Janszoon ค.ศ. 1681 อย่างใน “จารึกศิลาจารึกหลังพระพุทธรูปปางลีลา พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ จันทรเกษม” ก็มีข้อความสาปแช่งที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหานี้ ว่า “ใครมาอ้างหลังของพระเจ้าแลย่ำยีบีฑา จุ่งเอาลูกเต้าเผ่าพันธุ์ใส่แมกผกาข้าพระเจ้าแสนอธรรมดายนี้ จุ่งผู้นั้นตกนรกแสนกัลป์อย่ารู้เกิด(อย่า)ให้รู้ทานตนพยาทรก่อนใดไส้ อย่าให้เอาเขามาเกิดทันเห็นพระเจ้าสักอัน ฯ” ภาพโคลงภาพ “สร้างกรุงศรีอยุธยา” เขียนโดย นายอิ้ม ในสมัยรัชกาลที่ 5 (ภาพจากหนังสือ “พระราชพงศาวดาร เล่ม ๑ ฉบับพิมพ์ ร.ศ. ๑๒๐ พ.ศ. ๒๔๔๔) โดยกรมศึกษาธิการ กระทรวงธรรมการ ไม่เพียงแค่จารึกดังกล่าว แต่ “ศิลาจารึกอักษรขอม ภาษาไทย ณ กรุงพุกาม (ทวาย)” ก็มีข้อความสาปแช่งให้คนที่คิดจะเอาที่นาหรือข้าทาสไปจากวัดที่กัลปนาไว้ตกนรก ดังข้อความว่า “…ผิมหาบุรุษผู้ใด (ก็ดี) และเอานานี้ออกจากพระพุทธเจ้า (ขอท่านทั้งหลาย) นี้ พระพุทธเจ้าเกิดมาเท่าทรายทั้งสี่สมุทร จงท่านผู้นั้นอย่าพบ อย่าเห็น อย่าได้ฟัง อย่าได้ยิน จงพระจตุโลกบาลทั้งสี่แลอินทราธิราช (บันดาล) โดยโทษนั้น (จม) ไปยังมหา (อวิจี) นรก ดุงดังเทพทัณฑ์นั้น อนึ่ง จงท่านผู้เขียนนั้นจง ถึงแก่กรรมบ่รู้จักกี่ร้อยนัย อนึ่งโจรปล้น ท้าวพระยาริบ (เรือน) ไฟไหม้ ไปในน้ำจงจระเข้ขบชีวาเอาผิไปป่าจงงูขบช้างแทง เสือเอาชีวีสรีระบัดนั้น บาปจงตกแก่ผู้เบียนนาพระเจ้านั้นเทอญ…” เห็นได้ว่าคำสาปแช่งในจารึกสมัยนั้นเกี่ยวข้องกับเรื่องศาสนาและความเชื่อนั่นเอง อ่านเพิ่มเติม :- • คำยืมภาษาเขมรที่ปรากฏในศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง • ปราสาทตาเมือนธม จ. สุรินทร์ อายุเกือบ 1,000 ปี แหล่งอุดมจารึกแห่งอีสานใต้ • “ถ้าไม่มีคนไทยคนไหนจะอ่านจารึกได้ ผมนี่แหละจะต้องอ่านจารึกให้ได้” : ศ. ดร. ประเสริฐ ณ นคร ขอขอบคุณ :- ผู้เขียน : ปดิวลดา บวรศักดิ์ เผยแพร่ : วันพุธที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ.2568 เผยแพร่เนื้อหาในระบบออนไลน์ครั้งแรก : เมื่อ 30 กรกฎาคม 2568 website : https://www.silpa-mag.com/history/article_156283 อ้างอิง : ศานติ ภักดีคำ. ประวัติศาสตร์อยุธยาจากจารึก : จารึกสมัยอยุธยา. กรุงเทพฯ : สมาคมประวัติศาสตร์ในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี, 2561. ![]() นักภาษาแกะจารึก ‘ถวายข้าทาส’ เห็นพาวเวอร์หญิง-เจอคำแช่งแรง ‘ให้เป็นหนอนในกองขี้หมา’ นักภาษาศาสตร์แกะจารึก เล่ามุม ‘ถวายข้าทาส’ ชี้หญิงก็เป็นใหญ่ สายตระกูลฝ่ายแม่มีพาวเวอร์สืบทอดราชสมบัติ – ขุดเจอคำแช่งแรงเว่อร์ ‘ขอให้เป็นหนอนในกองขี้หมา’ เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน ที่หอศิลป์มหาวิทยาลัยศิลปากร (วังท่าพระ) เขตพระนคร กรุงเทพฯ เนื่องในโอกาสครบรอบ 70 ปี คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร จัดเวทีแถลงข่าว ‘ค้นความหลากหลาย ไท-ไทย’ เพื่อสร้างความเข้าใจถึงความหลากหลายทางชาติพันธุ์และวัฒนธรรม ซึ่งก่อร่างมาเป็นประเทศไทย ตลอดจนลดอคติทางวัฒนธรรม อันเป็นสาเหตุของปัญหาความขัดแย้งหลายประการในสังคมไทย บรรยากาศเวลา 10.00 น. มีการเสวนา ‘ความหลากหลายทางวัฒนธรรม ภาษา และชาติพันธุ์ของผู้คนในดินแดนไทย’ ซึ่งเป็นการเปิดผลการวิจัยล่าสุด ได้แก่ การค้นพบหลักฐานทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับพันธุกรรมศาสตร์ทางโบราณคดี สอดคล้องสัมพันธ์กับการศึกษาวิจัยอื่นๆ ที่ดำเนินการโดยสาขาวิชาต่างๆ ของคณะฯ ซึ่งช่วยตอบคำถามทางประวัติศาสตร์ความเป็นมาของผู้คนบนดินแดนไทย สะท้อนว่า ไทยเป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ และ วัฒนธรรมเป็นอย่างมาก มีการอยู่ร่วมกันของผู้คนที่แตกต่าง ซึ่งหลอมรวมทางวิถีชีวิตมาร่วมกันอย่างยาวนาน โดยนำเสนอมุมมองทั้ง 4 ด้านดังนี้ ด้านโบราณคดีโดย ศ.ดร.รัศมี ชูทรงเดช และอาจารย์ ดร.นฤพล หวังธงชัยเจริญ จากภาควิชาโบราณคดี, ด้านภาษาและจารึก โดย ผศ.ดร.กังวล คัชชิมา ภาควิชาภาษาตะวันออก, ด้านมานุษยวิทยา โดย ผศ.ดร.ดำรงพล อินทร์จันทร์ ภาควิชามานุษยวิทยา, ด้าน ประวัติศาสตร์ศิลปะ โดย รศ.ดร.ประภัสสร์ ชูวิเชียร ภาควิชาประวัติศาสตร์ศิลปะ ดำเนินรายการโดย น.ส.วรรณศิริ ศิริวรรณ ผู้ประกาศข่าวสำนักข่าวไทย (อสมท.) อดีตศิษย์เก่า ![]() ในตอนหนึ่ง ผศ.ดร.กังวลกล่าวว่า ในเรื่องเกี่ยวกับตัวอักษรและจารึก ได้สนับสนุนผลการวิจัยของ ศ.ดร.รัศมี ในช่วงยุคก่อนประวัติศาสตร์ คือช่วงก่อนที่จะมีตัวอักษรใช้ ส่วนช่วงประวัติศาสตร์ เมื่อมีตัวอักษรใช้ในการบันทึก ทฤษฎีที่ว่ากันต่อมา คือเรารับตัวอักษรมาใช้ช่วงประมาณปี 1,000 อักษรแบบ ‘ปัลลวะ’ หลังศึกษา มีข้อมูลประกอบมากขึ้น พบว่ามีตัวอักษรที่เก่าไปกว่านั้นคือมากกว่า 1,000 ปี ภาษาที่เราพบสมัยแรกๆ มีการหยิบยืมตัวอักษรจากอินเดียมา ซึ่งต้องพัฒนาหลายร้อยปี จึงจะเขียนภาษาของตัวเองได้ ภาษาแรกๆ ที่รับมา นอกจากสันสกฤตแล้ว ยังมีมอญโบราณ และเขมรโบราณ ซึ่งยังไม่ได้มีแค่นั้น ![]() จากงานวิจัยที่ อ.ปางมะผ้า จ.แม่ฮ่องสอน เป็นสมัยก่อนประวัติศาสตร์ เราไม่สามารถสืบย้อนการใช้ภาษาไปจนถึงยุคก่อนประวัติศาสตร์ได้ เพราะจำกัดอยู่เท่าที่มีหลักฐาน การศึกษาด้านโบราณคดีหรือจารึกจะต้องมีหลักฐาน แม้จะมีการกล่าวอ้างว่า ตัวอักษรแบบกระเบื้องจาน สามารถย้อนได้ไปถึง 6,000-8,000 ปี แต่ว่ามันไม่มีหลักฐานที่ชี้ว่าจะมีความสัมพันธ์กับภาษาในปัจจุบันได้ ![]() “การที่คณะโบราณคดีบอกว่าจารึกแบบนี้อ่านแล้วแปลแบบนี้ แน่ใจได้อย่างไรว่าอ่านถูก ไปเข้าทรงมาหรือ จริงๆ แล้วพิสูจน์ง่ายมาก ของที่ขุดค้นพบใหม่ มันถูกทับถมหลายร้อยพันปี ถ้าเราไปค้นพบตัวอักษรหรือจารึก แล้วมันสอดคล้องกับสิ่งที่เราได้เรียนได้สอนในปัจจุบัน เท่ากับว่า มันถูกต้องแล้ว แต่ถ้าขุดไปเจอตัวอักษรประหลาดๆ อ่านไม่ได้ นั่นแสดงว่าที่เราสอนนั้นผิด หลายสิบปีที่ผ่านมา มีการขุดค้นพบหลักฐาน ใหม่ๆ และสอดคล้องกับหลักฐานที่เราแปลได้ แสดงว่ามันค่อนข้างถูกต้อง 99%” ![]() “ผมว่าตัว ‘จารึก’ จะบอกความรู้สึกนึกคิด ที่เขาคิดในขณะนั้นได้ดีที่สุด จารึกที่ถูกเขียนไว้บ่งบอกว่าเรื่องนั้นๆ เขากำลังคิดอะไร เช่น เราเจอกรุพระ ที่เขียนว่า ‘ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค’ ตอนแรกไม่เข้าใจว่าเขียนเพื่ออะไร แล้วเราไปเห็นว่าเขาเอาไปฝังรวมกลุ่มกัน เราก็ตีความว่ามันอาจจะเป็นการสืบทอดศาสนาหรือเปล่า ตีความจากเนื้อหาที่เขาเขียนด้วยส่วนหนึ่ง” “เขารู้สึก คิด และมีความตั้งใจเกี่ยวกับโลกหน้า เขียนเพื่อการบุญตามความเชื่อตามศาสนา ที่ว่าพุทธศาสนาจะมีอายุ 5,000 ปี เขาอาจจะเขียน เพื่อให้คนรุ่นหลัง พบว่า บริเวณนี้เคยมีพุทธศาสนาปรากฏอยู่ ที่ชัดเจนมากคือเรื่องโลกนี้-โลกหน้า ภาษาสันสกฤตในจารึกโบราณ สมมติเขาทำบุญถวายสิ่งนี้ เขาจะเขียนบอกเล่าว่าเขาเป็นใคร ไม่ได้เขียนว่าทำบุญด้วยสิ่งนี้ 1 ชิ้น เขาจะเล่าเลยว่า ตั้งแต่ต้นวงศ์เป็นใคร ครองเมืองเรื่อยมา เหมือนอย่างปราสาทสด๊กก๊อกธม ก็เล่าว่าใหญ่มาจากไหน เล่าย้อนไป 250 ปี” ผศ.ดร.กังวลกล่าวต่อว่า ในขณะเดียวกัน คนที่อยู่ร่วมสมัย ‘ทวารวดี’ เวลาเขียน เขียนแต่คาถา ส่วนตัวสันนิษฐานว่ากลัวพุทธศาสนาจะหายไปหรือไม่ ไม่ได้เขียนถึงกษัตริย์แม้แต่พระองค์เดียว จนกระทั่งปัจจุบันเราจึงเขียนถึงประวัติศาสตร์ทวารวดีไม่ได้เลย ![]() “ข้อจำกัดก็มี คือเข้าไม่ได้เขียนทุกสิ่งทุกอย่างไว้ ฉะนั้น ข้อความที่เขียนบอกเล่าเรื่องราว มันจะบอกทุกโจทย์ที่เราศึกษาได้ ศิลปะแบบนี้ปรากฏช่วงไหน ความคิดเหล่านี้ได้จากศิลาจารึกเป็นส่วนมาก” ผศ.ดร.กังวลกล่าวด้วยว่า ค่อนข้างชัดว่า คนเมื่อ 1,000-2000 ปีที่แล้ว คิดถึงเรื่องความตายชัดเจน ปรากฏในคำสาปแช่งที่ว่า ขอให้มันผู้นั้นตกนรก แล้วบอกชื่อขุมนรกด้วย ความเชื่อสะท้อนออกมา ‘ถ้าเกิดมันผู้นี้ เอาของ…ไปใช้ ก็ขอให้มันตกนรก ถ้าช่วยดูแลทะนุบำรุง ขอให้ขึ้นสวรรค์ ![]() “มันมีคำสาปแช่งด้วยว่า ‘ขอให้ตกนรก ตราบเท่าที่พระจันทร์และพระอาทิตย์ยังมีอยู่’ ที่น่าสนใจ ที่ปราสาทตาเมือนธม มันมีคำสาปแช่งไว้ว่า ‘ขอให้ตกนรกตราบเท่าที่พระศิวะยังมี 3 ตา พระนารายณ์ยังมี 4 มือและพระพรหมยังมี 4 หน้า’ แต่มีจารึกอีก 2 หลักที่ไม่แน่ใจว่าสัมพันธ์กันอย่างไรอันหนึ่งที่กัมพูชา และที่พม่า พูดคำสาปแช่งเหมือนกัน คือ ‘ขอให้มันพร้อมกับเผ่าพงศ์ จงตกนรก พอหมดกรรม ขอให้ไปเป็นหนอนในกองขี้หมา'” ผศ.ดร.กังวลเผย ผศ.ดร.กังวลกล่าวว่า สำหรับคนรุ่นหลัง ก่อนอื่นเราต้องถามตัวเองว่า เมื่อเรียน เข้าใจแล้วว่ากว่าจะมาเป็นเรา ต่อไปจะเป็นอย่างไร คนไทยมาจากไหน เราถามเยอะแล้ว แต่คนไทยจะไปไหน ? เรื่องเกี่ยวกับศิลาจารึก กว่าจะมาเป็น ก. ไก่ ในปัจจุบันเป็นมาอย่างไร บางครั้งตัวหลักฐานที่จะพบใหม่เริ่มน้อยลงๆ แต่สิ่งที่เราสนใจตอนนี้ คือ ที่ผ่านมาเราดูรอบด้านหรือยัง ลองวิเคราะห์จากหลักฐานเก่าที่มี “เอาง่ายๆ จารึกวัดพระงาม ที่ จ.นครปฐม มีคำว่า ‘โจตะกา’ ของทวาย แปลว่า นกคุ่ม ผมตื่นเต้น คนเมื่อ 1,400 ปีที่แล้ว เขาปล่อยนกปล่อยปลา แต่หลังจากที่มีการเผยแพร่ไปแล้ว เมื่อมานั่งคิดใหม่ เป็นไปได้หรือไม่ว่า มันเลือนหายไปนิดเดียว ถ้าไม่มีสระโอ แต่เป็นสระเอ ‘เจตะกา’ ความหมายเปลี่ยนเลย มันแปลว่า ข้ารับใช้ หรือทาส ![]() ดังนั้น เป็นความรับผิดชอบของคนที่จะศึกษา รุ่นใหม่ๆ เดิมที่เคยเชื่ออย่างนั้น เพราะมันมีหลักฐานแค่นั้น เราจึงต้องใช้หลายแนวคิด” ผศ.ดร.กังวลกล่าว ในช่วงท้าย ผศ.ดร.กังวลกล่าวเสริมถึงความรู้เรื่อง การสืบทอดทางฝ่ายผู้หญิง ซึ่งในตัวจารึกเอง เวลาจะ ‘ถวายข้าทาส’ มักจะบอกว่าเป็นลูกของนางอะไร ไม่ได้บอกชื่อผู้ชาย เราเห็นถึงความเข้มแข็งของการสืบทอดทางฝ่ายผู้หญิงในจารึก กระทั่งในหมู่พราหมณ์ “การอ้างสิทธิ์สืบทอดราชสมบัติ นอกจากจะอ้างฝ่ายพ่อแล้ว เขาจะต้องอ้างฝ่ายแม่ด้วย เช่นในอดีต รุ่นทวดของแม่เคยเป็นน้องของกษัตริย์องค์นี้ แล้วก็ไล่สายมาจนถึงสิทธิที่เขาจะได้ขึ้นครองราชย์ หรืออย่างเรื่องในปราสาทสด๊กก๊อกธม คนที่จะทำพิธีกรรมได้ ต้องเป็นผู้ชาย ต้องบวชเป็นพราหมณ์ แต่วิธีการสืบทอดถ้าเชื่อแบบพราหมณ์ ใครก็ตามที่ไม่มีลูกชาย จะต้องตกนรก แต่พอมาเป็นบ้านเรา คนที่สืบทอด ต้องเป็นลูกชายของพี่สาวหรือน้องสาวเท่านั้น วิธีสืบทอดไม่เหมือนกับทางอินเดีย วิธีการของบ้านเรา มีการสืบทอดทางฝ่ายหญิงเป็นใหญ่ ซึ่งเข้าไปมีอิทธิพล แม้กระทั่งในแง่รัฐศาสนา” ผศ.ดร.กังวลกล่าว ขอบคุณ : https://www.matichon.co.th/local/religious/news_4895608 วันที่ 12 พฤศจิกายน 2567 - 20:31 น. . ลือสะพัดชายแดนไทย-ลาว น้ำท่วมกรุงเทพฯ เหตุผิดคำสาบานพระแก้วมรกตของศักดินาในอดีต นครพนม - ใบปลิวว่อนชายแดนไทย-ลาวด้านจังหวัดนครพนม ต้นฉบับพิมพ์เป็นภาษาลาว ระบุเหตุน้ำท่วมกรุงเทพฯ เพราะผิดคำสาบานพระแก้วมรกตของศักดินาในอดีต ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วง 1-2 วันนี้ที่ จ.นครพนม ได้มีใบปลิวเนื้อหาเป็นภาษาลาว ระบุน้ำท่วมกรุงเทพฯ เพราะคำสาบานในอดีต แจกจ่ายแพร่สะพัดในตลาดโต้รุ่ง ร้านคาเฟ่อินเทอร์เน็ต และยังแปลข้อความในใบปลิวจากภาษาลาวเป็นภาษาไทยโพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊กต่อๆ กัน สำหรับข้อความในใบปลิวดังกล่าว ระบุหัวข้อตั้งคำถามน้ำท่วมกรุงเทพฯ เป็นเพราะคำสาบานในสมัยอดีตจริงหรือไม่ ด้วยเหตุใดพระแก้วมรกตของลาวจึงไปอยู่ในประเทศไทย ข้อความเล่าย้อนไปในอดีตว่า ภายหลังเจ้าอนุวงศ์ได้เสียชัยให้กับสยาม (กรุงเทพฯ) แล้ว ศักดินาสยามก็พยายามจะเอาพระแก้วมรกตไปสถิตไว้อยู่ประเทศไทย พวกเขาได้ใช้ความพยายามหลายวิธี แต่ไม่สามารถยกพระแก้วมรกตขึ้นได้ ฉะนั้น ศักดินาสยามจึงให้หมอดูลาว 5 คนเพื่อไปอ้อนวอนช่วย โดยมีเหตุผลอ้างอิงว่า ปัจจุบันนั้นเมืองลาวเกิดความวุ่นวายไม่สงบ ฉะนั้น จึงขออัญเชิญพระแก้วมรกตนี้ย้ายไปสถิตที่กรุงเทพฯ ถ้าหากว่าวันใดเมืองลาวมีความสงบ จะอัญเชิญพระแก้วมรกตไปสถิตสถานไว้ที่เมืองลาวเหมือนเดิม ใบปลิวพิมพ์ด้วยอักษรลาว ที่ว่ากันว่าฝั่งลาวมีอยู่ทุกครัวเรือน ข้อความยังระบุต่อไปว่า เพื่อเป็นการยืนยันศักดิ์ศรีของศักดินาสยามในเวลานั้น พวกเขาได้สาบานไว้ว่า “ถ้าหากประเทศไทยไม่ปฏิบัติตามคำสาบานดังกล่าวนี้ ขอให้มีมหันตภัย 5 อย่างเกิดขึ้นแก่ประเทศไทยดังนี้” (1) ขอให้น้ำท่วมบ้านท่วมเมือง, (2) ขอให้ประเทศไทยไม่มีความสงบ เจริญรุ่งเรือง การเมืองให้มีความสับสนวุ่นวาย, (3) อาณาจักรเดียวขอให้แบ่งเป็นหลายชาติ ความเป็นเอกราชขอให้พังทลาย, (4) ราชบัลลังก์ขอให้ถูกโค่นล้ม, (5) ดินส่วนหนึ่งขอให้จมลงทะเล เมื่อศักดินาสยามได้ยืนยันคำสาบานดังกล่าวแล้ว หมอดูลาวทั้ง 5 คนจึงพร้อมกันอัญเชิญพระแก้วมรกตตามจุดประสงค์ของไทย จากนั้นศักดินาสยามจึงสามารถยกเอาพระแก้วมรกตของลาวไปประดิษฐานอยู่ที่กรุงเทพฯจนถึงปัจจุบันนี้ @@@@@@@ นอกจากนี้ ในท้ายข้อความในใบปลิวยังอ้างว่า หนังสือฉบับนี้เอามาจากหอสมุดของแขวงหลวงพระบาง ต้นฉบับเป็นภาษาลาว ลงวันที่ 12/2/2010 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้มีข่าวลือสะพัดต่อเนื่องว่า มหาอุทกภัยครั้งใหญ่ของไทย อาจเกี่ยวข้องกับคำสาปหรือคำสาบานของไทยและลาว แต่ยังไม่มีเอกสารเป็นลายลักษณ์อักษรยืนยันที่อ้างว่ามีบันทึกอยู่ในหอสมุดแห่งชาติลาว กระทั่งมีผู้นำใบปลิวจากฝั่งลาวมาเผยแพร่ดังกล่าว ผู้นำใบปลิวมาเผยแพร่ยังระบุว่าชาวลาวมีใบปลิวข้อความเนื้อหาข้างต้นแทบทุกครัวเรือน ขอบคุณ : https://mgronline.com/local/detail/9540000140061 เผยแพร่ : 3 พ.ย. 2554 , 10:41 | โดย : MGR Online . ![]() ไขปริศนาคำสาป หินฟู งูใหญ่ ช้างเผือก และฆ้องสันติภาพโลก สู่ความเจริญรุ่งเรืองของประเทศลาว บทความพิเศษ ชุด ตามรอยเวียงจันทน์ ![]() “ประเทศลาวต้องคำสาปมาเป็นระยะเวลากว่า ๑,๐๐๐ ปี ทำให้ประเทศยากจน ไม่พัฒนา เพิ่งจะพ้นคำสาปเมื่อไม่นานมานี้เมื่อมี ๔ ปัจจัยเข้ามา ได้แก่ หินฟูน้ำ พญางูใหญ่ ช้างเผือก และฆ้องสันติภาพโลก” เสียงบรรยายของชบา ไกด์สาวชาวลาวบนรถบัสขณะมุ่งสู่สะพานมิตรภาพไทย-ลาว เพื่อส่งพวกเรา ในนามของสมาคมนิสิตเก่ามหาวิทยาลัยนเรศวร ซึ่งเดินทางมาจัดทำแผนยุทธศาสตร์ ณ ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ตั้งแต่วันที่ ๓ – ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ กลับสู่ฝั่งไทย ณ จังหวัดหนองคาย ได้กระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของฉันขึ้นมาในบัดดล...เรื่องของคำสาปอาจจะเป็นหนึ่งประวัติศาสตร์ ตำนาน หรือเพียงความเชื่อ เรื่องราวที่เล่าสืบต่อกันมา แต่นี่คืออีกหนึ่งรูปแบบ วิธีคิดอันน่าสนใจ ไม่แตกต่างจากคนไทย ซึ่งดูแล้วจะให้คุณมากกว่าโทษ ด้วยเวลาอันน้อยนิด ไม่สามารถสอบถามรายละเอียดจากไกด์ชบาได้มากกว่านี้ ฉันจึงต้องกลับมาศึกษา สืบค้น ประมวลและสรุป ออกมาเป็นอีกหนึ่งเรื่องราวคำสาปของประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว @@@@@@@ ย้อนรอยตำนานคำสาปของท้าวศรีโคตรตะบอง กาลครั้งหนึ่งเมืองเวียงจันทน์เกิดความเดือดร้อน มีช้างป่าจำนวนล้าน ๆ ตัว มาบุกรุกทำลายเรือกสวนไร่นาและบ้านเรือน เจ้าเมืองเวียงจันทน์จึงประกาศหาคนดีมาปราบช้าง โดยตั้งเงื่อนไขไว้ว่า หากผู้ใดปราบช้างได้จะได้รับพระราชทานพระราชธิดาแห่งเวียงจันทน์เป็นคู่ครอง ครานั้นเอง ท้าวศรีโคตรผู้มีอาวุธวิเศษเป็นพระตะบองเพชร ผู้มีวิชาเก่งกล้าหาผู้ใดเปรียบ รับอาสาปราบช้าง สำหรับท้าวศรีโคตรนี้สันนิษฐานว่าอาจเป็นชาวกูย ซึ่งเป็น ๑ ในกลุ่มชาติพันธุ์พื้นเมืองที่เก่งเรื่องช้าง ปราบช้างมาแต่โบราณ มาจากแถบดินแดนศรีโคตรบูรณ์ จึงเรียกว่า ท้าวศรีโคตร และยังมีประวัติศาสตร์บอกเล่าอีกว่า ท้าวศรีโคตรทรงฤทธานุภาพ ฆ่าไม่ตาย และสามารถลากท่อนซุงขนาดใหญ่มาทำกระบอง เพื่อปราบช้างป่านับล้านตัวให้กับ “อาณาจักรเวียงจันทน์” จนเป็นที่มาของ “อาณาจักรล้านช้าง” เมื่อท้าวศรีโคตรปราบช้างสำเร็จ เจ้าเมืองเวียงจันทน์จึงพระราชทานพระราชธิดา พร้อมสร้างปราสาทให้ ต่อมาเจ้าเมืองเวียงจันทน์ระแวงกลัวว่า ท้าวศรีโคตรจะแย่งบัลลังก์ จึงใช้อุบายต่าง ๆ เพื่อที่จะกำจัดท้าวศรีโคตร แต่ไม่สำเร็จ ท้าวศรีโคตรฟันแทงไม่เข้า จึงคิดอุบายหลอกให้พระราชธิดาไปถามท้าวศรีโคตร ในที่สุดท้าวศรีโคตรก็ถูกลอบปลงพระชนม์ ด้วยคมหอกทางทวารหนัก ก่อนเสียชีวิตท้าวศรีโคตรได้ร่ายมนต์สาปแช่งนครเวียงจันทน์ให้พบกับความพินาศล่มจม หากจะเจริญก็ให้เป็นแค่ “ให้ฮุ่งเพียงช้างพับหู ฮุ่งเพียงงูแลบลิ้น” และจะพ้นคำสาปก็ต่อเมื่อมีหินฟูน้ำ งูใหญ่ และช้างเผือก ![]() สมเด็จพระเทพฯ ทรงเปิดสถานีรถไฟท่านาแล้ง และฉายพระรูปร่วมกับท่านบุนยัง วอละจิด รองประธานประเทศ และคณะ ไขปริศนาคำสาป ปัจจุบันคนลาวเชื่อว่าคำสาปของท้าวศรีโคตรถูกลบล้างลงแล้ว โดยมีเรื่องราวความสัมพันธ์กับประเทศไทยเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องอันสำคัญ (๑) “หินฟูน้ำ” ถูกตีความว่า หมายถึงสะพาน เป็นการเปรียบถึงการที่หินซึ่งอยู่ใต้น้ำได้ฟูลอยขึ้นมาอยู่เหนือน้ำ และสะพานที่กล่าวถึงก็คือ สะพานมิตรภาพไทย-ลาว ซึ่งสร้างขึ้นแห่งแรกที่จังหวัดหนองคาย (๒) “ช้างเผือก” ถูกบางคนตีความว่า หมายถึงฝรั่งหรือชาวตะวันตกที่เดินทางเข้ามาลงทุนในประเทศลาวเป็นจำนวนมาก มีโครงการลงทุนของประเทศต่าง ๆ เกิดขึ้นหลายโครงการ แต่สำหรับช้างเผือกในความหมายของไกด์ชบาลึกซึ้งกว่านั้น ช้างเผือกในที่นี้หมายถึง ผู้มีบุญบารมีหรือมีบุญญาธิการเข้ามาในประเทศลาว นั่นคือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ ๙ เสด็จพระราชดำเนินเปิดสะพานมิตรภาพไทย-ลาว เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๗ ซึ่งนับเป็นประวัติศาสตร์สำคัญและมีนัยหมายถึงความเจริญรุ่งเรืองของลาว ดังข้อมูลจาก http://info.gotomanager.com/news/details. aspx?id=78808 ที่กล่าวไว้ว่า มองในมิติความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ในพระราชพิธีเปิดใช้สะพานอย่างเป็นทางการเมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๗ พระบาทสมเด็จปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงเสด็จฯ ไปเป็นองค์ประธานร่วมกับหนูฮัก พูมสะหวัน ประธานประเทศ แห่ง สปป. ลาว (ในขณะนั้น) ถือเป็นการกระชับความสัมพันธ์และเปิดหน้าประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างทั้ง ๒ ประเทศในบริบทใหม่ จากที่เคยระแวงซึ่งกันและกันในช่วงสงครามอินโดจีน กลายเป็นมิตรประเทศคู้ค้าและหุ้นส่วนเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น พระราชพิธีเปิดสะพานจัดขึ้นบริเวณกึ่งกลางสะพาน ซึ่งถือเป็นเขตแดนร่วมกันของทั้ง ๒ ประเทศ มองในมิติเศรษฐกิจ สะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ ๑ ถือปฐมบทที่ทำให้นโยบายในการปรับยุทธศาสตร์ประเทศของ สปป.ลาว จากประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล (Land Lock) ไปสู่ประเทศ ที่เป็นจุดเชื่อมต่อ (Land Link) เริ่มเป็นรูปธรรมมากขึ้น เพราะหลังจากได้มีการเปิดใช้สะพานดังกล่าวเป็นต้นมา ภายใน สปป.ลาวได้มีการก่อสร้างโครงข่ายคมนาคมทางบกที่สามารถเชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้านทั้งแนวเหนือ-ใต้และตะวันออก-ตะวันตกเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง • จากสะพานมิตรภาพแห่งแรกที่หนองคาย ได้มีการเปิดใช้สะพานมิตรภาพ ไทย-ลาว แห่งที่ ๒ ที่จังหวัดมุกดาหาร เชื่อมกับแขวงสะหวันนะเขต ในอีก ๑๐ กว่าปีต่อมา • มีการเปิดเส้นทางหมายเลข ๙ เชื่อมระหว่างมุกดาหาร-สะหวันนะเขต และเมืองเว้ของเวียดนาม • มีการเปิดใช้เส้นทางสาย R3a ที่เชื่อมระหว่าง อ.เชียงของ จ.เชียงราย เมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว ไปจนถึงเมืองบ่อเต็น แขวงหลวงน้ำทา ต่อขึ้นไปถึงเมืองโม่หานของสาธารณรัฐประชาชนจีน ที่มีเส้นทางอย่างดีวิ่งขึ้นไปถึงเมืองคุนหมิง มลฑลหยุนหนัน • รวมถึงมีการประกาศโครงการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ ๓ และ ๔ ที่ จ.นครพนม และ จ.เชียงราย ฯลฯ • แต่หากมองในมิติของความเชื่อ การเกิดขึ้นของสะพานมิตรภาพและเส้นทางรถไฟเส้นนี้ถือเป็นการล้างคำสาปที่คนลาวเชื่อและยึดถือมาตลอดกว่าพันปีลงไปได้อย่างสิ้นเชิง ![]() สมเด็จพระเทพฯ ทรงเปิดสถานีรถไฟท่านาแล้ง และฉายพระรูปร่วมกับท่านบุนยัง วอละจิด รองประธานประเทศ และคณะ (๓) “พญางูใหญ่” ไกด์ชบาเล่าว่า “งูใหญ่เข้าเมืองคือมีรถไฟเข้ามา จากหนองคาย – เวียงจันทน์ โดยมีสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีเสด็จพระราชดำเนินมาเปิดงาน” ซึ่งตรงกับข้อมูลที่ฉันได้สืบค้น รายละเอียดคือ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินทรงเป็นประธานในพิธีเปิดการเดินรถไฟระหว่างไทย-ลาว เป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ ๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๒ ได้แก่ สถานีรถไฟท่านาแล้ง ตั้งอยู่บ้านดงโพสี หาดทรายฟอง นครหลวงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เป็นสถานีรถไฟแห่งแรกของประเทศลาว อยู่ห่างจากจุดกึ่งกลางของสะพานมิตรภาพ ไทย-ลาว แห่งที่ ๑ เป็นระยะทาง ๓.๕๐ กิโลเมตร สร้างขึ้นตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจระหว่างประเทศของไทย-ลาว เพื่อใช้ในการขนส่งสินค้า และผู้โดยสารที่จะเดินทางเข้าออก (ข้อมูลจาก https://th.wikipedia.org) (๔) ฆ้องสันติภาพโลก เติมเต็มด้วยปริศนาข้อที่ ๔ : หินฟูน้ำ งูใหญ่ และช้างเผือก คือ คำสาปของท้าวศรีโคตรตะบองที่ฉันสืบค้นพบจากเอกสารข้อมูลต่าง ๆ แต่นอกเหนือจากนี้ ไกด์ชบาได้กล่าวถึงการไขปริศนาคำสาปข้อที่ ๔ นั่นคือ ฆ้องสันติภาพโลก “ลาวล้างคำสาปข้อที่ ๔ ข้อสุดท้าย คือ การได้รับฆ้องสันติภาพโลก โดยลาวเป็นประเทศที่ ๔ ถัดจากเวียดนาม ซึ่งที่ผ่านมาเคยเป็นเมืองขึ้นของต่างชาติ แต่เราสามารถรักษาเสถียรภาพและความสงบของประเทศไว้ได้” ไกด์ชบากล่าวด้วยความภาคภูมิใจ ส.ป.ป.ลาวได้รับการยกย่องให้เป็นเมืองแห่งสันติภาพประจำปี ๒๕๕๑ โดยทางคณะกรรมการสันติภาพโลกของประเทศอินโดนีเซียได้มอบฆ้องสันติภาพโลกให้กับประเทศลาว เมื่อวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๑ ปัจจุบันฆ้องสันติภาพโลกตั้งอยู่บริเวณเดียวกับประตูชัย ติดกับสวนสาธารณะ นึกแล้วให้รู้สึกเสียดาย ทั้งที่ฉันได้มีโอกาสไปถ่ายรูปกับประตูชัย แต่ด้วยยังไม่รู้ข้อมูลจึงไม่ได้สนใจเดินไปยลฆ้องสันติภาพโลกนี้ วันนี้เมืองเวียงจันทน์และประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวหลุดพ้นจากคำสาปแล้ว จะด้วยความเชื่อหรือเหตุผลกลใดก็ตาม ภาพที่ปรากฏแก่ชาวโลกคืด ในช่วงระยะเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมา ลาวมีความเจริญรุ่งเรือง ความก้าวหน้า บนรากฐานแห่งอัตลักษณ์ชนชาติลาวอย่างรวดเร็วและชัดเจน ขอขอบคุณ :- website : https://www.nuac.nu.ac.th/?p=2710 บทความพิเศษ ชุด ตามรอยเวียงจันทน์ โดย :- - พรปวีณ์ ทองด้วง นักประชาสัมพันธ์ สถานอารยธรรมศึกษา โขง-สาละวิน มหาวิทยาลัยนเรศวร - ละอองดาว โฉมสี นักศึกษาฝึกงานสาขาวิชาภาษาไทย คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎพิบูลสงคราม ๘ มีนาคม ๒๕๖๐ ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก http://www.travellerfreedom.com http://info.gotomanager.com/news/details.aspx?id=78808 http://www.baanjompra.com/webboard/thread-3008-1-1.html http://palungjit.org/threads https://www.facebook.com/laomongthai http://www.baanmaha.com/community/threads/36625 http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9530000036217 http://www.ounon19.com/Aide_de_camp52_1.htm |
||
|
13
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: รับทุบตึก | บริการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างทุกประเภท ทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล
เมื่อ: ธันวาคม 21, 2025, 11:02:37 am
|
||
| เริ่มโดย todaytimepost11 - กระทู้ล่าสุด โดย todaytimepost11 | ||
|
ขออนุญาต อัพเดทกระทู้
|
||
|
14
เมื่อ: ธันวาคม 21, 2025, 07:58:39 am
|
||
| เริ่มโดย raponsan - กระทู้ล่าสุด โดย raponsan | ||
|
.
![]() ไขข้อสงสัย..แช่งคนอื่นบาปไหม คำพูดเป็นสิ่งที่เรียกกลับคืนมาไม่ได้ และไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม ผลของการพูดออกไปแบบนั้นก็จะไม่เกิดขึ้นกับใครเลยนอกจากตัวเราเอง พระพุทธเจ้าได้ตรัสถึงการสาปแช่งเอาไว้ว่า.. “การกระทำใดที่ไม่ดี การกระทำนั้น ย่อมไม่ควรทำ โดยเฉพาะการกระทำที่จะทำให้บุคคลอื่นเป็นทุกข์ เดือดร้อน กังวลใจ ไม่ควรทำอย่างยิ่ง" “คำด่า คำสาปแช่ง สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ เป็นสิ่งที่ไม่มีใครปรารถนาหรือต้องการที่จะได้ฟัง ได้ยินข้องเกี่ยว หรือข้องแวะ ใครที่มักจะทำตนให้อยู่ในสิ่งไม่ดีเหล่านี้ คือ พูดไม่ดี คิดไม่ดี และชอบสาปแช่งผู้อื่น บุคคลผู้นั้นก็คิดผิด และทำผิดด้วยการกระทำของเขาอยู่แล้ว ชีวิตของเขาก็จะถูกผูกมัดด้วยคำสาปแช่ง คำด่า ถูกผูกมัดด้วยกรรมที่ไม่ดีเหล่านั้นอยู่แล้ว” ดังนั้นใครก็ตามที่พูดใส่ร้าย เสียดสีหรือสาปแช่งให้ร้ายคนอื่นก็ย่อมได้รับผลกรรมนั้น เพราะการพูดไม่ดีเหล่านี้เป็นคำหยาบอย่างหนึ่ง เป็นวจีทุจริตที่จะต้องได้รับผลแห่งการกระทำตามมาอย่างแน่นอน วจีทุจริต คือ การประพฤติชั่วทางวาจา ทั้งการพูดเท็จ พูดคำหยาบ พูดส่อเสียด และพูดเพ้อเจ้อ รวมถึงการสาปแช่งผู้อื่นด้วย ซึ่งผลกรรมที่เกิดจากวจีทุจริตตามที่แสดงไว้ในพระไตรปิฎกคือ จะตกนรกไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นเปรต อย่างเบาที่สุดแม้ได้เกิดเป็นมนุษย์ก็จริง แต่จะมีเสียงที่ประหลาดหรือเป็นคนไม่น่าเชื่อถือ ไม่มีคนคบหาสมาคมด้วย ไปไหนก็มีแต่คนไม่ชอบ มีแต่คนคอยนินทา เรียกว่ามีความทุกข์ตลอดทั้งชาตินี้และชาติหน้า เพราะไปว่าเค้าไว้ก่อน ทำให้ตัวเราไม่เป็นที่รักของคนอื่น @@@@@@@ บางคนด่าคนอื่น แช่งคนอื่นโดยที่ไม่รู้สึกอะไรเลย แปลว่าเราทำผิดจนชิน จนไม่รู้ว่าผิดด้วยซ้ำ ซึ่งการทำผิดจนชินแบบนี้ อย่าคิดว่าไม่ผิด ไม่บาปอย่างเด็ดขาด เพราะผลกรรมจะตามทันไปทั้งชาตินี้และชาติหน้าก็ไม่ดี ทำให้มีความทุกข์สารพัดอย่างด้วย ส่วนคนที่ถูกแช่ง ถามว่าจะเป็นไปตามที่โดนแช่งหรือไม่ คำตอบคือ ‘ไม่’ แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่าบุคคลนั้นทำผิดด้วยหรือไม่ ถ้าผิดก็ย่อมต้องมีผลแห่งการกระทำนั้นเกิดขึ้น ตามกฎแห่งกรรม ตามเหตุปัจจัยที่เขาได้ทำไว้ จะหนักหรือเบาก็เป็นไปตามความผิดบาปที่เกิดขึ้นนั่นเอง แต่จะไม่เกิดขึ้น ไม่เป็นไปตามที่โดนแช่งนั่นเอง ทีนี้ถ้าถามว่าเวลาดูข่าวในทีวี หรือเห็นคนทำชั่วแล้ว เราดันเผลอไปแช่งคนชั่วนั่นเข้าให้ ถามว่าผิดบาปหรือไม่ คำตอบก็คือ กรรมอยู่ที่เจตนา ถ้าเราไม่ได้มีเจตนาที่จะแช่งชักหักกระดูกก็ย่อมไม่ได้รับผลแห่งการกระทำนั้น แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่มีเจตนาแช่งอย่างชัดเจน กรรมก็ไม่มีทางไปตกอยู่ที่ใครนอกจากตัวเราเอง สิ่งที่ชัดเจนที่สุดก็คือ ทั้งคนแช่งและคนที่ถูกแช่งต่างก็ได้ผลแห่งการกระทำของตน คนแช่งก็ได้ผลจากวจีทุจริตที่ไปแช่งเขา ส่วนคนถูกแช่งก็ได้รับผลแห่งการกระทำที่ได้ทำไว้ เพราะฉะนั้นน่าจะเป็นการดีกว่า ถ้าต่างคนต่างทำหน้าที่ของตน อะไรที่ไม่ดีก็อย่าให้ออกจากปากของเรา ถ้อยคำที่ออกจากปากควรเป็นคำดี ๆ ที่มีคุณค่า มีสาระ เป็นวจีสุจริตจะดีที่สุด.. (ไม่ปรากฏนามผู้เขียน) ขอขอบคุณ :- LINE TODAY | เผยแพร่ 01 ก.ค. 2563 เวลา 00.00 น. https://today.line.me/th/v3/article/e1VeQl ![]() #แช่งคนอื่นบาปไหม คนมีองค์ · หมื่นรู้ มิสู้ ปล่อยวาง · 22 สิงหาคม ![]() พระพุทธเจ้าได้พูดถึงการสาปแช่งเอาไว้ว่า... การกระทำใดที่ไม่ดี การกระทำนั้นย่อมไม่ควรทำ โดยเฉพาะการกระทำที่จะทำให้คนอื่นเป็นทุกข์ เดือดร้อน กังวลใจ ไม่ควรทำอย่างยิ่ง คำด่า คำสาปแช่ง สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นสิ่งที่ไม่มีใครปรารถนาหรือต้องการที่จะได้ยินได้ฟัง ข้องเกี่ยวหรือข้องแวะ ใครที่มักจะพูดไม่ดีคิดไม่ดีและสาปแช่งผู้อื่น บุคคลผู้นั้นก็จะถูกผูกมัดด้วยคำสาปแช่ง ด้วยกรรมที่ไม่ดีอยู่แล้ว ดังนั้น ใครที่ชอบพูดใส่ร้าย เสียดสี หรือสาปแช่งให้ร้ายคนอื่น ก็ย่อมได้รับผลกรรมนั้น เพราะถือเป็นคำหยาบอย่างหนึ่ง เป็น"วจีทุจริต" #วจีทุจริต คือ การประพฤติชั่วทางวาจา ทั้งการพูดเท็จ พูดคำหยาบ พูดส่อเสียด พูดเพ้อเจ้อ รวมถึงการสาปแช่งผู้อื่น ผลกรรมที่ได้คือ จะตกนรกไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นเปรต แม้ได้เกิดเป็นมนุษย์ ก็จะมีเสียงที่ประหลาด หรือเป็นคนไม่น่าเชื่อถือ ไม่มีคนคบหาสมาคมด้วย มีแต่คนไม่ชอบ มีแต่คนคอยนินทา เรียกว่า มีความทุกข์ตลอดชาตินี้และชาติหน้า @@@@@@@@ #บางคนด่าคนอื่นแช่งคนอื่นโดยไม่รู้สึกอะไรเลย แปลว่า ทำผิดจนชิน จนไม่รู้ตัวว่าผิด การกระทำแบบนี้อย่าคิดว่าไม่ผิดไม่บาป เพราะผลกรรมจะตามติดทั้งชาตินี้และชาติหน้า ทำให้มีทุกข์สารพัดอย่าง #ส่วนคนที่โดนแช่งจะเป็นไปตามคำที่แช่งหรือไม่ คำตอบคือไม่ แต่จะมีผลกรรมตามการกระทำของตน จะหนักหรือเบาก็ขึ้นอยู่กับการกระทำนั้น แต่จะไม่เป็นไปตามคำที่แช่งมา #แต่ถ้าหากไม่มีเจตนาแช่งใคร ผลก็จะไม่เกิด แต่ถ้ามีเจตนาชัดเจน กรรมก็จะไม่มีทางตกไปอยู่ที่ใครนอกจากตัวเอง #สิ่งที่ชัดเจนที่สุดคือ ทั้งคนแช่งและคนที่โดนแช่ง ต่างก็ได้รับผลของการกระทำของตน คนแช่งก็ได้รับผลแห่งวจีทุจริต คนที่โดนแช่งก็ได้รับผลของการกระทำที่ทำไว้ #เพราะฉะนั้นต่างคนต่างทำหน้าที่ของตนจะดีกว่า อะไรที่ไม่ดีอย่าให้ออกจากปากหรือจะพิมพ์ข้อความไม่ดีออกจากความคิดก็ตาม ก็อย่าให้ออกมาเลย สิ่งที่ควรมีควรแสดงออกมาควรเป็นคำพูดที่ดีความคิดที่ดี มีประโยชน์ มีสาระ เป็น"วจีสุจริต" ดีที่สุด ขอบคุณที่มา : โพสต์ของ หมื่นรู้ มิสู้ ปล่อยวาง https://www.facebook.com/groups/321315474573629/posts/24534737286138110/ ![]() ถ้าเคยสาปแช่งใคร แต่วันนี้เราอภัยแล้ว จะทําอย่างไรกับค่าสาปแช่งเราในวันนั้น.? ดังตฤณ Dungtrin Fan Club | 20 พฤษภาคม 2020 ![]() บางคนมีความรู้สึกว่าตัวเองปากศักดิ์สิทธิ์ เพราะว่าแช่งใครไปแล้ว มักจะมีผลตามนั้น อันนี้พอพูดถึงเรื่องนี้ มันต้องพูดถึงสิ่งลึกลับที่พิสูจน์เป็นวิทยาศาสตร์ไม่ได้ แล้วก็ไม่สามารถที่จะพิสูจน์ทราบได้เป็นสากล เพราะว่าเราจับทุกคนเป็นมาเป็นตัวตั้ง แล้วก็มาทดลองหาข้อสรุปกันไม่ได้แบบวิทยาศาสตร์นะครับ แต่เราพูดอย่างนี้ก็แล้วกันว่า สิ่งใดก็ตามเราทำไปแล้ว มันจะเกิดผลหรือไม่เกิดผลอะไรก็แล้วแต่ มันจะมีประสิทธิภาพน้อย หรือประสิทธิภาพมาก ไปลบล้างไม่ได้ แต่มันสามารถเจือจางได้ ด้วยของใหม่คือ ของเก่ากับของใหม่ผสมกันได้ เพราะพระพุทธเจ้าท่านตรัสเปรียบเทียบ เหมือนกับบาปเก่าเป็นก้อนเกลือ แล้วถ้าเราใส่น้ำเติมเข้าไป ยิ่งมากเท่าไหร่ หนึ่งแก้วมันก็เจือจางระดับหนึ่ง ยังเค็มอยู่ แต่ถ้าหนึ่งโอ่ง แม้เกลือจะยังอยู่เป็นก้อนเล็กๆ นั้น แต่ก็แทบจะไม่ได้รสเค็ม ฉันใด ก็ฉันนั้น ถ้าหากว่า เราไม่สบายใจ ที่เคยไปก่อบาปก่อกรรมอะไรไว้ เคยไปแช่งใครเขาไว้ ก็หัดที่จะชื่นชม หรือว่าอวยพร ทำในสิ่งที่มันเป็นตรงกันข้ามกัน เคยทำบาปไว้อย่างไร ก็ทำบุญให้เป็นตรงกันข้ามกันแบบนั้น @@@@@@@ อย่างถ้าคุณสวดอิติปิโสด้วยความเข้าใจว่า เราสรรเสริญ เรากล่าวคำยกย่อง พระพุทธ พระธรรมและพระสงฆ์ ว่ามีคุณวิเศษอย่างไรบ้าง ถ้าใจเกิดความเบิกบาน เกิดความชุ่มชื่น เกิดความรู้สึกสว่างโล่ง ก็จำลักษณะจิตลักษณะใจแบบนั้น ไปอวยพร หรือว่าไปพูดดี ให้เกิดความรู้สึกดีๆ กับคนที่เราเคยสาปแช่ง หรือว่าไม่ต้องเคยสาปแช่งก็ได้คนทั่วไปก็ได้ ทำให้มากๆ จนกระทั่งเกิดความรู้สึกว่า เรามีฤทธิ์ เรามีอำนาจ ในการทำให้คนอื่นรู้สึกดี เรามีความสามารถ ทำให้ชีวิตคนอื่น มีความสว่างขึ้นนิดหนึ่งทันทีที่เราพูดไป ตัวนี้แหละ ที่มันเริ่มจะหมือนกับน้ำที่มาละลายเกลือ เหมือนกับความสามารถที่เป็นความสว่าง มาขับไล่ของเดิมที่มันเป็นความมืดนะครับ ยิ่งสว่างมากขึ้นเท่าไหร่ ความมืดยิ่งหายไปมากขึ้นเท่านั้น อันนี้ก็เหมือนกับถ้าเรามีความสามารถในการอวยพรคนได้แล้ว เพื่อจะแก้ความรู้สึกผิด ก็อาจจะไปอวยพรให้เขาเกิดอะไรที่มันดี ที่มันเป็นไปในทางเจริญนะครับ ทีนี้มาทำความเข้าใจกันในขั้นสุดท้ายว่า คนเราเนี่ยไม่เป็นไปตามปากของใคร ยกเว้นแต่ว่า บาปของเขา บุญของเขา มันจะให้ผลตามนั้นอยู่แล้ว สอดคล้องกับคำอวยพร หรือคำสาปแช่งของเราอยู่แล้ว การสาปแช่งของเรา มันเป็นพลังชนิดหนึ่งในธรรมชาติ การอวยพรของเรา ก็เป็นพลังชนิดหนึ่งในธรรมชาติเช่นกัน ธรรมชาติด้านมืด หรือธรรมชาติด้านสว่าง ซึ่งมันไม่ได้มีผลขนาดที่จะเป็นมือไม้ไปบิดชีวิตของเขา ให้มันเพี้ยนไป หรือบิดเบี้ยวไปจากที่มันควรจะเป็นได้แต่มันมีผลทางใจ ที่ทำให้มันเกิดแรงอัด @@@@@@@ หรืออย่างถ้ามีวาจาสิทธิ์ อันเกิดจากการสะสมตบะบารมีมา พูดคำไหน ทำคำนั้นได้ตลอดชีวิต คนพวกนี้ เวลาที่สาปแช่งใครอะไรออกไป บางทีมันเป็นพลัง ซึ่งถ้าหากว่า ผู้รับพลังปะทะมีบุญอ่อน ไม่มีกำแพง บางทีมันก็อาจจะก่อให้เกิดอะไรขึ้นมาได้จริงๆ แต่อันนี้ส่วนใหญ่ต้องระดับที่ว่า ผู้บำเพ็ญตบะมาทั้งชีวิต บำเพ็ญคุณงามความดีมา ในขณะที่ผู้ถูกสาปแช่ง ไม่ได้มีคุณงามความดีอะไรเลย ไม่ได้มีกำแพงที่จะมาขวาง บางทีมันก็คล้ายๆกับเราชกด้วยหมัด ถ้าหมัดของเรามีกำลัง แล้วคนที่รับหมัด ไม่ได้มีกำลังต่อต้าน บางทีมันก็ล้มไปได้ ก็เปรียบเทียบอย่างนั้นก็แล้วกัน แต่ไม่ใช่ว่าเราพูดอะไรไป มันจะเป็นไปตามนั้นได้ทุกครั้ง หรือว่าเป็นอย่างนั้นได้จริงเสมอไป มันมีเหตุปัจจัยอะไรหลายๆอย่างนะครับ ซึ่งคุณแค่ทำไว้ในใจว่า เราจะเป็นผู้รักษาศีล เป็นผู้ให้มหาทาน เป็นผู้ให้ความปลอดภัยแบบไม่จำกัด ตรงนี้เนี่ย มันก็จะรู้สึกถึงพลังความปลอดภัย ที่ออกไปจากจากตัวเรา ไม่เป็นพิษไม่เป็นภัยกับใคร แม้ด้วยพลังวาจาที่เป็นทุจริต อันนี้ถ้าทำตลอดชีวิตที่เหลือ มันก็จะช่วยให้ความรู้ผิด หรือว่าอะไรที่นึกว่า มันจะไปเกิดขึ้นกับเขาหรือเปล่า มันเจือจางลงได้นะครับ มันหายไปได้ คือ อย่าไปกังวลมาก เพราะว่าถ้ารู้สึกผิด หรือกังวลมากๆเนี่ย บางทีมันก็มีจิตต่อเนื่องที่ไปผูกไว้ ตัวความกังวลมันเป็นสายใยด้านมืดชนิดหนึ่ง ขอบคุณที่มา : โพสต์ของ ดังตฤณ Dungtrin Fan Club https://www.facebook.com/DungtrinFanClub/posts/บางคนมีความรู้สึกว่าตัวเองปากศักดิ์สิทธิ์-เพราะว่าแช่งใครไปแล้ว-มักจะมีผลตามนั้น/3100869536618849/ |
||
|
15
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: รับทุบตึก | บริการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างทุกประเภท ทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล
เมื่อ: ธันวาคม 20, 2025, 11:23:50 am
|
||
| เริ่มโดย todaytimepost11 - กระทู้ล่าสุด โดย todaytimepost11 | ||
|
ขออนุญาต อัพเดทกระทู้
|
||
|
16
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / "จักรแก้ว" ของพระมหาจักรพรรดิ คือ 'ยานอวกาศ' แบบวาร์ปไดรฟ์
เมื่อ: ธันวาคม 20, 2025, 07:54:28 am
|
||
| เริ่มโดย raponsan - กระทู้ล่าสุด โดย raponsan | ||
|
.
![]() "จักรแก้ว" ของพระมหาจักรพรรดิ คือ 'ยานอวกาศ' แบบวาร์ปไดรฟ์ ดร.สรกานต์ ศรีตองอ่อนเสนอความเห็นว่า จักรแก้วของพระมหาจักรพรรดิ อาจเป็นยานอวกาศแบบวาร์ปไดร์ฟ ไว้ในงานเขียนที่มีชื่อว่า “พุทธจักรวาล” พุทธจักรวาล เป็นหนังสือธรรมะที่อธิบายเรื่องจักรวาลวิทยาผ่านมุมมองของฟิสิกส์และดาราศาสตร์ ซึ่งผู้เขียนได้ตั้งข้อสมมติฐานได้ออกมาน่าสนใจในหลาย ๆ ประเด็น เช่น การอธิบายว่าโลกธาตุที่พระพุทธเจ้าตรัสน่าจะเป็นเอกภพ หรือตำแหน่งที่ตั้งของทวีปทั้ง 4 ในคติไตรภูมิ น่าจะเป็นดาวที่อยู่ในกาแล็กซี แม้กระทั่งอิทธิฤทธิ์ของพระเถระที่เหาะไปยังที่ต่าง ๆ เพียงช่วงแวบเดียวแล้วมาถึงที่หมายทันที เรื่องนี้ก็สามารถอธิบายได้ด้วยทฤษฎีทางฟิสิกส์ หลายท่านอาจคุ้นว่า พระมหาจักรพรรดิจะครอบครองรัตนะ 7 ประการ** จักรแก้วก็เป็น 1 ใน 7 รัตนะเช่นกัน ทำไมดร.สรกานต์จึงตั้งข้อสังเกตว่า จักรแก้ว อาจเป็นยานอวกาศแบบวาร์ปไดร์ฟ ในอรรถกถามหานิทานสูตรระบุว่า พระมหาจักรพรรดิราชทรงใช้จักรแก้วเป็นพาหนะไปในทวีปทั้ง 3 ซึ่งได้มีมนุษย์ในดินแดนนั้นเดินทางมายังชมพูทวีปด้วย __________________ **รัตนะ 7 ประการ ได้แก่ ๑. กงจักรแก้ว (จักรรัตนะ) ๒. ช้างแก้ว (หัตถีรัตนะ) ๓. ม้าแก้ว (อัศวรัตนะ) ๔. มณีแก้ว (มณีรัตนะ) ๕. นางแก้ว (อิตถีรัตนะ) ๖. ขุนคลังแก้ว (คหปติรัตนะ) และ ๗. โอรสแก้ว (ปริณายกรัตนะ) จากนั้นพระองค์ทรงท่องเที่ยวไปในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาและดาวดึงส์ ท้าวสักกเทวราชยอมแพ้พระบารมีมอบราชสมบัติอันเป็นทิพย์ให้ครอบครอง เมื่อพำนักเสวยกามทิพย์อยู่นานจนกระทั่งร่างกายของมนุษย์กลายเป็นทิพย์แบบเทวดา พอเสด็จกลับไปโลกมนุษย์ เมื่อความเป็นมนุษย์กลับมา ก็ทรงไม่สามารถปรับสภาพได้จึงทำให้พระองค์สวรรคตทันที เมื่อพระมหาจักรพรรดิสวรรคต จักรแก้วก็หายไปด้วย ทำให้มนุษย์ในทวีปทั้ง 3 ที่ติดตามมาไม่สามารถกลับบ้านเกิดของตนได้ ต้องอาศัยอยู่ในชมพูทวีปต่อไป ![]() ดร.สรกานต์ เสนอเรื่องที่น่าสนใจ ถึง 6 เรื่องด้วยกัน 1. หากตั้งสมมติฐานว่าจักรวาลในพุทธศาสนาหมายถึงกาแล็กซี ชมพูทวีปคือระบบสุริยจักรวาล ดังนั้น 3 ทวีปก็อาจเป็นดาวเคราะห์ที่มีมนุษย์อาศัยอยู่ ซึ่งอาจห่างเป็นหลายหมื่นปีแสง แต่จักรแก้วเป็นพาหนะที่ลำเลียงผู้คนจากต่างดาวมายังโลก แสดงให้เห็นว่าจักรแก้วเป็นพาหนะที่เร็วกว่าแสงอย่างมาก สามารถเทียบเท่ายานอวกาศแบบวาร์ปไดร์ฟที่เดินทางผ่านรูหนอน 2. จักรแก้วสามารถเดินทางไประหว่างภพ เข้าไปในภพที่เร้นลับ เช่น สวรรค์ได้ มีข้อสังเกตว่าเป็นการเดินทางที่ยังอยู่ในภพที่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าส่องถึง 3. จักรแก้วมีขนาดใหญ่สามารถบรรจุคนจาก 3 ทวีปได้ หรืออาจจะเป็นเพราะจักรแก้วสามารถปรับขยายได้ 4. ตีความว่า จักรแก้ว อาจเป็นคำเรียกพาหนะที่มีลักษณะทรงกลมคล้ายจักร ซึ่งสอดคล้องกับจานบิน UFO 5. หากเรื่องจักรแก้วเป็นเรื่องที่แต่งขึ้น ก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลพอสมควร เพราะกล่าวถึงเรื่องพระมหาจักรพรรดิขึ้นไปประทับบนสวรรค์ ครั้งเสด็จกลับก็สิ้นพระชนม์เนื่องจากพระวรกายปรับตามสภาพไม่ได้ ซึ่งเป็นเรื่องของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าส่องถึง 6. หากเป็นจริงตามอรรถกถา แสดงว่าโลกมนุษย์มีมนุษย์จากต่างดาวเข้ามาอยู่บนโลก แล้วกลับบ้านไม่ได้ เช่น ชาวอุตรกุรุทวีป ชาวอมรโคยาน และชาวปุพพวิเทหะ @@@@@@@ ดร.สรกานต์ให้ข้อสังเกตอีกอย่างคือ ชาวอุตรกุรุทวีปน่าจะตั้งรกรากถิ่นฐานที่ กุรุรัฐ ในอินเดีย หรือบริเวณทุ่งกุรุเกษตร ที่เป็นสถานที่ทำสงครามระหว่างกลุ่มพี่น้องเการพและปาณฑพในมหาภารตะ เพราะมีการค้นพบว่าในบริเวณนั้นมีอาวุธสงครามที่มีความล้ำยุคมาก เมื่อเทียบกับอาวุธสงครามอื่นที่ร่วมสมัยเดียวกัน บทความน่าสนใจ :- - ถอดรหัสจักรวาล พระปรางค์วัดอรุณ ราชวราราม - วิ่งไล่ตามก้อนเมฆ นิทานของผู้ใหญ่ แต่งโดยหลวงปู่ ติชนัทฮันห์ - ทำไมต้องสวด ชุมนุมเทวดา ก่อนสวดมนต์บทอื่น ๆ - พระเนมิราช พระราชาผู้ท่องนรก-สวรรค์ - สัมผัส สวรรค์ ทั้งที่ยังมีลมหายใจ ได้จริงไหม ? ขอขอบคุณ :- ที่มา : พุทธจักรวาล โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. สรกานต์ ศรีตองอ่อน ภาพ : https://pixabay.com https://cheewajit.com/healthy-mind/158137.html https://cheewajit.com/healthy-mind/158137.html/2 June 06, 2019 | A Cuisine |
||
|
17
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: รับทุบตึก | บริการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างทุกประเภท ทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล
เมื่อ: ธันวาคม 19, 2025, 12:34:26 pm
|
||
| เริ่มโดย todaytimepost11 - กระทู้ล่าสุด โดย todaytimepost11 | ||
|
ขออนุญาต อัพเดทกระทู้
|
||
|
18
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ค้นต้นแบบพระประวัติกรมหลวงชุมพรฯ ฉบับอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ เมื่อพบหลวงปู่ศุขครั้ง
เมื่อ: ธันวาคม 19, 2025, 08:46:03 am
|
||
| เริ่มโดย raponsan - กระทู้ล่าสุด โดย raponsan | ||
|
.
![]() พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ทรงฉายใน พ.ศ. 2450 ค้นต้นแบบพระประวัติกรมหลวงชุมพรฯ ฉบับอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ เมื่อพบหลวงปู่ศุขครั้งแรก ![]() พระประวัติกรมหลวงชุมพรฯ มีหลากหลายแง่มุมทั้งในเชิงพระกรณียกิจ และพระประวัติในเชิงเกร็ดตำนาน ซึ่งต้องยอมรับว่า ประชาชนทั่วไปสนใจทั้งสองแง่มุม แต่จากมุมมองของบางท่านอาจเห็นว่า คนสนใจท่านในฐานะสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นพิเศษ พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ เป็นทั้งทหารเรือและเจ้านายผู้ใหญ่ที่มีพระกรณียกิจหลากหลายด้านทั้งในกองทัพ และในแง่การแพทย์ในช่วงที่ทรงเป็น “หมอพร” นอกจากพระปรีชาสามารถแล้ว พระประวัติความเป็นมายังมีมิติอื่นร่วมอยู่ด้วย โดยเฉพาะแง่ตำนานอภินิหาร ดังที่ม.ร.ว. อภิเดช อาภากร “หลานปู่” ของ พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ เคยเอ่ยถึงเสด็จปู่ เมื่อครั้งรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับกรมหลวงชุมพรฯ เพื่อเขียนหนังสือเรื่อง “หลวงปู่ศุขกับกรมหลวงชุมพรฯ” เมื่อพิจารณาจากชื่อหนังสือแล้ว อาจพอจินตนาการได้ว่า คำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่มักจะเล่าถึงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ของพระองค์ไม่แพ้เรื่องราวแง่มุมพระปรีชาสามารถ และพระกรณียกิจ ประเด็นนี้เคยมีผู้ศึกษาพระประวัติตั้งเป็นโจทย์ในการค้นหาที่มาความเป็นไปอันนำมาสู่พระประวัติและคำบอกเล่าในส่วนที่เชื่อมโยงกับอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ของพระองค์ ผู้ที่ศึกษาแง่มุมนี้ยังมีศรัณย์ ทองปาน นักเขียนและผู้เขียนหนังสือ “เสด็จเตี่ย พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์” หนังสือพระประวัติอีกเล่มที่รวบรวมแง่มุมมต่างๆ และมีเนื้อหาส่วนหนึ่งพูดถึงข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับความเป็นมาของพระประวัติในแง่มุมเกี่ยวกับปาฏิหาริย์ในเวลาต่อมา @@@@@@@ ศรัณย์ ทองปาน สืบค้นความได้ว่า เมื่อ พ.ศ. 2496 นาวาตรีหลวงรักษาราชทรัพย์ (รักษ์ เอกะวิภาต) อดีตนายทหารในวัยเกือบ 70 ปี ผู้ใกล้ชิดกรมหลวงชุมพรฯ เขียนจดหมายมาถึงกองบรรณาธิการของ “นาวิกศาสตร์” นิตยสารภายในของกองทัพเรือ บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับกรมหลวงชุมพรฯ ศรัณย์ ทองปาน บรรยายว่า เนื้อหาในเรื่องเล่าผ่านจดหมายเหล่านี้มีสัดส่วนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์อยู่ด้วย โดยใช้คำเรียกพระองค์ว่า “เจ้าพ่อ” เรื่องหนึ่งที่มักถูกอ้างอิงกันคือการพบกันกับหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า จังหวัดชัยนาทเป็นครั้งแรก เนื้อหาระบุแค่เดือน ไม่บอกปีที่แน่ชัด แต่สันนิษฐานว่าเกิดขึ้นใน พ.ศ. 2447 มีใจความว่า “เดือน 5 หน้าร้อน เจ้าพ่อเสด็จประพาสตากอากาศไปทางเหนือ มีเรือกลไฟ 1 ลํา จูงเรือพระประเทียบที่ประทับ ได้ไปจอดหุงข้าวต้มแกงที่ศาลาวัดมะขามเฒ่า ในวันนั้นบังเอิญท่านอาจารย์วัดมะขามเฒ่าใช้เด็กวัดไปตัดหญ้าที่ดงต้นกล้วยๆ ที่ออกปลีที่แก่แล้วมี 7-8 ต้น เด็กวัดก็ตัดหัวปลีกล้วยมากองไว้ พอตกเวลาบ่ายท่านอาจารย์ก็ลงมาจากกุฏิดูเด็กที่ตัดกล้วยแล้วไปนั่งอยู่ที่กองหัวปลีกล้วย ท่านเอาหัวปลีที่กองอยู่นั้นมาลูบๆ คลําๆ สักครู่หนึ่งก็วางหัวปลีลงที่ดิน หัวปลีนั้นก็กลายเป็นกระต่ายวิ่งเพ่นพ่านไปหมด เจ้าพ่อเห็นเข้าก็เรียกคนในเรือให้มองดู อีกสักครู่หนึ่ง ท่านก็เรียกกระต่ายที่วิ่งอยู่นั้นมาที่ท่านๆ ก็จับ กระต่ายๆ ก็กลับกลายเป็นหัวปลีไปอย่างเดิม เมื่อเจ้าพ่อเห็นดังนั้นก็เลื่อมใสนับถือท่านอาจารย์วัดมะขามเฒ่าทันที แล้วเจ้าพ่อก็เสด็จขึ้นไปหาอาจารย์ที่ดงต้นกล้วย พร้อมด้วยบริวาร 3 คน คุยกันอยู่สักครู่ใหญ่ ท่านอาจารย์ก็เชิญขึ้นไปคุยกันที่กุฏิ คุยกันไปคุยกันมา เจ้าพ่อก็พอพระทัย ประมาณ 4-5 ทุ่มจึงได้เสด็จกลับลงมาประทับเรือ ทางฝ่ายท่านอาจารย์ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นใคร รุ่งขึ้นจึงให้คนไปสืบถามพวกที่มากับเจ้าพ่อ จึงได้รู้ความว่านี่แหละ พระองค์เจ้าอาภากรฯ ลูกในหลวงรัชกาลที่ 5 เมื่อท่านอาจารย์ทราบดังนั้นก็พอใจมาก” ![]() พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ทรงฉายใน พ.ศ. 2450 อย่างไรก็ตาม เมื่อศรัณย์ สืบค้นการบอกเล่าจากอีกแหล่งคือเรื่องเล่าโดยหม่อมเจ้าหญิงจิตรแจรง อาภากร พระธิดา ซึ่งศรัณย์ แสดงความคิดเห็นว่า มีแนวโน้มจะอยู่ในเหตุการณ์ด้วย รายละเอียดกลับแตกต่างกันพอสมควร ข้อความส่วนหนึ่งจากเรื่องเล่าของท่านหญิงมีว่า “เสด็จพ่อทรงโปรดเสด็จประพาสทางแม่น้ำ มีเรือไปสองลํา หน้าร้อนเดือน 5 ทรงมีเรือยนต์ลากจูงเรือเครื่องแวะไปเรื่อยๆ ทางเหนือ จนถึงวัดหนึ่ง ชื่อวัดมะขามเฒ่า จังหวัดชัยนาท มีแพที่หน้าวัดจอดใต้ต้นไม้ใหญ่ร่มดี มีเด็กลูกวัด พระเณรออกมาดูเมื่อเรือเข้าไปจอด แพก็น่านั่งเล่น เอาไม้ไผ่ผูกเป็นแพ มีหลังคากันฝนกันแดดด้วย เราก็ลงอาบน้ำอาบท่ากันสบาย ขออนุญาตพระเอาเรือเข้าไปจอด รับประทานอาหารกลางวัน ลูกศิษย์ลงมาถางหญ้าตัดกล้วย ตัดหัวปลีกองไว้ หม่อมๆ ถามว่าตัดไปทําอะไร เด็กก็บอกเอาไปกินบ้างก็ได้ เราหยิบมา 2 หัวมาต้มแกง และจิ้มน้ำพริก เด็กก็เล่าให้ฟัง ท่านอาจารย์ที่วัดชื่อ “ศุข” เป็น “พระครูวิมลคุณากร” หลวงพ่อใจดีและมีวิชาอาคมขลัง พอดีท่านอาจารย์เดินลงมา เสด็จพ่อก็ขึ้นไปนมัสการ ท่านก็เลยเชิญให้ประทับคุยกันที่แพ รู้สึกโปรดอัธยาสัย คุยกันจนเย็น ท่านเชิญให้เสด็จไปที่กุฏิ เสด็จพ่อขอผลัดเป็นวันรุ่งเกรงใจท่านเพราะเย็นมากแล้ว พอท่านอาจารย์ขึ้นไปแล้ว เด็กๆ ลงมาเล่าว่าหลวงพ่อเก่งต่างๆ มีวิชาอาคมขลัง มีอภินิหารอยู่ยงคงกระพันชาตรี ฯลฯ เสด็จพ่อสนพระทัย พอเช้ารุ่งขึ้นท่านลงมาเชิญเสด็จเอง เสด็จไปคุยกับหลวงพ่อจนบ่าย ลูกๆ จึงขึ้นไปเชิญเสด็จเสวยกลางวัน หลวงพ่อก็ลืมฉันเพล ตั้งแต่วันนั้นมา เสด็จพ่อไปคุยและขอเป็นลูกศิษย์เรียนวิชาอาคมเกือบทุกวัน…” @@@@@@@ ศรัณย์ ตั้งสมมติฐานว่า เกร็ดพระประวัติฉบับของคุณหลวงรักษาราชทรัพย์น่าจะตีพิมพ์รวมเล่มครั้งแรกในหนังสืออนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพของท่านเอง เมื่อ พ.ศ. 2499 หน้าปกเขียนชื่อว่า “เกียรติประวัติ กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ เวทย์มนตร์ ตำรายาจากคัมภีร์ของ (เจ้าพ่อ)” และตั้งข้อสังเกตว่า น่าจะแพร่หลายมากยิ่งขึ้นเมื่อกองประวัติศาสตร์กรมยุทธการทหารเรือ คัดมารวมพิมพ์ในหนังสือ “อนุสรณ์เปิดกระโจมไฟชุมพรเขตรอุดมศักดิ์” ที่ชลบุรี เมื่อพ.ศ. 2503 ซึ่งเชื่อว่า ได้กลายเป็นต้นแบบของพระประวัติกรมหลวงชุมพรฯ กลุ่มปาฏิหาริย์ในภายหลัง ในเกร็ดพระประวัติของกรมหลวงชุมพรฯ ไม่เพียงมีนามพระภิกษุแค่หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า แต่ยังมีพระภิกษุที่กรมหลวงชุมพรฯ ทรงนับถืออีกจำนวนหนึ่ง อาทิ หลวงพ่อพริ้ง วัดบางประกอก และยังมีพระเกจิที่มีนามเกี่ยวข้องกับกรมหลวงชุมพรฯ อีกจำนวนมาก เรื่องราวของกรมหลวงชุมพรฯ ที่เกี่ยวกับพระเกจิ มักดำเนินไปในลักษณะคล้ายกัน คือ เสด็จเตี่ย สนใจในวิชา และทรงยอมรับนับถือในวิชาของพระภิกษุ ความเกี่ยวข้องระหว่างกรมหลวงชุมพรฯ กับพระเกจิ (ที่มีชื่อเรื่องวิชาอาคม) ส่วนหนึ่งอาจเป็นเรื่องที่ส่งเสริมกิตติศัพท์คำเล่าลือเรื่องความขลังและความศักดิ์สิทธิ์ แต่ท่ามกลางเรื่องเล่า ย่อมมีที่มาที่ไปบางส่วนมาจากพระจริยวัตรส่วนพระองค์ที่ทรงมีพระเมตตาต่อบุคคลทุกหมู่ ซึ่งเป็นที่ประจักษ์แล้วว่า พระองค์ไม่เพียงชนะใจนักเรียนที่เป็นกลุ่มนักเลงในยุคต้นของกองทัพเรือได้ พระองค์ยังมีพระเมตตาต่อคนทั่วไป ดังที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงนิพนธ์ในพระประวัติกรมหลวงชุมพรฯ ว่า “ไม่ว่าใครที่บรรดากรมหลวงชุมพรฯ ได้คบหาสมาคม จะเป็นพระก็ตาม คฤหัสถ์ก็ตาม เจ้าก็ตาม ไพร่ก็ตาม คงมีใจรักใคร่ไม่เลือกหน้า…” คลิกอ่านเพิ่มเติม : สาเหตุการสิ้นพระชนม์ของกรมหลวงชุมพรฯ วิเคราะห์ผ่านการแพทย์สมัยใหม่ คลิกอ่านเพิ่มเติม : ทำไมทหารเรือรักกรมหลวงชุมพรฯ เผยพระจริยวัตร-สยบ “นักเลง” สมานรอยร้าวระหว่างรุ่น คลิกอ่านเพิ่มเติม : ห้วงสุดท้ายก่อนกรมหลวงชุมพรฯ สิ้นพระชนม์ ทรงประชวรแต่ยังต้องรักษาน้ำใจชาวบ้าน ขอขอบคุณ :- website : https://www.silpa-mag.com/history/article_35092 เผยแพร่ : วันจันทร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2565 เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรก : เมื่อ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2562 อ้างอิง :- - กองประวัติศาตร์ กรมยุทธการทหารเรือ. พระประวัติ นายพลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์. หนังสือที่ระลึกในพิธีเปิดอนุสาวรีย์ พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์, 2542 - ศรัณย์ ทองปาน. เสด็จเตี่ย พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์. กรุงเทพฯ : สารคดี, 2549 |
||
|
19
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 19 ธันวาคม 2423 วันประสูติ “เสด็จเตี่ย-กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์”
เมื่อ: ธันวาคม 19, 2025, 08:10:54 am
|
||
| เริ่มโดย raponsan - กระทู้ล่าสุด โดย raponsan | ||
|
.
![]() พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ 19 ธันวาคม 2423 วันประสูติ “เสด็จเตี่ย-กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์” พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ทรงเป็นพระเจ้าลูกยาเธอลำดับที่ 28 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมารดาคือ เจ้าจอมมารดาโหมด ธิดาของเจ้าพระยาสุรวงศ์ไวยวัฒน์ ประสูติเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2423 พระองค์ทรงได้รับถวายพระสมัญญาจากกองทัพเรือว่าเป็น “พระบิดาของกองทัพเรือไทย” และต่อมาได้แก้ไขเป็น “องค์บิดาของทหารเรือไทย” เมื่อวันที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2544 จากพระกรณียกิจของพระองค์ที่ทรงวางรากฐานและพัฒนาปรับปรุงทหารเรือสยามให้เจริญก้าวหน้าตามแบบประเทศตะวันตก ![]() พระองค์เจ้าอาภากรฯ (ประทับพื้น) กับพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และนายทหารเรืออังกฤษ ส่วนกรณีที่นักเรียนนายเรือพากันเรียกพระองค์ว่า “เสด็จเตี่ย” นั้น พลเรือโท ศรี ดาวราย สันนิษฐานว่า มาจากการที่พระองค์ทรงขัดดาดฟ้าให้นักเรียนนายเรือใหม่ๆ ที่ฝึกภาคทางทะเลบนเรือหลวงพาลีรั้งทวีปดูเป็นแบบอย่าง ในปี พ.ศ. 2462 หลังจากที่ทอดพระเนตรเห็นนักเรียนเหล่านั้นทำงานนี้ด้วยท่าทางเงอะงะเก้งก้าง โดยตรัสกับพวกนักเรียนเหล่านั้นว่า “อ้ายลูกชาย มานี่เตี่ยจะสอนให้” เมื่อช่วงต้นรัชกาลที่ 6 กรมหลวงชุมพรฯ ทรงออกจากราชการซึ่ง สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงพระนิพนธ์ถึงเหตุการณ์ดังกล่าวว่า “…กรมหลวงชุมพรฯ ไม่ทรงสบาย ได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตออกเป็นนายทหารกองหนุนอยู่ชั่วคราว ๑ จนถึงปีมะเส็ง พ.ศ. ๒๔๖๐ จึงเสด็จกลับเข้ามารับราชการเป็นตำแหน่งจเรทหารเรือ…” แต่กรณีนี้ ศรัณย์ ทองปาน มีความเห็นต่างออกไปโดยเห็นว่า “…ในช่วงต้นรัชกาลที่ ๖ เกิดเหตุนายทหารเรือผู้หนึ่งเมาสุราในร้านอาหารสันธาโภชน์ ที่ตำบลบ้านหม้อ แล้วเกิดวิวาทกับมหาดเล็กหลวง ทำให้รัชกาลที่ ๖ ทรงพิโรธ ดังความในพระราชหัตถเลขาตอนหนึ่งว่า ‘…ปรากฎชัดว่าได้ฝึกสอนนักเรียนนายเรือในหนทางไม่ดี ทำให้มีจิตร์ฟุ้งสร้านจนนับว่าเสื่อมเสียวินัยและนายของทหาร…สมควรลงโทษเป็นตัวอย่าง’ ![]() พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ทรงฉายในปี พ.ศ. 2450 ประกอบกับมีข่าวลือว่า กรมหมื่นชุมพรเขตรอุดมศักดิ์กับกรมขุนนครสวรรค์วรพินิต กำลังวางแผนก่อกบฏ ชิงราชสมบัติ โดยแม้ว่าพระองค์ทรงออกจากราชการแล้วทางการก็ยังให้ตำรวจท้องที่คอยติดตามการเคลื่อนไหวของพระองค์…” ระหว่างที่ทรงอยู่นอกราชการ กรมหลวงชุมพรฯ ทรงหาเลี้ยงชีพด้วยการเป็นหมอยา ใช้พระนามว่า “หมอพร” ในช่วงนี้เองที่กล่าวกันว่า ทรงปราบนักเลงนางเลิ้งได้อยู่หมัด ได้นักเลงมาเป็นลูกน้องด้วย ช่วงเวลานี้กินเวลาราว 6 ปี พระองค์จึงได้กลับเข้ารับราชการกองทัพเรืออีกครั้ง หลังสยามประกาศสงครามกับเยอรมนี เมื่อได้เสด็จกลับเข้ารับราชการทหารเรือและทรงอุทิศพระองค์ปฏิบัติราชการทหารเรือด้วยพระอุตสาหะวิริยะแล้วก็ได้รับพระมหากรุณาธิคุณเลื่อนพระยศเป็นนายพลเรือโท และนายพลเรือเอก ทั้งยังได้โปรดเกล้าฯ เฉลิมพระอิสริยยศเป็น กรมขุนและกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ตามลำดับ กับได้โปรดเกล้าฯให้ทรงดำรงตำแหน่งเสนาธิการทหารเรือ ซึ่งเป็นตำแหน่งบังคับบัญชากำลังพลเทียบเท่าตำแหน่งผู้บัญชาการทหารเรือในปัจจุบัน ก่อนที่จะโปรดเกล้าฯให้ทรงดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงทหารเรืออันเป็นตำแหน่งสูงสุดในราชการทหารเรือ ในบั้นปลายพระชนมชีพ กรมหลวงชุมพรฯ ได้กราบถวายบังคมลาออกไปรักษาพระองค์ที่มณฑลสุราษฎร์ซึ่งเดิมมีชื่อว่า “มณฑลชุมพร” อันพ้องกับพระนามกรม และได้ประชวรสิ้นพระชนม์เสียที่นั้น เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2466 อ่านเพิ่มเติม :- • ทำไมทหารเรือรักกรมหลวงชุมพรฯ เผยพระจริยวัตร-สยบ “นักเลง” สมานรอยร้าวระหว่างรุ่น • ห้วงสุดท้ายก่อนกรมหลวงชุมพรฯ สิ้นพระชนม์ ประชวรแต่ยังต้องรักษาน้ำใจชาวบ้าน • ค้นต้นแบบพระประวัติกรมหลวงชุมพรฯ ฉบับอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ เมื่อพบหลวงปู่ศุขครั้งแรก • กรมหลวงชุมพรฯ กับการเลี้ยงนักมวยในวัง สู่การปั้นชกไฟต์แห่งยุค กำปั้นไทยดวล “มวยจีน” ขอขอบคุณ :- ผู้เขียน : กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม เผยแพร่ : วันศุกร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ.2568 เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรก : เมื่อ 18 ธันวาคม 2559 website : https://www.silpa-mag.com/this-day-in-history/article_4922 อ้างอิง :- - บทความ “เหตุที่กรมหลวงชุมพรฯ ทรงถูกปลดจากทหารเรือ” โดย วรชาติ มีชูบท ใน ศิลปวัฒนธรรม ฉบับกรกฎาคม 2558 - บทความ “ประวัติศาสตร์วิเคราะห์: กรณีสิ้น พระชนม์ของพลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์” โดย รศ.นพ. เอกชัย โควาวิสารัช ใน ศิลปวัฒนธรรม ฉบับกรกฎาคม 2558 |
||
|
20
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 7 สิ่งมงคล คู่บารมีพระมหากษัตริย์ ตามคติไตรภูมิกถา มีอะไรบ้าง ให้คุณด้านใด.?
เมื่อ: ธันวาคม 19, 2025, 07:59:33 am
|
||
| เริ่มโดย raponsan - กระทู้ล่าสุด โดย raponsan | ||
|
.
![]() พระมหากษัตริย์เสด็จเลียบพระนคร (ภาพจาก หนังสือ จิตรกรรมฝีพระหัตถ์และจิตรกรรมตามแนวพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี วัดอัมพวันเจติยาราม) 7 สิ่งมงคล คู่บารมีพระมหากษัตริย์ ตามคติไตรภูมิกถา มีอะไรบ้าง ให้คุณด้านใด.? “แก้ว 7 ประการ” สิ่งมงคลคู่บารมีพระมหากษัตริย์ตามคัมภีร์ไตรภูมิกถา หรือ “ไตรภูมิพระร่วง” มีอะไรบ้าง แต่ละอย่างส่งเสริมหรือให้คุณด้านใด.? ไตรภูมิกถา พระราชนิพนธ์ใน พระมหาธรรมราชาที่ 1 (ลิไทย) คือวรรณกรรมพุทธศาสนาที่มีอิทธิพลต่อสังคมและวัฒนธรรมไทยมาอย่างยาวนาน จนเป็นรากฐานทางความเชื่อ ตลอดจนศิลปกรรมเนื่องในศาสนาทั้งหลาย นอกจากคัมภีร์จะอธิบายถึงนรก สวรรค์ ความดี ความชั่ว และการเผยแผ่พระธรรมคำสอนแล้ว ยังมีส่วนที่อธิบายถึงการกำเนิดสรรพสิ่ง ระบบสังคม รูปแบบการปกครอง รวมถึงสภาวะความเป็น “กษัตริย์” ภายใต้แนวคิดพุทธศาสนาด้วย ในประเด็นข้างต้น ไตรภูมิกถาได้เล่าถึงคติ พระญาจักรวรรดิราช หรือพระมหากษัตริย์ที่เป็นใหญ่กว่ากษัตริย์อื่น ๆ ว่าเป็นผู้หมั่นทำบุญ รักษาศีล และปฏิบัติบูชาพระรัตนตรัยอยู่เป็นนิจ เมื่อตายจึงได้เกิดเป็นท้าวพระญา มีอำนาจบารมีและมีสิทธิ์ในการปกครองจากอานิสงส์ผลบุญที่สั่งสมไว้แต่อดีตชาติ ทั้งนี้ก็ใช่ว่าใคร ๆ ทำบุญรักษาศีลแล้วจะเป็นพระมหากษัตริย์ได้ เพราะยังต้องเป็น “พุทธวงศ์” หรือพระโพธิสัตว์ด้วย พระมหากษัตริย์ในจารีตไทยจึงเป็น “พุทธราชา” มีทั้งบุญญาธิการและทรงธรรม นอกจากนั้นยังมีของคู่บารมีเป็นแก้ว 7 ประการ เป็นสิ่งมงคลจากอำนาจบุญขององค์พระมหากษัตริย์ ซึ่งมีส่วนช่วยให้พระองค์ปกครองบ้านเมืองอย่างราบรื่น 7 สิ่งมงคล ได้แก่ ๑. กงจักรแก้ว (จักรรัตนะ) ๒. ช้างแก้ว (หัตถีรัตนะ) ๓. ม้าแก้ว (อัศวรัตนะ) ๔. มณีแก้ว (มณีรัตนะ) ๕. นางแก้ว (อิตถีรัตนะ) ๖. ขุนคลังแก้ว (คหปติรัตนะ) และ ๗. โอรสแก้ว (ปริณายกรัตนะ) ![]() (ซ้ายไปขวา) โคอุสุภราช ช้างฉัททันต์ และม้าสินธพ ในภาพเขียนเรื่อง จันทคาธชาดก จิตรกรรมฝาผนังวัดหนองบัว ต. ป่าคา อ. ท่าวังผา จ. น่าน (ภาพจาก เฟซบุ๊ก กลุ่มอนุรักษ์จิตรกรรมและประติมากรรม กองโบราณคดี กรมศิลปากร) สำหรับคติความเชื่อเกี่ยวกับแก้วทั้ง 7 ประการ มีดังนี้ • กงจักรแก้ว เป็นกงจักรวิเศษที่จมอยู่ในมหาสมุทร เมื่อพระญาจักรวรรดิราชเกิดขึ้น จักรนี้จะลอยขึ้นมาสู่ราชมณเฑียร พาพระญาจักรวรรดิราชและประชาชนเหาะไปเลียบกำแพงจักรวาล แล้วปราบทวีปทั้ง 4 ได้แก่ อุตรกุรุทวีป บูรพวิเทหทวีป อมรโคยานทวีป และชมพูทวีป เมืองทั้งหลายอ่อนน้อมโดยปราศจากสงคราม กงจักรแก้วยังมีอำนาจแหวกมหาสมุทรให้เห็น “แก้วสัตตพิธรัตนะ” ที่จมอยู่เบื้องล่าง อันจะกลายเป็นสมบัติของพระญาจักรวรรดิราชด้วย • ช้างแก้ว หรือ ช้างเผือกในตระกูลฉัททันต์และตระกูลอุโปสถ และม้าแก้ว ม้าในตระกูลสินธพ เป็นสัตว์คู่บุญที่เหาะมาสู่พระญาจักรวรรดิราชแล้วพาพระองค์ไปเวียนเขาพระสุเมรุราช เลียบกำแพงจักรวาล จากนั้นกลับมาให้ทันเวลาอาหารเช้า • มณีแก้ว คือ แก้ววิเศษบนยอดเขาวิบุลบรรพต มีแก้วบริวาร 84,000 ดวง เมื่อเหาะมาสู่พระญาจักรวรรดิราชพร้อมรัศมีเรืองรองจะสามารถบันดาลกลางคืนให้สว่างไสวดุจกลางวัน ช่วยให้ผู้คนทำงานยามค่ำคืนได้อย่างสะดวกสบาย • นางแก้ว เป็นสตรีสาวผู้เกิดในอุตรกุรุทวีป มีคุณสมบัติเป็นอุดมคติ เช่น รูปโฉมงดงามหมดจด ร่างกายมีรัศมีเปล่งปลั่งไกล 10 ศอก ผิวกายเย็นและหอมดั่งแก่นจันทน์ กลิ่นกฤษณา กลิ่นปากหอมดั่งดอกบัว นางแก้วจะคอยปรนนิบัติพระญาจักรวรรดิราชและเชื่อฟังคำสั่งของพระองค์ทุกประการ • ขุนคลังแก้ว คือ มหาเศรษฐีผู้มีตาทิพย์ หูทิพย์ ล่วงรู้ได้ว่ามีทรัพย์สมบัติอยู่ที่ใดในแผ่นดิน สามารถอธิษฐานให้แก้วแหวนเงินทองต่าง ๆ มาสู่พระญาจักรวรรดิราชตามพระราชประสงค์ • สุดท้าย โอรสแก้ว คือ พระโอรสองค์โตสุดของพระญาจักรวรรดิราช มีอำนาจอ่านใจคนซึ่งอยู่ห่างออกไปถึง 12 โยชน์ (192 กิโลเมตร) จึงสามารถคอยกราบทูลพระราชบิดาให้ระแวดระวังภัยจากผู้คิดร้ายได้ทันเวลา และมีบทบาทช่วยแบ่งเบาราชกิจทั้งหลายของพระญาจักรวรรดิราช ![]() ภาพเขียนพระราชโอรส หรือ “โอรสแก้ว” (กลาง) กับพระมเหสีเทวี หรือ “นางแก้ว” (ขวา) สตรีชั้นสูงในราชสำนัก จิตรกรรมทศชาติชาดก เรื่อง เตมิยชาดก (ภาพจาก สมุดภาพไตรภูมิ ฉบับกรุงศรีอยุธยา เลขที่ 6 กรมศิลปากรจัดพิมพ์เผยแพร่ พ.ศ. 2542) อย่างไรก็ตาม แม้ไตรภูมิกถาจะเผยว่าพระญาจักรวรรดิราชมีพระราชอำนาจล้นพ้นจากบุญญาบารมีของพระองค์ และ 7 สิ่งมงคลที่คอยเกื้อหนุน แต่ยังพ่วงด้วยคำอธิบายว่าอำนาจทั้งหลายดำรงอยู่บน “ธรรม” เป็นสำคัญ และอาจเสื่อมสลายได้หากพระองค์ไม่ตั้งอยู่ในคุณธรรม ธรรมของกษัตริย์จึงเป็นปัจจัยสำคัญในการปกครองบ้านเมือง และไตรภูมิกถาก็วางต้นแบบกษัตริย์ผู้ทรงธรรม โดยใช้แนวคิดพุทธศาสนาเชื่อมโยงศาสนจักรและอาณาจักรเข้าด้วยกัน เพื่อสร้างดุลยภาพทางสังคมและการเมืองนั่นเอง อ่านเพิ่มเติม :- • ช้างเผือก สัตว์คู่พระบารมี ตลอด 200 กว่าปีมานี้ รัชกาลใดที่ไม่มีช้างเผือก • พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ กษัตริย์ผู้ปราศจาก “ช้างเผือก” ไร้ช้างแก้วประจำรัชกาล • “ไตรภูมิพระร่วง” วรรณกรรมของพระยาลิไท กษัตริย์องค์ที่ 5 แห่งสุโขทัย ขอขอบคุณ :- ผู้เขียน : กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม เผยแพร่ : วันอังคารที่ 16 ธันวาคม พ.ศ.2568 เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรก : เมื่อ 16 ธันวาคม 2568 website : https://www.silpa-mag.com/culture/article_160407 อ้างอิง :- - วกุล มิตรพระพันธ์, สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร. คติความเชื่อและที่มาของ “กษัตริย์” ในไตรภูมิกถา. วารสารศิลปากร ฉบับพฤษภาคม-มิถุนายน พ.ศ. 2564. - ราชบัณฑิตยสถาน. (2544). พจนานุกรมศัพท์วรรณคดีไทย สมัยสุโขทัย ไตรภูมิกถา. กรุงเทพฯ : ราชบัณฑิตยสถาน. |
||























