
ย้อนตำนาน "คำสาปชัยวรมัน" ยิ่งฟังยิ่งขนลุกตรงหลายข้อเลย
ย้อนตำนาน "คำสาปชัยวรมัน" ที่หลอกหลอนชาวกัมพูชามาถึงทุกวันนี้ ขนลุกต้นปี 68 ทำพิธีถอนคำสาป แต่โดนฟ้าผ่าเสียชีวิต 3 ศพ
ด้วยสถานการณ์ชายแดนไทยกัมพูชาที่ยังตึงเครียด ทำให้หลายคนอาจจะอยากรู้ว่า การปะทะกันครั้งนี้มีโอกาสมากน้อยแค่ไหนที่ ไทย จะชนะการศึก หรือเป็นไปได้หรือไม่ที่ กัมพูชา จะเป็นฝ่ายประกาศชัยชนะ และจากการประเมินสถานการณ์นั้น ต้องยอมรับจริงๆ ว่า กัมพูชา ไม่มีทางที่จะชนะไทยได้เลย ทั้งในด้านอาวุธ กำลังรบ และ ประวัติศาสตร์

วันนี้ ไทยนิวส์ จะพาไปย้อนรอยสำหรับความมั่นใจว่า "กัมพูชาไม่มีทางชนะไทยอย่างแน่นอน" เพราะหากว่ากันตามความเชื่อ คนโบราณที่ได้เอ่ยคำสาปแช่งไว้ด้วยความโกรธแค้น มักจะมีส่งผลทำให้คำสาปแช่งนั้นยิ่งทวีคูณมากขึ้นไปอีก ยกตัวอย่างเช่น "คำสาปของพระเจ้าชัยวรมัน"
"คำสาปของพระเจ้าชัยวรมัน" ที่ทรงเอ่ยปากสาปแช่งผู้ที่จะทำลายอาณาจักรของพระองค์ ทำให้เกิดความเสื่อมถอยและความแตกแยก ซึ่งคำสาปนี้ถูกสลักอยู่ที่ ศิลาจารึก ซึ่งต้องแบ่งออกเป็น 2 ประเด็น คือ คำสาปในศิลาจารึก ที่มักถูกอ้างอิงถึง เป็นศิลาจารึกที่ปราสาทตาเมือนธม ซึ่งจารึกเมื่อ พ.ศ. 1563 ในสมัย "พระเจ้าสุริยวรมันที่ 1" (ครองราชย์ พ.ศ. 1545 - 1593) ไม่ใช่พระเจ้าชัยวรมัน

ทั้งนี้หากสันนิษฐานจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ จึงอาจมีการตีความหรือเข้าใจคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับคำสาป "ชัยวรมัน" และ "สุริยวรมัน" ซึ่งปรากฏในศิลาจารึกปราสาทตาเมือนธม ซึ่งระบุถึงการบริหารจัดการและการถวายทรัพย์สินแด่เทวสถาน โดยคำสาปมีจุดมุ่งหมายเพื่อปกป้องสิ่งศักดิ์สิทธิ์จากการถูกทำลายเท่านั้น)
สำหรับ "คำสาปชัยวรมัน" เป็นตำนานเรื่องเล่าตามความเชื่อที่ไม่ปรากฏหลักฐานทางการ ว่าด้วยคำสาปขอมโบราณที่ยังคงสะท้อนแนวคิดความเชื่อนี้สืบต่อมาถึงชาวกัมพูชาบางกลุ่มยุคปัจจุบัน ซึ่งความเชื่อนี้เล่าถึงเมื่อประมาณ 700 ปีก่อนในช่วงปลายราชวงศ์พระนคร อาณาจักรขอมโบราณมีสมเด็จพระเจ้าชัยวรมันที่ 9 (หรือพระเจ้าชัยวรมันปรเมศวร) เป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายของเชื้อสายสุริยวรมัน ซึ่งเป็นผู้สืบสันตติวงศ์จากพระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 กษัตริย์ผู้รวบรวมอาณาจักรอย่างมั่นคง

ชายธรรมดาผู้หนึ่งที่มีชื่อว่า แตงหวาน
พระเจ้าชัยวรมันที่ 9 ทรงครองสิริราชสมบัติจากปี พ.ศ. 1870 - 1879 ถูกล้มอำนาจโดยชายธรรมดาผู้หนึ่งที่มีชื่อว่า "แตงหวาน" ชายที่รวบรวมกบฏชาวบ้านเข้ายึดอำนาจ และตั้งตนเป็นกษัตริย์องค์ใหม่ในนาม "พระเจ้าตรอซ็อกผแอม" หรือ "สมเด็จพระองค์ชัย" พระเจ้าแผ่นดินแห่งเมืองพระนครหลวง กัมพูชา
ก่อนจะมีเรื่องเล่าต่อๆ กันมาว่า พระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 ที่ครองราชย์ในช่วง พ.ศ. 1545 - 1593 หรือ ประมาณ 1,500 ปีก่อน ได้สร้างคำสาปเอาไว้ในศิลาจารึกว่า "ผู้ใดทรยศต่อเราและลูกหลาน จะตกอยู่ในความพินาศตลอดไป ถูกต่างชาติยึดครอง ถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ไม่พัฒนา ไม่มีวันชนะลูกหลานของเราได้ และจะเผชิญภัยพิบัติซ้ำแล้วซ้ำเล่า"
@@@@@@@
เชื่อกันว่า คำสาปนี้ถูกเชื่อว่าเริ่มทำงานตั้งแต่วันที่ "แตงหวาน" ก้าวขึ้นเป็นกษัตริย์ และหลังจากนั้นประวัติศาสตร์กัมพูชาก็ดูเหมือนตกอยู่ในวงจรคำสาปตลอดมาไม่จบสิ้น ซึ่งว่ากันว่า "คำสาปชัยวรมัน" มีทั้งหมด 7 ข้อ ได้แก่
1. ผู้ถูกสาปจะถูกทำลายจนสูญสิ้นด้วยลูกหลานของวรมัน
2. ผู้ถูกสาปจะอยู่ภายใต้การปกครองของผู้อื่นเสมอ ถูกสยามและฝรั่งเศสปกครอง
3. ผู้ถูกสาปจะเข่นฆ่าล้างผลาญกันเองตราบชั่วลูกชั่วหลาน เกิดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในยุคเขมรแดง
4. ผู้ถูกสาปจะต้องเป็นทาสของผู้อื่นตลอดไป
5. ผู้ถูกสาปจะต้องเผชิญกับหายนะและภัยพิบัติทางธรรมชาติ
6. ลูกหลานของผู้ถูกสาปจะไม่มีวันรบชนะลูกหลานของชัยวรมัน
7. ผู้ถูกสาปจะล้าหลัง ไร้ศิลปวัฒนธรรมและภูมิปัญญา

อย่างไรก็ตาม สำหรับ "คำสาปชัยวรมัน" เป็นเรื่องเล่าแบบตำนานตามความเชื่อที่แล้วแต่บุคคลจะมอง เนื่องจากไม่มีหลักฐานทางการจากรัฐบาลกัมพูชา หรือนักวิชาการ แต่ก็ยังแสดงให้เห็นได้ว่า ความเชื่อนั้นคงมีอยู่ในหมู่ชาวกัมพูชาบางกลุ่ม โดยเฉพาะหากเชื่อมโยงเหตุการณ์ในวันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ.2568 ที่มีพิธีลึกลับกลางปราสาทนครวัดที่ถูกอ้างว่าเป็น "พิธีถอนคำสาปชัยวรมัน"
ในพิธีกรรมดังกล่าว มีคนแต่งดำ 8 คนเป็นตัวแทนทิศ ทำพิธีกรรมซับซ้อนโดยรอบสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มีเครื่องสังเวยและวัตถุประกอบพิธีมากมาย ทว่าในวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2568 เกิดฟ้าผ่าลงกลางปราสาทนครวัด ทำให้มีผู้เสียชีวิต 3 ราย และบาดเจ็บอีกกว่า 30 ราย โดยผู้เสียชีวิตทั้งหมดเป็นชาวกัมพูชา จนมีการร่ำลือว่าเป็นอาถรรพ์จากคำสาป แต่หลังจากนั้นก็ไม่มีรายงาเพิ่มเติมจากฝั่งกัมพูชาว่า เหตุการณ์ดังกล่าวมีผู้เสียชีวิตเพิ่มหรือไม่ หรือคนในงานได้ออกมาเล่าเรื่องอะไรเพิ่มเติมหรือเปล่า
อย่างไรก็ตาม หากสังเกตจาก คำสาปชัยวรมัน อาจจะมองได้ว่า หลายข้อล้วนตรงกับข้อเท็จจริงในปัจจุบัน เพราะตอนนี้ เขมรก็ยังไม่พัฒนาอะไรใดๆ ให้ตามทันโลกสมัย ล้าหลัง จนโดนหลายชาติในยุโรปถึงขั้นไม่คบค้าสมาคมด้วยแล้ว

Thank to : https://www.tnews.co.th/social/social-news/631817
By RYUSAKI | 25 ก.ค. 2568
ตำนาน "คำสาปชัยวรมัน" สาป "นายแตงหวาน" สาปไว้อย่างไร จากทาสสู่กษัตริย์ จริงหรือ?

ตำนาน “นายแตงหวาน” จากทาสสู่กษัตริย์ กับจุดเปลี่ยนของชนชาติเขมร ที่ไม่ใช่ขอมโบราณอีกต่อไป
เรื่องราวของ “นายแตงหวาน” หรือที่ถูกเรียกในภาษาท้องถิ่นว่า “พระเจ้าแตงหวาน” (เขมร: ត្រសក់ផ្អែម) เป็นหนึ่งในตำนานพื้นถิ่นที่ทรงอิทธิพลอย่างสูงต่อประวัติศาสตร์และอัตลักษณ์ของชนชาติกัมพูชาในปัจจุบัน โดยตำนานนี้ไม่ได้สะท้อนเพียงแค่การเปลี่ยนผ่านอำนาจเท่านั้น แต่ยังเปิดมุมมองใหม่ว่า ชนชาติกัมพูชาปัจจุบันอาจไม่ใช่สายตรงของขอมโบราณดังที่เชื่อกันมา
นายแตงหวาน : จากทาสสู่ราชบัลลังก์
1. พระเจ้าแตงหวาน หรือ “พระบาทศรีสุริโยพันธุ์ที่ 1” ครองราชย์ราวปี ค.ศ. 1290–1336 เป็นกษัตริย์ในช่วงปลายอาณาจักรขอมโบราณ
2. เดิมเป็นชาวบ้านหรือทาสในพื้นที่ตอนใต้ของอาณาจักรขอม (ปัจจุบันคือบริเวณพนมเปญ)
3. ในช่วงที่ราชวงศ์สุริยวรมันอ่อนแอ พระองค์รวบรวมกลุ่มชนชั้นล่าง ทาส และชาติพันธุ์อื่นที่ถูกกดขี่ ลุกขึ้นเป็นกลุ่มกบฏ
4. สามารถโค่นล้มอำนาจเดิม และตั้งราชวงศ์ใหม่ในเขตจตุมุข ซึ่งกลายเป็นพนมเปญในภายหลัง
@@@@@@@
แต่งงานกับพระราชธิดา : กลยุทธ์เพื่อชอบธรรม
ตำนานระบุว่า เพื่อสร้างความชอบธรรมในการขึ้นครองราชย์ พระเจ้าแตงหวานได้แต่งงานกับพระราชธิดาของกษัตริย์องค์ก่อน โดยได้รับการยอมรับผ่านพิธีกรรม “ช้างหลวงเลือกกษัตริย์” ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งความชอบธรรมในวัฒนธรรมขอม
การตั้งราชธานีใหม่ และสร้างราชวงศ์แตงหวาน
หลังจากยึดอำนาจได้ พระองค์ได้ย้ายศูนย์กลางอำนาจจากเมืองพระนครหลวงไปยังเมืองใหม่ทางตอนใต้ ซึ่งกลายเป็นฐานของราชวงศ์ใหม่ที่ปกครองโดยลูกหลานของพระองค์ เช่น พระเจ้านิรวาณบท
คำสาปชัยวรมัน : คำสาปโบราณที่สั่นคลอนประวัติศาสตร์
หนึ่งในองค์ประกอบที่ทำให้เรื่องราวของนายแตงหวานมีน้ำหนักในตำนาน คือ “คำสาปชัยวรมัน” ที่มีบันทึกในศิลาจารึกว่า :-
1. “ผู้ใดทรยศต่อเรา (สุริยวรมัน) และลูกหลาน จะตกอยู่ในความพินาศตลอดไป”
2. “จะถูกต่างชาติยึดครอง”
3. “จะไม่มีวันชนะลูกหลานของเราได้”
คำสาปนี้เชื่อกันว่าเริ่มส่งผลตั้งแต่วันที่แตงหวานขึ้นครองราชย์ เป็นสัญญะของโศกนาฏกรรมในประวัติศาสตร์กัมพูชา ทั้งการตกเป็นเมืองขึ้นและความล่มสลายทางวัฒนธรรม

เชื้อสายกัมพูชาปัจจุบัน : ไม่ใช่ขอมโบราณโดยตรง
1. การเปลี่ยนผ่านยุคของพระเจ้าแตงหวานสะท้อนการเปลี่ยนแปลงเชิงชาติพันธุ์
2. ชนชาติกัมพูชายุคใหม่เกิดจากการหลอมรวมของชาวขอม ทาส ชนชั้นล่าง และกลุ่มชาติพันธุ์อื่น เช่น ชาวจาม
3. วัฒนธรรมใหม่ในยุคราชวงศ์แตงหวานแตกต่างจากขอมโบราณที่เน้นชนชั้นสูงและพิธีกรรมทางศาสนา
การตั้งคำถามต่อความน่าเชื่อถือของตำนาน
แม้ตำนานของพระเจ้าแตงหวานจะทรงพลังในเชิงวัฒนธรรม แต่แง่มุมทางประวัติศาสตร์ยังเต็มไปด้วยข้อถกเถียง :-
1. ขาดหลักฐานทางโบราณคดีที่ยืนยันตัวตนของพระองค์อย่างชัดเจน
2. เอกสารส่วนใหญ่เป็นพระราชพงศาวดารภายหลัง ซึ่งอาจมีการบิดเบือนเพื่อเป้าหมายทางการเมือง
3. มีข้อสันนิษฐานว่า ตำนานนี้อาจถูกสร้างเพื่อเปลี่ยนโครงสร้างอำนาจและประวัติศาสตร์ราชวงศ์ให้รองรับระบอบใหม่
สรุป : ตำนานที่สร้างอัตลักษณ์ใหม่ให้ชนชาติเขมร
เรื่องเล่าของนายแตงหวานคือสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนผ่านจากขอมโบราณสู่ชนชาติกัมพูชายุคใหม่ เป็นการลุกขึ้นของกลุ่มผู้ถูกกดขี่ และเป็นการสร้างราชวงศ์จากทาสสู่กษัตริย์ แม้จะยังไม่มีหลักฐานแน่ชัดรองรับในเชิงวิชาการ แต่อิทธิพลของตำนานนี้ยังฝังรากอยู่ในวัฒนธรรม สื่อสารถึงรากเหง้าใหม่ของชนชาติกัมพูชายุคปัจจุบันอย่างลึกซึ้ง
@@@@@@@
อ้างอิง :-
1. ศิลปวัฒนธรรม
2. กษัตริย์ที่ชาวเขมรไม่อยากเอ่ยถึง พระเจ้าแตงหวาน : เทพ MOMENT
3. เกิดอาเพศ..! คำสาปวรมัน จากทาสสู่ราชา "เขมรกับคำสาปลี้ลับ! เบื้องหลังโชคร้ายที่ซ่อนในประวัติศาสต : เรื่องเล่าจากบันทึก
4. พระเจ้าแตงหวานกษัตริย์เขมร จากทาสขึ้นครองพระนคร จริงหรือ..! : เรื่องเล่าจากบันทึก
ขอบคุณ : https://www.sanook.com/news/9822290/?tbref=hp
S! News : สนับสนุนเนื้อหา | 29 ก.ค. 68 (18:40 น.)

เปิด 7 คำสาปชัยวรมัน ถึง คนปลูกแตงหวาน.!
ประวัติศาสตร์ เรื่องราว ที่กลายเป็นที่พูดถึง ณ ขณะนี้ คือเรื่องของ พระเจ้าชัยวรมันที่1 เรื่องคำสาประหว่าง "คนปลูกแตง" กับ "พระเจ้าชัยวรมัน"
จากสถานการณ์ชายแดนที่เกิดการเผชิญหน้าและปะทะกันหลายครั้ง ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ส่งผลให้ประชาชนทั้งสองฝั่ง จุดกระแสความสนใจไปยังประวัติศาสตร์ ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศที่ยาวนานและซับซ้อน
ล่าสุด บนสื่อสังคมออนไลน์ได้มีการพูดถึง “คำสาปชัยวรมัน” และ “พระเจ้าแตงหวาน” ซึ่งเป็นประเด็นทางประวัติศาสตร์ที่ถูกหยิบยกขึ้นมาอีกครั้งในห้วงเวลาที่บ้านเมืองเกิดความไม่สงบ
“พระเจ้าแตงหวาน” หรือที่รู้จักกันในพระนามว่า สมเด็จพระองค์ชัย หรือ พระเจ้าตระซ็อกประแอม คืออดีตชาวบ้านธรรมดาผู้มีอาชีพปลูกแตง ซึ่งลุกขึ้นเป็นผู้นำกบฏปลายยุค ราชวงศ์พระนคร โค่นล้ม พระเจ้าชัยวรมันที่ 9 กษัตริย์องค์สุดท้ายที่สืบสายจากราชวงศ์สุริยวรมัน
แตงหวานสังหารกษัตริย์ และขึ้นครองราชย์แทนในปี ค.ศ. 1290 เหตุการณ์นี้ ไม่เพียงเป็นจุดจบของสายกษัตริย์สุริยวรมัน แต่ยังถูกเชื่อว่า เป็นจุดเริ่มต้นของ “คำสาป” ที่ถูกปลดปล่อย
@@@@@@@
คำสาปดังกล่าว เชื่อว่าถูกสลักไว้โดย พระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 กษัตริย์ผู้รวมแผ่นดิน แห่งอาณาจักรขอมในศตวรรษที่ 11 โดยมีใจความว่า... “ผู้ใดทรยศต่อเราและลูกหลาน จะพบกับหายนะ ถูกต่างชาติยึดครอง และจะเผชิญภัยพิบัติซ้ำแล้วซ้ำเล่า”
ซึ่งสรุปใจความมีทั้งหมด 7 ข้อ ได้แก่
1. ผู้ถูกสาปจะถูกทำลายจนสูญสิ้นด้วยลูกหลานของวรมัน
2. ผู้ถูกสาปจะอยู่ภายใต้การปกครองของผู้อื่นเสมอ
3. ผู้ถูกสาปจะเข่นฆ่าล้างผลาญกันเองตราบชั่วลูกชั่วหลาน
4. ผู้ถูกสาปจะต้องเป็นทาสของผู้อื่นตลอดไป
5. ผู้ถูกสาปจะต้องเผชิญกับหายนะและภัยพิบัติทางธรรมชาติ
6. ลูกหลานของผู้ถูกสาปจะไม่มีวันรบชนะลูกหลานของชัยวรมัน
7. ผู้ถูกสาปจะล้าหลัง ไร้ศิลปวัฒนธรรมและภูมิปัญญา
ซึ่งในเวลาต่อมา กัมพูชาก็เข้าสู่ยุคเสื่อมถอยเสียเอกราชหลายครั้ง ถูกล่าอาณานิคม และเผชิญกับโศกนาฏกรรมในยุคเขมรแดง ทำให้หลายคนโยงว่า “คำสาปชัยวรมัน” อาจกำลังสำแดงฤทธิ์
ซึ่งเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2568 เกิดเหตุฟ้าผ่าลงบนยอดปราสาทนครวัด หลังจากมีการประกอบพิธี “ถอนคำสาป” เพียงไม่กี่ชั่วโมง ทำให้คำสาปโบราณนี้กลับมาอยู่ในความสนใจของสาธารณชนอีกครั้ง
ขณะที่สถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชาในปัจจุบัน ยังคงต้องจับตาอย่างใกล้ชิด นักวิชาการบางส่วนชี้ว่า การย้อนมองประวัติศาสตร์ แม้ไม่ใช่คำตอบของปัญหาในวันนี้ แต่ก็อาจช่วยเตือนให้เราระวัง ว่าอำนาจที่ได้มาโดยไม่ชอบธรรมอาจนำพาหายนะในระยะยาว
ซึ่งในโลกออนไลน์ชาวเน็ตของเรา ตอนนี้ หลายคนมองว่า ฮุนเซน อาจเป็น พระเจ้าแตงหวานมาเกิดอีกครั้ง แต่ก็อยู่ที่ความเชื่อและวิจารณญาณของแต่ละคน
@@@@@@@
ตำนาน “พระเจ้าแตงหวาน” ประวัติศาสตร์อันเลือนลางและวุ่นวายก่อนเมืองพระนครถูกทิ้งร้าง
เรื่องราวกึ่งตำนาน ของ “นายแตงหวาน” หรือ พระเจ้าแตงหวาน เป็นส่วนหนึ่งของการอธิบายช่วงเวลาอันมืดมนและวุ่นวายของ อาณาจักรขอม แห่งเมืองพระนคร หรือ “พระนครหลวง” ซึ่งคือห้วงเวลาที่ราชอาณาจักรแห่งนี้จวนเจียนจะล่มสลาย
หลังสิ้นสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 (พ.ศ. 1724 – 1761?) อาณาจักรขอม เริ่มเสื่อมอำนาจลงท่ามกลางผลงานมากมายที่พระองค์ทิ้งไว้ ได้แก่ ปราสาท เทวาลัย ศาสนสถานต่าง ๆ ไม่เพียงเป็นประจักษ์พยานพระราชนิยมที่โปรดการก่อสร้างอย่างมโหฬารเท่านั้น หากยังเต็มไปด้วยสัญลักษณ์ที่ย้ำเตือนว่าอาณาจักรของพระองค์จะอยู่ยืนยงไปอีกนาน แต่พระประสงค์ดังกล่าวไม่อาจเป็นจริงได้
เรื่องนี้ ศาสตราจารย์ มาดแลน จิโต ได้เล่าไว้ใน ประวัติเมืองพระนครของขอม (สนพ. มติชน : 2566 ; ศาสตราจารย์ ม.จ. สุภัทรดิศ ดิศกุล แปล) ชี้ให้เห็นว่า ประวัติศาสตร์กัมพูชาในยุคผู้ครองราชย์สืบต่อจากพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 คือตั้งแต่ พระเจ้าอินทรวรมัน พระเจ้าชัยวรมนันที่ 8 เป็นต้นไปนั้นเต็มไปด้วยความเลือนลาง สับสนวุ่นวาย และความเสื่อมถอยทางอำนาจ
รวมถึงการ “แทรก” ตำนานมาอธิบายการเปลี่ยนราชวงศ์ใหม่ การรุกรานจากกองทัพอยุธยา ผลลัพธ์คือ กษัตริย์เขมรซึ่งเชื่อว่าเป็นลูกหลานของ “พระเจ้าแตงหวาน” ตัดสินใจทอดทิ้งราชธานีอันยิ่งใหญ่อย่าง เมืองพระนครหลวง ไปยังศูนย์กลางแห่งใหม่ทางใต้ของโตนเลสาบ จิ๊กซอว์ประวัติศาสตร์ ณ ช่วงเวลานั้น มีดังต่อไปนี้

บรรดาพระราชารุ่นหลังที่เมือง “พระนครหลวง”
“พระเจ้าศรีนทรวรมัน” ได้เสด็จขึ้นครองราชย์ใน พ.ศ. 1838 ทั้งนี้ เนื่องจากพระสัสสุระ (พ่อตา) ของพระองค์คือ พระเจ้าชัยวรมันที่ 8 ได้ทรงสละราชสมบัติ ไม่ว่าด้วยความเต็มพระทัยหรือไม่ก็ตาม
หลังจากพระเจ้าศรีนทรวรมัน จารึกขอมได้กล่าวถึงกษัตริย์อีก 2 องค์ ปรากฏว่าใน พ.ศ. 1850 พระเจ้าศรีนทรวรมันก็ทรงสละราชสมบัติพระราชทานแด่เจ้าชายองค์หนึ่งซึ่งเป็นพระญาติ เจ้าชายองค์นี้ได้เสด็จขึ้นครองราชย์ทรงพระนามว่า “พระเจ้าศรีนทรชัยวรมัน” พระองค์ครองราชย์อยู่จนถึง พ.ศ. 1870 และในปีนั้น “พระเจ้าชัยวรรมาทิปรเมศวร” ก็ขึ้นครองราชย์สมบัติ
มีหลักฐานน้อยมากเกี่ยวกับกษัตริย์ขอมรุ่นสุดท้ายของเมือง “พระนครหลวง” เหล่านี้
ภายใต้รัชกาลของบรรดากษัตริย์ขอมเหล่านี้ ศาสนาพราหมณ์ลัทธิไศวนิกายคงจะเป็นศาสนาที่ประพฤติปฏิบัติกันอยู่เป็นประจำภายในราชสำนัก ดังที่จารึกและของถวายที่พระเจ้าศรีนทรชัยวรมันได้ถวายแก่เทวาลัยมังคลารัถได้แสดงไว้
อย่างไรก็ดี พุทธศาสนาลัทธิเถรวาทก็มีความสำคัญยิ่งขึ้นทุกที พร้อมกับพุทธศาสนาลัทธินี้ ความรู้ในภาษาบาลีก็เพิ่มพูนขึ้นด้วยในอาณาจักรขอม ปรากกฏว่า จารึกภาษาบาลีหลักแรกได้สร้างขึ้นใน พ.ศ. 1852
หลังจากที่ภาษาสันสกฤตซึ่งได้มาจากเมืองกบิลปุระได้กล่าวถึงพระเจ้าชัยวรรมาทิปรเมศวรแล้ว จารึกภาษาสันสกฤตในราชอาณาจักรขอมก็สุดสิ้นลง
@@@@@@@
ประวัติศาสตร์ของราชอาณาจักรเขมรหรือประเทศกัมพูชาในสมัยต่อมา ปรากฏอยู่ในพระราชพงศาวดารเขมรหลายเล่ม ซึ่ง (ล้วน) แต่งขึ้นในต้นหรือกลางพุทธศตวรรษที่ 24
พระราชพงศาวดารเขมรฉบับที่เก่าที่สุดปรากฏอยู่แต่เพียงส่วนเดียว แต่งขึ้นใน พ.ศ. 2339 (สมัยรัชกาลที่ 1 ของไทย) ได้แปลเป็นภาษาไทย และพระราชาเขมรในขณะนั้นคือ “นักองค์เอง” ก็ได้ถวายแด่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
พระราชพงศาวดารเขมรอีกฉบับ คือ พระราชพงศาวดารเขมรฉบับออกญาวงศาสรรเพชญ (นง) ได้แต่งขึ้นในกลางพุทธศตวรรษที่ 24 โดยพระราชโองการของพระราชาเขมรคือ “นักองค์จันทร์” แต่งโดยขุนนางเขมรชื่อ “ออกญานง” แปลเป็นภาษาฝรั่งเศสโดยนายดูดาร์ต์ เดอ ลาเกร (Doudart de lagree) และตีพิมพ์โดยนายฟรานซิส การ์นีเออร์ (Francis Garnier) แต่ระยะศักราชของพระราชพงศาวดารเขมรทั้ง 2 ฉบับไม่ตรงกัน และยังแตกต่างออกไปจากพระราชพงศาวดารเขมรอีกฉบับหนึ่ง ซึ่งนายมูรา (Moura) ใช้
อย่างไรก็ดี เกี่ยวกับประวัติของเมืองพระนครหลวงในตอนนี้เรามีหลักฐานจากต่างประเทศมาประกอบ คือ หลักฐานทางด้านจีน ไทย เวียดนาม โปรตุเกส และสเปน
เราไม่สามารถทราบได้ว่า “พระเจ้าชัยวรรมาทิปรเมศวร” ทรงเกี่ยวดองกับ “พระเจ้านิรวาณบท” (นิพพานบท) ซึ่งเป็นพระราชาองค์แรกที่พระราชพงศาวดารเขมรกล่าวอ้างถึงอย่างไร
@@@@@@@
ตามตำนาน พระเจ้านิรวาณบททรงเป็นพระราชโอรสของ “คนทำสวน” ซึ่งได้ฆ่าพระราชาของตน ชาวสวนผู้นี้คือ “นายแตงหวาน” (Trasak Phaem) ผู้เป็นหัวหน้าสวนแตงหวาน
ตำนานที่มีชื่อเสียงของเขมรกล่าวว่า ชาวสวนผู้นี้มีนามว่านายแตงหวาน ได้ปลูกแตงหวานไว้ในไร่ของเขา เป็นแตงที่มีรสชาติโอชะมาก พระราชาที่ขึ้นครองราชย์อยู่ในขณะนั้นทรงโปรดปรานแตงชนิดนี้อย่างยิ่ง ได้ทรงสั่งให้ชาวสวนผู้นี้เก็บรักษาผลแตงทั้งหมดไว้ถวายเฉพาะพระองค์ และเพื่อจะมิให้ผู้ใดมาขโมยผลแตงเหล่านี้ไปได้ พระองค์ก็ได้พระราชทานหอกเล่มหนึ่งให้แก่นายแตงหวาน เพื่อจะได้ฆ่าขโมยทุกคนที่เข้ามาขโมยแตงในไร่
คืนหนึ่ง พระราชาอยากจะเสวยแตงหวานนี้มาก จึงเสด็จเข้าไปในไร่นั้น แต่ก็ทรงประสบเคราะห์กรรมเพราะนายแตงหวานไม่ทราบว่าเป็นพระองค์ จึงได้ประหารพระองค์เสีย
พระราชาทรงมีพระราชธิดาองค์หนึ่ง และก็ได้มีการใช้ช้างหลวงให้ไปเลือกผู้ที่จะขึ้นครองราชย์ต่อ ช้างได้มาหยุดอยู่ต่อหน้านนายแตงหวานและแสดงความเคารพต่อเขา ชาวสวนผู้นี้จึงได้สมรสกับพระราชธิดาตามประเพณีที่ทำให้เป็นผู้ขึ้นครองราชสมบัติโดยการเปลี่ยนราชวงศ์ที่ถูกต้องตามกฎหมาย
พระเจ้าแตงหวานได้ทรงขยายพระราชอำนาจของพระองค์ออกไปทั่วอาณาจักรเขมรที่ไม่ยอมอ่อนน้อม และต่อมาพระเจ้านิรวาณบทซึ่งเป็นพระราชโอรสก็ได้ขึ้นครองราชย์ต่อ พระราชพงศาวดารเขมรหลายฉบับได้กล่าวว่า พระเจ้านิรวาณบทได้เสด็จขึ้นครองราชใน พ.ศ. 1889 พระองค์และพระราชาเขมรที่สืบต่อลงมารุ่นแรก ๆ ก็ยังคงประทับที่ พระนครหลวง
เป็นการยากที่จะทราบได้ว่า พระราชาเขมรได้ทรงละทิ้งเมืองพระนครหลวงเมื่อใด ทั้งนี้ เพื่อย้ายไปประทับในลุ่มแม่น้ำโขงเพราะทรงต้องการที่จะหลุดพ้นจากการรุกรานของกองทัพไทย

ถ้าเราเชื่อตามพระราชพงศาวดารฉบับออกญานง สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 แห่งพระนครศรีอยุธยาก็ได้ทรงยกทัพมาและยึดเมืองนครหลวงได้ใน พ.ศ. 1896 ภายในรัชกาลของพระราชโอรสของพระเจ้านิรวาณบท แต่ศักราชนี้อาจจะผิดก็ได้ เพราะในหนังสือพระราชพงศาวดารยึดถือปีนักษัตรเป็นเกณฑ์ เจ้าชายไทยได้ขึ้นครองราชย์ที่เมืองพระนครหลวง แต่ราว พ.ศ. 1901 เจ้าชายเขมรก็เข้ายึดเมืองพระนครหลวงคืนได้ และขึ้นครองราชย์ทรงพระนามว่า “สุริยวงศ์ราชาธิราช”.
ตั้งแต่บัดนั้นมา การสงครามระหว่างเขมรกับไทยก็มีอยู่เกือบเป็นประจำ ราว พ.ศ. 1913 กองทัพไทยก็ได้ยกเข้าโจมตีประเทศกัมพูชาอีกครั้งหนึ่ง และเข้ายึดเมืองพระนครหลวงได้อีก ทำให้พระราชาเขมรที่ขึ้นครองราชย์อยู่สิ้นพระชนม์ และเจ้าชายไทยก็ได้ขึ้นครองราชสมบัติ
จากพระราชพงศาวดารฉบับออกญานง เจ้าชายเขมรคือ พระยาญาติ (เจ้าพ้นหัวญาติ) ได้ประหารพระราชาไทยเสียและเข้ายึดราชสมบัติกลับคืน หลังจากเสวยราชย์ได้ 12 ปี พระยาญาติก็ตกลงพระทัยที่จะละทิ้งเมืองพระครหลวงและเสด็จไปสร้างราชธานีใหม่แถบลุ่มแม่น้ำโขง ชั้นแรกที่เมืองบาสัน (Basan) ในแถบเมืองสรีสันถาน (Sri Santhor) และต่อจากนั้นจึงย้ายไปประทับที่เมืองพนมเปญ
อย่างไรก็ดี พระราชพงศาวดารเขมรฉบับที่นายมูราใช้ก็ได้ให้ระยะเวลาเกี่ยวกับเหตุการณ์ตอนนี้ช้ากว่าที่กล่าวมาแล้วมาก
พระราชพงศาวดารเขมรฉบับที่นายมูราใช้ได้กล่าวว่า การขึ้นเสวยราชสมบัติของพระยาญาติและการละทิ้งเมืองพระนครหลวงเกิดขึ้นภายหลัง “สมเด็จพระบรมราชาที่ 2” (เจ้าสามพระยา) ทรงเข้ายึดเมืองพระนครหลวงไว้ได้ใน พ.ศ. 1974
@@@@@@@
นักประวัติศาสตร์อเมริกัน คือนายวอลเตอร์ส (O.W. Wolters) ได้ตีความใหม่จากหลักฐานทางด้านจดหมายเหตุจีนและเขมร และได้เสนอว่า หลังจากการรุกรานของกองทัพไทยใน พ.ศ. 1913 พระราชาเขมรก็คงจะได้เสร็จไปประทับที่เมืองบาสัน แต่ผู้ที่สืบต่อมาจากพระองค์คงจะเสร็จกลับมาประทับที่เมืองพระนครหลวงดังเดิม
ดูเหมือนว่าราชธานีเก่าแห่งนี้จะถูกละทิ้งโดยพระราชาขอมหลายครั้ง ก่อนที่จะถูกทอดทิ้งอย่างแน่นอนเป็นครั้งสุดท้าย
เท่าที่เราสามารถทราบได้ในปัจจุบัน ก็เป็นการยากที่จะทราบได้ว่า เมืองพระนครหลวงมีสภาพเป็นอย่างไรในพุทธศตวรรษที่ 20-21 การละทิ้งราชธานีแห่งนี้อย่างแน่นอนเป็นครั้งสุดท้ายคงจะเกิดขึ้นภายหลังการรุกรานของกองทัพไทยใน พ.ศ. 1974 (ในสมัยสมเด็จพระบรมราชาที่ 2 แห่งกรุงศรีอยุธยา )
ศาสตราจารย์บวสเซอลีเย่ คิดว่า ในตอนนั้นเมืองพระนครหลวงคงจะถูกปล้นสะดม สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 คงจะได้ทรงนำเทวรูป เครื่องราชูปโภค โดยเฉพาะอย่างยิ่งประติมากรรมซึ่งอยู่ที่เกาะราชัยศรี (ปราสาทนาคพัน) ก็คงจะถูกขนไปโดยการเจาะกำแพงที่ล้อมรอบทางด้านทิศเหนือและใต้
@@@@@@@
ท่านได้เขียนเพิ่มเติมด้วยว่า ด้วยการกระทำให้เครื่องราชูปโภคและเครื่องประกันแห่งราชอำนาจต้องเปลี่ยนเจ้าของด้วยการเคลื่อนย้ายสิ่งเหล่านี้เข้ามาอยู่ยังพระนครศรีอยุธยา ก็หมายความว่า พระราชอำนาจของพระจักรพรรดิซึ่งสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 ทรงคิดว่าได้ทรงนำมาพระราชทานแด่ราชวงศ์ของพระองค์ และตั้งแต่นั้นมา ราชวงศ์นี้ (ราชวงศ์สุพรรณบุรี) ก็ได้เป็นผู้ครองราชอำนาจ ซึ่งพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ได้เคยทรงรวบรวมไว้ ณ บริเวณเมืองพระนครหลวงมาแต่ก่อน
เมือง “พระนครหลวง” คงจะถูกทอดทิ้งอย่างสมบูรณ์และในไม่ช้าก็กลายเป็นป่า ในขณะที่พระราชาเขมรได้เสด็จกลับมาประทับ ณ ที่นั้น อีกครั้งหนึ่งในตอนต้นพุทธศตวรรษที่ 22
กล่าวโดยสรุป หลังสิ้นสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 อาณาจักรขอม แห่งเมืองพระนครมีกษัตริย์ปกครองสืบต่อมาอีก 5 พระองค์ (อินทรวรมันที่ 2, ชัยวรมันที่ 8, ศรีนทรวรมัน, ศรีนทรชัยวรมัน และ ชัยวรรมาทิปรเมศวร) ถัดจากนั้นจึงปรากฏพระนามกษัตริย์องค์แรกในพระราชพงศาวดารเขมร คือ พระเจ้านิรวาณบท ปลายพุทธศตวรรษที่ 19 ก่อนปรากฏหลักฐานการทิ้งเมืองพระนครหลวงในสมัยพระยาญาติ หรือกลางพุทธศตวรรษที่ 20 โดยมีอยุธยาก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจใหม่ของภูมิภาคแทน
อ้างอิง
1. ประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เล่ม 1
2. กองบรรณาธิการวารสารศิลปวัฒนธรรม
เรียบเรียงข้อมูลโดย เพจเกร็ดประวัติศาสตร์ v2
ขอบคุณที่มา : Facebook ตะลอน ทั่วกรุง , 6 วัน
https://www.facebook.com/suriyan.ananuaua/posts/เปิด-7-คำสาปชัยวรมัน-ถึง-คนปลูกแตงหวาน-ประวัติศาสตร์-เรื่องราว-ที่กลายเป็นที่พูด/2957020544508025/






















