อรรถกถา ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค
๒. อรรถกถาสีลมยญาณุทเทส ว่าด้วยสีลมยญาณ
คำว่า สุตฺวาน สํวเร ปญฺญา ความว่า :-
ธรรม ๕ ประการเหล่านี้ คือ ปาฏิโมกข์ ๑ สติ ๑ ญาณ ๑ ขันติ ๑ และ วิริยะ ๑ ท่านแสดงว่าสังวร.
สังวรที่มาแล้วโดยนัยเป็นต้นว่า เป็นผู้เข้าถึง, เข้าถึงพร้อม, เข้ามา, เข้ามาพร้อม, ถึงแล้ว, ถึงพร้อมแล้ว, ประกอบพร้อมแล้ว ด้วยปาฏิโมกขสังวรนี้.๑-
ชื่อว่าปาฏิโมกขสังวร.____________________________
๑-
อภิ. วิ. เล่ม ๓๕/ข้อ ๖๐๒ สังวรที่มาแล้วโดยนัยเป็นต้นว่า ภิกษุเห็นรูปด้วยจักษุแล้ว ไม่ถือนิมิต ไม่ถืออนุพยัญชนะ, เธอย่อมปฏิบัติ เพื่อสำรวม จักขุนทรีย์ เมื่อไม่สำรวมแล้ว จะเป็นเหตุให้อกุศลธรรมอันลามก คืออภิชฌาและโทมนัสครอบงำนั้น ชื่อว่ารักษาจักขุนทรีย์, ชื่อว่าถึง ความสำรวมในจักขุนทรีย์.๒-
ชื่อว่าสติสังวร.____________________________
๒-
ที. สี. เล่ม ๙/ข้อ ๑๒๒ สังวรที่มาแล้วโดยนัยเป็นต้นว่า กระแสทั้งหลายเหล่าใดในโลก มีอยู่, สติเป็นเครื่องกั้นกระแสเหล่านั้น เรากล่าวสติว่า เป็นเครื่องกั้นกระแสทั้งหลาย, กระแสเหล่านั้น อันบัณฑิตย่อมปิดได้ด้วยปัญญา๓- ดังนี้.
ชื่อว่าญาณสังวร.____________________________
๓-
ขุ. ส. เล่ม ๒๕/ข้อ ๔๒๕ สังวรที่มาแล้วโดยนัยเป็นต้นว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ พิจารณาโดยแยบคายแล้ว เสพจีวร๔- ดังนี้.
ชื่อว่าปัจจยปฏิเสวนาสังวร.
ปัจจยปฏิเสวนาสังวรแม้นั้น ท่านสงเคราะห์ด้วยญาณสังวรนั่นแล.____________________________
๔-
ม. มู. เล่ม ๑๒/ข้อ ๑๔ สังวรที่มาแล้วโดยนัยเป็นต้นว่า เป็นผู้อดกลั้นต่อหนาว ร้อน หิว ระหาย สัมผัสแห่งเหลือบ ยุง ลม แดดและสัตว์เลื้อยคลาน เป็นผู้มีชาติแห่งผู้อดกลั้นต่อถ้อยคำที่ผู้อื่นกล่าว ชั่วร้ายแรง ต่อเวทนาที่มีอยู่ในตัวซึ่งบังเกิดขึ้นเป็นทุกข์กล้า แข็ง เผ็ดร้อน ไม่เป็นที่ยินดี ไม่เป็นที่ชอบใจ อันจะคร่าชีวิตเสียได้๕- ดังนี้.
ชื่อว่าขันติสังวร.
____________________________
๕-
ม. มู. เล่ม ๑๒/ข้อ ๑๕ สังวรที่มาแล้วโดยนัยเป็นต้นว่า ภิกษุ ย่อมอดกลั้น ย่อมละ ย่อมบรรเทา กามวิตกที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมกระทำให้สิ้นสูญไป ให้ถึงความไม่มี๖- ดังนี้.
ชื่อว่าวิริยสังวร.____________________________
๖-
ม. มู. เล่ม ๑๒/ข้อ ๑๗ สังวรที่มาแล้วโดยนัยเป็นต้นว่า พระอริยสาวกในพระศาสนานี้ ละมิจฉาอาชีวะ เสียแล้ว สำเร็จชีวิตอยู่ด้วยสัมมาอาชีวะ ๗- ดังนี้
ชื่อว่าอาชีวปาริสุทธิสังวร. ____________________________
๗-
สํ. มหา เล่ม ๑๙/ข้อ ๓๘
อาชีวปาริสุทธิสังวรแม้นั้น ท่านสงเคราะห์ด้วยวิริยสังวรนั่นแล.
ในสังวร ๗ เหล่านั้น สังวร ๔ คือ ปาฏิโมกขสังวร, อินทรียสังวร, อาชีวปาริสุทธิสังวรและปัจจยปฏิเสวนาสังวร ท่านประสงค์เอาในที่นี้, และในสังวร ๔ เหล่านั้น ปาฏิโมกขสังวร ท่านประสงค์เอาเป็นพิเศษ.
ก็สังวรนี้แม้ทั้งหมด ท่านเรียกว่าสังวร เพราะกั้นทุจริตทั้งหลายมีกายทุจริตเป็นต้น ที่จำต้องสังวรตามธรรมดาของตน.
ปัญญาของกุลบุตรผู้ฟังธรรมตามที่กล่าวแล้วในสุตมยญาณ แล้วสังวรอยู่ ทำการสังวร เป็นไปแล้วในการสังวรนั้น สัมปยุตกับสังวรนั้น ท่านกล่าวแล้วว่า สุตฺวาน สํวเร ปญฺญา.
อีกอย่างหนึ่ง มีความว่า ปัญญาในการสังวรเพราะมีการฟังเป็นเหตุบ้าง เพราะมีคำว่า เหตุอตฺเถ สุตฺวา ฟังเหตุและผลปรากฏอยู่ด้วย.
บทว่า สีลํ ในคำนี้ว่า สีลมเย ญาณํ ความว่า ชื่อว่าศีลเพราะอรรถว่าสำรวม.
ชื่อว่าการสำรวมนี้ อย่างไร? คือ การตั้งมั่น.
อธิบายว่า ความเป็นกายกรรมเป็นต้นไม่เกลื่อนกล่นด้วยสามารถแห่งความเป็นผู้สำรวมด้วยดี.
หรือความเข้าไปตั้งมั่น. อธิบายว่า ความที่แห่งกุศลธรรมทั้งหลายเป็นที่รองรับด้วยสามารถเป็นที่ตั้ง.
ก็ในศีลนี้ นักปราชญ์ผู้รู้ลักษณศัพท์ รับรู้ตามๆ กันมาซึ่งอรรถะทั้ง ๒ นี้เท่านั้น. แต่อาจารย์พวกอื่นพรรณนาว่า ชื่อว่าศีล เพราะอรรถว่าเสพยิ่ง เพราะอรรถว่าเป็นที่รองรับ เพราะอรรถว่าเป็นปกติ เพราะอรรถว่าเป็นศีรษะ เพราะอรรถว่าเย็น เพราะอรรถว่าเกษม.
ศีลนั้นแม้จะมีประเภทต่างๆ หลายอย่างก็มีการสำรวมเป็นลักษณะ เหมือนรูป๘- มีประเภทต่างๆ เป็นอันมาก ก็มีการเห็นได้ด้วยตาเป็นลักษณะฉะนั้น.____________________________
๘- หมายเอารูปารมณ์.

เหมือนอย่างว่า ความที่รูปายตนะแม้มีประเภทต่างๆ เป็นอันมาก โดยประเภทแห่งสีมีสีเขียวและสีเหลืองเป็นต้น ก็มีการเห็นได้ด้วยตาเป็นลักษณะ เพราะไม่ก้าวล่วงความที่แห่งรูปายตนะมีประเภทต่างๆ โดยประเภทแห่งสีมีสีเขียวเป็นต้น ก็เป็นรูปายตนะที่เห็นได้ด้วยตาฉันใด
ความสำรวมแห่งศีลแม้มีประเภทต่างๆ หลายอย่างโดยประเภทแห่งวิรัติมีเจตนาวิรัติเป็นต้น ท่านกล่าวแล้วว่าเป็นที่รองรับกายกรรมเป็นต้นและเป็นที่ตั้งแห่งกุศลธรรมนี้ได้, การสำรวมนั้นนั่นแหละเป็นลักษณะของศีลแม้มีประเภทต่างๆ หลายอย่างโดยประเภทแห่งวิรัติมีเจตนาวิรัติเป็นต้น เพราะไม่ก้าวล่วงความเป็นที่รองรับและเป็นที่ตั้ง.
ก็การกำจัดความเป็นผู้ทุศีล และคุณคือความไม่มีโทษ ท่านเรียกว่าเป็นรส เพราะอรรถว่าเป็นกิจและสมบัติของศีลนั้นมีลักษณะดังที่ได้กล่าวมาแล้วอย่างนี้.
เพราะฉะนั้น ธรรมดาว่าศีลนี้ บัณฑิตพึงทราบว่ามีการกำจัดความเป็นผู้ทุศีลเป็นรส เพราะรสมีอรรถว่ากิจ, มีความไม่มีโทษเป็นรส เพราะรสมีอรรถว่าสมบัติ.
ศีลนี้นั้น วิญญูชนทั้งหลายพรรณนาไว้ว่า
มีความสะอาดเป็นปัจจุปัฏฐาน มีโอตตัปปะและหิริเป็นปทัฏฐานของศีลนั้น.
ศีลนี้นั้นมีความสะอาดเป็นปัจจุปัฏฐานตามที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้อย่างนี้ว่า
ความสะอาดกาย, ความสะอาดวาจา, ความสะอาดใจ๙-
ย่อมถึงซึ่งความนับว่าปรากฏโดยความเป็นของสะอาด.____________________________
๙-
ที. ปา. เล่ม ๑๑/ข้อ ๒๒๘ ส่วนหิริและโอตตัปปะ วิญญูชนทั้งหลายพรรณนาไว้ว่าเป็นปทัฏฐานของศีลนั้น.
อธิบายว่า เป็นเหตุใกล้.
เพราะเมื่อหิริและโอตตัปปะมีอยู่ ศีลก็ย่อมเกิดขึ้นและตั้งอยู่. เมื่อหิริและโอตตัปปะไม่มี ศีลก็ย่อมไม่เกิดขึ้นและไม่ตั้งอยู่ฉะนั้น ญาณที่สหรคตด้วยศีล สัมปยุตด้วยศีลนั้น โดยวิธีที่กล่าวมาแล้วอย่างนี้ ชื่อว่า สีลมเย ญาณํ.
อีกอย่างหนึ่ง ศีลนั่นแหละสำเร็จแล้วชื่อว่า สีลมัย. ญาณในสีลมัยนั้นคือ สัมปยุตด้วยสีลมัยนั้น.
การพิจารณาโทษในการไม่สำรวม ๑,
การพิจารณาอานิสงส์ในการสำรวม ๑,
การพิจารณาความบริสุทธิ์ในการสำรวม ๑,
การพิจารณาความขาวสะอาดจากสังกิเลสในเพราะการสำรวม ๑
ท่านสงเคราะห์ด้วยสีลมยญาณนั่นแล.อ้างอิง
http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=31&i=0&p=2อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎกได้ที่
http://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=31&A=1&Z=94ขอบคุณภาพจาก
http://www.madchima.net/