ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: โปรดระวังข้ออ้างของกิเลส  (อ่าน 2234 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29297
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
โปรดระวังข้ออ้างของกิเลส
« เมื่อ: ตุลาคม 23, 2015, 09:46:35 am »
0


โปรดระวังข้ออ้างของกิเลส
ธรรมะ-ยูเทิร์น โดยอิทธิโชโต

อันที่จริง เมื่อบุคคลถูกงูเห่ากัด หมอบางคนรักษาได้ อนึ่ง บุคคลถูกผีเข้าสิง หมอผู้ฉลาดก็ไล่ออกได้ แต่บุคคลผู้ถูกความใคร่ครอบงำแล้ว ใคร ๆ ก็รักษาไม่หาย เพราะว่าเมื่อบุคคลล่วงเลยธรรมขาวเสียแล้ว จะรักษาได้อย่างไร. (๘๐.๔๒/๑๑๒ หรือ ๔๕.๒๗/๘๓ กามมีตชาดก)

คราวที่แล้วกล่าวถึง ‘รอยกรรม’ เป็นสิ่งที่เราเลือกได้เหมือนกัน และวิบากกรรมก็คือผลที่เกิดขึ้นจากการที่เรากระทำกรรมลงไป ทั้งกรรมดีและกรรมไม่ดี ล้วนส่งผลทั้งสิ้น เช่น บางคนบ่นว่า ไม่เอาแล้วครอบครัว เห็นพ่อแม่ทะเลาะกันไม่มีความสุข แต่พอถึงเวลาตัวเองไปรักไปชอบใคร ก็อยากมีครอบครัวขึ้นมาบ้าง และคิดว่าจะไม่พยายามทำให้เป็นแบบพ่อแม่ที่เห็นตั้งแต่เด็ก

บางคนก็ทำได้ แต่หลายคนก็ทำไม่ได้ มักจะไปซ้ำรอยเดิมเพราะอะไร เพราะถูกความใคร่ครอบงำ ไม่ฝึกสติจนเกิดปัญญาในการสาวไปถึงเหตุแห่งทุกข์จริงๆ เราคิดว่า เราจะประคับประคองครอบครัวไปให้ดีที่สุด พอมีลูกคนหนึ่งก็เริ่มลืมไปแล้วว่า ที่เคยคิดว่าจะประคองกันไปไม่ทะเลาะกันเริ่มทำไม่ได้แล้ว พ่อมีปัญหาเรื่องเศรษฐกิจก็มาลงที่แม่ ส่วนแม่ไม่รู้ว่าจะไปลงที่ไหนก็ไปลงที่ลูก ลืมไปหมดว่าเคยคิดจะเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างไร และจะไม่ให้ซ้ำรอยพ่อแม่อย่างไร แต่สุดท้ายอาจจะยิ่งกว่าก็เป็นไปได้ทั้งนั้น


 :96: :96: :96: :96:

การหาเหตุแห่งทุกข์ให้พบ จึงไม่ใช่เรื่องคิดเอาแต่ต้องปฏิบัติจนเห็นจริง หน่ายจริง แต่ปุถุชนคนส่วนใหญ่เป็นลักษณะเบื่อๆ อยากๆ คือ เมื่อเบื่อ ก็คือเวลาที่จิตมันอยากผลักออก พอเวลาอยาก ก็ลืมหมดตอนที่เบื่อ อย่างนี้แสดงว่า ยังไม่เห็นทุกข์จริงๆ แล้วก็เพลิดเพลินอยู่ในสุขจนกระทั่ง ทุกข์กระหน่ำอีกหลายๆ ครั้ง กระทั่งพลัดพรากจากกันก็เป็นทุกข์อีกใช่ไหม เศร้าโศกเสียใจ ว่า เขาไม่น่าเป็นอย่างนั้นเลย ไม่น่าตายเลย มันจะเป็นไปได้ไหม

แล้วก็ไม่ใช่ว่า คนที่มีโอกาสไปปฏิบัติที่วัด ไปนุ่งขาวห่มขาว หรือไปบวชแล้วจะปฏิบัติจนจบกิจ พ้นจากทุกข์ได้ง่ายๆ ก็ไม่ใช่อีก ผู้ที่มาบวชเป็นพระเองก็มีไม่น้อยที่ยังไปไม่ได้เลย เพราะมันติด มันยึด ติดอะไร ติดรสชาติ ติดลาภ ยศ สรรเสริญ ชื่อเสียงเงินทอง พระก็คนเหมือนกัน ดีไม่ดี ติดหนักกว่าฆราวาสด้วยซ้ำไป เพราะไม่ใส่ใจในการภาวนาให้เป็นจริงเป็นจัง


 :29: :29: :29: :29:

เรื่องกิเลสไม่เข้าใครออกใคร ถ้าไม่พยายามฝึกสติให้แข็งแรง จนเกิดสมาธิ และมีปัญญาในการปราบมันล่ะก็ ร้อยทั้งร้อยอาจถูกกิเลสมันกินใจไปหมด ถ้าคิดจะทำอะไรโดยมีศีลธรรมอะไรก็เป็นธรรมหมด เช่นกัน

แค่นั่งดูกิเลสมันทั้งวันทั้งคืนยังจะแพ้มัน นับประสาอะไร ถ้าเอามันมาอยู่ด้วย พระมีบัญชีเงินฝาก พระเล่นหุ้นได้ พระปล่อยเงินกู้ ถ้าพระทำได้ทุกอย่างจะต่างอะไรกับฆราวาส พระก็จะกลายเป็นนายทุนไปอีกก็เท่านั้น

แต่คนที่จะทำเรื่องพวกนี้ก็บอกว่า ทำเพื่อสังคม ทำเพื่อประโยชน์ แต่มันก็เป็นข้ออ้างทั้งนั้น ถ้าไม่มีจิตใจหนักแน่นพอ ดังนั้น การฝึกจิตให้มีกำลังจึงสำคัญที่สุด ที่จะต้านทานกระแสน้ำของตัณหาที่มองไม่เห็น แต่มีอิทธิพลมากกว่าสิ่งใดๆ ได้

ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.komchadluek.net/detail/20151020/215442.html
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ