ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: บันทึก(ลึก)ลับ ของการเข้าค่ายธรรมะ ( OK)  (อ่าน 5527 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ปอง

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +2/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 119
  • จิตที่ฝึกดีแ้ล้ว ย่อมนำสุขมาให้
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
บันทึก(ลึก)ลับ ของการเข้าค่ายธรรมะ ( OK)
« เมื่อ: กันยายน 20, 2010, 03:28:41 pm »
0
เสียงบ่นจากเพื่อน ๆ ที่เข้าไปอบรมค่ายธรรมะ กันจนบันทึุกกันไว้นิดเดียว คะ

เพื่อน ๆ นักเรียนที่กำลังเข้า ค่าย ควรอ่าน นะคะ


8 คืน 7 วันกับค่ายธรรมะที่ยุวพุทธฯ
8 คืน 7 วันกับค่ายธรรมะที่ยุวพุทธฯ
ก่อนอื่นคนที่เข้ามาหลายๆคน คงไม่คิดอยากจะอ่านยาว แต่เพื่อหลอกล่อ เอ๊ย ชักชวน
เราจะพูดถึงข้อดีของการเข้าค่ายธรรมะเพื่อฝึกสติซะก่อน

1. สมาธิเราจะดีขึ้น จดจ่อกับสิ่งที่กำลังทำได้ดีขึ้น ส่งผลให้การเรียนดีขึ้น

2. เปลี่ยนมุมมองเก่าๆที่เคยคิดมาเกี่ยวกับธรรมะ ว่าเป็นเรื่องของคนแก่ น่าเบื่อ เพราะจริงๆแล้วคนที่จะใช้ธรรมะ ให้เกิดประโยชน์ได้มากที่สุดคือ เยาวชน เนื่องจากชีวิต ยังมีอีกยาวไกล และเป็นวัยแห่งการศึกษาหาความรู้ ประสบการณ์ต่างๆ

3. ลดน้ำหนัก ( สาวๆตาลุกวาวเชียวนะ ) เพราะต้องกินแต่อาหารเจ และเดิน จงกรมรวมๆแล้ววันละหลายชั่วโมง และการกินอาหารก็ต้องกำหนดนู่นนี่มากมาย ต้องเคี้ยวให้ละเอียดมากๆ จนหลายๆคนเกิดอาการเอียน เพราะมันจะเหลือแต่ซากแหยะๆ ไม่กล้ากลืน และเราจะบอกว่าน่องเราเล็กลงไปเซ็นนึง ( โห เยอะนะ ) เพราะเดินจงกรมเยอะมาก แล้วก็น้ำหนักลดไปสองโลเพราะกินแต่อาหารเจ

4. ได้เพื่อนใหม่ๆ เพราะต้องอยู่ร่วมชะตากรรมเดียวกันเป็นอาทิตย์ๆ แม้จะถูกสั่งห้ามไม่ให้พูดกัน แต่เราเชื่อว่าไม่มีใครไม่พูด กับคนอื่นได้หรอก เค้าพูดกับเราดีๆ เราจะเชิ่ดใส่เค้าได้ไงล่ะ

5. ได้ฝึกความอดทน เช่นการนั่งสมาธินานๆ เดินนานๆ

6. เข้าใจเกี่ยวกับร่างกายและจิตใต้สำนึกของตนได้ดีขึ้น และฝึกการควบคุมมันให้อยู่ เพื่อเอาไปใช้ประโยชน์เช่น ปลุกตัวเองตื่นในเวลาที่ต้องการ

7. ผิวพรรณของคุณจะผุดผ่องขึ้น อย่างเป็นธรรมชาติ วิทยากรกล่าวว่าเป็นเพราะคุณใจจดจ่ออยู่กับสิ่งปัจจุบัน ไม่คิดฟุ้งซ่าน ไปเครียดเรื่องในอดีตหรือเรื่องที่ยังมาไม่ถึง คือจดจ่ออยู่กับปัจจุบันเท่านั้น คุณจะมีความสงบ และร่างกายจะหลังสารเอนโดนฟินออกมา ทำให้ผิวพรรณผ่องใส อันนี้เราคอนเฟิร์ม เพราะผิวเราขาวขึ้นจริง หน้าสิวลดลงจริง แต่เราคิดว่าคงเป็นเพราะเราไม่ได้ออกไปข้างนอกเลยมากกว่า อยู่ในตึกทั้งอาทิตย์ เค้าห้ามออกอะ สงสัยกลัวเราจะหนี แล้วห้องที่นั่งปฏิบัติกันก็ติดแอร์ เย็นสบายนั่งไปได้ทั้งวันดีกว่าไปเดินเที่ยวอีก เพราะหน้าคุณจะ ไม่มัน และไม่ได้เจอมลพิษอะไร

8. คุณจะได้นอนวันละ 5 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย ( ปกติบางคนอาจได้นอนวันละแค่ 2-3 ชม.)

9. บุคลิกของคุณจะดีขึ้น เดินนิ่มขึ้น บุคลิกดูเคร่งขรึม น่าเชื่อถือขึ้น

10. คำพูดของคุณจะสุภาพมากขึ้น เพราะมีสติมากขึ้นในการเลือกใช้คำ และในการยับยั้งอารมณ์เวลาโมโห อย่างเราเป็นต้น เราว่าตั้งแต่ออกมาเราไม่อยากพูดคำหยาบเลย ไม่ใช่กลัวบาป แต่กลัวใจตัวเอง ถ้าพูดไปแล้วมันก็จะมาอีกเรื่อยๆ การพูดคำหยาบจะทำให้เราตกต่ำลงอะ ( เราก็คิดนะ แต่น้องเรามันยังพูด )

11(ข้อนี้สำคัญ) ทุกอย่างฟรีตลอดรายการ ของเรานี่เพิ่งออกมาวันที่ 2 พค. เอง หลังจากเข้าไปตั้งแต่วันที่ 25 เมษา นับไปก็เป็นเวลา 8 วัน 7 คืน... ของเราเป็นคอร์ส" เนกขัมมบารมี สำหรับเยาวชนอายุ 17-25 ปี " เป็นหลักสูตรของคุณแม่ สิริ กรินชัย ที่ยุวพุทธิกสมาคม ที่บางแค เป็นผู้จัด ที่เรารู้จักค่ายนี้ก็เพราะเพื่อนชวน ( วิทยากรบอกว่าผู้ชวนได้กุศลแรงกล้า.. ) เราก็สมัครไป โดยคิดเพียงว่าจะเข้าไปฝึกสติเท่านั้น เพราะโดยส่วนตัวก็ไม่ค่อยเชื่อเรื่องเกี่ยวกับพระพุทธเจ้าเหมือนกัน และเราเห็นว่ามันเป็นกิจกรรมที่ดูน่าสนุก เพราะจะไม่ได้พูดกับใครเลยตั้ง 8 วัน 7 คืน เพื่อให้มีสติไม่ว่อกแว่กไปคิดเรื่องนู้นเรื่องนี้ในขณะปฏิบัติธรรม ( เพิ่งมารู้ทีหลังว่าอาการนี้ภาษาธรรมมะเค้าเรียกว่า " ฟุ้ง" ) และเพื่อปกป้องเราจากการทำผิดศีลเกี่ยวกับวจีกรรม เช่นโกหก เพ้อเจ้อ เสียดสี เนื่องจากการนี้เค้าถือว่าเรามา "บวชใจ" คือไม่ได้บวชเป็นพระหรอก แต่ต้องรักษาศีลให้ได้ และนั่งกำหนดจิต ภาวนา การนี้จะทำให้เกิดกุศล การฝึกไปหลายๆวันจะทำให้เราเริ่มมีสมาธิ จิตเริ่มมีพลังแก่กล้า มากพอจะแผ่เมตตาไปให้คนป่วย หรือขออะไรให้คนที่เรารักได้เช่น ขอให้พ่อแม่มีความสุขกายสุขใจ เราอ่านแล้วก็ตื่นเต้น อยากพิสูจน์ .. วันแรกที่เข้าไป คนดูเยอะมาก ดูแออัด ส่วนใหญ่จะพ่อแม่มาส่ง ..เราก็เตรียมใจไว้แล้วว่าจะไม่พูดกับใคร ตอนนั้นก็คิดว่าคงทำได้แหละ แต่ละคนก็ยังมีท่าทีสงวนเนื้อสงวนตัว ( เพราะยังไม่รู้จักกันด้วยแหละ ) วันแรก ..ไปถึงเค้าก็จะให้ใส่ผ้าถุงสีขาว ( เรียกไม่ถูกนะ เอาเป็นว่าคงเข้าใจ แต่ก็ให้ใส่แค่วันแรกและวันสุดท้ายเท่านั้น ซึ่งนับว่าดีมาก เพราะเป็นอะไรที่ใส่ไม่สะดวกเลย เราใส่ไม่เป็นด้วยมั้ง เลยกังวลตลอดว่ามันจะหลุดๆๆๆๆ ) จากนั้น ก็มีการจัดแถวตามลำดับความสูง ดิชั้นเลยโดนนั่งซะแถวหน้าๆเลย ก็ดีตรงที่เวลาดูจะเห็นอะไรๆได้ชัด แต่ก็เสี่ยงกับการโดนเห็นเวลาทำอะไรผิดอะ จากนั้นเค้าก็จะสอน เราให้ทำอะไรใหม่ๆ หลายๆอย่าง เราจะลองพูดไว้นะ เผื่อใครอยากจะทำเองดู อาจได้อะไรไปบ้าง

- เริ่มแรก จะสอนให้รู้จักกำหนดสิ่งต่างๆที่เรากำลังทำ ผ่านทางทวารทั้ง6 คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ให้เรารู้ตัวอยู่ตลอดเวลา ดังนั้น เราก็จะต้องทำอะไรช้าๆ เพื่อให้ได้อยู่กับตัวเองจริงๆ ( จริงๆจะเร็วก็ได้ แต่ช้าจะชัดเจนกว่า ) เช่น เห็นอะไรก็กำหนด "เห็นหนอ " ได้ยินเสียงอะไรก็กำหนด " ยินหนอ " ได้กลิ่นอะไรก็กำหนด " กลิ่นหนอ " เวลากินอะไรรสชาติเป็นยังไงก็ต้องบอกตัวเอง " หวานหนอ เค็มหนอ ฯลฯ" เวลาสัมผัสกับอะไรก็ต้องบอกตัวเองได้ว่า " เย็นหนอ แข็งหนอ ฯลฯ " ** อันนี้สำคัญ** เรากำลังคิดอะไรอยู่ก็ต้องบอกตัวเองด้วยว่า " อยากยืนหนอ อยากนั่งหนอ ฟุ้งหนอ อยากกินหนอ ตอนแรกเราฟังวิทยากรพูดก็รู้สึกว่าแปลกๆ จะทำไปทำไม คนยืนอยู่ก็ต้องรู้ตัวอยู่แล้วดิว่าตัวเองยืนอยู่ ใครมันจะไม่รู้ .... มารู้ทีหลังว่าบางครั้งร่างกายเราก็ทำๆไป โดยอาจทำอะไรหลายๆอย่างในเวลาเดียวกัน เช่นฟังเพลงไป กินไป ตรงนี้เชื่อว่าทุกคนก็คงทำนะ มันจะทำให้ใจเราไม่จดจ่อกับสิ่งที่ทำอยู่ ดังนั้นการเข้าค่ายนี้เค้าจะเน้นการฝึกให้เราจดจ่อกับสิ่งที่ทำอยู่เพียง สิ่งใดสิ่งหนึ่ง เพื่อให้เกิดสติ รับรู้ตัวเอง - นั่งสมาธิ อันนี้เชื่อว่าทุกคนทำเป็นกันอยู่แล้ว สำหรับที่นี่นั่งแบบ พอง-ยุบ คือเอามือไปประสานไว้ที่ท้อง มือซ้ายอยู่ข้างล่าง พอท้องพอง( หายใจเข้าหรือออกก็แล้วแต่ๆละคน ) ก็กำหนด " พองหนอ " วันแรกนั่งแค่ห้านาที ( วิทยากรบอกอย่างนั้น ) แต่เรารู้สึกว่ามันยาวนานมาก เพราะมันปวดไปหมด ขาชามากๆ ไม่มีสมาธิเลย ตอนนั้นอยากลุกขึ้นมากระโดดใจแทบขาด แต่ก็ทำไม่ได้ ต้องนั่งๆไป วิทยากรสอนให้กำหนด " ปวดหนอๆๆ " เราก็นึกในใจ แค่นึกแล้วมันจะหายได้ยังไงนะ พอลองฝึกๆจนเข้าใจแล้วจะรู้ว่าการที่เค้าให้กำหนดว่าปวดหนอๆ นั้นไม่ใช่เพื่อให้หายปวด แต่เพื่อให้ "รู้จัก" กับความปวด และทำใจเฉยชากับมันให้ได้ เพราะจิตใจเราจะจดจ่ออยู่แค่ที่ท้อง พอง-ยุบ เท่านั้น เราจะหมดความรู้สึกเจ็บปวดไป เหมือนการที่เราตั้งใจเรียนมากๆแล้วจะไม่ได้ยินเสียงแอร์ที่เปิดอยู่บนหัว อะไรอย่างเงี้ยะ - เดินจงกรม มีหลายขั้น เรียงจากง่ายไปยาก คือขั้นตอนจะละเอียดมากขึ้น

ขั้นแรก ก็ ขวา-ย่าง-หนอ , ซ้าย - ย่าง - หนอ

ขั้นสอง ยกหนอ - เหยียบหนอ , ยกหนอ - เหยียบหนอ

ไปจนขั้นหก ยกส้นหนอ-ยกหนอ-ย่างหนอ-ลงหนอ-เหยียบหนอ-กดหนอ

ใครอยากได้รายละเอียดตรงนี้ให้ทิ้งเมล์ไว้ *****

- บริหารร่างกายแบบมีสติ ส่วนใหญ่เป็นการแกว่งแขน ย่อขา ซึ่งไม่ได้เรียกเหงื่อมากเหมือนการเต้นหรือวิ่ง แต่ก็ต้องจดจ่อมาก และวิทยากรจะค่อยๆเพิ่มความซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะถ้าทำผิดจะเห็นชัด และน่าอายมากๆ

- การเดินแบบสำรวมสายตา ห้ามว่อกแว่กมองซ้ายมองขวา ให้ก้มหน้ามองพื้น มองไปข้างหน้าประมาณเมตรกว่าๆ ทำหน้าให้นิ่งที่สุด ตอนแรกเราทำไม่ได้ เห็นพี่เลี้ยงทำแล้วก็ขำว่าพี่เค้าจริงๆแล้วใจสงบอย่างที่แสดงออกรึเปล่านะ หรือว่าแค่แกล้งทำ แต่ตอนนี้เชื่อแล้วจ้าาา ....แต่การสำรวมสายตาเนี่ยมันทำให้เรารู้สึกแปลกๆไงไม่รู้ เหมือนไร้ชีวิตเลยอะ รู้สึกเหมือนเป็นการไม่เคารพผู้ใหญ่โดยถูกต้อง งงป่ะ คือเวลาเห็นวิทยากรเดินมาเราก็เพียงทำหน้าเฉยชา ไม่ต้องมองเลยด้วยซ้ำ ห้ามยิ้ม ห้ามหัวเราะ ห้ามสบตา ....อย่าติดนิสัยนี้ออกไปข้างนอกโดยเด็ดขาดนะคะ อันตรายยย

- การรับประทานอาหารแบบมีสติ คือการกำหนดตลอดเวลาตั้งแต่มองถาดแล้วกำหนดว่า "เห็นหนอ " " อยากกินหนอ" "ยกไปจับ" (ช้อน ) เมื่อจับแล้วก็บอกตัวเองด้วยว่า " เย็นหนอ " "แข็งหนอ" แล้วก็ตักเข้าปาก แล้วก็เคี้ยวอย่างละเอียด บอกตัวเองว่ารสชาติมันเป็นยังไง ลิ้นตวัดอย่างไร กลืนลงไปอย่างไร กลืนแล้วความรู้สึกเป็นยังไง ตลอดเวลาต้องระวังไม่ให้เกิดเสียงดังจากการที่ช้อนไปโดนถาดอาหาร เพราะไม่งั้นคนอื่นๆ จะต้องกำหนด " ยินหนอ " ตรงนี้หากเรากำหนดตลอดเวลาจะทำให้อยากอาหารลดลงได้ เพราะ เราจะซึมซับรสชาติของอาหารได้ดีขึ้น แม้จะกินน้อย เพราะมีสติ แล้วถ้ายิ่งอยากกินเยอะ ยิ่งใช้เวลานานมาก แล้วคนอื่นๆก็จะลุกไปกันหมดแล้วเราก็จะเขิน อิอิ ต้องรีบลุกเหมือนกัน

- การนั่งท่าเทพบุตรเทพธิดาสวดมนต์จนจบ ขาชาจนไม่รู้สึกเลย แต่ก็ดี เป็นการทดสอบความอดทน ยิ่งนานๆไปเราจะนั่งได้นานขึ้น และเราว่าเราชอบฟังตอนแม่ชีสวดมากเลย ท่านสวดเพราะไม่เหมือนคนอื่น ฟังแล้วเพลินอะ ...แต่ตอนที่พี่เลี้ยงสวดเนี่ยดิ ( ด้วยความเคารพนะคะ ) พี่ดัดเสียงซะเด็กกกก เชียว ฟังพี่สวดกับเสียงคนอื่นในห้องสวนแล้วมัน คอนทราสต์กันอย่างรุนแรง นั่งอมยิ้มไปจนจบเลย

- การฝึกการไหว้ การกราบ ที่นี่เค้าจะมีเสตปค่ะ ยกหนอ มาหนอ พนมหนอ ยกหนอ ถึงหนอ ลงหนอ ถึงหนอ ก้มหนอ กราบ ต้องกำหนดตลอด ทุกคนจะกราบสวยขึ้น จริงๆ

- การนอนแบบมีสติ เอามือประสานไว้ที่ท้อง แล้วกำหนด พอง ยุบไปเรื่อยๆ ไม่ว่อกแวก จนหลับไป อันนี้เราก็ไม่เคยทำได้ เพราะมันมักจะหลับไปก่อนเสมอ แต่วิทยากรบอกว่าหากทำสำเร็จ คุณจะหลับไปพร้อมกับจิตที่เป็นสมาธิ คุณจะได้พักผ่อน ไม่งั้นก่อนนอนคุณก็จะฟุ้งๆๆๆๆๆ คิดนู่นคิดนี่ แล้วก็หลับไปพร้อมกับความฟุ้ง ไปฝันต่อ ( การฝันแปลว่าหลับไม่สนิท ) การนอนแบบมีสตินี้จะไม่ฝันอะ แล้วก็จะหลับๆตื่นๆตลอดคืน เหมือนตื่นอยู่ตลอด แต่ตื่นมาจะไม่ง่วง

- ได้รับรู้ชีวิตของคนอื่น เปิดมุมมองใหม่ๆ ว่าชีวิตเราที่ว่าแย่แล้วนั้น คนอื่นเค้าเลวร้ายกว่าเรามาก ( วันที่ให้ออกมาเล่า )บางคนไม่มีโอกาสเจอหน้าแม่ที่แท้จริงด้วยซ้ำ บางคนก็ต้องอยู่ในบ้านที่มีแต่ความกดดัน แต่เค้าก็ฝ่าฟันมาได้ ....มันทำให้เราเห็นว่าตัวเองน่ะโชคดีเท่าไหร่แล้วที่มีอย่างนี้ได้ แม้มันจะไม่เพอร์เฟค ขอแสดงความนับถือทุกคนที่ออกไปเล่าอะไรๆมากมาย โดยไม่กลัวว่าจะเสียหน้า ทั้งๆที่คุณอาจไม่เคยเปิดเผยกับใครมาก่อน

- การกลั้นตด ( อันนี้ฮาป่ะ แต่เป็นเรื่องจริง ) เพราะคุณจะท้องผูกมากๆ เนื่องจากไม่มีเวลาให้เข้าห้องน้ำมากพอ คนก็เยอะ แต่แปลก เราจะมีความสามารถในการกลั้นตดได้ดีขึ้น แต่ไอ้ท้องผูกเนี่ยเราก็กลัว เพราะเราไม่อยากท้องผูกนาน เดี๋ยวสิวขึ้น ( ร่างกายจะดูดน้ำจากลำไส้ใหญ่ไปใช้เรื่อยๆ ใช่เปล่า) ก็เลยต้องวิ่งไปเข้าห้องน้ำตอนเค้านั่งสมาธิกัน ก็ดีอะ สงบดี นอกจากนี้แล้วเรายังมีพฤติกรรมแปลกๆมาเล่าให้ฟังอีก สำหรับเรานะ เราชอบ...

- แอบมองคนข้างหน้า 55 มันทำผิดอีกแล้วเว้ย ( อุ๊ย ลืม ..เห็นหนอๆ )

- แอบสังเกตชุดคนข้างหน้าและข้างหลัง ทำให้เราได้รับทราบความจริงว่า คนข้างหน้าเราเค้าใส่กางเกงตัวเดียวกันประมาณ 3 วัน เพราะมันมีรอยเหลืองเล็กๆที่ขาขวา และเสื้อตัวละสองวันติดกัน ส่วนคนข้างหลังเค้าจะสลับวันใส่เอา แต่กางเกงเอามาสามตัว จำได้เลย

- โห ขา( ฝ่าเท้าค่ะ )คนข้างหน้าดำจัง ขาเราเป็นไงเนี่ย แล้วแอบชำเลืองดู โชคดีที่ไม่ดำมาก เราเกรงใจคนที่นั่งหลังเรามากเลย เพราะตอนนอนมันต้อง เอน ๆๆๆๆ หน้าเค้าจะอยู่ตรงขาเราอะ

- ตอนกินก็แอบชำเลืองคนที่นั่งตรงข้าม แล้วแอบขำในใจ .. แต่มันก็เป็นแค่วันแรกๆอะ วันหลัง ถ้าเค้ามองเราเค้าก็คงขำเหมือนกันแหละ
- แอบหลับตอนนั่งสมาธิ เพราะวิทยากรไม่สังเกตเห็น นึกด่าตัวเองเหมือนกัน ว่าแล้วมันจะได้ผลเต็มที่มั๊ย - แอบหลับตอนฟังธรรมะ 15 นาทีของคุณแม่สิริ เกือบทุกเช้าเลย - ตอนมีคนมาทำทานด้วยของกิน เช่นไอติม คุกกี้ เค้ก มันทำให้เรารู้สึกเหมือนกำลังอยู่ในบ้านเด็กกำพร้าอะไรซักอย่าง ...ก็เป็นความรู้สึกใหม่อะ เราจะพยายามกินให้คุ้ม เพราะไม่อยากขัดศรัทธา คนเค้าอุตสาห์เอามาให้ด้วยความเมตตา ไม่อยากกินเหลือให้ต้องทิ้ง
- แอบสังเกตตอนคนอื่นเค้าหลับ ..พี่ที่นอนเตียงข้างๆเราเค้านอนกรนด้วยอะ ( แบบว่าพี่เค้าเป็นคนน่ารักมาก ) ตอนแรกเราก็คิดว่าวิทยากรกรน เปล่าหรอก..
- แอบตากกางเกงใน (เค้าห้ามซักอะ) ไว้นอกห้อง
- ตอนกินไอติม แอบคิดในใจว่า " นี่มันไอติม หรือน้ำไอติมฟะ " แบบว่านั่งสวดมนต์และกำหนดจนมันละลายไปเกือบครึ่งลูก
- แอบคุยกับคนอื่น ( อันนี้สำคัญ ) ได้เพื่อนใหม่มาเยอะแยะเลย แต่หลังจากนั้นก็ไม่ได้ติดต่อกันอะ เรามีเบอร์เค้าก็ไม่กล้าโทรไป กลัวจะรบกวน
- แอบไม่สนใจตอนวิทยากรท่านที่ตัวเล็กๆ ( อายุมากที่สุดน่ะ ) ออกมาพูดๆก่อนเดินจงกรม เพราะเค้าเสียงเบา และไมค์มักจะไกลปาก ..แล้วมีคนข้างหลังฝากพี่เลี้ยงมาบอกว่าไม่ได้ยิน ....อืมม จริงๆหนูนั่งข้างหน้า ยังไม่ได้ยินเลยค่ะ

ตอนนี้ก็ออกมาหลายวันแล้ว ยอมรับว่าทำอะไรไม่ได้กำหนดแล้ว ไม่เหมือนวันแรก ออกมาเปิดคอมนี่นิ่งมากเลย กดหนอ เห็นหนอ อยากจับหนอ แบบว่าทำทีละอย่าง เดินก็อืดๆ ...ทำหน้าตาเฉยชาใส่คนอื่น สงบปากสงบคำ ไม่ค่อยเถียงแม่ .........แต่ตอนนี้ มันเริ่มกลับสู่สภาพปกติแล้วอะ แต่เราก็ยังพยายามจะนั่งสมาธิก่อนนอน และนอนแบบมีสติอยู่ หน้าจากที่ออกมาใสๆ ตอนนี้สิวเริ่มขึ้นมาอีกแล้ว .. ( จิตใจเลวลงง่ะ ) แต่... คิดไปคิดมา ถ้าเป็นไปได้ เราอยากอยู่ค่ายต่ออีกซักอาทิตย์นึงเหมือนกันนะ จริงๆมันยังมีอะไรอีกเยอะ แต่เดี๋ยวเรามาโพสให้ใหม่แล้วกัน

อันนี้พิมพ์ไว้นานแล้วตั้งแต่วันที่ออกมาจากค่าย แต่เพิ่งจะมาโพสอะ กลัวจะดองไว้นานเกินควร สุดท้ายนี้ขอให้ วิทยากร พี่เลี้ยง ผู้บริการ และผู้อ่านทุกท่าน ( และคนเขียนด้วย ) จงเจริญด้วย อายุ วรรณะ สุขะ พละ ยิ่งๆขึ้นไปเทอญ - - - - -
บันทึกการเข้า