ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: เงิน และ ทอง เครื่องประดับ เป็นดั่งเช่นอสรพิษ  (อ่าน 5948 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

นาตยา

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +9/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 136
  • ขอเป็นกัลยาณมิตร กับทุกท่านที่เป็นกัลยาณมิตร
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
หนูได้อ่านพระสูตร บทหนึ่ง เป็นชาดกจำไม่ได้แล้ว ว่าเป็นเรื่องอะไร

พระพุทธเจ้า ทรง ตรัสว่า เงิน และ ทอง เครื่องประดับ อันชาวโลกสมมุติ ว่ามีค่า เป็นดั่งอสรพิษ

ภิกษุทั้งหลาย ไม่พึ่งยินดี ในอสรพิษนั้น

 คำถาม

   1.ในเมื่อ เงิน ทอง และ เครื่องประดับ ทั้งหลายเป็นดั่งอสรพิษ ดังนั้นเมื่อเราจะทำบุญทางวัด พระสงฆ์

อุบาสก อุบสิกา ทำไม จึงให้บริจาค อสรพิษเข้าไว้ในวัด ในเมื่อสิ่งเหล่านี้เป็นอสรพิษ จักมีอานิสงค์ในบุญได้

อย่างไร

   2. นอกจากพระพุทธเ้จ้า ทรงตรัสว่า ว่า เงิน และ ทอง เครื่องประดับ เป็นอสรพิษแล้ว พระพุทธเจ้าทรงตรัส

เรื่อง เงิน ทอง และ เครื่องประดับ ทั้งหลาย ว่าเลิศบ้างหรือป่าวคะ

   3. สืบเนื่องเรื่อง กระทู้ มหาลดาปสาธน์ นั้น ภรรยาของ พันธุลเสนาบดี ได้สวมใส่เครื่องประดับ มหาลดาปสาธน์ ให้กับพระศพของพระพุทธเจ้า ที่ดับขันธปรินิพพานไปแล้ว การถวายเช่นนั้น มีบุญหรือป่าวคะ หรือเป็น

การขัดพระดำรัสของพระพุทธเจ้า ด้วยการถวาย อสรพิษ แด่พระพุทธเจ้า

 :c017: :c017: :25: :25: :25:
 

     
บันทึกการเข้า

ธัมมะวังโส

  • ธัมมะวังโส
  • ผู้บริหารเว็บ
  • โยคาวจรผล
  • *
  • ผลบุญ: +180/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 7250
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: เงิน และ ทอง เครื่องประดับ เป็นดั่งเช่นอสรพิษ
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: ตุลาคม 01, 2010, 08:27:19 am »
0
พิจารณา ความจริง ดังนี้

    1.การที่พระพุทธเจ้า สอนเรื่องการไม่รับเงิน ไม่รับทอง ของมีค่า ของพระนั้น เพื่อให้ปลอดภัย

        จากข้าศึก 1.โจร 2.ราชา 3.คหบดี 4.โสเภณี 5.กิเลส

        ในพระวินัย ก็มีทั้งข้อห้าม และ ทั้งข้ออนุญาต ( พึงศึกษาทั้ง 2 ประการ )

        การรับเงิน และ ทอง พระพุทธเจ้า ปรับอาบัติแค่ ปาจิตตีย์ มิได้ขาดจากความเป็นพระ เป็นอาบัติเบา

    2. วัตถุทุกอย่าง ที่มีคุณและโทษ เป็นของกลาง ๆ ไม่ดี และ ไม่ชั่ว

        ยกตัวอย่าง ก้อนหิน ดี หรือ ชั่ว ตอบไม่ได้ เพราะเป็นกลาง

             ถ้านำไปปาหัวคน ก้อนหินก็ยังเป็นก้อนหิน คนที่ปาเป็นคนชั่วต่างหาก

             ถ้านำไปสร้างเขื่อน ก้อนหินก็ยังเป็นก้อนหิน คนที่สร้างเขื่อนเป็นคนดีต่างหาก



ที่เหลือ ให้ผู้อื่นตอบบ้าง นะจ๊ะ

เจริญพร

 ;)
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28446
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


อสรพิษ   
โดย อาจารย์สุคนธ์ สุ่นศิริ


มีผู้เรียกร้องให้นำการแสดงธรรมของท่านอาจารย์สุคนธ์ สุ่นศิริ ที่ได้แสดงไว้ที่มูลนิธิแนบ มหานีรานนท์ เนื่องในวันอาสาฬหบูชาที่ผ่านมา ข้าพเจ้าขออนุญาตเรียงถ้อยร้อยคำมาเป็นบทความให้ท่านอ่านกัน เพื่อประโยชน์ในการดำเนินชีวิต...ความว่า....

ครั้งหนึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เสด็จประทับ ณ กรุงสาวัตถี เรื่องของชาวนาผู้หนึ่งได้ติดข่ายพระญาณของท่าน ท่านจึงได้เสด็จไปยังที่นาของชาวนาผู้หนึ่ง พร้อมกับพระอานนท์.......

ณ ที่แห่งนั้น ชาวนาได้ตื่นแต่เช้าเพื่อไปทำนาเหมือนเช่นเคย เมื่อไปถึงที่นาก็ลงมือทำนา ครั้นได้แลเห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาพร้อมกับพระอานนท์ จึงได้เข้าไปกราบท่าน...พระผู้มีพระภาคไม่ได้ตรัสคำใดๆแก่ชาวนา เพียงรับการกราบไหว้ของชาวนาแล้วเสด็จเลยไปในที่พอแก่ชาวนาจะได้ยินพระ สุรเสียงของท่านได้...

 ans1 ans1 ans1 ans1

พระพุทธองค์ทรงรับสั่งแก่พระอานนท์อย่างนี้ว่า...
ดูกร อานนท์ เธอเห็นไหมอสรพิษ ?...
พระอานนท์ก็ได้กราบทูลว่า...เห็นพระเจ้าข้า อสรพิษร้าย.....
แล้วพระพุทธองค์ก็ได้เสด็จจากไป ชาวนา นั้น ได้ยินพระดำรัสของพระพุทธเจ้าและพระอานนท์ ก็สำคัญว่ามีงูเห่าอยู่ในที่นาของตน จึงได้หยิบปฏักมา หมายจะตีงูเห่าให้ตาย

ครั้นเดินมาถึงที่ๆพระผู้มีพระภาคได้ยืนประทับเมื่อครู่ ก็ไม่แลเห็นอสรพิษแต่อย่างใด.....กลับพบเห็นถุงเงินตกหล่นอยู่ที่คันนา เมื่อหยิบขึ้นมาดูก็พบว่า มีเงินอยู่ในห่อถึง ๑๐๐๐ กหาปณะ ก็เข้าใจว่าคงจะมีใครทำตกไว้ ความยินดีพอใจก็เกิดขึ้นแก่ชาวนาโดยมิทันปรารภพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคกับ พระอานนท์แม้แต่น้อย จึงได้หยิบห่อเงินนั้นเดินไปที่ท้ายคันนาแล้วขุดหลุมฝังเงินไว้ แล้วก็ไปทำนาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นคิดถึงเงิน ๑๐๐๐ กหาปณะนั้นอยู่

 :25: :25: :25: :25:

ที่มาของเงินถุงนั้นก็มีอยู่ว่า....
คืนก่อนวันเกิดเหตุ โจรกลุ่มหนึ่งได้พากันมุดอุโมงค์ท่อน้ำ เพื่อแอบเข้าไปยังหมู่บ้าน แล้วได้เข้าไปปล้นเงินในบ้านของเศรษฐีผู้หนึ่ง ได้กวาดเอาทรัพย์สินเงินทองไปเป็นจำนวนมาก แล้วได้จากไปในยามดึกนั่นเอง

ครั้นลอดออกพ้นจากอุโมงค์ท่อน้ำ แล้วก็พากันหลบหนีมาจนถึงที่นาของชาวนานั้น โจรผู้หนึ่งขณะปล้นทรัพย์ของเศรษฐี ก็เกิดยักยอกเงินจำนวน ๑๐๐๐ กหาปณะ ใส่ห่อไว้ เหน็บซ่อนไว้ที่เอว ในขณะที่มีการแบ่งเงิน ทรัพย์สินของพวกโจรทั้งหลาย ปรากฏว่า ถุงเงินที่โจรผู้นั้นแอบยักยอกไว้เกิดหล่นลงไปที่พื้นดินโดยไม่มีใครมองเห็น เพราะเป็นเวลาคืนเดือนมืด...และนี่เป็นที่มา ของเงินที่ชาวนาแอบซ่อนเอาไว้ในคราวที่พบตอนเช้าตรู่

ในเวลาสาย พวกชาวบ้านได้ออกตามรอยเท้ากลุ่มโจรที่ผ่านอุโมงค์ค์น้ำ ตามมาจนถึงที่นาของชาวนา จากนั้นก็เห็นรอยเท้าใหม่ของชาวนาก็ติดตามไปจนถึงบริเวณที่ชาวนาขุดหลุมฝัง ห่อเงินไว้ ได้ขุดขึ้นมาแล้วพบห่อเงิน ก็สำคัญว่า ชาวนานั้นเป็นหนึ่งในกลุ่มโจร จึงได้กรูกันเข้ามาทำร้ายชาวนาแล้วมัดมือไพล่หลังนำส่งพระราชาให้ลงโทษ พระราชาตัดสินประหารชีวิตชาวนา ราชบุรุษจึงได้นำชาวนาที่ถูกมัดมือไพล่หลังนั้นนำตัวไปเพื่อประหารชีวิต

ระหว่างทางชาวนาได้สำนึกผิดและระลึกถึงคำของพระผู้มีพระภาคขึ้นมา จึงสะท้อนใจว่าตัวไม่เฉลียวใจในคำว่าอสรพิษเลย...จึงคร่ำครวญร้องไห้ แล้วกล่าวขึ้นมาว่า...
     “อานนท์ เธอเห็นไหม...อสรพิษ...?”
     “เห็นพระเจ้าข้า อสรพิษร้าย...”

ชาวนากล่าวไปมาอยู่อย่างนี้ พวกราชบุรุษได้ยินจึงถามชาวนาว่า ใยจึงกล่าวอ้างพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเช่นนั้น ชาวนาจึงเล่าเรื่องราวให้ราชบุรุษฟัง ราชบุรุษจึงได้กราบทูลขอพระราชาให้สอบสวนใหม่ ชนทั้งหลายจึงพากันไปเข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ครั้นได้กราบพระผู้มีพระภาค แล้วยืนในที่สมควรส่วนข้างหนึ่ง ได้เอ่ยถามเรื่องของชาวนาแก่พระองค์ พระองค์ทรงตรัสรับรองว่าเป็นจริงแล้วได้กล่าวธรรมกถาว่า....

      “บุคคล กระทำกรรมใดแล้ว ย่อมเดือดร้อนในภายหลัง เป็นผู้มีหน้าชุ่มด้วยน้ำตา ร้องไห้ เสวยผลของกรรมอยู่ กรรมนั้น..อันบุคคลทำแล้วไม่ดีเลย ไม่ควรทำ”

หลังจาก ได้ฟังธรรมกถาของพระผู้มีพระภาค ชาวนาผู้นั้นก็ได้บรรลุธรรม อันเป็นอริยมัค สำเร็จเป็นพระโสดาบันแล้ว ได้รับพระราชทานอภัยโทษจากพระราชา....


 st12 st12 st12 st12

คาถาธรรมบทดังกล่าว ท่านแสดงถึงความร้ายกาจของเงินประดุจอสรพิษ คืองูเห่า แต่ทั้งนี้ ไม่ได้หมายความว่าพวกเศรษฐีที่ท่านมีทรัพย์เงินทองมากมายที่ตั้งอยู่ในสัมมา อาชีวะอาทิ เช่น ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี นางวิสาขา เป็นต้นนั้นเป็นผู้เลี้ยงงูเห่าไว้..ไม่ปรากฏว่าท่านได้กล่าวเช่นนั้น
 
ท่านหมายถึงว่า ธรรมชาติของเงินนั้นมีความร้ายกาจประดุจงูเห่า ถ้าผู้ใช้ใช้ด้วยความประมาท หรือเกี่ยวข้องกับเงินโดยไม่ระวัง ไม่เป็นอย่างถูกต้องชอบธรรมแล้ว ก็จะถูกงูเห่ากัดตายได้ เงินนั้นใครๆก็ชอบ พวกเราทุกคนก็ชอบทั้งนั้น เพราะเราเข้าใจว่า เงินนั้นสามารถซื้อความสุขได้ เงินนั้นมีอำนาจมาก ดังคำเปรียบเทียบเสียดสีในภาษิตของจีนมีอยู่ว่า..

     “เงินจ้างผีโม่แป้งได้..” หมายถึงสามารถทำอะไรๆได้เพราะเงิน เรียกว่าเงินบันดาล หรือ
มีภาษิตที่เสียดสีอำนาจของเงินดอลล่าร์ว่า
     “เงินหยวนพูดภาษาจีน เงินเยนพูดภาษาญี่ปุ่น เงินบาทพูดภาษาไทย ส่วนเงินดอลล่าร์พูดได้ทุกภาษา ” อย่างนี้เป็นต้น
      เงินนั้นมี อำนาจเพราะเป็นที่ปรารถนาของทุกคน แต่ขอให้พิจารณาว่าเงินนั้น ซื้อทุกสิ่งได้จริงหรือ ?
เงินซื้อบริวารได้ แต่ซื้อความซื่อสัตย์จงรักภักดีไม่ได้
      เงินซื้อ ตำแหน่งได้ แต่ซื้อศรัทธา ความเคารพรัก นับถืออย่างจริงใจของผู้ใต้บังคับบัญชาไม่ได้
เงินซื้ออาหารได้ แต่ซื้อสุขภาพที่ดีไม่ได้


คนเรากิน ได้เพียง ๑ อิ่ม แม้มีเงินสักเท่าใด บุคคลก็หาได้กิน ๒ อิ่ม ๓ อิ่มไม่ ในเวลาเดียวกัน เงินนั้นแม้จำเป็น แต่ต้องขึ้นอยู่กับผู้ใช้ ผู้หาด้วยว่า มีปัญญาไหม หามาด้วยความสุจริตไหม ? บางคนตายจากอัตภาพนี้แล้วไปเป็นเปรตด้วยเหตุแห่งทรัพย์มากมาย หรือไปเกิดเป็นงูเฝ้าสมบัติก็มีมาก

ท่านแสดงว่า บุคคลหาแสวงหาทรัพย์ด้วยความโลภเกินพอดี นั้นเป็น วิสมโลภะ (ความโลภเกินขอบเขต)
บุคคลใดหาเงินมาด้วยความไม่บริสุทธิ์ ก็ชื่อว่ามีอสรพิษร้าย ระวังมันกัดเอาถึงตาย  บางคนหาเงินมาได้แม้ชอบธรรม แต่ใช้ไปในทางที่ผิดเหมือนลูกเศรษฐี ๔ ตระกูลที่ได้มรดกมากมาย นำเงินไปเที่ยวเล่นเสเพลจนกระทั้งไปทำบาปต้องไปตกนรก

 :96: :96: :96: :96:

แม้ขณะนี้ยังอยู่ในนรกเลย (หัวใจสัตว์นรก...ทุ..สะ..นะ..โส) ท่านแสดงไว้ว่า 

บุคคลควรใช้เงิน ในลักษณะ ๔ ประการนี้ คือ
๑. ใช้หนี้เก่า คือการตอบแทนคุณพ่อแม่ ผู้มีพระคุณทั้งหลาย
๒. ให้กู้ คือการเลี้ยงดูบุตร ภรรยา และบริวาร
๓. ทิ้งลงเหว คือการบำรุงตัวเองตามฐานานุรูป ไม่กระเหม็ดกระแหม่จนตัวเองลำบาก
๔. ฝังดินไว้ คือการทำทานเพื่อเป็นอริยทรัพย์ที่จะติดตามตัวไปในสังสารวัฏฏ์อันยาวไกล


ทั้งหลายทั้งปวง คนที่จะได้ฟังธรรม ศึกษาธรรมนั้นส่วนใหญ่เป็นคนชั้นกลางที่พอมีพอใช้ ถามว่าเพราะเหตุใด?? ตอบว่า ก็เพราะคนที่ลำบากยากเข็น ไม่สามารถมีเวลา หรือใจที่จะน้อมฟังธรรมหรอกเพราะตัวต้องปากกัดตีนถีบหาเช้ากินค่ำ หรือคนที่มีความสุขสบายตั้งแต่เกิด

ย่อมเพลิดเพลินในความสุขและทรัพย์ทั้งหลายเหล่านั้น จะมีจิตใจคำนึงถึงความทุกข์ในชีวิตนั้นแสนยาก ดังนั้นผู้ที่ได้ฟังธรรมก็อยากให้ใส่ใจในเรื่องทาน เรื่องศีลให้มากๆ โดยเฉพาะเรื่องศีลนั้น ถ้าทุกคนมีศีลดี จะทำให้สังคมเป็นปกติสุข ไม่เดือดร้อนเหมือนทุกวันนี้.....



ที่มา  http://www.raksa-dhamma.com/topic_15.php
ขอขอบคุณ  http://board.palungjit.com/f10/อสรพิษ-138838.html
อ่าน อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท พาลวรรคที่ ๕ ได้ที่
http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=15&p=8



หนูนาตยา อ่านบทความนี้ไปก่อนนะครับ ลองพิจารณาดูให้ถ้วนถี่

ถึงอันตรายของเงินทอง การจับหัวงู กับการจับหางงู อย่างไหน

มีอันตรายมากกว่ากัน ไม่จับงูเลยจะดีกว่าไหม

ลองใช้ "โยนิโสมนสิการ" หรือ พิจารณาโดยแยบคาย ดูบ้าง

ส่วนคำถาม จะมาตอบให้ภายหลัง


ผมขอลาไปสั่งสมบารมีสัก ๕ วัน

ฝากเพื่อนๆสมาชิก ตอบกระทู้นี้ด้วย หากประสงค์จะตอบ

 :25:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 11, 2017, 09:08:33 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ