ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: พระศรีอาริยเมตตรัย พระพุทธเจ้าองค์ต่อไป  (อ่าน 33561 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

pakorn

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 65
  • Respect: +1
    • ดูรายละเอียด
0
พระศรีอาริยเมตตรัย เป็นพระพุทธเจ้าองค์ต่อไป อยากทราบว่าอีกนานไหม?
และ มีพระสูตรที่กล่าวเรื่องพระศรีอาริยเมตตรัย ไว้ที่ไหนบ้าง ?
ผม search ไม่พบ พบแต่ผู้ที่กล่าวตนเองพระศรีอาริยเมตตรัย มาจุติ เพียบเลย ? เยอะขนาดนี้เชียวหรือ ?

พระศรีิอาริยเมตตรัย พระแมสไซอา พระผู้กำเนิดใหม่ เป็นนามเดียวกันทั้งหมดหรือป่าว ช่วยหน่อยครับ ?
บันทึกการเข้า

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28446
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
พระอนาคตวงศ์

บัดนี้ จะได้วิสัชนาในเรื่อง "พระอนาคตวงศ์" โดยพุทธ ภาษิตปริยาย มีเนื้อความตามพระบาลีว่า
เอกัง สะมะยัง... ครั้งหนึ่งสมเด็จพระสรรเพชรพุทธเจ้า เสด็จยับยั้งอาศัยใกล้กรุงสาวัตถีมหานครวะสันโต.. เมื่อสมเด็จพระชินวรผู้ทรงญาณสำราญพระอิริยาบถ เข้าพระพรรษาอยู่ในบุพพาราม อัน นางวิสาขา สร้างถวายสิ้นทรัพย์ ๒๗ โกฏิฯ
ครั้งนั้นพระองค์ทรงปรารภซึ่ง พระอชิตเถระ ผู้เป็นหน่อบรมพุทธางกูร "อาริยเมตไตรยเจ้า" ให้เป็นเหตุ องค์สมเด็จพระบรมโลกเชฏฐ์จึงตรัสพระธรรมเทศนาแสดง ซึ่งพระโพธิสัตว์ ทั้ง ๑๐ องค์ อันจะมาตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล ครั้งนั้นพระธรรมเสนา สารีบุตรเถรเจ้า จึงกราบทูลอาราธนา พระองค์ก็นำมาซึ่ง "อดีตนิทาน" แห่งองค์สมเด็จพระพิชิตมารทั้ง ๑๐ พระองค์ ที่จะมาตรัสรู้ในอนาคตกาลเบื้องหน้าต่อไปเป็นใจ ความว่า (บางคำ "ผู้เขียน" ขอเกลาสำนวนที่ฟุ่มเฟือยออกไปบ้าง)
"...เมื่อศาสนาพระตถาคตครบ ๕๐๐๐ ปีแล้ว ฝูงสัตว์ก็มีอายุ ถอยลงคงอยู่ ๑๐ ปีเป็นอายุขัย ครั้งนั้นแล... จะบังเกิดมหาภัยเป็นอันมาก มี "สัตถันตรกัป" คือเป็นกัปที่มนุษย์ทั้งหลายจะวุ่นวายเป็นโกลาหล เกิดรบพุ่งฆ่าฟันซึ่งกันและกัน จะจับไม้และใบหญ้าก็กลายกลับเป็นหอกดาบแหลนหลาว อาวุธน้อยใหญ่ไล่ทิ่มแทงกัน ฝูงมนุษย์ทั้งหลายที่มีปัญญา ก็หนีไปซุกซ่อนตัวอยู่ในซอกห้วยหุบเขา จะเหลืออยู่ก็แต่มนุษย์ที่มีปัญญา นอกกว่านั้นแล้วก็ถึงซึ่งพินาศฉิบหายเป็นอันมาก
เมื่อพ้น ๗ วันล่วงไปแล้ว มนุษย์ทั้งหลายที่ซ่อนเร้นอยู่นั้น เห็นสงบสงัดเสียงคนก็ออกมาจากที่ซ่อนเร้น ครั้นเห็นซึ่งกันและกัน ก็มีความสงสารรักใคร่กันเป็นอันมาก เข้าสวมสอดกอดรัด ร้องไห้กันไปมา บังเกิดมีความเมตตากรุณากันมากขึ้นไป ครั้นตั้งอยู่ใน "เมตตาพรหมวิหาร" แล้วก็อุตสาหะรักษาศีล ๕ จำเริญ กรรมฐานภาวนาว่า
"อะยัง อัตตะภาโว.. อันว่ากายของอาตมานี้ อนิจจัง.. หาจริงมิได้ ทุกขัง... เป็นกองแห่งทุกข์ฝ่ายเดียว หาสัญญาสำคัญมั่น หมายมิได้ ด้วยกายอาตมาไม่มีแก่นสาร..."
เมื่อมนุษย์ทั้งหลายปลงปัญญาเห็นในกระแสพระกรรมฐานภาวนาดังนี้เนือง ๆ อายุของมนุษย์ทั้งหลายก็วัฒนาจำเริญขึ้นไป ที่มีอายุ ๑๐ ปีเป็นอายุขัยนั้น ค่อยทวีขึ้นไปถึง ๒๐ ปีเป็นอายุขัย ค่อยทวีขึ้นไปทุกชั้นทุกชั้น จนอายุได้ร้อย พัน หมื่น แสน โกฏิ จนถึงอสงไขยหนึ่ง
ครั้นนานไปเห็นว่าไม่รู้จักความตายแล้ว ก็มีความประมาท มิได้ปลงใจลงในกอง ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา อายุก็ถอยน้อย ลงมาทุกทีจนถึง ๘ หมื่นปี ฝนก็ตกเป็นฤดูคือ ๕ วันตก ๑๐ วันตก ใน "ชมพูทวีป" ทั้งปวงมีพื้นแผ่นดินราบคาบสม่ำเสมอ เป็นอันดี
________________________________________

เกตุมดีราชธานี

ครั้งนั้น กรุงพาราณสี เปลี่ยนนาม ชื่อว่า เกตุมดี โดย ยาวได้ ๑๖ โยชน์ โดยกว้างได้ ๑ โยชน์ มีไม้กัลปพฤกษ์เกิดทั้ง ๔ ประตูเมือง มีแก้ว ๗ ประการ ประกอบเป็นกำแพงแก้ว ๗ ชั้นโดยรอบพระนคร
ครั้งนั้น มหานฬการเทพบุตร ก็จุติลงมาเกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิราช ทรงพระนามว่า พระเจ้าสังขจักรพรรดิ เสวยศิริราชสมบัติในเกตุมดีราชธานี เป็นพระราชาที่ทรงธรรม ครอบครองแผ่นดินมีมหาสมุทรทั้ง ๔ เป็นขอบเขต และในท่ามกลางพระนครนั้นมี "ปราสาท" อันสำเร็จแล้วด้วยแก้ว ๗ ประการ ผุดขึ้นมาจากมหาคงคา ลอยขึ้นมายังนภากาศ มาตั้งอยู่ในท่ามกลางพระนคร ปราสาทแก้วนี้ ในสมัยพุทธกาลเป็นปราสาทแห่ง "พระเจ้ามหาปนาท" (ในตอนนี้ จะขอแทรกประวัติไว้ด้วยดังนี้)
________________________________________

ประวัติพระเจ้ามหาปนาท


อันว่าปราสาทของพระเจ้ามหาปนาทนั้น เป็นปราสาทที่ท้าวสักกเทวราช ตรัสสั่ง วิษณุกรรมเทพบุตร ลงมาสร้างถวายพระราชา กล่าวคือ..สมัยก่อนที่พระพุทธเจ้าจะทรงอุบัติขึ้นนั้น ยังมีช่างเสื่อลำแพน ๒ คนพ่อลูก ได้พากันสร้างบรรณศาลาแล้วด้วย ไม้อ้อและไม้มะเดื่อ เพื่อถวายแด่พระปัจเจกพุทธเจ้าแล้วทั้ง ๒ คนก็ช่วยกันอุปถัมภ์บำรุงพระปัจเจกพุทธเจ้านั้นด้วยปัจจัย ๔
ครั้นพ่อลูก ๒ คนนั้นตายแล้ว จึงได้ไปบังเกิดในเทวโลก ส่วนบิดายังอยู่ในเทวโลก ฝ่ายบุตรได้จุติจากเทวโลก ลงมาเกิดเป็นพระราชโอรสของ พระเจ้าสุรุจิ และ พระนางสุเมธาเทวี มี พระนามว่า มหาปนาทกุมาร เวลาได้เสวยราชย์แล้ว จึงมีพระนามว่า พระเจ้ามหาปนาท ต่อมาท้าวสักกเทวราชได้ตรัสสั่งให้วิษณุ กรรมเทพบุตรลงมาสร้างปราสาทถวายแก่พระเจ้ามหาปนาทนั้น
ทั้งนี้ ด้วยอำนาจแห่งบุญญาธิการที่ได้เคยสร้างบรรณศาลาถวายแด่พระปัจเจกพุทธเจ้า ปราสาทแก้ว ๗ ประการนี้ สูง ๒๕ โยชน์ จำนวน ๗ ชั้น ยาว ๙ โยชน์ กว้าง ๘ โยชน์
ครั้นพระเจ้ามหาปนาทสวรรคตแล้ว ปราสาทนั้นก็ได้เลื่อนลงไปสู่กระแสมหาคงคา ในที่ตั้งบันไดปราสาทนั้นได้กลายเป็น บ้านเมืองขึ้นเมืองหนึ่งชื่อว่า ปยาคปติฏฐนคร ที่ตรงยอดปราสาทนั้นได้กลายเป็นหมู่บ้านชื่อว่า โกฏิคาม
ในเวลาต่อมา เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรง พระนามว่า พระสมณโคดม อุบัติขึ้นในโลกแล้ว เทพบุตรองค์นี้ ซึ่งมีนามว่า นฬการเทพบุตร จึงได้จุติลงมาเกิดเป็นบุตรเศรษฐี มีนามว่า ภัททชิ เป็นผู้มีทรัพย์ ๘๐ โกฏิ มีปราสาทถึง ๓ หลัง เป็นที่ยับยั้งอยู่ในฤดูทั้ง ๓
หลังจากได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าก็ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ เมื่อกราบทูลขอบรรพชาแล้ว จึงเข้าไปนั่งเข้าฌานอยู่ที่โคนต้นไม้แห่งหนึ่งริมฝั่งแม่น้ำคงคา ฝ่ายชาวบ้านโกฏิคามได้ยกเรือทานถวายพระภิกษุสงฆ์ เวลาสมเด็จพระพุทธองค์เสด็จลงประทับในเรือแล้ว โปรดให้พระภัททชิไปในเรือลำเดียวกันด้วย พอไปถึงกลางแม่น้ำคงคา สมเด็จพระบรมศาสดาจึงตรัสถามว่า
"ดูก่อน...ภัททชิ.! ปราสาทแก้วที่เธอเคยอยู่ในเมื่อครั้งเป็นพระเจ้ามหาปนาทนั้นอยู่ที่ไหน?"
พระภัททชิกราบทูลว่า "จมอยู่ตรงนี้...พระเจ้าข้า"
บรรดาภิกษุทั้งหลายที่เป็นปุถุชนก็พากันร้องกล่าวโทษว่าพระภัททชิอวดมรรคผล องค์สมเด็จพระทศพลจึงตรัสบอกพระภัททชิให้แก้ความสงสัยของภิกษุทั้งหลาย พระเถระถวายบังคมแล้วก็บันดาลปลายนิ้วเท้าลงไปคีบยอดปราสาทอันสูงได้ ๒๕ โยชน์นั้นขึ้นมาจากแม่น้ำคงคา ไปปรากฏอยู่บนอากาศสูงจากพื้น น้ำได้ถึง ๓ โยชน์ แล้วปล่อยไปในแม่น้ำคงคา มหาชนทั้งหลายก็หมดความสงสัย องค์สมเด็จพระจอมไตรจึงตรัสว่า ปราสาท หลังนี้ พระภัททชิ เคยอยู่มาตั้งแต่ครั้งเป็นพระเจ้ามหาปนาท
มีคำถามว่า เพราะเหตุใด ปราสาทหลังนั้นจึงยังไม่อันตรธาน
มีคำแก้ว่า เป็นเพราะอานุภาพแห่งช่างเสื่อลำแพน ซึ่งเป็นบิดาในชาติปางก่อน อันมีนามกรว่า มหานฬการเทพบุตร จะจุติ ลงมาเป็นพระเจ้าจักรพรรดิปกครองโลก ทรงพระนามว่า พระเจ้าสังขจักร แล้วพระพุทธองค์จึงทรงตรัสต่อไปว่า
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า เมตไตรย อุบัติขึ้นในโลกแล้ว พระองค์จักแสดงธรรมมีคุณอันดีในเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด พร้อมทั้งอรรถะพยัญชนะ จักประกาศพรหมจรรย์บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง และจักปกครอง พระภิกษุสงฆ์หลายพัน เหมือนกันกับเราตถาคตในบัดนี้
พระเจ้าสังขจักรนั้น จักเสวยราชย์อยู่ที่ปราสาทของพระเจ้ามหาปนาท อันมีมาในอดีตกาลนั้น แล้วจักทรงสละปราสาทนั้น ให้เป็นทานแก่สมณพราหมณ์ คนกำพร้า คนเดินทางไกล คนขอ ทานทั้งหลาย แล้วจักปลงผมและหนวด นุ่มห่มผ้าย้อมน้ำฝาด ออกบรรพชาในสำนักของพระศาสดาผู้ทรงพระนามว่า พระเมตไตรย แล้วจักออกจากหมู่อยู่แต่ผู้เดียว จักไม่ประมาท จะมีความ เพียร จะมีใจตั้งมั่น แล้วจะสำเร็จที่สุดแห่งพรหมจรรย์ อันเป็น สิ่งยอดเยี่ยมและปรารถนาของกุลบุตรทั้งหลายผู้บรรพชาในไม่ช้า"
สมัยต่อมาพระเจ้าสังขจักรได้เสวยราชสมบัติในเกตุมดีนั้น ปราสาทแก้วก็ผุดขึ้นมาแต่แม่น้ำคงคา ด้วยอานุภาพแห่งผลบุญที่เคยร่วมกันกับลูกชาย ถวายภัตตาหาร ผ้าไตรจีวร และสร้างบรรณศาลาถวายแด่พระปัจเจกพุทธเจ้าให้มีความสุขสบาย ด้วยอานิสงส์มหาศาลนี้ จึงได้เกิดมาเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ประดับไป ด้วยหมู่พระสนม แสนสาวสุรางค์ทั้งหลายประมาณ ๘ หมื่น ๔ พันองค์ มีพระราชโอรสมากกว่า ๑ พันพระองค์ ซึ่งล้วนแล้วแต่ แกล้วกล้า สามารถย่ำยีเสียซึ่งเสนาของผู้อื่น
________________________________________

แก้ว ๗ ประการ

พระราชโอรสองค์ใหญ่ทรงพระนามว่า อชิตราชกุมารเจ้า อชิตราชกุมารนั้น ดำรงตำแหน่งเป็น ปรินายกแก้ว แห่งสมเด็จพระราชบิดา ผู้เป็นพระยาบรมสังขจักร อันบริบูรณ์ไปด้วยแก้ว ๗ ประการคือ จักรแก้ว ๑ นางแก้ว ๑ แก้วมณีโชติ ๑ ช้างแก้ว ๑ ม้าแก้ว ๑ คหบดีแก้ว ๑ ปรินายกแก้ว ๑ อันว่าสมบัติของ พระเจ้าจักรพรรดินั้น ย่อมมีทุกสิ่งทุกประการ เป็นที่เกษมสานต์ ยิ่งนักเหลือที่จะพรรณนาได้ในกาลนั้น
ฝ่ายว่า มหาปุโรหิตผู้ใหญ่ ของสมเด็จพระเจ้าสังขจักรนั้น เป็นมหาพราหมณ์ประกอบไปด้วยอิสริยยศเป็นอันมาก หาผู้จะเปรียบเสมอมิได้ มีนามปรากฏว่า สุตพราหมณ์ นางพราหมณี ผู้เป็นภรรยานั้นมีนามว่า นางพราหมณวดี
ในกาลนั้น สมเด็จพระบรมโพธิสัตว์ พระศรีอาริยเมตไตรย รับอาราธนาจากบรรดาเทพเจ้าทั้งหลายแล้ว ก็จุติลงมาจากสวรรค์ชั้นดุสิต ลงมาถือกำเนิดในครรภ์แห่งนางพราหมณวดี ภรรยาแห่งมหาปุโรหิต พราหมณ์ผู้ใหญ่ ในวันเพ็ญเดือน ๘ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เวลาปัจจุสมัยใกล้รุ่ง พร้อมด้วยอัศจรรย์ทั้งหลาย ๑๒ ประการ
คือเหล่าเทพยดาพากันกระทำสักการบูชา ดังห่าฝนตกลง ในกลางอากาศ แล้วมีปรางค์ปราสาททั้ง ๓ ผุดขึ้นมา เพื่อจะให้ เป็นที่สำราญแห่งพระบรมโพธิสัตว์เจ้า ปราสาทหลังที่ ๑ ชื่อว่า ศิริวัฒนะ ปราสาทหลังที่ ๒ ชื่อว่า สิทธัตถะ ปราสาทหลังที่ ๓ ชื่อว่า จันทกะ ปรางค์ปราสาททั้ง ๓ นี้เป็นที่จำเริญพระศิริสวัสดิ มงคล ควรจะให้สำเร็จประโยชน์ทุกประการ ปรากฏงามดังดวง พระจันทร์ แล้วหอมฟุ้งไปด้วยกลิ่นอันหอมมิรู้ขาด เดียรดาษ ไปด้วยนางนาฏพระสนม ประมาณ ๗ แสนคน
ส่วนสมเด็จพระอัครมเหสีแห่งสมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรยบรมโพธิสัตว์เจ้านั้น ทรงพระนามว่า พระนางจันทมุขี เป็นประธานแห่งนางบริวารทั้งหลาย ๗แสน มีพระราชโอรสองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า พราหมณ์วัฒนกุมาร
เมื่อพระมหาบุรุษผู้ประเสริฐทรงพระเกษมสำราญอยู่ใน ปราสาททั้ง ๓ ควรแก่ฤดูโดยนิยมดังนี้ จนพระองค์มีพระชนม์ได้ ๘ หมื่นปี แล้วจึงเสด็จขึ้นสู่รถแก้วอันเป็นทิพย์วิมานมีศิริหา เสมอมิได้ เสด็จไปประพาสอุทยานทอดพระเนตร เห็นนิมิตรทั้ง ๔ ประการนี้เป็น "เทวทูต" ยังธรรมสังเวชให้เกิดขึ้น ก็มีพระทัย น้อมไปในบรรพชา พิจารณาเห็นเพศสมณะนั้นเป็นอารมณ์
ในขณะนั้น อันว่าปรางค์ปราสาทแก้วซึ่งทรงพระสำราญ ยับยั้งอยู่นั้นก็ลอยไปในอากาศ พร้อมทั้งพระราชโอรสและหมู่ นางกัลยาทั้งหลายไปกับปรางค์ปราสาท ครั้งนั้นเปรียบประดุจดังว่า พญาหงส์ทองบินไปในเวหา ฝ่ายฝูงเทวดาทั้งหลายในหมื่นจักรวาล ก็ชวนกันถือเครื่องสักการบูชา ต่างเหาะตามมากระทำ สักการบูชาในอากาศ เนืองแน่นกันมากเป็นอเนกอนันต์ บรรดา ท้าวพระยามหากษัตริย์ทั้งหลาย ๘ หมื่น ๔ พันพระนครก็ดี และชาวนิคมชนบททั้งหลายก็ดี ก็ชวนมากระทำสักการบูชาด้วย ดอกไม้และของหอมมีประการต่าง ๆ เต็มเดียรดาษกลาดเกลื่อน ไปทั้งชมพูทวีป เหล่าพวกอสูรทั้งหลายก็เข้าแวดล้อมพิทักษ์รักษา ปรางค์ปราสาท
ฝ่ายพญานาคราชนั้นกระทำสักการบูชาด้วยแก้วมณี พญาสุวรรณราชปักษีกระทำสักการบูชาด้วยแก้วมณี อันเป็นเครื่องประดับตน เหล่าคนธรรพ์ทั้งหลายนั้นกระทำสักการบูชาด้วยเครื่องทิพย์ดุริยางค์ฟ้อนรำมีประการต่าง ๆ
 (อ่านต่อข้างล่าง)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 14, 2009, 08:30:55 pm โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28446
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
เมื่อองค์สมเด็จพระบรมโพธิสัตว์ศรีอาริยเมตไตรยเจ้า เสด็จออกบรรพชานั้น ฝูงเทพยดา อินทร์พรหม ยมยักษ์ และ มนุษย์ นาค ครุฑ คนธรรพ์ทั้งหลาย กระทำสักการบูชา ฝ่าย พระเจ้าสังขจักรพร้อมด้วยข้าราชบริพารทั้งหลาย ก็ได้เสด็จไป ที่ใกล้แห่งสมเด็จพระบรมโพธิสัตว์ ครั้งนั้นมหาชนทั้งหลายทั้ง ปวง มีความปรารถนาจะบรรพชา แล้วก็พากันลอยไปในอากาศ พร้อมด้วยพระบรมโพธิสัตว์เจ้า ด้วยเดชานุภาพแห่งบรมจักร และอานุภาพแห่งพระศรีอาริยเมตไตรยบรมโพธิสัตว์นั้น
ครั้นเสด็จถึงควงไม้พระศรีรัตนมหาโพธิ คือ ไม้กากะทิง แล้วปราสาทแก้วก็เลื่อนลอยลงจากอากาศใกล้ในที่ปริมณฑล ไม้มหาโพธินั้น ฝ่ายท้าวมหาพรหมก็เชิญซึ่งพานผ้ากาสาวพัตร์ กับเครื่องบริขารทั้ง ๘ น้อมเข้าไปถวายสมเด็จพระบรมโพธิสัตว์ แล้วพระองค์จึงชักเอาพระแสงดาบแก้วตัดพระเกศาให้ขาดแล้ว ก็โยนขึ้นไปในอากาศ ก็ถือเครื่องบริขารทั้ง ๘ ประการ ทรงเพศบรรพชาเสร็จแล้ว ส่วนว่าบริวารทั้งหลายนั้น ก็ชวนกันบวชตาม สมเด็จพระโพธิสัตว์เจ้าเป็นอันมาก
ฝ่ายพระมหาบุรุษราชองค์พระศรีอาริยเมตไตรยเจ้านั้น กระทำความเพียรอยู่ที่ใกล้พระมหาโพธิสิ้นประมาณ ๗ วัน ใน เมื่อเวลาเย็นพระองค์ก็เสด็จเข้าไปสู่ควงไม้พระมหาโพธิขึ้นทรงนั่งเหนือรัตนบัลลังก์ คือพระที่นั่งแก้ว แล้วทรงระลึกชาติของพระองค์ด้วย ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ได้ทรงเห็นโดยลำดับกัน ประจักษ์แจ้งในปฐมยาม
ครั้งล่วงเข้ามัชฌิมยามทรงเห็นซึ่งการเกิดและตายแห่งสัตว์ทั้งหลายด้วย ทิพจักขุญาณ ครั้นล่วงไปในปัจฉิมยามที่สุดนั้น พระองค์ได้ทรงตรัสรู้อริยสัจจธรรม ที่เรียกว่า อาสวักขยญาณ คือบรรลุอภิเษกสัมโพธิญาณ เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ปรากฏเป็นพระพุทธคุณทั่วโลกธาตุ แล้วพระองค์ก็ยังมนุษย์ ทั้งหลายประมาณแสนโกฏิ ให้ดื่มกินซึ่งน้ำอมฤตรส คือพระ สัทธรรม เห็นพระนิพพานอันมิได้รู้แก่รู้ตาย เป็นธรรมาภิสมัย ให้บังเกิดแก่ฝูงเทพยดาและมนุษย์ทั้งหลาย ได้ตรัสรู้มรรคและ ผลหาประมาณมิได้
________________________________________

พระพุทธลักษณะ

สมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรยมีพระรูปพระโฉมงดงาม ตามพระพุทธลักษณะครบถ้วนทุกประการ คือพระองค์มีพระ วรกายสูงได้ ๘๘ ศอก พระองค์ใหญ่กว้างได้ ๒๕ ศอก ตั้งแต่ ฝ่าพระบาทถึงพระชานุ (เข่า) มีประมาณ ๒๒ ศอก ตั้งแต่พระ ชานุขึ้นไปถึงพระนาภี (ท้อง) ประมาณ ๒๒ ศอก ตั้งแต่พระ นาภีขึ้นไปถึงพระรากขวัญ (ไหปลาร้า) ทั้ง ๒ ประมาณ ๒๒ ศอก ตั้งแต่พระรากขวัญขึ้นไปถึงพระเศียรเกล้าที่สุดยอดพระ อุณหิตเปลวพระพุทธรัศมีนั้น ประมาณ ๒๒ ศอก เสมอกันทั้ง ๔ ส่วน พระรากขวัญทั้ง ๒ แต่ละอันนั้นยาวได้ ๕ ศอก อันว่าพระหัตถ์ทั้ง ๒ ซ้ายขวานั้น ยาวได้ ๔๐ ศอก ใน ระหว่างภายในแห่งพระพาหา (แขน) ทั้ง ๒ ซ้ายขวานั้นมีประมาณ ๒๕ ศอก พระอังคุลี (นิ้ว) แต่ละอันยาวได้ ๕ ศอก ฝ่าพระหัตถ์ แต่ละข้างกว้างได้ ๕ ศอก พระศอ (คอ) โดยกลมรอบมีประมาณ ๕ ศอก โดยยาวก็ ๕ ศอก
พระโอษฐ์ (ปาก) เบื้องบนเบื้องล่างกว้าง ๑๐ ศอก เสมอ กันเป็นอันดี พระชิวหา (ลิ้น) อยู่ภายในพระโอษฐ์ยาว ๑๐ ศอก พระนาสิก (จมูก) สูงยาวลงมาได้ ๗ ศอก ดวงพระเนตรทั้ง ๒ โดยกว้างได้ ๗ ศอก แววพระเนตรทั้ง ๒ ข้าง ที่ดำกลมเป็น ปริมณฑลอยู่นั้นมีประมาณ ๕ ศอก พระขนง (คิ้ว) แต่ละข้าง ยาวได้ ๕ ศอก ในระหว่างพระขนงทั้ง ๒ กว้างได้ ๔ ศอก พระ กรรณ (หู) ทั้ง ๒ แต่ละข้างยาวได้ ๗ ศอก ดวงพระพักตร์นั้น เป็นปริมณฑลกลมดังดวงพระจันทร์เมื่อวันเพ็ญมีประมาณ กลมได้ ๒๕ ศอก
________________________________________

ต้นไม้ที่จะตรัสรู้

ลำดับนี้...จะพรรณนาไม้พระศรีรัตนมหาโพธิต่อไป อันว่า ต้นไม้กากะทิง ที่เป็นไม้ศรีมหาโพธินั้น มีปริมณฑลไปได้ ๑๒๐ ศอก มีกิ่งทั้ง ๕ โดยรอบนั้นก็ได้ ๑๒๐ ศอก แต่ต้นขึ้นไปสุด ปลายกิ่งนั้นได้ ๒๔๐ ศอก โดยสูงสะกัดเป็นปริมณฑลเหมือนกัน มีใบสดเขียวอยู่เป็นนิจกาล ทรงดอกและเกสรหอมฟุ้งขจร มิรู้ขาด เปรียบประดุจดอกปาริชาติในดาวดึงส์สวรรค์ฉะนั้น
สมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรยทรงมีลักษณะมหาบุรุษครบ ถ้วนทั้ง ๓๒ ประการ ประกอบไปด้วยพระฉัพพรรณรังสี พระ พุทธรัศมี ๖ ประการ สว่างออกจากพระวรกายเป็นอันงาม ประดุจดังว่าท่อสุวรรณธาราน้ำทองอันไหลหลั่งออกมา เต็มเปี่ยมบริบูรณ์ไปด้วยสุขทุกเมื่อ มีสติระลึกถึงพระพุทธคุณเป็นอารมณ์เนือง ๆ
ด้วยเดชานุภาพแห่งพระพุทธคุณนั้น มนุษย์ทั้งหลายก็ได้ บริโภคซึ่งโภชนาหารแต่เนื้อแห่งข้าวสารสาลี อันบังเกิดมีมาเอง ได้ประดับประดาร่างกายและผ้านุ่งผ้าห่ม เครื่องอาภรณ์ต่าง ๆ แต่ต้นไม้กัลปพฤกษ์ ประพฤติเลี้ยงชีวิตเป็นบรมสุข
ปางเมื่อพระพุทธองค์ผู้ทรงสวัสดิโสภาคเป็นอันงาม ทรง พระนามว่า "พระศรีอาริยเมตไตรยเจ้า" ตรัสแสดงพระสัทธรรมเทศนา "พระธรรมจักกัปปวัตนสูตร" นั้น มนุษย์และเทพยดา ทั้งหลายได้ซึ่งบรรลุมรรคผลธรรมวิเศษ ประมาณ ๓ แสนโกฏิ
อันว่าองค์พระศรีอาริยเมตไตรยทรงสร้างพระบารมีมาสิ้น กาลช้านานถึง ๑๖ อสงไขยกำไรแสนกัป มีศีลบารมี ทานบารมี เป็นต้น เต็มบริบูรณ์
________________________________________

พระเจ้าสังขจักร

การบำเพ็ญบารมีของพระองค์ครั้งหนึ่งปรากฏชัดเจนเป็น ปรมัตถบารมี อันยิ่งยอดกว่าพระบารมีทั้งปวง ฉะนั้น สมเด็จองค์ปัจจุบันจึงนำมาซึ่งอดีตนิทาน แห่งการสร้างพระบารมีของพระศรีอาริยเมตไตรยมาตรัสแสดงแก่พระสารีบุตร มีใจความว่า
อตีเต กาเล.. ในกาลล่วงมาช้านาน ได้มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในโลกพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า พระสิริมิตร ครั้งนั้น พระศรีอาริยเมตไตรยได้เสวยศิริราชสมบัติใน เมืองอินทปัตรมหานคร ทรงพระนามว่า บรมสังขจักร มีแก้ว ๗ ประการ อยู่มาในกาลวันหนึ่ง พระเจ้าสังขจักรเสด็จนั่งอยู่ภาย ใต้เศวตฉัตร มีพระทัยปรารถนาว่า ผู้ใดมาบอกข่าวว่า พระพุทธรัตนะ พระธรรมรัตนะ พระสังฆรัตนะ บังเกิดมีแล้ว พระองค์จะสละราชสมบัติบรมจักร พระราชทานให้แก่บุคคลผู้นั้นแล้ว พระองค์ก็จะเสด็จพระราชดำเนินไปยังองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า
ในกาลนั้น ยังมีกุลบุตรเข็ญใจผู้หนึ่ง ไปบรรพชาเป็นสามเณรอยู่ในพระพุทธศาสนา ด้วยมารดาของสามเณรเป็นทาสีอยู่ในตระกูลหนึ่ง สามเณรนั้นคิดแสวงหาทรัพย์จะไปให้แก่มารดา เพื่อให้พ้นจากการเป็นทาสรับใช้ จึงเที่ยวไปโดยลำดับจนถึงกรุงอินทปัตร ฝูงมหาชนชาวพระนครไม่รู้จักว่าสามเณรเป็นอย่างไร ครั้นเห็นเข้าก็สงสัยว่าเป็นมหายักษ์ ต่างก็พากันจับไม้ไล่ทุบตีสามเณร ฝ่ายสามเณรมีความกลัวก็วิ่งหนีมหาชนเข้าไปจนถึงพระราชวัง ไปยืนอยู่ตรงพระพักตร์ของพระราชา พระองค์จึงตรัสถามว่า มานพนี้มีนามว่าอย่างไร?
เจ้าสามเณรจึงกราบทูลว่า อาตมภาพมีนามว่า "สามเณร" จึงตรัสถามว่า สามเณรนั้นด้วยเหตุใด สามเณรจึงทูลว่า ข้าพเจ้า มีนามว่าสามเณรนั้น ด้วยเหตุว่าข้าพเจ้ามิได้กระทำบาปในภายนอก แล้วตั้งอยู่ภายในแห่งกุศล เหตุดังนั้นจึงมีนามว่า "สามเณร" พระองค์ก็ทรงตรัสถามต่อไปว่า นามกรของท่านนั้น บุคคลผู้ใด ตั้งให้แก่ท่าน สามเณรจึงทูลว่า พระอาจารย์ของข้าพเจ้าตั้งให้
พระองค์จึงตรัสถามอีกว่า อาจารย์ของท่านนั้นชื่อใด สามเณรจึงถวายพระพรว่า อาจารย์ของอาตมาท่านมีนามว่า "ภิกษุ" จึงตรัสถามต่อไปว่า พระอาจารย์ของท่านนั้นมีนามว่า "ภิกษุ" ด้วยเหตุอะไร สามเณรจึงทูลว่า อาจารย์ของข้าพเจ้านั้นชื่อ "รัตนะ" เป็นแก้วอันหาค่ามิได้
ครั้นพระราชาได้ทรงสดับว่า"พระสังฆรัตนะ" ในพระพุทธศาสนาหาได้เป็นอันยากยิ่งนัก พระองค์ก็มีความชื่นชมยินดีหาที่จะอุปมามิได้ คำนึงอยู่ในพระราชหฤทัยว่า จะเสด็จลงจากพระราชอาสน์ไปทรงนมัสการเจ้าสามเณร
ในทันใดนั้นเอง...พระวรกายของพระองค์ก็ลอยไปตกลง ตรงหน้าเจ้าสามเณรด้วยอำนาจแห่งธรรมปีติ ด้วยเดชะที่พระ องค์มีความเลื่อมใสในคุณพระสังฆรัตนะ ดอกปทุมชาติ คือดอก บัวก็บังเกิดผุดขึ้นรองรับพระองค์ไว้มิได้เป็นอันตราย จึงถวาย นมัสการเจ้าสามเณรโดยเบญจางคประดิษฐ์ แล้วจึงตรัสถามต่อ ไปว่า "พระสังฆรัตนะ" อาจารย์ของท่านนั้น บุคคลผู้ใดให้นามกร
เจ้าสามเณรก็ทูลว่า อาจารย์ของข้าพเจ้านั้น คือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงพระนามว่า "พระสิริมิตร" พระองค์โปรดประทานให้นามว่า "พระสังฆรัตนะ" แก่พระอาจารย์ของ ข้าพเจ้า พระเจ้าสังขจักรบรมโพธิสัตว์เจ้า ผู้ทรงพระอุตสาหะรอ การสดับข่าวว่า เมื่อใดพระพุทธเจ้าจะทรงอุบัติขึ้นในโลก ครั้น ได้ทรงฟังสามเณรออกวาจาว่า องค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัม มาสัมพุทธเจ้าแล้ว พระองค์ก็ถึงกับทรงวิสัญญีภาพ คือสลบ ลงอยู่ตรงนั้นเอง
ครั้นพระองค์ได้พระสติขึ้นมา จึงตรัสถามสามเณรอีกว่า ดูก่อน...เจ้าสามเณรผู้เจริญ บัดนี้ องค์สมเด็จพระพุทธเจ้าเสด็จ ประทับอยู่ที่ไหน สามเณรจึงทูลว่า สมเด็จพระบรมศาสดาเสด็จยับยั้งอาศัยอยู่ใน บุพพารามวิหาร อันมีอยู่ในทิศอุดร คือ ทางเหนือของกรุงอินทปัตรนี้ไปไกลกันมีประมาณ ๑๖ โยชน์ ครั้น ได้ทรงสดับข่าวจากสามเณรว่า สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าบังเกิดแล้วในโลก จึงตรัสว่า ดูก่อน...สามเณร! หากว่าองค์สมเด็จพระสัพพัญญูเจ้าเสด็จอยู่ในทางทิศใด เราก็จะไปในประเทศทิศนั้น
สมเด็จพระเจ้าสังขจักรบรมบพิตรผู้ประเสริฐ หาความห่วง ใยในศิริราชสมบัติบรมจักรของพระองค์ไม่ ด้วยมีพระทัยนั้นผูกพันอยู่ในการที่จะได้พบเห็นองค์สมเด็จพระศรีสรรเพชรเป็นที่ยิ่งอย่างอุกฤษฏ์ ก็กระทำการราชาภิเษกเจ้าสามเณรนั้น ให้สึกออกมาเสวยราชสมบัติแทนพระองค์เป็นพระราชาอันประเสริฐ
ครั้นกระทำการราชาภิเษกเจ้าสามเณรแล้ว เสด็จลำพังแต่เพียงพระองค์เดียว มีพระทัยเฉพาะต่อทิศอุดร ตั้งพระทัยไปสู่บุพพารามวิหาร อันเป็นที่ประทับแห่งองค์สมเด็จพระสิริมิตรสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่พระเจ้าสังขจักรเป็นสุขุมาลชาติ พระสรีรกาย นั้นละเอียดอ่อนเป็นอันดี เมื่อเสด็จพระราชดำเนินไปตามหนทาง แต่พระบาทเปล่า เพียงเวลาวันเดียวเท่านั้น พระบาททั้งสองข้างก็แตกจนพระโลหิตไหลไปตามฝ่าพระบาททั้งสอง
เมื่อพระบาททั้งสองบาดเจ็บจนเดินไปมิได้แล้ว ในกาลนั้น พระองค์ก็ลงนั่งคุกเข่าคลานไปทีละน้อย ไปตามหนทางที่เจ้าสามเณรบอกมานั้น ไม่ยอมละเสียซึ่งความเพียร ครั้นล่วงไปถึง ๔ วัน พระหัตถ์ซ้ายขวาและพระชงฆ์ (แข้ง) ทั้งสองข้างนั้นก็แตกช้ำ โลหิตไหลออกมา จะคุกคลานไปก็มิได้ให้เจ็บปวดแสนสาหัส เห็นขัดสนพระทัยนักแล้ว ถึงกระนั้นพระองค์จะได้คิดท้อถอยย้อน รอยกลับคืนมาหามิได้ ทรงมุ่งมั่นในพระทัยว่า จะต้องไปให้ถึง สำนักขององค์สมเด็จพระจอมไตรให้จงได้
ครั้นพระองค์คุกคลานมิได้แล้ว ก็ทรุดลงพังพาบไถลไปแต่ ทีละน้อย ด้วยพระอุระ (อก) ของพระองค์ ประกอบไปด้วยทุกข เวทนาเหลือที่จะอดกลั้น พระองค์ยึดหน่วงเอาพระพุทธคุณของสมเด็จพระพุทธองค์เป็นอารมณ์ ด้วยเจตนาใคร่จะทรงพบเห็นพระองค์ผู้ทรงประเสริฐยิ่งกว่าใครในโลก แล้วก็ทรงอดกลั้นซึ่งทุกขเวทนานั้นเสีย หาได้ทรงอาลัยในพระวรกายของพระองค์ไม่
ครั้งนั้น สมเด็จพระสิริมิตรสัพพัญญูผู้ประเสริฐ พระองค์ทรงพระมหากรุณาเล็งแลดูสัตวโลกทั้งหลายด้วยพระสัพพัญญุตญาณ ก็รู้แจ้งเห็นด้วยกำลังความเพียรของพระเจ้าสังขจักรนั้น เป็นอุกฤษฏ์ยิ่งโดยวิเศษแล้ว ก็มิใช่อื่นมิไช่ไกล เป็นหน่อพระพุทธางกูรพุทธพงศ์วงศ์เดียวกันกับพระตถาคตนั่นเอง สมควร ที่ตถาคตจักเสด็จไปสู่ที่ใกล้แห่งบรมสังขจักร
เมื่อพระพุทธองค์ทรงพระดำริแล้ว ก็เสด็จพระพุทธดำเนินมาด้วยพระศิริวิลาสเป็นอันงาม แล้วพระองค์กระทำอิทธิฤทธิ์ เนรมิตพระวรกายของพระองค์ให้อันตรธานหาย กลับกลายเป็น มานพน้อย ขึ้นขับรถทวนมรรคามาเฉพาะหน้าแห่งสมเด็จพระบรมสังขจักรนั้น แล้วสมเด็จพระพุทธสัพพัญญูเจ้าจึงร้องถาม ไปว่า ผู้ใดมานอนอยู่กลางทางขวางหน้ารถเรา จงหลีกไปเสีย..เรา จะขับรถไป..!
ฝ่ายพระบรมโพธิสัตว์เจ้าจึงตรัสตอบว่า ดูก่อน...นายสารถี ผู้ขับรถ ท่านจะมาขับเราไปให้พ้นจากหนทางนั้นด้วยเหตุใด ตัว เราผู้รู้จักคุณสมเด็จพระจอมไตรเป็นอารมณ์ยิ่งนัก หากแต่นายสารถีจะยั้งรถของท่านให้หลีกเราไปเสียจึงจะสมควร ถ้าท่านไม่หลีกก็ให้ท่านขับรถไปเหนือหลังเราเถิด ซึ่งจะให้เราหลีกนั้นเรา หาหลีกไม่ แล้วจึงมีพระพุทธฎีกาตรัสว่า ถ้าท่านจะไปยังสำนักพระพุทธเจ้าแล้ว จงมาขึ้นรถไปกับเราเถิด เราจะพาท่านไปให้ถึง สำนักสมเด็จพระประทีปแก้วให้สมดังความปรารถนา
สมเด็จพระราชาธิบดีจึงตรัสตอบว่า ถ้าท่านเอ็นดูกรุณาแก่ เรา เราก็มีความยินดีสาธุอนุโมทนาด้วย แล้วก็อุตสาหะดำรงทรง พระวรกายขึ้นสู่รถแห่งองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า พระพุทธ องค์ก็ทรงหันหน้ารถไปตามถนนหนทาง ในระหว่างทางนั้น สมเด็จอมรินทราธิราชกับนางสุชาดาผู้เป็นอัครมเหสี จึงได้นำเอา
(อ่านต่อข้างล่าง)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 14, 2009, 08:29:21 pm โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28446
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
โภชนาหารอันเป็นทิพย์กับทั้งน้ำทิพย์ลงมา จำแลงเพศเป็นบุรุษ ยืนอยู่ตรงหน้ารถแล้วร้องว่า
ดูก่อน...นายสารถีผู้เจริญ! ท่านต้องการข้าวน้ำโภชนาหาร หรือ...เราจะให้ เมื่อท้าวโกสีย์สักกเทวราชกับนางสุชาดากล่าว ดังนั้น องค์สมเด็จพระภควันต์บรมศาสดาซึ่งแปลงเพศเป็นนาย สารถีขับรถจึงกล่าวว่า มานพผู้เจริญ.! บุรุษทุพพลภาพผู้หนึ่งมา ในรถด้วยกับเรา มีความลำบากเวทนานัก ท่านจะให้ข้าวน้ำโภชนา หารแก่เราก็ให้เถิด เราจะได้ให้แก่บุรุษผู้นี้บริโภค องค์อัมรินทร์ปิ่นธานีกับนางสุชาดาก็ให้ข้าวน้ำโภชนาหารอันเป็นทิพย์ แด่องค์สมเด็จพระธรรมสามิสตร์ แล้วพระองค์ก็ทรงประทานให้แก่พระบรมโพธิสัตว์สังขจักรเสวยข้าวน้ำอันเป็นทิพย์นั้น
ครั้นพระองค์เสวยอิ่มหนำสำเร็จแล้ว ด้วยอานุภาพแห่งข้าวน้ำอันเป็นทิพย์นั้น ทำให้ทุกขเวทนาในพระสรีรกายอันตรธานหาย มีพระวรกายเป็นสุขสมบูรณ์เสมอเหมือนแต่ก่อน องค์สมเด็จ พระชินวรเจ้าจึงพาพระยาสังขจักรไปใกล้ "บุพพารามวิหาร" แล้ว พระองค์ก็ประทับนั่งบนพระพุทธอาสน์ในพระวิหาร ส่วนหน่อ เนื้อพระบรมพงศ์โพธิสัตว์ก็เสด็จลงจากรถ เข้าไปสู่บุพพาราม ทอดพระเนตรไปเห็นองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมา สัมพุทธเจ้า ผู้ประกอบไปด้วยลักษณะมหาบุรุษ ๓๒ ประการ และอนุพยัญชนะอีก ๘๐ ทั้งประดับด้วยพระพุทธรัศมีอันโอภาส สว่างรุ่งเรืองออกจากพระวรกาย อันเสด็จประทับนั่งอยู่ในที่นั้น พระองค์ก็ทรงสลบลงตรงพระพักตร์แห่งองค์สมเด็จพระผู้มีพระ ภาคเจ้าด้วยความโสมนัส เกิดความปีติยินดีหาที่สุดมิได้
ส่วนสมเด็จพระบรมศาสดาจึงมีพระพุทธฎีกาตรัสว่า ดูก่อน มหาบุรุษราชผู้ประเสริฐ พระตถาคตเสด็จอยู่ในที่นี้แล้ว ครั้งนั้น สมเด็จพระบรมสังขจักรก็ได้พระสติฟื้นขึ้นมา เกิดความเลื่อมใสศรัทธาน้อมเศียรเกล้าคลานเข้าไป แล้วเสด็จนั่งยังที่อันสมควร จึงยกพระกรขึ้นประนมถวายบังคมเหนือเศียรเกล้า กระทำการ อภิวาทนมัสการกราบทูลว่า
"ภันเต ภควา...ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญ พระพุทธเจ้าข้า บัดนี้ ข้าพระบาทได้ถึงสำนักของพระองค์แล้ว ขอจงทรงพระกรุณาเป็นที่พึ่งแก่ข้าพระพุทธเจ้า โปรดตรัสแสดง พระสัทธรรมเทศนาให้ข้าพระบาทฟังเถิด...พระพุทธเจ้าข้า"
สมเด็จพระศาสดาจารย์จึงมีพระพุทธบรรหารว่า "ดูก่อน.. มหาบพิตรผู้ประเสริฐ.! จงตั้งโสตประสาทสดับรสพระพุทธพจน์ เทศนาของพระตถาคต แล้วพิจารณาธรรมกถาอันกล่าวในคุณ พระนิพพานนี้เถิด"
ปางนั้นองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์จึงตรัสพระสัทธรรมเทศนาโปรดแก่พระยาสังขจักร เมื่อพระองค์ได้ทรงสดับพระสัท ธรรมเทศนาบทหนึ่งสิ้นเนื้อความลงแล้ว ก็กราบทูลห้ามสมเด็จ พระประทีปแก้วว่า ขอพระองค์จงหยุดการแสดงธรรมเสียเถิด
มีคำถามว่า... เหตุไฉนพระเจ้าสังขจักรจึงทูลห้ามเช่นนี้ เพราะเดิมทีมีพระทัยผูกพันในพระพุทธศาสดา ระลึกถึงซึ่งคุณ พระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสังฆเจ้า เป็นอันมาก สู้ทรงสละ ราชสมบัติบรมจักร เสด็จมาด้วยความลำบากแทบถึงซึ่งชีวิต ครั้นมาประสบพบองค์พระสัพพัญญูเจ้า พระองค์ประทานธรรมเทศ นาแล้ว กลับห้ามเสียด้วยเหตุประการใด..?
มีคำตอบว่า... สมเด็จพระบรมสังขจักรทรงพระดำริว่า ถ้า สมเด็จพระบรมศาสดาโปรดประทานพระสัทธรรมเทศนาเป็นอัน มาก แล้วพระองค์ก็เสด็จมาแต่เพียงลำพังพระองค์เดียวเปลี่ยว พระทัยนัก จะหาเครื่องไทยธรรมอันสมควรที่จะสักการบูชาให้ สมควรแก่รสพระสัทธรรมนั้นหามีไม่ บัดนี้ เราได้สดับรับรสแห่ง อมตธรรมแต่บทเดียว เครื่องสักการบูชาของเรานี้ มิพอสมควร กันกับพระสัทธรรม พระองค์ทรงดำริดังนี้แล้ว จึงกราบทูลห้าม องค์สมเด็จพระประทีปแก้วเสีย แล้วพระองค์จึงกราบทูลว่า
"ข้าพระพุทธเจ้าได้สดับพระสัทธรรมของพระองค์ในกาล ครั้งนี้ พระองค์ทรงพระมหากรุณาตรัสพระธรรมเทศนาแสดง พระนิพพานอันเดียวเป็นที่สุดพระสัทธรรมอยู่แล้ว ข้าพระพุทธ เจ้าจะตัดเศียรเกล้าอันเป็นที่สุดสรีระกายแห่งข้าพระพุทธเจ้า ออกกระทำการสักการบูชาพระสัทธรรมเทศนาของสมเด็จพระ ผู้มีพระภาคเจ้าก่อน"
________________________________________

ตัดพระเศียรบูชาพระธรรม

ครั้นตรัสดังนั้นแล้ว พระเจ้าสังขจักรผู้มีอัธยาศัยในพระ โพธิญาณ จึงทรงอธิษฐานขอให้เล็บของพระองค์คมดังพระแสง ดาบ เด็ดซึ่งพระศอให้ขาด แล้ววางไว้บนฝ่าพระหัตถ์ พร้อมตั้ง มโนปณิธานความปรารถนา ออกพระโอษฐ์ตรัสด้วยวาจาว่า
"ภันเต ภควา... ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงศิริ ขอเชิญพระองค์ เสด็จเข้าสู่เมืองแก้วอันเกษมสานต์ คือพระอมตมหานิพพาน อันสำราญก่อนข้าพระบาทเถิด ข้าพระบาทจะขอตามเสด็จไปสู่ พระนิพพาน อันสำราญต่อภายหลัง ด้วยข้าพระพุทธเจ้าได้ถวายเศียรเกล้าบูชาพระสัทธรรมเทศนาของพระองค์ในกาลบัดนี้ ด้วยมิได้หวังสมบัติใดในโลกนี้ มีความปรารถนาเพียงอย่างเดียว คือการบรรลุพระโพธิญาณ เป็นพระศาสดาจารย์พระองค์หนึ่ง ในอนาคตกาลนั้นเทอญ..."
ในที่สุดแห่งพระวาจาที่ได้ตั้งความปรารถนาขาดลง พระบรมโพธิสัตว์ก็สิ้นพระทัยไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต
ดูก่อน...สารีบุตร! ครั้นเมื่อพระศรีอาริยเมตไตรยโพธิสัตว์ ได้บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ เป็นองค์สมเด็จพิชิตมารบรม ศาสดาจารย์แล้ว จึงมีพระองค์สูงได้ ๘๘ ศอก ด้วยผลทานที่เด็ด พระเศียรกระทำสักการบูชาแห่งพระสัทธรรมเทศนา พระองค์ ทรงพระรัศมีสิ้นทั้งกลางวันกลางคืนมิได้ขาดนั้น ด้วยอานิสงส์ที่ พระองค์ทรงอุตสาหะไปในหนทาง ปรารถนาจะพบเห็นสมเด็จ พระผู้มีพระภาคเจ้า จนพระโลหิตไหลออกจากพระบาท พระชงค์ พระหัตถ์ และพระอุระ ของพระองค์ ในคราวเสวยพระชาติเป็น พระเจ้าสังขจักรนั้น
อนึ่ง พระพุทธรัศมีของพระองค์แผ่ซ่านตลอดไปเบื้องบน จนถึงพรหมโลก เบื้องต่ำตลอดลงไปจนถึงอเวจีมหานรก ด้วยผลอานิสงส์ที่พระองค์เด็ดพระเศียร ออกกระทำสักการบูชาพระสัทธรรม โลหิตไหลออกจากพระเศียร
อีกประการหนึ่ง ในพระศาสนาแห่งพระศรีอาริยเมตไตรย บังเกิดมีต้นไม้กัลปพฤกษ์ นึกได้สำเร็จสมความปรารถนา นั้น ด้วยผลานิสงส์ที่พระองค์เสด็จไปตามถนนหนทาง ใคร่จะพบองค์ สมเด็จพระสัพพัญญูเจ้า มีกำหนดถึง ๗ วัน จึงได้ประสพพบ พระพุทธองค์สมพระราชหฤทัย
ดูก่อน...สารีบุตร! ผู้เป็นธรรมเสนาบดีของตถาคต ฝูงชน ทั้งหลายที่มิได้เห็นรูปกายของพระตถาคตนี้ แม้ได้พบเห็นแต่พระพุทธศาสนาของพระตถาคต แล้วได้กระทำ ทาน รักษาศีล เจริญ เมตตาภาวนา ด้วยเดชะผลานิสงส์นี้ บรรดาปวงชนทั้งหลายเหล่านั้น จักได้บังเกิดทันพระพุทธศาสนาแห่งองค์สมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรย อันจะมาอุบัติบังเกิดเป็นพระสัพพัญญูสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคต แสดงมาด้วยเรื่อง "พระศรีอาริยเมตไตรยบรมโพธิสัตว์" ก็ยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ เอวัง..ก็มีด้วยประการฉะนี้ ฯ

หมายเหตุ : หลวงพ่อบอกว่าอีกประมาณ ล้านปีเศษ ๆ พระศรีอาริย์ จึงจะมาตรัสรู้ทางอาณาเขตของประเทศพม่า ฯ

คงพอหายสงสัยได้บ้างนะครับ คุณปกรณ์

สำหรับเรื่อง พระแมสไซอา กรุณาติดตามภาค ๒

ที่มา เว็บตามรอยพระพุทธบาท
www.tamroiphrabuddhabat.com
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

translate

  • ศิษย์ตรง
  • กำลังแหวกกระแส
  • *****
  • ผลบุญ: +1/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 105
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: พระศรีอาริยเมตตรัย พระพุทธเจ้าองค์ต่อไป
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: ธันวาคม 14, 2009, 10:55:18 pm »
0
 :) ;) ;D :angel:
พึ่งรู้นะนี่ ได้ประโยชน์ จริง ๆ เว็บนี้
บันทึกการเข้า

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28446
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
BuddhaMaitreya พระศรีอารยเมตไตรย
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: ธันวาคม 15, 2009, 07:02:21 pm »
0
คุณปกรณ์ พระแมสไซอา ไม่มีนะครับ ที่หาเจอ คือ

พระเมสสิอาห์ หรือ พระเมซซิอาห์

ที่คุณถามว่า พระศรีิอาริยเมตตรัย พระแมสไซอา พระผู้กำเนิดใหม่ เป็นนามเดียวกันทั้งหมดหรือป่าว

ผมจะตอบโดยนำเอาบทความในหนังพิมพ์คมชัดลึก บางส่วนมาให้อ่านดังนี้ครับ

BuddhaMaitreya พระศรีอารยเมตไตรย

 ขณะเดียวกัน ก็มีคนจำนวนไม่น้อย แอบอ้างว่าตนเองเป็นพระศรีอารย์ อย่างกับกรณีศาลเจ้าแห่งหนึ่งที่ อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา มีผู้หญิงคนหนึ่ง อ้างตนว่าเป็นพระศรีอารย์

 พระ ดร.มโน (เมตฺตานนฺโท ภิกฺขุ) ที่ปรึกษาเลขาธิการใหญ่องค์การสมัชชาศาสนาเพื่อสันติภาพโลก (ฝ่ายกิจการพระพุทธศาสนา) และอาจารย์พิเศษ คณะศาสนาวิชาศาสนาและปรัชญา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บอกว่า พระศรีอารย์ ชื่อที่แท้จริงในภาษาสันสกฤตคือ “ไมเตฺรยะ” (Maitreya) หรือในบาลี คือ “เมตฺเตยฺย”

 ความเชื่อในเรื่องพระไมตริยะ ในฐานะผู้นำทางจิตวิญญาณในลักษณะนี้ มิใช่มีเฉพาะในพระพุทธศาสนาเท่านั้น แต่มีปรากฏในศาสนาฮินดู เชน ยูดาย คริสต์ และอิสลาม
พระไตรปิฎก นั้น เป็นหลักฐานที่เก่าแก่ที่สุดของโลก  ว่าด้วยเรื่องพระไมตริยะ ดังปรากฏในพุทธพยากรณ์หลายแห่ง เช่น ในทีฆนิกาย จักกวัตติสีหนาทสูตร

แม้ใน คัมภีร์ไบเบิล ในส่วนของพระคัมภีร์พันธสัญญาเก่า (Old Testament) ทั้งของศาสนายูดายและคริสต์ศาสนา ก็ปรากฏชื่อของ Messiah ซึ่งจะเป็นศาสดาพยากรณ์คนสุดท้ายของโลก ที่พระผู้เป็นเจ้าจะส่งลงมาโปรดโลก ก่อนวันโลกแตก

 ในคริสต์ศาสนาเชื่อว่า พระเยซูคริสต์ คือ Messiah ผู้นั้น   ส่วนในศาสนาอิสลามเชื่อว่า พระนะบี มูฮะหมัด คือ Messiah

 ปัจจุบัน มีผู้ที่ตั้งตัวว่า เป็นพระไมตริยะ หรือเกี่ยวข้องกับพระไมตริยะ ในฐานะเป็นทูตสวรรค์บ้าง เป็นศาสดาที่มาโปรดชาวโลก ให้รอท่าพระไมตริยะบ้าง บางรายตั้งสำนักใหญ่โต มีสาขานับร้อย และลูกศิษย์นับหมื่น

 ในยุโรปและอเมริกาในขณะนี้ บางรายถึงกับประกาศตัวเป็นพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าองค์ที่ 5หรือถึงขนาดว่า เก่งกว่าพระพุทธเจ้าเลยก็มี

 นอกจากนี้แล้ว ยังมีสำนักพระไมตริยะระดับสากล เป็นศาสนาไฮเทค ซึ่งมีความพยายามที่จะรวบรวมความเชื่อของศาสนาต่างๆ เข้ามาด้วยกัน เพื่อหล่อหลอมเป็นศาสนาเดียวภายใต้พระไมตริยะ โดยจะอยู่ในฐานะของพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๕ ของกัลป์ แต่กลายเป็นองค์อวตาร คือ เป็นพระผู้เป็นเจ้าตัวจริงอวตารลงมาเกิดเป็นมนุษย์ เหมือนพระวิษณุ หรือพระนารายณ์ เพื่อลงมาปราบยุคเข็ญ ปิดกลียุค ก่อนวันสิ้นโลก เป็นทั้งพระเยซูคริสต์ด้วย และเป็นทั้งพระ Messiah ด้วย ในตัวคนเดียว

 "สิ่งที่น่าสนใจอย่างหนึ่งทางอักษรศาสตร์ คือ หากนำคำว่า Maitreya ในภาษาสันสกฤตปริวัฏอักษรเป็นภาษาฮีบรู  จะได้คำว่า Messiah ตรงตัว เรื่องนี้คงไม่ใช่เหตุบังเอิญที่จะมีคำพ้องทั้งเสียงและความหมาย ในศาสนาที่มีต้นกำเนิดห่างกันหลายพันไมล์ และสิ่งที่เหมือนกันอย่างหนึ่งคือ ระหว่างชาวยิวและชาวพุทธ คือศาสนิกชนของทั้งสองศาสนานั้น กำลังรอคอยการอุบัติขึ้นของ Maitreya หรือ Messiah ด้วยกันทั้งคู่ ศาสนาพระศรีอารย์ จึงมิได้มีอยู่เฉพาะในพระพุทธศาสนาเท่านั้น และไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้น แต่มีมานานกว่าสองพันปีแล้ว และเป็นรากฐานของความเชื่อ ในศาสนาที่เกิดขึ้นในอินเดียทั้ง ๓ ศาสนาใหญ่ คือ ฮินดู พุทธ และเชน" ดร.มโน กล่าว

 อ.ราม วัชรประดิษฐ์ อาจารย์ประจำสาขาวิชาประวัติศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร บอกว่า  คติความเชื่อในการสร้างพระศรีอารยเมตไตรย(พระพุทธเจ้าองค์ที่ 5) เริ่มเป็นที่แพร่หลายหลังกึ่งพุทธศตวรรษ หรือ พ.ศ. ๒๕๐๐ ซึ่งก่อนหน้านี้มีการสร้างพระศรีอารยเมตไตรยอันเป็นที่เลื่องชื่อ อยู่ ๒ องค์ คือ องค์แรก"พระศรีอาริยเมตไตรย"ประดิฐษฐาน ที่วัดไลย์ ต.เขาสมอคอน อ.ท่าวุ้ง จ.ลพบุรี ที่มีผู้คนทั้งใกล้และไกลให้ความเคารพบูชา กราบไหว้มาแต่ครั้งโบราณกาล ทุกๆ ปีจะมีประชาชนมาร่วมชุมนุมกันอย่างเนืองแน่น วัดจึงจัดสร้างเหรียญและรูปหล่อ แผ่นทองแดงปั๊มพระสี่เหลี่ยมเนื้อชิน ฯลฯ เพื่อสำหรับไว้แจกเป็นที่ระลึก และเป็นอนุสรณ์ในการที่ได้มาร่วมทำบุญกับวัดบ้าง


 ส่วนพระศรีอารยเมตไตรย อีกองค์หนึ่งที่ขึ้นชื่อว่าเป็น(พระพุทธเจ้าองค์ที่ ๕) ที่ใหญ่และเก่าแก่มากที่สุด ประดิษฐานอยู่ที่วัดปราโมทย์ ม.๒ บ้านบางสะแก ต.บ้านปราโมทย์ อ.บางคนที จ.สมุทรสงคราม จากปูนปั้นขนาดหน้าตักกว้าง ๙ ศอก สูง ๘ โดยชาวบ้านจะเรียกว่า หลวงพ่อโต น่าจะมีอายุประมาณ ๑๖๐ ปี ซึ่งชาวบ้านนับถือมากว่าศักดิ์สิทธิ์ และจะแก้บนด้วยประทัดและดอกไม้รูปเทียน พวงมาลัย ทุกปีจะมีงานประจำปีในเดือนตุลาคม ทำบุญออกพรรษา มีตักบาตรรอบโบสถ์ ประกวดแต่งกายชุดไทย แข่งเรือ ชกมวยและมีงิ้วแสดงถวาย

 “ในคัมภีร์ไตรภูมิโลกวินิจฉยกถา หรือไตรภูมิฉบับหลวง กล่าวว่า ในยุคของศาสนาพระศรีอารยเมตไตรยนั้น ผู้คนจะมีแต่ความสุข ปราศจากกลียุคทุกข์ยาก ไม่มีผู้ร้ายฆ่าฟันกันเหมือนเช่นทุกวันนี้ ความสงบสุขจะแผ่ไปทั่ว คนในศาสนาพระศรีอารย์นั้น ไม่ต้องพึ่งพาโรงพยาบาล ไม่ต้องกังวลว่า จะไม่มีค่ารักษาพยาบาล เพราะคนทั้งปวงจะปราศจากโรคาพยาธิ ดินฟ้าอากาศก็ได้รับการควบคุมให้อยู่ในระดับที่สบาย คนยุคปัจจุบัน เมื่อเห็นว่าในศาสนาพระศรีอารย์มีแต่ความสุข ก็พากันปรารถนาที่จะไปเกิดใหม่ในศาสนานั้น โดยนิยมสร้างพระศรีอารย์ เพราะมีคติความเชื่อกันว่า เมื่อตายไปแล้วจะได้ไปเกิดในยุคศาสนาของพระศรีอารย์” อ.รามกล่าว
เรื่อง - ภาพ... "ไตรเทพ ไกรงู"
ที่มา...คมชัดลึก

http://www.tumsrivichai.com/
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28446
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
พระศรีอารย์ในจิตทัศน์ของ "นอสตราดามุส"
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: ธันวาคม 15, 2009, 07:09:59 pm »
0
ผมขอเสนอ ข้อความจาก หนังสือนอสตราดามุส  ที่น่่าสนใจ ดังนี้

พระศรีอารย์ในจิตทัศน์ของนอสตราดามุส

" เสียงนุ่มนวลแห่งมิตรไมตรีอันศักดิ์สิทธิ์ ได้ยินจากแผ่นดินทิพย์ แสงเพลิงมนุษย์ ฉายรองรับเสียงประเสริฐนั้น จะเป็นเหตุให้โลกต้องเปื้อนเลือด สมณเพศทั้งหลายที่ไม่ยึดถือศีล (พรหมจรรย์) และนำไปสู่การทำลายโบสถ์วิหารที่ไร้ความบริสุทธิ์ "
(ซ.1 ค.96 )

นับว่าเป็นเรื่องที่น่าแปลกน่าอัศจรรย์อย่างมากเลยทีเดียว ที่นอสตราดามุสได้เขียนโคลงทำนายบทนี้ขึ้นเมื่อ 450 ปีก่อน ภายใต้สังฆจักรโรมันคาทอลิก สมมุติว่าท่านได้มีโอกาสศึกษาพระธรรมคำสั่งสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งมีประวัติยาวนานถึง 2,000 ปีกว่ามาแล้วในสมัยนั้น ท่านคงจะไม่กล่าวถึงพระศรีอาริยเมตไตรยอย่างแน่นอน ถ้าในจิตทัศน์ของท่านไม่ได้เห็น สัจธรรมบางอย่างที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และมีส่วนสัมพันธ์กับศรัทธาใหม่ของโลกโดยตรง คำว่า " มิตรไมตรีอันศักดิ์สิทธิ์ " นี้จะเป็นอื่นไปไม่ได้นอกจากพระนามของพระศรีอาริยเมตไตรย เพราะคำว่า " เมตไตรย " นี้ แปลว่า " เพื่อน " ในความหมายของภาษาบาลี สันสกฤต บุคคลผู้นี้เป็น Sacred Friend จะ เป็นใครก็ตาม แต่การใช้คำว่า " มิตรไมตรีอันศักดิ์สิทธิ์ " หรือ " เพื่อนผู้ศักดิ์สิทธิ์ " แสดงให้เห็นว่าผู้ที่จะมาโปรดสัตว์ในโลกยุคนี้ จะไม่ใช่เป็นบุคคล

ธรรมดาอย่างแน่นอน อีกทั้งมาจากแผ่นดินอันศักดิ์สิทธิ์ หรือ Holy Ground อีก ด้วย ก็ยิ่งชี้ชัดว่าน่าจะเป็นองค์พระศรีอาริยเมตไตรย ซึ่งนายจอห์น ฮอค ฟันธงว่าจะเสด็จมาในโลกนี้ประมาณ ระหว่างคริสต์ศักราช 2000 ( พ.ศ.2543 ) หรือกว่านั้นเล็กน้อย ซึ่งใกล้เคียงกับวันเวลาที่พระเยซู หรือพระมาซิ อาร์ พระมะห์ดีร์ ตามความเชื่อของมุสลิม จะเสด็จมาในวันพิพากษาโลกนี้ ซึ่งหลายฝ่ายเชื่อกันอย่างเงียบๆ ว่าอาจจะเป็นพระศาสดาโพธิสัตว์องค์เดียวกันก็ได้

การ เสด็จมาของพระศรีอาริยเมตไตรย ก็คงต้องมาชำระสะสางความเสื่อมของศาสนาอยู่แล้ว ในภาวะที่มีการวิวัฒนาการ บรรดาพระสงฆ์สมณเพศผู้ยึดถือพรหมจรรย์ ก็คงไม่แตกต่างอะไรกับนักบุญทั้งหลายผู้เสียสละในอดีต วันเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงนั้นคงต้องผ่านขั้นตอนตามปรกติวิสัย ซึ่งบางครั้งอาจต้องมีความเจ็บปวดอันเกิดจากการต่อต้าน หรือขัดแย้งทางอุดมการณ์และความคิดเกิดขึ้น ซึ่งในหลายๆ กรณีที่เกิดขึ้นในอดีต การเสียสละของนักบุญอาจถึงกับต้องเลือดตกยางออก

" อังคารกับคฑาของจูปิเตอร์ (พฤหัส) เล็งลัคน์
เกิดสงครามมหาวิบัติภายใต้ราศีกรกฎ
หลังจากนั้นไม่นาน กษัตริย์ใหม่จะถูกสถาปนา
เป็นผู้นำสันติสุขมาสู่โลกมนุษย์เป็นเวลายาวนาน "
( ซ.6 ค.24 )


วรรค ที่น่าสนใจในโคลงบทนี้ ได้แก่วรรคที่มีคำว่ากษัตริย์ ที่จะนำสันติสุขมาสู่โลกมนุษย์ หลายฝ่ายตีความกันว่า นอสตราดามุสกำลังพูดถึงวันที่โลกชำระบาปแล้ว หลังจากกลียุคอันเกิดจากสงคราม ภัยพิบัติอันเกิดจากธรรมชาติ หรือโรคระบาด โลกจะปรากฎผู้นำใหม่ที่มาในมิติที่อยู่เหนือธรรมชาติ อาจจะเป็นพระศรีอาริยเมตไตรย พระมาซิอา พระมะห์ดี หรือพระยาธรรมิกราช ที่เสด็จมาโปรดสัตว์ตามพุทธทำนาย ตามคำทำนายในพระคัมภีร์ไบเบิล หรือตามพระวัจนะในพระคัมภีร์กุรอ่านก็ได้

ตาม การคำนวนทางโหราศาสตร์ โดยอาศัยหลักของดาราศาสตร์ ดาวอังคารจะเล็งลัคน์กับดาวพฤหัสหลังปี ค.ศ.1999 เป็นครั้งแรกในวันที่ 21 มิถุนายน ค.ศ.2002 (พ.ศ.2545) เพราะฉะนั้นเหตุการปาฎิหาริย์ที่จะทำให้ชาวโลกตะลึง น่าจะเกิดขึ้นในกำหนดเวลาดังนี้

ระหว่างเดือนกันยายน - ตุลาคม ค.ศ.2004 ( พ.ศ.2547 )
ระหว่างเดือนธันวาคม ค.ศ.2006 ( พ.ศ.2549 )
ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ.2009 (พ.ศ.2552 )
ระหว่างเดือนเมษายน- พฤษภาคม ค.ศ.2011 ( พ.ศ.2554 )


วัน เวลาดังกล่าวที่บันทึกไว้ข้างต้นนี้ น่าจะเป็นการคำนวนเวลาของวาระแห่งการสิ้นยุค ของสังคมมนุษย์โลกจากหลักฐานต่างๆ เท่าที่จะเสาะหามาได้

" บรรยากาศ ท้องฟ้า แผ่นดินโลกจะมืดลง และถูกบดบังจนมืดครึ้ม แม้แต่คนไม่เชื่อศาสนา ยังพร่ำเรียกหาพระผู้เป็นเจ้ากับนักบุญ.... "
( ซ.9 ค.83 )

คำ ทำนายของนอสตราดามุสข้างต้นนี้ คล้องจองกับพุทธทำนายที่บอกว่า ท้องฟ้าจะมืดเจ็ดวันเจ็ดคืน ครุฑจะบินกลับถิ่นสถาพร คนจรจะกลับกรุง ฟูกจะมีหนาม ผีป่าจะเข้าบ้าน ผีบ้านจะเข้าไพร....และในพระคัมภีร์ไบเบิลกับพระคัมภีร์อัลกุรอ่าน ทำนายว่าพระอาทิตย์จะมืดลง ดวงจันทร์จะหยุดส่องแสง ดวงดาวบนท้องฟ้าจะร่วงหล่น...ช่างเป็นภาพที่น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่งเลยที เดียว...
..

( คัดลอกมาจาก หนังสือนอสตราดามุส ฉบับเพิ่มเติมเกี่ยวกับศรัทธาใหม่ เขียนโดยศาสตราจารย์เจริญ วรรธนะสิน )
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

pakorn

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 65
  • Respect: +1
    • ดูรายละเอียด
Re: พระศรีอาริยเมตตรัย พระพุทธเจ้าองค์ต่อไป
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: ธันวาคม 15, 2009, 10:20:48 pm »
0
 :angel: :angel: :angel:
นั่งอ่านแล้ว ก็เหมือนที่ผมกำลัง คิดเพราะผมไปงานวิทยาศาสตร์ ทางจิตก็อึ้งไปกับ ศาสดา ศรีอริยะไมตรี
และอีกหลายท่านที่ำทำทาง เหมือนเป็นพระศรีอาริยเมตไตร กัน ที่นี้เป็นหรือไม่เป็นไม่ใช้ผมจะไปอิจฉา หรือปวดกบาลหรอกครับ แต่เกี่ยวกับพระพุทธพจน์ของพระพุทธองค์ที่เรานับถืออยู่นั้น พระศรีอารย์นั้นเป็นพระพุทธเจ้าองค์ต่อไป แต่ไม่ควรจะมีเยอะใช่ไหมครับ อยากนี้เข้าข่ายหลอกลวง

ผมอ่านตั้งแต่มาจนจบแล้ว ตอนนี้ก็มีพรรคพวกของผมกำลัง แห่กันแยกไปตามพระศรีิอารย์ กันคนละทางมีการ
รับธรรม รับแสง แล้วบรรลุ อู้หู อะไรจะขนาดนั้น

 :'( :'( :'( :'( :'( :'( :'(
บันทึกการเข้า

ธรรมะ ปุจฉา

  • http://www.facebook.com/srikanet?ref=tn_tnmn
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +2/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 713
  • ปัญญสโก ภิกขุ (พระที) ..... คณะ ๓/๓ วัดพลับ
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: พระศรีอาริยเมตตรัย พระพุทธเจ้าองค์ต่อไป
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: ตุลาคม 20, 2010, 04:37:56 pm »
0
สาธุ  :25:
บันทึกการเข้า
ยาดี มิได้ทำให้คนหายไข้   คนหายไข้ เพราะได้กินยาดี
ธรรมะ มิได้ทำให้คนดี       คนดีได้  เพราะปฏิบัติธรรม

ธรรมะ ปุจฉา

  • http://www.facebook.com/srikanet?ref=tn_tnmn
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +2/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 713
  • ปัญญสโก ภิกขุ (พระที) ..... คณะ ๓/๓ วัดพลับ
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: พระศรีอาริยเมตตรัย พระพุทธเจ้าองค์ต่อไป
« ตอบกลับ #9 เมื่อ: ตุลาคม 21, 2010, 12:56:07 am »
0
 :25:
บันทึกการเข้า
ยาดี มิได้ทำให้คนหายไข้   คนหายไข้ เพราะได้กินยาดี
ธรรมะ มิได้ทำให้คนดี       คนดีได้  เพราะปฏิบัติธรรม

apisit

  • บุคคลทั่วไป
Re: พระศรีอาริยเมตตรัย พระพุทธเจ้าองค์ต่อไป
« ตอบกลับ #10 เมื่อ: ตุลาคม 21, 2010, 02:45:33 pm »
0
พระศรีอริยะเมตตรัย จากปรีชาหยั่งรู้จากญาณของพระอริยะบุคคล


1. พระราชพรหมยาน(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) ในหนังสือประวัติและการสร้างพระศรีอาริยเมตไตรย(พระราชพรหมยาน)


“…..เมื่อศาสนาพระตถาคตครบ 5,000 ปีแล้ว ฝูงสัตว์ก็มีอายุถอยลงคงอยู่ 10 ปีเป็นอายุขัย ครั้ง
นั้นแล…….จะบังเกิดมหาภัยเป็นอันมาก มี “สัตถันตรกัป” คือเป็นกัปที่มนุษย์ทั้งหลาย จะวุ่นวายเป็นโกลาหล เกิดรบพุ่งฆ่าฟันซึ่งกันและกัน จะจับไม้และใบหญ้า ก็กลายกลับเป็นหอกดาบแหลนหลาว อาวุธน้อยใหญ่ไล่ทิ่มแทงกัน ฝูงมนุษย์ทั้งหลายที่มีปัญญา ก็หนีไปซุกว่อนตัวอยู่ในซอกห้วยหุบเขา จะเหลืออยู่ก็แต่มนุษย์ที่มีปัญญา นอกกว่านั้นแล้ว ก็ถึงซึ่งความพินาศฉิบหายเป็นอันมาก

*** ข้อความที่ขีดเส้นใต้ แทบไม่ต้องตีความ หลังจากปีพศ. 5000 อายุของมนุษย์จะลดลงมาเหลือ 10 ปี ยุคนั้นจะเป็นกลียุค


2.  หลวงปู่บุดดาสนธนากับหลวงปู่สิม


หลวงปู่สิม มีเทปนี้มา คือว่าเปิ้นขึ้นไปเทศน์ให้ฟังนั้น ไปในนามคนทรง สองครั้งแล้วท่านขึ้นไปเทศน์ให้ฟัง ในถ้าผาปล่องน่ะ เปิ้นมีเมตตาอย่างใดบ่ฮู้ กัสสปน่ะ มารู้ข่าวว่าท่านยังไม่ทันเข้านิพพาน

หลวงปู่บุดดา ยัง

หลวงปู่สิม แน่ะ หลวงปู่ยังฮู้นี่ บ่เข้านิพพานไปอยู่ไหนล่ะ ในเมื่อท่านเข้า
นิพพานไปแล้ว ท่านเคยมาหาหลวงปู่ บ่

หลวงปู่บุดดา ท่านคอยพระศรีอารย์อยู่ คอยพระศรีอารย์เวลาเทศน์จบ
แล้ว จะเป็นภาพทำศพอีก ๘ หมื่นปี นั่นแหละ

หลวงปู่สิม นึกว่าได้นิพพานแล้ว ไปนิพพานเลยแม่นแล้ว ฟังข่าวหลวงปู่ ยังไม่
ทันไปนิพพาน ยังคอยพระศรีอารย์อยู่

หลวงปู่บุดดา ยังคอยเจ้าภาพศพ มีเวลามาเทศน์ ๘ หมื่นปี เสร็จแล้วจึงจะมา
เผาศพธรรมพระกัสสปเถระ

ในท่อนสุดท้ายของการสนธนา

“ ........ องค์แรก คือ "พระมหากัสสปะ" ที่คุณละอู กล่าวถึง สรีระท่านอยู่ที่เขาสามภู ทางตอนใต้ของ
ประเทศอินเดีย พระท่านบอกว่า พระอินทร์ท่านดูแลร่างนี้อยู่ครับ ได้จุดธูปเทียนบูชาไว้ตั้งแต่
สมัยพุทธกาล ตอนนี้ก็ไหม้ไปได้ครึ่งหนึ่งแล้ว
เมื่อครบห้าพันปี ธูปเทียนก็จะไหม้หมดพอดีครับ องค์นี้
รอพระศรีอาริย์มาเผา ในวันสุดท้ายก่อนที่พระศรีอาริย์จะเข้าพระนิพพานครับ


*** คำเทศน์ของหลวงพ่อทั้ง 2 ผมตีความดังนี้ พระศรีอาริย์จะมาเกิดหลังจากปีพศ .5100 พระองค์มีเวลาเทศน์สอนเผยว่าศาสนาพุทธใหม่ของพระองค์ 80,000 ปี ค่อยปรินิพพาน


3. สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี


จากหนังสือ โอวาทสมเด็จโต สำนักปู่สวรรค์ เล่ม 1 เรื่อง กำเนิดโลกมนุษย์( โอวาทสมเด็จโต ) สมเด็จ
พระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี เทศน์เทศน์ไว้เมื่อวันวิสาขบูชา23 พฤษภาคม 2510 เวลา 24.00น.


ตอนที่เกี่ยวกับศรีอริยเมตไตรย มีดังนี้

“……เปลี่ยนแปลงกันเรื่อยๆ จนถึงองค์สมณโคดม และองค์ต่อไปองค์ศรีอริยเมตไตรยจะมาเกิดใหม่ใน
๕๐๐๐ ปี ในอนาคตข้างหน้า
เวลานี้อยู่สวรรค์ชั้น 4 และเคยจุติมาในโลกมนุษย์มาแล้วครั้งหนึ่งในสมัย
องค์สัมมาสัมพุทธเจ้าด้วย คือ องค์สังกัจจายน์กาลเวลานั้น……

องค์ศรีอริยเมตไตรยจะมาเกิดใหม่ใน ๕๐๐๐ ปี ในอนาคตข้างหน้า

*** ท่อนนี้ผมตีความดังนี้ ปีที่หลวงพ่อโตเทศน์คือปีพศ. 2510 เมื่อหลวงพ่อเทศน์ว่า องค์ศรีอริยเมตไตรยจะมาเกิดใหม่ใน ๕๐๐๐ ปี ในอนาคตข้างหน้า ก็คือ พระศรีอารย์จะบรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ในปีพศ.ประมาณ 7250 หรือเกินกว่านั้น


จากพระอริยะ 3 ท่าน สรุปได้ว่า


1. พระศรีอริยเมตไตรยพุทธเจ้า จะทรงอุบัติขึ้นต่อจากพระพุทธเจ้าโคตมะ หลังจากพระพุทธศาสนามีอายุครบ 5,000 ปีแล้ว อธรรมจะครองเมือง ศีลธรรมจะถูกบดบัง อายุของผู้คนจะลดน้อยลงตามลำดับ จากปัจจุบันมีอายุประมาณ 100 ปี จะค่อยลดลงเรื่อยๆ จนกระทั่งอายุมนุษย์ลดลงเหลือ 10 ปี ซึ่งถือเป็นกลียุคที่สุด มนุษย์ผู้ชายผู้หญิงจึงจำเป็นต้องสืบพันธ์กันในช่วงนั้น ก่อนที่ตนเองจะตาย

2. พระศรีอารย์ จะบรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ในปีพศ.ประมาณ 7250 หรือเกินกว่านั้น

3. พระศรีอาริย์ จะมีเวลาเทศน์สอนเผยแพร่ศาสนาพุทธใหม่ของพระองค์ 80,000 ปี ค่อยปรินิพพาน
บันทึกการเข้า