ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: สมาธิชาวบ้าน : โลกุตรธรรม..จิตที่มีบุญ ปราศจากการปรุงแต่ง  (อ่าน 3802 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29297
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


สมาธิชาวบ้าน : โลกุตรธรรม..จิตที่มีบุญ ปราศจากการปรุงแต่ง

    ธรรมขั้นโลกุตรธรรมเป็นการปฏิบัติสมาธิถึงขั้นที่ไม่มีภาษาอันเป็นสมมติบัญญัติโลกเป็นถ้อยคำต่างๆ แต่จิตรู้ด้วยอาการ ซึ่งไม่ต้องมีเป็นภาษาพูดอธิบาย แต่จิตรู้ด้วยอาการของจิต หากฝึกมาดีแล้ว เมื่อพ้นโลกไป จิตจะยังตั้งมั่นอยู่ ยังรู้อยู่ ถึงแม้ไม่มีภาษาพูด เรียกว่าโลกุตรภูมิ จิตของผู้นั้นจะรู้ว่าเคยถูกครอบงำด้วยความคิดของเรา เกิดเป็นตัวเป็นตน ก็เพราะความคิดนี้ไปปรุงไปแต่งให้เราเกิดเป็นตัวเป็นตน สิ่งต่างๆ นี้อยู่ภายใต้อำนาจของความคิดกับการปรุงแต่งของจิตทั้งสิ้น

พอจิตรู้อาการอย่างนี้แล้วจะออกจากมิติความคิดความฝันได้อย่างไรนั้น ก็ด้วยปัญญาพระนิพพานนี้แหละ จิตที่เห็นอย่างนี้แล้ว จะดูแต่สิ่งที่เกิดในความฝันนี้ ดูแล้วรู้ว่าจิตอ่อนไหวเข้าไปยึด ไปปรุงเมื่อไหร่ มันก็ไปเกิดเป็นเรื่องเป็นราวขึ้น เมื่อฝึกจิตมันเกิดปัญญาขึ้นมันก็ปรุงน้อยลง ยึดน้อยลง ไม่ยึดมั่นถือมั่น ไม่ปรุง ไม่แต่ง ทำบ่อยๆ บ่อยๆ เหมือนทำแบบฝึกหัดเยอะขึ้นๆ จะสามารถปล่อยความยึดมั่นถือมั่นลงไปได้เรื่อยๆ ไม่ว่าแบบฝึกหัดจะซับซ้อนแบบไหน มีการปรุงแต่งแรงขนาดไหน จิตที่ถึงพระนิพพานแล้วจะสามารถถอนความยึดมั่นถือมั่นได้ทุกครั้งๆ ไป


 :25: :25: :25: :25: :25:

จิตที่ฝึกมาดีแล้ว พอมาอยู่ในโลกปกติ ต้องเผชิญหน้ากับกิเลสตัณหาอุปาทาน ความอยากมี อยากได้ อยากเป็น ทุกอย่างบนโลก เมื่อเราฝึกจิตพิจารณาเห็นความจริง ไม่หลงเข้าไปยึดติด เพราะจิตที่รู้แล้ว เข้าใจแล้ว ฝึกอบรมจิตสม่ำเสมอ ไม่ให้หลงโลกเข้าไปคิดว่านี้เป็นของเราจริง คิดว่านั้นจริง ถ้าเราฝึกจิตอบรมอยู่เสมอๆ นี้ จิตรู้เท่าทันว่าสิ่งปรุงแต่งเหล่านั้นเป็นมายาความฝัน ถ้าหลงไปยึดมั่นถือมั่นเมื่อไหร่ อัตตาก็เกิด ทำให้สร้างภพสร้างชาติตามอำนาจความคิดมัน แต่ถ้าอบรมจิตเป็นประจำ จิตที่ถูกอบรมแล้วย่อมไม่หลง  อำนาจโลก ก็ดึงไปซ้ายไปขวาไม่ได้ กระทั่งอย่างหยาบอย่างละเอียดก็ดึงมันไปไม่ได้ อำนาจโลกที่ดูให้ใจมันพองโต มันคิดว่าเป็นสุขต่างๆ เหล่านี้มันก็ยับยั้งไว้ในเขตจำกัด ไม่ลุกลามไปให้เกิดความยึดมั่นถือมั่นถึงอัตตาหรือความเป็นตัวตน ให้เป็นเพียงความพอใจ เช่น กายได้ความเย็นก็พอใจแค่ตรงนั้นไม่ลุกลามไปถึงเป็นเจ้าของกาย

จิตที่พิจารณาอยู่ตลอดเช่นนี้ จะไม่พาไปสู่ความทุกข์ เหมือนกับเรารู้ความจริงแล้วพอเรากลับเข้าไปในมิติของความฝันนี้ ความจริงส่วนหนึ่งที่จิตรู้แล้วยังคงตั้งมั่นอยู่ พิจารณาสิ่งต่างๆ ในความฝันนั้นยังเท่าทันอยู่ ถึงแม้ว่าฝันนั้นจะเป็นช่วงที่มีความสุข ความสบาย ความร่ำรวย จิตนั้นมันก็เตือนอยู่ว่าตอนนี้มันเป็นช่วงฝันดีอยู่ ไม่เข้าไปยึดมั่นถือมั่น ไม่เข้าไปยึดไปครอง เพียงดูอยู่ห่างๆ เฉยๆ อาจจะสนุกไปกับความฝันบ้าง แต่ไม่ลืมธาตุแท้ของจิต รู้แล้วเห็นแล้วก็เพียงพอแค่นั้น


 st12 st12 st12 st12 st12

ให้พิจารณาเหมือนเรากำลังดูภาพยนตร์ ตอนนี้กำลังสนุก กำลังมีความสุข ก็รู้แต่ไม่ไปยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นจริง ทุกอย่างบนโลกมันมาคู่กัน เกิด-ตายก็มาด้วยกัน รัก-เกลียดมาด้วยกัน มีได้มา-สูญเสียก็มาด้วยกัน ทุกอย่างมาเป็นคู่หมด อะไรที่มีความรักมาก หวงมาก สิ่งนั้นก็มีความทุกข์เท่ากับสิ่งที่รัก รักมากก็ทุกข์มากเท่ากัน รักน้อยก็ทุกข์น้อย ไม่รักเลย วางๆ กลางๆ ก็ทุกข์ วางๆ กลางๆ เท่ากันเสมอ ไม่มีว่ารักมากแล้วทุกข์น้อย อะไรที่รักมาก ถ้ามันพลัดพรากหรือว่าต้องจากไป หรือว่าต้องสูญเสียไปย่อมมีความทุกข์หนักเท่าที่รักนั่นแหละ เพราะฉะนั้นแล้วทุกอย่างจิตไปปรุงแบบไหนไว้ มีแรงสะท้อนเท่ากันเสมอ

ดังนั้นแล้วต้องให้ฝึกจิตตนเองไว้ ฝึกให้เราคลายอำนาจโลก ความทุกข์ก็น้อยลง ให้เข้าใจว่าทุกอย่างมันก็เป็นช่วงของความคิด มีความสุขความทุกข์ไป เราปฏิบัติแล้วก็คอยอบรมจิต คนโง่ที่เรารู้ธรรมเห็นธรรมแล้ว ยังคอยปล่อยโอกาสสำคัญชีวิตไป นั่นก็ตามแต่บุญกรรมเขา บางทีเขามีบุญมาแค่นั้น ธรรมะก็ไม่สามารถเข้าไปในจิตใจได้ เพราะว่ามีบุญมาแค่นั้น เกิดมาเสียชาติเกิด สมบัติโลกเป็นแค่นี้ไม่นานก็หมดเวลา แต่ธรรมะที่เป็นของแท้ของจริงที่จะยังคงอยู่เสมอ และป้องกันดวงวิญญาณนี้เมื่อพ้นโลกไปกับสู้อำนาจกิเลสได้ เสมือนอย่างอำนาจเงิน คนรู้จักก็ยอมไปศิโรราบให้อำนาจเงิน ส่วนกุศลกรรมบุญต่างๆ มองไม่เห็น บอกว่าเข้ายังไม่ถึง คนก็ไปยอมอำนาจสมมติบัญญัติโลก บัญญัติขึ้นมาว่าเอากระดาษไปพิมพ์เป็นเงิน แล้วเชื่อกันว่ามีค่า ยอมเป็นยอมตายให้เงิน สมมติร่วมกัน แย่งกัน แต่บุญนั้นมันมีค่าจริง ไม่ใช่สิ่งสมมติ เป็นของจริง อยู่ในจิตวิญญาณของเรา ติดตามไปทุกแห่ง.


ที่มา http://www.thaipost.net/tabloid/180115/101771
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

nongyao

  • ศิษย์ตรง
  • มีเหตุมีผล
  • *****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 380
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
บันทึกการเข้า
กราบนอบน้อมพระพุทธเจ้าอันเป็นอดีต อนาคต แลปัจจุบัน ด้วยเศียรเกล้า
                 พุทธัง  ธัมมัง  สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
                       
                         ข้าพเจ้าจักขอทำเหตุที่ดี

PRAMOTE(aaaa)

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 3598
  • ความศรัทธาคือเชื่อเรื่องการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ขออนุโมทนาสาธุ
บันทึกการเข้า
การมีกัลยาณมิตร ครูบาอาจารย์ ที่สั่งสอนธรรม เป็นเรื่องที่ดี
..เชื่อเรื่องการตรัสรู้ธรรม ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
...และเชื่อในพระธรรมที่เป็นตัวแทนของพระศาสดา

PRAMOTE(aaaa)

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 3598
  • ความศรัทธาคือเชื่อเรื่องการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0

   ความเห็นทั้งหลาย เกี่ยวกับพระธรรม
บันทึกการเข้า
การมีกัลยาณมิตร ครูบาอาจารย์ ที่สั่งสอนธรรม เป็นเรื่องที่ดี
..เชื่อเรื่องการตรัสรู้ธรรม ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
...และเชื่อในพระธรรมที่เป็นตัวแทนของพระศาสดา