ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: โภชาชานียชาดก-ชาดกว่าด้วยความเพียรอันยิ่งใหญ่  (อ่าน 2464 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

นิรตา ป้อมนาวิน

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +20/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 1212
  • อย่างน้อยชาตินี้ขอปิดอบายภูมิ
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์

โภชาชานียชาดก-ชาดกว่าด้วยความเพียรอันยิ่งใหญ่

พุทธกาลครั้งนั้น ณ เชตวันมหาวิหารในนครสาวัตถี สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงมีพระเมตตาธิคุณต่อพระภิกษุรูปหนึ่งซึ่งกำลังเบื่อหน่ายคลายความเพียรลง ทรงอนุเคราะห์ด้วยพุทธวาจาว่า
 “ดูก่อนภิกษุ บัณฑิตในกาลก่อนนั้นได้ทำความเพียรที่ไม่น่าจะทำได้ แม้ได้รับบาดเจ็บสาหัสเพียงใด ก็มิได้ละความเพียร” แล้วพระพุทธองค์ก็ทรงระลึกชาติด้วย บุพเพนิวาสนุสติญาณด้วยชาดกขึ้นเรื่องหนึ่ง โภชาชานียชาดก ความเพียรอันยิ่งใหญ่
 โภชาชานียะสินธพ ม้ามงคลแห่งนครพาราณสีได้กระทำความเพียรอันยิ่งใหญ่ แม้ได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัสแต่ก็ไม่ละความเพียร พระเจ้าพรหมทัตผู้ปกครองนครพาราณสี แผ่นดินอันกว้างใหญ่สมบูรณ์มั่งคั่ง ยากยิ่งจะหาเมืองใดเปรียบ
นอกจากปราสาทพระราชมณเฑียรอันยิ่งใหญ่แล้ว อาชาสง่างาม นาม “โภชาชานียะ” ก็ถือเป็นสมบัติล้ำค่าที่เจ้าเมืองอื่น ๆ ต้องการหวังครอบครอง โภชาชานียะ ม้าในตระกูลสินธพซึ่งบังเกิดจากพระโพธิสัตว์มีพละกำลังเลิศกว่าม้าทั้งปวง
  วิ่งเร็วดุจสายฟ้า หากแม่ทัพผู้ใดได้ควบก็สามารถรบชนะได้ทั้งสิบทิศ พละกำลังความสามารถของโภชาชานียะเป็นที่ร่ำลือไปทั่วสารทิศ วันเวลาล่วงเลยผ่านไป พระเจ้าพรหมทัตจากเจ้าเมืองหนุ่มสง่างามก็ร่วงเข้าวัยชรา
 แม่ทัพนายกองคู่พระทัยก็ล้วนแก่เฒ่าลงเช่นกัน เป็นโอกาสให้เจ้านครทั้ง 7_เมืองในชมพูทวีปร่วมมือกันนำทหารเข้าล้อมหวังยึดนครพาราณสี และอาชาโภชาชานียะทรัพย์สมบัติที่มีค่ามหาศาล
 “เจ้าเมืองทั้ง 7 มีหนังสือแจ้งมาว่า ท่านจะยอมสละราชบัลลังก์แต่โดยดีหรือจะสละด้วยน้ำตา ฮ่าๆๆๆๆ” “เฮ้ย ไอ้ทูตคนนี้ มันกล้าพูดกับพระราชาของเราถึงเพียงนี้เชียวหรือ อวดดีมากไปแล้ว” “หนอย มาคนเดียวยังกล้า” “เสียบมันข้างหลังเลยมั้ยพี่”
  “ได้ข่าวว่าท่านมียอด อาชาไม่ใช่หรือ? แน่จริงก็ควบออกไปรบเลยซิ อยากจะเห็นนัก ว่าแน่สักแค่ไหน” “ข้าไม่ยอมให้ใครมารังแกง่าย ๆ หรอก แล้วพวกท่านจะได้เจอดีเหมือนกัน”
 หลังจากที่ทูตกลับไป พระเจ้าพรหมทัตทรงเรียกประชุมอำมาตย์ราชมนตรีทั้งหมด “หากปล่อยให้ เจ้าเมืองทั้ง 7_นำทหารมาบุกยึดชาวบ้านต้องบาดเจ็บล้มตายเป็นอันมากแน่ ๆ พวกท่านว่าควรจะทำอย่างไรดี?” “ข้าแต่สมมติเทพ ข้าพระบาทจะขอสละตัวเองทำลายกองพลทั้ง....ก่อนที่พวกมันจะเข้ามาบุกยึดเมืองเราเองพะย่ะค่ะ”
 “ทำเพียงคนเดียวจะรับศึกใหญ่ครั้งนี้ได้รึ?” “ข้าแต่สมมติเทพ ถ้าข้าพระบาทได้ม้าโภชาชานียะแล้วไซร้ พระราชาทั้ง 7 พระองค์ก็มิเกินความสามารถของข้าพระบาทได้หรอกพะย่ะค่ะ” “ถ้าท่านมั่นใจเช่นนั้น ม้าสินธพโภชาชานียะหรือม้าอื่นก็เอาเถิด ชีวิตเราและพาราณสีอยู่กับท่านแล้ว ขอให้มีชัยกลับมาเถิด”
 นายทหารม้านั้น รับพระดำรัสแล้วก็ถวายบังคมพระราชาลงจากปราสาท นำม้าสินธพโภชาชานียะมา แล้วก็ผูกสอดเกราะทุกอย่าง เหน็บพระขันธ์ขึ้นหลังม้าออกจากพระนครไป ประดุจฟ้าแลบ นายทหารม้านำทหารเข้าโจมตีข้าศึกทัพแรกอย่างรวดเร็วและรุนแรงดุจธนูยักษ์
 “เอ้า! บุกเข้าไปพวกเรา จับตัวเจ้าเมืองให้ได้” “เฮ้ย! เจ้าม้า เอ็งมาวิ่งแซงข้าได้ไงว่ะ เอ็งต้องให้ข้านั่งควบไปซิโว้ย” “รอด้วย ม้าข้ามันวิ่งช้า” แค่ชั่วพริบตาเดียว ม้าสินธพโภชาชานียะและนายทหารม้าผู้กล้าหาญ ก็สามารถทะลวงเข้ามากลางค่ายข้าศึกกองทัพแรกได้ และจับเจ้าเมืองมาได้อย่างง่ายดาย
 “ข้าพระบาท จับตัวเจ้าเมืองกองทัพแรกมาให้แล้วพระเจ้าค่ะ” “เก่งมาก... ขอให้เจ้าโชคดี ได้รับชัยชนะปราบอีก 6 กองทัพให้ได้” เมื่อจับราชาองค์ที่หนึ่งได้และนำเข้าสู่พระนครแล้ว นายทหารม้าและอาชาโภชาชานียะก็บุกตะลุยตีค่ายอื่นๆ ต่อไป จนจับพระราชาได้ถึง 5 พระนคร
 “โอ้ย! มันเก่งจริงๆ เลยว่ะ ไม่น่าเลยเรา ปล่อยเราไปเถอะ เราโดนมันบังคับมา” “ทีตอนนี้มาทำโอดครวญ อยู่ในคุกไปเถอะพวกเจ้า ไปเถอะเจ้าโภชาชานียะ เราไปทำลายกองทัพที่ 6 กันต่อ” นายทหารม้าควบอาชาโภชาชานียะ ต่อสู้กับกองทัพที่ 6 อย่างสุดกำลัง จนสามารถจับตัวพระราชามาได้
  แต่อนิจจาการทำศึกกับกองทัพที่ 6 นี้ อาชาโภชาชานียะเสียหลักได้รับบาดเจ็บสาหัส “โธ่เว้ย! เหลืออีกเพียงค่ายเดียวเท่านั้นเอง เฮ้อ! ในเมื่อเจ้าบาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนี้ก็พักเถอะ เราจะควบม้าตัวอื่นไปแทนก็ได้
 “โอ้โฮ! โดนเยอะเหมือนกันนะเนี่ย มีตั้งหลายแผลแน่ะ” “หือ! เลือดเต็มเลยอ่ะ น่ากลัว...” “เจ้าเนี่ย เป็นทหารเสียเปล่า ใจเสาะจริง ๆ เหอะ ไปดีกว่า เห็นแล้วจะเป็นลม” “เพื่อนเอ๋ย นอกจากเราแล้วไม่มีม้าตัวไหนที่จะพาเจ้าไปทำลายค่ายที่ 7 ของศัตรูได้หรอก”
 ถึงแม้อาชาโภชาชานียะจะบาดเจ็บสาหัสเพียงใด แต่ก็ยังมีความเพียรไม่หวาดหวั่นต่อความเจ็บปวด เนื่องด้วยรู้ว่ามีเพียงตนเองเท่านั้นที่จะพานายทหารผู้กล้าออกรบจนชนะได้ “หากว่าเรายอมแพ้ต่อการเจ็บปวดเสียตั้งแต่ตอนนี้ ทัพเราก็คงต้องพ่ายแพ้
 พระเจ้าพรหมทัตก็จะเป็นอันตราย เราจะไม่ยอมแพ้ เราจะเพียรพยายามต่อสู้จนชนะข้าศึกทั้งหมดให้ได้ ไปเถอะนักรบผู้กล้า ไปทำลายค่ายที่ 7_ด้วยกัน” อาชาโภชาชานียะ ทนต่ออาการบาดเจ็บ ฮึดสู้จนจับพระราชาได้ เมื่อมาถึงทวารหลวงก็สิ้นแรงล้มลง
  “โอ้! ไม่ข้าแต่มหาราช พระองค์อย่าทรงฆ่าพระราชาทั้ง 7 เลย จงให้กระทำสาบานแล้วปล่อยไป แม้พระองค์ก็จงทรงบำเพ็ญทาน รักษาศีล ทรงครองราชย์สมบัติโดยธรรมเถิด” ด้วยพระบารมีแห่งพระโพธิสัตว์ คำสั่งเสียในสำนึกของอาชาโภชาชานียะ ก็รู้แจ้งในพระทัยของราชาพรหมทัตทุกประการ
 เมื่อสั่งเสียเสร็จอาชาโภชาชานีย ก็จากโลกไปอย่างสงบสุข พระเจ้าพรหมทัตโปรดให้ทำพิธีส่งม้าสินธพโภชาชานียะ อย่างสมเกียรติ และได้ประทานยศใหญ่แก่นายทหารม้าและทรงทำตามคำสั่งเสียของอาชาโภชาชานียะ ครองราชย์โดยทศพิธราชธรรมตลอดพระชนม์ชีพ

 
“ดูก่อนนายสารถี ม้าสินธพอาชาไนยถูกศรแทงแล้ว
แม้นอนตะแคงอยู่ข้างเดียวก็ยังประเสริฐกว่าม้าสามัญ
ท่านจงประกอบการรบให้สำเร็จเถิด”
 
พระเจ้าพรหมทัต ต่อมาเป็น พระอานนท์
แม่ทัพม้า ต่อมาเป็น พระสารีบุตร
ม้าโภชาชานีย คือ อดีตชาติหนึ่งของพระพุทธเจ้า
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ