พระสูตร เป็นข้อปฏิบัติแบบเอาจริง เอาจัง เลยนะ สำหรับคนที่ทำงานอยู่ก็จักไม่ได้ตามนั้น
แม้พระสงฆ์ ที่ปฏิบัติกิจวัตรอยู่ตามนั้นก็ยังทำตามไม่ได้
ต้องเป็นพระภิกษุ ที่ปลีกวิเวก จากหมู่คณะ เท่านั้น ที่จะสามารถทำได้อย่างนี้
ดังนั้นในครั้งพุทธกาล เมื่อภิกษุทั้งหลาย เรียนหลักธรรมและกรรมฐาน อันสมควรแก่ฐานะ แล้ว ก็จะพากัน
กราบลา อุปัชฌาย์ อาจารย์ เพื่อปลีกวิเวก ในป่า ที่โคนไม้ เรือนว่าง ป่าช้า ป่าชัฏ เป็นต้น เพื่ออาศัยวิเวก
ความสงบ ความเงียบ ความสงัด แม้ผู้ปฏิบัติได้แล้ว ย่อมไม่มีผล
แต่ สัปปายะเช่นนี้ กับมีความสบายแก่ ผู้ปรารถนาจากวิราคะ และ มีกรรมฐาน เบื้องต้นที่ได้แล้ว
หากยังปฏิบัติ กรรมฐานในเบื้องต้น ยังไม่ได้ การปลีกวิเวกนั้น จักทำให้ฟุ้งซ่านได้
ความฟุ้งซ่าน นี้สำคัญมาก เพราะหากจิตฟุ้งซ่านมาก ๆ แล้วย่อมทำให้ เป็นบ้า วิกลจริตได้
เมื่อครั้งอาตมา เดินทางไปสวนโมกขพลาราม ในครั้งนั้นได้มีพระขอไปด้วย 1 รูป ท่านก็ไปอยู่ที่นั่นได้ 3 เดือน
ท่านก็ว่าตัวท่านปฏิบัติ ได้สำเร็จแล้ว ท่านเดินแก้ผ้า ไปทั่ว จนเขาต้องจับท่านส่งโรงพยาบาล บ้า อันนี้ที่เล่าให้ฟัง
เป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะพระอาจารย์ก็เคยผ่านสภาวะเช่นนั้นมาแล้วเหมือนกัน ความเงียบย่อมเป็นอุปสรรค
กับบุคคลผู้มีจิตยังไม่ตั้งมั่น แต่พระอาจารย์ ใช้การเดินให้เหนื่อย เพลียหลับ อย่างนี้ แต่ก็บอกตรง ๆ ว่าการเดิน
จาริก 9 เดือน ไม่ได้ดับกิเลสได้จริง เพียงแต่ ข่มกิเลส ไว้ได้ชั่วคราวเท่านั้น ซึ่งตอนนั้นพลาดเรื่องการฝึกจิต
ให้เป็นสมาธิ เน้นแต่วิปัสสนามากเกินไปทำให้ จิต ไม่มีความแข็งแกร่ง วันนี้ย้อนหลังไปเมื่อ 6 ปีที่แล้ว
พระอาจารย์ จึงเข้าใจ และ ปฏิบัติในพระกรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ โดยการฝึกจิตให้เป็นสมาธิ แล้ว เจริญ
วิปัสสนา จึงทำให้เกิดความเ้ข้าใจ ต้องลองทำ ถึงจะรู้ พูดให้ฟัง ก็คงเข้าใจอยาก เพราะสมมุติบัญญัติ ไม่สามารถ
อธิบาย ปรมัตถ์สัจจะ ได้ครบ
เอาเป็น ว่า สั่งสม สมาธิให้มากไว้ จะดีกว่า สั่งสมปัญญา ฝ่ายเดียว
ทีนี้ จิต จะเป็น สมาธิ ได้ ก็มาจาก ศีล เป็นผู้สนับสนุน ด้วย
พิจารณา ให้ดีแล้ว ศีล ไปสู่ สมาธิ สมาธิ ไปสู่ ปัญญา ทั้งสามสิ่ง ขาดกันไม่ได้
ในการจางคลายจาก กิเลส
