สิ่งแรกในพระพุทธศาสนา (3)
3.อุบาสกอุบาสิกาคู่แรกคราวนี้มาถึงสิ่งแรกประการที่ 3 ในพระพุทธศาสนา
ถ้าถามว่า ใครเป็นอุบาสกอุบาสิกาคู่แรก.?
คำตอบมีสองอย่างคือ อุบาสกอุบาสิกาคู่แรกที่ถึงรัตนะสอง คือพระพุทธ และพระธรรม คือวาณิช สองพี่น้องชื่อ ตุปสสะ กับ ภัลลิกะ ส่วนคู่แรกที่ถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะคือบิดา-มารดาของยสกุมาร
ตปุสสะ ภัลลิกะ เป็นใคร.?
คัมภีร์พระพุทธศาสนาเรียกชื่อว่าตปัสสุและภัลลิยะ ก็มีอรรถกถาเถรคาถาบอกว่า ทั้งสองเป็นพี่น้องกัน เป็นบุตรชายของหัวหน้ากองเกวียนชื่อโปกขรวตี ทั้งสองมาจากอุกกลชนบท (ไม่ทราบที่ไหน นัยว่าอยู่ตอนเหนือแห่งชมพูทวีปแถวๆ ตักสิลา ประมาณนั้น)
ทั้งสองเดินทางมายังเมืองราชคฤห์ พบพระพุทธเจ้าหลังตรัสรู้ใหม่ๆ ขณะประทับอยู่ใต้นราชายตนะ (ต้นเกด) จึงน้อมถวายข้าวสัตตุผงและสัตตุก้อน (บาลีเรียกว่า มันถะ และมธุปิณฑิกะ)
@@@@@@
ตปุสสะ และ ภัลลิกะ ได้เปล่งวาจาถึงรัตนะทั้งสอง (พระพุทธและพระธรรม) เป็นสรณะเรียกว่า “ทฺวาจิกอุบาสก” เนื่องจากขณะนั้นยังไม่มีพระสงฆ์ สดับพระธรรมเทศนาของพระพุทธองค์แล้ว กราบทูลลากลับยังมาตุภูมิ
ข้อความตรงนี้นักปราชญ์พม่าเขียนเพิ่มเติมว่า วาณิชสองพี่น้องเป็นชาวหงสาวดี เดินทางจากพม่าไปพบพระพุทธองค์ ได้ถวายสัตตุผงและสัตตุก้อน แล้วเปล่งวาจาถึงรัตนะทั้งสองเป็นที่พึ่งดังกล่าวแล้ว
ก่อนจากได้กราบทูลขอสิ่งที่ระลึกจากพระพุทธองค์ พระพุทธองค์ทรงเอาพระหัตถ์ลูบพระเศียร พระเกศาหลุดติดพระหัตถ์มา 8 เส้น แล้วประทานให้พ่อค้าทั้งสอง เขาทั้งสองกลับถึงมาตุภูมิ ได้ก่อสร้างพระเจดีย์บรรจุพระเกศาธาตุทั้ง 8 องค์ไว้บูชา พระเจดีย์นั้นคือชะเวดากอง ว่ากันอย่างนั้น
นับเป็นการกล่าวอ้างที่เข้าที ส่วนเท็จจริงอย่างไร ฟังๆ ไว้ก็ไม่เสียหลาย
อรรถกถาอีกเช่นกันบอกว่า ต่อมาสองพี่น้องได้กลับไปเฝ้าพระพุทธเจ้าใหม่ ได้ฟังธรรมแล้วตปุสสะบรรลุโสดาปัตติผล ส่วนภัลลิกะได้ทูลขอบวช และได้บรรลุพระอรหัตในเวลาต่อมา
อุบาสกอุบาสิกาคู่ที่สองที่ถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะคือ บิดามารดาของยสกุมาร ชาวเมืองพาราณสี มีเรื่องเล่าว่า หลังจากพระพุทธองค์เสด็จมาแสดงธรรมโปรดปัญจวัคคีย์ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน และประทานการอุปสมบทให้ทั้งห้าท่านเป็นภิกษุแล้ว พระพุทธองค์ยังประทับอยู่ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน
คืนหนึ่งยสกุมาร บุตรชายของเศรษฐีชาวเมืองพาราณสี เกิดเบื่อหน่ายในฆราวาสวิสัยหนีออกจากบ้านกลางดึก ขณะนางรำทั้งหลายหลับใหลกันหมด ยิ่งเห็นภาพอันไม่น่าดูของนางรำทั้งหลายยิ่งทำให้เด็กหนุ่มบังเกิดความเบื่อหน่ายสะอิดสะเอียนยิ่งนัก
ถึงกับเดินพลางเปล่งอุทานด้วยความสลดใจว่า
“อุปทฺทูติ วตโภ อุปสฏฺฐํ วต โภ = วุ่นวายจริงหนอ ขัดข้องจริงหนอ”
แปลเป็นไทยๆ ให้สมกับอารมณ์เอือมสุดขีดว่า “กลุ้มจริงโว้ย” ประมาณนั้น
เดินไปบ่นไปจนถึงป่าอิสิปตนมฤคทายวันไม่รู้ตัว ขณะนั้นจวนสว่าง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตื่นบรรทม เสด็จจงกรมอยู่ ได้ยินดังนั้นตรัสว่า “อิทํ อนุปทฺทูตํ อิทํ อนุ ปสฏฺฐํ = ที่นี่ไม่วุ่นวาย ที่นี่ไม่ขัดข้อง”
@@@@@@
เด็กหนุ่มตื่นจากภวังค์ เข้าไปกราบแทบยุคลบาท สดับพระธรรมเทศนา จบพระธรรมเทศนาได้บรรลุโสดาปัตติผล ทูลขอบวช พระองค์ก็ประทานการอุปสมบทให้
รุ่งเช้า บิดา-มารดายสกุมาร -ตามหาบุตรที่หายไป มาพบพระพุทธองค์ได้สดับพระธรรมเทศนา มีความเลื่อมใสได้เปล่งวาจาถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะตลอดชีวิต นับว่าสองสามี-ภรรยาเป็นอุบาสกอุบาสิกาคู่แรกที่ถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะ
อรรถกถาได้ให้ความรู้แก่เราว่า มารดาของยสกุมารนั้นก็คือ นางสุชาดา ที่ถวายข้าวมธุปายาสแด่พระพุทธองค์ก่อนตรัสรู้นั้นแล นางได้บนเทพต้นไทรไว้ก่อนแต่งงาน เมื่อแต่งงานก็ได้ตามสามีไปอยู่ที่เมืองพาราณสี ตอนพบพระพุทธองค์นั้นนางได้กลับไปบ้านเกิดเพื่อแก้บนที่บนไว้กับเทพต้นไทรข้างบ้านดังกล่าว
ที่มา : มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 26 เมษายน - 2 พฤษภาคม 2562
คอลัมน์ : เสฐียรพงษ์ วรรณปก
ผู้เขียน : เสฐียรพงษ์ วรรณปก
เผยแพร่ : วันเสาร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ.2562
ขอบคุณ :
https://www.matichonweekly.com/column/article_190153