เรื่องทั่วไป > ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน)

เรื่องของปลากปิละ ผู้มีอดีตเป็นผู้กล่าวแต่ พระธรรมอย่างเดียว ไม่ปฏิบัติ

(1/1)

นาตยา:
เสนอเนื้อหาไว้สองแบบคะ แบบพระสูตร กับ แบบเนื้อเรื่อง ชอบแบบไหน อ่านแบบนั้นนะคะ
 :93: :93: :93:

๑. เรื่องปลาชื่อกปิละ [๒๔๐]
               
ข้อความเบื้องต้น


   พระศาสดา  เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน   ทรงปรารภปลาชื่อกปิละ
ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " มนุชสฺส "  เป็นต้น.
               
สองพี่น้องออกบวช

   ได้ยินว่า  ในอดีตกาล  ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนาม
ว่ากัสสป   ปรินิพพานแล้ว    กุลบุตรสองคนพี่น้องออกบวชในสำนักแห่ง
พระสาวกทั้งหลาย.
   บรรดากุลบุตรสองคนนั้น    คนพี่ได้ชื่อว่าโสธนะ,  คนน้องชื่อกปิละ.
ส่วนมารดาของคนทั้งสองนั้น    ชื่อว่าสาธนี,    น้องสาวชื่อตาปนา.    แม้
หญิงทั้งสองนั้น     ก็บวชแล้วใน  ( สำนัก ) ภิกษุณี.    เมื่อคนเหล่านั้นบวช
แล้วอย่างนั้น      พี่น้องทั้งสองทำวัตรและปฏิวัตรแก่พระอาจรรย์และพระ-
อุปัชฌายะอยู่    วันหนึ่ง    ถามว่า  " ท่านขอรับ   ธุระในพระศาสนานี้มี
เท่าไร ?"    ได้ยินว่า    " ธุระมี ๒ อย่าง    คือ  คันถธุระ  ๑   วิปัสสนา-
ธุระ  ๑,"   ภิกษุผู้เป็นพี่คิดว่า  " เราจักบำเพ็ญวิปัสสนาธุระ"  อยู่ในสำนัก
แห่งพระอาจารย์และพระอุปัชฌาย์  ๕ พรรษาแล้ว     เรียนกัมมัฏฐานจน
ถึงพระอรหัต   เข้าไปสู่ป่าพยายามอยู่   ก็บรรลุพระอรหัตผล.
           
น้องชายเมาในคันถธุระ

   ภิกษุน้องชายคิดว่า      " เรายังหนุ่มก่อน,    ในเวลาแก่จึงจักบำเพ็ญ

   

หน้าที่ 271

วิปัสสนาธุระ "   จึงเริ่มตั้งคันถธุระ   เรียนพระไตรปิฎก.   บริวารเป็นอัน   
มากได้เกิดขึ้น   เพราะอาศัยปริยัติของเธอ,   ลาภก็ได้เกิดขึ้น   เพราะอาศัย
บริวาร.   เธอเมาแล้วด้วยความเมาในความเป็นผู้สดับมาก  อันความทะยาน
อยากในลาภครอบงำแล้ว    เพราะเป็นผู้สำคัญตัวว่าฉลาดยิ่ง   ย่อมกล่าวแม้
สิ่งที่เป็นกัปปิยะ   อันคนเหล่าอื่นกล่าวแล้วว่า   " เป็นอกัปปิยะ,"    กล่าว
แม้สิ่งที่เป็นอกัปปิยะว่า     " เป็นกัปปิยะ,"    กล่าวแม้สิ่งที่มีโทษว่า  " ไม่มี
โทษ,"  กล่าวแม้สิ่งไม่มีโทษว่า " มีโทษ."   เธอแม้อันภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก
ทั้งหลายกล่าวว่า  " คุณกปิละ    คุณอย่าได้กล่าวอย่างนี้ "    แล้ว      แสดง
ธรรมและวินัยกล่าวสอนอยู่   ก็กล่าวว่า " พวกท่านจะรู้อะไร ?  พวกท่าน
เช่นกับกำมือเปล่า"  เป็นต้นแล้ว   ก็เที่ยวขู่ตวาดภิกษุทั้งหลายอยู่.
           
น้องชายไม่เชื่อพี่

   ครั้งนั้น  ภิกษุทั้งหลายบอกเนื้อความนั้นแม้แก่พระโสธนเถระผู้เป็น
พี่ชายของเธอแล้ว.     แม้พระโสธนะเถระเข้าไปหาเธอแล้ว     ตักเตือนว่า
" คุณกปิละ       ก็การปฏิบัติชอบของภิกษุทั้งหลายผู้เช่นเธอชื่อว่าเป็นอายุ
พระศาสนา;     เพราะฉะนั้น  เธออย่าได้ละการปฏิบัติชอบแล้ว      กล่าว
คัดค้านสิ่งที่เป็นกัปปิยะเป็นต้นอย่างนั้นเลย."      เธอมิได้เอื้อเฟื้อถ้อยคำแม้
ของท่าน.   แม้เมื่อเป็นเช่นนี้    พระเถระก็ตักเตือนเธอ ๒ - ๓ ครั้ง  ทราบ
เธอผู้ไม่รับคำตักเตือนว่า    " ภิกษุนี้ไม่ทำตามคำของเรา"     จึงกล่าวว่า
" คุณ  ถ้าดังนั้น  เธอจักปรากฏด้วยกรรมของตน   ดังนี้แล้ว  หลีกไป.
          
น้องชายเสียคนเพราะถูกทอดทิ้ง

   จำเดิมแต่นั้น   ภิกษุทั้งหลายผู้มีศีลเป็นที่รัก   แม้เหล่าอื่น  ทอดทิ้ง

   

หน้าที่ 272

เธอแล้ว.     เธอเป็นผู้มีความประพฤติชั่ว     อันพวกผู้มีความประพฤติชั่ว 
แวดล้อมอยู่   วันหนึ่ง   คิดว่า  " เราจักสวดปาติโมกข์ "   จึงถือพัดไปนั่ง
บนธรรมาสน์ในโรงอุโบสถแล้ว   ถามว่า   " ผู้มีอายุ  ปาติโมกข์ย่อมเป็นไป
เพื่อภิกษุทั้งหลายผู้ประชุมกันแล้วในที่นี้หรือ ?"   เห็นภิกษุทั้งหลายนิ่งเสีย
ด้วยคิดว่า  " ประโยชน์อะไร    ด้วยคำโต้ตอบที่เราให้แก่ภิกษุ ?"    จึง
กล่าวว่า    " ผู้มีอายุ    ธรรมก็ดี    วินัยก็ดี    ไม่มี,    ประโยชน์อะไรด้วย
ปาติโมกข์   ที่พวกท่านจะฟังหรือไม่ฟัง"  ดังนี้แล้ว    ก็ลุกไปจากอาสนะ.
เธอยังศาสนาคือปริยัติของพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่ากัสสปให้
เสื่อมลงแล้วด้วยอาการอย่างนี้.    แม้พระโสธนเถระก็ปรินิพพานในวันนั้น
เอง.
   ในกาลสิ้นอายุ   ภิกษุกปิละเกิดในอเวจีมหานรก.   มารดาและน้อง-
สาวของเธอแม้นั้น    ถึงทิฏฐานุคติของเธอนั่นแล   ด่าบริภาษภิกษุทั้งหลาย
ผู้มีศีลเป็นที่รักแล้ว  ก็บังเกิดในอเวจีมหานรกนั้นเหมือนกัน.
           
โจรเกิดในเทวโลกด้วยอำนาจของศีล

   ก็ในกาลนั้น  บุรุษ  ๕๐๐ คนทำโจรกรรมมีการปล้นชาวบ้านเป็นต้น
เป็นอยู่ด้วยกิริยาของโจร   ถูกพวกมนุษย์ในชนบทตามจับแล้ว   หนีเข้าป่า
ไม่เห็นที่พึ่งอะไรในป่านั้น        เห็นภิกษุผู้อยู่ในป่าเป็นวัตรรูปใดรูปหนึ่ง
ไหว้แล้ว     กล่าวว่า  " ท่านผู้เจริญ    ขอท่านจงเป็นที่พึ่งของพวกข้าพเจ้า
เถิด."
   พระเถระกล่าวว่า   " ชื่อว่าที่พึ่งเช่นกับศีล  ย่อมไม่มีแก่ท่านทั้งหลาย,
พวกท่านแม้ทั้งหมดจงสมาทานศีล ๕  เถิด."
   โจรเหล่านั้นรับว่า   " ดีละ"   ดังนี้แล้ว   สมาทานศีลทั้งหลาย.

   

หน้าที่ 273

        ลำดับนั้น   พระเถระตักเตือนโจรเหล่านั้นว่า   " บัดนี้    พวกท่าน 
เป็นผู้มีศีล;     พวกท่านไม่ควรล่วงศีลแม้เพราะเหตุแห่งชีวิตเลย;     ความ
ประทุษร้ายทางใจ  ก็ไม่ควรทำ."   โจรเหล่านั้นรับว่า  " ดีละ "  แล้ว.
   ครั้งนั้น   ชาวชนบทเหล่านั้น (มา) ถึงที่นั้นแล้ว    ค้นหาข้างโน้น
ข้างนี้    พบโจรเหล่านั้นแล้ว    ก็ช่วยกันปลงชีวิตเสียทั้งหมด.    พวกโจร
เหล่านั้นทำกาละแล้ว     ก็บังเกิดในเทวโลก.    หัวหน้าโจรได้เป็นหัวหน้า
เทพบุตร.
           
เทพบุตรถือปฏิสนธิในตระกูลชาวประมง
 
   เทพบุตรเหล่านั้น  ท่องเที่ยวไปในเทวโลกสิ้นพุทธันดรหนึ่ง   ด้วย
อำนาจอนุโลมและปฏิโลม      ในพุทธุปบาทกาลนี้     บังเกิดแล้วในบ้าน
ชาวประมง ๕๐๐ ตระกูล   ใกล้ประตูพระนครสาวัตถี.   หัวหน้าเทพบุตร
ถือปฏิสนธิในเรือนของหัวหน้าชาวประมง,    พวกเทพบุตรนอกนี้    ถือ
ปฏิสนธิในเรือนชาวประมงนอกนี้.    การถือปฏิสนธิและการออกจากท้อง
มารดาแห่งชนเหล่านั้น  ได้มีแล้วในวันเดียวกันทั้งนั้น  ด้วยประการฉะนี้.
   หัวหน้าชาวประมงให้คนเที่ยวแสวงหาว่า  " พวกทารกแม้เหล่าอื่น
ในบ้านนี้   เกิดแล้วในวันนี้มีอยู่บ้างไหม ?"  ได้ยินความที่ทารกเหล่านั้น
เกิดแล้ว   จึงสั่งให้ ๆ ทรัพย์ค่าเลี้ยงดูแก่ชาวประมงเหล่านั้น     ด้วยตั้งใจว่า
" พวกทารกนั้น    จักเป็นสหายของบุตรเรา."    ทารกเหล่านั้นแม้ทุกคน
เป็นสหายเล่นฝุ่นร่วมกัน      ได้เป็นผู้เจริญวัยโดยลำดับแล้ว     บรรดาเด็ก
เหล่านั้น  บุตรของหัวหน้าชาวประมงได้เป็นผู้เยี่ยมโดยยศและอำนาจ.
              
กปิละเกิดเป็นปลาใหญ่

   แม้ภิกษุกปิละ     ไหม้ในนรกสิ้นพุทธันดรหนึ่งแล้ว      ในกาลนั้น

   

หน้าที่ 274

บังเกิดเป็นปลาใหญ่ในแม่น้ำอจิรวดี  มีสีเหมือนทองคำ  มีปากเหม็น  ด้วย 
เศษแห่งวิบาก.
   ต่อมาวันหนึ่ง   สหายเหล่านั้นปรึกษากันว่า   " เราจักจับปลา "   จึง
ถือเอาเครื่องจับสัตว์น้ำมีแหเป็นต้น     ทอดไปในแม่น้ำ.   ทีนั้นปลานั้นได้
เข้าไปสู่ภายในแหของคนเหล่านั้น.   ชาวบ้านประมงทั้งหมด   เห็นปลานั้น
แล้ว     ได้ส่งเสียงเอ็ดอึงว่า  " ลูกของพวกเราเมื่อจับปลาครั้งแรก     จับได้
ปลาทองแล้ว,   คราวนี้    พระราชาจักพระราชทานทรัพย์แก่เราเพียงพอ."
สหายแม้เหล่านั้นแล   เอาปลาใส่เรือ   ยกเรือขึ้นแล้วก็ไปสู่พระราชสำนัก.
   แม้เมื่อพระราชาทอดพระเนตรเห็นปลานั้น  ตรัสว่า     " นั่นอะไร ? "
พวกเขาได้กราบทูลว่า    " ปลา  พระเจ้าข้า."   พระราชาทอดพระเนตรเห็น
ปลามีสีเหมือนทองคำ  ทรงดำริว่า   " พระศาสดาจักทรงทราบเหตุที่ปลานั่น
เป็นทองคำ"  ดังนี้แล้ว  รับสั่งให้คนถือปลา  ได้เสด็จไปสู่สำนักพระผู้มี-
พระภาคเจ้า.   เมื่อปากอันปลาพออ้าเท่านั้น  พระเชตวันทั้งสิ้น  ได้มีกลิ่น
เหม็นเหลือเกิน.
   พระราชาทูลถามพระศาสดาว่า  " พระเจ้าข้า   เพราะเหตุไร   ปลา
จึงมีสีเหมือนทองคำ ?   และเพราะเหตุไร    กลิ่นเหม็นจึงฟุ้งออกจากปาก
ของมัน ? "
   พระศาสดา.  มหาบพิตร  ปลานี้ได้เป็นภิกษุชื่อกปิละ   เป็นพหูสูต
มีบริวารมาก   ในธรรมวินัยของพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่ากัสสป,
ถูกความทะยานอยากในลาภครอบงำแล้ว     ด่าบริภาษพวกภิกษุผู้ไม่ถือคำ
ของตน   ยังพระศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่ากัสสป  ให้
เสื่อมลงแล้ว .     เขาบังเกิดในอเวจีด้วยกรรมนนั้นแล้ว      บัดนี้เกิดเป็นปลา

   

หน้าที่ 275

ด้วยเศษแห่งวิบาก;   ก็เพราะเธอบอกพระพุทธวจนะ   กล่าวสรรเสริญคุณ 
พระพุทธเจ้าสิ้นกาลนาน,   จึงได้อัตภาพมีสีเหมือนทองคำนี้    ด้วยผลแห่ง
กรรมนั้น.    เธอได้เป็นผู้บริภาษภิกษุทั้งหลาย    กลิ่นเหม็นจึงฟุ้งออกจาก
ปากของเธอ  ด้วยผลแห่งกรรมนั้น;  มหาบพิตร  อาตมภาพจะให้ปลานั้น
พูด.
   พระราชา.  ให้พูดเถิด  พระเจ้าข้า.
   ลำดับนั้น    พระศาสดาตรัสถามปลาว่า  " เจ้าชื่อกปิละหรือ  ? "
   ปลา.  พระเจ้าข้า   ข้าพระองค์ชื่อกปิละ.
   พระศาสดา.  เจ้ามาจากที่ไหน ?
   ปลา.   มาจากอเวจีมหานรก  พระเจ้าข้า.
   พระศาสดา.  พระโสธนะพี่ชายใหญ่ของเจ้าไปไหน ?
   ปลา.  ปรินิพพานแล้ว   พระเจ้าข้า.
   พระศาสดา.   ก็นางสาธนีมารดาของเจ้าเล่าไปไหน ?
   ปลา.  เกิดในนรก  พระเจ้าข้า.
   พระศาสดา.  นางตาปนาน้องสาวของเจ้าไปไหน ?
   ปลา.  เกิดในมหานรก   พระเจ้าข้า.
   พระศาสดา.  บัดนี้เจ้าจักไปที่ไหน ?
   ปลาชื่อกปิละกราบทูลว่า  " จักไปสู่อเวจีมหานรกดังเดิม พระเจ้าข้า "
ดังนี้แล้ว   อันความเดือดร้อนครอบงำแล้ว   เอาศีรษะฟาดเรือ    ทำกาละ
ในทันทีนั่นเอง   เกิดในนรกแล้ว.   มหาชนได้สลดใจมีโลมชาติชูชันแล้ว.
             พระศาสดาตรัสกปิลสูตร   
   ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรวจดูวาระจิตของบริษัทผู้ประชุม

   

หน้าที่ 276

กันในขณะนั้น       เพื่อจะทรงแสดงธรรมให้สมควรแก่ขณะนั้น  จึงตรัส 
กปิลสูตรในสุตตนิบาต๑ว่า     " นักปราชญ์ทั้งหลาย    ได้กล่าวการประพฤติ
ธรรม ๑   การประพฤติพรหมจรรย์ ๑   นั่น   ว่าเป็นแก้วอันสูงสุด"   ดังนี้
เป็นต้นแล้ว  ได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า:-
          ๑.   มนุชสฺส  ปมตฺตจาริโน             
         ตณฺห  วฑฺฒติ  มาลุวา  วิย
         โส  ปลวตี  หุราหุรํ
         ผลมิจฺฉํว  วนสฺมึ  วานโร.
   ยํ  เอสา  สหตี  ชมฺมี                  ตณฺหา  โลเก   วิสตฺติกา
   โสกา  ตสฺส  ปวฑฺฒนฺติ             อภิวฑฺฒํว  พีรณํ.
   โย    เจ  ตํ    สหตี   ชมฺมึ             ตณฺหํ  โลเก  ทุรจฺจยํ
   โสกา  ตมฺหา  ปปตนฺติ                อุทพินฺทุว  โปกฺขรา.
   ตํ   โว   วทามิ  ภทฺทํ   โว             ยาวนฺเตตฺถ  สมาคตา
   ตณฺหาย   มูลํ    ขณถ                    อุสีรตฺโถว   พีรณํ.
   มา   โว   นฬํ  ว  โสโตว              มาโร   ภญฺชิ   ปุนปฺปุนํ.
      " ตัณหา   ดุจเถาย่านทราย  ย่อมเจริญแก่คนผู้มี
   ปกติประพฤติประมาท.   เขาย่อมเร่ร่อนไปสู่ภพน้อย
   ใหญ่   ดังวานรปรารถนาผลไม้เร่ร่อนไปในป่าฉะนั้น.
   ตัณหานี้เป็นธรรมชาติลามก  มักแผ่ซ่านไปในอารมณ์
   ต่าง ๆ ในโลก    ย่อมครอบงำบุคคลใด   ความโศก
   ทั้งหลายย่อมเจริญแก่บุคคลนั้น,  ดุจหญ้าคมบางอัน
๑.  ขุ.  สุ. ๒๕/ ข้อ ๓๒๑.  ธรรมจริยสูตร.

นาตยา:
ประวัติพระยโสชเถระ

บุรพกรรมในสมัยพระวิปัสสีพุทธเจ้า

แม้ท่านพระยโสชเถระนี้ มีบุญญาธิการที่ได้ทำไว้แล้วในพระพุทธเจ้าองค์ก่อน ๆ เมื่อสั่งสมบุญทั้งหลายในภพนั้น ๆ มาในกาลของ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าวิปัสสี ได้เกิดในตระกูลของผู้เฝ้าสวน ครั้นเติบใหญ่แล้ว วันหนึ่ง ได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า พระนามว่า วิปัสสี กำลังเสด็จมาทางอากาศ มีใจเลื่อมใส ได้ถวายผลขนุนสำมะลอ แด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น.

บุรพกรรมในสมัยพระกัสสปพุทธเจ้า

ได้ยินว่า ในอดีตกาล ศาสนาของพระกัสสปทศพล มีภิกษุอยู่ป่ารูปหนึ่ง อยู่ในกุฏิมุงด้วยใบไม้ สร้างไว้ในศิลาดาดในป่า ก็สมัยนั้นโจร ๕๐๐ กระทำการปล้นชาวบ้านเป็นต้น เลี้ยงชีพแบบโจรกรรม กระทำโจรกรรม ถูกพวกมนุษย์ในชนบทพากันติดตาม หนีเข้าป่าไป ไม่เห็นอะไรๆ ในที่นั้น ไม่ว่าจะเป็นรกชัฏหรือที่พึ่งอาศัย เห็นภิกษุนั้น นั่งอยู่บนแผ่นหินในที่ไม่ไกล จึงไหว้แล้วบอกเรื่องนั้น อ้อนวอนว่า ขอท่านจงเป็นที่พึ่งแก่พวกกระผมเถิดขอรับ พระเถระกล่าวว่าที่พึ่งอื่นเช่นกับศีลของพวกท่านไม่มี จงสมาทานศีล ๕ กันทั้งหมดเถิด โจรเหล่านั้นรับคำของท่านแล้ว สมาทานศีล พระเถระกล่าวว่า ท่านตั้งอยู่ในศีลแล้ว ท่านแม้ถึงชีวิตของตนจะพินาศไป ก็อย่าเกรี้ยวกราดด้วยการเบียดเบียน ดังนี้แล้ว จึงบอกวิธีอุปมาด้วยเลื่อย โจรเหล่านั้นรับว่า ดีละ ลำดับนั้น ชาวชนบทเหล่านั้นไปยังที่นั้น ค้นดูข้างโน้นข้างนี้ พบพวกโจรเหล่านั้น ก็ปลงชีวิตเสียทั้งหมด โจรเหล่านั้น ไม่ได้ทำแม้มาตรว่า ความแค้นเคืองใจในชนเหล่านั้น มิได้ขาดศีล ตายไปบังเกิดในเทวโลก ชั้นกามาวจร โจรเหล่านั้นผู้เป็นหัวหน้า ได้เป็นเทพบุตรหัวหน้า ฝ่ายโจรนอกนั้น ได้เป็นบริวารของเทพบุตรผู้หัวหน้านั้นเอง เทวบุตรเหล่า นั้น ท่องเที่ยวไปๆ มาๆ สิ้นพุทธันดรหนึ่งในเทวโลก

กำเนิดเป็นยโสชมาณพในสมัยพระสมณโคดมพุทธเจ้า

ในกาลแห่งพระพุทธเจ้าของเราทั้งหลาย เทพบุตรผู้เป็นหัวหน้าได้ถือปฏิสนธิในท้องแห่งภรรยาของชาวประมง ผู้เป็นหัวหน้าสกุล ๕๐๐ สกุล ในหมู่บ้านชาวประมงซึ่งมีอยู่ที่ประตูเมืองสาวัตถี เทพบุตรพวกนี้ได้ถือปฏิสนธิในครรภ์ของภรรยาของชาวประมงอื่นในหมู่บ้านนั้น เด็กเหล่านั้นได้ถือปฏิสนธิและออกจากครรภ์ในวันเดียวกันกับบุตรของหัวหน้าชาวประมงนั้นเอง

ต่อมา หัวหน้าชาวประมงคิดอยู่ว่า ในหมู่บ้านนี้มีทารกคนอื่นซึ่งเกิดในวันเดียวกับบุตรเรานี้มีอยู่หรือไม่หนอ ครั้นเมื่อได้สอบถามดู และได้พบทารกเหล่านั้นแล้ว ก็คิดว่าเด็กเหล่านี้ จะเป็นเพื่อนเล่นของบุตรเรา แล้วจึงได้ให้เครื่องเลี้ยงดูแก่เด็กเหล่านั้นทุกคน เด็กเหล่านั้นทั้งหมดก็ได้เป็นสหายเล่นฝุ่นด้วยกันมา จนเจริญวัยโดยลำดับ เด็กผู้เป็นบุตรของหัวหน้าชาวประมงนั้นได้ชื่อว่าโสชะ และเป็นผู้เลิศกว่าเด็กเหล่านั้น

วันหนึ่งโสชะมาณพและพวกก็ได้ไปลงอวนที่แม่น้ำอจิรวดี เพื่อจะจับปลาพร้อมกับลูกชาวประมงที่เป็นเพื่อนของตน บรรดาปลาที่จับได้เหล่านั้น มีปลาใหญ่ตัวหนึ่งมีสีเหมือนทองเข้าติดอวน เรื่องในอดีตของปลาสีทองตัวนี้ปรากฏในกปิลสูตร ดังนี้

พระพุทธองค์ทรงแสดงกปิลสูตร

ในภัทรกัปนี้ในสมัยของพระผู้มีพระภาคสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า กัสสป ในสมัยคนทั้งหลายมีอายุ ๒๐,๐๐๐ ปี พระผู้มีพระภาคทรงดำรงพระชนมายุได้ ๑๖,๐๐๐ ปี แล้วก็เสด็จดับขันธปรินิพพาน เมื่อทรงปรินิพพานนั้นพระธาตุทั้งหลายของพระองค์นั้นไม่กระจัดกระจาย แต่ตั้งอยู่เป็นก้อนเดียวกัน ดุจก้อนทองคำฉะนั้น เพราะนั่นเป็นธรรมดาของพระพุทธเจ้าผู้ทรงมีพระชนมายุยืนทั้งหลาย ส่วนพระพุทธเจ้าผู้ทรงมีพระชนมายุน้อยทั้งหลาย เช่น พระผู้มีพระภาคเจ้าของพวกเรานั้น หมู่ชนจำนวนมากยังไม่ทันเห็น ก็เสด็จปรินิพพานก่อน เพราะฉะนั้น ท่านจึงทรงอธิษฐานว่า ขอพระธาตุทั้งหลายจงกระจัดกระจาย ด้วยทรงหมายอนุเคราะห์ว่า ชนทั้งหลายในที่ต่าง ๆ เมื่อได้ทำการบูชาพระธาตุแล้วก็จะประสบบุญ ด้วยเหตุนั้น พระธาตุทั้งหลายของพระพุทธเจ้า ผู้ทรงมีพระชนมายุน้อยเหล่านั้น จึงกระจัดกระจายไป ดุจเศษส่วนของทองคำ ฉะนั้น.

ในครั้งนั้น มหาชนก็ร่วมกันทำที่บรรจุพระธาตุของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นโดยให้สร้างพระเจดีย์ โดยส่วนสูงและโดยรอบ ๑ โยชน์ พระเจดีย์นั้น มีประตู ๔ แห่ง ห่างกันประตูละ ๑ คาวุต พระเจ้ากิงกิราช ทรงสร้าง ๑ ประตู พระราชโอรสของพระองค์พระนามว่า ปฐวินธร ทรง สร้าง ๑ ประตู อำมาตย์ผู้เป็นหัวหน้าของเสนาบดีทั้งหลายสร้าง ๑ ประตู ชาวพระนครที่เหลือมีเศรษฐีเป็นหัวหน้าสร้าง ๑ ประตู พระเจดีย์นั้นสร้างด้วยอิฐทองคำ ประดับด้วยรัตนะต่าง ๆ แต่ละก้อนมีราคาหนึ่งแสนกหาปณะ

เมื่อพระเจดีย์สร้างเสร็จอย่างนี้แล้ว กุลบุตร ๒ พี่น้องออกบวชในสำนักของพระสาวกผู้ใหญ่ทั้งหลาย ด้วยเหตุว่า ในสมัยของพระพุทธเจ้าผู้ทรงมีพระชนมายุยืนนั้น เฉพาะพระสาวกผู้ใหญ่ทั้งหลายเท่านั้น ที่สามารถให้บรรพชา ให้อุปสมบท ให้นิสัย ได้ ส่วนพระสาวกทั้งหลายนอกนี้ย่อมทำเช่นนั้นไม่ได้ กุลบุตร ๒ พี่น้องนั้นผู้พี่ชื่อว่า โสธนะ ผู้น้องชื่อว่า กปิละ ท่านทั้งสองมีมารดาชื่อ ว่า สาธนี มีน้องสาวชื่อว่า ตาปนา ทั้งมารดาและน้องสาวนั้นบวชในสำนักนางภิกษุณี เมื่อได้บวชแล้ว ภิกษุทั้งสองนั้น ก็เรียนถามพระเถระผู้ใหญ่ว่า ข้าแต่ท่านผู้ เจริญ ในพระศาสนามีธุระอยู่กี่อย่าง พระเถระกล่าวว่า ธุระในพระศาสนามี ๒ อย่าง คือ วาสธุระ ๑ ปริยัติธุระ ๑

ในธุระ ๒ อย่างนั้น กุลบุตรผู้บวชแล้ว อยู่ในสำนักของพระอาจารย์และพระอุปัชฌาย์สิ้น ๕ ปี บำเพ็ญข้อวัตรและ ปฏิบัติทำปาฏิโมกข์ และภาณวารและสูตร ๒๓ สูตร ให้คล่องแคล่ว เรียน กรรมฐานเข้าสู่ป่า โดยไม่มีความอาลัยในตระกูล หรือคณะ สืบต่อ พยายาม เพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระอรหัต นี้ชื่อว่า วาสธุระ

ส่วนกุลบุตรเล่าเรียน ๑ นิกาย ๒ นิกาย หรือ ๕ นิกาย ตามกำลังของตน พึงตามประกอบศาสนาให้บริสุทธิ์ดี โดยปริยัติ และโดยอรรถ นี้เรียกว่า ปริยัติธุระ.

ลำดับนั้น กุลบุตรเหล่านั้นกล่าวว่า บรรดาธุระ ๒ อย่าง วาสธุระ เท่านั้นประเสริฐ คิดว่า ก็พวกเรายังหนุ่ม จักบำเพ็ญวาสธุระในเวลาตนแก่ จักบำเพ็ญปริยัติธุระก่อน จึงปรารภปริยัติ ท่านทั้งสองโดยปกติเทียว เป็น คนมีปัญญา ต่อกาลไม่นานนัก ก็มีความรู้อันกระทำแล้วในพุทธพจน์ทั้งสิ้น และเป็นผู้ฉลาดในการวินิจฉัยในวินัยอย่างยิ่ง ท่านทั้งสองนั้นเพราะอาศัยปริยัติ จึงมีบริวารเกิดขึ้น เพราะอาศัยบริวารจึงมีลาภ แต่ละรูปมีภิกษุ ๕๐๐ เป็นบริวาร ท่านเหล่านั้นแสดงอยู่ซึ่งศาสนาของพระศาสดา เป็นเหมือนพุทธกาล อีก.

ในบรรดาพระภิกษุทั้งสองนั้น พระผู้พี่คิดว่า เราจะบำเพ็ญวาสธุระ (ธุระเป็นเครื่องอบรมตน) ดังนี้แล้วก็อยู่ใน สำนักของอุปัชฌาย์และอาจารย์ทั้งหลายเป็นเวลา ๕ ปี มีพรรษา ๕ ฟังกรรมฐานจนถึงอรหัตแล้วจึงเข้าไปสู่ป่า พยายามบำเพ็ญเพียรอยู่ ไม่นานก็ได้บรรลุพระอรหัต

ส่วนพระกปิละนั้นคิดว่า เรานั้นยังหนุ่มอยู่ ต่อเมื่อในเวลาแก่แล้วเราจึงจะบำเพ็ญแม้ วาสธุระดังนี้แล้ว ก็เริ่มคันถุระ ได้เป็นผู้ทรงพระไตรปิฎกแล้ว พระกปิละ นั้นเพราะอาศัยปริยัติ จึงมีบริวารเกิดขึ้น เพราะอาศัยบริวารจึงมีลาภ พระกปิละ นั้นเมาด้วยการเมาในการที่ตนเป็นพาหุสัจจะ สำคัญตนว่าเป็นบัณฑิต มีความสำคัญว่าตนรู้ แม้ในสิ่งที่ตนยังไม่รู้ กล่าวสิ่งที่เป็นกัปปิยะ แม้ในสิ่งที่ภิกษุเหล่าอื่นกล่าวแล้วว่าเป็นอกัปปิยะ แม้สิ่งที่เป็นอกัปปิยะ ก็กล่าวว่าเป็นกัปปิยะ แม้สิ่งที่มีโทษ ก็กล่าวว่าไม่มีโทษ แม้สิ่งที่ไม่มีโทษ ก็กล่าวว่ามีโทษ

ต่อแต่นั้น พระกปิละนั้น เมื่อภิกษุทั้งหลายผู้มีศีลเป็นที่รัก กล่าวให้โอวาทอยู่ โดยนัยว่า ท่านกปิละ ท่านย่าได้พูดอย่างนี้ ดังนี้เป็นต้น ก็เที่ยวขู่ตะคอกภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นด้วยคำเช่นว่า พวกท่านเหมือนกับคนที่กำมือเปล่า จะรู้อะไร ดังนี้ เป็นต้น อย่างนั้นแล ภิกษุทั้งหลายได้บอกเรื่องนี้ แก่พระโสธนเถระผู้เป็นพี่ชายของท่าน พระโสธนเถระนั้นก็ได้เข้าไปหาพระกปิละนั้นแล้วพูดว่า คุณกปิละ การปฏิบัติชอบของภิกษุทั้งหลายเป็นสิ่งที่ทำให้พระศาสนาอายุยืนยาว ดูก่อน อาวุโส คุณอย่าได้พูดแม้สิ่งที่เป็นกัปปิยะ ฯลฯ สิ่งที่มีโทษว่าไม่มีโทษ แต่พระกปิละนั้นก็ไม่สนใจคำของพระโสธนเถระผู้เป็นพี่ชายเลย ลำดับนั้น พระ โสธนเถระเมื่อได้กล่าวเตือนพระกปิละขึ้น ๒ - ๓ ครั้ง เมื่อเห็นพระกปิละไม่เชื่อฟังเช่นนั้น ก็หยุดพูด แล้วจึงกล่าวว่า อาวุโส คุณก็จะประสบกรรมของคุณนั้นเอง ดังนี้แล้วก็หลีกไป ตั้งแต่นั้นมา ภิกษุทั้งหลายที่มีศีลเป็นที่รัก ก็ทอดทิ้งพระกปิละนั้นเสีย

พระกปิละนั้นเป็นผู้ประพฤติชั่ว มีภิกษุประพฤติชั่วแวดล้อมอยู่ วันหนึ่งคิดว่า เราจะลงอุโบสถ แล้วก็ขึ้นสู่อาสนะ พอนั่งลงก็พูดขึ้น ๓ ครั้งว่า อาวุโสทั้งหลาย ปาติโมกข์ย่อมควรแก่ภิกษุทั้งหลายในที่นี้หรือ ครั้งนั้น แม้ภิกษุรูปหนึ่งก็ไม่ได้พูดว่า ปาติโมกข์ย่อมควรแก่ข้าพเจ้า ทั้งก็ไม่ได้พูดว่าปาติโมกข์ย่อมควรแก่พระกปิละนั้น หรือควรแก่ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น ลำดับนั้นพระกปิละนั้นก็พูดว่า เมื่อปาติโมกข์พวกเราฟังก็ดี ไม่ฟังก็ดี ชื่อว่าวินัยไม่มีหรอก ดังนี้แล้วก็ลุกขึ้นจากอาสนะ พระกปิละนั้น ทำพระศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงพระนามว่ากัสสปะให้ เสื่อมถอย คือให้พินาศแล้ว ด้วยประการฉะนี้

ครั้งนั้น พระโสธนเถระก็ได้ปรินิพพานในวันนั้นนั่นเอง พระกปิละ แม้นั้นทำศาสนานั้นให้เสื่อมถอยลงไปอย่างนี้แล้ว เมื่อถึงแก่กรรม ก็บังเกิด ในอเวจีมหานรก มารดาและน้องสาวของท่านแม้นั้นถึงทิฏฐานุคติของพระ กปิละนั้นนั่นเอง ด่าบริภาษภิกษุทั้งหลายที่มีศีลเป็นที่รัก ทำกาละแล้วก็บังเกิด ในนรก

พระกปิละเกิดเป็นปลาสีทองแต่มีปากเหม็น

ภิกษุชื่อว่ากปิละเมื่อพ้นจากกรรมในนรกแล้ว ก็มาเกิดเป็นปลาในแม่น้ำอจิรยวดี มีสีร่างกายเหมือนเหมือนทอง แต่ปากเหม็น ด้วยเศษกรรมที่เหลือจากนรก วันที่ยโสชมาณพและเด็กชาวประมงเหล่านั้นจับปลาสีทองนั้นได้ และนำไปให้เล่าชาวประมงผู้เป็นบิดาของตนดู ชาวประมงทั้งหมดเห็นปลานั้นแล้ว ก็พากันพูดว่า บุตรของพวกเราออกจับปลาทั้งหลายเป็นครั้งแรกนั้นก็จับได้ปลาทอง ความเจริญจักมีแก่เด็ก ๆ เหล่านั้น และถ้าเรานำปลานี้ไปถวายพระราชาคงพระราชทานทรัพย์แก่เราทั้งหลาย

ดังนั้น ยโสชมาณพและสหายทั้ง ๕๐๐ คนเหล่านั้น ก็เอาปลาลงใส่ในเรือแล้วยกเรือขึ้นแล้วนำไปสู่พระราชวัง พระเจ้าปเสนทิโกศลทอดพระเนตรแล้วรับสั่งถามว่า นั่นอะไร ยโสชมาณพกราบทูลว่า ปลา พระเจ้าข้า พระราชาทอดพระเนตรเห็นปลาสีทองก็ทรงดำริว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าจักทรงทราบเหตุที่ปลานี้มีสีทอง ดังนี้แล้วจึงรับสั่งให้นำปลานั้นไปพร้อมกับพระองค์ เสด็จพระดำเนินไปเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคพร้อมกับยโสชมาณพและพวกสหายทั้ง ๕๐๐ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ครั้นถึงแล้วได้นำปลาไปถวายพระผู้มีพระภาค เมื่อเวลานำปลาลง ปลาก็อ้าปากขึ้น กลิ่นเหม็นอันร้ายกาจก็พลุ่งออกมาจากปากปลา พระเชตะวันก็คละคลุ้งด้วยกลิ่นเหม็นอย่างยิ่ง พระเจ้าปเสนทิโกศลจึงได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เพราะเหตุไร ปลาจึงเกิดเป็นปลามีสีทอง และ เพราะเหตุไร กลิ่นเหม็นจึงฟุ้งออกจากปากของปลานั้น พระพุทธเจ้าข้า

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า มหาบพิตร ปลานี้อดีตเคยเป็นภิกษุพหูสูต ผู้เรียนจบปริยัติ ชื่อว่า กปิละ ในพระศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่ากัสสปะ เป็นผู้ด่าบริภาษภิกษุทั้งหลายซึ่งไม่เชื่อถ้อยคำของตน เป็นผู้ทำศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าให้เสื่อมไป เพราะกรรมที่เธอทำพระศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นให้เสื่อมไป เธอจึงบังเกิดในอเวจีมหานรก และก็มาเกิดเป็นปลาในบัดนี้ ด้วยเศษแห่งวิบาก ด้วยผลแห่งกรรมที่เธอได้กล่าวพุทธพจน์ สรรเสริญพระพุทธเจ้าเป็นเวลานาน เธอจึงได้วรรณะเช่นนี้ และเพราะเหตุที่เธอได้ด่าบริภาษภิกษุทั้งหลาย กลิ่นเหม็นจึงฟุ้งออกจากปากของปลานั้น มหาบพิตร ตถาคตจะให้ปลานั้นพูด

พระเจ้าปเสนทิโกศลทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาค พระพุทธเจ้าข้า

ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสถามปลานั้นว่า เจ้าคือกปิละหรือ

ปลาตอบว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ถูกแล้วพระพุทธเจ้าข้า ข้าพระองค์ชื่อว่ากปิละ

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า เธอมาจากไหน

ปลาตอบว่า ข้าพระองค์มาจากอเวจีมหานรกพระเจ้าข้า

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า พระโธนะไปไหน

ปลาตอบว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระโธนะปรินิพพานแล้ว

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า นางสาธนีไปไหน

ปลาตอบว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า นางสาธนีเกิดในนรก

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถาม ว่า นางตาปนาไปไหน

ปลาทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า นางตาปนาเกิด ในมหานรก

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า บัดนี้เจ้าจักไปไหน ปลาตอบว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระองค์จักไปสู่มหานรก

ในทันใดนั่นเองปลานั้น ด้วยความเดือดร้อนใจในบาปของตนเข้ามาครอบงำ ปลานั้นจึงใช้ศีรษะฟาดเรือแล้วก็ตายไปเกิดในมหานรก มหาชนเกิดความสังเวช ขนลุกชูชัน ครั้งนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงพระธรรมเทศนาในบริษัท ซึ่งมีทั้งคฤหัสถ์และบรรพชิตที่มาพร้อมกัน

ยโสชมาณพ ออกบวช

ยโสชมาณพ ครั้นได้ฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดาแล้ว เกิดสังเวชสลดใจ เมื่อปรารถนาจะทำที่สุดทุกข์ จึงได้บวชในสำนักของพระศาสดา พร้อมด้วยสหายของตน พักอยู่ ณ ที่ ๆ สมควร บำเพ็ญสมณธรรมแต่ก็ยังไม่บรรลุมรรคผลอันใด

พระพุทธเจ้าไล่พระยโสชะและพวก

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล ภิกษุประมาณ ๕๐๐ รูปมีพระยโสชะเป็นประมุข เดินทางมาถึงพระนครสาวัตถีโดยลำดับ เพื่อจะเฝ้าพระผู้มีพระภาค ก็ภิกษุอาคันตุกะเหล่านั้นปราศรัยอยู่ กับภิกษุทั้งหลายผู้เป็นเจ้าถิ่นปูลาดเสนาสนะ เก็บบาตรและจีวรกันอยู่ ได้ส่งเสียงอื้ออึง

ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสถามท่านพระอานนท์ว่า ดูกรอานนท์ ใครนั่นมีเสียงอื้ออึงเหมือนชาวประมงแย่งปลากัน ท่านพระอานนท์กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุประมาณ ๕๐๐ รูป มีพระยโสชะเป็นประมุขเหล่านี้ เดินทางมาถึงพระนครสาวัตถีโดยลำดับ เพื่อจะเฝ้าพระผู้มีพระภาค ก็ภิกษุผู้อาคันตุกะเหล่านั้นปราศรัยอยู่กับภิกษุทั้งหลายผู้เป็นเจ้าถิ่น ปูลาดเสนาสนะ เก็บบาตรและจีวรกันอยู่ส่งเสียงอื้ออึง พระเจ้าข้า ฯ

พระผู้มีพระภาคทรงตรัสว่า ดูกรอานนท์ ถ้าเช่นนั้น เธอจงเรียกภิกษุเหล่านั้นมา ท่านพระอานนท์จึงได้เข้าไปหาภิกษุเหล่านั้นถึงที่อยู่ ครั้นแล้วได้กล่าวกะภิกษุเหล่านั้นว่าพระศาสดารับสั่งหาท่านทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นจึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วได้นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้าง หนึ่ง พระผู้มีพระภาคตรัสถามภิกษุเหล่านั้นว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุไรหนอ เธอทั้งหลาย จึงส่งเสียงอื้ออึงเหมือนชาวประมงแย่งปลากัน ฯ

เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสถามอย่างนี้แล้ว ท่านพระยโสชะได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุประมาณ ๕๐๐ รูปเหล่านี้เดินทางมาถึงพระนครสาวัตถี โดยลำดับ เพื่อจะเฝ้าพระผู้มีพระภาค ภิกษุผู้อาคันตุกะเหล่านี้ปราศรัยกับภิกษุทั้งหลายผู้เป็นเจ้าถิ่น ปูลาดเสนาสนะ เก็บบาตรและจีวรกันอยู่ส่งเสียงอื้ออึง พระเจ้าข้า ฯ

พระผู้มีพระภาคทรงตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงไป เราประณามเธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายไม่ควรอยู่ในสำนักของเรา ฯ

พระยโสชะและพวกบรรลุพระอรหัต

ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว ลุกจากอาสนะ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค กระทำประทักษิณแล้ว เก็บเสนาสนะ ถือบาตรและจีวรหลีกจาริกไปทางวัชชีชนบท เที่ยวจาริกไปในวัชชีชนบทโดยลำดับ ถึงแม่น้ำวัคคุมุทานที กระทำกุฎีมุงบังด้วยใบไม้ เข้าจำพรรษาอยู่ ใกล้ฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทานที ฯ

ครั้งนั้นแล ท่านพระยโสชะเข้าจำพรรษาแล้ว เรียกภิกษุทั้งหลายมาว่า ดูกร ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคทรงใคร่ประโยชน์ ทรงแสวงหาประโยชน์ ทรงอนุเคราะห์ ทรงอาศัยความอนุเคราะห์ ประณามเราทั้งหลาย

พระผู้มีพระภาคพึงทรงใคร่ประโยชน์แก่เราทั้งหลายผู้อยู่ด้วยประการใด ขอเราทั้งหลายจงสำเร็จการอยู่ด้วยประการนั้นเถิด ภิกษุเหล่านั้นรับคำท่านพระยโสชะแล้ว ครั้งนั้นแล ภิกษุเหล่านั้นหลีกออกจากหมู่ ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยวอยู่ ภิกษุ ๕๐๐ ทั้งหมดนั้นนั่นแล ได้กระทำให้ประจักษ์แก่ตน ซึ่งวิชชา ๓ เหล่านี้ คือ บุพเพนิวาสานุสติญาณ ๑ ทิพยจักขุญาณ ๑ อาสวักขยญาณ ๑ ภายในพรรษานั้นเอง ฯ

พระพุทธเจ้ามีรับสั่งให้พระยโสชะและพวกเข้าเฝ้า

ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ในพระนครสาวัตถีตามพระอัธยาศัยแล้ว เสด็จจาริกไปทางพระนครเวสาลี เสด็จเที่ยวจาริกไปโดยลำดับได้เสด็จถึงพระนครเวสาลี ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ กูฏาคารศาลาป่ามหาวัน ใกล้พระนครเวสาลีนั้น

ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงมนสิการกำหนดใจของภิกษุทั้งหลายผู้อยู่ที่ฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทานทีด้วยพระทัยของพระองค์ แล้วตรัสกะท่านพระอานนท์ว่า ดูกรอานนท์ ภิกษุทั้งหลายผู้อยู่ที่ฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทานทีอยู่ในทิศใด ทิศนี้เหมือนมีแสงสว่างแก่เรา เหมือนมีโอภาสแก่เรา เธอเป็นผู้ไม่รังเกียจที่จะไปเพื่อความสนใจแห่งเรา เธอพึงส่งภิกษุผู้เป็นทูตไปในสำนักแห่งภิกษุทั้งหลายผู้ที่อยู่ฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทานทีด้วยสั่งว่า พระศาสดารับสั่งหาท่านทั้งหลาย พระศาสดาใคร่จะเห็นท่านทั้งหลาย

ท่านพระอานนท์ทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว เข้าไปหาภิกษุรูปหนึ่ง ครั้นแล้วได้กล่าวกะภิกษุนั้นว่า ดูกรอาวุโสท่านจงเข้าไปหาภิกษุทั้งหลายผู้อยู่ที่ฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทานที ครั้นแล้ว จงกล่าวกะภิกษุ ทั้งหลายผู้ที่อยู่ฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทานทีอย่างนี้ว่า พระศาสดารับสั่งหาท่านทั้งหลาย พระศาสดาทรง ประสงค์จะเห็นท่านทั้งหลาย

ภิกษุนั้นรับคำท่านพระอานนท์แล้วหายจากกูฏาคารศาลาป่ามหาวัน ไปปรากฏข้างหน้าภิกษุเหล่านั้นที่ฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทานที เปรียบเหมือนบุรุษผู้มีกำลังพึงเหยียดแขน ที่คู้หรือคู้แขนที่เหยียดฉะนั้น ลำดับนั้น ภิกษุนั้นได้กล่าวกะภิกษุทั้งหลายผู้อยู่ที่ฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทานทีว่าพระศาสดารับสั่งหาท่านทั้งหลาย พระศาสดาทรงประสงค์เห็นท่านทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นรับคำภิกษุนั้นแล้ว เก็บเสนาสนะ ถือบาตรและจีวร หายจากที่ฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทานที ไป ปรากฏเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาค ที่กูฏาคารศาลาป่ามหาวันเปรียบเหมือนบุรุษมีกำลัง พึงเหยียดแขนที่คู้ หรือคู้แขนที่เหยียด ฉะนั้น ฯ

พระเถระทั้งหมดนั่งอยู่ด้วยอาเนญชสมาบัติ ตามเสด็จพระผู้มีพระภาค

ก็สมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคประทับนั่งอยู่ด้วยสมาธิอันไม่หวั่นไหว ครั้งนั้น ภิกษุเหล่านั้นมีความดำริว่า บัดนี้ พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ด้วยวิหารธรรมข้อไหนหนอ ภิกษุเหล่านั้นเมื่อพิจารณาดูด้วยใจจึงทราบว่า บัดนี้ พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ด้วยอาเนญชวิหารธรรม เมื่อทราบดังนั้น ภิกษุทั้งหมดนั้นจึงนั่งอยู่ด้วยอาเนญชสมาบัติ ตามเสด็จพระผู้มีพระภาคฯ

พระอานนท์ไม่ทราบว่าพระศาสดาและเหล่าภิกษุนั่งอยู่ด้วยอาเนญชสมาบัติ

ครั้งนั้นแล เมื่อราตรีล่วงไป เมื่อปฐมยามผ่านไป ท่านพระอานนท์ลุกจากอาสนะ กระทำผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่าข้างหนึ่งประนมอัญชลีไปทางที่พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ได้กราบทูล พระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ราตรีล่วงไปแล้ว ปฐมยามผ่านไปแล้ว ภิกษุอาคันตุกะ ทั้งหลายนั่งอยู่นานแล้วขอพระผู้มีพระภาคทรงปราศรัยกับภิกษุอาคันตุกะทั้งหลายเถิด พระเจ้าข้า ฯ

เมื่อท่านพระอานนท์กราบทูลอย่างนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคได้ทรงนิ่งอยู่แม้ครั้งที่ ๒ เมื่อ ราตรีล่วงไปแล้ว เมื่อมัชฌิมยามผ่านไปแล้ว ท่านพระอานนท์ลุกจากอาสนะ กระทำผ้าอุตราสงค์ เฉวียงบ่าข้างหนึ่ง ประนมอัญชลีไปทางที่พระผู้มีพระภาคประทับอยู่แล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาค ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญราตรีล่วงไปแล้ว มัชฌิมยามผ่านไปแล้ว ภิกษุอาคันตุกะทั้งหลายนั่ง อยู่นานแล้วขอพระผู้มีพระภาคทรงปราศรัยกับภิกษุอาคันตุกะทั้งหลายเถิด พระเจ้าข้า แม้ครั้ง ที่ ๒ พระผู้มีพระภาคได้ทรงนิ่งอยู่ ฯ

แม้ครั้งที่ ๓ เมื่อราตรีล่วงไปแล้ว ปัจฉิมยามผ่านไปแล้ว อรุณขึ้นแล้วเมื่อราตรีรุ่งอรุณ ท่านพระอานนท์ลุกขึ้นจากอาสนะกระทำผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่าข้างหนึ่ง ประนมอัญชลีไปทางที่ พระผู้มีพระภาคประทับอยู่แล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ราตรีล่วง ไปแล้ว ปัจฉิมยามผ่านไปแล้วอรุณขึ้นแล้ว ราตรีรุ่งอรุณ ภิกษุอาคันตุกะทั้งหลายนั่งอยู่นาน แล้ว ขอพระผู้มีพระภาคทรงปราศรัยกับภิกษุอาคันตุกะทั้งหลายเถิด พระเจ้าข้า ฯ

ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเสด็จออกจากสมาธินั้น แล้วตรัสกะท่านพระอานนท์ว่า ดูกรอานนท์ ถ้าว่าเธอพึงรู้ไซร้ ความแจ่มแจ้งแม้มีประมาณเท่านี้ก็ไม่พึงปรากฏแก่เธอ ดูกร อานนท์ เราและภิกษุ ๕๐๐ เหล่านี้ทั้งหมด นั่งแล้วด้วยอาเนญชสมาบัติ ฯ

ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว ทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า

ภิกษุใดชนะหนาม คือ กาม ชนะการด่า การฆ่า และการจองจำได้

แล้ว ภิกษุนั้นมั่นคงไม่หวั่นไหวดุจภูเขา ภิกษุนั้นย่อมไม่หวั่นไหวใน

เพราะสุขและทุกข์ ฯ

พระเถระบำเพ็ญโมเนยยปฏิปทา

ในเรื่องการปฏิบัติโมเนยยปฏิปทานี้ พระพุทธองค์ทรงตรัสว่าเป็นปฏิปทาที่ทำได้โดยยาก ทำให้เกิดความยินดีได้ยาก และพระอรรถกถาจารย์ได้กล่าวว่า ในพุทธธันดรหนึ่ง จะมีพระที่ปฏิบัติโมเนยยปฏิปทาอย่างอุกฤษฏ์ได้เพียงท่านเดียว และในพุทธันดรนี้พระเถระที่ปฏิบัติได้ก็คือท่านพระนาลกเถระ และภิกษุผู้บำเพ็ญโมเนยปฏปทาอย่างอุกฤษฎ์ จะมีชีวิตอยู่ได้ ๗ เดือนเท่านั้น ถ้าบำเพ็ญอย่างกลางจะมีชีวิตอยู่ได้ ๗ ปี ถ้าบำเพ็ญอย่างอ่อนจะมีชีวิตอยู่ได้ ๑๖ ปี พระนาลกเถระนี้บำเพ็ญอย่างอุกฤษฎ์ ฉะนั้นท่านจึงอยู่ได้ ๗ เดือน รายละเอียดในเรื่องการปฏิบัติโมเนยยปฏิปทานี้ อ่านได้จาก ประวัติท่านพระนาลกเถระ

เมื่อพระศาสดาได้ตรัสสั่งให้ท่านยโสชะ พร้อมด้วยบริวารผู้มีอภิญญา ๖ เข้าเฝ้าแล้ว ได้ทรงทำการต้อนรับด้วยอาเนญชสมาบัติ (สมาบัติที่ไม่หวั่นไหว) ต่อมาท่านก็ได้สมาทานธุดงค์ธรรมทุกข้อ แล้วประพฤติธุดงค์นั้น มีรูปร่างผอม เพราะบำเพ็ญโมเนยยปฏิปทา (ข้อปฏิบัติเพื่อเป็นมุนี) ให้บริบูรณ์ ด้วยเหตุนั้น ร่างกายของท่าน จึงผ่ายผอม เศร้าหมอง ผิวพรรณคล้ำไป พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรง สรรเสริญท่าน ด้วยความเป็นผู้มีความปรารถนาน้อยอย่างยิ่ง จึงได้ตรัส พระคาถา ไว้ว่า

นรชนผู้มีใจไม่ย่อท้อ เป็นผู้รู้จักประมาณในข้าวและน้ำ

มีร่างกายซูบผอม มีตัวสะพรั่งไปด้วยเส้นเอ็น เหมือนกับเถาหญ้านาง .

พระเถระผู้อันพระศาสดาทรงสรรเสริญอย่างนี้แล้ว เมื่อจะกล่าวธรรม ที่เหมาะสมกับความที่ตนเป็นผู้อันพระศาสดาทรงสรรเสริญแล้ว แก่ภิกษุ ทั้งหลาย โดยการสรรเสริญอธิวาสนขันติ วิริยารัมภะ และความยินดีในวิเวก ของตนเป็นสำคัญ จึงได้ภาษิตคาถา ๒ คาถาไว้ว่า

ภิกษุถูกเหลือบยุงทั้งหลายกัดแล้วในป่าใหญ่

พึงเป็นผู้มีสติอดกลั้นในอันตรายเหล่านั้น

เหมือนช้างในสงคราม

ภิกษุอยู่ผู้เดียวย่อมเป็นเหมือนพรหมผู้อยู่ ๒ องค์เหมือนเทพเจ้า

ผู้ที่อยู่ด้วยกันมากกว่า ๓ องค์ขึ้นไปเหมือนชาวบ้าน ย่อมมีความโกลาหลมากขึ้น

เพราะฉะนั้น ภิกษุพึงเป็นผู้อยู่แต่ผู้เดียว.

นาตยา:


สำหรับประวัติ พระยโสชเถระ
ขอบคุณเนื้อหา เนื้อเรื่อง ที่เว็บนี้นะคะ
http://www.dharma-gateway.com/monk/great_monk/pra-yasocha.htm

raponsan:
อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท ตัณหาวรรคที่ ๒๔

               ๒๔. ตัณหาวรรควรรณนา               
               ๑. เรื่องปลาชื่อกปิละ [๒๔๐]
               
               ข้อความเบื้องต้น              
               พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภปลาชื่อกปิละ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "มนุชสฺส" เป็นต้น.

               สองพี่น้องออกบวช              
               ได้ยินว่า ในอดีตกาล ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่ากัสสป ปรินิพพานแล้ว กุลบุตรสองคนพี่น้องออกบวชในสำนักแห่งพระสาวกทั้งหลาย.

               บรรดากุลบุตรสองคนนั้น คนพี่ได้ชื่อว่าโสธนะ คนน้องชื่อกปิละ. ส่วนมารดาของคนทั้งสองนั้น ชื่อว่าสาธนี น้องสาวชื่อตาปนา. แม้หญิงทั้งสองนั้นก็บวชแล้วใน (สำนัก) ภิกษุณี.

               เมื่อคนเหล่านั้นบวชแล้วอย่างนั้น พี่น้องทั้งสองทำวัตรและปฏิวัตรแก่พระอาจารย์และพระอุปัชฌายะอยู่ วันหนึ่ง ถามว่า "ท่านขอรับ ธุระในพระศาสนานี้มีเท่าไร?" ได้ยินว่า "ธุระมี ๒ อย่าง คือ คันถธุระ ๑ วิปัสสนาธุระ ๑" ภิกษุผู้เป็นพี่คิดว่า "เราจักบำเพ็ญวิปัสสนาธุระ" อยู่ในสำนักแห่งพระอาจารย์และพระอุปัชฌายะ ๕ พรรษาแล้ว เรียนกัมมัฏฐานจนถึงพระอรหัต เข้าไปสู่ป่า พยายามอยู่ ก็บรรลุพระอรหัตผล.

               น้องชายเมาในคันถธุระ              
               ภิกษุน้องชายคิดว่า "เรายังหนุ่มก่อน ในเวลาแก่จึงจักบำเพ็ญวิปัสสนาธุระ" จึงเริ่มตั้งคันถธุระ เรียนพระไตรปิฎก. บริวารเป็นอันมากได้เกิดขึ้นเพราะอาศัยปริยัติของเธอ ลาภก็ได้เกิดขึ้นเพราะอาศัยบริวาร. เธอเมาแล้วด้วยความเมาในความเป็นผู้สดับมาก อันความทะยานอยากในลาภครอบงำแล้ว

               เพราะเป็นผู้สำคัญตัวว่าฉลาดยิ่ง ย่อมกล่าวแม้สิ่งที่เป็นกัปปิยะ อันคนเหล่าอื่นกล่าวแล้วว่า "เป็นอกัปปิยะ" กล่าวแม้สิ่งที่เป็นอกัปปิยะว่า "เป็นกัปปิยะ" กล่าวแม้สิ่งที่มีโทษว่า "ไม่มีโทษ" กล่าวแม้สิ่งไม่มีโทษว่า "มีโทษ"

               เธอ แม้อันภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รักทั้งหลายกล่าวว่า "คุณกปิละ คุณอย่าได้กล่าวอย่างนี้" แล้วแสดงธรรมและวินัยกล่าวสอนอยู่ ก็กล่าวว่า "พวกท่านจะรู้อะไร? พวกท่านเช่นกับกำมือเปล่า" เป็นต้นแล้ว ก็เที่ยวขู่ตวาดภิกษุทั้งหลายอยู่.

               น้องชายไม่เชื่อพี่               
               ครั้งนั้น ภิกษุทั้งหลายบอกเนื้อความนั้นแม้แก่พระโสธนเถระผู้เป็นพี่ชายของเธอแล้ว. แม้พระโสธนะเถระเข้าไปหาเธอแล้ว ตักเตือนว่า "คุณกปิละ ก็การปฏิบัติชอบของภิกษุทั้งหลายผู้เช่นเธอ ชื่อว่าเป็นอายุพระศาสนา เพราะฉะนั้น เธออย่าได้ละการปฏิบัติชอบแล้ว

               กล่าวคัดค้านสิ่งที่เป็นกัปปิยะเป็นต้นอย่างนั้นเลย." เธอมิได้เอื้อเฟื้อถ้อยคำแม้ของท่าน แม้เมื่อเป็นเช่นนี้ พระเถระก็ตักเตือนเธอ ๒-๓ ครั้ง ทราบเธอผู้ไม่รับคำตักเตือนว่า "ภิกษุนี้ไม่ทำตามคำของเรา" จึงกล่าวว่า "คุณ ถ้าดังนั้น เธอจักปรากฏด้วยกรรมของตน" ดังนี้แล้วหลีกไป.

               น้องชายเสียคนเพราะถูกทอดทิ้ง               
               จำเดิมแต่นั้น ภิกษุทั้งหลายผู้มีศีลเป็นที่รักแม้เหล่าอื่น ทอดทิ้งเธอแล้ว. เธอเป็นผู้มีความประพฤติชั่วอันพวกผู้มีความประพฤติชั่วแวดล้อมอยู่

               วันหนึ่ง คิดว่า "เราจักสวดปาติโมกข์" จึงถือพัดไปนั่งบนธรรมาสน์ในโรงอุโบสถแล้ว ถามว่า "ผู้มีอายุ ปาติโมกข์ย่อมเป็นไปเพื่อภิกษุทั้งหลายผู้ประชุมกันแล้วในที่นี้หรือ?" เห็นภิกษุทั้งหลายนิ่งเสีย ด้วยคิดว่า "ประโยชน์อะไรด้วยคำโต้ตอบที่เราให้แก่ภิกษุ?" จึงกล่าวว่า "ผู้มีอายุ ธรรมก็ดี วินัยก็ดี ไม่มี, ประโยชน์อะไรด้วยปาติโมกข์ที่พวกท่านจะฟังหรือไม่ฟัง" ดังนี้แล้ว ก็ลุกไปจากอาสนะ.

               เธอยังศาสนา คือปริยัติของพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่ากัสสป ให้เสื่อมลงแล้วด้วยอาการอย่างนี้.
               แม้พระโสธนเถระก็ปรินิพพานในวันนั้นเอง.
               ในกาลสิ้นอายุ ภิกษุกปิละเกิดในอเวจีมหานรก. มารดาและน้องสาวของเธอแม้นั้น ถึงทิฏฐานุคติของเธอนั่นแล ด่าบริภาษภิกษุทั้งหลายผู้มีศีลเป็นที่รักแล้ว ก็บังเกิดในอเวจีมหานรกนั้นเหมือนกัน.

              โจรเกิดในเทวโลกด้วยอำนาจของศีล              
               ก็ในกาลนั้น บุรุษ ๕๐๐ คนทำโจรกรรมมีการปล้นชาวบ้านเป็นต้น เป็นอยู่ด้วยกิริยาของโจร ถูกพวกมนุษย์ในชนบทตามจับแล้ว หนีเข้าป่า ไม่เห็นที่พึ่งอะไรในป่านั้น เห็นภิกษุผู้อยู่ในป่าเป็นวัตรรูปใดรูปหนึ่ง ไหว้แล้ว กล่าวว่า "ท่านผู้เจริญ ขอท่านจงเป็นที่พึ่งของพวกข้าพเจ้าเถิด."

               พระเถระกล่าวว่า "ชื่อว่าที่พึ่งเช่นกับศีล ย่อมไม่มีแก่ท่านทั้งหลาย, พวกท่านแม้ทั้งหมดจงสมาทานศีล ๕ เถิด."

               โจรเหล่านั้นรับว่า "ดีละ" ดังนี้แล้ว สมาทานศีลทั้งหลาย.
               ลำดับนั้น พระเถระตักเตือนโจรเหล่านั้นว่า "บัดนี้ พวกท่านเป็นผู้มีศีล พวกท่านไม่ควรล่วงศีลแม้เพราะเหตุแห่งชีวิตเลย ความประทุษร้ายทางใจ ก็ไม่ควรทำ"
               โจรเหล่านั้นรับว่า "ดีละ" แล้ว.

               ครั้งนั้น ชาวชนบทเหล่านั้น (มา) ถึงที่นั้นแล้ว ค้นหาข้างโน้นข้างนี้ พบโจรเหล่านั้นแล้ว ก็ช่วยกันปลงชีวิตเสียทั้งหมด. พวกโจรเหล่านั้นทำกาละแล้ว ก็บังเกิดในเทวโลก. หัวหน้าโจรได้เป็นหัวหน้าเทพบุตร.

               เทพบุตรถือปฏิสนธิในตระกูลชาวประมง               
               เทพบุตรเหล่านั้นท่องเที่ยวไปในเทวโลกสิ้นพุทธันดรหนึ่ง ด้วยอำนาจอนุโลมและปฏิโลม ในพุทธุปบาทกาลนี้ บังเกิดแล้วในบ้านชาวประมง ๕๐๐ ตระกูลใกล้ประตูพระนครสาวัตถี. หัวหน้าเทพบุตรถือปฏิสนธิในเรือนของหัวหน้าชาวประมง, พวกเทพบุตรนอกนี้ ถือปฏิสนธิในเรือนชาวประมงนอกนี้. การถือปฏิสนธิและการออกจากท้องมารดาแห่งชนเหล่านั้น ได้มีแล้วในวันเดียวกันทั้งนั้น ด้วยประการฉะนี้.

               หัวหน้าชาวประมงให้คนเที่ยวแสวงหาว่า "พวกทารกแม้เหล่าอื่นในบ้านนี้ เกิดแล้วในวันนี้มีอยู่บ้างไหม?" ได้ยินความที่ทารกเหล่านั้นเกิดแล้ว จึงสั่งให้ๆ ทรัพย์ค่าเลี้ยงดูแก่ชาวประมงเหล่านั้น ด้วยตั้งใจว่า "พวกทารกนั้น จักเป็นสหายของบุตรเรา"

               ทารกเหล่านั้นแม้ทุกคนเป็นสหายเล่นฝุ่นร่วมกัน ได้เป็นผู้เจริญวัยโดยลำดับแล้ว บรรดาเด็กเหล่านั้น บุตรของหัวหน้าชาวประมงได้เป็นผู้เยี่ยมโดยยศและอำนาจ.

               กปิละเกิดเป็นปลาใหญ่              
               แม้ภิกษุกปิละไหม้ในนรกสิ้นพุทธันดรหนึ่งแล้ว ในกาลนั้น บังเกิดเป็นปลาใหญ่ในแม่น้ำอจิรวดี มีสีเหมือนทองคำ มีปากเหม็น ด้วยเศษแห่งวิบาก.

               ต่อมาวันหนึ่ง สหายเหล่านั้นปรึกษากันว่า "เราจักจับปลา" จึงถือเอาเครื่องจับสัตว์น้ำมีแหเป็นต้นทอดไปในแม่น้ำ. ทีนั้น ปลานั้นได้เข้าไปสู่ภายในแหของคนเหล่านั้น. ชาวบ้านประมงทั้งหมดเห็นปลานั้นแล้ว ได้ส่งเสียงเอ็ดอึงว่า "ลูกของพวกเรา เมื่อจับปลาครั้งแรก จับได้ปลาทองแล้ว คราวนี้ พระราชาจักพระราชทานทรัพย์แก่เราเพียงพอ." สหายแม้เหล่านั้นแล เอาปลาใส่เรือ ยกเรือขึ้นแล้วก็ไปสู่พระราชสำนัก.

               แม้เมื่อพระราชาทอดพระเนตรเห็นปลานั้น ตรัสว่า "นั่นอะไร?" พวกเขาได้กราบทูลว่า "ปลา พระเจ้าข้า." พระราชาทอดพระเนตรเห็นปลามีสีเหมือนทองคำ ทรงดำริว่า "พระศาสดาจักทรงทราบเหตุที่ปลานั่นเป็นทองคำ" ดังนี้แล้ว รับสั่งให้คนถือปลา ได้เสด็จไปสู่สำนักพระผู้มีพระภาคเจ้า. เมื่อปากอันปลาพออ้าเท่านั้น พระเชตวันทั้งสิ้นได้มีกลิ่นเหม็นเหลือเกิน.

               พระราชาทูลถามพระศาสดาว่า "พระเจ้าข้า เพราะเหตุไร ปลาจึงมีสีเหมือนทองคำ? และเพราะเหตุไร กลิ่นเหม็นจึงฟุ้งออกจากปากของมัน?"

               พระศาสดา. มหาบพิตร ปลานี้ได้เป็นภิกษุชื่อกปิละ เป็นพหูสูต มีบริวารมาก ในธรรมวินัยของพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่ากัสสป, ถูกความทะยานอยากในลาภครอบงำแล้ว ด่าบริภาษพวกภิกษุผู้ไม่ถือคำของตน ยังพระศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่ากัสสป ให้เสื่อมลงแล้ว.

               เขาบังเกิดในอเวจีด้วยกรรมนั้นแล้ว บัดนี้ เกิดเป็นปลาด้วยเศษแห่งวิบาก ก็เพราะเธอบอกพระพุทธวจนะ กล่าวสรรเสริญคุณพระพุทธเจ้าสิ้นกาลนาน จึงได้อัตภาพมีสีเหมือนทองคำนี้ ด้วยผลแห่งกรรมนั้น เธอได้เป็นผู้บริภาษภิกษุทั้งหลาย กลิ่นเหม็นจึงฟุ้งออกจากปากของเธอ ด้วยผลแห่งกรรมนั้น มหาบพิตร อาตมภาพจะให้ปลานั้นพูด.

               พระราชา. ให้พูดเถิด พระเจ้าข้า.
               ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสถามปลาว่า "เจ้าชื่อกปิละหรือ?"
               ปลา. พระเจ้าข้า ข้าพระองค์ชื่อกปิละ.
               พระศาสดา. เจ้ามาจากที่ไหน?
               ปลา. มาจากอเวจีมหานรก พระเจ้าข้า.
               พระศาสดา. พระโสธนะพี่ชายใหญ่ของเจ้าไปไหน?
               ปลา. ปรินิพพานแล้ว พระเจ้าข้า.

               พระศาสดา. ก็นางสาธนีมารดาของเจ้าเล่าไปไหน?
               ปลา. เกิดในนรก พระเจ้าข้า.
               พระศาสดา. นางตาปนาน้องสาวของเจ้าไปไหน?
               ปลา. เกิดในมหานรก พระเจ้าข้า.
               พระศาสดา. บัดนี้ เจ้าจักไปที่ไหน?

               ปลาชื่อกปิละกราบทูลว่า "จักไปสู่อเวจีมหานรกดังเดิม พระเจ้าข้า" ดังนี้แล้ว อันความเดือดร้อนครอบงำแล้ว เอาศีรษะฟาดเรือ ทำกาละในทันทีนั่นเอง เกิดในนรกแล้ว.
               มหาชนได้สลดใจมีโลมชาติชูชันแล้ว.

               พระศาสดาตรัสกปิลสูตร              
               ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรวจดูวาระจิตของบริษัทผู้ประชุมกันในขณะนั้น เพื่อจะทรงแสดงธรรมให้สมควรแก่ขณะนั้น จึงตรัสกปิลสูตรในสุตตนิบาต๑- ว่า
               "นักปราชญ์ทั้งหลายได้กล่าวการประพฤติธรรม ๑ การประพฤติพรหมจรรย์ ๑ นั่นว่า เป็นแก้วอันสูงสุด"
____________________________
๑- ขุ. สุ. ๒๕/ข้อ ๓๒๑. ธรรมจริยสูตร.

               ดังนี้เป็นต้นแล้ว ได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า :-
                         ๑.                    มนุชสฺส ปมตฺตจาริโน
                                           ตณฺหา วฑฺฒติ มาลุวา วิย
                                           โส ปลวตี หุราหุรํ
                                           ผลมิจฺฉํว วนสฺมึ วานโร.
                            ยํ เอสา สหตี ชมฺมี       ตณฺหา โลเก วิสตฺติกา
                            โสกา ตสฺส ปวฑฺฒนฺติ       อภิวฑฺฒํว พีรณํ.
                            โย เจ ตํ สหตี ชมฺมึ       ตณฺหํ โลเก ทุรจฺจยํ
                            โสกา ตมฺหา ปปตนฺติ       อุทพินฺทุว โปกฺขรา.
                            ตํ โว วทามิ ภทฺทํ โว       ยาวนฺเตตฺถ สมาคตา
                            ตณฺหาย มูลํ ขณถ       อุสีรตฺโถว พีรณํ.
                            มา โว นฬํ ว โสโตว       มาโร ภญฺชิ ปุนปฺปุนํ.

                                      ตัณหาดุจเถาย่านทราย ย่อมเจริญแก่คนผู้มีปกติ
                            ประพฤติประมาท. เขาย่อมเร่ร่อนไปสู่ภพน้อยใหญ่ ดัง
                            วานรปรารถนาผลไม้ เร่ร่อนไปในป่าฉะนั้น. ตัณหานี้
                            เป็นธรรมชาติลามก มักแผ่ซ่านไปในอารมณ์ต่างๆ ใน
                            โลก ย่อมครอบงำบุคคลใด ความโศกทั้งหลายย่อมเจริญ
                            แก่บุคคลนั้น, ดุจหญ้าคมบางอันฝนตกรด แล้วงอกงาม
                            อยู่ ฉะนั้น.

                                แต่ผู้ใดย่อมย่ำยีตัณหานั่นซึ่งเป็นธรรมชาติ
                            ลามก ยากที่ใครในโลกจะล่วงไปได้, ความโศกทั้งหลาย
                            ย่อมตกไปจากผู้นั้น เหมือนหยาดน้ำตกไปจากใบบัว
                            ฉะนั้น. เพราะฉะนั้น เราบอกกะท่านทั้งหลายว่า ความ
                            เจริญ จงมีแก่ท่านทั้งหลาย บรรดาที่ประชุมกันแล้ว ณ
                            ที่นี้ ท่านทั้งหลายจงขุดรากตัณหาเสียเถิด, ประหนึ่งผู้
                            ต้องการแฝก ขุดหญ้าคมบางเสียฉะนั้น, มารอย่าระราน
                            ท่านทั้งหลายบ่อยๆ ดุจกระแสน้ำระรานไม้อ้อฉะนั้น.

              แก้อรรถ              
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปมตฺตจาริโน ความว่า ฌานไม่เจริญเทียว วิปัสสนา มรรคและผล ก็ไม่เจริญ แก่บุคคลผู้มีปกติประพฤติประมาท ด้วยความประมาท มีการปล่อยสติเป็นลักษณะ. อธิบายว่า เหมือนอย่างว่า เครือเถาย่านทรายร้อยรัด รึงรัดต้นไม้อยู่ ย่อมเจริญเพื่อความพินาศแห่งต้นไม้นั้นฉันใด ตัณหาก็ฉันนั้น ชื่อว่าเจริญแก่บุคคลนั้น เพราะอาศัยทวารทั้ง ๖ เกิดขึ้นบ่อยๆ.

               บาทพระคาถาว่า โส ปริปฺลวติ๑- หุราหุรํ ความว่า บุคคลนั้น คือผู้เป็นไปในคติแห่งตัณหา ย่อมเร่ร่อนคือแล่นไปในภพน้อยใหญ่.
               ถามว่า "เขาย่อมเร่ร่อนไปเหมือนอะไร?"
               แก้ว่า "เหมือนวานรตัวปรารถนาผลไม้ โลดไปในป่าฉะนั้น."

               อธิบายว่า วานรเมื่อปรารถนาผลไม้ ย่อมโลดไปในป่า, มันจับกิ่งไม้นั้นๆ ปล่อยกิ่งนั้นแล้ว จับกิ่งอื่น ปล่อยกิ่งแม้นั้นแล้ว จับกิ่งอื่น ย่อมไม่ถึงความเป็นสัตว์ที่บุคคลควรกล่าวได้ว่า "มันไม่ได้กิ่งไม้จึงนั่งเจ่าแล้ว" ฉันใด บุคคลผู้เป็นไปในคติแห่งตัณหาก็ฉันนั้นเหมือนกัน เร่ร่อนไปสู่ภพน้อยภพใหญ่ ย่อมไม่ถึงความเป็นผู้ที่ใครๆ ควรพูดได้ว่า "เขาไม่ได้อารมณ์แล้ว จึงถึงความไม่เป็นไปตามความทะเยอทะยาน."
____________________________
๑- บาลีเป็น ปลวตี.

               บทว่า ยํ เป็นต้น ความว่า ตัณหาอันเป็นไปในทวาร ๖ นี้ ชื่อว่าลามก เพราะความเป็นของชั่ว ถึงซึ่งอันนับว่า ‘วิสตฺติกา’ เพราะความที่ตัณหานั้น เป็นธรรมชาติซ่านไป คือว่าข้องอยู่ในอารมณ์มีรูปเป็นต้น โดยความเป็นดุจอาหารเจือด้วยพิษ โดยความเป็นดุจดอกไม้เจือด้วยพิษ โดยความเป็นดุจผลไม้เจือด้วยพิษ โดยความเป็นดุจเครื่องบริโภคเจือด้วยพิษ ย่อมครอบงำบุคคลใด, ความโศกทั้งหลายมีวัฏฏะเป็นมูล ย่อมเจริญยิ่งในภายในของบุคคลนั้น เหมือนหญ้าคมบางที่ฝนตกรดอยู่บ่อยๆ ย่อมงอกงามในป่าฉะนั้น.

               บทว่า ทุรจฺจยํ เป็นต้น ความว่า ก็บุคคลใด ย่อมข่ม คือย่อมครอบงำตัณหานั่น คือมีประการที่ข้าพเจ้ากล่าวแล้ว ชื่อว่ายากที่ใครจะล่วงได้ เพราะเป็นของยากจะก้าวล่วงคือละได้, ความโศกทั้งหลายมีวัฏฏะเป็นมูล ย่อมตกไปจากบุคคลนั้น คือไม่ตั้งอยู่ได้เหมือนหยาดน้ำตกไปบนใบบัว คือบนใบดอกปทุม ไม่ติดอยู่ได้ฉะนั้น.

               หลายบทว่า ตํ โว วทามิ คือ เพราะเหตุนั้น เราขอกล่าวกะท่านทั้งหลาย.
               สองบทว่า ภทฺทํ โว ความว่า ความเจริญจงมีแก่ท่านทั้งหลาย. อธิบายว่า ท่านทั้งหลายอย่าได้ถึงความพินาศดุจกปิลภิกษุรูปนี้.
               บทว่า มูลํ เป็นต้น ความว่า ท่านทั้งหลายจงขุดรากแห่งตัณหา อันเป็นไปในทวาร ๖ นี้ ด้วยญาณอันสัมปยุตด้วยพระอรหัตมรรค.

               ถามว่า "ขุดรากแห่งตัณหานั้น เหมือนอะไร?"
               แก้ว่า "เหมือนผู้ต้องการแฝกขุดหญ้าคมบางฉะนั้น."
               อธิบายว่า บุรุษผู้ต้องการแฝก ย่อมขุดหญ้าคมบางด้วยจอบใหญ่ฉันใด ท่านทั้งหลายจงขุดรากแห่งตัณหานั้นเสียฉันนั้น.
               สองบาทคาถา๒- ว่า มา โว นฬํว โสโตว มาโร ภญฺชิ ปุนปฺปุนํ ความว่า กิเลสมาร มรณมาร และเทวบุตรมาร จงอย่าระรานท่านทั้งหลายบ่อยๆ เหมือนกระแสน้ำพัดมาโดยกำลังแรง ระรานไม้อ้อซึ่งเกิดอยู่ริมกระแสน้ำฉะนั้น.

               ในกาลจบเทศนา บุตรของชาวประมงทั้ง ๕๐๐ ถึงความสังเวช ปรารถนาการทำที่สุดแห่งทุกข์ บวชในสำนักพระศาสดา ทำที่สุดแห่งทุกข์ต่อกาลไม่นานเท่าไร ได้เป็นผู้มีการบริโภคเป็นอันเดียว โดยธรรมเป็นเครื่องบริโภค คืออเนญชวิหารธรรมและสมาปัตติธรรม ร่วมกับพระศาสดา ดังนี้แล.
____________________________
๒- กึ่งพระคาถาสุดท้าย.

               เรื่องปลาชื่อกปิละ จบ.               

ที่มา  http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=34&p=1
อ่าน เนื้อความในพระไตรปิฎก
http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=25&A=1162&Z=1243

ประทับใจในความเพียรของคุณนาตยาครับ ขออนุญาตเอาฉบับเต็มๆมาให้อ่านกัน

คุณนาตยาน่าจะบอก "ความประทับใจในเรื่องนี้" ให้เพื่อนๆได้รู้บ้าง

อยากรู้จริงๆ ทำไมต้องโพสต์เรื่องนี้ด้วย
 ;) :49: :58: :25:

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ