« เมื่อ: มีนาคม 12, 2023, 06:21:16 am »
0
มอง 'คุณค่าและจิตสำนึก' ของคนไทย จากพระไตรปิฎก | ธมฺมธโร วินยธโร มาติกาธโรผู้เขียนดีใจที่ได้เห็นพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เสร็จสมบูรณ์แล้วและกำหนดให้มีการสมโภชในเดือนพฤศจิกายน ศกนี้ ที่ดีใจเพราะเห็นว่าเป็นงานของสถาบันที่ผมเคยศึกษาเล่าเรียนมาซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสถาปนาขึ้น งานครั้งนี้จึงถือเป็นงานสนองพระราชประสงค์โดยแท้
กล่าวถึงพระไตรปิฎก ชาวพุทธต่างรู้จักกันดีว่าเป็นคัมภีร์สำคัญและศักดิ์สิทธิ์ เพราะเป็นแหล่งบันทึกคำสอนของพระพุทธเจ้า แม้เราจะยังไม่ชัดเจนว่า คำว่า พระไตรปิฎก นั้นเกิดมีขึ้นเป็นปฐมตั้งแต่เมื่อใด แต่ก็พออนุมานกันได้ว่า น่าจะมีคำนี้ใช้ตั้งแต่สมัยของพระเจ้าอโศก
เหตุที่อนุมานเช่นนั้น เพราะถือตามหลักฐานในสังคายนา ครั้งที่ ๒ ซึ่งมีข้อความตอนหนึ่งที่กล่าวถึงคุณสมบัติของพระอรหันต์ผู้ปรารภให้เกิดการทำสังคายนาครั้งนั้น คือ พระยสะ กากัณฑบุตร ว่า
"ธมฺมธโร วินยธโร มาติกาธโร" แปลว่า "ทรงธรรม ทรงวินัย ทรงมาติกา"
แม้จะมีหลายท่านพยายามตีความว่า คำว่า "มาติกา" คือ หัวข้อในพระวินัย หรือ สิกขาบท นั้นเอง แต่ผู้เขียนไม่เห็นด้วยเลย เพราะหากตีความเช่นนั้น คำว่า "วินัย" ก็น่าจะคลุมความถึงมาติกาได้แล้ว ฉะนั้น มาติกา จึงน่าจะมีความหมายพิเศษ
มาติกา คือ หัวข้อ เอ.เค. วอร์เดอร์ อธิบายว่า ได้แก่ บัญชีหัวข้อเรื่อง ซึ่งเสนอแต่เฉพาะหัวข้อองค์ธรรมไว้เป็นชุด (INDIAN BUDDHISM หน้า ๑๐) ซึ่งชี้ให้เห็นว่า ในช่วงสังคายนาครั้งที่ ๒ ได้แบ่งคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็น ๓ หมวด คือ หมวดวินัย หมวดธรรม และหมวดมาติกา หมวดมาติกานี้เองได้วิวัฒนาการมาเป็นอภิธรรมปิฎกในยุคของสังคายนาครั้งที่ ๓ ว่ากันว่า นิกายพาหุศรุติยะ หรือ นิกายพหุสสุติกะ ได้นำคำ มาติกา ไปใช้เป็นปิฎกหนึ่ง เรียกว่า มาติกาปิฎก
ถึงตอนนี้ก็พอสรุปสันนิษฐานกันได้ระดับหนึ่งว่า คำว่า พระไตรปิฎก มีขึ้นเมื่อคราวทำสังคายนาครั้งที่ ๓ อันแสดงให้เห็นว่า ในการทำสังคายนาครั้งที่ ๓ นั้น นอกจากจะทำตามอย่างสังคายนา ๒ ครั้งแรกแล้ว สิ่งที่แปลกใหม่ก็คือ การจัดกลุ่มและเรียกชื่อคำสอนของพระพุทธเจ้าใหม่ว่า วินัยปิฎก สุตตปิฎก (สุตตันตปิฎก) และอภิธรรมปิฎก
@@@@@@@
พระไตรปิฎก มาจากคำสันสกฤตว่า ตฺริปิฎก ซึ่งตรงกับคำบาลีว่า ติปิฎก หรือ เตปิฏก ซึ่งเป็นตัวแทนพระธรรมที่เรากล่าวขอถึงเป็นสรณะนั่นเอง ชาวพุทธบนแผ่นดินไทยรู้จักพระไตรปิฎกมาเป็นเวลา ๒,๐๐๐ ปีเศษ คือ นับตั้งแต่เวลาที่พระพุทธศาสนาเผยแพร่เข้ามาเมื่อ พ.ศ. ๒๓๙
ส่วนชาวพุทธไทยผู้เป็นบรรพบุรุษของคนไทยอย่างเราก็รู้จักพระไตรปิฎกเมื่อราว พ.ศ. ๑๘๐๐ เศษ ศิลาจารึกสุโขทัยหลักที่ ๒ ยืนยันเรื่องนี้ไว้ว่า
"...เบื้องตะวันตกสุโขทัยนี้มีอรัญญิก พ่อขุนรามคำแหงกระทำโอยทาน แก่พระสังฆราชปราชญ์เรียนพระไตรปิฎก หลวก (รู้หลัก,ฉลาด) กว่าปู่ครูในเมืองนี้ ทุกคนลุกแต่เมืองนครศรีธรรมราชมา..."
นอกจากรู้จักพระไตรปิฎก คนไทยยังศึกษา (เรียนและสอน) และเขียนหนังสืออธิบายหลักธรรมในพระไตรปิฎกอีกด้วย เตภูมิกถา หรือไตรภูมิพระร่วง คือ หนังสืออธิบายหลักธรรมเล่มแรกที่เกิดจากน้ำมือของคนไทย และคนไทยคนแรกที่แต่งหนังสือดังกล่าวก็คือ พญาลิไทย (พระมหาธรรมราชาที่ ๑)
หนังสือเล่มนี้มิใช่มีความสำคัญเพียงแต่เป็นหนังสือหรือวรรณคดีไทยเล่มแรกเท่านั้น ดูเหมือนจะใช้เป็นคู่มือในการปกครองประเทศด้วยโดยมุ่งให้ประชาชนได้รู้จักความดีความชั่วแล้วดำเนินชีวิตไปตามทางความดีที่เรียกว่า "กุศลกรรมบถ" ซึ่งเป็นทางช่วยให้สังคมมีความสงบสุข
ฉะนั้น หากจะเทียบกับพุทธศาสนานิกายมหายาน ซึ่งนิยมแต่งหนังสืออธิบายขยายความคำสอนของพระพุทธเจ้าขึ้นใหม่แล้วกำหนดเรียกว่า "สูตร" เตภูมิกถาเล่มนี้ก็น่าจะจัดเป็นสูตรสูตรหนึ่งได้ เรียกว่า "เตภูมิกสูตร" (แต่เมื่อวิเคราะห์ดูอีกทีตามประวัติศาสตร์คัมภีร์พุทธศาสนา จะพบว่า ในระยะหลังท่านก็ใช้คำแทนชื่อสูตรหลายคำเช่น ชาดก และ กถา ฉะนั้น เตภูมิกถา ก็น่าจะจัดเป็น เตภูมิกสูตร ได้)
@@@@@@@
ชาวพุทธไทยก็เหมือนกับชาวพุทธทั่วโลก คือ ถือพระไตรปิฎกเป็นสิ่งสำคัญ และนับถือพระไตรปิฎกเหมือนนับถือพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์
พระพุทธเจ้าแม้พระองค์จริงจะเสด็จดับขันธปรินิพพานไปนานแล้ว ปรากฏให้เห็นก็มีแต่พระรูปของพระองค์ที่ปฏิมากรจินตนาการขึ้นมาให้กราบไหว้กัน แต่เราก็ถือเสมือนว่าพระองค์ยังมีพระชนม์อยู่ เราจึงสร้างโบสถ์ วิหาร หรือ ศาลา หลังใหญ่โตสวยงามให้เป็นที่ประทับของพระองค์ และเข้าเฝ้าถวายสักการะบูชา กล่าวคำสรรเสริญสดุดีวันละ ๒ เวลา คือ เช้า กับ เย็น ซึ่งเราเรียกระเบียบปฏิบัตินี้ว่า ทำวัตรเช้า และ ทำวัตรเย็น
วัตร ก็คือ ธรรมเนียมปฏิบัติ หรือ ข้อปฏิบัติที่ทำกันจนเป็นธรรมเนียม คงจะเลียนแบบมาจากวัตตขันธกะ ในพระวินัยปิฎกนั่นเอง ซึ่งถือว่า การทำความเคารพครูอาจารย์นั้นเป็นวัตรอย่างหนึ่ง การที่เราไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าในโบสถ์ วิหาร หรือศาลาการเปรียญ ก็คือ ไปแสดงความเคารพพระองค์ บรรพบุรุษของเรากำหนดให้ทำเป็นธรรมเนียม ฉะนั้น จึงเรียกว่า ทำวัตร พระรูปใดไม่ทำก็ไม่ถือว่ามีความผิด แต่ก็ถือว่าปฏิบัติหน้าที่ของพระไม่สมบูรณ์
พระสงฆ์ คือ โอรสหรือลูกของพระพุทธเจ้า เมื่อเคารพพระบิดาแล้วก็ต้องเคารพลูกด้วย เราแสดงความเคารพออกมาด้วยการสร้างวัดวาอารามและถวายอาหารบิณฑบาต คนไทยนับถือพระสงฆ์เป็นขวัญชีวิต และ พลังใจ ฉะนั้น เวลามีทุกข์มีร้อนจึงมักขอให้คุณพระช่วย หรือเมื่อพ้นจากความทุกข์ร้อนได้ก็มักจะบอกว่า พระมาโปรด
@@@@@@@
ส่วนด้านพระธรรมเล่า เราก็ปฏิบัติต่อพระธรรมเสมือนเป็นสิ่งมีชีวิต ธรรมดาสิ่งมีชีวิตย่อมต้องการที่อยู่อาศัยเครื่องนุ่งห่มรวมทั้งอาหารการกิน เมื่อพระธรรมถูกจัดแบ่งเป็นพระไตรปิฎกและถูกจารเป็นตัวอักษรลงในใบลาน เราก็ถือใบลานนั้นเป็นประหนึ่งมีชีวิตชีวา เราจึงปฏิบัติต่อพระธรรมในลักษณะต่าง ๆ คือ หาผ้ามาห่อ โดยผ้าห่อนั้นต้องปักลวดลายอย่างวิจิตรบรรจง จากนั้นก็ หาเชือกมาผูก จากนั้นก็นำไปใส่หีบที่จัดทำไว้อย่างดี ใช่เพียงแต่เท่านั้น เรายังสร้างตู้บรรจุอีก แล้วนำไปตั้งประดิษฐานไว้ในหอหรือมณฑป ซึ่งเรานิยมเรียกกันว่า หอไตร ซึ่งก็เป็นคำย่อของคำว่า หอไตรปิฎก นั้นเอง
จะเห็นได้ว่า การกระทำดังกล่าวของเรา ก็คือ การกระทำต่อสิ่งเคารพที่เรารู้สึกว่ามีชีวิต ชาวพุทธไทยได้ปฏิบัติต่อพระธรรมอย่างนี้มานานแล้วและสืบต่อเรื่อยมาจนกระทั่งถึงยุครัตนโกสินทร์ ในคราวเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งสุดท้าย (พ.ศ. ๒๕๑๐) ชาวพุทธไทยต้องสะเทือนใจหลายเรื่อง นับตั้งแต่เสียใจเรื่องบ้านเมืองถูกทำลาย การบาดเจ็บล้มตายของผู้คน จนกระทั่งถึงวัดวาอารามและพระพุทธรูปถูกทำลายรวมทั้งพระไตรปิฎกด้วย
ในคัมภีร์สังคีติยวงศ์ที่แต่งโดยพระพิมลธรรม ผู้เป็นชาวอยุธยาและได้รู้ได้เห็นได้ทุกข์วิโยคกับภัยสงครามครั้งนั้นด้วย มีกล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ว่า
"...พระธรรมวินัย ไตรปิฎก เมื่อไม่มีการรักษาเสียแล้วก็วินาศไปต่าง ๆ คือ พวกมิจฉาทิฏฐิยื้อแย่งเอาผ้าห่อและเชือกรัดไปบ้าง ตัวปลวกกินยับเยินไปบ้าง และพินาศสูญไปต่าง ๆ โดยที่พลัดลงดินเปียกน้ำผุไปเสียบ้างก็มี ภายหลังภิกษุทั้งหลายเห็นพระธรรมยังเหลืออยู่น้อย มีจิตกอปรด้วยศรัทธา ได้รวบรวมพระธรรมเหล่านั้นไว้ แต่พระธรรมวินัยบางคัมภีร์ที่ยังมั่นคงอยู่ก็มี บางคัมภีร์ก็ได้เหลืออยู่ผูก ๑ กว่าบ้าง ๒ ผูกเศษบ้าง เต็มคัมภีร์บ้าง ครึ่งคัมภีร์บ้าง บริบูรณ์บ้าง ไม่บริบูรณ์บ้าง บังเกิดอากูลต่าง ๆ กัน ...เลือกรวบรวมได้ตามสติกำลังนำมาเก็บไว้ยังสำนักตน..." (สังคีติยวงศ์, หน้า ๔๐๗)
และพระธรรมที่เลือกรวบรวมมาได้นั้นก็เป็นประโยชน์ต่อชาวอยุธยาผู้ตกอยู่ในห้วงแห่งมหันตทุกข์ดังมีบันทึกไว้ต่อมาว่า
"...ฝ่ายทายกผู้ถวายปัจจัยที่เหลือตายอาศัยเคยสะสมกุศลธรรมไว้แต่ก่อน ๆ มีทรัพย์เหลืออยู่บ้างเล็กน้อย ได้อาหารอันชาวชนบทเขานำมาบ้าง (คือแลกเปลี่ยน) และได้อาหารมาด้วยกำลังแขนของตนบ้าง ด้วยเดชกุศลธรรมปางก่อนของตนด้วย ด้วยเหตุการทำทานด้วยภูมิผลสืบในพระศาสนาก็มีอินทรีย์ (ร่างกาย) บริบูรณ์ใคร่จะฟังพระสัทธรรมเทศนาด้วยน้ำใจใสศรัทธาบางสมัย ก็ได้ไปสู่สำนักภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น วิงวอน (ขอให้แสดงธรรม)
ภิกษุเหล่านั้นไม่ว่าจะเป็นผู้มีการศึกษามามากหรือมีการศึกษามาน้อยก็ตาม ก็ปรารถนาลาภสักการะเพื่อจะรักษาชีวิตตนก็รับสำแดงธรรม จึงได้เลือกพระธรรมที่ตนเก็บมาได้พิจารณาดูก็สำแดงพระสัทธรรมเทศนาแก่คนเหล่านั้นด้วยน้ำใจอันบริสุทธิ์ตามความรู้เห็นที่ตนได้ศึกษามา
ทายกเหล่านั้น ครั้นได้ฟังธรรมเทศนาแล้วและกำลังยังโศกมากด้วยความพลัดพรากจากลูกหลานและเครือญาติ ได้ท่วมทับอยู่ด้วยญาติวิโยค เมื่อระลึกถึงญาติเหล่านั้น ที่มีศรัทธาอ่อนก็มี มีศรัทธามากก็มี ให้บังเกิดความสังเวชใจมาก เมื่อระลึกถึงทุกข์ภัยของตน ก็ได้เลือกเก็บพระพุทธรูปและพระธรรมมาทำบุญฉลองแล้วอุทิศส่วนกุศลให้แก่ญาติทั้งหลาย ชนบางจำพวกได้ให้ลูกและหลานของตนบรรพชาในพระพุทธศาสนา
ต่อมา เพราะได้ทำบุพกรรมไว้ ภิกษุเหล่านั้นก็มีพวกมาก มีอันเตวาสิกมาก บริบูรณ์ด้วยจตุปัจจัยทั้งหลายมีใจคอเอิบอิ่มก็ได้ยังความอุตสาหะให้เกิดขึ้นแล้ว พากันแสวงหาพระธรรมวินัยในพระพุทธศาสนา ได้แลเห็นพระพุทธรูปทั้งหลายมีอวัยวะน้อยใหญ่แตกหักพังทำลายบ้างอากูลต่าง ๆ พินาศเสียหายบ้าง ทั้งกุฎีวิหารสีมาพระพุทธสถูปก็ได้พินาศต่าง ๆ จึงพากันเกิดความสังเวชสลดใจกลั้นน้ำตามิได้ เพราะความรักพระพุทธศาสนาเหลือล้น มีหทัยหวั่นไหวอยู่ จึงพร้อมกับอันเตวาสิกเก็บรวบรวมพระพุทธรูปทั้งหลายไปไว้ในสถานอันควร
พระธรรมวินัยเหล่าใด ที่ยังเหลืออยู่จากความฉิบหายมีมากน้อยเท่าใด ก็ขนพระธรรมวินัยเหล่านั้นไปตามที่มีอยู่นั้น ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นได้พากันนำไปไว้ในสถานของตน
ชนทั้งหลายค่อยมีอาหารบริบูรณ์ขึ้น ได้พากันสร้างบ้านปลูกเรือนขึ้นในหมู่บ้านเก่า (เดิม) และในไร่นาที่ดินเก่าที่เคยอยู่มาก่อนตามที่ต่าง ๆ
ภิกษุทั้งหลายเมื่อได้ฉันอาหารบิณฑบาตต่าง ๆ ก็พากันทำกระท่อมพะเพิงในวัดเก่าอยู่กับสหายและนิสิตทั้งหลายของตนและได้ปลูกกุฎิขึ้นแล้วพากันจำพรรษาอยู่ในกุฎินั้น..."
@@@@@@@
จากข้อความที่กล่าวไว้ในสังคีติยวงศ์นี้ สะท้อนให้เห็นจิตสำนึกของชาวพุทธไทยที่ห่วงใยพระไตรปิฎก ทุกคราวที่มีการสร้างบ้านเมือง พระมหากษัตริย์ไทยจะไขว่คว้าหาพระไตรปิฎกมาเป็นหลักสำหรับฟื้นฟูพระพุทธศาสนา
คราวสร้างกรุงธนบุรี พระเจ้าตากสินมหาราชรับสั่งให้หาพระไตรปิฎกมาจากเมืองนครศรีธรรมราช แต่เนื่องจากทรงครองราชย์ชั่วเวลาอันสั้น (๑๕ ปี) ไม่ทรงมีเวลาในการจัดให้มีการชำระอักขระ จึงตกเป็นภาระของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก และสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท พระอนุชา
สังคีติยวงศ์บันทึกเรื่องราวครั้งนี้ไว้ว่า
"สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินทั้ง ๒ พระองค์นั้น ทรงทราบว่าพระไตรปิฎก คือ พระพุทธวจนะทั้งหลายมีอักษรอันวิปลาสฉิบหายแล้ว ก็มีพระหฤทัยไหวหวั่น ด้วยความรักพระศาสนาอย่างยิ่ง จึงทรงดำริว่า ควรเราทั้งหลายจะทำพระพุทธวจนะให้เจริญ พระพุทธวจนะเป็นของที่หาที่เปรียบมิได้ มีอักษรพิรุธ ฉบับหายเสียแล้วก็จะไม่มีที่พึ่งแล น่าสังเวช กุลบุตรทั้งหลายผู้เกิดมาภายหลังในพระพุทธศาสนา เมื่อไม่รู้คุณและโทษก็จะพากันมืดมัวมากด้วยโทสะและโมหะ
ลุพระพุทธศักราช ๒๓๓๑ แล้วปีวอก จึงได้ทรงหารือเหตุการณ์นั้นด้วยพระราชาคณะทั้งหลาย มีสมเด็จพระสังฆราชเป็นประธาน พระราชาคณะมีสมเด็จพระสังฆราชเป็นประธาน ครั้นเล็งเห็นเหตุการณ์นั้นแล้ว รับพระราชโองการว่าสาธุ แล้วจึงมาเลือกสรรได้ภิกษุทั้งหลาย ๒๑๘ รูป ราชบัณฑิตได้ ๓๒ นาย
พระเถระเจ้าทั้งหลายได้ยกเหตุการณ์นั้นของสมเด็จพระบรมกษัตราธิราชเจ้าทั้ง ๒ พระองค์ ทำสังคายนาพระธรรมวินัยในวันเพ็ญเดือน ๑๒ ณ วัดพระศรีสรเพชุดาราม
ครั้งนั้นก็บันดาลอัศจรรย์มีมืดมนอนธการ เมฆคำรามกึกก้อง ลมพายุพัดต้องหนาวเย็นจัดเหลือที่จะเย็น มิอาจที่ว่าจะทนทานได้ตลอดวันและคืน สมเด็จพระราชาเจ้าได้ทรงอนุเคราะห์และถวายเตาเพลิงให้ภิกษุทั้งหลายผิง ภิกษุทั้งหลายพากันโสมนัสแล้วอาราธนาเทวดาทั้งหลาย เพื่อให้อนุเคราะห์ต่อพระธรรมวินัย
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
ในเถรสมาคม พระเถรเจ้าทั้งหลายนั้น ครั้นปรึกษากันแล้ว จึงปันหมู่ภิกษุออกเป็น ๔ กอง ให้ทำพระพุทธวจนะ คือ พระธรรมพระวินัยที่มีอักษรพิรุธมีประการต่าง ๆ เป็นสิถิลและธนิตเป็นอาทิ แลให้เขียนแก้ที่โบราณเขียนไว้โดยความพลั้งเผลอให้ทำเสียให้ดี ตามสติกำลังด้วยจิตบริสุทธิ์เลื่อมใส แม้จะยากลำบากก็ตาม
ครั้งนั้น พระภิกษุทั้งหลาย ๒๑๘ รูป ราชบัณฑิต ๓๒ นาย ก็พากันลงมือสังคายนาพระวินัยปิฎกก่อน (แล้วจึงสังคายนาพระสูตรและพระอภิธรรม) ...แล้วจึงได้จารพระพุทธพจน์นั้นให้บริสุทธิ์ตามสติกำลัง...
พระเถระเจ้าทั้งหลาย สร้างพระธรรมวินัยโดยเหตุและวิธีต่าง ๆ ยังธรรมวินัยนั้น ๆ ให้สำเร็จไปและให้เขียนไว้ตราบเท่ากาลสำเร็จลงได้ การสร้างพระธรรมวินัยนั้น ๆ สำเร็จหลายพันผูก ทำให้อักษรงามบริบูรณ์กว่าแต่ก่อนตามกำลังความสามารถที่ทำได้ สิ้นวันและคืนนับได้ปีเศษ
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินทั้ง ๒ พระองค์ได้ให้บำรุงภิกษุสงฆ์ด้วยจตุปัจจัยทั้งหลายมีประการต่าง ๆ ใช่แต่เท่านั้นได้พระราชทานเครื่องวิจิตรต่าง ๆ เครื่องหอมกรุ่นต่าง ๆ เครื่องลาดต่าง ๆ จีวรผ้าโกสัยและกัปปาสิกสีงามต่าง ๆ ถลกบาตร สายบาตร สายโยก เหล็กไฟและล่วม แว่นกระจกและล่วม ฝักกำมลอ สักลาด และพัสดุต่าง ๆ ควรแก่สมณสารูป เรืองามต่าง ๆ มีเครื่องครุภัณฑ์ประดับงามวิจิตร เขียนทองทาทองต่าง ๆ
และโปรดเกล้าฯ ให้มีการฉลองบุญใหญ่เป็นการพระกุศลกรรมมีประการต่าง ๆ มีพระอาการเลื่อมใสทรงปีติโสมนัสในพระพุทธศาสนา ทรงดำรงกองบุญมีอเนกประการ ได้ทรงบำเพ็ญบารมีทั้งหลายเพื่อพระสัพพัญญุตญาณ
สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินทั้ง ๒ พระองค์นั้นได้ทรงสดับอานิสงส์ต่าง ๆ ที่มาในคัมภีร์ทั้งหลาย คือ
พระอานิสงส์วิหารทาน ๑
พระอานิสงส์ถวายอุโบสถาคารสถาน (โรงอุโบสถ) ๑
อานิสงส์ถวายเครื่องรองรับพระธาตุที่ฝังในเจติยสถาน ๑
อานิสงส์การสร้างมณฑปบรรจุพระธาตุและพระธรรม ๑
อานิสงส์การจารพระไตรปิฎกพุทธ-วจนะ ๑ แล้วโปรดให้สร้างตามเรื่องที่ได้ทรงสดับมานั้น..." (สังคีติยวงศ์, หน้า ๔๔๕)
(ยังมีต่อ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 12, 2023, 07:15:28 am โดย raponsan »

บันทึกการเข้า

ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ