ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ย้อนประวัติศาสตร์จากศาสนาแห่งการ ‘สละ’ สู่อาณาจักรแสนล้าน  (อ่าน 20 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29489
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
.



ย้อนประวัติศาสตร์จากศาสนาแห่งการ ‘สละ’ สู่อาณาจักรแสนล้าน

โพสต์ทูเดย์พาย้อนประวัติศาสตร์ หาต้นตอของความเชื่อที่ว่า ‘การบริจาคมากถือว่าได้บุญมาก' จนนำไปสู่การสร้างอาณาจักรแสนล้านของวงการพระสงฆ์

‘วงการสงฆ์ไทย’ โดนแฉแทบทุกปี! ไม่เคยเว้น โซเชียลมีเดียก็ลงเหน็บแนมกันเป็นนัยๆ ว่าอยากรวยก็ต้องประกอบอาชีพ ‘พระ’ เพราะคาดว่ามีเงินหมุนเวียนในระบบระดับแสนล้านหรืออาจจะถึงล้านล้านแทบทุกปี มากกว่างบประมาณบางกระทรวงด้วยซ้ำไป!

ไม่ต้องพูดถึงการจัดการภายในของสำนักงานพระพุทธศาสนา ที่ไม่สามารถสร้างความโปร่งใสให้เกิดขึ้นได้ จนเกิดคำว่า ‘พุทธพาณิชย์’ เห็นวัดเร่ขายของศักดิ์สิทธิ์ ของบูชากันเนืองๆ จนต้องตั้งคำถามว่านี่คือ ‘หลักธรรม’ ของพุทธศาสนาที่แท้จริงอย่างนั้นหรือ? แล้วทำไมถึงไม่จัดการ

และไม่ต้องพูดถึงพระชั้นผู้ใหญ่บางองค์ ที่สะสมอำนาจ ใช้สเตตัสอยู่ในผ้าเหลืองเป็นแหล่งฟอกเงิน แหล่งจับคนระดับบนๆ มาแมทชิ่งกันให้เกิดผลประโยชน์ จนเกิดเป็นลูกศิษย์ลูกหา ยิ่งกว่ามาเฟีย!

เรื่องนั้น เป็นเรื่องของระบบ ที่กว่าจะจัดการได้น่าจะนาน!  แต่สำหรับระดับพุทธศาสนิกชน หากใครไม่บังคับให้เราบริจาคหรือจ่ายเงิน ก็ไม่มีใครดึงเงินออกจากกระเป๋าได้หรือไม่? เงินของทุกคน เจตนาของทุกคนที่บริจาคคือหนึ่งในต้นตอของปัญหานี้ด้วยหรือไม่

โพสต์ทูเดย์ จะพาย้อนรอยประวัติศาสตร์ ว่าความเชื่อที่ฝังรากลึกๆ ของคนไทยเรื่อง ‘การทำบุญ’ บริจาค หวังลาภยศ เงินทองนั้น มันมาได้อย่างไรกันแน่



เรื่องราวขององคุลีมาล


ไทม์ไลน์ความเชื่อ ‘เปลี่ยนทานเป็นบุญ’



 :96: :96:

(1) สมัยพุทธกาล

พระพุทธเจ้าสอนเรื่องของการให้ ‘ทาน’ เพื่อฝึกฝนให้มนุษย์ละความโลภ และลดความยึดมั่นถือมั่น จึงปรากฎเรื่องของทานในพระสูตรต่างๆ  และเป็นหนึ่งในบารมี 10 ประการ ที่เป็นธรรมะขั้นต้นในการฝึกตนก่อนเข้าสู่ธรรมะขั้นสูง

ตัวอย่างเหตุการณ์ที่สำคัญคือ เรื่องของ องคุลีมาล ที่แสดงให้เห็นถึงอำนาจของ 'ธรรมทาน' หรือการให้ธรรมะแทนการให้วัตถุสิ่งของ ซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตของผู้ที่เคยหลงผิดให้กลับกลายเป็นพระอริยบุคคลได้

แม้ว่าในสมัยดังกล่าวจะมีเรื่องราวของ อนาถบิณฑิกะเศรษฐี ซึ่งใช้ทรัพย์มหาศาลซื้อที่ดินถวายสร้างวัดให้พระพุทธเจ้า หรือพระเจ้าพิมพิสารแห่งแคว้นมคธ ที่ถวายสวนหลวงเพื่อเป็นวัดพุทธแห่งแรกในประวัติศาสตร์

    "แต่ในยุคนี้ยังไม่มีแนวคิดหรือความเชื่อที่เชื่อมโยงว่า การให้ทานสามารถเกิดบุญที่เอาไปแลกเปลี่ยนเป็นสิ่งตอบแทนได้  เช่น ให้ทานเพื่อหวังจะรำ่รวยมากขึ้น ให้ทานเพื่อหวังจะเจริญด้วยลาภยศสรรเสริญ"

การให้ทานในยุคนี้เป็นแค่หนึ่งในองค์ประกอบของการพัฒนาตนเองเท่านั้น เพื่อที่ลดตัวตนของตนเอง และ เสริมสร้างจิตใจที่เสียสละ โดยในพระไตรปิฎก ได้มีการบันทึกคำสอนไว้เกี่ยวกับทานสูตร ว่า

“ภิกษุทั้งหลาย เราตถาคตกล่าวว่า ทานที่ให้แล้วด้วยศรัทธา… ด้วยใจเลื่อมใส ด้วยมือสะอาด ด้วยจิตมั่นหมายว่า ‘สิ่งนี้จักสำเร็จผล’ ทานนั้นแล ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก”



ภาพจำลองพระเจ้าอโศกมหาราชกับการสร้างสถูปหลายแห่งในชมพูทวีป

 
(2) จุดเปลี่ยน ‘ยุคพระเจ้าอโศกมหาราช’ เมื่อทานกลายเป็นระบบหนึ่งของรัฐ

ในยุคของพระเจ้าอโศกมหาราช ซึ่งครองราชย์ราวปี พ.ศ.270-312 พระองค์ได้นำพุทธศาสนาไปสู่ระดับรัฐและประชาชนวงกว้าง โดยใช้หลักธรรมในการปกครองประชาชน รวมถึงการให้ทาน โดยขยายจากการให้ทานกับพระสงฆ์ไปสู่ประชาชนและคนยากไร้

ที่สำคัญคือพระองค์ทรงเผยแพร่คำสอนทางพุทธศาสนาอย่างกว้างขวางตามหลักที่ว่า การให้ธรรมเป็นทานสูงสุด  พร้อมๆ ไปกับการสร้างเจดีย์กว่า 84,000 องค์ทั่วชมพูทวีปเพื่อถวายเป็น ‘พุทธบูชา’

    "การขยายการสร้างเจดีย์ในนัยหนึ่งคือการแสดงถึงความศรัทธา แต่อีกนัยหนึ่งคือการเริ่มสะสมบุญจากการสร้าง ‘พุทธบูชา’ ไปตามพื้นที่ต่างๆ จุดนี้เองที่ทำให้การทำบุญด้วยสิ่งปลูกสร้างกลายเป็นพฤติกรรมหลักของรัฐพุทธในยุคนั้น เพราะเชื่อว่าการสร้างวัด เจดีย์ สถูป เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดผลบุญมาก"

ในยุคนี้เกิดแนวคิดว่าสามารถแลกบุญกับผลลัพธ์ทั้งในโลกนี้และโลกหน้าได้ จนทำให้เกิด ‘การสะสมบุญ’ ซึ่งแตกต่างจากคำสอนของพุทธศาสนาดั้งเดิม ที่ระบุว่าการให้ทานนั้น แม้ว่าจะมีผลต่อชาตินี้หรือชาติหน้า แต่ต้องทำด้วยเจตนาที่ดีและไม่หวังผล



ภาพจำลองการทำบุญของชาวอยุธยา

 
(3) สมัยอยุธยา เมื่อบุญกลายเป็นทุนทางสังคม

ในสมัยนี้มีคำว่า ‘บุญญาธิการ’ ปรากฎขึ้นอยู่บ่อยครั้ง ไม่ว่าจะในพงศาวดาร หนังสือราชการต่างๆ

คำว่า บุญญาธิการ มีความหมายว่า บุญที่ได้กระทำไว้มากยิ่ง ไว้ใช้สรรเสริญบุคคลสำคัญที่ทำงานแล้วสำเร็จลุล่วงแม้จะมีอุปสรรคหรือความยากลำบากเพียงไรก็สามารถฝ่าฟันไปได้โดยตลอดว่า เป็นผู้มีบุญญาธิการ   โดยจะพบว่าเวลาที่มีคนได้สิ่งใดหรือประสบความสำเร็จ ก็จะบอกว่าเป็นคนมีบุญ นัยหนึ่งคือสังคมไทยถูกหล่อหลอมว่า การประสบความสำเร็จนั้นไม่ใช่แค่มีอำนาจเท่านั้น แต่ต้องมีบุญด้วย

แนวคิดนี้เด่นชัดขึ้น โดยเฉพาะในชนชั้นสูง เช่นการที่พระมหากษัตริย์สร้างวัดหลวงประจำพระราชวัง โดยถือว่าการสร้างวัด เป็นการแสดงบุญญาธิการสูงสุด ของกษัตริย์  หรือการหล่อพระพุทธรูปทองคำ ก็ถือเป็นการเสริมบุญอีกด้วย

ที่น่าคิดตามมาคือ ในยุคนี้จะได้เห็นชนชั้นปกครองใช้บุญเพื่อเป็นเครื่องมือหนึ่งที่ช่วยรักษาสถานะ เสริมบุญบารมีของตน  ในขณะที่ราษฎรจะหวังพึ่ง ‘บุญ’ เพื่อเปลี่ยนฐานะและความเป็นอยู่ของตนในชาตินี้หรือชาติหน้า

 

การศึกษาในสมัยก่อนที่ขึ้นอยู่กับวัด

 
(4) การเปลี่ยนแปลงสมัย ร.5 เมื่อคณะสงฆ์ถูกจัดระเบียบ

ก่อนสมัยรัชกาลที่ 5 วัดเป็นศูนย์กลางการศึกษาของสังคมไทย เด็กชายจะเข้าไปบวชเรียนที่วัดเพื่อรับการศึกษาขั้นพื้นฐาน การอ่านการเขียน และหลักธรรมทางพุทธศาสนา แต่การปฏิรูปการศึกษาในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้เปลี่ยนแปลงบทบาทนี้ โดยการประกาศใช้พระราชบัญญัติประถมศึกษา ร.ศ. 121 (พ.ศ. 2445) กำหนดให้เด็กไทยทุกคนต้องได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐาน นอกจากนี้ยังก่อตั้งโรงเรียนหลวงและโรงเรียนราษฎร์ขึ้นทั่วประเทศ ทำให้ระบบการศึกษาเปลี่ยนจากการเรียนที่วัดมาเป็นการเรียนในโรงเรียนสมัยใหม่ที่มีหลักสูตรแบบตะวันตก

การเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลให้บทบาทของวัดในฐานะศูนย์กลางการศึกษาของชุมชนลดลง วัดสูญเสียงบประมาณสนับสนุนจากรัฐที่เคยได้รับในฐานะสถาบันการศึกษา วัดต้องพึ่งพาการทำบุญจากประชาชนมากขึ้นเพื่อความอยู่รอด เกิดการแข่งขันระหว่างวัดในการดึงดูดศรัทธาจากประชาชน บางวัดเริ่มปรับตัวด้วยการสร้างสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือวัตถุมงคลเพื่อดึงดูดผู้ที่ต้องการทำบุญ

    "ต่อมาในปี พ.ศ.2475 กระแสทุนนิยมเริ่มเข้ามาในประเทศไทย และเกิดการตั้งคำถามเกี่ยวกับทรัพย์สินและที่ดินของวัดซึ่งมีจำนวนมากแต่ไม่ได้ถูกนำมาใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ จนทำให้มีการออกกฎหมายและระเบียบต่างๆ เพื่อควบคุมการบริหารจัดการทรัพย์สินของวัด"

เช่น พระราชบัญญัติควบคุมการเรี่ยไร พ.ศ. 2487 ที่กำหนดให้การเรี่ยไรเพื่อศาสนาต้องได้รับอนุญาตจากทางการ หรือ การจัดตั้งสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (เดิมคือกองพุทธศาสนสถาน) เพื่อดูแลกิจการและทรัพย์สินของวัด เป็นต้น

วัดบางแห่งเริ่มหาบทบาทใหม่ในสังคมและเกิดการสร้างและจำหน่ายวัตถุมงคลเพื่อระดมทุนในการบำรุงวัด รวมไปถึงวัดเริ่มพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางศาสนาและวัฒนธรรม



จอมพลสฤษดิ์ฺ ธนะรัชต์

 
(5) จอมพลสฤษดิ์ กับแนวคิด ‘ทำบุญเสริมโชคลาภ’ ที่เฟื่องฟู

ยุคนี้เป็นยุคที่เศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างก้าวกระโดด ขณะเดียวกันรัฐภายใต้ยุคจอมพลสฤษดิ์ ได้อนุมัติงบประมาณจำนวนมากเพื่อกิจการพุทธศาสนา และกำหนดให้การส่งเสริมพุทธศาสนาเป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญของรัฐ จอมพลสฤษดิ์เองมักจะปรากฎในงานสำคัญของวัดหลายแห่ง และอุปถัมภ์พระเกจิอาจารย์ชื่อดังหลายรูป

    "ในยุคนี้ก็เกิดพระเกจิชื่อดังของเมืองไทยที่ได้รับความนิยมสูงทั้งในสายด้านวิปัสสนาและอิทธิปาฎิหาริย์ จนผู้คนแสวงหาพระอาจารย์เหล่านี้เพื่อดลบันดาลโชคลาภและความสำเร็จให้แก่ตนเอง"

ขณะเดียวกันวัตถุมงคลในเชิงของพาณิชย์ก็ได้รับความนิยมสูงสุดในประวัติศาสตร์ มีการจัดประกวดพระเครื่องและตลาดซื้อขายพระเครื่องอย่างเป็นระบบ เพราะเชื่อว่าการครอบครองวัตถุมงคลเหล่านี้เป็นการสะสมบุญและนำโชคลาภมาให้  รวมไปถึงเกิดความเชื่อที่ว่าทำบุญกับพระที่มีบารมีสุงจะได้บุญมากกว่า

ส่วนวัดเองที่ต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดก็ปรับตัวเข้ากับความต้องการของผู้ทำบุญดังกล่าว สร้างพิธีกรรมและกิจกรรมที่ตอบสนองต่อผู้มาทำบุญ จนเรียกได้ว่ายุคนี้เป็นจุดเริ่มต้นของ ‘พุทธพาณิชย์’ อย่างเต็มรูปแบบ

ทั้งนี้ ในงานวิจัยของพระมหาหรรษา ธมฺมหาโส (นิธิบุณยากร) เรื่อง "พุทธศาสนากับการเมืองไทยหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 ถึงปัจจุบัน" พบว่าช่วงรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์มีการใช้พุทธศาสนาเป็นเครื่องมือสร้างความชอบธรรมและความเป็นปึกแผ่นของชาติอย่างชัดเจน

หลังจากนั้นก็เป็นไปอย่างเช่นปัจจุบัน จนสังคมต้องออกมาตั้งคำถามถึงความอู้ฟู่ของวัด ซึ่งเกินกว่าที่ 'พระ' จำเป็นจะต้องมี!



ล่าสุดกับกรณีทิดแย้ม

 
ไทม์ไลน์ประวัติศาสตร์ที่ย้อนให้เห็นนี้ หวังว่าคงทำให้ ‘คนไทย’ ต้องกลับไปนั่งคิดทบทวนให้ดี ว่า ‘ความเชื่อ’ ที่มีว่าทำบุญมากจะร่ำรวย ทำบุญมากยิ่งได้ยศฐาบรรดาศักดิ์นั้น เป็นคำสอนของพุทธศาสนาจริงหรือไม่

หรือสุดท้าย เพียงแค่ว่า เรากำลังตกเป็นเครื่องมือของ รัฐ การเมือง ทุนนิยม เท่านั้น.




 
Thank to : https://www.posttoday.com/smart-life/724193
18 พฤษภาคม 2568 | พีร์ญาดา ประสูตร์แสงจันทร์
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ