ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: มูลศิริ ลูกชาย ของ สุนัขที่หมิ่นพระพุทธเจ้า อยากอ่านเรื่องนี้  (อ่าน 4547 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ครูนภา

  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +25/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 608
  • ภาวนา ร่วมกับพวกท่าน แล้วสุขใจ
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
มูลศิริ ลูกชาย ของ สุนัขที่หมิ่นพระพุทธเจ้า อยากอ่านเรื่องนี้
ใครหาให้อ่านได้บ้างคะ พอดีได้รับฟังใน RDN คะ

 แล้วคิดขึ้นมาได้ว่า คนที่หมิ่น ปรามาสพระพุทธเจ้า แล้วไปเกิดเป็นสุนัข แล้ว ขนาดเป็นสุนัข ก็ยังไปเห่าอีก

 อยากให้คนที่คิดปรามาส พระพุทธเจ้าได้ตระหนักในเรื่องนี้บ้างคะ

  :25: :25: :25:
บันทึกการเข้า
ศรัทธา ปัญญา ขันติ ความเพียร คุณสมบัติผู้ภาวนา
ขอเป็นกัลยาณมิตร กับทุกท่าน ที่เป็นกัลยาณมิตร

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28450
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0

๓. เรื่องอานนทเศรษฐี [๔๗]
   
           
              ข้อความเบื้องต้น               
               พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในกรุงสาวัตถี ทรงปรารภอานนทเศรษฐี ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "ปุตฺตามตฺถิ ธนมตฺถิ" เป็นต้น.

               อานนทเศรษฐีสั่งสอนบุตรให้ตระหนี่              
               ได้ยินว่า ในกรุงสาวัตถี เศรษฐีชื่ออานนท์ มีสมบัติประมาณ ๘๐ โกฏิ (แต่) เป็นคนตระหนี่มาก. อานนทเศรษฐีนั้นให้พวกญาติประชุมกันทุกกึ่งเดือนแล้ว กล่าวสอนบุตร (ของตน) ผู้ชื่อว่ามูลสิริ ใน ๓ เวลาอย่างนี้ว่า "เจ้าอย่าได้ทำความสำคัญว่า ‘ทรัพย์ ๔๐ โกฏินี้มาก’, เจ้าไม่ควรให้ทรัพย์ที่มีอยู่, ควรยังทรัพย์ใหม่ให้เกิดขึ้น, เพราะเมื่อบุคคลทำกหาปณะแม้หนึ่งๆ ให้เสื่อมไป ทรัพย์ย่อมสิ้นด้วยเหมือนกัน; เพราะเหตุนั้น

                         บุคคลผู้ฉลาดพึงเห็นความสิ้นแห่งยาสำหรับ
               หยอด (ตา) ความก่อขึ้นแห่งตัวปลวกทั้งหลาย และ
               การประมวลมาแห่งตัวผึ้งทั้งหลาย พึงอยู่ครองเรือน.

               อานนทเศรษฐีตายไปเกิดในตระกูลคนจัณฑาล               
               โดยสมัยอื่นอีก อานนทเศรษฐีนั้นไม่บอกขุมทรัพย์ใหญ่ ๕ แห่งของตนแก่บุตร อาศัยทรัพย์ มีความหม่นหมองเพราะมลทิน คือความตระหนี่ ทำกาละแล้ว, ถือปฏิสนธิในท้องของหญิงจัณฑาลคนหนึ่ง ในจำพวกจัณฑาลพันตระกูล ที่อยู่อาศัยในบ้านใกล้ประตูแห่งหนึ่ง แห่งพระนครนั้นนั่นเอง.

               พระราชาทรงทราบการทำกาละของอานนทเศรษฐีแล้ว รับสั่งให้เรียกมูลสิริผู้บุตรของเขามา ทรงตั้งไว้ในตำแหน่งเศรษฐี.
               ตระกูลแห่งคนจัณฑาลตั้งพันแม้นั้น ทำงานเพื่อค่าจ้างโดยความเป็นพวกเดียวกันเทียว เป็นอยู่ จำเดิมแต่กาลถือปฏิสนธิของทารกนั้น ย่อมไม่ได้ค่าจ้างเลย ทั้งไม่ได้ แม้ก้อนข้าวเกินไปกว่าอาหารพอยังอัตภาพให้เป็นไป.

               พวกเขากล่าวว่า "บัดนี้ เราทั้งหลายแม้ทำการงานอยู่ ย่อมไม่ได้อาหารสักว่าก้อนข้าว, หญิงกาลกิณีพึงมีในระหว่างเราทั้งหลาย" ดังนี้แล้ว จึงแยกกันออกเป็น ๒ พวก จนแยกมารดาบิดาของทารกนั้นอยู่แผนกหนึ่งต่างหาก, ไล่มารดาของทารกนั้นออก ด้วยคิดว่า "หญิงกาลกิณีเกิดในตระกูลนี้."

               ทารกนั้นยังอยู่ในท้องของหญิงนั้นตราบใด, หญิงนั้นได้อาหาร แม้สักว่ายังอัตภาพให้เป็นไปโดยฝืดเคืองตราบนั้น คลอดบุตรแล้ว. ทารกนั้นได้มีมือและเท้า นัยน์ตา หู จมูก และปากไม่ตั้งอยู่ในที่ตามปกติ. ทารกนั้นประกอบด้วยความวิกลแห่งอวัยวะเห็นปานนั้น ได้มีรูปน่าเกลียดเหลือเกิน ดุจปิศาจคลุกฝุ่น.

               แม้เมื่อเป็นเช่นนี้ มารดาก็ไม่ละบุตรนั้น.
               จริงอยู่ มารดาย่อมมีความเยื่อใยเป็นกำลังในบุตรที่อยู่ในท้อง. นางเลี้ยงทารกนั้นอยู่โดยฝืดเคือง, ในวันที่พาเขาไป ไม่ได้อะไรๆ เลย, ในวันที่ให้เขาอยู่บ้านแล้วไปเองนั่นแล จึงได้ค่าจ้าง.


               มารดาปล่อยบุตรไปขอทานเลี้ยงชีพเอง              
               ต่อมา ในกาลที่ทารกนั้นสามารถเที่ยวไป เพื่อก้อนข้าวเลี้ยงตัวได้ นางวางกระเบื้องไว้บนมือแล้ว กล่าวกะบุตรนั้นว่า "พ่อ แม่อาศัยเจ้า ถึงความลำบากมาก, บัดนี้ แม่ไม่อาจเลี้ยงเจ้าได้, อาหารวัตถุทั้งหลายมีข้าวเป็นต้นที่เขาจัดไว้ เพื่อคนทั้งหลายมีคนกำพร้าและคนเดินทางเป็นต้น มีอยู่ในนครนี้, เจ้าจงเที่ยวไปเพื่อภิกษาในนครนั้นเลี้ยงชีพเถิด." ดังนี้แล้ว ปล่อยบุตรนั้นไป.

               ทารกนั้นเที่ยวไปตามลำดับเรือน ถึงที่แห่งตนเกิดในคราวเป็นอานนทเศรษฐีแล้ว เป็นผู้ระลึกชาติได้ เข้าไปสู่เรือนของตน. ใครๆ ไม่ได้สังเกตเขาในซุ้มประตูทั้งสาม ในซุ้มประตูที่ ๔ พวกบุตรของมูลสิริเศรษฐีเห็น (เขา) แล้วมีใจหวาดเสียวร้องไห้แล้ว.

               ลำดับนั้น พวกบุรุษของเศรษฐีกล่าวกะทารกนั้นว่า "เองจงออกไป คนกาลกิณี" โบยพลางนำออกไปโยนไว้ที่กองหยากเยื่อ.



               พระศาสดาแสดงธรรมแก่มูลสิริเศรษฐี               
               พระศาสดามีพระอานนทเถระเป็นปัจฉาสมณะ เสด็จบิณฑบาตถือที่นั้นแล้ว ทอดพระเนตรดูพระเถระ อันพระเถระนั้นทูลถามแล้ว ตรัสบอกพฤติการณ์นั้น,
               พระเถระให้เชิญมูลสิริเศรษฐีมาแล้ว. หมู่มหาชนประชุมกันแล้ว.


               พระศาสดาตรัสเรียกมูลสิริเศรษฐีมาแล้ว ตรัสถามว่า "ท่านรู้จักทารกนั่นไหม?" เมื่อมูลสิริเศรษฐีนั้นทูลว่า "ไม่รู้จัก" จึงตรัสว่า "ทารกนั้น คืออานนทเศรษฐีผู้บิดาของท่าน" แล้วยังทารกนั้นให้บอก (ขุมทรัพย์) ด้วยพระดำรัสว่า "อานนทเศรษฐี ท่านจงบอกขุมทรัพย์ใหญ่ ๕ แห่งแก่บุตรของท่าน" แล้วทรงยังมูลสิริเศรษฐีผู้ไม่เชื่ออยู่นั้นให้เชื่อแล้ว. มูลสิริเศรษฐีนั้นได้ถึงพระศาสดาเป็นสรณะแล้ว.

               พระศาสดา เมื่อจะทรงแสดงธรรมแก่มูลสิริเศรษฐีนั้น จึงตรัสพระคาถานี้ว่า :-
                         ๓.    ปุตฺตา มตฺถิ ธนมตฺถิ                   อิติ พาโล วิหญฺญติ
                            อตฺตา หิ อตฺตโน นตฺถิ    กุโต ปุตฺตา กุโต ธนํ.
                            คนพาล ย่อมเดือดร้อนว่า ‘บุตรทั้งหลายของเรามีอยู่,
                            ทรัพย์ (ของเรา) มีอยู่’, ตนแลย่อมไม่มีแก่ตน, บุตร
                            ทั้งหลายจักมีแต่ที่ไหน? ทรัพย์จักมีแต่ที่ไหน?


              แก้อรรถ               
               พึงทราบเนื้อความแห่งคาถานั้นว่า :-
               "คนพาลย่อมเดือดร้อนด้วยความอยากในบุตร และด้วยความอยากในทรัพย์ว่า ‘บุตรทั้งหลายของเรามีอยู่, ทรัพย์ของเรามีอยู่’, คือย่อมลำบาก ย่อมถึงทุกข์, คือย่อมเดือดร้อนว่า ‘บุตรทั้งหลายของเราฉิบหายแล้ว’, ย่อมเดือดร้อนว่า ‘ฉิบหายอยู่’, ย่อมเดือดร้อนว่า ‘จักฉิบหาย."

               แม้ในทรัพย์ก็มีนัยนี้เหมือนกัน.
               คนพาลย่อมเดือดร้อนด้วยอาการ ๖ อย่าง ด้วยประการฉะนี้,
               คนพาล แม้พยายามอยู่ในที่ทั้งหลายมีทางบกและทางน้ำเป็นต้น ทั้งกลางคืนและกลางวันโดยประการต่างๆ ด้วยคิดว่า ‘เราจักเลี้ยงบุตรทั้งหลาย’ ชื่อว่าย่อมเดือดร้อน,

               แม้ทำกรรมทั้งหลายมีการทำนาและการค้าขายเป็นต้น ด้วยคิดว่า ‘เราจักยังทรัพย์ให้เกิดขึ้น’ ชื่อว่าย่อมเดือดร้อนเหมือนกัน;
               ก็เมื่อเขาเดือดร้อนอยู่อย่างนี้ ตนแลชื่อว่าย่อมไม่มีแก่ตน,
               เมื่อเขาไม่อาจทำตนที่ถึงทุกข์ด้วยความคับแค้นนั้นให้ถึงสุขได้ แม้ในปัจจุบันกาล ตนของเขาแล ชื่อว่าย่อมไม่มีแก่ตน,


               เมื่อเขานอนแล้วบนเตียงเป็นที่ตาย ถูกเวทนาทั้งหลายมีความตายเป็นที่สุด เผาอยู่ราวกะว่าถูกเปลวเพลิงเผาอยู่ เมื่อเครื่องต่อและเครื่องผูก (เส้นเอ็น) จะขาดไป เมื่อร่างกระดูกจะแตกไป แม้เมื่อเขาหลับตาเห็นโลกหน้า ลืมตาเห็นโลกนี้อยู่

               ตนแล แม้อันเขาให้อาบน้ำวันละ ๒ ครั้ง ให้บริโภควันละ ๓ ครั้ง ประดับด้วยของหอมและระเบียบดอกไม้เป็นต้น เลี้ยงแล้วตลอดชีวิต ก็ชื่อว่าย่อมไม่มีแก่ตน
               เพราะความที่ตนเป็นผู้ไม่สามารถจะทำเครื่องต้านทานทุกข์ โดยความเป็นสหายได้, บุตรจักมีแต่ที่ไหน? ทรัพย์จักมีแต่ที่ไหน?


               คือว่าในสมัยนั้น บุตรหรือทรัพย์จักทำอะไรได้เล่า? แม้เมื่ออานนทเศรษฐีไม่ให้อะไรๆ แก่ใครๆ รวบรวมทรัพย์ไว้เพื่อประโยชน์แก่บุตร นอนบนเตียงเป็นที่ตายในกาลก่อนก็ดี ถึงทุกข์นี้ในบัดนี้ก็ดี, บุตรแต่ที่ไหน? ทรัพย์แต่ที่ไหน? คือว่าบุตรหรือทรัพย์นำทุกข์อะไรไปได้? หรือให้สุขอะไรเกิดขึ้นได้เล่า?"

             ในกาลจบเทศนา การตรัสรู้ธรรมได้มีแก่สัตว์ ๘๔,๐๐๐.
               เทศนาได้มีประโยชน์แก่มหาชนแล้ว ดังนี้แล.

               เรื่องอานนทเศรษฐี จบ.               


อ้างอิง
อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท พาลวรรคที่ ๕
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=15&p=3
อ่าน เนื้อความในพระไตรปิฎก
http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=25&A=434&Z=478
ขอบคุณภาพจาก http://www.dmc.tv,http://board2.yimwhan.com,http://forum.uamulet.com
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 25, 2011, 10:02:02 pm โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28450
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0




   ต้องขอโทษล่วงหน้า หากเรื่องนี้ไม่ตรงใจครูนภา เพราะเรื่องนี้ไม่มีสุนัขมาเกี่ยวข้องเลย
   ผมจำได้ว่า เรื่องสุนัขไปตะกุยดินตรงที่ฝั่งขุมทรัพย์ เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องพราหมณ์คนหนึ่ง
   ที่ไม่เลื่อมใสในพระพุทธเจ้า โดยเชื่อว่า คนเป็นพราหมณ์เมื่อตายแล้ว จะต้องไปเกิดเป็นพรหมเท่านั้น
   พระพุทธองค์เลยต้องแสดงให้เห็นว่า บิดาของพราหมณ์คนนั้นไปเกิดเป็นสุนัข


   ใช่หรือไม่ใช่อย่างไร ช่วยแจ้งสักนิด  :49:
   
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 25, 2011, 10:02:50 pm โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28450
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


เรื่อง "สุภมาณพ บุตรของ โตเทยยพราหมณ์."

    ในสูตรนั้น บทว่า สุโภ ความว่า ได้ยินว่า เขาเป็นคนน่าดู น่าเลื่อมใส. ด้วยเหตุนั้น ญาติทั้งหลายจึงตั้งชื่อเขาว่า สุภะ เพราะความที่เขามีอวัยวะงาม. แต่ได้เรียกเขาว่า มาณพในกาลเป็นหนุ่ม. เขาถูกเรียกโดยโวหารนั้นแล แม้ในกาลเป็นคนแก่.

               บทว่า โตเทยฺยปุตฺโต ได้แก่ บุตรของพราหมณ์ปุโรหิตของพระเจ้าปเสนทิโกศล ชื่อว่าโตเทยยะ. ได้ยินว่า เขาถึงอันนับว่าโตเทยยะ เพราะเขาเป็นใหญ่แห่งบ้านชื่อว่าตุทิคาม ซึ่งมีอยู่ใกล้กรุงสาวัตถี. ก็เขาเป็นผู้มีทรัพย์มาก มีสมบัติถึง ๘๗ โกฏิ แต่มีความตระหนี่จัด. เมื่อจะให้ก็คิดว่า ขึ้นชื่อว่าความไม่สิ้นเปลืองของโภคะทั้งหลายไม่มี จึงไม่ให้อะไรแก่ใครๆ.

               สมดังคำที่ท่านกล่าวไว้ว่า
                                   บัณฑิตเห็นความสิ้นไปแห่งยาหยอดตา
                         ทั้งหลาย การสะสมของตัวปลวกทั้งหลาย และ
                         การรวบรวมของตัวผึ้งทั้งหลายแล้ว พึงอยู่ครอง
                         เรือน.


               เขาให้สำคัญอย่างนี้ ตลอดกาลนานทีเดียว. เขาไม่ให้วัตถุสักว่ายาคูกระบวยหนึ่ง หรือภัตสักทัพพี แด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ประทับอยู่ในวิหารใกล้ ทำกาละด้วยความโลภในทรัพย์ ไปเกิดเป็นสุนัขในเรือนนั้นเทียว. สุภะรักสุนัขนั้นมากเหลือเกิน ให้กินภัตที่ตนบริโภคนั้นแหละ ยกขึ้นให้นอนในที่นอนอันประเสริฐ.


               อยู่มาวันหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรวจดูโลกในสมัยใกล้รุ่ง ทรงเห็นสุนัขนั้นแล้ว ทรงดำริว่า โตเทยยพราหมณ์ตายไปเกิดเป็นสุนัขในเรือนของตนเทียว เพราะความโลภในทรัพย์ วันนี้ เมื่อเราไปสู่เรือนของสุภะ สุนัขเห็นเราแล้ว จักทำการเห่าหอน.

         ลำดับนั้น เราจักกล่าวคำหนึ่งแก่สุนัขนั้น สุนัขนั้นจะรู้เราว่าเป็นสมณโคดม แล้วไปนอนในที่เตาไฟ เพราะข้อนั้นเป็นเหตุ สุภะจักมีการสนทนาอย่างหนึ่งกับเรา สุภะนั้นฟังธรรมแล้ว จักตั้งอยู่ในสรณะทั้งหลาย ส่วนสุนัขตายไปแล้วจักเกิดในนรก ดังนี้.



              พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรู้ความที่มาณพจะตั้งอยู่ในสรณะทั้งหลายนี้แล้ว ในวันนั้นทรงปฏิบัติพระสรีระ เสด็จไปสู่เรือนนั้นเพื่อทรงบิณฑบาต โดยขณะเดียวกันกับมาณพออกไปสู่บ้าน.

      สุนัขเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ทำการเห่าหอน ไปใกล้พระผู้มีพระภาคเจ้า. แต่นั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสคำนี้กะสุนัขนั้นว่า แน่ะโตเทยยะ เจ้าเคยกล่าวกะเราว่า ผู้เจริญๆ ไปเกิดเป็นสุนัข แม้บัดนี้ ทำการเห่าหอนแล้ว จักไปสู่อเวจี ดังนี้.

      สุนัขฟังพระดำรัสนั้นแล้ว รู้เราว่าเป็นสมณโคดม มีความเดือดร้อน ก้มคอไปนอนในขี้เถ้า ในระหว่างเตาไฟ. มนุษย์ไม่อาจเพื่อจะยกขึ้นให้นอนบนที่นอนอันประเสริฐได้. สุภะมาแล้วพูดว่า ใครยกสุนัขนี้ลงจากที่นอนเล่า. มนุษย์พูดว่า ไม่มีใคร แล้วบอกเรื่องราวเป็นมานั้น.

     มาณพฟังแล้วโกรธว่า บิดาของเราไปเกิดในพรหมโลก ไม่มีสุนัขชื่อโตเทยยะ แต่พระสมณโคดมทรงทำบิดาให้เป็นสุนัข พระสมณโคดมนั้นพูดพล่อยๆ ดังนี้ เป็นผู้ใคร่จะข่มพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยคำเท็จ จึงไปสู่วิหารทูลถามประวัตินั้น.

               แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ตรัสอย่างนั้นเทียวแก่สุภมาณพนั้น เพื่อไม่ให้โต้เถียงกัน จึงตรัสว่า ดูก่อนมาณพ ก็ทรัพย์ที่บิดาของเธอไม่ได้บอกไว้มีอยู่หรือ. ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ มีหมวกทองคำราคาหนึ่งแสน รองเท้าทองคำราคาหนึ่งแสน และกหาปณะหนึ่งแสน.

     เจ้าจงไป จงถามสุนัขนั้นในเวลาให้กินข้าวปายาสมีน้ำน้อย แล้วยกขึ้นในที่นอนก้าวสู่ความหลับนิดหน่อย มันจะบอกทรัพย์ทั้งหมดแก่เจ้า. ลำดับนั้น เจ้าจะพึงรู้สุนัขนั้นว่า มันเป็นบิดาของเรา.


               มาณพดีใจแล้วด้วยเหตุ ๒ ประการ คือ ถ้าจักเป็นความจริง เราจะได้ทรัพย์ ถ้าไม่เป็นความจริง เราจักข่มพระสมณโคดมด้วยคำเท็จดังนี้ แล้วไปทำอย่างนั้น. สุนัขรู้ว่า เราอันมาณพนี้รู้แล้ว ทำเสียงร้อง หุง หุง ไปสู่สถานที่ฝังทรัพย์ ตะกุยแผ่นดินด้วยเท้าแล้วให้สัญญา.

  มาณพถือเอาทรัพย์แล้ว มีจิตเลื่อมใสในพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ธรรมดาสถานที่ปกปิดทรัพย์ปรากฏเป็นของละเอียด อยู่ในระหว่างปฏิสนธิอย่างนี้ นั่นเป็นสัพพัญญูของพระสมณโคดมแน่แท้ จึงรวบรวมปัญหา ๑๔ ปัญหา.



ที่มา
อรรถกถา มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ วิภังควรรค
จูฬกัมมวิภังคสูตร อรรถกถาสุภสูตร                 
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=14&i=579&p=1
อ่าน เนื้อความในพระไตรปิฎก
http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=14&A=7623&Z=7798
ขอบคุณภาพจาก www.kingthailand.com,www.oknation.net,http://palungjit.com


เรื่อง "สุภมาณพ บุตรของ โตเทยยพราหมณ์." อยู่ในอรรถกถา สองแห่ง คือ

  อรรถกถา ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค  "สุภสูตร"
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=9&i=314&p=1

  อรรถกถา มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ วิภังควรรค "จูฬกัมมวิภังคสูตร"
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=14&i=579&p=1
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 25, 2011, 11:39:37 pm โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

ครูนภา

  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +25/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 608
  • ภาวนา ร่วมกับพวกท่าน แล้วสุขใจ
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ขอบคุณมากคะ แต่ฟังจากรายการ มหาบุญช่วย ทาง RDN แสดงว่า ท่านมหาน่าจะเล่าผิดใช่หรือไม่คะ
ถ้าไม่ใช่เรื่องของ มูลศิริเศรษฐี

เรื่องยาวกำลังอ่านอยู่ คะ


  :c017: :c017: :c017:
บันทึกการเข้า
ศรัทธา ปัญญา ขันติ ความเพียร คุณสมบัติผู้ภาวนา
ขอเป็นกัลยาณมิตร กับทุกท่าน ที่เป็นกัลยาณมิตร