วิธีการตั้งจิตอธิษฐานให้ได้ผล
การจะตั้งจิตอธิษฐานให้ได้ผลชื่อของมันก็บอกไว้ตั้งแต่คำแรกเลยครับว่า “ตั้งจิต” แปลว่า จิตใจต้องมีความสงบแน่วแน่เป็นสมาธิและต้องมีความจดจ่ออยู่กับสิ่งที่เรา ต้องการจริงๆ ไม่วอกแวกหรือซัดส่ายออกไป
1. ทำสมาธิก่อน
ปกติแล้วจิตของคนเรามักจะซัดส่ายไปไหนต่อไหนได้ตลอดเวลาเพราะมีสิ่งเร้าที่ ทำให้มันไม่อยู่นิ่งๆ และมีสิ่งเร้าต่างๆ ที่จะทำให้มันขุ่นมัวให้ไหลไปในทางที่ต่ำลง ทำให้ความถี่ของจิตเกิดการสั่นสะเทือนด้วยความถี่ต่ำมันจึงไม่มีอำนาจจะ น้อมนำอะไรให้เกิดขึ้นมาได้ การที่จะทำให้จิตนิ่งคลื่นความถี่เรียบสงบก็คือ การทำสมาธิ
การทำสมาธิเป็นการข่มจิตให้แน่นิ่งอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งทางที่ง่ายและมีความปลอดภัยที่สุดคือการทำสมาธิแบบ “อานาปานสติ”โดยการกำหนดลมหายใจเข้าออกโดยการภาวนาตามลมหายใจ ซึ่งมีอยู่หลายแบบการภาวนา เช่นการภาวนาว่า “พุทธ” ขณะหายใจเข้า และภาวนาว่า “โธ” ขณะหายใจออก หรือไม่ก็ ยุบหนอ พองหนอ จนกระทั่งจิตเป็นสมาธิแล้วจึงได้เลิกภาวนากำหนดรับรู้ที่ลมหายใจอย่างเดียว เมื่อจิตนิ่งไม่สั่นไหว ไม่คิดเรื่องอื่น จิตก็มีความบริสุทธิ์ตามสูตรองค์ประกอบเลยครับ
2. นึกถึงบุญและความดีที่ได้กระทำมา
อย่างที่บอกครับว่า บุญเป็นอาหารและปัจจัยสำคัญในการอธิษฐานจิตให้มีพลังและประสบความสำเร็จ เพราะการทำบุญและได้ระลึกถึงบุญที่ได้ทำนั้นเป็นการยกระดับความถี่ของจิตให้ สูงขึ้นและลดแรงต้านจากจิตฝ่ายต่ำได้ดีด้วย จิตที่มีความถี่สูงนี้จะสามารถน้อมนำสิ่งที่มุ่งมาดปรารถนามาสู่เราได้จะ เห็นได้ว่าคนมักจะอธิษฐานขอพรต่างๆ หลังจากทำบุญแล้วเพราะเป็นช่วงเวลาที่จิตสงบผ่องใสที่สุด
3. เชื่อมบุญกุศลกับสิ่งที่ปรารถนาเอาไว้
นึกถึงบุญไม่พอครับต้องเชื่อมบุญไปยังสิ่งที่เรามุ่งความปรารถนาด้วย ขออธิบายเรื่องการเชื่อมบุญก่อนนะครับว่ามันคืออะไร “การเชื่อมบุญ” ก็คือ การนำบุญที่เราได้กระทำมานั้นส่งต่อไปยังสิ่งที่เราปรารถนาเพื่อเป็นกำลัง ส่งให้เกิดความสัมฤทธิ์ผลหรือส่งบุญไปให้ผู้อื่นเพื่อต้องการให้เขาเหล่า นั้นมีความสุข เพราะเมื่อคนอื่นมีความสุขเราก็จะมีความสุขไปด้วย
คนส่วนใหญ่เวลาทำบุญทำทานใดๆ แล้วจึงต้องมีการอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลไปให้คนที่ตัวเองนึกถึงหรือมีความ ปรารถนาดีให้เพื่อต้องการให้เขาได้รับบุญนั้นไปและเอาไปใช้อย่างมีความสุข ดังคำกล่าวอุทิศบุญหรือบทกรวดน้ำแบบพิสดาร ยกตัวอย่างเช่นการทำบุญแล้วเชื่อมบุญไปถึงพ่อกับแม่ให้ได้รับบุญในบทกรวดน้ำ ก็จะมีคำกล่าวว่า
“อิทังเม มาตาปิตูนัง โหตุ สุขิตา โหนตุ มาตาปิตะโร” ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จแก่บิดามารดาของข้าพเจ้า
ดังนั้นการอธิษฐานก็เช่นกันต้องส่งบุญไปยังสิ่งที่เราปรารถนาจะได้เป็นการ เชื่อมกันระหว่างจิตที่บริสุทธิ์กับสิ่งที่ปรารถนาให้ต่อติดถึงกัน
เรื่องการอุทิศบุญเชื่อมบุญนี่มีความสำคัญมากที่จะทำให้คำปรารถนาของเราเป็น จริงและมีความราบรื่น ยกตัวอย่างกรณีในอดีตชาติของ หมอชีวกโกมารภัจจ์ ขณะที่ท่านตั้งจิตอธิษฐานในอดีตชาติหลังจากทำบุญ พระพุทธเจ้าปทุมุตตระ ก็ตรัสว่า “เอวัง โหตุ” เป็นการส่งบุญที่ได้กลับคืนไปให้กับอดีตชาติของหมอชีวกโกมารภัจจ์ แปลว่า ขอโมทนาบุญนี้และขอให้คำอธิษฐานสัมฤทธิ์ผลตามความปรารถนาแล้วท่านก็ได้ใน สิ่งที่ต้องการจริงๆ
หากเป็นกรณีของสุเมธดาบส หลังจากได้รับคำพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าทีปังกร ท่านก็ได้นั่งลงพิจารณานึกถึงบุญของตัวเองที่ได้สั่งสมมา ทำให้ทราบว่าตนเองนั้นได้สั่งสมบุญบารมีมาหลายภพหลายชาติแล้วก็เชื่อมั่นว่า ตนเองจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าอย่างแน่นอน
รวมทั้ง มีเหล่าเทพยดาลงมากราบไหว้พร้อมกันมากมาย ก็ตั้งจิตอธิษฐานขอให้ผลบุญช่วยส่งให้ตนได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตแล้วจึง ได้เหาะกลับไปยังมหาอรัญวิเวก ซึ่งเป็นที่อยู่ของตน
ตัวอย่างที่สำคัญที่สุดก็คือ การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าหลังจากที่พระองค์ตั้งจิตอธิษฐานไปแล้วว่า หากไม่ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าจะไม่ลุกขึ้นเป็นอันขาด ด้วยความตั้งใจที่แน่วแน่บริสุทธิ์ขณะที่พระองค์กำลังต่อสู้กับพญามาร (ซึ่งในมุมมองของนักวิชาการทางพุทธศาสนาสมัยใหม่ตีความว่า พญามารนั้นที่แท้คือ กิเลสทั้งหลายที่ยังอยู่ในกมลสันดานความรัก ความโลภ ความโกรธ ความหลงทั้งหลาย) กิเลสเหล่านั้นถือเป็นมารอันใหญ่ที่ต้องใช้ความสามารถในการตัดทิ้งเป็นอย่าง มาก
พระองค์จึงต้องทำการเชื่อมบุญบารมีมาใช้ก็คือ ตอนที่พระองค์ทรงเชื่อมบุญด้วยการชี้นิ้วลงสู่ธรณีแล้วพระแม่ธรณีได้โผล่ ขึ้นมานำน้ำในมวยผม ซึ่งเป็นบุญของพระองค์เองมาเป็นพลังช่วยในการปัดกวาดล้างชำระกิเลสทั้งหลาย ที่อยู่ในกมลสันดานให้หมดสิ้น นอกจากพระองค์จะมีการตั้งพระทัยด้วยจิตใจอันบริสุทธิ์แน่วแน่แล้วยังเชื่อม บุญกับจุดประสงค์ที่พระองค์ได้ตั้งจิตเอาไว้ด้วย สิ่งที่พระพุทธองค์ตั้งความหวังเอาไว้จึงประสบความสำเร็จทุกประการ
4. เปล่งคำอธิษฐานด้วยความตั้งใจที่แน่วแน่
เมื่อเชื่อมบุญเรียบร้อยแล้วทีนี้ก็ตั้งจิตเอ่ยคำอธิษฐานที่ต้องการด้วยใจ ที่ตั้งมั่นเป็นสมาธิเลยครับการเปล่งอธิษฐานอาจเปล่งออกมาเป็นคำพูดหรือตั้ง จิตอธิษฐานในใจก็ได้ขอให้นึกถึงและพยายามตั้งจิตอธิษฐานเน้นย้ำๆ ซ้ำๆ ไปบ่อยๆ เป็นประจำเพื่อเป็นการตอกย้ำเจตนาทางจิตและจะส่งผลไปสู่การปฏิบัติด้วย ที่สำคัญคืออย่าเพิ่งกังวลกับ “ผล”ของการอธิษฐานนั้นว่าจะเป็นจริงหรือไม่ เพราะมีหลายคนที่อธิษฐานแล้วมักจะหวังให้ผลแห่งการอธิษฐานนั้นเกิดความ สัมฤทธิ์ผลทันทีหรืออยากได้ผลแบบรวดเร็วทันตาเห็น
แต่พอยังไม่ได้ในสิ่งนั้นก็เกิดมีความกังวลขึ้นมาแล้วทำให้พลอยเลิกอธิษฐาน ไปเลยพอเลิกอธิษฐานก็หมายถึงการเลิกเชื่อในผลบุญกุศลที่ตนเองได้ทำมาด้วย เพราะคิดว่าทำแล้วไม่ได้ผลอะไรไม่ทำเสียดีกว่าก็จะยิ่งแย่ไปกันใหญ่ การหวังผลที่จะได้รับนั้นมันเป็นเรื่องของกรรมด้วยครับ ยิ่งกังวลก็ยิ่งทำให้อำนาจจิตมีพลังลดทอนลงไปรบกวนสิ่งที่ปรารถนา ก็จะทำให้ผลที่ต้องการได้ล่าช้าออกไปอีก ดังนั้นขอให้เปล่งคำวาจาอธิษฐานด้วยความเชื่อมั่นไร้กังวลเชื่อว่ามันจะเป็น จริง แล้วมันก็จะเป็นจริงเองครับ
จากหลักการอธิษฐานข้อนี้ทำให้นึกได้ถึงการอธิษฐานขอเอาสรณะสามเป็นที่พึ่ง คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ในทางพระพุทธศาสนาครับที่พระพุทธองค์จะให้กล่าวถึง 3 ครั้ง ก็คือ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ แล้วว่าด้วย ทุติยัมปิ และ ตะติยัมปิก็เป็นการเน้นย้ำถึงเจตนา เพราะการพูดอะไรครั้งเดียวนั้นอาจเป็นการพูดเพียงครั้งเดียวลอยๆ อาจเป็นเพราะพูดในขณะที่สติยังเผลอตัวอยู่ไม่อาจเน้นย้ำถึงความตั้งใจที่ มุ่งมั่นและแสดงความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะทำให้เป็นจริงได้
แม้แต่ในเรื่องของการเขียนก็เหมือนกันครับ อย่างในอักษรเทวานาครีของพวกที่นับถือศาสนาพราหมณ์กล่าวว่าเป็นอักษร ศักดิ์สิทธิ์ใช้ในการสวดและประกอบพิธีกรรมทั้งหลายเพราะการเขียนแต่ละตัว ต้องเน้นย้ำเขียนกันด้วยสมาธิที่แน่วแน่แรงกล้าไม่เหมือนการเขียนอักษรภาษา อังกฤษหรือภาษาอื่นๆ ที่เขียนได้อย่างลวกๆ ไม่ได้เป็นการเน้นย้ำถึงเจตนา การอธิษฐานก็เช่นกันครับขอให้แน่วแน่และบ่อยๆครั้งเข้าไว้จะสัมฤทธิ์ผลได้ เช่นกัน
5. ต้องปฏิบัติตนให้สอดคล้องกับสิ่งที่ตั้งจิตอธิษฐานไปแล้ว
พูดจาภาษาชาวบ้านก็คือ “ปากร้องขอแล้วมือก็ต้องทำ” ด้วยครับถึงจะสมบูรณ์ไม่อย่างนั้นก็ไม่เกิดผลอะไรขึ้น ชีวกโกมารภัจจ์ไม่ได้จู่ๆ กลายเป็นแพทย์ประจำพระพุทธองค์ด้วยการอธิษฐานเพียงอย่างเดียว แต่ด้วยความมุมานะบากบั่นพยายามร่ำเรียนอยู่ในสำนักตักศิลาอยู่นานถึง 7 ปี
หลังเรียนจบแล้วยังไม่พอต้องไปสร้างชื่อเสียงด้วยการออกรักษาผู้ป่วยทั้งยาก ดีมีจนทั้งหลาย กว่าจะได้เป็นแพทย์ประจำราชสำนักและด้วยความที่เป็นแพทย์ประจำราชสำนักพระ อานนท์จึงได้เชิญไปรักษาพระพุทธเจ้า
กรณีของสุเมธดาบสเมื่อได้รับพุทธทำนายแล้วก็ตั้งจิตอธิษฐานกลับไปปฏิบัติ ความเพียรบำเพ็ญภาวนาเพื่อให้ได้เข้าถึงการเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต และตัวอย่างที่สำคัญที่สุดก็คือ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในตอนที่กำลังตรัสรู้พระองค์ตั้งอธิษฐานจิตแล้ว ถึง 3 ครั้งและก็ได้บำเพ็ญการปฏิบัติต่อเนื่องในแต่ละครั้งมาโดยตลอดเพื่อการหลุด พ้น ไม่มีวันใดที่พระองค์ไม่ได้ละเว้นการปฏิบัติเลยผลจึงประสบความสำเร็จ
การอธิษฐานจะมีความศักดิ์สิทธิ์จึงต้องกระทำไปควบคู่กับกรรมดี (การกระทำดี) ด้วยเป็นเรื่องที่ต้องฝึกทำและตอกย้ำบอกตนเองอยู่เสมอๆ ว่าจะพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะทำให้ได้ตามที่ได้เปล่งสัจจะวาจาอธิษฐานไปให้ได้
คุณต้องการอธิษฐานอะไรให้กับตัวเอง?
กรณีของปุถุชนคนธรรมดาเช่นเราๆ การตั้งจิตอธิษฐานก็มักเป็นไปเพื่อสิ่งที่เรียกว่าสุขทางโลกโดยเฉพาะความสุข ส่วนตัวก่อนไม่ว่าจะเป็นเรื่อง หน้าที่การงาน ความรัก ชีวิตส่วนตัว แก้ปัญหาครอบครัวแตกแยก หรือแม้แต่การต้องการบันดาลโชคลาภที่ยิ่งใหญ่ให้กับตน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ขอเพียงมีเจตนาที่ดีเป็นไปเพื่อความสุขไม่ก่อความเดือดร้อน ให้ใครก็ถือว่าครบองค์ประกอบการอธิษฐานครับ
ดังนั้น การปฏิบัติตนเพื่อให้สมหวังกับสิ่งที่ตั้งการอธิษฐานไว้ก็มีหลักปฏิบัติวิธี 5 วิ จึงจะสมหวังครับ หลัก 5 วิ แห่งการปฏิบัติเพื่อการสมหวังนั้นได้แก่
5.1 วิชา
การมีวิชาความรู้ในด้านใดๆ ก็ตามเป็นความรู้ที่เกิดมาจากการศึกษาและการฝึกฝนรู้ในหลักที่ได้เรียนรู้มา คือ “รู้หลักการ” เป็นอย่างที่หนึ่ง ยกตัวอย่างเช่น อยากจะร่ำรวยเป็นพ่อค้าที่ประสบความสำเร็จก็ต้องรู้หลักการค้าขายที่ถูกวิธี ซื้อมาให้ถูก ขายออกไปให้ได้กำไรอย่างยุติธรรมเป็นต้น
แต่การมีวิชานั้นไม่ได้หมายความว่ารู้หลักเพียงอย่างเดียวต้อง “รู้รอบ” คือต้องอาศัยประสบการณ์มาช่วยด้วยประสบการณ์ต่างๆ จะทำให้รู้แจ้งมากยิ่งขึ้นกว่าการรู้ในในหลักทฤษฎี ในที่นี้ผมขอยกตัวอย่างกรณีของพระพุทธองค์อีกสักครั้งหนึ่งครับ
พระพุทธองค์ทรงได้ร่ำเรียนมาในฐานะกษัตริย์ย่อมมีความรู้สูงในศิลปะวิทยาการ อยู่แล้ว ภายหลังออกผนวชเป็นพระโพธิสัตว์ก็ยังไปร่ำเรียนทางธรรมเพิ่มกับพระอาจารย์ อีกถึง 2 สำนักจนอาจารย์หมดภูมิสอนพระองค์ก็ยังไม่ได้ตรัสรู้ จนต้องออกไปเก็บประสบการณ์การบำเพ็ญเพียรด้วยการประพฤติตนแบบนักบวช เดียรถีย์หลายๆ แบบจนเกือบสิ้นพระชนม์ เมื่อทรงทราบแล้วว่าวิธีการเหล่านั้นไม่ได้ผลจึงต้องเปลี่ยนวิธี และในที่สุดพระองค์ก็ตรัสรู้ได้
ความสุขและความสำเร็จจะมีได้ด้วยการอาศัยว่ารู้วิชาดีและมีการปฏิบัติชอบ ด้วยในแง่อื่นๆ ก็เช่นกันครับ อยากให้ครอบครัวมีความสงบสุขก็ต้องรู้หลักการอยู่ร่วมกัน รู้วิธีเอาชนะใจคนแล้วนำไปปฏิบัติให้ถูกวิธีจากประสบการณ์ที่ได้สั่งสมควบ คู่กับการอธิษฐานที่ดีรับรองว่าได้ผลอย่างแน่นอน
5.2 วินัย
อย่างที่เกริ่นนำไปแล้วครับแม้แต่การอธิษฐานด้วยวาจายังต้องมีวินัยอธิษฐาน กันซ้ำแล้วซ้ำเล่าและการอธิษฐานซ้ำๆ แบบนี้นี่เองที่จะยังผลมาสู่การปฏิบัติด้วย ความดีและผลสัมฤทธิ์ทางความดีทั้งหลายจะมีได้ก็ต้องอาศัยวินัยหรือความมี ระบบระเบียบแบบแผนให้ปฏิบัติดังคำพระที่ท่านว่า คนจะดีเพราะมีวินัย คนจะร้ายเพราะว่าวินัยไม่มี ขออนุญาตยกตัวอย่างเกี่ยวกับตัวผู้เขียนเองนี่แหละครับ ปกติการเขียนงานต้นฉบับเรื่องหนึ่งจะมีความยากง่ายแตกต่างกันไป
สิ่งที่ผู้เขียนได้กระทำมาตลอดเป็นประจำก็คือ การอธิษฐานขอให้ต้นฉบับแต่ละเล่มปิดลงอย่างเสร็จสิ้นด้วยดี และองค์ประกอบที่สำคัญก็คือ “วินัย” นี่เองที่จะต้องกำหนดหน้ากระดาษไว้เสมอว่า วันหนึ่งๆ ต้องเขียนให้ได้จำนวนหน้าที่กำหนดไว้อย่างมีคุณภาพ ถ้าเขียนไม่ครบหน้าจะไม่เลิกเขียนอย่างเด็ดขาด วินัยข้อนี้ก็สะท้อนถึงผลสัมฤทธิ์ของการกระทำประกอบแรงอธิษฐานด้วยเช่นเดียว กัน
ขอยกอีกตัวอย่างประกอบง่ายๆ ครับเป็นเรื่องของ “ความรัก” ที่คนมักจะอธิษฐานขอพรให้มีแฟนกันมาก บางคนอธิษฐานขอให้ได้แฟนแต่ไม่ว่าจะปฏิบัติอย่างไรเท่าไหร่ก็ยังไม่สัมฤทธิ์ ผลเพราะขาดวินัยในการจีบ ก็คือ ความสม่ำเสมอ นั่นเองคือต้องเสมอต้นเสมอปลาย หมั่นเอาใจใส่ดูแลอย่างสม่ำเสมอเป็นองค์ประกอบสำคัญข้อหนึ่งในหลายๆ ข้อที่จะต้องมี นอกจาก บุญวาสนาที่มีต่อกัน ไม่อย่างนั้นคงจะไม่มีคำว่า “ตื๊อเท่านั้นที่ครองโลก” หรอกครับ
5.3 วิสัย
วิสัยในที่ว่านี้ก็คือ ขอบเขตของความเป็นอยู่ครับ คนดีๆ ต่อให้ตั้งจิตอธิษฐานด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ทำบุญเชื่อมบุญอย่างต่อเนื่องและ มีจุดมุ่งหมายของการอธิษฐานมีความบริสุทธิ์เพียงใดหรือมีการปฏิบัติที่ดีแค่ ไหนหากอยู่ สภาพแวดล้อมความเป็นอยู่ที่ไม่ดี ไม่เอื้ออำนวยต่อการปฏิบัติก็ส่งผลให้บรรลุความสำเร็จได้ยาก
เรื่องนี้ขอยกตัวอย่างเรื่อง นักศึกษาที่ต้องการบรรลุผลการสอบครับ หากคุณผู้อ่านยังอยู่ในวัยเรียนหรือแม้จะเรียนจบมาแล้วคงต้องมีสักหนึ่ง ครั้งที่ต้องเคยอธิษฐานขอให้สอบได้คะแนนดีๆ หรืออย่างน้อยๆ ก็สอบผ่านในวิชาที่สุดแสนจะยากใช่หรือเปล่าครับ การจะเตรียมตัวเพื่อสอบให้ผ่านก็ต้องอยู่ในวิสัยของผู้ที่จะสอบผ่านด้วย เช่น มีวิสัยอ่านหนังสือในที่สงบและเป็นสมาธิ อยู่กับเพื่อนๆ ในกลุ่มที่มีจุดมุ่งหมายจะผ่านการสอบเหมือนๆ กันคือตั้งหน้าตั้งตาทบทวนบทเรียนด้วยกันไม่มีการแหกความประพฤติไปเที่ยว เล่นระหว่างการเตรียมสอบ
ลองคิดดูเล่นๆ ก็ได้ครับ ตั้งจิตอธิษฐานเพื่อขอให้สอบผ่านมีความรู้อยู่ในตัว ขยันอ่านหนังสือ แต่ถ้าเวลาดูหนังสือต้องอยู่ในสถานที่ที่อึกทึกอยู่ตลอดก็คงจะอ่านหนังสือ ไม่รู้เรื่องหรือหากมีเพื่อนที่เอาแต่ชวนไปเที่ยวเล่น แล้วไปเที่ยวกับเขาจนไม่มีเวลากลับมาทบทวนหนังสือต่อให้มีวินัยมาท่องมาอ่าน ทุกวันก็คงจะได้ผลน้อยกว่าคนที่มีวิสัยเหมาะสมกับการอ่านหนังสือให้มี ประสิทธิภาพเป็นแน่
เรื่องวิสัยที่เหมาะสมนี้ตัวอย่างในทางธรรมก็มีครับ อย่างกรณีของพระมหากัสสปะเถระที่ถือการอยู่ป่าเป็นวัตรนั่นอย่างไรครับ ซึ่งเป็นหนึ่งในข้อปฏิบัติทางธุดงควัตรที่ท่านได้ปฏิบัติอย่างเคร่งครัด เพียงแค่ 7 วัน ท่านก็สามารถบรรลุความเป็นพระอรหันต์ได้
ในข้อปฏิบัติทางสงฆ์พระพุทธองค์จึงบัญญัติเอาไว้ครับว่า การเป็นภิกษุต้องพึงอยู่ในที่สงัด จึงจะได้เหมาะสมกับการบำเพ็ญเพียร เรื่องวิสัยการอยู่ป่าของพระอรหันต์นี่เอง มีเรื่องราวเรื่องหนึ่งในทางพระพุทธศาสนาเกี่ยวกับ สามเณรที่ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์นามว่า “เรวตะ”ที่มีวิสัยชอบอยู่ป่า
ครั้งหนึ่งที่พระพุทธเจ้าต้องเดินทางไปเมืองราชคฤห์ ซึ่งระหว่างทางมีเส้นทางสองทางให้เลือกเดินทางซึ่งทางแรกเป็นทางกันดารมี ระยะทางประมาณ 30 โยชน์ ส่วนอีกทางเป็นทางสะดวกไม่มีอันตรายแต่ต้องเดินทางไกลถึง 60 โยชน์ พระพุทธองค์เลือกเดินทางสั้นโชคดีที่การเดินทางคราวนั้นมีพระสีวลีไปด้วยจึง ไม่อดและขาดเรื่องอาหารเพราะพระสีวลีเป็นพระเถระที่ทรงคุณเรื่องลาภสักการะ อยู่แล้ว
สามเณรเรวตะอรหันต์น้อยผู้นี้เป็นน้องชายของพระสารีบุตรอยู่ในป่าระหว่างทาง ของเมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ ส่วนวัดที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่คือวัด พระเชตวันอยู่เมืองสาวัตถีแคว้นโกศลระยะทางห่างกันพอสมควร พอทราบว่าพระพุทธเจ้าจะเสด็จมาก็ทำการนิรมิตพระคันธกุฎีถวายในป่าสะแกที่ตน พำนักอยู่ มีการสร้างเรือนยอด สถานที่จงกรม สถานที่พักทั้งกลางวันและกลางคืนทั้งที่อยู่ในป่าสะแกด้วยวิสัยอิทธิฤทธิ์ ของผู้เป็นอรหันต์
พระแก่สองรูปเห็นกุฏิสวยงามในป่า ก็นึกตำหนิสามเณร เรวตะว่าคงเอาแต่คิดจะก่อสร้างจนไม่มีเวลาปฏิบัติธรรม พระพุทธองค์ทรงทราบด้วยฌานว่ามีภิกษุที่มีจิตอกุศลต่อพระอรหันต์เรวตะ เกรงว่าจะเป็นบาปกรรมเสียเปล่าๆ จึงบันดาลด้วยอิทธิฤทธิ์ให้พระทั้งสองลืมบริขารเอาไว้ที่วัดป่าสะแกนั้นโดย ไม่เห็นตึกรามหรือกุฏิที่สวยงามเลย ทั้งสองจึงต้องบุกป่าฝ่าดงหนามสะแกไปจนพบห่อของที่ลืมไว้
หนึ่งเดือนให้หลังพระนางวิสาขามหาอุบาสิกาได้นิมนต์พระพุทธองค์และเหล่าสาวก ไปฉันภัตตาหารที่บ้าน ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับวัดบุพพารามที่ตนเองสร้างไว้และพระพุทธองค์โปรดประทับอยู่ ก็ได้ถามถึงความเป็นอยู่ของพระเรวตะในการอยู่ในป่าต่อภิกษุทั้งสองโดย บังเอิญขณะที่กำลังจะกลับวัด
ด้วยความที่ต้องบุกป่าฝ่าดงเข้าไปเอาของจนถูกหนามของป่าสะแกตำเท้าเอาจึงบอก ว่า ที่อยู่นั่นไม่น่าจะเป็นที่ของพระเลยน่าจะเป็นที่อยู่ของเปรตมากกว่า แต่พอคล้อยหลังมีพระอีกกลุ่มหนึ่งจะเดินกลับวัดเหมือนกันก็เล่าให้ฟังว่าวัด ป่าสะแกของพระเรวตะนั้นน่าอยู่สวยงามร่มรื่นดุจดั่งเทวสภาก็ไม่ปาน
เมื่อพระทั้งสองกลุ่มพูดไม่เหมือนกันก็เกิดความสงสัยจึงได้ไปสอบถามพระ พุทธเจ้า พระพุทธองค์จึงบอกนางวิสาขาว่า ไม่ว่าจะเป็นที่ใดก็ตามไม่ว่าอยู่ที่บ้านหรืออยู่ในป่าที่ใดมีพระอรหันต์ อยู่ก็น่าอยู่ทั้งสิ้น แม้พระองค์จะไม่ได้ตรัสบอกความตรงแก่นางวิสาขา แต่ก็ชี้ให้เห็นว่า การที่พระอรหันต์ผู้ทรงคุณควรจะอยู่ในป่านั้นเป็นที่ที่เหมาะสมแล้วด้วย ประการทั้งปวง
พระเรวตะหลังจากได้อุปสมบทก็ได้รับการยกย่องจากพระพุทธองค์ว่าเป็นเอตทัคคะ ผู้เป็นเลิศในการอยู่ป่าเป็นวัตร คือท่านถืออยู่ป่าเสมอโดยเฉพาะป่าสะแกที่ท่านชอบมากจนได้ฉายาว่า “ขทิรวนิยเรวตะ” แปลว่าพระเรวตะ ผู้ชอบอยู่ป่าสะแก
เป็นพระอรหันต์นี่ครับจะให้ท่านชอบอยู่ในเมืองที่มีเสียงอึกทึกก็คงไม่ใช่ วิสัย ยิ่งการอยู่เพื่อการบำเพ็ญปฏิบัติแล้วอยู่ป่าจึงถือว่าเหมาะสมที่สุด
อ่านต่อด้านล่างที่มา
http://torthammarak.wordpress.comhttp://board.palungjit.com/f17/ทำไมการอธิษฐานจิตจึงไม่ค่อยประสบผลและวิธีการตั้งจิตอธิษฐานให้ได้ผล-316823.html
ขอบคุณภาพจาก
http://board.palungjit.com/,http://www.amulet.in.th/