ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: แผ่เมตตา ด้วยความสงสัย ผู้รับการแผ่เมตตา จะได้ส่วนบุญประมาณไหน จ๊ะ  (อ่าน 6443 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

teepung

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 52
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
1. เวลานั่งสมาธิสวดมนต์ เราจะแผ่เมตตาและอุทิศส่วนกุศลให้ทุก ๆ สรรพชีวิตเลยค่ะ

คำถามก็คือ เราแผ่เมตตาเสร็จแล้วก็อุทิศส่วนกุศล และอธิษฐานจิตแบบนี้ เขาจะได้รับไหมคะ?
หรือได้รับเฉพาะคนที่เราเอ่ยชื่อ?? มีตัวอย่างของการแผ่เมตตาแล้ว ได้รับกำลังที่เราแผ่เมตตาให้คะ

2. เวลาที่เราสงสัยว่าเขาจะได้หรือไม่ ( คือไม่ค่อยจะเชื่อมั่น ) อย่างนี้เขาจะได้รับบุญที่เราแผ่ไปให้ กี่เปอร์เซ็นคะ คือจะได้รับ หรือ ไม่ได้รับ

3. เราแผ่เมตตาออกไปแล้ว กาย จิต ของเราควรเป็นอย่างไร คะ


  :25: :c017:

บันทึกการเข้า
ที่พึ่งอื่นของข้าพเจ้าไม่มี พระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระอริยสงฆ์เป็นที่พึ่งของข้าพเจ้า

DANAPOL

  • ศิษย์ตรง
  • มีเหตุมีผล
  • *****
  • ผลบุญ: +0/-1
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 332
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
อาจจะไม่ได้รับ ส่วนบุญครับ เพราะไม่มีความเชื่อมั่นในบุญกุศล เท่ากันไม่ีมีความเลื่อมใส ศรัทธา น่าจะต้องปรับวคาวมเชื่อ ความเลื่อมใสกันก่อนนะครับ งานนี้ ถึงจะสัมฤทธิผล

  :s_hi:
บันทึกการเข้า
รหัสธรรม ต้องใช้ปัญญาคือความรู้ ผู้ถือกุญแจคือใครหนอ...

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28366
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0

  เพื่อนๆช่วยกันตอบไปก่อนนะครับ ผมขอเวลาสักวันสองวัน แล้วจะมาตอบให้
    :49:
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

วรรณา

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +1/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 158
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ถึงจะไม่มีความศรัทธา ก็น่าจะได้ผลบุญ บ้างนะคะ บางครั้งก็เชื่ออย่างนั้นคะ
ทำบ่อย ๆ ก็เป็นความชิน

  คิดว่าได้บุญ อยู่คะ

  :25:
บันทึกการเข้า

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28366
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0

สมุดภาพพระพุทธประวัติ
ฉบับอนุรักษ์ภาพเขียนทางพระพุทธศาสนา โดย ครูเหม เวชกร
ภาพที่ ๔๒
พระเจ้าพิมพิสารเลื่อมใส ทรงหลั่งน้ำถวายวัดเวฬุวันเป็นปฐมสังฆาราม


     เมื่อพระเจ้าพิมพิสาร  ราชาแห่งแคว้นมคธ ได้ทรงฟังธรรมพระพุทธเจ้าจบลง และได้ทรงบรรลุโสดาแล้ว  ก็เสด็จลุกขึ้นอภิวาทแทบพระบาทพระพุทธเจ้า   ทูลอาราธนาพระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระสาวกหนึ่งพันรูปเสด็จไปเสวยที่พระราชนิเวศน์ในวันรุ่งขึ้น  พระพุทธเจ้าทรงรับคำทูลอาราธนาด้วยพระอาการดุษณี

     นั่นเป็นธรรมเนียมการรับนิมนต์ของพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์สมัยนั้น ถ้าดุษณีหรือนิ่ง แปลว่า รับได้ ถ้ารับไม่ได้  เช่น มีคนทูลอาราธนาว่า  ขอให้เสด็จไปรับบาตรที่บ้านของตนแห่งเดียวตลอดพรรษานี้ พระพุทธเจ้าจะตรัสว่า "คนในโลกนี้ใครๆ ก็อยากทำบุญกับเราทั้งนั้น จะผูกขาดไม่ได้หรอก" อย่างนี้แปลว่ารับนิมนต์ไม่ได้  หรือไม่รับ

    รุ่งขึ้นพระพุทธเจ้าเสด็จจากสวนตาลหนุ่ม เข้าไปในพระราชนิเวศน์ของพระเจ้าพิมพิสาร เจ้าพนักงานที่ได้ตระเตรียมอาหารบิณฑบาตรไว้พร้อมแล้ว  พระเจ้าพิมพิสารได้ทรงถวายอาหารแก่พระพุทธเจ้าและพระสงฆ์สาวก

     เมื่อพระพุทธเจ้าเสวยแล้ว และพระสงฆ์ทั้งนั้นก็ฉันอิ่มกันทั่วแล้ว พระเจ้าพิมพิสารจึงเสด็จเข้าไปใกล้พระพุทธเจ้า ประทับนั่ง ณ ที่ควรข้างหนึ่ง แล้วทรงมีพระราชดำรัสทูลพระพุทธเจ้าว่า ที่สวนตาลหนุ่มเป็นสถานที่อยู่ห่างไกลเมืองและทุรกันดารมาก ไม่สะดวกแก่การไปมา

     แล้วมีพระราชดำรัสว่า พระราชอุทยานสวนไม้ไผ่หรือเวฬุวันของพระองค์ตั้งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากตัวเมืองนัก ไปมาสะดวก กลางวันไม่พลุกพล่านด้วยผู้คน กลางคืนสงบสงัด สมควรเป็นที่ประทับอยู่ของพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์

     เมื่อพระพุทธเจ้าทรงรับด้วยพระอาการดุษณี  พระเจ้าพิมพิสารจึงทรงหลั่งน้ำ จากพระเต้าลงบนพระหัตถ์พระพุทธเจ้า  ถวายเวฬุวนารามให้เป็นวัดพระพุทธศาสนาแห่งแรกในโลก

     ปฐมสมโพธิว่า "กาลเมื่อพระสัพพัญญูทรงรับพระเวฬุวันเป็นอาราม ครั้งนั้นอันว่า มหาปฐพีดลก็วิกลกัมปนาท ดุจรู้ประสาทสาธุการว่า มูลที่ตั้งพระพุทธศาสนาหยั่งลงในพื้นพสุธา กาลบัดนี้"


ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก http://84000.org/tipitaka/picture/f42.html


สมุดภาพพระพุทธประวัติ
ฉบับอนุรักษ์ภาพเขียนทางพระพุทธศาสนา โดย ครูเหม เวชกร
ภาพที่ ๔๓
ท้าวเธอทรงบำเพ็ญกุศลให้พระญาติที่เกิดเป็นเปรต เปรตทั้งหลายต่างโมทนารับส่วนบุญ


    ในภาพที่  ๔๒  จะเห็นพระเจ้าพิมพิสารทรงหลั่งน้ำจากพระเต้าลงบนพระหัตถ์ของพระพุทธเจ้า  การหลั่งน้ำในที่นี้เรียกว่าตามภาษาสามัญว่า  'กรวดน้ำ'  หรือเรียกเป็นคำศัพท์ว่า 'อุททิโสทก' แปลว่า กรวดน้ำมอบถวาย ใช้ในกรณีเมื่อถวายของใหญ่โตที่ไม่อาจยกประเคนใส่มือพระได้ เช่น ที่ดินและวัด เป็นต้น

     ส่วนการกรวดน้ำของพระเจ้าพิมพิสารในภาพนี้เรียกว่า 'ทักษิโณทก'  แปลว่า  กรวดน้ำแผ่ส่วนกุศลแก่คนตาย   ใช้ในกรณีที่จะมอบสิ่งหนึ่งสิ่งใดแก่ผู้หนึ่งผู้ใดซึ่งเป็นผู้รับอีกเหมือนกัน   ผิดแต่ว่า สิ่งที่ให้มองไม่เห็นตัวตน  เพราะเป็นบุญกุศล  ผู้รับก็มองไม่เห็น เพราะเป็นคนที่ตายไปแล้ว  พิธีนี้เป็นที่นิยมกันอยู่ในเมืองไทยเวลาทำบุญทุกวันนี้

    ภาพที่เห็นนี้เป็นการบำเพ็ญพระราชกุศลครั้งที่สองของพระเจ้าพิมพิสาร  เมื่อครั้งแรกพระเจ้าพิมพิสารไม่ได้ทรงอุทิศส่วนกุศลให้แก่พระญาติที่ล่วงลับไปแล้ว  ปฐมสมโพธิจึงว่า ในคืนวันนั้นพวกเปรตซึ่งเคยเป็นพระญาติของพระเจ้าพิมพิสารได้ส่งเสียงอื้ออึงขึ้นในพระราชนิเวศน์  ที่แสดงให้เห็นก็มี

     ตามนิยายธรรมบทเล่าว่า เปรตเหล่านี้เมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์เคยลักลอบ(หรือจะเรียกอย่างทุกวันนี้ว่าคอรัปชั่นก็ได้)  กินของที่คนเขานำมาถวายสงฆ์  ตายแล้วตกนรก  แล้วมาเป็นเปรต  และมาคอยรับส่วนบุญที่พระเจ้าพิมพิสารอุทิศให้  แต่เมื่อผิดหวังจึงประท้วงดังกล่าว

     พระเจ้าพิมพิสารจึงเสด็จไปเฝ้าพระพุทธเจ้าในวันรุ่งขึ้น  ทูลถามทราบความแล้ว  จึงทรงบำเพ็ญพระราชกุศลถวายอาหารและจีวรแก่พระพุทธเจ้าและพระสงฆ์ในวันรุ่งขึ้นอีกต่อมา 
     แล้วทรงหลั่งน้ำ อุททิโสทกว่า  อิทัง โน  ญาตีนัง  โหตุ    แปลว่า  "ขอกุศลผลบุญครั้งนี้จงไปถึงญาติพี่น้องของข้าพเจ้าด้วยเทอญ" เปรตเหล่านี้จึงต่างได้รับกุศลผลบุญกันทั่วหน้า และพ้นจากความทุกข์ทรมานที่ได้รับอยู่


   คำว่า  "อิทัง  โน  ญาตีนัง  โหตุ"  ได้กลายเป็นบทกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้คนตายที่คนไทยใช้อยู่ในปัจจุบัน



ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก http://84000.org/tipitaka/picture/f43.html
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28366
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


ท่องแดนเปรต

    เปรตภูมิ เป็นที่อยู่ของพวกที่ทำบาปเบากว่า พวกที่ไปเกิดในนรกภูมิ เพราะนรกเป็นเรื่องการถูกทรมาน ด้วยวิธีการต่าง ๆ ตามกรรมที่ได้ทำไว้ ส่วนเปรตเป็นเรื่องของการถูกทรมาน ด้วยการอดอยากหิวโหย เช่น การอดข้าวอดน้ำ เปรตบางชนิด ต้องกินหนองเลือด เสมหะ อุจจาระ เป็นอาหาร
           
          ที่อยู่ของเปรต
          เปรตไม่มีที่อยู่โดยเฉพาะ จะอยู่ทั่ว ๆ ไปตามป่า ภูเขา เหว เกาะ แก่ง ทะเล มหาสมุทร ป่าช้า เป็นต้น เปรต เป็นประเภทโอปปาติกกำเนิด ประเภทกายละเอียดที่ผลุดขึ้นโตทันที เราจึง มองไม่เห็น นอกจากเขาจะใช้พลังจิต กำหนดกายให้หยาบจึงจะมองเห็นได้
           
          ชนิดของเปรต 
          เปรตมีหลายจำพวก มีทั้งพวกที่ตัวเล็ก ตัวใหญ่ บางพวกแปลงกายได้ เป็นเทวดา มนุษย์ผู้ชาย มนุษย์ผู้หญิง ดาบส พระ เณร หรือชี ทำให้ผู้พบเห็นเข้าใจว่า เป็นเทวดา เป็นชายหญิง หรือพระ เณร จริง ๆ เจตนาของการแปลงกาย ก็เพื่อจะช่วยเหลือเกื้อกูลแก่ผู้พบเห็นนั้น
          ส่วนการแปลงกายที่มุ่งจะทำร้าย ให้เกิดความเกรงกลัวเสียขวัญตกใจ ก็จะแปลงกายเป็น วัว ควาย ช้าง สุนัข มีทั้งสีดำ แดง เทา รูปร่างใหญ่โตน่าเกลียดน่ากลัว พระธุดงค์หรือผู้ปฏิบัติธรรมในป่า มักจะพบเห็นกันเสมอ ๆ

           
          อาหารของเปรต 
          เปรตทั้งหลายต้องเสวยทุกขเวทนา คือการอดข้าวอดน้ำ เปรตบางพวกจึง เข้าไปกินเศษอาหารที่ชาวบ้านเขาทิ้งไว้ บางพวกกินเสมหะ น้ำลาย ของโสโครกต่าง ๆ ท่านได้กล่าวไว้ว่า เปรตที่อาศัยอยู่ตามภูเขา เช่น ที่ภูเขาคิชฌกูฎ นอกจากจะอดอาหารแล้ว ยังต้องถูกทรมานเหมือนสัตว์นรกด้วย 
           

       อรรถกถาและพระคัมภีร์ แสดงเปรตประเภทต่างๆไว้ ๔ จำพวก             
       ๑. ปรทัตตุปชีวิกเปรต  เป็นเปรตที่มีชีวิตอยู่ ด้วยการอาศัยส่วนบุญที่ญาติมิตร เขาอุทิศให้ ถ้าไม่มีผู้อุทิศให้ ก็ต้องอดอยากหิวโหย ได้รับทุกขเวทนาอยู่เช่นนั้น 
      ๒. ขุปปีปาสิกเปรต  เป็นเปรตที่อดอยาก หิวข้าวหิวน้ำอยู่เป็นนิตย์ ไม่มีเรี่ยวแรงแม้จะลุกขึ้น ต้องนอนแซ่วอยู่เหมือนคนป่วยที่ใกล้จะตาย
      ๓. นิชฌามตัณหิกเปรต เป็นเปรตที่มีไฟเผาให้เร่าร้อนอยู่เสมอ
      ๔. กาลกัญจิกเปรต เป็นเปรตจำพวกอสุรกาย หรือ อสุรา

           
          ปรทัตตุปชีวิกเปรต 
          ประเภทเดียวเท่านั้นที่สามารถจะรับส่วนกุศลที่มนุษย์แผ่ไปให้ได้ เพราะอยู่ใกล้ๆกับมนุษย์ และสามารถที่จะรู้ว่าเขาแผ่ส่วนกุศลให้ และอนุโมทนาส่วนบุญนั้น ถ้าไม่รู้หรือไม่ได้อนุโมทนา ก็ไม่ได้รับส่วนบุญที่ญาติมิตรแผ่ไปให้ 
 
          พระโพธิสัตว์เมื่อได้รับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าแล้ว ถ้าจะเกิดเป็นเปรต ก็จะเกิดเป็นเปรตได้ประเภทเดียวเท่านั้นคือ ปรทัตตุปชีวิกเปรต เปรตอีก ๓ ชนิดที่เหลือ จะไม่ไปเกิด


          เปรตปรทัตตุปชีวิกเปรตนี้ นับว่าเป็นเปรตที่โชคดีจำพวกเดียวเท่านั้น ที่จะสามารถรับส่วนบุญกุศล ที่พวกญาติมิตรของตนอุทิศให้ เพราะมีอกุศลบางเบา จึงมีจิตยินดีที่จะอนุโมทนาส่วนกุศล โดยที่ตนมีความอยากข้าว และน้ำเป็นกำลัง จึงท่องเที่ยวซัดเซไปมา นึกถึงหมู่ญาติของตนว่า ใครอยู่ที่ไหนบ้าง เมื่อนึกได้ก็จะคอยอยู่ใกล้ ๆ คอยท่าอยู่ว่า 
          “เมื่อใดญาติของเรา จะทำบุญทำกุศลแล้วอุทิศมาให้เราบ้าง”

          ครั้นญาติทำบุญทำกุศลแล้ว ลืมอุทิศให้ หรืออุทิศให้แต่คนอื่น ไม่ได้อุทิศให้ตน เขาก็จะเดินวนเวียนไปมา ด้วยใบหน้าหม่นหมอง เศร้าสร้อยด้วยความผิดหวัง บางทีก็มีความน้อยใจ ถึงกับเป็นลมฟุบสลบลงไป ด้วยความหิวโหย ด้วยความทรมาน
          และก็ได้แต่หวังอยู่อีกว่า “ครั้งต่อไป เขาคงไม่ลืมเรา เขาคงอุทิศให้แก่เราบ้าง ในครั้งต่อไป เขาคงไม่ลืมเรา เขาคงมีแก่ใจอุทิศให้แก่เราบ้าง”

          เปรตพวกนี้ได้แต่หวังอย่างนี้มาแสนนาน บางทีก็ได้สมประสงค์ บางทีก็ไม่ได้ตามประสงค์ เพราะพวกญาติมิตรที่ตนฝากความหวังไว้นั้น ไม่ประกอบการกุศล เพราะเป็นคนมิจฉาทิฏฐิ ไม่เชื่อบุญเชื่อบาป หรือว่าญาติมิตรเป็นคนมีศรัทธาทำบุญ แต่หลงลืมไม่อุทิศให้ เมื่อเป็นเช่นนี้เขาก็ย่อมไม่ได้รับผลบุญ ต้องทนทุกข์อดอยากหิวโหย อยู่นานแสนนาน

         

          บรรดาเปรตทั้งหลาย ที่ได้กล่าวมาแล้ว เปรตที่มีโอกาสได้รับส่วนบุญจากผู้อื่นก็คือ ปรทัตตุปชีวิกเปรต เพราะอยู่ใกล้กับมนุษย์ ซึ่งเกิดอยู่ในบริเวณบ้านเรือนของญาติมิตรนั้น เนื่องจากเวลาใกล้จะตาย มีความห่วงใยอาลัยอาวรณ์ในทรัพย์สินเงินทอง ห่วงใยในสามีภรรยา ลูกหลานหรือมิตรสหาย
          เมื่อตายก็จะอยู่ในบริเวณบ้านเรือนนั้นเอง ที่เราเรียกว่า ผีหรือเปรต
          แม้ว่าจะอยู่ในบริเวณนั้นก็ดี ถ้าไม่รู้ว่าเขาอุทิศส่วนกุศลให้ และไม่มีโอกาสได้อนุโมทนาทาน
          ก็จะรับส่วนบุญที่เขาอุทิศมาให้ไม่ได้

           
          ส่วนผู้ที่เกิดในนรก เปรตประเภทอื่น เช่น อสุรกาย เดรัจฉาน ซึ่งเกิดด้วยอำนาจของอกุศลกรรม ซึ่งอยู่ห่างไกลจากหมู่มนุษย์ ก็ไม่มีโอกาสที่จะรู้และอนุโมทนาในส่วนบุญที่เขาอุทิศมาเลย
          เช่น ญาติของตนตายแล้วมาเกิดเป็นมนุษย์ หรือสุนัขในบ้านของเรา
         แม้จะอุทิศส่วนกุศลให้ ก็ไม่สามารถจะรับส่วนกุศลนั้น ๆ ได้
         แม้แต่ผู้ที่ไปเกิดเป็นเทวดาหรือพรหมก็เช่นเดียวกัน

           
         บุญที่อุทิศให้แก่ญาติผู้ตายแล้วนั้น
         หากไม่ถึงหรือไม่สำเร็จ ก็ไม่สูญหายไปไหน คงเป็นบุญที่ติดตัวแก่ผู้อุทิศให้นั้น
         ซึ่งจะส่งผลให้ได้รับความสุขความเจริญ ในชาติต่อๆไป



ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก http://www.buddhism-online.org/Section06A_08.htm
http://www.palungdham.com/,http://img329.imageshack.us/,http://www.thaimtb.com/
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28366
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
1. เวลานั่งสมาธิสวดมนต์ เราจะแผ่เมตตาและอุทิศส่วนกุศลให้ทุก ๆ สรรพชีวิตเลยค่ะ

คำถามก็คือ เราแผ่เมตตาเสร็จแล้วก็อุทิศส่วนกุศล และอธิษฐานจิตแบบนี้ เขาจะได้รับไหมคะ?
หรือได้รับเฉพาะคนที่เราเอ่ยชื่อ?? มีตัวอย่างของการแผ่เมตตาแล้ว ได้รับกำลังที่เราแผ่เมตตาให้คะ

2. เวลาที่เราสงสัยว่าเขาจะได้หรือไม่ ( คือไม่ค่อยจะเชื่อมั่น ) อย่างนี้เขาจะได้รับบุญที่เราแผ่ไปให้ กี่เปอร์เซ็นคะ คือจะได้รับ หรือ ไม่ได้รับ

3. เราแผ่เมตตาออกไปแล้ว กาย จิต ของเราควรเป็นอย่างไร คะ



     - การแผ่เมตตา อาจส่งผลถึงไปถึงสรรพสัตว์ทั้งหลายทั่วทั้งจักรวาลได้ ขึ้นอยู่กับพลังจิตของผู้แผ่ว่ามีพลังมากน้อยอย่างไร(ความเห็นส่วนตัว)
     - การอุทิศส่วนกุศลนั้น ตามคัมภีร์อภิธรรม(ตามบทความที่เสนอ) อุทิศให้ได้เฉพาะ"ปรทัตตุปชีวิกเปรต"
ประเภทเดียวเท่านั้น สัตว์อื่นๆรับส่วนกุศลของเราไม่ได้
     - อาจมีข้อยกเว้น ในกรณีที่เป็นบุญกรรมฐาน สัตว์เหล่าอื่นๆอาจรับได้ ความเชื่อนี้ได้มาจากหลวงพ่อฤาษีลิงดำยชื่อ


     - คำถามที่ว่า จะได้รับไหม ตอบไม่ได้ครับ ปัญญาญาณไม่พอ แต่คุณควรมีศรัทธาก่อนกระทำ การเอ่ยชื่อหรือไม่เอ่ยชื่อ มีผลต่อการได้รับไหม ก็ตอบไม่ได้
     หากคิดแบบปุถุชน ก็ตองบอกว่า เอ่ยชื่อดีกว่า เพราะจะได้รับเต็มๆไม่ต้องแบ่งให้ใคร หากบอกกว้างๆ บุญอาจกระจายเป็นเบื้ยหัวแตก ที่สุดแล้วจะได้รับน้อย
     แต่..คำสอนของหลวงพ่อฤาษีลิงดำบอกไว้ว่า อย่าคิดอย่างนั้น บุญไม่ใช้วัตถุ(หรืออะไรทำนองนี้) ให้เอ่ยคำว่า"ทั้งญาติและไม่ใช่ญาติ"ไปเลย


    - หากลังเลสังสัยขณะอุทิศบุญหรือแผ่เมตตา จะได้รับกี่เปอร์เซ็นต์ คำถามนี้ตอบไ้ม่ได้ เป็นเรื่องอจินไตย
    - คำถามที่ว่า "เราแผ่เมตตาออกไปแล้ว กาย จิต ของเราควรเป็นอย่างไร"
      ขอนำข้อความใน "หนังสือคู่มือ สมถะ-วิปัสสนากรรมฐานมัชฌิมาแบบลำดับ ของสมเด็จพระสังฆราชญาณสังวรมหาเถรเจ้า(สุก ไก่เถื่อน) มาตอบดังนี้ครับ


    บุคคลที่เป็นโทษแห่งเมตตา
    ๑.บุคคลที่เกลียดกัน ตั้งอยู่ในฐานแห่งคนรักกันย่อมลำบาก
    ๒.บุคคลที่เป็นสหายรักกันมาก ตั้งไว้ในฐานแห่งคนกลางๆ ย่อมลำบาก เมื่อทุกข์เกิดขึ้นแก่เขาจนถึงกับร้องไห้ได้
    ๓.บุคคลที่เป็นกลางๆกัน ตั้งอยู่ในฐานแห่งคนรักย่อมลำบาก
    ๔.บุคคลที่เป็นศัตรูกัน  ความโกรธย่อมเกิดขึ้น
 
    เหตุนั้นไม่ควรเจริญในบุคคล ๔ ประเภทข้างต้น ในบุคคลที่เป็นข้าศึกกัน มีเพศเป็นข้าศึกกัน เพศตรงข้าม เมื่อเจริญเจาะจง ถึงเพศมีเป็นข้าศึกต่อกัน ความกำหนัดย่อมเกิดขึ้น
    ในคนที่ทำกาลกิริยาตายแล้ว ไม่ควรเจริญด้วยทีเดียว 
    เมื่อเจริญไปจิตก็ไม่ถึงอัปปนาสมาธิไม่ถึงอุปจารได้เลย เพราะเมตตามีสัตว์ทั้งหลายเป็นอารมณ์


    ควรเจริญเมตตาในตนเองก่อน
    ควรเจริญเมตตาให้ตนเองบ่อยๆอย่างนี้ว่า ขอเราจงเป็นผู้ถึงความสุขไม่มีทุกข์เถิด เป็นต้น 
    เพื่อเป็นพยานว่า ไม่มีใครรักผู้อื่นนอกจากตนเอง หรือยิ่งกว่าตนเอง ฉันใด 
    แม้คนอื่นก็รักตนเองมากฉันนั้น
    ดังนั้น จึงไม่ควรเบียดเบียนผู้อื่น เมื่อใจเรามีสุขแล้ว ก็แผ่ความสุขให้แก่ผู้อื่นด้วยใจ


    การแผ่เมตตาให้กับคนอื่นหรือสัตว์อื่น
    เมื่อเจริญเมตตาในตนจนจิตมีความสุขแล้ว จึงแผ่ให้กับผู้อื่นหรือสัตว์อื่น 
    แผ่ให้ผู้อื่นแบ่งออกเป็น ๒ อย่าง แผ่เจาะจงอย่างหนึ่ง เช่น ขอเทพทั้งหลายทั้งปวงจนไม่มีเวรมีภัย มีสุขเถิด
    การแผ่แบบไม่เจาะจง คือ ไม่จำกัดสัตว์ประเภทไหน เช่น ขอสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงจงเป็นผู้ไม่มีเวร ไม่มีความบีบคั้น ไม่มีทุกข์ มีความสุข รักษาตนอยู่เถิด

    ขอแนะนำคำแผ่เมตตาของศิษย์กรรมฐานมัชฌิมาฯที่สระบุรี
    อิมินาปุญญะกัมเมนะ อิมินาอุทิสเสนะ
    ด้วยกุศลผลบุญที่ข้าพเจ้าได้ทำไว้นี้
    ขออุทิศส่งให้แด่สรรพสัตว์ทั้งหลาย
    ไม่เลือกหน้า ตั้งแต่ฝ่ายบนจนถึงพรหมา
    ฝ่ายใต้ตั้งแต่อเวจี ขึ้นมาจนถึงมนุษยโลกนี้
    โดยรอบจักรวาล อนันตจักรวาล อันหาที่สุดมิได้
    จงรับเอาบุญกุศลของข้าพเจ้านี้..เทอญ


     :welcome: :25: :s_good:
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

หมิว

  • ศิษย์ตรง
  • มีเหตุมีผล
  • *****
  • ผลบุญ: +3/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 398
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
อนุโมทนา สาธุ คะ

 :c017: :25: :58:
บันทึกการเข้า
ใจดี น่ารัก และ ไม่ชอบคนที่กวน...ใจ
แสงพระธรรม นำทาง นำสู่ใจ ได้รับแสงสว่าง
แสงสว่างใดเสมอด้วยปัญญาไม่มี