อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท ยมกวรรคที่ ๑
๕. เรื่องภิกษุชาวเมืองโกสัมพี
พระศาสดาทรงระอาจึงเสด็จหนีไปจำพรรษาอยู่ป่ารักขิตวัน
พระองค์ทรงระอาพระทัย เพราะความอยู่อาเกียรณ์นั้น ทรงพระดำริว่า
“เดี๋ยวนี้ เราอยู่อาเกียรณ์เป็นทุกข์ และภิกษุเหล่านี้ไม่ทำ(ตาม)คำของเรา ถ้าอย่างไรเราพึงหลีกออกจากหมู่อยู่ผู้เดียว” ดังนี้
เสด็จเที่ยวบิณฑบาตในเมืองโกสัมพี ไม่ตรัสบอกพระภิกษุสงฆ์ ทรงถือบาตรจีวรของพระองค์ เสด็จไปพาลกโลณการาม แต่พระองค์เดียว ตรัสเอกจาริกวัตร แก่พระภคุเถระที่พาลกโลณการามนั้นแล้ว ตรัสอานิสงส์แห่งสามัคคีรสแก่กุลบุตร ๓ คน ในมิคทายวัน ชื่อปาจีนวังสะ แล้วเสด็จไปทางบ้านปาริเลยยกะ.
ดังได้สดับมา ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอาศัยบ้านปาริเลยยกะ เสด็จจำพรรษาอยู่ที่ควงไม้สาละใหญ่ในราวป่ารักขิตวัน อันช้างปาริเลยยกะอุปัฏฐากอยู่เป็นผาสุก____________________________
อาเกียรณ์ [-เกียน] ว. เกลื่อนกล่น, เกลื่อนกลาด. (ส. อากีรฺณ; ป. อากิณฺณ).พวกอุบาสกทรมานภิกษุ
ฝ่ายพวกอุบาสกผู้อยู่ในเมืองโกสัมพีแล ไปสู่วิหาร ไม่เห็นพระศาสดา
จึงถามว่า “พระศาสดาเสด็จอยู่ที่ไหน? ขอรับ.”
ภิกษุเหล่านั้นกล่าวว่า “พระองค์เสด็จไปสู่ราวป่าปาริเลยยกะเสียแล้ว.”
อุ. เพราะเหตุอะไร? ขอรับ.
ภ. พระองค์ทรงพยายามจะทำพวกเราให้พร้อมเพรียงกัน. แต่พวกเราหาได้เป็นผู้พร้อมเพรียงกันไม่.
อุ. ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ท่านทั้งหลายบวชในสำนักของพระศาสดาแล้ว, ถึงเมื่อพระองค์ทรงทำสามัคคี, ไม่ได้เป็นผู้สามัคคีกันแล้วหรือ?
ภ. อย่างนั้นแล ผู้มีอายุ.
พวกมนุษย์คิดกันว่า
“ภิกษุพวกนี้ บวชในสำนักของพระศาสดาแล้ว, ถึงเมื่อพระองค์ทรงทำสามัคคีอยู่, ก็ไม่สามัคคีกันแล้ว; พวกเราไม่ได้เห็นพระศาสดา เพราะอาศัยภิกษุพวกนี้; พวกเราจักไม่ถวายอาสนะ จักไม่ทำสามีจิกรรมมีการไหว้เป็นต้นแก่ภิกษุพวกนี้;”
จำเดิมแต่นั้นมา ก็ไม่ทำแม้สักว่าสามีจิกรรมแก่ภิกษุพวกนั้น. เธอทั้งหลายซูบซีดเพราะมีอาหารน้อย, โดยสองสามวันเท่านั้นก็เป็นคนตรง แสดงโทษที่ล่วงเกินแก่กันและกัน ต่างรูปต่างขอขมากันแล้ว กล่าวว่า “อุบาสกทั้งหลาย พวกเราพร้อมเพรียงกันแล้ว, ฝ่ายพวกท่าน ขอให้เป็นพวกเราเหมือนอย่างก่อน”
อุ. พวกท่านทูลขอขมาพระศาสดาแล้วหรือ? ขอรับ.
ภ. ยังไม่ได้ทูลขอขมา ผู้มีอายุ.
อุ. ถ้าอย่างนั้น ขอพวกท่านทูลขอขมาพระศาสดาเสีย, ฝ่ายพวกข้าพเจ้าจักเป็นพวกท่านเหมือนอย่างก่อน ในกาลเมื่อพวกท่านทูลขอขมาพระศาสดาแล้ว.
เธอทั้งหลายไม่สามารถจะไปสู่สำนักของพระศาสดา เพราะเป็นภายในพรรษา ยังภายในพรรษานั้น ให้ล่วงไปด้วยความลำบาก.
ช้างปาริเลยยกะอุปัฏฐากพระศาสดา
ฝ่ายพระศาสดา อันช้างนั้นอุปัฏฐากอยู่ ประทับอยู่สำราญแล้ว.
ฝ่ายช้างนั้นละฝูงเข้าไปสู่ราวป่านั้น เพื่อต้องการความอยู่ผาสุก.
พระธรรมสังคาหกาจารย์กล่าวอย่างไร.? พระธรรมสังคาหกาจารย์กล่าวไว้ว่า
(ครั้งนั้น ความตริได้มีแก่พระยาช้างนั้นว่า) “เราอยู่อาเกียรณด้วยพวกช้างพลาย ช้างพัง ช้างสะเทิ้นและลูกช้าง เคี้ยวกินหญ้าที่เขาเด็ดปลายเสียแล้ว, และเขาคอยเคี้ยวกินกิ่งไม้ที่เราหักลงๆ และเราดื่มน้ำที่ขุ่น, เมื่อเราลงและขึ้นสู่ท่าแล้ว พวกช้างพังก็เดินเสียดสีกายไป; ถ้าอย่างไร เราจะหลีกออกจากหมู่อยู่ตัวเดียว”
ครั้งนั้นแล พระยาช้างนั้นหลีกออกจากโขลง เข้าไป ณ บ้านปาริเลยยกะ ราวป่ารักขิตวัน ควงไม้สาละใหญ่ (และ) ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จอยู่แล้ว; ก็แลครั้นเข้าไปแล้ว ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า แลดูอยู่ไม่เห็นวัตถุอะไรๆ อื่น จึงกระทืบควงไม้สาละใหญ่ด้วยเท้า ถาก (ให้เรียบ) ถือกิ่งไม้ด้วยงวงกวาด. ตั้งแต่นั้นมา พระยาช้างนั้นจับหม้อด้วยงวง ตักน้ำฉันน้ำใช้มาตั้งไว้, เมื่อทรงพระประสงค์ด้วยน้ำร้อน, ก็จัดน้ำร้อนถวาย.
พระยาช้างนั้นจัดน้ำร้อนได้อย่างไร?
พระยาช้างนั้นสีไม้แห้งด้วยงวงให้ไฟเกิด, ใส่ฟืนให้ไฟลุกขึ้น เผาศิลาในกองไฟนั้นแล้ว กลิ้งก้อนศิลาเหล่านั้นไปด้วยท่อนไม้ ทิ้งลงในสะพังน้อยที่ตัวกำหนดหมายไว้, ลำดับนั้น หย่อนงวงลงไป รู้ว่าน้ำร้อนแล้ว, จึงไปถวายบังคมพระศาสดา.
พระศาสดาตรัสว่า “ปาริเลยยกะ น้ำเจ้าต้มแล้วหรือ?” ดังนี้แล้ว เสด็จไปสรงในที่นั้น.
ในกาลนั้น พระยาช้างนั้นนำผลไม้ต่างอย่างมาถวายแด่พระศาสดา. ก็เมื่อพระศาสดาจะเสด็จเข้าบ้านเพื่อบิณฑบาต พระยาช้างนั้นถือบาตรจีวรวางไว้บนตระพอง ตามเสด็จพระศาสดาไป.
พระศาสดาเสด็จถึงแดนบ้านแล้วรับสั่งว่า “ปาริเลยยกะ ตั้งแต่ที่นี้ เจ้าไม่อาจไปได้, เจ้าจงเอาบาตรจีวรของเรามา” ดังนี้แล้ว ให้พระยาช้างนั้นเอาบาตรจีวรมาถวายแล้ว เสด็จเข้าบ้านเพื่อบิณฑบาต.
ส่วนพระยาช้างนั้นยืนอยู่ที่นั้นเอง จนกว่าพระศาสดาจะเสด็จออกมา ในเวลาพระศาสดาเสด็จมา ทำการต้อนรับแล้ว ถือบาตรจีวรโดยนัยก่อน (นำไป) ปลงลง ณ ที่ประทับอยู่แล้ว ถวายงานพัดด้วยกิ่งไม้ แสดงวัตรอยู่. ในราตรี พระยาช้างนั้นถือท่อนไม้ใหญ่ด้วยงวง เที่ยวไปในระหว่างๆ แห่งราวป่ากว่าอรุณจะขึ้น เพื่อกันอันตรายอันจะมีแต่เนื้อร้ายด้วยตั้งใจว่า “จักรักษาพระศาสดา”
ได้ยินว่า ราวป่านั้นชื่อว่ารักขิตวันสัณฑะ จำเดิมแต่กาลนั้นมา.
ครั้นอรุณขึ้นแล้ว, พระยาช้างนั้นทำวัตรทั้งปวงโดยอุบายนั้นนั่นแล ตั้งต้นแต่การถวายน้ำสรงพระพักตร์.
วานรถวายรวงน้ำผึ้ง
ในกาลนั้น วานรตัวหนึ่งเห็นช้างนั้นลุกขึ้นแล้วๆ ทำอภิสมาจาริกวัตร (คือการปฏิบัติ) แด่พระตถาคตเจ้าแล้ว คิดว่า “เราก็จักทำอะไรๆ ถวายบ้าง” เที่ยวไปอยู่,
วันหนึ่ง เห็นรวงผึ้งที่กิ่งไม้หาตัวมิได้ หักกิ่งไม้แล้ว นำรวงผึ้งพร้อมทั้งกิ่งไม้ไปสู่สำนักพระศาสดา ได้เด็ดใบตองรองถวาย พระศาสดาทรงรับแล้ว.
วานรแลดูอยู่ ด้วยคิดว่า “พระศาสดาจักทรงทำบริโภคหรือไม่?” เห็นพระศาสดาทรงรับแล้วนั่งเฉยอยู่ คิดว่า “อะไรหนอแล” จึงจับปลายกิ่งไม้พลิกพิจารณาดู เห็นตัวอ่อนแล้ว จึงค่อยๆ นำตัวอ่อนเหล่านั้นออกเสียแล้ว จึงได้ถวายใหม่.
พระศาสดาทรงบริโภคแล้ว. วานรนั้นมีใจยินดี ได้จับกิ่งไม้นั้นๆ ยืนฟ้อนอยู่.
ในกาลนั้น กิ่งไม้ที่วานรนั้นจับแล้วก็ดี กิ่งไม้ที่วานรนั้นเหยียบแล้วก็ดี หักแล้ว.
วานรนั้นตกลงที่ปลายตออันหนึ่ง มีตัวอันปลายตอแทงแล้ว มีจิตเลื่อมใส ทำกาลกิริยาแล้ว เกิดในวิมานทองสูง ๓๐ โยชน์ ในภพดาวดึงส์ มีนางอัปสรพันหนึ่งเป็นบริวาร.พระยาช้างสังเกตดูวัตรพระอานนท์
การที่พระตถาคตเจ้า อันพระยาช้างอุปัฏฐาก ประทับอยู่ในราวป่ารักขิตวันนั้น ได้ปรากฏในชมพูทวีปทั้งสิ้น. ตระกูลใหญ่ๆ คือ ท่านเศรษฐีอนาถบิณฑิกะ และนางวิสาขามหาอุบาสิกา อย่างนี้เป็นต้น ได้ส่งสาสน์จากนครสาวัตถี ไปถึงพระอานนทเถระว่า “ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ขอท่านจงแสดงพระศาสดาแก่พวกข้าพเจ้า.”
ฝ่ายภิกษุ ๕๐๐ รูปผู้อยู่ในทิศ จำพรรษาแล้ว เข้าไปหาพระอานนทเถระ วอนขอว่า “อานนท์ผู้มีอายุ ธรรมีกถาในที่เฉพาะพระพักตร์แห่งพระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพเจ้าทั้งหลายได้ฟังนานมาแล้ว; อานนท์ผู้มีอายุ ดีละ ข้าพเจ้าทั้งหลายพึงได้ฟังธรรมีกถาในที่เฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคเจ้าเถิด”
พระเถระพาภิกษุเหล่านั้นไป ณ ที่นั้นแล้ว คิดว่า “การเข้าไปสู่สำนักพระตถาคตเจ้า ผู้เสด็จอยู่พระองค์เดียว ตลอดไตรมาส พร้อมกับภิกษุมีประมาณถึงเท่านี้ หาควรไม่”
ดังนี้แล้ว จึงพักภิกษุเหล่านั้นไว้ข้างนอกแล้ว เข้าไปเฝ้าพระศาสดาแต่รูปเดียวเท่านั้น.
พระยาช้างปาริเลยยกะเห็นพระอานนทเถระนั้นแล้ว ถือท่อนไม้วิ่งไป.
พระศาสดาทอดพระเนตรเห็นแล้ว ตรัสว่า “หลีกไปเสียปาริเลยยกะ อย่าห้ามเลย, ภิกษุนั่นเป็นพุทธอุปัฏฐาก”
พระยาช้างปาริเลยยกะนั้น ทิ้งท่อนไม้เสียในที่นั้นเองแล้ว ได้เอื้อเฟื้อถึงการรับบาตรจีวร. พระเถระมิได้ให้แล้ว.
พระยาช้างได้คิดว่า “ถ้าภิกษุรูปนี้จักมีวัตรอันได้เรียนแล้ว, ท่านคงจักไม่วางบริขารของตนไว้บนแผ่นศิลาที่ประทับของพระศาสดา.” พระเถระได้วางบาตรจีวรไว้ที่พื้นแล้ว.
ไม่ได้สหายที่มีปัญญาเที่ยวไปผู้เดียวประเสริฐกว่า
จริงอยู่ ชนผู้ถึงพร้อมแล้วด้วยวัตร ย่อมไม่วางบริขารของตนไว้บนที่นั่งหรือบนที่นอนของครู.
พระยาช้างนั้นเห็นอาการนั้น ได้เป็นผู้มีจิตเลื่อมใสแล้ว.
พระเถระอภิวาทพระศาสดาแล้ว นั่ง ณ ที่ส่วนข้างหนึ่ง.
พระศาสดาตรัสถามว่า “อานนท์ เธอมาผู้เดียวเท่านั้นหรือ?” ทรงสดับความที่พระเถระเป็นผู้มาพร้อมกับภิกษุ ๕๐๐ แล้วตรัสว่า “ก็ภิกษุเหล่านั้น อยู่ที่ไหน?”
เมื่อพระเถระทูลว่า “ข้าพระองค์ไม่ทราบน้ำพระทัยของพระองค์ จึงพักเธอทั้งหลายไว้ข้างนอกมาแล้ว (แต่รูปเดียว)”
ตรัสว่า “เรียกเธอทั้งหลายมาเถิด” พระเถระได้ทำตามรับสั่งแล้ว.
ภิกษุเหล่านั้นมาถวายบังคมพระศาสดาแล้วนั่ง ณ ที่ส่วนข้างหนึ่ง.
พระศาสดาทรงทำปฏิสันถารกับเธอทั้งหลายแล้ว.
เมื่อภิกษุเหล่านั้นทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นพระพุทธเจ้าอันสุขุม และเป็นกษัตริย์อันสุขุม พระองค์เสด็จยืนและประทับนั่งพระองค์เดียวตลอดไตรมาส ทำกิจที่ทำได้ด้วยยาก, ผู้ทำวัตรและปฏิวัตรก็ดี ผู้ถวายน้ำสรงพระพักตร์ก็ดี ชะรอยจะมิได้มีแล้ว”,
ตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย กิจทั้งปวงของเรา อันพระยาช้างปาริเลยยกะทำแล้ว ก็อันบุคคลผู้ได้สหายเห็นปานนี้ อยู่ด้วยกันควรแล้ว, เมื่อไม่ได้สหาย(เห็นปานนี้) ความเป็นผู้เที่ยวไปผู้เดียวเท่านั้นประเสริฐกว่า” ดังนี้แล้ว ได้ภาษิต ๓ คาถาใน นาควรรค เหล่านี้ว่า :-
ถ้าบุคคลได้สหายผู้มีปัญญารักษาตน มีปัญญาทรงจำ มีคุณธรรมเป็นเครื่องอยู่ยังประโยชน์ให้สำเร็จ ไว้เป็นผู้เที่ยวไปด้วยกันไซร้, (บุคคลผู้ได้สหายเห็นปานนั้น) ควรมีใจยินดีมีสติ ครอบงำอันตรายซึ่งคอยเบียดเบียนรอบข้างทั้งปวงเสียแล้ว เที่ยวไปกับสหายนั้น, ถ้าบุคคลไม่ได้สหาย ผู้มีปัญญารักษาตน มีปัญญาทรงจำ มีคุณธรรมเป็นเครื่องอยู่ยังประโยชน์ให้สำเร็จไว้ เป็นผู้เที่ยวไปด้วยกันไซร้, บุคคลนั้นควรเที่ยวไปคนเดียว เหมือนพระราชาผู้ละแว่นแคว้นที่พระองค์ทรงชำนะแล้ว เสด็จอยู่แต่องค์เดียว,
(และ) เหมือนพระยาช้างอันชื่อว่ามาตังคะเที่ยวอยู่ในป่าแต่เชือกเดียว, การเที่ยวไปผู้เดียวประเสริฐกว่า ความเป็นสหายไม่มีในเพราะชนพาล, บุคคลผู้ไม่ได้สหายเห็นปานนั้น ควรมีความขวนขวายน้อย เที่ยวไปผู้เดียว และไม่ควรทำบาปทั้งหลาย, เหมือนพระยาช้างชื่อมาตังคะผู้มีความขวนขวายน้อย เที่ยวไปในป่าแต่เชือกเดียวและหาได้ทำบาปไม่.”
ในกาลจบคาถา ภิกษุเหล่านั้นทั้ง ๕๐๐ รูป ตั้งอยู่ในพระอรหัตแล้ว.
พระอานนทเถระกราบทูลสาสน์ที่ตระกูลใหญ่ๆ มีท่านเศรษฐีอนาถบิณฑิกะเป็นต้นส่งมาแล้ว กราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อริยสาวก ๕ โกฏิ มีท่านเศรษฐีอนาถบิณฑิกะเป็นหัวหน้า หวังความเสด็จมาของพระองค์อยู่.”
พระศาสดาตรัสว่า “ถ้าอย่างนั้น เธอจงรับบาตรจีวร”
ดังนี้แล้ว ให้พระเถระรับบาตรจีวรแล้ว เสด็จออกไป.
พระยาช้างได้ไปยืนขวางทางไว้. ภิกษุทั้งหลายเห็นดังนั้น
ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระยาช้างทำอะไร?”
พระศาสดาตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย ช้างหวังจะถวายภิกขาแก่เธอทั้งหลาย, ก็แลช้างนี้ได้ทำอุปการะแก่เราตลอดราตรีนาน, การยังจิตของช้างนี้ให้ขัดเคืองไม่ควร, ภิกษุทั้งหลาย ขอเธอทั้งหลายกลับเถิด.”
พระศาสดาทรงพาภิกษุทั้งหลายเสด็จกลับแล้ว.
ฝ่ายช้างเข้าไปสู่ราวป่าแล้ว รวบรวมผลไม้ต่างๆ มีผลขนุนและกล้วยเป็นต้นมาทำให้เป็นกองไว้, ในวันรุ่งขึ้น ได้ถวายแก่ภิกษุทั้งหลาย. ภิกษุ ๕๐๐ รูปไม่อาจฉันผลไม้ทั้งหลายให้หมดสิ้น.
ในกาลเสร็จภัตกิจ พระศาสดาทรงถือบาตรจีวรเสด็จออกไปแล้ว.
พระยาช้างไปตามระหว่างๆ แห่งภิกษุทั้งหลาย ยืนขวางพระพักตร์พระศาสดาไว้.
ภิกษุทั้งหลายเห็นดังนั้น ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ช้างนี้ทำอะไร? ”
ศ. ภิกษุทั้งหลาย ช้างนี้จะส่งพวกเธอไปแล้ว ชวนให้เรากลับ.
ภ. อย่างนั้นหรือ? พระองค์ผู้เจริญ.
ศ. อย่างนั้น ภิกษุทั้งหลาย.
ช้างทำกาละไปเกิดเป็นเทพบุตร
ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสกะช้างนั้นว่า “ปาริเลยยกะ นี้ความไปไม่กลับของเรา, ฌานก็ดี วิปัสสนาก็ดี มรรคและผลก็ดี ย่อมไม่มีแก่เจ้าด้วยอัตภาพนี้, เจ้าหยุดอยู่เถิด.”
พระยาช้างได้ฟังรับสั่งดังนั้นแล้ว ได้สอดงวงเข้าปากร้องไห้ เดินตามไปข้างหลังๆ.
ก็พระยาช้างนั้น เมื่อเชิญพระศาสดาให้กลับได้ พึงปฏิบัติโดยอาการนั้นแลจนตลอดชีวิต.
ฝ่ายพระศาสดาเสด็จถึงแดนบ้านนั้นแล้ว ตรัสว่า “ปาริเลยยกะ จำเดิมแต่นี้ไป มิใช่ที่ของเจ้า, เป็นที่อยู่ของหมู่มนุษย์. มีอันตรายเบียดเบียนอยู่รอบข้าง, เจ้าจงหยุดอยู่เถิด”
ช้างนั้นยืนร้องไห้อยู่ในที่นั้น, ครั้นเมื่อพระศาสดาทรงละคลองจักษุไป, มีหัวใจแตก, ทำกาละแล้ว เกิดในท่ามกลางนางเทพอัปสรพันหนึ่ง ในวิมานทองสูง ๓๐ โยชน์ ในภพดาวดึงส์ เพราะความเลื่อมใสในพระศาสดา ชื่อของเทพบุตรนั้นว่า “ปาริเลยยกเทพบุตร”
ฝ่ายพระศาสดาได้เสด็จถึงพระเชตวันแล้วโดยลำดับ.ที่มา
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=11&p=5อ่าน เนื้อความในพระไตรปิฎก
http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=25&A=268&Z=329ขอบคุณภาพจาก
http://www.dhammajak.net/,http://upload.wikimedia.org/,http://www.bloggang.com/,http://www.watdhammapateep.com/