กระทู้เมื่อเร็วๆ นี้

หน้า: 1 2 [3] 4 5 ... 10
21
ครั้นมาถูกเข้ากับกายอันเน่าอยู่เป็นนิตย์นี้แล้ว ย่อมกลายเป็นของน่าเกลียดไปด้วยกัน
++++++++++++++++++++++++++++++++++
นั่งยืนเดินนอนตั้งแต่ลืมตามา ก็พิจารณาธรรมบทนี้มาตลอด
พระพุทธเจ้า พระองค์สอนให้สาวกรู้จักการพิจารณาธรรม อย่างน้อยก็เรืองปัจจัยสี่อย่าง มี จีวร บิณฑบาตร ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค โดยให้พิจารณาก่อนใช้ ขณะใช้ และหลังจากใช้
ก่อนใช้ ( ปะฏิสังขาโย ) ว่าที่ใช้ก็เพื่ออำนวยความสะดวกแก่กายนี้เท่านั้น ใช้ตามความจำเป็น ไม่ได้ใช้เพื่ออวดหล่อ อวดรวย
ขณะใช้ ( ธาตุปัจจะโย ) ที่ใช้อยู่ให้นึกเสียว่ามันเป็นเพียงธาตุที่ต้องนำมาใช้เท่านั้น พอนำมาใช้ถูกต้องกับกายอันเน่าอยู่เป็นนิตย์นี้แล้วก็กลายเป็นของน่าเกลียดไปด้วยกัน
หลังใช้( อัชชะมะยา ) หลังใช้ก็ให้พิจารณาว่า ที่ใช้ก็เพราะจำเป็นต้องใช้ ไม่ได้ใช้เพื่อการใดเลย แต่ใช้เพื่อให้มีชีวิตอยู่ไปอีกวัน เท่านั้น
เมื่อพิจารณาดังนี้แล้ว สิ่งฟุ่มเฟือย ก็จะลดลง และไม่หลงอยู่กับวัตถุที่ใช้ที่มี จิตก็จะอยู่กับความสันโดษไม่วุ่นวายกับเรื่องการขวนขวายไร้สาระ อย่างน้อยก็หยุดปรุงแต่ง ได้ทั้งชั่วขณะ และได้ทั้งตลอดเวลา
มนุษย์เราเสียเวลาปรุงแต่งกับเรื่องสิ่งของ เครื่องใช้สอย หยูกยา เครื่องแต่งกายมากนะ แม้แต่เรื่องอาหารการกิน จึงทำให้จิตนั้นเหนื่อย ฟุ้งซ่าน มักมากก็เพราะว่าปรุงแต่งต้องการอยากได้ตลอดเวลา
ดังนั้นคนภาวนา ต้องเอาความคิดปรุงแต่งไร้สาระอย่างนี้ออกให้มาก ยิ่งไม่ปรุงแต่งก็จะยิ่งภาวนาได้ง่าย เพราะไม่มีเรื่องให้คิดให้อยากมักมากในกามคุณนั่นเอง
เจริญธรรม / เจริญพร
22
ถาม ขอข้อความธรรมสักนิดครับ พอจ เพื่อเจริญธรรมครับ
ตอบ สัพเพ สังขารา อนิจจา สังขารทั้งหลายทั้งปวงเป็นอนิจจัง
สัพเพ สังขารา ทุกขา สังขารทั้งหลายทั้งปวงเป็นทุกข์
สัพเพ ธัมมา อนัตตา ธรรมทั้งหลายทั้งปวงเป็นอนัตตา
สัพเพ ธัมมา นาลัง อะภินิเวสายะ ธรรมทั้งหลายทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น
เจริญธรรม / เจริญพร
23
Facebook ธัมมะวังโส / โลภภายนอก เราควบคุมไม่ได้ เพราะโลกภายนอก
« กระทู้ล่าสุด โดย dhammawangso เมื่อ มีนาคม 24, 2022, 08:23:01 am »
โลภภายนอก เราควบคุมไม่ได้ เพราะโลกภายนอก มันมีกติกา สังคม กฏหมาย ข้อแม้ ข้อจำกัด โดยอ้างอิง กับ โลกธรรม
โลกธรรม ก็มีอยู่สองด้าน
คือ ด้านชอบ มีลาภสักการะ มียศ มีสุข มีสรรเสริญ
ด้านไม่ชอบ ก็เสื่อมลาภ เสื่อมยศ มีทุกข์ และถูกนินทา
ดังนั้นโลกภายนอก มันก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างนี้ทุกวันเวลาเดือนปี ก็มีกฏเกณฑ์ข้อบังคับอะไรต่าง ๆ ไปตามกฏกติกาของมันตามความชอบ ความชัง ดังนั้นโลกภายนอก ถ้าอยากสุขสงบ ก็ต้องอาศัย สันโดษ ( ความพอเพียง ) ถ้าขาดความสันโดษแล้ว มันก็จะวุ่นวายไปรูปแบบต่าง ๆ
นี่เรื่องของโลกภายนอก มันมีกฏคือความพอใจ และ ความไม่พอใจ เป็นแรงขับดัน ดังนั้นคนที่ยุ่งกับโลกภายนอกตลอดเวลา จิตมันก็จะขึ้นจะลงไปตามสภาวะการณ์ของโลกธรรมนั่นเอง
คนทำดี ถูกด่าก็ได้ ถูกทิ้งก็ได้ ถูกรังแกก็ได้ ไม่ได้แปลกอะไร ในโลกภายนอก
คนทำชั่ว ถูกสรรเสริญก็ได้ ถูกสนับสนุนก็ได้ ถูกช่วยเหลือก็ได้ เพราะไม่ได้แปลกอะไรเลยสำหรับโลกภายนอก
ดังนั้น โลกภายนอก มีโลกธรรม และกฏกติกาสังคมต้องส่วนนั้นเป็นผู้กำหนด จะมีสุข มีทุกข์ ก็เป็นไปตามสภาวะการณ์ของโลกธรรมนั้น จัดการได้ยาก แต่ก็ไม่ยากนักในปัจจุบัน หากมีฐานะเงินทองหน้าที่การงานที่ดีใหญ่โต มันก็ค่อนข้างจะมีผู้สนับสนุน แต่ถ้าไม่มีฐานะเงินทอง มันก็หมาหัวเน่า ไม่มีใครแคร์อยากคบ นี่คือสภาวะของโลกภายนอก
ดังคำไทยท่านว่า ปลาใหญ่ กินปลาเล็ก ปลาเล็ก กินปลาน้อย ปลากะจ่อยร่อยต้องดิ้นรนหาทางเอาตัวรอดในภาวะการณ์ต่างๆ
น้ำมาปลากินมด น้ำลดมดกินปลา
คนใหญ่โตสนับสนุน คนถูกสนับสนุนก็ไปเก็บเอากับคนเล็กคนน้อย
พอหมดคนใหญ่โตสนับสนุน คนที่ไม่ใครสนับสนุนก็จะถูกถล่ม
เอ้อ นี่มันแบบโลกๆ แต่กี่สมัย กี่ยุค กี่บ้านเมือง กี่กาลเวลา มันก็เป็นอย่างนี้ มันเปลี่ยนแปลงอะไรนัก ในโลกภายนอก ที่มีสังคมขับดัน
ที่นี้ถ้าจะเอาความสงบ ก็ต้องพยายามตัดโลกภายนอก พระพุทธเจ้าพระองค์สอนให้ผู้ภาวนา ตัดเรื่องโลกภายนอกต้องวางลง เลิกคิดการใหญ่ เลิกเป็นใหญ่ พิจารณาปัจจัย พอเพียงในชีวิต การุณย์สรรพสัตว์ กรุณาผู้ตกทุกข์ได้ยาก เมตตาคนมีทุกข์ และวางเฉยเมื่อคนนั้นต้องพบกับกรรม
ดังนั้นโลกภายนอกเป็นเรื่องที่ผู้ภาวนา ต้องละ ถ้าไม่ละ มันก็ภาวนาไม่ได้ อยากจะเปลี่ยนโน่นเปลี่ยนนี่ กำหนดกติการนั้น กติกานี้ มันก็จะเป็นความวุ่นวาย ดังนั้นผู้ภาวนาจำเป็นจะต้องหยุดเรื่องโลกภายนอกลงบ้าง
หันมาใช้ชีวิตที่พอเพียง และพยายามระลึกอยู่เสมอว่า ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน ไม่ใช่จะไปคอยแต่พึ่งคนอื่น คนภาวนาต้องพยายามพึ่งตนเอง พึ่งพากำลังตนเอง จะภาวนา จะทำกรรมฐาน จะไปมองคนอื่น ๆ ไม่ได้ ต้องมองตนเองพิจารณาตนเอง ต้องเดินทางตามมรรคด้วยตนเอง นี่จะเรียกว่านักภาวนา
ดังนั้นสังคมจะเปลี่ยนแปลงอย่างไร จะมีกติกาอย่างไร จะไม่สนใจเรา ก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องไปหนักอกหนักใจ ถ้าพิจารณาตามความเป็นจริงแล้วชีวิต คนเรา มีความตายเป็นที่สุดรอบ มีกิจกรรมทางบุญทางบาปเป็นตรารับรองเส้นทางชีวิต จะมีสุขภายในจิตก็ต้องภาวนา อยากมีทุกข์ก็ไปยุ่งกับโลกภายนอก ดังนั้นก็อยู่ที่ทุกคนจะเลือกอะไร อยากเลือกอะไรก็เลือกไป จะหาความดี อบรมบ่มจิตให้มีความสงบ กับภาวนา หรือจะหาเรื่องใส่ตัวไปยุ่งอยู่กับโลกธรรม ก็เลือกเอา
อยู่ที่ไหน ๆ ก็สงบไม่ได้ ถ้าใจมันอยากยุ่งอยู่กับโลก
แต่อยู่ที่ไหน ก็สงบลงได้ ถ้าพอเพียงตั้งมั่นในธรรม ยอมรับตามความเป็นจริงเดินทางตามมรรคผลนิพพาน
ก็พิมพ์ยาวนิดหนึ่ง แต่อยากให้เป็นข้อความเตือนจิตสะกิดใจกับผู้ที่ มัวแต่ยุ่งเรื่องทางโลกมากเกินไป ยุ่งกับสังคมมากเกินไป ยุ่งกับชีวิตมากเกินไป ยุ่งกับอุดมการณ์มากเกินไป ให้มีจิตตรงสงบลงเสียบ้าง
อย่างไรก็ขอให้ทุกท่านจงมีความสงบร่มเย็น ทุกข์ที่มีก็ขอให้มีสติตั้งมั่น เจริญด้วยธรรม ทั้งปีนี้ และปีหน้า ถ้วนหน้ากันเทอญ
เจริญธรรม / เจริญพร
24
สิ่งที่ผู้ภาวนา ควรเชื่อเพื่อติดตามพระพุทธเจ้า
1.กำเนิด 4 ประการ ( การเกิดในสังสารวัฏมี 4 แบบ )
การเกิดในสังสารวัฏอาศัย ผลจากกรรมที่สร้าง จะดี หรือ ชั่วของตนเป็นตัวกำหนด
เกิดในครรภ์ เกิดในไข่ เกิดในเถ้าไคล เกิดผุดขึ้นเอง
เกิดในครรภ์ เช่น มนุษย์ เป็นต้น
เกิดในไข่ เช่น เป็ด ไก่ เป็นต้น
เกิดในเถ้าไคล หนอน ไส้เดือน เป็นต้น
เกิดผุดขึ้นเอง เปตร เทวดา พรหม สัตว์นรก เป็นต้น
2.อบายภูมิ มี 4 ( ที่เกิดที่ไม่ดี ไม่สามารถถึงการบรรลุธรรมได้ )
1.นิริยะ สัตว์นรก  2.ติรัจฉาน สัตว์ดิรัจฉาน 3.อสุรกาย เหล่าอสุรกาย 4. เปตร สัตว์เปตร
ถาม การเชื่อเรื่อง กำเนิด 4 และ อบายภูมิ จะมีประโยชน์อะไร
ตอบ มีประโยชน์ทำให้รู้จักสังสารวัฏ จะอยู่สบาย ลำบาก ก็เพราะกรรม จะได้กำเนิดอะไร ก็เพราะกรรม
กรรม มี 3 อย่าง
กรรมดี
กรรมชั่ว
กรรมที่เป็นกลางๆ
ดังนั้นการเชื่อในกำเนิด 4 และ อบายภูมิ 4 จะทำให้มนุษย์ไม่สร้างกรรมชั่วในขณะที่มีชีวิต แต่ถ้าไม่เชื่อ ผลเสียก็คือไม่เกรงกลัวต่อกรรม ดังนั้นคนที่ไม่แคร์กรรมชั่ว ก็ไม่คือไม่แคร์ผลของกรรม ย่อมกระทำกรรมชั่วได้ทั้งเปิดเผยและลับหลัง
เจริญธรรม / เจริญพร
25
Facebook ธัมมะวังโส / ถาม จะพ้นจากอบายภูมิ 4 มีวิธีการอะไรบ้างครับ
« กระทู้ล่าสุด โดย dhammawangso เมื่อ มีนาคม 24, 2022, 08:21:50 am »
ถาม จะพ้นจากอบายภูมิ 4 มีวิธีการอะไรบ้างครับ
ตอบ
 การสร้างบารมีเพื่อพ้น อบายภูมิ 4
1.ทาน การให้   2. ศีล การไม่เบียดเบียน 3.ภาวนา การบ่มนิสัยไปทางพระนิพพาน
ผู้พ้นจากอบายภูมิ 4 ในทางพระพุทธศาสนา ท่านกล่าวว่า ผู้เป็นโสดาบัน พ้นจากอบายภูมิ 4
อบายภูมิ 4 มีอะไรบ้าง
1. ติรัจฉาณ เกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉาณ
2. เปต เกิดเป็นเปตร
3. นิริยะ เกิดเป็นสัตว์นรก
4. อสุรกาย เกิดเป็นอสุรกาย
ภูมิทั้ง 4 เป็นภูมิที่ไม่สามารถถึงธรรม อันเป็นอริยะ ชื่อว่าภูมิเกิดที่ไม่สบาย เพราะสัตว์เบียดเบียนกันเป็นปกติ หรือ ธรรมดา สัตว์เล็กกินสัตว์ใหญ่ สัตว์ใหญ่ข่มเหงสัตว์เล็ก
ดังนั้นการได้ตายแล้วต้องเกิดใหม่ที่ไม่รู้จบนั้น การได้เกิดในอบายภูมิ 4 ท่านกล่าวว่าไม่เป็นการดี ดังนั้นในยามมีชีวิตอยู่ควรสร้างหนทางไปสู่การเกิด อย่างน้อย 2 ภูมิ คือ ภูมิมนุษย์ และ ภูมิเทวดา
ดังนั้นผู้ที่จะทำวิธีการตามนั้นจึงต้องมีความเชื่อในภพภูมิ เพราะถ้าไม่มีความเชื่อในภพภูมิ มันก็ยากต่อการรักษากิจกรรมที่จะทำได้
ในทางพุทธศาสนา ท่านกล่าวว่าา การพ้นจากอบายภูมิแบบทั่วไปก็ให้ทำบารมี 3 อย่าง
1. ทาน คือการให้ทาน
2. ศีล คือการรักษาศีล
3. ภาวนา คือการบำเพ็ญจิตเพียงเล็กน้อยถึงปานกลาง
3 วิธีการนี้เป็นวิธีการที่จะทำให้พ้นจากอบายภูมิ 4 ได้ ซึ่งไม่ได้มีความซับซ้อนทางธรรมใดๆ มากนัก มีก็แต่ภาวนา อาจจะซับซ้อนไปตามระดับ
เจริญธรรม / เจริญพร
26
Facebook ธัมมะวังโส / ปณิธาน ในการภาวนา และการเผยแผ่ พระธรรม
« กระทู้ล่าสุด โดย dhammawangso เมื่อ มีนาคม 24, 2022, 08:21:18 am »
ปณิธาน ในการภาวนา และการเผยแผ่ พระธรรม
==============================
กายวิเวก  จิตตวิเวก  อุปธิวิเวก
   กายวิเวก เป็นอย่างไร ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ ย่อมช่องเสพเสนาสนะอันสงัด คือ ป่า โคนไม้ ภูเขา ซอกเขา ถ้ำ ป่าช้า ป่าชัฏ ที่แจ้ง ล้อมฟาง และเป็นผู้สงัดด้วยกายอยู่ คือ เดินผู้เดียว นั่งผู้เดียว ยืนผู้เดียว นอนผู้เดียว เข้าบ้านเพื่อบิณฑบาตผู้เดียว อธิฐานจงกรมผู้เดียว เป็นผู้เดียวเที่ยวอยู่เปลี่ยนอิริยาบถ ประพฤติรักษาเป็นไป นี้ชื่อว่า  กายวิเวก
   จิตตวิเวก เป็นอย่างไร ภิกษุในพระธรรมนี้ เข้าปฐมฌาน มีจิตสงัดจากนิวรณ์ มีจิตสงัดจากวิตก วิจาร เพราะเข้าทุติยฌาน เข้าตติยฌานมีจิตสงบจากสุขและทุกข์ เข้าอากาสานัญจายตน มีจิตสงัดจากรูปสัญญา ปฏิฆะสัญญา มานัตตสัญญา เข้าวิญญาณัญจายตนฌาน มีจิตสงัดจาก อากาสานัญจายตนสัญญา เข้าอากิญจัญยายตนฌาน มีจิตสงัดจาก วิญญาณัญจายตนสัญญา เข้าเนวสัญญานาสัญญายตน มีจิตสงัดจากอากิญจัญญายตนสัญญา เมื่อภิกษุนั้น เป็นโสดาบันบุคคล สงัดจากสักกายทิฐิ วิจิกิจฉา สีลพัตตปรามาส ทิฏฐานุสัย วิจิกิจฉานุสัย และจากกิเลสที่ตั้งอยู่ในเหล่าเดียวกันกับสักกายทิฐิ เป็นต้น เป็นสกทาคามี มีจิตสงัดจากกามราคะสังโยชน์ ปฏิฆสังโยชน์ กามราคะนุสัย ปฏิฆานุสัย อย่างหยาบ ๆ และจากกิเลสที่ตั้งอยู่ในเหล่าเดียวกันกับกามราคุสังโยชน์เป็นต้นนั้น เป็นอานาคามี มีจิตสงัดจากกามราคะสังโยชน์ ปฏิฆะสังโยชน์ กามราคะนุสัย ปฏิฆนุสัยอย่างละเอียด ๆ และจากกิเลสที่ตั้งอยู่ในเหล่าเดียวกันกับกามราคะสังโยชน์อย่างละเอียดเป็นต้นนั้น เป็นอรหันต์มีจิตสงัดจาก รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชามานานุสัย ภวราคานุสัย อวิชานุสัย กิเลสที่ตั้งอยู่ในเหล่าเดียวกันกับรูปราคะเป็นต้น และสงัดจากสังขารนิมิตรทั้งปวงภายนอก นี้ชื่อว่า จิตวิเวก
   อุปธิวิเวกเป็น อย่างไร กิเลสก็ดี ขันธ์ก็ดี อภิสังขารก็ดี เรียกว่าอุปธิ อมตนิพพาน เรียกว่า อุปธิวิเวก ได้แก่ความระงับสังขารทั้งปวง ความสละคืนอุปธิทั้งปวง ความสิ้นตัณหา ความสำรอก ความดับ ความออกจากตัณหาเป็นเครื่องร้อยรัด นี้ชื่อว่าอุปธิวิเวก
   กายวิเวก   ย่อมมีแก่บุคคลผู้มีกายหลีกออก   ผู้ยินดีในเนกขัมมะ(การออกบวช)
   จิตตวิเวก  ย่อมมีแก่บุคคลผู้มีจิตบริสุทธิ์  ถึงซึ่งความเป็นผู้มีจิตผ่องแผ้วอย่างยิ่ง
   อุปธิวิเวก   ย่อมมีแก่บุคคลผู้หมดอุปธิ(กิเลส)ถึงซึ่งนิพพานอันเป็นวิสังขาร
   ตามความประพฤติวิเวกนั้น เป็นกิจอันสูงสุดของพระอริยเจ้าทั้งหลาย มีพระพุทธเจ้า สาวกของพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า เรียกว่า พระอริยเจ้าทั้งหลาย ความประพฤติวิเวกนั้น เป็นกิจอันเลิศประเสริฐ วิเศษ เป็นใหญ่สูงสุด บวรของพระอริยเจ้าทั้งหลาย เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า ความประพฤติวิเวกนั้น เป็นกิจอันสูงสุดของพระอริยเจ้าทั้งหลาย
   ความประพฤติวิเวกนั้น เป็นกิจอันสูงสุดของพระอริยเจ้าทั้งหลาย บุคคลไม่พึงสำคัญว่า เราเป็นผู้ประเสริฐด้วยความประพฤติวิเวกนั้น บุคคลนั้นแล ย่อมปฏิบัติในที่ใกล้นิพพาน
+=================================+
ส่วนตัวเมื่อระลึกถึงการอุปสมบถแล้ว ขณะนี้พอใจในการภาวนา ของตนเองเป็นอย่างมาก ที่พอใจมากที่สุดก็ปี พ.ศ.2559 ที่ได้เข้าปฏิจจสมุปบาท 4 รอบ ตามที่ครูอาจารย์ได้สอนวิธีการของกรรมฐาน และความโล่งแจ้งสบายได้เกิดมาตั้งแต่ พ.ศ.2559
ถึงแม้ว่าปัจจุบัน จะมีอาการเจ็บไข้ได้ป่วยไปตามวัยอายุ ก็นับว่าพอใจอยู่ในการภาวนาที่ผ่านมา
ก็ขอบคุณทุกท่านที่ได้สนับสนุนการเผยแผ่พระกรรมฐานของธัมมะวังโส ตลอดถึงได้สนับสนุนวิถีธรรมในการภาวนาด้วย
ขออำนาจบุญบารมีที่ ธัมมะวังโส ได้กระทำให้แจ้งจงบังเกิดผลแก่ทุกท่านที่ได้ร่วมสนับสนุนการภาวนาและการเผยแผ่ของธัมมะวังโส ให้เจริญไปสู่ความสิ้นกิเลสและทุกข์ กันทุกท่านเทอญ
เจริญธรรม / เจริญพร
27
หน้าที่ ของ ธัมมะวังโส ขึ้นอยู่กับพวกท่านเลือกอะไรต่างหาก ไม่ใช่ ธัมะวังโสเป็นผู้เลือก แต่ท่านทั้งหลายเป็นผู้เลือก
==================================
สิ่งที่ ธัมมะวังโส จะเป็นให้ได้สำหรับพวกท่าน ที่ยังคงต้องการเวียนว่ายตายเกิด ในวัฏฏะสงสาร ก็คือ เป็นเนื้อนาบุญ
สิ่งที่ ธัมมะวังโส จะเป็๋นให้ได้สำหรับพวกท่าน ที่ต้องการพ้นจากสังสารวัฏนี้ ก็คือ เป็น ครูอาจารย์
สิ่งที่ ธัมมะวังโส จะเป็นให้ได้สำหรับผู้ที่เป็นเพื่อนเท่านั้น ก็คือ เป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตาย
เจริญธรรม / เจริญพร
28
Facebook ธัมมะวังโส / Re: สถานการณ์บ้านเมือง ตอนนี้
« กระทู้ล่าสุด โดย dhammawangso เมื่อ มีนาคม 24, 2022, 08:20:31 am »
ยุคข้าวยาก หมากแพง ( ยุคเงินเฟ้อ ) มาถึงแล้ว
ท่านทั้งหลาย ต้องรู้จักการใช้เงินที่มี ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
เงินเฟ้อ หมายถึงอะไร
เงินเฟ้อ หมายถึง การใช้เงินแลกสิ่งของชิ้นเดิม ในราคาที่มากขึ้น ยกตัวอย่าง เคยซื้อเนื้อหมู 150 บาท ต่อ กก แต่ต้องมาซื้อ 250 ต่อ กก อย่างนี้เรียกว่า สภาวะเงินเฟ้อ
หรืออีกนัยหนึ่ง ค่าเงิน ที่มีอยู่ต่ำลงจากเดิม เช่น 5 บาทเคยกินข้าวได้จาน แต่ตอนนี้ 50 บาท ถึงกินข้าวได้จานหนึ่ง นี่เรียกว่า สภาวะเงินเฟ้อ
สภาวะของแพง มีกรณีเดียว คือ ของหายากมากขึ้น หรือหาแทบไม่ได้ สิ่งใดที่หายาก หรือหาไม่ค่อยได้ สิ่งนั้นย่อมมีราคาสูงขึ้น
แต่สภาวะเงินเฟ้อนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นสภาวะหาได้ยาก ในยุคปัจจุบันนี้ ของบริโภคเป็นของหาได้ยาก เหตุมาจาก สภาวะโรคติดต่อที่มีมา 2 - 3 ปีนี้ ทำให้ผลผลิต ด้านบริโภค มีไม่เพียงพอหรือ ไม่มีใครทำ คนทำ นั่นจึงเป็นสาเหตุสภาวะเงินเฟ้อ
นี่เป็นงานหนัก สำหรับรัฐบาลเลยนะ เพราะจะฟื้นฟูให้คนประกอบการ กับมาประกอบการอีกนั้น มันต้องมีปัจจัยหลายอย่าง
เกี่ยวกับ ธรรมะกรรมฐาน อย่างไร
เกี่ยวแต่ก็มีผลกระทบไม่มากนัก เพราะคนภาวนา ปกติกินน้อยอยู่เรียบง่าย ดังนั้นก็จะเดือดร้อนเรื่องการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์
แต่อย่างไรผลกระทบกับสังคมมันก็จะมีอาญชกรรม อาญชญากร เพิ่มขึ้นดังนั้นสภาวะแวดล้อมถือว่า ความปลอดภัยมีน้อยลงเพราะคนต้องกินต้องใช้ แต่คนไม่มีความสามารถหาเงินเฟ้อมากขึ้น
ภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน อันตราย
อย่างคนอยู่ในที่โรคระบาด ต้องสูญเงินไปกับ การซื้อชุดตรวจ ATK และชุดตรวจมีราคาต่ำสุดก็ 80 บาท ใช้ 2 ชุดต่อครั้ง แต่ชุด 80 บาทนั้นก็หายากหรือประสิทธิภาพการตรวจไม่เพียงพอ ก็ต้องเสียเงินไปกับค่าครองชีพบังคับ มากกว่า 200 บางครั้งถึง 300 หรือมากกว่าจะเห็นว่า ค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท ไม่เพียงพอต่อการซื้อชุด ATK เลย นี่ หายนะ ค่าครองชีพ แล้วคนไทยยังต้องเจอ สภาวะเงินเฟ้ออีก ต้องใช้เงินมากขึ้นในการแลกของบริโภค นี่เรียก ผีซ้ำกรรมเคราะห์ ซ้ำเติมคนเพิ่มขึ้นไปอีก
จะอยู่อย่างไร ในสภาะอย่างนี้
อดทน ไม่มีคำใดดีกว่านี้แล้ว
คนไทย ต้องอดทน ถึงแม้ว่า มันจะลำบากอย่างไรก ก็ต้องอดทน ให้มากขึ้น
เจริญธรรม / เจริญพร
29
Facebook ธัมมะวังโส / สถานการณ์บ้านเมือง ตอนนี้
« กระทู้ล่าสุด โดย dhammawangso เมื่อ มีนาคม 24, 2022, 08:20:11 am »
ก็ไม่อยากแสดงความคิดเห็นหรอกนะเกี่ยวกับปัญหาบ้านเมือง แต่ตอนนี้เริ่มได้รับผลกระทบเพิ่มขึ้น ขนาดเป็นพระยังได้รับผลกระทบชาวบ้านหรือจะไม่โดนผลกระทบ
=======================
#การเรียกร้องขึ้นค่าแรงขั้นต่ำไม่เหมาะสมในขณะนี้
#ค่าแรง400บาทไม่ใช่การแก้ปัญหาสินค้าแพง
#สินค้าแพงไม่ใช่เพราะค่าแรงปัจจุบันถูก
#สินค้าแพงไม่ใช่เกิดจากโควิด
นายกยิ่งลักษณ์ แก้ปัญหาของแพง โดยการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 300 บาท
ครั้งนั้นหายนะของแพงก็เกิดขึ้นทันที จนคนตกงาน โรงงานปิด บริษัทเจ๊งเป็นแถบๆ คนไทยต้องจ่ายค่าของแพงขึ้นทุกอย่างตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นไม้ บ้านเมืองเข้าวิกฤต น้ำท่วมใหญ่ ทั้งประเทศ กทม น้ำท่วมเป็นเวลา 30 วัน
ตอนนี้เห็นข่าวประชาชนไปประท้วงเรื่องขอขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 400 - 450 บาทอีก เหตุการณ์อย่างนี้กำลังจะเกิดขึ้นอีกครั้ง กว่าแผลเป็นเดิมจะหายคัน แผลใหม่ก็เริ่มปริขึ้น คนที่ตกทุกข์ได้ยากหาเงินไม่ค่อยได้ ก็จะต้องถูกเคราะห์กรรมชุดนี้เพิ่มเข้าไปอีก ผีซ้ำกรรมเคราะห์กิจการกระเทือนเพราะสถานการณ์โควิด มาแล้วยังต้องมาบอบช้ำด้วยกลไกกลโก่งราคาของพ่อค้า เข้าไปอีก คนผลิดมีรายได้เท่าเดิม แต่คนกลางที่เรียกว่า พ่อค้าแม่ค้า นี่แหละกำลังมาซ้ำเติมประเทศ
ในสภาวะที่พ่อค้าปั่นราคา ให้ของมันแพงขึ้น
เนื้อหมูแพง เมื่อสืบสวนจริง ๆ กลับไม่ใช่เรื่องโรคระบาด แต่เป็นเพราะพ่อค้าปั่นราคาขึ้นกันเอง
เนื้อหมูซื้อจากโรงเลี้ยงหมู กก ละ 60 - 80  บาท
พ่อค้าโรงเชือด ขายต่อ 100 - 150 บาท
พ่อค้าเขียงหมู ขายต่อ 180 - 250 บาท
กลไกตอนนี้เป็นอย่างนี้ ยิ่งช่วงตรุษจีน พ่อค้าโรงเชือด หยุดการซื้อเพราะว่าเก็งกำไร มากกว่า 120 บาท คนเลี้ยงหมูต้องยอมแบกภาระค่าอาหารหมูเพิ่ม ดังนั้น จะมองให้ดีว่า คนที่ปั่นราคาหมูตอนนี้ คือ โรงเชือด เป็นหลัก และ เขียงหมู ซึ่งแน่ละจะทำอย่างนี้ได้ต้องเป็นเจ้าใหญ่ในประเทศซึ่งมีไม่กี่ราย เมื่อสอบสวนลงไป หมูที่ตายเพราะโรค มีเพียง 20 เปอร์เซ็นต์ เท่านั้น
นั้นจึงเป็นเหตุบอกของรัฐว่า ราคาหมูแพงไม่ใช่เกิดจากโรคระบาด แต่เกิดจากการปั่นราคา
ตอนนี้ของบริโภค ถูกปั่นราคา โดยอ้างราคาหมู และอ้างภาวะวิกฤตโควิด-19 แต่พ่อค้ารวยขึ้นในความวุ่นวายของคนยากจน
บัดนี้มองเห็นคนไปเรียกร้องรัฐบาลขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ นั่นก็จะส่งผลหนักเลวร้ายเหมือนคราวที่ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท กระเทือนทุกหย่อมหญ้า เพราะพอค่าแรงขึ้น สินค้าทุกชนิดก็ขึ้นราคาตาม นั่้นคือสภาวะสนับสนุนเงินเฟ้อ ซึ่งมองความเป็นจริงแล้ว มันไม่ใช่การแก้ปัญหา
คราวยุคก่อนค่าแรงขั้นต่ำเรามีข้าวจานละ 20 - 30 บาท พอค่าแรงขั้นต่ำขึ้น ข้าวจานละ 40 - 60 บาท เงินที่ขึ้นกับรายจ่ายที่เพิ่มขึ้นสุดท้ายเงินที่ขึ้นเหมือนไม่ได้ขึ้น และทำให้คนตกงานเพราะนายจ้างต้องเลิกจ้างเพราะค่าแรงสูงขึ้น นายจ้างก็หันไปใช้เครื่องจักรกันมากขึ้น สภาวะคนตกงานตั้งแต่ตอนนั้นพร้อมกับ บริษัทโรงงานต่าง ๆ ที่ต้องปิดลง
สภาวะอสังหาริมทรัพย์ ชะลอตัวหยุดนิ่งกว่าประชาชนปรับตัวมาได้ใช้เวลา ถึง 9 ปีด้วยกันพอมาตอนนี้คนเห็นแก่ตัว พ่อค้าเห็นแก่ได้ ก็ปั่นราคากันใช้กลไกความยากจน เพื่อกดดันรัฐบาลให้รัฐบาลยุติการบริหาร ( เป้าประสงค์เชื่อว่าเป็นอย่างนั้น ) ใช้สภาวะที่คนเดือดร้อนทั้งประเทศเป็นสภาวะต่อรอง แต่อย่าลืมว่า ความเดือดร้อนนี้มันไม่ได้คลี่คลายได้เพราะว่าเปลี่ยนรัฐบาลคนไทยจะต้องตระหนักในความจริงตรงนี้ ดังนั้นต้องไปกดดันพวกพ่อค้าที่เห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ให้มีคุณธรรมมากขึ้น
ถึงแม้ว่าจะเห็นว่าการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำไม่สมควรเลยในขณะนี้
แต่อย่างไร ธัมมะวังโส ก็เป็นเพียงพระที่มองเห็นเหตุการณ์ซ้ำซากอันนี้มาแล้วอย่างน้อย 2 ครั้ง จึงเชื่อว่ามันไม่ได้เป็นวิธีการที่แก้ปัญหาจริงในการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ยิ่งขึ้นค่าแรงของก็ยิ่งแพงมากขึ้น คนที่เดือดร้อนคือคนยากจนที่จะไม่มีปัญญาจ่ายค่าของที่มากขึ้น ไม่ว่าจะค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า ค่าแก็ส ค่าจิปาถะ  มันจะขึ้นตามค่าแรงขั้นต่ำ หลายคนเชื่อว่ามีค่าแรงเพิ่มขึ้นแล้วจะรับมือกับของแพงได้ แต่ที่เห็นมา 2 ครั้ง มันเลวร้ายไปทุกครั้ง
มันเกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทย ก็ต้องคิดเอา
น้ำมันอยู่ประเทศไทย คนไทยผลิต แต่คนไทยซื้อน้ำมันราคาแพง ในขณะที่คนไทยขายคนต่างชาติราคาถูกกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ กลไกนี้มันคืออะไร มันหมายถึงอะไร ถึงคนไทยต้องจ่ายแพง ของแพง ทั้งหมดนี้มันคือกลไกของพ่อค้าที่ถูกวางลงไปในกลยุทธการค้า ซึ่งพ่อค้าที่ฉลาดอาศัยช่องว่างกฏหมาย ต่าง ๆ และให้คนของรัฐเขียนกฏหมายใหม่ ให้พ่อค้ามีสิทธิควบคุมกลไกเศรษฐกิจ
การบีบของพ่อค้า ก็เพื่อต้องการเปลี่ยนรัฐบาล โดยใช้ประชาชนเป็นตัวประกัน และเรียกร้อง ใครที่ได้ประโยชน์ ใครที่อยู่เบื้องหลัง มันก็คือระบบการเมืองที่ไร้จริยธรรม
เจริญธรรม / เจริญพร
30
Facebook ธัมมะวังโส / #เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องอยู่กับสังคม
« กระทู้ล่าสุด โดย dhammawangso เมื่อ มีนาคม 24, 2022, 08:19:36 am »
#เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องอยู่กับสังคม
ดังนั้นในสังคม มันก็มีคนดี คนไม่ดี คนที่ช่วยผู้อื่น คนที่เอาเปรียบผู้อื่น ปนเปกันอยู่ ดังนั้นเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ในฐานะมนุษย์สังคม บางครั้งก็ต้องยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น ดังนั้นสังคมจึงต้องกำหนดระเบียบเข้ามาควบคุม เพื่อให้ทุกคนในสังคมมีความผาสุก แต่อย่างไร บางครั้งระเบียบที่กำหนดมานั้นมัก็อาจจะเอื้อให้กับกลุ่มหนึ่ง แต่ไม่เอื้ออีกกลุ่มหนึ่ง ก็ต้องว่ากันไปในตรวจสอบระเบียบเหล่านั้น
ผู้กำหนดระเบียบ ก็คือ สส.
ผู้ตรวจรับรองระเบียบ ก็คือ สส.
ระเบียบก็คือ กฏหมาย หรือ พระราชบัญญัติ เพื่อคุ้มครองบุคคลให้เกิดความผาสุก นั่นเอง
นี่คือความสำคัญของ สส.
ดังนั้นถ้า สส ขาดคุณธรรม ระเบียบก็จะเขียนไปเอื้อให้กับตนเองและพวกพ้อง จนสร้างความเดือดร้อนกันได้ การตรวจสอบ ระเบียบเหล่านั้น มันจึงเป็นหน้าที่สำคัญ
ดังนั้นประชาชน ต้องทำอย่างไร
ประชาชนต้องอดทน และพยายามทำตามระเบียบที่ผ่านกระบวนการมาแล้ว
อดทน เป็นสิ่งที่ต้องทำเบื้องต้น
การปรับตัวทำความเข้าใจ ก็เป็นสิ่งที่ต้องกระทำ
ถ้าไม่ไหว ก็ไปเรียกร้องบอกความจำเป็น
ดังนั้นในสังคมมันจึงเป็นเรื่องปกติ ที่มีคนเห็นด้วยไม่เห็นด้วย แต่ทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย มันก็ต้องยอมรับในความเดือดร้อนและความผาสุกร่วมกัน
ปฏิรูปปเทสวาโส ( การอยู่ในประเทศอันเหมาะสม )
เป็นหนึ่งในมงคล ถ้าหากเราอยู่ในประเทศที่ประกอบด้วย ศีลธรรม วัฒนธรรม จริยธรรม อันงาม มันก็จะมีความผาสุกได้ง่าย แต่ถ้าไปอยู่บ้านเมืองป่าเถือน ตีรันฟันแทง ฆ่ากันทุกวัน มันก็เดือดร้อน
่เจริญธรรม / เจริญพร
หน้า: 1 2 [3] 4 5 ... 10