ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
  • สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน
แสดงกระทู้
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
  Messages   Topics   Attachments  

  Topics - เด็กวัด
หน้า: [1]
1  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / ฝึกกรรมฐาน แต่ไม่อยาก เดินจงกรม ครับ อยากนั่ง กับ นอน เท่านั้นควรทำอย่างไร ครับ เมื่อ: มีนาคม 20, 2013, 10:10:12 am
ฝึกกรรมฐาน แต่ไม่อยาก เดินจงกรม ครับ อยากนั่ง กับ นอน เท่านั้นควรทำอย่างไร ครับ คือมีความรู้สึกไม่อยากเดินครับ คือ อยากนั่งครับ เพราะรู้สึกว่าเดินแล้ว ไปลองเดินแล้ว ไม่มีความรู้สึกว่าเข้าปีิติธรรมได้ เหมือนการนั่ง เลยครับ ควรทำอย่างไร ดีครับ

  :25:
2  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / ฌานมีองทั้ง 5 คือ วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา เมื่อ: มีนาคม 08, 2013, 11:32:18 am
   เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม ในการปฏิบัติสมาธินั้น แนวทางปฏิบัติทั่วไป ก็อาศัยแนวทางแห่งองค์ทั้ง ๕ ของปฐมฌาน คือฌานที่ ๑ อันคำว่า ฌาน นั้นตามศัพท์แปลว่าความเพ่ง หมายถึงจิตที่เพ่งแนบแน่น เป็นอัปปนาสมาธิ คือสมาธิที่แนบแน่น จึงจะเรียกว่าฌานคือความเพ่ง เป็นความเพ่งของจิตในกรรมฐานอย่างแนบแน่น จึงจะเรียกว่าฌาน ซึ่งอัปปนาสมาธิ สมาธิอย่างแนบแน่นอันเรียกว่าฌานนั้น ก็ยังมีลักษณะของความแนบแน่นเป็นชั้นๆขึ้นไป

     สำหรับในชั้นแรกซึ่งเป็นปฐมฌานความเพ่งที่ ๑ นั้น มีองค์ ๕ คือ ๑ วิตก ความยกจิตขึ้นสู่อารมณ์กรรมฐาน ซึ่งเราแปลกันทั่วไปว่าความตรึก แต่ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงความตรึกนึกคิดทั่วไป แต่หมายถึงความตรึกนึกกำหนดในอารมณ์ของกรรมฐานเท่านั้น ๒ วิจาร ความตรอง ที่แปลกันทั่วไปว่าความตรอง แต่สำหรับสมาธิหมายถึงความประคองจิตไว้ในอารมณ์ของกรรมฐาน คือให้ตรึกนึกกำหนดอยู่จำเพาะอารมณ์ของกรรมฐานเท่านั้น ความที่คอยประคองจิตไว้ดั่งนี้เรียกว่าวิจาร ซึ่งมักแปลกันทั่วไปว่าความตรอง แต่ไม่ได้หมายความถึงความตรองเรื่องอะไรต่ออะไร ๓ ปีติ ความอิ่มใจดูดดื่มใจ ๔ สุข ความสบายกายความสบายใจ และ ๕ เอกัคคตา ความที่จิตมีอารมณ์อันเดียว ซึ่งเป็นลักษณะของสมาธิโดยตรง เพราะสมาธิโดยตรงนั้นจะต้องมีเอกัคคตา คือความที่จิตมีอารมณ์เป็นอันเดียว หรือความมีอารมณ์เป็นอันเดียวกันของจิต เรียกว่าเอกัคคตาเป็นลักษณะของสมาธิทั่วไป องค์ทั้ง ๕ นี้เป็นองค์ของฌาน ตั้งต้นแต่ปฐมฌานคือฌานที่ ๑ แต่แม้ว่าจิตจะยังไม่เป็นสมาธิแนบแน่นถึงปฐมฌาน ในการปฏิบัติสมาธิตั้งแต่เบื้องต้นที่เป็นขั้น บริกัมมภาวนา การภาวนาเริ่มต้น อุปจารภาวนา ภาวนาที่จิตเป็นสมาธิใกล้จะแนบแน่น ก็จะต้องอาศัยการปฏิบัติในองค์ฌานทั้ง ๕ นี้ เป็นอันว่าจะต้องมีการอาศัยองค์ฌานทั้ง ๕ นี้ปฏิบัติตั้งแต่ในเบื้องต้น คือ ๑ ในการเริ่มปฏิบัติในขั้นบริกัมมภาวนา ก็จะต้องมีวิตก คือความยกจิตขึ้นสู่อารมณ์ของสมาธิ ดั่งเช่นจะยกเอาลมหายใจเข้า ลมหายใจเข้าออกเป็นอารมณ์ของสมาธิ คือเป็นกรรมฐานที่จะปฏิบัติ ก็ต้องยกจิตมากำหนดอยู่ที่ลมหายใจเข้าลมหายใจออก ตั้งต้นแต่ที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนเอาไว้ว่านั่งกายตรง ดำรงสติมั่น จำเพาะหน้า คือนำสติมาตั้งอยู่จำเพาะลมหายใจเข้าออก เรียกว่าจำเพาะหน้า เพราะว่าต้องการลมหายใจเข้าออกมาเป็นกรรมฐาน ลมหายใจเข้าออกจึงได้ถูกยกขึ้นมาไว้จำเพาะหน้า จำเพาะหน้าของจิตนั้นเอง เหมือนอย่างจิตเป็นบุคคล ก็มีหน้าจับอยู่ที่ลมหายใจเข้าลมหายใจออก ดูอยู่ที่ลมหายใจเข้าลมหายใจออก เห็นอยู่ที่ลมหายใจเข้าลมหายใจออก ด้วยสติคือความกำหนด อาการที่ยกจิตขึ้นสู่ลมหายใจเข้าออก กำหนดอยู่ด้วยสติ หายใจเข้าก็ให้รู้ หายใจออกก็ให้รู้ ดั่งนี้เรียกว่าวิตกคือความตรึก ต้องใช้วิตกคือความตรึกนี้ ตรึกถึงสมาธิ คือตรึกถึงอารมณ์ของสมาธิ แต่ไม่ตรึกนึกคิดไปในเรื่องอื่นตั้งแต่ในเริ่มต้น อันนี้แหละเป็นตัวบริกัมมภาวนา คือการภาวนาที่เป็นการปฏิบัติเบื้องต้น ต้องมีการกระทำโดยรอบ

      ความหมายของคำว่าบริกรรมภาวนา บริกัมมนั้นตามศัพท์ก็แปลว่ากระทำโดยรอบ ก็หมายความว่ากระทำสติ คือความกำหนดลมหายใจนี้โดยรอบ คือว่าทั่วถึง เมื่อไม่ทั่วถึงก็แปลว่าไม่โดยรอบ ทั่วถึงก็คือว่าลมหายใจเข้าก็ให้รู้ ลมหายใจออกก็ให้รู้ และซึ่งความทั่วถึงนี้ ท่านอาจารย์จึงได้มีอธิบายดังที่กล่าวแล้ว ว่าหายใจเข้านั้นก็เข้าไป ๓ จุด ปลายจมูก หรือริมฝีปากเบื้องบน อุระคือทรวงอก นาภีที่พองขึ้น และเมื่อหายใจออกก็ ๓ จุด นาภีที่ยุบลง อุระคือทรวงอก และก็มาออกที่ปลายจมูก หรือริมฝีปากเบื้องบน แปลว่ามีสติกำหนดให้ทั่วถึงดั่งนี้จึงเรียกว่าบริกัมมที่แปลว่ากระทำไว้โดยรอบ คือกระทำสติกำหนดลมหายใจเข้าออกทั้งหมดคือโดยรอบ และก็ดังที่ได้กล่าวอธิบายแล้วว่า เมื่อจิตรวมตัวเข้ามาแล้ว ก็ไม่ต้องเอาจิตเดินทางดูลมหายใจ เข้าไป ๓ จุด ออก ๓ จุดดั่งกล่าวนี้ เพราะว่าเมื่อนำจิตเดินทางเข้าเดินทางออก ตามลมหายใจเข้าลมหายใจออกอยู่ดั่งนี้ จิตก็ยังไม่เป็นเอกัคคตา คือยังไม่มีอารมณ์เป็นอันเดียว ยังต้องเดินทางเข้าเดินทางออกอยู่ตลอดเวลา ฉะนั้น เมื่อรวมจิตเข้าแล้ว ท่านจึงตรัสสอนให้ทิ้งเสีย ๒ จุด เหลือแต่จุดเดียว ซึ่งบางอาจารย์ก็ได้แนะให้ใช้ริมฝีปากเบื้องบนหรือปลายจมูกดังกล่าวนั้น อันเป็นที่ๆลมกระทบเมื่อหายใจเข้า กระทบเมื่อหายใจออก และก็ให้รู้อยู่ตลอด

     เมื่อเป็นดั่งนี้แล้วจิตจึงจะมี เอกัคคตา คือมีอารมณ์เป็นอันเดียว ซึ่งท่านเปรียบเหมือนช่างกลึง ช่างกลึงนั้นเมื่อกลึงไม้ กลึงสั้นก็รู้ กลึงยาวก็รู้ และก็ดูอยู่ที่จุดเดียวไม่ต้องไปตามดู ทีแรกนั้นก็จะต้องตามดูสิ่งที่กลึงนั้นทั้งหมด แต่เมื่อการกลึงนั้นดำเนินไปด้วยดีแล้ว ก็กำหนดดูอยู่เพียงจุดเดียวได้ หรือเหมือนอย่างว่าทอผ้า หรือเหมือนอย่างว่านั่งชิงช้า เมื่อนำเด็กลงนั่งชิงช้า แล้วก็พี่เลี้ยงก็แกว่งชิงช้า ไกวชิงช้าไปมา ทีแรกก็ดูชิงช้าทั้งหมด ทั้งตรงที่เด็กนั่ง และทั้งหัวทั้งท้าย แต่เมื่อไกวชิงช้าเข้าที่แล้วก็ไม่ต้องตามทั้งหมด ดูที่จุดเดียว เช่นว่าดูตรงที่เด็กนั่ง จะเห็นเด็กแกว่งไปแกว่งมา ไม่ต้องไปดูหัวดูท้ายของชิงช้า การกำหนดลมหายใจเข้าออกก็เช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้น จิตจึงจะมีอารมณ์เป็นอันเดียว ดั่งนี้ต้องใช้วิตกคือความตรึก คือยกจิตขึ้นสู่อารมณ์ด้วยสติ และกำหนดดูให้รอบคอบ เรียกว่าเป็น บริกัมม คือการกระทำโดยรอบ ซึ่งเป็นภาวนาเบื้องต้นทีแรก และเมื่อจิตออกไปจากอารมณ์ของสมาธิเช่นจากลมหายใจเข้าออก ก็ต้องนำจิตเข้ามาด้วยสติในเวลาปฏิบัติทีแรก เพราะบางคราวนั้น หรือบ่อยๆเสียด้วยในเวลาปฏิบัติทีแรก จิตจะแว่บออกไปข้างนอก ไม่อยู่ในอารมณ์ของสมาธิ สติตามไม่ทันทีแรก หลุดออกไปเสียก่อนแล้วจึงได้สติ ก็ต้องมีสติ เอาสตินำจิตกลับเข้ามาตั้งไว้ใหม่ แล้วก็ใช้สตินี้เองคอยประคองเอาไว้ คือคอยระมัดระวังที่จะไม่ให้จิตหลุดออกไป ดั่งนี้เรียกว่าวิจารคือความตรอง คือการที่คอยประคองจิตไว้ให้อยู่ในอารมณ์ของสมาธิ ต้องมีวิตกและมีวิจารดังกล่าวนี้อยู่ตลอดเวลา สำหรับในขั้นบริกัมมภาวนา การปฏิบัติในเบื้องต้น จิตจึงยังไม่ได้สมาธิในเบื้องต้น แต่เมื่อได้ใช้วิตกวิจารดั่งนี้อยู่ไม่ขาดแล้วจิตก็จะเริ่มเชื่องคืออยู่ตัวขึ้น กำหนดอยู่ในอารมณ์ของสมาธิได้ และเมื่อกำหนดอยู่ในอารมณ์ของสมาธิได้ ก็แสดงว่าจิตใกล้ต่อความเป็นสมาธิเข้ามา จึงเรียกอุปจาระสมาธิ สมาธิที่เป็นอุปจาระ หรืออุปจารคือใกล้ที่จะเป็นตัวสมาธิ คือที่แนบแน่นเข้ามา และการปฏิบัติในขั้นนี้ก็เรียกว่าอุปจารภาวนาดังที่ได้กล่าวแล้ว เมื่อจิตเริ่มรวมตัวเข้ามาดั่งนี้แล้ว ก็จะทิ้งวิตกวิจารไม่ได้ ก็จะต้องมีวิตกวิจาร อันเป็นตัวสตินี่เอง ไม่ใช่อื่น คอยยกจิตเอาไว้ กำหนดจิตอยู่ในอารมณ์ของสมาธินั้น และต้องคอยประคับประคองจิตเอาไว้ ไม่ให้ออกไปอยู่ตลอดเวลา และเมื่อปฏิบัติดั่งนี้เป็นผลขึ้น ก็จะได้ปีติคือความอิ่มใจจากการปฏิบัตินั้น อันปีตินี้เป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอันดับของวิตกวิจาร นับว่าเป็นข้อที่ ๓ และเมื่อได้ความอิ่มใจ ได้ความดูดดื่มใจในสมาธิที่เริ่มจะมีขึ้น จิตก็จะสยบอยู่กับสมาธิได้ สยบอยู่กับอารมณ์ของสมาธิได้ วิตกวิจารนั้นก็จะไม่ต้องทำงานหนักมาก แต่ก็ต้องมี วิตกวิจารก็จะเบาลงได้ แต่ว่าสตินั้นต้องมีอยู่ประจำ เป็นวิตกวิจารอย่างละเอียด ประคับประคองจิตอยู่ร่วมกับปีติคือความอิ่มใจ จิตก็จะอยู่ตัวขึ้น เพราะว่าในเบื้องต้นนั้น การที่จิตยังไม่ยอมอยู่กับสมาธินั้น เป็นธรรมดาของสามัญชนทั้งปวง เพราะว่าจิตนั้นมีปรกติเป็นกามาพจร คือเที่ยวไปในกาม คืออารมณ์ที่น่ารักใคร่ปรารถนาพอใจทั้งหลาย กามคุณารมณ์จึงเป็นเหมือนอย่างที่อยู่ของจิต ในชั้นที่เป็นกามาพจรนี้ของสามัญชนทั่วไป จึงได้ตรัสเปรียบไว้ว่าเหมือนอย่างปลาที่มีน้ำเป็นที่อาศัย เรียกว่า อาลัย อาลัยนั้นก็คือว่าที่อาศัย น้ำเป็นอาลัยคือที่อาศัยของปลา จิตที่เป็นชั้นกามาพจรก็เช่นเดียวกัน มีกามคุณารมณ์เป็นอาลัยคือเป็นที่อาศัย และอาลัยนี้เองที่เป็นเครื่องหน่วงจิต หรือดึงจิตที่จะให้ไปสู่กามคุณารมณ์อยู่เสมอ จิตยังได้ปีติคือความดูดดื่มใจ พร้อมทั้งความสุขอยู่ในกามคุณารมณ์ อันเรียกว่าเป็นกามสุข มีความคุ้นเคยอยู่ในกามคุณารมณ์ อยู่ในกามสุข เพราะฉะนั้นเมื่อยกจิตขึ้นมาสู่อารมณ์ของสมาธิ ซึ่งจิตยังไม่ได้ปีติพร้อมทั้งไม่ได้สุขอยู่ในสมาธิ สมาธิจึงเป็นของแห้งแล้ง และจิตเมื่ออยู่กับสมาธิเพราะเหตุว่ามีวิตกวิจารนำเข้ามาดั่งนี้ จิตจึงไม่มีปีติ ไม่ได้ความอิ่มใจอะไร แล้วก็ไม่ได้สุขคือความสบาย จึ่งได้มีอาการที่เป็นความฟุ้งซ่าน เป็นความรำคาญ แปลว่าไม่ชอบใจ เพราะฉะนั้นจะต้องหลบออกไปสู่กามคุณารมณ์ เหมือนอย่างปลาที่จับขึ้นมาจากน้ำวางไว้บนบก ก็จะต้องดิ้นที่จะไปลงน้ำ ซึ่งเป็นที่อาศัยของปลา จิตก็เช่นเดียวกัน ก็จะต้องดิ้นรนกวัดแกว่งกระสับกระส่ายไปสู่กามคุณารมณ์ ซึ่งเป็นอาลัย หรือเป็นที่อาศัยของจิตที่เป็นชั้นกามาพจรดั่งกล่าว จนกว่าจะเริ่มปฏิบัติเป็นขั้นบริกรรมภาวนา และเมื่อเริ่มมีสติที่มีพลังขึ้น สมาธิที่มีพลังขึ้น ก็แปลว่าจับจิตเอาไว้พออยู่ หรือว่าดักจิตเอาไว้พออยู่ จะเรียกว่าเป็นการบังคับก็ได้ บังคับจิตเอาไว้พออยู่


ธรรมกถาในการฝึกหัดอบรมจิต
โดย
สมเด็จพระญาณสังวร  สมเด็จพระสังฆราช  สกลมหาสังฆปริณายก
ณ  ตึก  สว.  ธรรมนิเวศ  วัดบวรนิเวศวิหาร  กรุงเทพมหานคร
ปีพุทธศักราช  ๒๕๒๖ - ๒๕๓๖

ขอขอบคุณเนื้อหาจาก www.jozho.net
3  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / ลักษณะ ของ อัปปนาสมาธิเป็นอย่างไร ครับ เมื่อ: กุมภาพันธ์ 02, 2013, 01:45:39 pm
 ask1

  ลักษณะ ของ อัปปนาสมาธิเป็นอย่างไร ครับ

    thk56
4  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / วิญญาณ แม่ยังตามไปดูลูก จนต้องบอกกล่าวห้ามกัน ... คุณเชื่อหรือไม่ เมื่อ: พฤศจิกายน 26, 2012, 12:40:38 pm
ความคืบหน้า

กรณี นางอรณัชดา ไทยสกุลทอง อายุ 36 ปี ถูกพบเป็นศพเสียชีวิตมาแล้วประมาณ 4 วัน อยู่ภายในทาวน์เฮาส์ เลขที่ 846/437 หมู่บ้านสินทวี สวนธน ซอยประชาอุทิศ 44 แยก 6 แขวงบางมด เขตทุ่งครุ กรุงเทพฯ ข้างศพพบลูกสาวของผู้ตายชื่อ ด.ญ.กชกร ไทสกุลทอง อายุ 3 ปี หรือน้องกอหญ้า เฝ้าศพอยู่ไม่ห่าง โดยพี่สาวของผู้ตายคาดว่าน้องสาวน่าจะเสียชีวิตจากอาการลมชักที่เป็นมาตั้งแต่เกิดกำเริบ โดยน้องกอหญ้าให้สัมภาษณ์ว่าแม่เป็นคนหาข้าวหานมให้กิน และเปิดประตูให้ออกไปหาป้า หลายคนจึงคิดว่าเป็นความห่วงใยที่แม่มีต่อลูกน้อย

ล่าสุด ผู้สื่อข่าวรายงานว่า (16 พ.ย.) นางจุฑามนต์ ไทยสกุลทอง ป้าของน้องกอหญ้า หรือ พี่สาวของผู้เสียชีวิต เปิดเผยว่าเมื่อเอาน้องกอหญ้าไปเลี้ยงดูที่บ้าน ก็พบว่าเมื่อคืนที่ผ่านมาน้องสาวมาหาลูกและมาเล่นกับลูกตลอดทั้งคืน จนตนไม่ได้หลับได้นอน

"เหมือนได้กลิ่นตลอดเวลาเลยนะ เหมือนมีกลิ่นน้ำเหลืองตลอดเวลา กลิ่นคาวๆ เมื่อเช้าก็ถามน้องกอหญ้าว่าแม่มาหาไหม น้องก็บอกว่าเมื่อคืนนี้หม่าม้ามานอนกอดด้วยทั้งคืน ก็บอกน้องสาวไปว่าอย่ามาทำแบบนี้ ไม่งั้นเดี๋ยวจะไม่ช่วยดูลูก จะให้ลูกไปอยู่ที่อื่น จะเอาไปให้คนอื่นเลี้ยง ตั้งแต่พูดว่าดุๆ ทั้งๆที่ก็กลัวเค้านะ ก็ไม่ได้กลิ่นอีกเลย" ป้าของน้องกอหญ้า กล่าว

ทั้งนี้ นางจุฑามนต์ กล่าวว่า หลังจากนี้เตรียมจะรับน้องกอหญ้าเป็นบุตรบุญธรรม เพื่อเป็นเพื่อนเล่นกับลูกสาวที่อายุ 2 ขวบ โดยเมื่อบ่ายวานนี้ญาติๆได้ไปรับศพที่นิติเวช โรงพยาบาลศิริราชเพื่อนำไปบำเพ็ญกุศลที่วัดประเสริฐสุทธาวาส ย่านราษฎร์บูรณะ

จากคุณ    : จันตรีบุตร

ฟังการสัมภาษณ์ จริง ๆ เลยดีหรือไม่ครับ


 เผยแพร่เมื่อ 16 พ.ย. 2012 โดย thaitvnewstube

ดูข่าวเพิ่มเติม คลิ้ก http://thaitvnews2555.blogspot.com



 
5  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / ทานสูตร อังคุตตรนิกาย สัตตกนิบาต ข้อ ๔๙ เมื่อ: ตุลาคม 05, 2012, 08:26:20 am
ใน  ทานสูตร  อังคุตตรนิกาย สัตตกนิบาต ข้อ ๔๙ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถึงเหตุปัจจัยที่ทำให้
ทานที่ให้แล้ว  มีผลมาก  แต่ไม่มีอานิสงส์มาก  และเหตุปัจจัยที่ทำให้ทานที่ให้แล้วมีผลมาก  และมีอานิสงส์
มาก  ไว้ดังต่อไปนี้

   ๑.  บุคคลบางคน  ให้ทานด้วยความหวังว่า เมื่อตายไปแล้ว จักได้เสวยผลของทานนี้ 
เมื่อตายไป  ได้เกิดในเทวโลกชั้นจาตุมหาราชิกา  สิ้นกรรม  สิ้นฤทธิ์  สิ้นยศ  หมดความเป็นใหญ่ในเทวโลก
แล้ว  ก็กลับมาสู่ความเป็นอย่างนี้  คือกลับมาเกิดในโลกนี้อีก  ทานอย่างนี้มีผลมาก  แต่ไม่มีอานิสงส์มาก

   ๒.   บุคคลบางคนไม่ได้ให้ทาน  เพราะหวังผลของทาน  แต่ให้ทานเพราะรู้ว่าทานเป็นของดี 
เป็นบุญ  เป็นกุศล   จึงให้เมื่อตายไป  ได้เกิดในเทวโลกชั้นดาวดึงส์  สิ้นกรรม  สิ้นฤทธิ์  สิ้นยศ  หมดความ
เป็นใหญ่ในเทวโลกแล้ว  ก็กลับมาสู่ความเป็นอย่างนี้  คือกลับมาเกิดในโลกนี้อีก  ทานอย่างนี้มีผลมากแต่
ไม่มีอานิสงส์มาก

   ๓.   บุคคลบางคนไม่ได้ให้ทาน  เพราะหวังผลของทาน  ไม่ได้ให้ทานเพราะรู้ว่าทานเป็นของดี 
แต่ให้ทานเพราะละอายใจที่  พ่อ  แม่  ปู่  ย่า  ตา  ยาย  บรรพบุรุษเคยทำมา ถ้าไม่ทำก็ไม่สมควร 
ครั้นตายลงได้เกิดในเทวโลกชั้นยามา  สิ้นกรรม  สิ้นฤทธิ์  สิ้นยศ  หมดความเป็นใหญ่ในเทวโลกแล้ว  ก็
กลับมาสู่ความเป็นอย่างนี้  คือกลับมาเกิดในโลกนี้อีก  ทานอย่างนี้มีผลมาก  แต่ไม่มีอานิสงส์มาก

   ๔.   บุคคลบางคน  ไม่ได้ให้ทานเพราะหวังผลของทาน  ไม่ได้ให้ทานเพราะรู้ว่าทานเป็นของดี 
ไม่ได้ให้ทานตามบรรพบุรุษ  แต่ให้ทานเพราะเห็นสมณพราหมณ์เหล่านั้นหุงหากินไม่ได้  เราหุงหา
กินได้  ถ้าไม่ให้ก็ไม่สมควร  ครั้นตายลงได้เกิดในเทวโลกชั้นดุสิต  สิ้นกรรม  สิ้นฤทธิ์  สิ้นยศ  หมดความ
เป็นใหญ่ในเทวโลกแล้ว  ก็กลับมาสู่ความเป็นอย่างนี้  คือกลับมาเกิดในโลกนี้อีก  ทานอย่างนี้มีผลมาก 
แต่ไม่มีอานิสงส์มาก

   ๕.   บุคคลบางคน  ไม่ได้ให้ทานเพราะหวังผลของทาน  ไม่ได้ให้ทานเพราะรู้ว่าทานเป็นของดี 
ไม่ได้ให้ทานตามบรรพบุรุษ  ไม่ได้ให้ทานเพราะเห็นว่า  สมณพราหมณ์หุงหากินไม่ได้  แต่ให้ทานเพราะ
ต้องการจำแนกแจกทานเหมือนกับฤาษีทั้งหลายในปางก่อนได้กระทำมหาทานมาแล้ว  เขาตาย
ไปได้เกิดในเทวโลกชั้นนิมมานรดี  สิ้นกรรม  สิ้นฤทธิ์  สิ้นยศ  หมดความเป็นใหญ่แล้ว ก็กลับมาสู่ความ
เป็นอย่างนี้  คือกลับมาเกิดในโลกนี้อีก  ทานอย่างนี้มีผลมาก  แต่ไม่มีอานิสงส์มาก

   ๖.   บุคคลบางคน  ไม่ได้ให้ทานเพราะหวังผลของทาน  ไม่ได้ให้ทานเพราะว่าทานเป็นของดี 
ไม่ได้ให้ทานตามบรรพบุรุษ  ไม่ได้ให้ทานเพราะเห็นว่าสมณพราหมณ์หุงหากินไม่ได้  ไม่ได้ให้ทานเพราะ
ต้องการจำแนกแจกทานเหมือนฤาษีทั้งหลายในปางก่อนได้กระทำมหาทาน  แต่ให้ทานเพราะคิดว่า 
เมื่อให้แล้ว  จิตจะเลื่อมใสโสมนัสจึงให้  ครั้นตายไปย่อมเกิดในเทวโลกชั้นปรนิมมิตวสวัตดี  สิ้นกรรม 
สิ้นฤทธิ์  สิ้นยศ  หมดความเป็นใหญ่แล้ว  ก็กลับมาสู่ความเป็นอย่างนี้  คือกลับมาเกิดในโลกนี้อีก  ทาน
อย่างนี้มีผลมาก  แต่ไม่มีอานิสงส์มาก

   ๗.   บุคคลบางคนในโลกนี้  ไม่ได้ให้ทานเพราะเหตุที่กล่าวแล้วทั้ง  ๖  อย่างข้างต้นนั้น  แต่ให้
ทานเป็นเครื่องปรุงแต่งจิต  คือให้ทานนั้นเป็นเครื่องขัดเกลาจิตใจหมดจดจากกิเลสด้วยอำนาจของ
สมถะและวิปัสสนา  จนได้ฌานและบรรลุ จนได้ฌานและบรรลุเป็นพระอนาคามีบุคคล  ตายแล้วได้ไปเกิดใน
พรหมโลก  เขาสิ้นกรรม  สิ้นฤทธิ์  สิ้นยศ  หมดความเป็นใหญ่ในพรหมโลกแล้ว  เป็นผู้ไม่ต้องกลับมาเกิด
ในโลกนี้อีก  คือปรินิพพานในพรหมโลกนั้นเอง  ทานชนิดนี้เป็นทานที่มีผลมาก  และมีอานิสงส์มาก

   สรุปรวมความว่า  ทานชนิดใดก็ตาม เป็นปัจจัยให้ต้องเกิดอีก  ทานชนิดนั้นแม้มีผลมาก ได้เกิด
ที่ดีมีความสุขอันเป็นทิพย์  แต่ทานนั้นก็ไม่มีอานิสงส์มาก  เพราะไม่สามารถจะทำให้หมดจดจากกิเลสได้

   ส่วนทานชนิดใดเป็นปัจจัยให้ไม่ต้องเกิดอีก  ทานชนิดนั้นชื่อว่ามีผลมากด้วย  มีอานิสงส์
มากด้วย  เพราะทำให้หมดจดจากกิเลส

   ฉะนั้นคำว่า  "อานิสงส์มาก"  ในที่นี้  จึงหมายถึงการหมดจดจากกิเลสทั้งปวง  ไม่ต้องเกิดอีก

   จริงอยู่  การเกิดในสวรรค์แต่ละชั้นนั้น  มีความสุขมาก  เพราะได้รับกามคุณอันเลอเลิศที่เป็น
ทิพย์  ละเอียดประณีตขึ้นไปตามลำดับชั้น  แต่พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ตรัสว่า  กามคุณนั้นเป็นของเลว  เป็น
ของชาวบ้าน  เป็นของชวนให้หลงใหล  เป็นของมีสุขน้อย  แต่มีโทษมาก  เพราะฉะนั้นเมื่อพระองค์ทรง
แสดงธรรม  คือ  อนุปุพพิกถา  แก่คฤหัสถ์  จึงได้ทรงแสดงโทษของกามไว้ด้วย  ผู้ที่ยินดีหลงไหลเพลิด
เพลินในกาม  คือ  รูป  เสียง  กลิ่น  รส  สัมผัส  อันน่าใคร่  น่าพอใจ  ย่อมไม่อาจล่วงทุกข์ไปได้  ผู้ที่จะล่วง
ทุกข์ได้ก็เพราะเห็นโทษของกาม  ก้าวออกจากกามด้วยสมถะและวิปัสสนาเท่านั้น

   ด้วยเหตุนั้น  ทานที่เป็นเครื่องปรุงแต่งจิต  ขัดเกลาจิตให้อ่อน  ให้ควรแก่การเจริญสมถะและ
วิปัสสนาจนบรรลุมรรคผลไม่ต้องกลับมาเกิดอีก  จึงเป็นทานที่มีผลมาก  และมีอานิสงส์มากแม้สังฆทานที่
กล่าวว่ามีผลมาก  มีอานิสงส์มาก  ก็เพราะผู้ถวายมีโอกาสได้ฟังธรรมจากสงฆ์แล้วบรรลุอริยสัจธรรม  ก้าว
ล่วงทุกข์ทั้งปวงไม่ต้องกลับมาสู่ความเป็นอย่างนี้อีก

   พระพุทธองค์ทรงมีพระมหากรุณาอันยิ่งใหญ่แก่สัตว์โลกแม้เมื่อทรงแสดงเรื่องทาน  ก็ทรงแสดงให้
พุทธบริษัทได้รับประโยชน์ครบทั้ง  ๓  ประการ  คือ  ประโยชน์ในโลกนี้  ประโยชน์ในโลกหน้า  และประ
โยชน์อย่างยิ่ง  คือ  มรรค  ผล  นิพพาน  ด้วยเหตุนี้  จึงควรทำใจให้เลื่อมใส  บำเพ็ญทานให้เกิดประโยชน์
ทั้ง  ๓  ประการ  จึงจะได้ชื่อว่า  ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระองค์อย่างแท้จริง

   ควรหรือไม่  ที่เราจะทำทานชนิดที่มีผลมาก  มีอานิสงส์มาก
6  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / พระอริยะบุคคล เป็นพระสงฆ์ หรือ ไม่ ? เราควรเคารพกราบไหว้เช่นสมมุติสงฆ์ ควรหรือ.. เมื่อ: ตุลาคม 02, 2012, 04:33:02 pm
พระอริยะบุคคล เป็นพระสงฆ์ หรือ ไม่ ? เราควรเคารพกราบไหว้เช่นสมมุติสงฆ์ ควรหรือไม่ควร

  พระอริยะบุคคล ตั้งแต่ พระโสดาบัน นั้น เป็นพระสงฆ์ หรือ ไม่ เป็นเนื้อนาบุญใช่หรือไม่ ถ้าเป็นเข่นนั้นควรให้ พระอริยบุคคล เหล่านี้ ร่วมสังฆกรรมได้ใช่หรือไม่ ครับ

  พิสูจน์ อย่างไร ? ว่าบุคคลนั้นเป็นพระอริยบุคคล ตั้งแต่ พระโสดาบัน ขึ้นไป


 
 
7  เรื่องทั่วไป / IT สาระประโยชน์ชาวธรรม / เรียนถามเรื่องเสียง สอนกรรมฐาน ที่ เปิดช่วง 19.00 - 20.30 น. ครับ เมื่อ: กรกฎาคม 20, 2012, 07:05:15 pm
เรียนถามเรื่องเสียง สอนกรรมฐาน ที่ เปิดช่วง 19.00 - 20.30 น. ครับ

มีการสอนที่ดีมากครับ ปฏิบัติตามเสียง แล้วรู้สึกทำได้ดีมาก ครับ ไม่ทราบว่าเป็นเสียงท่านใดครับ มี file ให้ดาวน์โหลดหรือไม่ครับ และชุดนี้มีการสอน กี่เรื่องครับ

  :c017: :25:
8  เรื่องทั่วไป / IT สาระประโยชน์ชาวธรรม / ดาวน์โหลด firefox ภาษาไทย ล่าสุดได้ที่นี่ครับ เมื่อ: กรกฎาคม 06, 2012, 02:00:30 pm
ดาวน์โหลด firefox ภาษาไทย ล่าสุดได้ที่นี่ครับ
http://www.mozilla.org/th/firefox/fx/

9  ธรรมะสาระ / ห้อง_ด า ว น์ โ ห ล ด / รวมธรรมบรรยาย พระอาจารย์ กิตติศักดิ์ กิติสาโร วัดป่าหนองหลุบ เมื่อ: มิถุนายน 10, 2012, 05:36:09 pm


อัปโหลดโดย chasam4979 เมื่อ 25 มิ.ย. 2011

พระอาจารย์กิตติศักดิ์ กิตติสาโร บรรยายในงาน "วิสาขบูชา พุทธบารมี" วันที่ 7 พฤษภาคม 2554 ณ เอ็มซีซี ฮอลล์ เดอะมอลล์ นครราชสีมา




อัปโหลดโดย saratamlanna เมื่อ 27 ก.พ. 2012

องค์บรรยายที่ 1
วีดีโอแสดงพระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อกิตติศักดิ์ กิตติสาโร
หัวข้อการแสดงธรรม : รุ่งอรุณแห่งชีวิต
" งานธรรมะเปลี่ยนชีวิต ครั้งที่ 6 "
ในวันอาทิตย์ที่ 29 มกราคม พ.ศ.2555 ณ หอประชุมมหาวิทยาลัยเชียงใหม่
จัดโดยคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ร่วมกับ ชมรมสารธรรมล้านนา

ประวัติ พระอาจาร์ยกิตติศักดิ์ กิตติสาโร YouTube


อัปโหลดโดย jaisawang เมื่อ 19 ก.ย. 2011

พอจ กิตติศักดิ์..."ทางพ้นทุกข์"


อัปโหลดโดย chasam4979 เมื่อ 15 ก.ค. 2011

พระอาจารย์กิตติศักดิ์ กิตติสาโร วัดป่าหนองหลุบ อ.เมือง จ.ขอนแก่น
แสดงพระธรรมเทศนาเรื่อง "ทางพ้นทุกข์"งานแสดงธรรม-ปฏิบัติธรรมเป็นธรรมทาน ครั้งที่ ๒๐
จัดโดย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ ร่วมกับ ชมรมกัลยาณธรรม
อาทิตย์ที่ ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๕๔


10  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เพลิงไหม้ห้องสมุดวัดพนัญเชิงกรุงเก่าวอด 100 ล้านบาท เมื่อ: เมษายน 25, 2012, 11:37:04 am





วันนี้(  24 เม.ย.) พ.ต.ท.โกศล ภาคาหาญ พงส.(สบ 3) สภ.พระนครศรีอยุธยา รับแจ้งเพลิงไหม้ภายในวัดพนัญเชิงวรวิหาร พระอารามหลวงชั้นโท  หม่ 1 ต.คลองสวนพลู อ.พระนครศรีอยุธยา จึงพร้อมด้วย พล.ต.ต.อนุรักษ์ แตงเกษม ผบก.ภ.จว.พระนครศรีอยุธยา เทศบาลนครศรีอยุธยา นำรถดับเพลิงจากเทศบาลและใกล้เคียงจำนวน 30 คันเข้าไปยังที่เกิดเหตุ

พบว่าเพลิงลุกไหม้อยู่ที่อาคารจัตุรมุข ซึ่งเป็นห้องสมุดสองชั้นครึ่งตึกครึ่งไม้ ด้านหลังอาคารโรงครัว ใกล้กับกุฎิของพระเทพรัตนากรเจ้าอาวาสวัดพนัญเชิงวรวิหาร และเจ้าคณะจังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยเพลิงลุกไหม้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากอาคารดังกล่าวมีการใช้วัสดุส่วนใหญ่เป็นไม้ เจ้าหน้าที่พยายามฉีดน้ำสกัดเพื่อไม่ให้เพลิงลุกลามไปไหม้อาคารข้างเคียง ซึ่งการดับเพลิงเป็นไปด้วยความลำบาก เนื่องจากมีกระแสลมกระโชก และมีสิ่งปลูกสร้างติดต่อกันจำนวนมาก จนกระทั่งเวลาผ่านไปประมาณ 1 ชั่วโมง จึงสามารถควบคุมเพลิงเอาไว้ได้

จากการสอบสวนทราบว่าอาคารดังกล่าวยังไม่ได้เปิดให้ใช้งาน ระหว่างเกิดเหตุไม่มีใครอยู่ เกิดเสียงคล้ายระเบิดที่ชั้นสองของอาคาร แล้วลุกลามลงมาชั้นล่างอย่างรวดเร็ว พระเทพรัตนากร เปิดเผยว่าอาคารดังกล่าวเป็นอาคารที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นห้องสมุด และตั้งใจที่จะเปิดให้ประชาชนและพระสงฆ์เข้าไปใช้ โดยชั้นบนได้เก็บตู้พระธรรม พระไตปิฎกโบราณ และหนังสือเก่าแก่มากมาย ส่วนชั้นล่างเป็นห้องโถงกว้าง ภายในมีการตกแต่งด้วยไม้สักทองทั้งหลัง ค่าเสียหายประมาณ 40 ล้านบาท เบื้องต้นสันนิษฐานว่า น่าจะเกิดจากกระแสไฟฟ้าลัดวงจร.

ขอบคุณภาพเนื้อหาข่าวจาก
http://www.dailynews.co.th/thailand/69863
11  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / โสรัจจะ พยากรณ์ดวงเมืองประเทศไทยปี 2555 เมื่อ: เมษายน 01, 2012, 03:32:34 pm
โสรัจจะ พยากรณ์ดวงเมืองประเทศไทยปี 2555 จะเกิดจลาจล เขื่อนใหญ่แตก หิมะตก ผู้คนล้มตายจำนวนมาก ประชาชนสิ้นศรัทธาผู้นำประเทศ ดวงแตก ซ้ำยังเปิดสงครามครั้งใหญ่กับประเทศเพื่อนบ้าน

          เป็นประจำทุกสิ้นปีที่จะมีโหราจารย์ออกมาทำนายทายทักดวงเมืองในพุทธศักราชหน้า และในปีนี้ก็เช่นกัน เราจะลองไปดูส่วนหนึ่งของคำทำนายดวงเมืองประเทศไทย ประจำปี พ.ศ.2555 ที่ "โสรัจจะ นวลอยู่" โหรชื่อดัง ได้ลงคำทำนายไว้ ในนิตยสกุลไทย ฉบับที่ 2983 ประจำวันอังคารที่ 20 ธันวาคม 2554
          สำหรับประเทศไทยในปี พ.ศ.2555 นี้ โหรโสรัจจะ นวลอยู่ ได้ทำนายถึงเรื่องภัยพิบัติไว้ว่า ให้ระวังช่วงเดือนมกราคม กุมภาพันธ์ และมีนาคม อาจจะเกิดภัยพิบัติจากพายุโซนร้อนหลายระลอกในภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งถือเป็นวิปริตผิดอาเพศ เนื่องจากที่ผ่านมา ช่วงเวลาดังกล่าวไม่เคยเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น และผลกระทบจากพายุจะส่งผลให้เกิดน้ำท่วมใหญ่ในภาคเหนือ ก่อนที่น้ำจะไหลลงมายังภาคกลางครอบคลุมไปทั่วประเทศ รวมทั้งกรุงเทพมหานคร โดยเฉพาะชาวฝั่งธนบุรี และยังเกิดน้ำท่วมในภาคใต้ด้วย

          อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์อุทกภัยจะไม่ได้จบลงเพียงแค่ช่วงต้นปีเท่านั้น เพราะในช่วงหน้าฝน ตั้งแต่เดือนมิถุนายน-ธันวาคม จะเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมซ้ำรอยอีกครั้ง และรุนแรงกว่าปีก่อน ๆ คนไทยต้องเผชิญกับทุพภิกขภัย และความเสียหายจะเกิดขึ้นทั่วประเทศ

          นอกจากนั้นแล้ว ยังจะเกิดเขื่อนใหญ่ 2 เขื่อนแตก น้ำทะลักสู่เบื้องล่างจมหายแทบทั้งหมด ต่อเนื่องมาถึงกรุงเทพมหานคร เป็นเหตุให้ผู้คนล้มตายหลายหมื่นคน นอกจากนั้นแล้ว ยังจะเกิดแผ่นดินทรุด อาจทำให้ประเทศไทยเสียแถบชายฝั่งทะเลอันดามันตั้งแต่จังหวัดระนองลงมาไปหมด ส่วนที่เกาะภูเก็ต กระบี่ พังงา จะถูกคลื่นยักษ์สึนามิพุ่งเข้าถล่มครั้งใหญ่กว่าปี พ.ศ.2547 กวาดผู้คน บ้านเรือน ยานพาหนะ ลงทะเลเกือบหมดสิ้น

          อย่างไรก็ตาม ในปี พ.ศ.2555 นี้ ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เป็นอาเพศมากที่สุดในประเทศไทยก็คือ จะเกิดหิมะตกในภาคเหนือ และในกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นลางร้ายของประเทศ เพราะความหนาวเย็นจะนำเอาโรคร้ายมายังคนและสัตว์ ทำให้เกิดการล้มตายจำนวนมาก และแพทย์หมดปัญญารักษา

          มาถึงดวงการเมืองในปี พ.ศ.2555 กันบ้าง โหรโสรัจจะ ทำนายว่า ในเดือนมีนาคม พ.ศ.2555 ดาวอาทิตย์ (คือประมุขของรัฐบาล) จะโคจรเข้าสู่ภพวินาศนะของราศีเมษซึ่งเป็นลัคนาของดวงเมืองพอดี และยังถูกดาวบาปเคราะห์ทำมุมกากบาท อีกทั้งยังมีดาวเสาร์เล็ง ดังนั้นจะเกิดความยุ่งยากทางการเมืองภายในประเทศอย่างแน่นอน โดยพรรคเก่าแก่พรรคหนึ่งของประเทศไทย ซึ่งมีลัคนาสถิตอยู่ในราศีกันย์ กำลังถูกดาวบาปเคราะห์ทับ และบีบข้างหน้าข้างหลัง อาจจะเกิดเหตุร้ายแรงขึ้นกับพรรคการเมืองนี้จนถึงขั้นพรรคล่มสลาย

          นอกจากนั้นแล้ว ในเดือนเมษายน ดาวเจ้าเรือนลาภะ (ประมุขของรัฐบาล) ซึ่งเป็นดาวเสาร์ กำลังเดินถอยหลัง ขณะที่ดาวมฤตยู ซึ่งเป็นดาวแห่งการปฏิวัติยังคงเดินโคจรอยู่ในภพวินาศนะต่อราศีเมษแห่งไทยสยาม แสดงให้เห็นว่า ทุกอย่างสอดคล้องกัน ผู้ปกครองประเทศกำลังเสื่อมอำนาจวาสนา เกิดภาวะตึงเครียดเกี่ยวกับการเดินขบวนต่อต้านรัฐบาล ในระยะนี้ ประมุขรัฐบาลต้องออกจากประเทศไป เหตุการณ์ทุกอย่างจึงสงบและทุเลาลง

          โหรโสรัจจะ ระบุว่า ดาวผู้นำประเทศในปีหน้านั้นเป็นดวงแตก ผู้คนทั้งประเทศจะสิ้นศรัทธา ดังนั้นจึงไม่สามารถเข้ามาทำหน้าที่ประสานต่อได้แล้ว ผู้นำที่เลวและไม่หวังดีต่อประเทศ คิดแต่ผลประโยชน์ตัวเองและพวกพ้องจะมีอันเป็นไป ในส่วนของรัฐบาลนอกจากจะเป็นศัตรูกับพรรคฝ่ายค้านแล้ว ยังมีปัญหากับพรรคร่วม และไล่นักวิชาการ ที่ปรึกษา หรือผู้ร่วมสนับสนุน ให้ก้าวขึ้นมาเป็นรัฐบาลออกยกแผง ทำให้คนเหล่านั้นไม่พอใจตั้งตนเป็นศัตรูกับรัฐบาลอย่างเปิดเผย และทำให้เกิดความขัดแย้งจนกลายเป็นสงครามกลางเมืองได้

          ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลจะเกิดการจลาจล เพราะผู้คนออกมาชุมนุมปะทะกัน และผู้มีอำนาจไม่สามารถควบคุมได้ จะเกิดการเผาบ้านเผาเมืองอีกครั้งจนนองเลือด อาจต้องใช้กำลังทหารเข้ามาแก้ไข สาเหตุที่เกิดเรื่องนี้ขึ้น เพราะนักการเมืองร่วมกันโกงชาติบ้านเมือง โดยไม่แยแสประชาชน ทำให้คนไทยท้อใจกับระบบรัฐสภาเผด็จการ จึงเริ่มหันไปมองหาอำนาจนอกระบบเข้ามาแทนที่ ส่งผลให้เกิดความรุนแรงที่หนักที่สุดตั้งแต่เสียกรุงครั้งที่ 2 เป็นต้นมา

          ทั้งนี้ จะเกิดเหตุการณ์ที่มีบุคคลในเครื่องแบบใช้อำนาจไม่เป็นธรรมร่วมมือกับสมุนทำการย่ำยีประชาชนอย่างโหดเหี้ยมทารุณ จนเกิดข้อครหาไปทั่วโลก และจะทำให้องค์กรของโลก เช่น สหประชาชาติ ส่งกำลังทหารเข้าไปมาปราบปราม กวาดล้าง เป็นเหตุให้ผู้คนเสียชีวิตจำนวนมาก และบ้านเมืองพังพินาศ

          ส่วนเรื่องความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านนั้น โหรชื่อดัง ทำนายว่า ความขัดแย้งกับกัมพูชายังคงเกิดขึ้น และยิ่งรุนแรงมากขึ้น จนไทยต้องประกาศสงครามครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย โดยกัมพูชาจะส่งทหารเข้าโจมตีทหารไทย ตั้งแต่แนวชายแดนเรื่อยลงมาถึงภาคกลาง แต่ในที่สุด ทหารไทยจะสามารถตีกลับและยึดแผ่นดินคืนมาได้ แม้จะมีผู้คนเสียชีวิตไปเป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม ผู้นำเขมรและครอบครัวจะเสียชีวิตหมด และที่น่าเสียใจคือ จะมีคนไทยกลุ่มหนึ่งไปเข้าข้างกัมพูชา และช่วยกัมพูชาบูรณะประเทศ

          ขณะที่ภาคใต้ ในปี พ.ศ.2555 จะมีการแบ่งแยกดินแดนออกไปหลายจังหวัด ปกครองตัวเองเป็นรัฐอิสระ เนื่องจากดาวเสาร์ และดาวอังคารเดินผิดปกติ ประกอบกับดวงผู้นำประเทศตกต่ำ คนไม่นับถือ ทำให้ผู้ก่อการร้ายทางภาคใต้ยิ่งเข่นฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์อย่างโหดเหี้ยม และใช้อาวุธร้ายแรงมากขึ้น โดยได้รับการสนับสนุนจากภายนอกประเทศ

         และนี่คือคำทำนายดวงเมือง ปี พ.ศ.2555 บางส่วนที่ "โสรัจจะ นวลอยู่" พยากรณ์ไว้ จะเชื่อหรือไม่อย่างไร โปรดใช้วิจารณญาณค่ะ

 

Credit: มติชนออนไลน์
หัวข้อ:  โหรชื่องดัง "โสรัจจะ" 
12  กรรมฐาน มัชฌิมา / กิจกรรมของ สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน / ควรพิจารณาหาทางป้องกัน ด้วยระเบียบสำหรับการควบคุมการลบกระทู้นะครับ เมื่อ: กุมภาพันธ์ 09, 2012, 11:09:31 am
ในฐานะ คนนอก ที่ผมมีความสนใจในการเผยแผ่ พระกรรมฐาน ของพระอาจารย์ ที่ผมใคร่ครวญแล้วว่า พระอาจารย์ได้มีความตั้งใจเผยแผ่กรรมฐาน ด้วยการไม่นำตัวโปรโมท ( ซึ่งตรงนี้ผมนับถือมาก ๆ ครับ ) พึ่งเห็นว่าเว็บทำออกมา 3 ปี จะหาอ่านประวัติพระอาจารย์ ยังหาอ่านไม่ได้เลยครับ แสดงให้เห็นว่าพระอาจารย์ตั้งใจเผยแผ่พระกรรมฐาน จริง ๆ โดยไม่มีการโปรโมทตนเอง

  ดังนั้นผมขอออกความเห็น เนื่องด้วยพิจารณากระทู้ที่คุณ patra ได้ทำการลบตามคำเรียกร้องทางจดหมายนะครับซึ่งผมก็ทำงานด้านกฏหมาย ส่วนนี้อยู่มิได้มองเห็นความเสื่อมเสีย หรือข้อความโจมตีในกระทู้ที่ลบออกไป นะครับ ดังนั้นจึงไม่เห็นด้วยกับการลบกระทู้ แต่เมื่อลบแล้วก็แสดงให้เห็นถึงคุณธรรม ของผู้ร้องขอทันทีด้วยครับ

  ดังนั้นขอเสนอไว้ในที่นี้นะครับ

   ว่าควรสงวบสิทธิ์การลบกระทู้ ให้เป็นวินิจฉัยของพระอาจารย์ ถึงแม้ผู้โพสต์ จะเป็นผู้ร้องขอ ถ้าไม่ได้สร้างความเสื่อมเสียแก่ สถาบัน หรือ บุคคลใด ๆ ก็ไม่ควรลบนะครับ

   ขอเสนอความคิดเห็นไว้แต่เพียงเท่านี้ครับ

   :welcome:
13  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / หน้าที่ของพระสงฆ์ คืออะไร ครับ ใครรู้บ้างครับ ? เมื่อ: พฤศจิกายน 08, 2011, 02:10:54 pm
คือจริง ๆ ผมเองก็เป็นเด็กวัด เมื่อถาม พระที่วัด ก็จะตอบว่า คือ กิจวัตร 10 อย่าง

แต่ก็มีผู้คร้านว่า กิจวัตร 10 อย่างมี อยู่ในมนต์พิธี เท่านั้น แต่ กิจของสงฆ์ จริง มีอยู่ในพระไตรปิฏก คือการภาวนา

แล้วอย่างไรเรียกว่า กิจของสงฆ์ครับ


   หรือว่า พระที่บวชกันเข้ามาจริง ๆ  นั้นมีหน้่าที่อย่างไรกันแน่ ๆ

 ขออภัยทุกท่านครับ แล้วกราบขอขมาพระสงฆ์ ทุกรูป นะครับ ที่ถามคำถามในเรื่องพระสงฆ์

  :s_hi: :25: :c017:
14  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ลําดับการทําบุญสูงสุด เมื่อ: พฤศจิกายน 03, 2011, 12:14:30 pm
ลําดับการทําบุญสูงสุด

ทำทานแก่สัตว์เดรัจฉาน 100 ครั้ง
ผลบุญยังน้อยกว่าทำทานกับคนไม่มีศีลแม้เพียงครั้งเดียว

ทำทานกับคนไม่มีศีล 100 ครั้ง
ผลบุญยังน้อยกว่าทำทานกับผู้มีศีล 5 แม้เพียงครั้งเดียว

ให้ทานผู้มีศีล 5 มากถึง 100 ครั้ง
ผลบุญยังน้อยกว่าให้ทานผู้มีศีล 8 แม้เพียงครั้งเดียว

ให้ทานผู้มีศีล 8 มากถึง 100 ครั้ง
ผลบุญยังน้อยกว่าถวายทานผู้มีศีล 10 แม้เพียงครั้งเดียว

ถวายทานผู้มีศีล 10 มากถึง 100 ครั้ง
ผลบุญยังน้อยกว่าถวายทานแด่สมมุติสงฆ์แม้เพียงครั้งเดียว

ถวายทานแด่สมมติสงฆ์ 100 ครั้ง
ผลบุญยังน้อยกว่าถวายทานแก่พระโสดาบันแม้เพียงครั้งเดียว

ถวายทานแด่พระโสดาบัน 100 ครั้ง
ผลบุญยังน้อยกว่าถวายทานแก่พระสกิทาคามี แม้เพียงครั้งเดียว

ถวายทานพระสกิทาคามี 100 ครั้ง
ผลบุญยังน้อยกว่าถวายทานพระอานาคามีแม้เพียงครั้งเดียว

ถวายทานพระอนาคามี 100 ครั้ง
ผลบุญยังน้อยกว่าถวายทานให้พระอรหันต์ แม้เพียงครั้งเดียว

ถวายทานแก่พระอรหันต์ 100 ครั้ง
ผลบุญยังได้น้อยกว่าถวายทานแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า แม้เพียงครั้งเดียว

ถวายทานแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า 100 ครั้ง
ผลบุญยังได้น้อยกว่าถวายทานแด่พระสมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้เพียงครั้งเดียว

ถวายทานแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า 100 ครั้ง
ยังได้บุญน้อยกว่าการถวายสังฆทานที่มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน แม้จะถวายเพียงครั้งเดียว

ถวายสังฆทานที่มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน 100 ครั้ง
ยังได้บุญน้อยกว่าถวายวิหารทานครั้งเดียว

ถวายวิหารทาน 100 หลัง
ยังได้บุญน้อยกว่าให้ธรรมทานครั้งเดียว

ให้ธรรมทาน 100 ครั้ง
ยังได้บุญน้อยกว่าการให้อภัยทานครั้งเดียว

อภัยทาน 100 ครั้ง
บุญยังน้อยกว่าการถือศีล 5 แม้เพียงครั้งเดียว

ถือศีล 5 มากถึง 100 ครั้ง
บุญยังน้อยกว่าถือศีล 8 แม้เพียงครั้งเดียว

ถือศีล 8 มากถึง 100 ครั้ง
บุญยังน้อยกว่าการถือศีล 10 ครั้งเดียว
( ถือศีล 10 คือบวชเป็นสามเณร)

บวชเป็นสามเณร รักษาศีลไม่ด่างพร้อย 100 ปี
บุญยังน้อยกว่าผู้อุปสมบทเป็นพระ แม้บวชเพียงวันเดียว

พระ พุทธเจ้าตรัสในเบื้องปลายว่า“แม้จะได้อุปสมบทเป็นภิกษุ รักษาศีลครบ 227 ข้อ ไม่เคยขาด ไม่ด่างพร้อย 100 ปี บุญกุศลยังน้อยกว่าผู้ที่ทำสมาธิให้จิตสงบ(ฌาน) แม้นานเพียงไก่กระพือปีก”

“ผู้ ใดเข้าฌาน นาน 100 ปีและไม่เสื่อม บุญยังน้อยกว่าผู้ที่มองเห็นความเป็นจริงว่า สรรพสิ่งทั้งหลายไม่เที่ยง มาจากการปรุงแต่ง เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แม้จะเห็นเพียงชั่วขณะจิตก็ตาม”

จากหนังสือ เสบียงบุญ
15  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / พระสงฆ์ เฆี่ยนตี ลูกศิษย์ ผิดศีล หรือไม่ ครับ ? เมื่อ: ตุลาคม 27, 2011, 10:09:31 am
สมัยผมเป็นเด็กวัด นะครับ ก็ผ่านไม้เรียวมาเช่นเดียวกัน ส่วนตัวผมเองนั้นไม่เคยโดนตีครับ

ที่โดนตี ก็เป็นพวกเพื่อน ๆ จอมเกเรพวกเพื่อน ๆ ผมเอง ที่ไปเป็นเด็กวัด อาศัยข้าววัด อยู่วัด

เรียนหนังสือ จนมาได้ดีก็หลายคน ดังนั้นตอนนี้ผมกลับมานั่งนึกดูว่า

  การที่พระเฆี่ยนตีลูกศิษย์ นี้ผิดศีลหรือ ไม่ ? ครับ

  เพราะสมัยนี้ ขนาดพวกครูตีศิษย์ ก็โดนฟ้องกลับแล้วครับ สื่อประโคมว่าโหดร้าย ทารุณแล้วครับ

  :s_hi: :67: :13:

16  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / ขอแรง พุทธศาสนิกชน เข้าช่วยเหลือในการขนย้ายพระไตรปิฏก ที่ มจร. เมื่อ: ตุลาคม 13, 2011, 11:38:54 am
ที่ มจร. บางปะอิน มีพระไตรปิฏกฉบับ เล่มสีฟ้า เก็บไว้จำนวนมาก ตอนนี้ น้ำท่วมขนย้ายไม่ทันต้องการผู้อาสาช่วยขนด่วนครับ ใครอยู่ใกล้ ๆ ก็รีบมากันเลยนะครับ เพราะเป็นทุนทรัพทย์หลายล้านบาท ครับ




17  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / ร่วมช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยได้ที่... เมื่อ: กันยายน 14, 2011, 11:56:45 am


ร่วมช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยได้ที่...

ชื่อบัญชี "ครอบครัวข่าว 3 ช่วยผู้ประสบอุทกภัย 54"
ธนาคารกรุงเทพ สาขาอาคารมาลีนนท์
บัญชีกระแสรายวัน เลขที่ 014-3004-448

ยอดรวม วันที่ 13 ก.ย 54 : 4,644,514 บาท
อัพเดท ณ เวลา 16.00 น.







ร่วมบริจาคผ่านทาง SMS 
พิมพ์  3  ส่งมาที่หมายเลข  4567899
ค่าบริการครั้งละ 10 บาท (รวม vat 7%)
 
18  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ซิวตัวแล้วโจรลักพระพุทธรูปหนัก 1 ตัน แฉ!เจ้าอาวาสทำเอง ชาวบ้านแห่รุมตื๊บ เมื่อ: กันยายน 14, 2011, 11:25:57 am
ซิวตัวแล้วโจรลักพระพุทธรูปหนัก 1 ตัน แฉ!เจ้าอาวาสทำเอง ชาวบ้านแห่รุมตื๊บ



ตร.เชียงใหม่ ตามรวบแก๊งลักพระพุทธรูป "สิงห์หนึ่ง" พระประธานล้ำค่าของวัดป่าแดด ที่หายจากวิหาร พบเจ้าอาวาสเป็นใจ ไขกุญแจเปิดทางให้แก๊งคนร้าย เข้ามาขโมยนำไปขายต่อ เพื่อแลกเงินกู้ ชาวบ้านสุดแค้นจะฮือเข้าประชาทัณฑ์ ตร.กันอุตลุด...

 

จากกรณีคนร้ายบุกขโมยพระพุทธรูปโบราณ ล้ำค่า 'พระสิงห์หนึ่ง' หายไปจากวิหารวัดป่าแดด อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ แต่กลับมีพระพุทธรูปไฟเบอร์ลักษณะใกล้เคียงกันมาวางไว้แทนที่ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 27 มี.ค. ที่ผ่านมานั้น

 

ล่าสุด เมื่อวันที่ 29 มี.ค. เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน กองกำกับการสืบสวน ตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ ได้แถลงข่าวจับกุมตัวผู้ต้องหา ประกอบด้วย พระอุทัยวัฒน์ ไพโรจน์วิบูลกิจ อายุ 37 ปี เจ้าอาวาสวัดป่าแดด นายสมบัติ  วิสฤตไพศาล อายุ 37 ปี และนายชัช พุทธิมา อายุ 32 ปี พร้อมด้วยของกลาง พระสิงห์หนึ่ง พระประธานเนื้อทองสัมฤทธิ์ ขนาดหน้าตัก 30 นิ้ว  พร้อมตั้งข้อหา “ร่วมกันลักทรัพย์ที่เป็นพระพุทธรูปหรือวัตถุในทางศาสนาที่เป็นที่สักการะ บูชาของประชาชนในเวลากลางคืน” โดยใช้ยานพาหนะเพื่อการพาทรัพย์นั้นไป ซึ่งนายสุพรรณ ใหม่เส็น ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 3 ต.ป่าไผ่ อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ ได้มาแจ้งความร้องทุกข์ไว้ตั้งแต่วันที่ 27 มี.ค.ที่ผ่านมา

 

จากการสอบสวนพระอุทัยวัฒน์ เจ้าอาวาสวัดป่าแดด ให้การรับสารภาพว่า เป็นผู้เปิดทางให้คนร้ายเข้ามาขโมยพระพุทธรูป โดยเป็นผู้ไขกุญแจล็อควิหารพระให้กลุ่มผู้กระทำผิดเข้าไปขนย้ายพระประธาน เนื่องจากก่อนเกิดเหตุได้กู้ยืมเงินจากนายโก้ (ไม่ทราบชื่อ-สกุลจริง) และนายสมบัติ หรือ ติ่ง วิสฤตไพศาล โดยแลกเปลี่ยนกับการบูชาพระประธาน ซึ่งเวลาประมาณ 21.00 น. ของวันที่ 24 มี.ค. นายโก้พร้อมพวกได้ขับรถกระบะมาที่วัดป่าแดด และตนได้ไขกุญแจเปิดประตูวิหารให้ จากนั้นนายโก้และพวกได้เข้าไปลักเอาพระพร้อมกับนำพระพุทธรูปทำเลียนแบบมา ตั้งแทน

 

หลังเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่สืบทราบว่า นายสมบัติ ได้มีการติดต่อซื้อขายพระพุทธรูปสิงห์หนึ่งให้กับบุคคลอื่น โดยได้นำพระไปขายให้ในราคา 600,000 บาท จึงได้ทำการเชิญตัวนายสมบัติมาสอบปากคำ ซึ่งนายสมบัติ ก็รับสารภาพว่า ได้ติดต่อกับพระอุทัยวัฒน์ เพื่อขอบูชาองค์พระประธานไปจริง กระทั่ง ในวันที่ 28 มี.ค. เจ้าหน้าที่สืบทราบว่ามีผู้นำพระพุทธรูปสิงห์หนึ่ง มาทิ้งไว้ที่บริเวณลานหลังวัดแม่คือ ต.แม่คือ อ.ดอยสะเก็ด เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนจึงได้ตรวจยึดนำส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดี

 

หลังจากแถลงข่าวชาวบ้านประมาณ 200 คน พยายามที่จะรุมประชาทัณฑ์ผู้ต้องหา เจ้าหน้าที่จึงรีบนำตัวทั้งหมดไปคุมไว้ในห้องขัง.


 
ที่มา  http://www.thairath.co.th

http://news.hunsa.com/detail.php?id=28070
19  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 13 ก.ย. - จระเข้ขนาดใหญ่หลุดจากอุทยานหินล้านปี เมื่อ: กันยายน 14, 2011, 11:12:14 am

ชลบุรี 13 ก.ย. - จระเข้ขนาดใหญ่หลุดจากอุทยานหินล้านปี และฟาร์มจระเข้พัทยา สร้างความหวาดกลัวให้กับชาวบ้านเป็นอย่างมาก

เจ้าหน้าที่อุทยานหินล้านปี และฟาร์มจระเข้พัทยา ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี กว่า 10 คน ออกลาดตระเวนบริเวณโดยรอบอุทยาน หลังฝนตกติดต่อกันหลายวัน ทำให้น้ำท่วมและมีจระเข้ขนาดเล็กถึงขนาดใหญ่จำนวนมาก หลุดออกจากบ่อเลี้ยง โดยเจ้าหน้าที่สามารถตามจับจระเข้ขนาดใหญ่กลับมาได้แล้ว 4 ตัว และชาวบ้านแจ้งว่าพบจระเข้บริเวณบ่อบัวข้างอุทยาน เจ้าหน้าที่ของฟาร์มจึงนำกำลังเข้าจับจระเข้ สร้างความหวาดกลัวให้กับชาวบ้านเป็นอย่างมาก
 
ส่วนสถานการณ์น้ำท่วมตัวเมืองพัทยา กลับเข้าสู่สภาวะปกติแล้ว รถทุกชนิดสามารถสัญจรไปมาได้ตามปกติ ขณะที่ชาวบ้านเร่งทำความสะอาดบ้านเรือนและสิ่งของเครื่องใช้ อย่างไรก็ตาม ยังพบมีบางชุมชนยังถูกน้ำท่วม เจ้าหน้าที่ต้องนำเรือท้องแบนไปรับส่งผู้ประสบความเดือดร้อน เหตุการณ์น้ำท่วมครั้งนี้ถือว่าหนักที่สุดในรอบ 10 ปี. -สำนักข่าวไทย

 http://www.mcot.net/cfcustom/cache_page/266422.html


น่าเป็นห่วงครับ จำนวนไม่แน่นอน นะครับ



20  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / เวทนา ๓ อย่างเหล่านี้ เกิดมาจากผัสสะ เมื่อ: กันยายน 14, 2011, 11:01:34 am
ภิกษุ ท.! เวทนา ๓ อย่างเหล่านี้ เกิดมาจากผัสสะ มีผัสสะ
เป็นมูล มีผัสสะเป็นเหตุ มีผัสสะเป็นปัจจัย. สามอย่างเหล่าไหนเล่า? สาม
อย่างคือ สุขเวทนา ทุกขเวทนา อทุกขมสุขเวทนา.

 ภิกษุ ท.! เพราะ อาศัยผัสสอันเป็นที่ตั้งแห่งสุขเวทนา สุขเวทนา
ย่อมเกิดขึ้น; เพราะ ความดับแห่งผัสสะอันเป็นที่ตั้งแห่งสุขเวทนานั้น สุข-
เวท น าอันเกิดขึ้นเพราะอาศัยผัสสะอันเป็นที่ตั้งแห่งสุขเวทนานั้น ย่อมดับ ไป
ย่อมระงับไป.

 (ในกรณี แห่ง ทุกขเวทนา และ อทุกขมสุขเวทนา ก็ได้ตรัสไว้ด้วยถ้อยคำ มีนัยะอย่างเดียวกัน).

 ภิกษุ ท.! เปรียบเหมือน เมื่อไม้สีไฟสองอันสีกัน ก็เกิดความร้อน
และเกิดไฟ , เมื่อไม้สีไฟสองอันแยกกัน ความร้อนก็ดับไฟสงบไป. ภิกษุ ท.!
ฉันใดก็ฉันนั้น : เวทนาทั้งสามนี้ ซึ่งเกิดจากผัสสะ มีผัสสะเป็นมูล มีผัสสะ
เป็นเหตุ มีผัสสะเป็นปัจจัย อาศัยผัสสะแล้วย่อมเกิดขึ้น, ย่อมดับไปเพราะ
ผัสสะดับ, ดังนี้แล.


- สฬา, สํ. ๑๘/๒๖๖/๓๘๙-๓๙๐
.


21  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / กามฉันทะ และ ฉันทะสมาธ ต่างกันอย่างไร เมื่อ: สิงหาคม 29, 2011, 02:37:02 pm
กามฉันทะ  และ ฉันทะสมาธ ต่างกันอย่างไร

 เนื่องด้วย สมาธิ ย่อมละนิวรณ์ทั้ง 5 มี กามฉันทะ เป็นต้น

แต่ผู้ฝึกภาวนา สมาธิ ต้องมี ฉันทะสมาธิ เมื่อเป็นดังนั้น  จะเรียกว่า พ้นกามฉันทะ ได้อย่างไร

 :smiley_confused1: :c017:



22  เรื่องทั่วไป / แนะนำเว็บไซท์ สายธรรมะ กันหน่อยจ้า / http://www.watnakprok.org/th/ วัดนาคปรก กทม เมื่อ: สิงหาคม 10, 2011, 10:45:14 am


http://www.watnakprok.org/th/

วัดนาคปรก กทม.


23  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / เวลาภาวนา พุทโธ ควรทำจิตอย่างไร ดีครับ เมื่อ: กรกฎาคม 02, 2011, 08:41:30 pm
ผมเคยฟังมาตอนเรียนหนังสือ เมื่อสมัยมัธยม ว่าเวลาฝึกภาวนากรรมฐาน

ก็คือ หายใจเข้า ก็ ภาวนา พุท  หายใจออก ก็ภาวนา ว่า โธ

ก็ทำมาอย่างนี้ตั้งแต่นั้น จนกระทั่งวันนี้

แต่ก็ยังไม่รู้สึกว่าจะเป็นสมาธิ แต่ประการใด เลยครับ ผ่านไปตั้ง 12 ปีแล้ว

ยังไม่รู้จัก ปฐมฌาน เลยครับ

ไม่ทราบว่า การภาวนา พุทโธ มีเคล็ดอย่างไร ในการภาวนาบ้างครับ

หรือมีหลักการอะไรมากกว่า ที่ผมรู้มาครับ

   :smiley_confused1: :c017:
หน้า: [1]