แสดงกระทู้
|
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to. |
Messages - raponsan
|
หน้า: [1] 2 3 ... 710
|
1
|
เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: ว่าด้วย "สังฆทาน" โดย สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ.ปยุตฺโต)
|
เมื่อ: วันนี้ เวลา 10:27:29 am
|
. ในการถวายสังฆทานนั้น อะไรควรถวาย.? อะไรไม่ควรถวาย.?การถวายสังฆทาน ไม่ใช่การถวายถังเหลือง และการทำบุญ ไม่ใช่การถวายสังฆทานเท่านั้น การทำบุญทำได้หลายวิธี ทั้งการให้ทาน(ให้วัตถุ ให้คำสอน ให้คำแนะนำ ให้ธรรมะ ให้เวลากับพ่อแม่ ให้อภัย) การรักษาศีล (ไม่เบียดเบียนทำร้ายสัตว์,ไม่ลักขโมยฉ้อโกง,ไม่ประพฤติผิดในกาม,ไม่พูดโกหก เพ้อเจ้อ ส่อเสียด หยาบคาย,ไม่ดื่มสุรา ไม่ใช้ยาเสพติด) และการภาวนา(พัฒนาจิตใจและปัญญา ด้วยการศึกษา สนทนาธรรม รักษาใจให้ผ่องแผ้ว สดใส พิจารณาชีวิตตามความเป็นจริง)
@@@@@@@
แต่ถ้าพิจารณาแล้วเห็นว่า ต้องการทำบุญด้วยการถวายสังฆทาน ก็ควรให้อย่างสัตบุรุษ คือยึดหลักธรรมที่เรียกว่า สัปปุริสทาน ๘ ได้แก่
(๑) ให้ของสะอาด : เลือกสิ่งที่บริสุทธิ์ ได้มาโดยสุจริต (๒) ให้ของประณีต : ให้ของที่ดี ตามกำลังศรัทธา อย่างรู้จักประมาณ (๓) ให้ถูกเวลา : เช่นถวายภัตตาหารพระก่อนเวลาเพลเท่านั้น ถ้าจะถวายหลังเวลาเที่ยงไปแล้วก็อาจจะถวายเครื่องไทยธรรม ดอกไม้ธูปเทียน น้ำปานะต่างๆ ที่ไม่ขัดต่อพระวินัย เป็นต้น (๔) ให้ของที่สมควรแก่ผู้รับจะนำไปใช้ได้ : เช่นถ้าจะถวายสังฆทาน ก็ควรถวายของที่สมควรแก่พระ ไม่ใช่สุรา ยาเสพติด เครื่องประดับตกแต่ง บางคนคิดว่าจะถวายสังฆทานอุทิศให้แก่ผู้ล่วงลับก็ต้องนำของที่ผู้ล่วงลับชอบใจหรือใช้อยู่เป็นประจำมาถวายพระ นี่เป็นความคิดที่ไม่ถูกต้อง เพราะของเหล่านั้นถวายแก่พระ ไม่ใช่การทำพิธีให้ของนั้นล่องลอยไปสู่ผู้ล่วงลับ บุญเกิดจากการให้ มิใช่อยู่ที่ตัวสิ่งของ
(๕) ให้ด้วยวิจารณญาณ ให้เกิดผลเกิดประโยชน์มาก : ของที่จะให้เป็นทานจะมีราคาสูงหรือ ต่ำไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่ควรเป็นสิ่งที่ใช้ประโยชน์ได้จริง การจัดหาของน้อยชิ้นที่ใช้งานได้ อาจจะดีกว่าการจัดของสารพัดอย่างลงในถังให้ดูครบครันแต่นำมาใช้ หรือแม้แต่จะจัดเก็บก็ยากลำบาก (๖) ให้ประจำสม่ำเสมอ (๗) เมื่อให้ ทำจิตให้ผ่องใส (๘) ให้แล้ว เบิกบานใจ : ไม่คิดกังวลว่าผู้รับจะใช้หรือไม่ จะยินดีแค่ไหน เมื่อให้ไปแล้วก็ไม่ยึดถือเป็นของเรา ตัวเราต่อไปอีก
@@@@@@@
เมื่อทำได้ดังนี้ หรือฝึกฝนที่จะทำเช่นนี้ ก็ชื่อว่าได้ให้อย่างผู้มีปัญญา เป็นการให้ที่มีประโยชน์ มีอานิสงส์มาก มีอานิสงส์ใหญ่ น่าอนุโมทนาชื่นชมเป็นอย่างยิ่งขอบคุณที่มา : https://www.watnyanaves.net/th/web_page/QandA_4 ถ้าจะถวายปัจจัยแก่พระ ควรทำอย่างไรจึงจะถูกต้อง.?โดยพระวินัย พระไม่รับเงินทอง และโดยนโยบายของวัดก็ไม่มีการเรี่ยไร หรือตั้งตู้รับบริจาคใดๆ ทั้งสิ้น
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์เคยกล่าวไว้ว่า เรื่องสร้างวัดเป็นเรื่องของโยม (คือไม่ใช่งานที่พระจะต้องไปหาเงินหาทองมาสร้าง มาซ่อม โยมทำให้อย่างไรก็อยู่ได้) ดังนั้นคณะกรรมการวัดที่เป็นญาติโยมจึงทำหน้าที่ในการดูแลวัด ซ่อมแซมอาคารสถานที่ต่างๆ ตามความเหมาะสม และจัดการงบประมาณส่วนหนึ่งมาใช้ในการจัดทำสื่อธรรมะต่างๆ เพื่อแจกแก่ญาติโยมที่มาวัด รวมทั้งดูแลค่าใช้จ่ายต่างๆ เช่น การจัดกิจกรรมวันสำคัญ การดูแลพระอาพาธ การถวายทุนการศึกษาเล่าเรียนแก่พระภิกษุสามเณร เป็นต้น
ดังนั้นถ้าท่านต้องการร่วมทำบุญเพื่อกิจเหล่านี้ ก็ให้เห็นเป็นเรื่องที่ญาติโยมมาจัดการกันเอง (อย่างเปิดเผย โปร่งใส) เพื่อเกื้อกูลแก่พระสงฆ์ในการทำกิจอันเป็นประโยชน์แก่พุทธศาสนิกชนโดยส่วนรวม โดยไม่จำเป็นต้องถวายแก่พระสงฆ์
หากมีเจตนาต้องการถวายปัจจัยเฉพาะเจาะจงแก่พระสงฆ์ เพื่อใช้เพื่อแลกเปลี่ยนเป็นสิ่งของที่ควรแก่สมณะ ก็มีพุทธบัญญัติให้มอบปัจจัยนั้นแก่ไวยยาวัจจกร แล้วแจ้งให้พระสงฆ์ทราบด้วยวาจา หรือเขียนเป็นตัวหนังสือลงในใบปวารณาก็ได้
และก็ควรเน้นย้ำว่า มีหนทางอีกมากที่ชาวพุทธจะทำบุญที่ยิ่งไปกว่าเพียงการถวายปัจจัยแก่พระสงฆ์หรือแก่วัด ซึ่งไม่ใช่ความจำเป็นหรือธรรมเนียมปฏิบัติที่ต้องกระทำแต่อย่างใด
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เจ้าหน้าที่ (คุณญานิศา) เพื่อทำความเข้าใจหลักการปฏิบัติเพื่อให้สอดคล้องกับธรรมวินัย โดยติดต่อทางโทรศัพท์หมายเลข ๐๘๑-๖๙๔-๒๙๒๘ หรือเพิ่มเพื่อนใน Line ด้วย ID : @watonline
ขอบคุณที่มา : https://www.watnyanaves.net/th/web_page/QandA_5
|
|
|
4
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ‘ล้มทฤษฎี’ กินไข่ไก่ ‘คอเลสเตอรอลสูง’
|
เมื่อ: วันนี้ เวลา 07:10:59 am
|
. ‘ล้มทฤษฎี’ กินไข่ไก่ ‘คอเลสเตอรอลสูง’ | จักรกฤษณ์ สิริรินกระทรวงเกษตรแห่งสหรัฐอเมริกา (United States Department of Agriculture : USDA) ได้ประกาศ “ถอดคอเลสเตอรอล” ออกจากสารอาหารที่ชาวอเมริกันต้องควบคุม หลังจากค้นพบว่า “คอเลสเตอรอล” จาก “ไข่ไก่” ไม่ว่าจะเป็น HDL LDL รวมถึงไตรกรีเซอไรด์ ที่ได้รับจาก “ไข่ไก่” ไม่สัมพันธ์กับปริมาณคอเลสเตอรอลในเลือด
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “กระทรวงเกษตรแห่งสหรัฐอเมริกา” หรือ USDA ได้เปิดผลวิจัยที่น่าสนใจ ซึ่งเกี่ยวข้องกับ “ไข่ไก่” เป็นผลจากการทดลองกับกลุ่มตัวอย่างจำนวน 3 กลุ่ม คือ ระหว่างกลุ่มคนที่ไม่รับประทานไข่ กลุ่มที่รับประทานไข่ต้ม และกลุ่มที่รับประทานไข่ดาว คนละ 1 ฟองต่อวัน โดยให้กลุ่มตัวอย่างทั้งหมด รับประทาน “เมนูไข่” ดังกล่าว ติดต่อกันประมาณ 2 เดือน
ผลการทดลองพบว่า กลุ่มตัวอย่างทั้ง 3 มีระดับ “คอเลสเตอรอล” ไม่ว่าจะเป็น HDL LDL รวมถึงไตรกรีเซอไรด์ “ไม่แตกต่างกัน” การทดลองนี้จึงพิสูจน์ให้เห็นว่า การรับประทาน “ไข่ไก่” ไม่มีความสัมพันธ์กับ “ระดับคอเลสเตอรอลในเลือด” แต่อย่างใด
ข้อมูลจากงานวิจัยดังกล่าว ได้เปรียบเทียบพลังงานที่ได้จาก “ไข่ไก่” แต่ละประเภท ที่พบว่า “ไข่ต้ม” 1 ฟอง ให้พลังงาน 75 กิโลแคลอรี “ไข่ดาว” 1 ฟอง ให้พลังงาน 150 กิโลแคลอรี และ “ไข่เจียว” 1 ฟอง ให้พลังงาน 250 กิโลแคลอรี
ดังนั้น ไข่ต้มจึงเป็น “เมนูไข่” ที่ให้พลังงานต่ำที่สุด ขณะเดียวกัน “ไข่ต้ม” มีสัดส่วนระหว่าง Omega-6 ต่อ Omega-3 ต่ำที่สุด ซึ่งถือว่าดีต่อสุขภาพ
สรุปผลการวิจัยของ USDA ที่พบว่า “ไข่ไก่” เป็นแหล่งของ Omega-3 ซึ่งมีคุณค่าเทียบเท่าหรือมากกว่าไขมันในปลาแซลมอน และปลาทะเล อุดมด้วยกรดไขมัน DHA (Docosahexaenoic Acid) และ EPA (Eicosapentaenoic Acid) โดยทั้ง DHA และ EPA มีความจำเป็นต่อการทำงานของสมอง สายตา หัวใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ระบบหลอดเลือด
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ไข่ไก่” ช่วยในด้านการทำงานของสมอง ผู้ที่บริโภค “ไข่ไก่” เป็นประจำ สมองจะตอบสนองต่อเรื่องต่างๆ ได้รวดเร็วขึ้นมากกว่า 25% เมื่อเทียบกับคนที่ไม่ได้บริโภค “ไข่ไก่”
นอกจากนี้ “ไข่ไก่” ยังช่วยป้องกัน “โรคสมาธิสั้น” ในเด็ก และยังช่วยลดความเสี่ยงการเป็น “โรคสมองเสื่อม” หรือ “อัลไซเมอร์” ในผู้สูงวัย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การกิน “ไข่ไก่” เป็นประจำ ยังมีส่วนช่วยป้องกัน “โรคหัวใจ” ได้อีกด้วย
@@@@@@@
สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมด ตรงกันข้ามกับคำสอน หรือสิ่งที่บอกเล่าต่อๆ กันมาเป็นเวลายาวนานว่า “ไม่ควรบริโภคไข่ไก่มาก” เพราะจะทำให้ “คอเลสเตอรอลสูง” ผลการวิจัยของ “กระทรวงเกษตรแห่งสหรัฐอเมริกา” ข้างต้น จึงเสมือนการ “ล้มทฤษฎี” กินไข่แล้ว “คอเลสเตอรอลสูง” ซึ่งเป็นความเชื่อผิดๆ ที่ส่งทอดกันมาหลายสิบปี ล้มความมั่นใจของผู้ที่เข้าใจคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับ “คอเลสเตอรอล” ใน “ไข่ไก่” ลงไปอย่างสิ้นเชิง
ทฤษฎีกินไข่แล้วคอเลสเตอรอลสูง เป็นความเชื่อที่ผิดมานาน เพราะคอเลสเตอรอลแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ 1. คอเลสเตอรอล 75% ของร่างกาย ถูกสร้างขึ้นที่ตับ จากพลังงานส่วนเกินของร่างกาย 2. คอเลสเตอรอล 25% ที่เหลือ ได้รับจากกินอาหารโดยตรง
ดังนั้น การลด ละ เลิก การกิน “ไข่ไก่” ไม่ได้ทำให้ “ระดับคอเลสเตอรอล” ต่ำลงแต่อย่างใด ไม่เช่นนั้น “กระทรวงเกษตรแห่งสหรัฐอเมริกา” คงไม่เฉลยบทพิสูจน์ให้เห็นกันว่า “ไข่ไก่” มีคุณค่าทางอาหารเต็มใบแค่ไหน เพราะ “ไข่ไก่” เป็น “แหล่งโปรตีนคุณภาพดี” ย่อยง่าย เด็กกินได้-ผู้ใหญ่กินดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้สูงวัยที่รับประทาน “ไข่ไก่” จะช่วยให้กล้ามเนื้อแข็งแรง และช่วยให้ได้รับวิตามิน+เกลือแร่ที่ร่างกายต้องการ
- “ไข่ไก่” มี “ลูทีน” ที่ช่วยบำรุงสุขภาพดวงตา และสมอง ที่พบว่า มีความสัมพันธ์กัน คือดวงตาดี สมองจะดี ทำให้เรียนดี - “ไข่ไก่” เป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง อุดมด้วยสารอาหารที่ร่างกายต้องการอย่างครบถ้วน ไข่ไก่ 1 ฟองมีโปรตีน 7 กรัม ให้พลังงาน 75 กิโลแคลอรี - “ไข่ขาว” ประกอบด้วย Ovalbumin, Ovoglobulin และ Phosphoprotein ซึ่งสารทั้ง 3 ชนิดนี้เป็นองค์ประกอบของโปรตีนซึ่งอุดมไปด้วย “กรดอะมิโน 8 ชนิด” ที่จำเป็นต่อร่างกาย - “ไข่แดง” ประกอบไปด้วยโปรตีน ไขมัน วิตามิน และแร่ธาตุที่สำคัญ โดยไขมันที่มีอยู่มากใน “ไข่แดง” เป็นไขมันประเภทอิ่มตัว - “ไข่ไก่” 1 ฟอง มีวิตามิน-แร่ธาตุหลากหลาย อาทิ วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 5 วิตามินบี 6 วิตามินบี 12 วิตามินดี ไอโอดีน อิโนซิทอล แคลเซียม ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม เป็นต้น รวมถึง “โฟเลต” ที่ช่วยลดการเกิดโรคหลอดเลือดโดยเฉพาะอย่างยิ่ง “โคลีน” ใน “ไข่ไก่” นั้น เป็นส่วนประกอบสำคัญในสารที่เรียกว่า “เลซิติน” ที่มีสรรพคุณช่วยบำรุงสมอง และป้องกันภาวะความผิดปกติของระบบประสาท “โคลีน” มีผลโดยตรงต่อการเพิ่มประสิทธิภาพความจำ ความสามารถในการเรียนรู้ ช่วยชะลอการสูญเสียความทรงจำในผู้สูงอายุ หรือโรคสมองเสื่อม และอัลไซเมอร์ “โคลีน” ยังช่วยป้องกันไขมันอุดตันในเส้นเลือด และโรคหลอดเลือดหัวใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ช่วยชะลอความแก่
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ไข่ไก่” มี “ซิลิเนียม” สารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) ช่วยชะลอวัย และป้องกันอัลไซเมอร์ ใน “ไข่ไก่” 1 ฟอง มี “ซิลิเนียม” มากถึง 1 ใน 4 ของปริมาณที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันเลยทีเดียว
“โฟลิก” ใน “ไข่ไก่” ถูกใจเด็กทารกที่ยังไม่มีฟัน และผู้สูงอายุที่มีปัญหาเรื่องฟันเคี้ยวอาหารประเภทเนื้อสัตว์ “โฟลิก” เป็นสารป้องกันโลหิตจาง และเป็นสารที่จำเป็นสำหรับหญิงตั้งครรภ์ เพื่อการตั้งครรภ์ที่มีคุณภาพ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ไข่ไก่” มีวิตามินบี 6 และบี 5 ช่วยคลายเครียด ควบคุมพลังงาน และรักษาระดับฮอร์โมนทางเพศ ช่วยให้พลังขับเคลื่อนทางเพศทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ กิน “ไข่ไก่” ทุกวัน วันละ 1 ฟอง เสริมพลังทางเพศ ชาร์จแบตเต็มทั้งแท่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ช่วยให้ไวต่อความรู้สึกทางเพศ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เพศชายที่ต้องการเพิ่มพลังทางเพศ มักจะนิยมสั่งไข่ลวกกินทุกวัน วันละ 1 ฟอง เหมือนได้ยาโด๊ปราคาถูก หาซื้อง่าย และที่สำคัญก็คือ กิน “ไข่ไก่” ไม่ต้องกลัว “คอเลสเตอรอลสูง” ไม่มีอันตรายต่อหัวใจ และมีประโยชน์ในด้านการเสริมสมรรถภาพทางเพศอีกด้วย
นอกจากนี้ การรับประทาน “ไข่ไก่” เป็นประจำ ยังช่วยให้สเปิร์มแข็งแรงขึ้น เพราะไข่อุดมไปด้วยโปรตีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิตามินอี ที่ช่วยบำรุงรักษาเนื้อเยื่อลูกอัณฑะไม่ให้เสื่อมเร็ว รวมทั้งยังเพิ่มปริมาณอสุจิ และช่วยเสริมศักยภาพของภาวะเจริญพันธุ์อีกด้วย
@@@@@@@
งานวิจัยอีกชิ้นหนึ่งพบว่า “ไข่ไก่” จะช่วยส่งเสริมการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 HDL-Cholesterol, Insulin Sensitivity ไขมัน และกลูโคส เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น
กิน “ไข่ไก่” ช่วยให้อิ่มเร็ว หิวช้า ลดความอยากอาหาร ช่วยเรื่องการควบคุมน้ำหนัก
สมาคมโรคหัวใจแห่งสหรัฐอเมริกา (American Heart Association) เป็นอีกหน่วยงานหนึ่งซึ่งเปลี่ยนให้คำแนะนำในการกิน “ไข่ไก่” จากเดิมที่ห้ามไม่ให้บริโภค “ไข่ไก่” เกิน 3 ฟองต่อสัปดาห์ มาเป็นให้บริโภค “ไข่ไก่” วันละ 1 ฟอง
อย่างไรก็ดี ผู้ที่มีไขมันในเลือดสูง หรือผู้ที่จำเป็นต้องควบคุมไขมันในเลือด ยังไม่ควรรับประทานไข่มากกว่า 3 ฟองต่อสัปดาห์ ดังนั้น การเลือกรับประทาน “ไข่ไก่” แบบใหม่ จะทำให้ลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจขาดเลือด และทำให้สุขภาพดีครับขอขอบคุณ :- ที่มา : มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 3 - 9 กุมภาพันธ์ 2566 ผู้เขียน : ดร.จักรกฤษณ์ สิริริน เผยแพร่ : วันอาทิตย์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2566 URL : https://www.matichonweekly.com/healthy/article_644584
|
|
|
5
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ความรู้จักพอเป็นยอดแห่งทรัพย์ : 'สุจริตกถา' โดย พระพรหมบัณฑิต
|
เมื่อ: พฤษภาคม 23, 2024, 09:31:01 am
|
. หิริโอตัปปะและศีล ๕ : หลักธรรมป้องกันการทุจริต โดย พระพรหมบัณฑิต ศ.ดร. อธิการบดีมหาจุฬาฯ เทศน์ "สุจริตกถา"กล่าวว่า มหาจุฬาฯ ร่วมกับสำนักงานการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ การจัดงานครั้งนี้เพื่อเป็นโอกาสสำคัญในการแสดงถึงความกตัญญูต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ทั้งสองพระองค์ทรงครองแผ่นดินโดยธรรม โดยมีพระปฐมบรมราชองค์การว่า
"เราจะครองแผ่นโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม" คำว่า "โดยธรรม" หมายถึง "สุจริตธรรม" พระพุทธเจ้าแสดงธรรมเรื่องสุจริตธรรมครั้งแรกให้พระเจ้าสุทโทธนะ มีหน้าที่ด้วยความสุจริต มี ๓ ประการ
๑. "ไม่บกพร่องต่อหน้าที่" ทำหน้าที่ตนเองให้ที่สุด ร้องให้สุดคำ รำให้สุดแขน ทำให้ดีที่สุด ทำอะไรอย่าให้บกพร่อง ๒. "ไม่ละเว้นต่อหน้าที่" ผู้เป็นบิดามารดาไม่ละทิ้งหน้าที่ในการสั่งสอนบุตรของตน เพราะถ้าบุตรเป็นโจร บิดามารดาย่อมมีส่วนโจรด้วยเพราะไม่สั่งสอนบุตร ๓. "ไม่ทุจริตต่อหน้าที่" ไม่ใช้หน้าที่ของตนในการทำการทุจริต รวมถึงทรัพย์สินเงินทอง ใช้อำนาจหน้าที่ในทางมิชอบ
พระพุทธเจ้าตรัสว่า "บุคคลไม่ควรประพฤติหน้าที่ให้ทุจริต" อาณาจักรหรือประเทศจะล้มสลายถ้ามีการทุจริต กล่าวว่า "สนิมเกิดแต่เหล็ก จะกัดกินเหล็ก" ซึ่งสภาพในสังคมไทยปัจจุบันมีการทุจริตจำนวนมากเป็นสนิทร้ายต่อประเทศ ลักษณะมือใครยาว สาวได้สาวเอา มีการแย่งอาหารกันกิน แย่งถิ่นกันอยู่ แย่งคู่กันพิศวาส แย่งอำนาจกันเป็นใหญ่
นำไปสู่การขาดความสามัคคีในประเทศชาติ เป็นการละเมิดศีล ๕ ในข้อที่ ๒ คือ ถือเอาสิ่งของจากเจ้าของท่านไม่ได้ให้ ควรงดเว้นด้วยวิรัติ ถือว่าเป็นการงดเว้น ต้องมีหิริ ความละอายแก่ใจ การส่งเสริมในเรื่องศีล ๕ ของมหาเถรสมาคม จึงเป็นการต่อต้านการทุจริตนั่นเอง
@@@@@@@
สมัยอดีตก็มีการทุจริต ทนันชาณิพราหมณ์มีการปล้นพระราชา ฉ้อราษฏร์บังหลวง อ้างพระราชาปล้นประชาชน อ้างว่าจะไปช่วยเหลือประชาชน แต่กลับเอาไปใช้ส่วนตัว อ้างว่าเอาเงินไปเลี้ยงบิดามารดา บุตร และ ณ สวนสัตว์แห่งหนึ่งมีการทุจริตต่อหน้าที่ ในการเลี้ยงเสือ ประชาชนมาดูเสือทำไมเสือไม่อ้วน เสือผอม ทำไมเสือผอมเป็นการตั้งคำถามของประชาชน เพราะอาหารเสือโดนเบียดบัง ผู้อำนวยการสวนสัตว์ส่งผู้ตรวจการ ๓ คน มาตรวจทุจริตทั้ง ๓ คน จึงมีโครงโลกนิติว่าด้วยว่า "เบิกทรัพย์วันละบาทซื้อมังสา" กล่าวว่า
เบิกทรัพย์วันละบาทซื้อ มังสา นายหนึ่งเลี้ยงพยัคฆา ไป่อ้วน สองสามสี่นายมา กำกับ กันแฮ บังทรัพย์สี่ส่วนถ้วน บาทสิ้นเสือตาย
เสือ หมายถึง ประเทศชาติ รวมถึงประชาชนในชาติ ผู้นำรัฐ ข้าราชการ ต้องประพฤติสุจริตธรรม ประเทศถึงจะอยู่รอด การทุจริตทำมากมาย ไม่ว่าจะเป็นซื้อสิทธิ์ขายเสียง ก็ถือว่าเป็นการทุจริต สหประชาชาติจึงประกาศให้วันที่ ๙ ธันวาคมของทุกปี เป็นวันต่อต้านการทุจริตของโลก ประชาชนต้องไม่สนับสนุนการทุจริต
ธรรมะที่คุ้มครองโลก คือ "หิริและโอตัปปะ" เป็นธรรมะที่ให้มนุษย์ประเสริฐกว่าสัตว์ เป็นธรรมะฝ่ายขาวคุ้มครองโลก หิริ หมายถึง ความละอายต่อบาป ต่อความชั่วทั้งหลาย ไม่นำร่างกายไปเปื้อนกับความสกปรก คำว่า โอตตัปปะ หมายถึง ความเกรงกลัวต่อบาป เปรียบเหมือน ถ่านไฟ อย่าได้ไปเข้าใกล้มันร้อน เมื่อหิริโอตตัปปะมีอยู่โลกจะสามารถอยู่รอดและปลอดภัย
การงดเว้นการทุจริตก็ต่อเมื่อมีธรรมะ คือ "หิริและโอตตัปปะ" เป็นหลักธรรมป้องกันการทุจริต เพราะเมื่อละอายแก่ใจ ดังคำกล่าวว่า" อดอยากเยี่ยงอย่างเสือ" เหมือนนางขุตชุตรา เป็นนางสาวใช้ของพระนางสามวดี เบิกเงินไปซื้อดอกไม้ แต่ซื้อเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น เธอได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า ทำให้กลับตัวกลับใจ มีความหิริภายในใจ เธอพยามสร้างอริยทรัพย์ เป็นทรัพย์ภายใน "ความรู้จักพอเป็นยอดแห่งทรัพย์"
@@@@@@@
เศรษฐกิจพอเพียงขององค์ในหลวง ถือว่าเป็นการป้องกันการทุจริต คือ ให้เรารู้จักพอ เพียงพอ ประมาณตนเอง ในการบริหารชีวิต เพราะถ้าไม่พอก็เกิดความโลภ โอตัปปะเป็นความกลัว กลัวต่อการกฎหมายลงโทษอย่างมีประสิทธิภาพ กลัวต่อการตกนรก คนสมัยโบราณกลัวการทุจริต กลัวต่อผลบาปการทุจริต จึงยึด "ทำได้ดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว"
เราปฏิบัติสุจริตย่อมมีชีวิตที่มีความสุขในโลกนี้และโลกหน้า มีพราหมณ์คนหนึ่งสมัยพระเจ้าโกศล เขาทดลองว่า ถ้าประพฤติทุจริตจะเป็นอย่างไร.? ด้วยการหยิบเหรียญวันละ ๑ เหรียญ ทำเรื่อยๆ และหยิบเป็นกำมือ จนคนตะโกนว่าจับโจร พระราชาถามว่าทำไมถึงทำแบบนี้ พราหมณ์ตอบว่า เป็นการทดลองการประพฤติผิดว่าจะเป็นอย่างไร พราหมณ์จึงออกบวชในศาสนาของพระพุทธเจ้า
องค์ในหลวงของเรารักเป็นแบบอย่างที่ดีในการประพฤติสุจริตธรรม จะทำให้ประเทศของเรามีความ "มั่นคง มั่งคั่ง และสันติสุข" สืบไปThank to :- image : https://www.pinterest.ca/URL : https://www.mcu.ac.th/news/detail/12803๑๐/๐๘/๒๐๑๖
|
|
|
7
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / “Golden Boy” ประติมากรรมล้ำค่า อายุนับพันปี คือ “พระศิวะ” จริงหรือ?
|
เมื่อ: พฤษภาคม 23, 2024, 08:34:16 am
|
“Golden Boy” ประติมากรรมล้ำค่า อายุนับพันปี คือ “พระศิวะ” จริงหรือ?Golden Boy ประติมากรรมสำริดที่ไทยเพิ่งได้รับคืนจากสหรัฐอเมริกา ปัจจุบันจัดแสดงที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร “Golden Boy” คือ“พระศิวะ” จริงหรือ.?
ในที่สุด Golden Boy และประติมากรรมสตรี โบราณวัตถุ 2 รายการที่มีอายุนับพันปี ก็เดินทางกลับสู่เมืองไทยเป็นที่เรียบร้อย ท่ามกลางความยินดีของคนไทยทั้งประเทศ พร้อมจัดแสดงในวันที่ 22 พฤษภาคม 2567 เป็นต้นไป ที่อาคารมหาสุรสิงหนาท พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
เมื่อครั้ง Golden Boy จัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะเมโทรโพลิทัน นครนิวยอร์ก (The MET) สหรัฐอเมริกา คำอธิบายใต้ประติมากรรมชิ้นนี้ คือ “พระศิวะประทับยืน” ซึ่งในวันที่ 21 พฤษภาคม 2567 ที่มีพิธีรับมอบโบราณวัตถุ 2 รายการ คือ Golden Boy และประติมากรรมสตรี จาก The MET ณ พระที่นั่งอิศราวินิจฉัย พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
จอห์น กาย (John Guy) ภัณฑารักษ์ แผนกศิลปะเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จาก The MET ที่ร่วมในพิธีรับมอบ ก็ได้ระบุว่า Golden Boy คือ “พระศิวะ”
เหตุผลดังกล่าวคืออะไร.?
เขากล่าวว่า ประติมากรรมสำริดกะไหล่ทองรูปพระศิวะในศาสนาฮินดูนี้ ถือเป็นผลงานชิ้นเอกชิ้นเดียวอย่างไม่ต้องสงสัย และเป็นหนึ่งในประติมากรรมทางศาสนาที่สำคัญที่สุดประเภทรูปเคารพ ที่ยังหลงเหลืออยู่ในแผ่นดินใหญ่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีสภาพการเก็บรักษาเกือบสมบูรณ์
ประติมากรรมสำริดรูปพระศิวะ ทำหน้าที่เป็นรูปเคารพทางศาสนาที่สำคัญในเทวสถาน ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 16-17 ซึ่งน่าจะหมายถึง “พระศิวะ” เทพในศาสนาพราหมณ์
“หากพิจารณาจากผ้านุ่งห่มแบบสมพตในภาษาเขมร หรือผ้านุ่งในภาษาไทย มีการตกแต่งรอยผูกที่ชายผ้าด้านหน้า และปมผ้าด้านหลังก็ตกแต่งอย่างสวยงาม สะท้อนเรือนร่างที่สวมใส่อยู่ เครื่องประดับ พาหุรัด กำไลข้อมือ กำไลข้อเท้า กรองคอ และ มงกุฎ เป็นส่วนสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงความศักดิ์สิทธิ์” ภัณฑารักษ์จาก The MET เผยถึงความงามของ Golden Boy
เขาบอกอีกว่า ประติมากรรม Golden Boy และประติมากรรมสตรี หล่อด้วยกระบวนการสูญขี้ผึ้ง (Lost Wax) โดยมีแกนเหล็กที่ยื่นออกมาจากส่วนมงกุฎถึงเท้า การตกแต่งในขั้นตอนสุดท้ายบนพื้นผิวสำริด ทำได้อย่างประณีตและละเอียด
เมื่อตรวจสอบพระพักตร์ของทั้งพระศิวะและสตรีนั่งชันเข่าโดยละเอียด พบว่า ทั้ง 2 องค์มีการตกแต่งด้วยการฝังแก้ว หินผลึก และโลหะที่แตกต่างกัน คือทองคำและเงิน พระเนตรของพระศิวะล้อมด้วยเงิน และพระเนตรดำอาจเคยมีหินคริสตัลฝังอยู่ หนวดและเคราก็มีร่องรอยการประดับตกแต่งด้วยการฝังวัตถุเช่นเดียวกัน
@@@@@@@
อย่างไรก็ดี แม้ The MET จะตีความว่าเป็น “ประติมากรรมพระศิวะ” แต่กรมศิลปากรก็ระบุว่า ท่าทางของพระหัตถ์ทั้งสองมีความแตกต่างจากประติมากรรมโดยทั่วไป ที่มักจะถือสัญลักษณ์ของพระศิวะ และไม่ปรากฏพระเนตรที่สามบนพระนลาฏ
แล้วบอกอีกว่า Golden Boy จึงอาจหมายถึงรูปบุคคลในสถานะเทพ หรืออาจมีความเป็นไปได้ว่า ถูกสร้างขึ้นด้วยจุดประสงค์ 2 อย่าง คือ เป็นรูปเคารพเพื่อบูชาในศาสนสถานประจำราชวงศ์ หรือเป็นรูปเคารพของบูรพกษัตริย์
อ่านเพิ่มเติม :-
• ใครคือ “Golden Boy” ? รู้จักพระเจ้าชัยวรมันที่ 6 ต้นวงศ์มหิธรปุระแห่งพิมาย • รู้ได้อย่างไร “Golden Boy” เป็นของไทย ไม่ใช่เขมร? • น่าสงสัย!? ประติมากรรม “Golden Boy” เก่าแก่กว่ายุคพระเจ้าชัยวรมันที่ 6ขอขอบคุณ :- ผู้เขียน : กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม เผยแพร่ : วันพุธที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ.2567 เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรก : เมื่อ 22 พฤษภาคม 2567 URL : https://www.silpa-mag.com/history/article_132885
|
|
|
8
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ข้าวมธุปายาส (อาจ)เป็นเช่นไร.? | มาดู "มธุปายาส" ในพระไตรปิฎกและอรรถกถา
|
เมื่อ: พฤษภาคม 22, 2024, 06:35:02 am
|
. ข้าวมธุปายาส (อาจ)เป็นเช่นไร.? | มาดู "มธุปายาส" ในพระไตรปิฎกและอรรถกถา บทความในคอลัมน์พินิจอินเดียฉบับนี้มีความพิเศษ เพราะมีนางสาวภัคจิรา ธรรมมานุธรรม นิสิตปริญญาตรี ชั้นปีที่ 4 คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมาเป็นนักเขียนรับเชิญร่วมกับผู้เขียนประจำ ด้วยมีจุดประสงค์ที่คณาจารย์ทีมอินเดีย จุฬาฯ ต้องการสนับสนุนการเผยแพร่ผลงานคุณภาพของนิสิตที่ตั้งใจศึกษาค้นคว้าเรื่องอินเดีย ให้ได้เป็นประโยชน์แก่สาธารณชน บทความมีเนื้อหาดังนี้
‘ข้าวมธุปายาส’ ปรากฏในพุทธประวัติตอนนางสุชาดาถวายอาหารมื้อสุดท้ายแด่พระโพธิสัตว์เจ้าชายสิทธัตถะ ก่อนที่พระองค์จะทรงตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ณ ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ในราตรีวัน 15 ค่ำ เดือนวิสาขะ เมื่อ 2500 กว่าปีที่แล้ว เป็นเรื่องที่น่าสงสัยใคร่ศึกษาให้รู้ว่า ลักษณะที่แท้จริงของข้าวมธุปายาสในพุทธประวัตินั้นเป็นเช่นไรกันแน่ บทความฉบับนี้เป็นอีกหนึ่งความพยายามที่จะค้นคว้าหาหลักฐานเท่าที่ปรากฏในคัมภีร์พุทธศาสนาฝ่ายภาษาบาลีมาแสดงเพื่อตอบคำถามดังกล่าว
@@@@@@@
มธุปายาส เป็นภาษาบาลีประกอบด้วยคำสองคำ กล่าวคือ ‘มธุ’ แปลว่า น้ำผึ้ง และ ‘ปายาส’ แปลว่า ข้าวหุงด้วยน้ำนม โดยคำว่า ปายาส มาจากคำว่า ‘ปยสฺ’ ที่แปลว่าน้ำนม โดยนัยนี้ มธุปายาส จึงแปลว่า ข้าวหุงด้วยน้ำนมใส่น้ำผึ้ง
พระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย มีข้อความตอนหนึ่งในพุทธวงศ์ ขุททกนิกาย ว่า
“พระตถาคตจักประทับนั่งที่โคนต้นอชปาลนิโครธ ทรงรับข้าวปายาสในที่นั้นแล้ว เสด็จไปยังแม่น้ำเนรัญชรา พระชินเจ้าพระองค์นั้น จักเสวยข้าวปายาส ที่ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา แล้วเสด็จไปที่โคนต้นโพธิ์ ตามหนทางอันประเสริฐที่ตกแต่งไว้แล้ว...”
จะเห็นได้ว่าในพระไตรปิฎกบาลีใช้คำว่า ‘ปายาส’ แทนสิ่งที่พระตถาคตทรงรับและเสวยก่อนการตรัสรู้ที่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ในพระไตรปิฎกฉบับนี้ยังมีการใช้คำว่า ‘ปายาส’ อีกหลายแห่ง เช่น สคาถวรรค สังยุตตนิกาย, ชาดก ขุททกนิกาย, อปทาน ขุททกนิกาย
ส่วนคำว่า ‘มธุปายาส’ พบว่ามีใช้แห่งเดียวในเรื่องของพระโคสาลเถระ พบในเถรคาถา ขุททกนิกาย และมีการใช้คำว่า ‘สัปปิปายาส’ ซึ่งแปลว่า ปายาสใส่เนยใส ในหลายแห่ง เช่น สฬายตนวรรค สังยุตตนิกาย, ชาดก ขุททกนิกาย ในบางแห่งยังกล่าวถึงส่วนผสมด้วยว่า “ปรุงข้าวปายาส ด้วยเนยใส”(สปฺปินา ปายาโส)
จากการศึกษาพระไตรปิฎกบาลีทำให้เข้าใจได้ว่า ปายาสทั้งสามอย่าง นี้น่าจะเป็นอาหารชนิดเดียวกันและอาจจะเป็นอาหารอย่างเดียวกัน แต่มีส่วนผสมที่ต่างกัน โดยดูจากคำขยายข้างหน้าที่บอกส่วนผสมของปายาส กล่าวคือ
มธุปายาส คือ ปายาสที่ใส่น้ำผึ้ง สัปปิปายาส คือปายาสที่ใส่เนยใส การกล่าวถึงปายาสโดยไม่มีคำขยายข้างหน้านั้นอาจจะละคำที่แสดงส่วนประกอบไว้ก็เป็นได้
อย่างไรก็ตามเราก็ได้ทราบส่วนประกอบของปายาสว่ามีการเติมน้ำผึ้ง หรือเนยใส และอาจสันนิษฐานได้ว่า ปายาส เป็นอาหารชั้นดี ที่นิยมนำมาถวายแด่พระภิกษุ
@@@@@@@
ในอรรถกถาภาษาไทย ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย และอรรถกถาภาษาบาลีฉบับสยามรัฐ กล่าวเรื่องข้าวมธุปายาสในพุทธประวัติไว้ ในอวิทูเรนิทาน ในนิทานกถา ซึ่งเป็นส่วนต้นของคัมภีร์ชาตกัฏฐกถา หรืออรรถกถาของคัมภีร์ชาดก ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับข้าวมธุปายาสมากที่สุด มีเนื้อหาโดยสรุปว่า
นางสุชาดา ธิดาของกุฎุมพีในตำบลอุรุเวลาเสนานิคม ได้กระทำความปรารถนาที่ต้นไทรแห่งหนึ่งว่า ถ้าได้แต่งงานกับผู้ที่มีชาติตระกูลเสมอกันและได้บุตรคนแรกเป็นชาย จะทำพลีกรรมโดยบริจาคทรัพย์หนึ่งแสนให้ทุกปี ๆ ความปรารถนาของนางสำเร็จแล้ว
เมื่อพระมหาสัตว์กระทำทุกรกิริยาครบ 6 ปี ในวันเพ็ญเดือน 6 นางสุชาดาประสงค์จะทำพลีกรรม ก่อนหน้านั้นนางได้ปล่อยโคนม 1,000 ตัว ให้ท่องเที่ยวอยู่ในป่าชะเอม ให้โคนม 50 ตัว ดื่มน้ำนมของโคนม 1,000 ตัวนั้น แล้วให้โคนม 250 ตัว ดื่มน้ำนมของโคนม 500 ตัวนั้น นางปรารถนาน้ำนมข้นและมีโอชะจึงได้ให้โคหมุนเวียนดื่มน้ำนมจนกระทั่งเหลือโค 8 ตัว ดื่มน้ำนมของแม่โคนม 16 ตัวนั้น
ในเช้าตรู่วันวิสาขบูรณมี นางสุชาดาลุกขึ้นในเวลาใกล้รุ่งแห่งราตรี ให้รีดนมโคนม 8 ตัวนั้น ลูกโคทั้งหลายยังไม่ได้ไปถึงเต้านมเหล่านั้น แต่พอนำภาชนะใหม่เข้าไปใกล้เต้านมเท่านั้น ธารน้ำนมก็ไหลออกตามธรรมดาของตน
นางสุชาดาได้เห็นความอัศจรรย์นั้นจึงตักน้ำนมด้วยมือของตนเอง ใส่ลงในภาชนะใหม่แล้วก่อไฟด้วยมือของตนเอง เมื่อกำลังหุงข้าวปายาส ฟองใหญ่ ๆ ตั้งขึ้นไหลวนเป็นทักษิณาวัฏ แม้หยาดสักหยดหนึ่งก็ไม่หกออกภายนอก ควันไฟแม้มีประมาณน้อยก็ไม่ตั้งขึ้นจากเตา
สมัยนั้นท้าวจตุโลกบาลมาถือการอารักขาที่เตา ท้าวมหาพรหมกั้นฉัตร ท้าวสักกะนำดุ้นฟืนมาใส่ไฟให้ลุกโพลงอยู่ เทวดาทั้งหลายรวบรวมโอชะใส่เข้าไปในข้าวปายาสนั้น ด้วยเทวานุภาพของตน เหมือนบุคคลคั้นรวงผึ้งอันติดอยู่ที่ท่อนไม้ แล้วถือเอาแต่น้ำหวานฉะนั้น ในเวลาอื่น ๆ เทวดาทั้งหลายใส่โอชะในคำข้าว ก็แต่ว่าในวันตรัสรู้และวันปรินิพพาน ใส่โอชะในหม้อเลยทีเดียว
นางสุชาดาคิดจะใส่ข้าวปายาสในถาดทอง จึงให้คนใช้นำถาดทองมีค่าหนึ่งแสนออกมา ประสงค์จะใส่ข้าวปายาสในถาดทองนั้น จึงรำพึงถึงโภชนะที่สุกแล้ว ข้าวปายาสทั้งหมดก็กลิ้งไปประดิษฐานอยู่ในถาดเหมือนน้ำกลิ้งจากใบบัว ข้าวปายาสนั้นเต็มถาดหนึ่งพอดี
นางสุชาดาได้เดินไปยังโคนต้นไทร เปิดฝาเอาสุวรรณภิงคารใส่น้ำอันอบด้วยดอกไม้หอม เข้าไปยืนอยู่ใกล้ ๆ พระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์เหยียดพระหัตถ์ขวาออกรับ นางสุชาดาจึงวางถาดทองข้าวปายาสในพระหัตถ์ของพระมหาบุรุษ
ฝ่ายพระโพธิสัตว์เสด็จลุกขึ้นจากที่ประทับ ทรงทำประทักษิณต้นไม้ ถือถาดเสด็จไปยังฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ทรงวางถาดที่ฝั่ง เสด็จลงสรงสนานเสร็จแล้วทรงนั่ง ทรงนั่งผินพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก ทรงกระทำปั้นข้าว 49 ปั้น ประมาณเท่าจาวตาลสุกจาวหนึ่ง ๆ แล้วเสวยมธุปายาสมีน้ำน้อยทั้งหมด ข้าวมธุปายาสนั้นได้เป็นอาหารอยู่ได้ตลอด 7 สัปดาห์ และยังมีปรากฏเรื่องข้าวมธุปายาสในพุทธประวัติอยู่ในพุทธวงศ์ ขุททกนิกาย โดยมีการใช้คำว่า “ข้าวปายาสที่ไม่แข้นแข็ง มีรสอร่อยอย่างยิ่ง” (ปายาส อนายาส ปรมมธุร)
จะเห็นได้ว่ามีการใช้ ปายาส และ มธุปายาส เมื่อกล่าวถึงสิ่งเดียวกัน และมีคำขยาย มธุปายาส ด้วยคำว่า มีน้ำน้อย (อปฺโปทกมธุปายาส) นอกจากมีการบอกลักษณะของข้าวมธุปายาสว่ามีน้ำน้อยแล้ว จากลักษณะของการเสวยที่ทรงกระทำปั้นข้าว และ “ข้าวปายาสทั้งหมดก็กลิ้งไปประดิษฐานอยู่ในถาดเหมือนน้ำกลิ้งจากใบบัว” อีกทั้งมีข้อความว่า “ข้าวปายาสที่ไม่แข้นแข็ง” จึงทำให้พอพิจารณาได้ว่าข้าวมธุปายาสไม่ใช่อาหารที่แข็งและเหลวนัก พอจะกลิ้งไปได้เหมือนน้ำกลิ้งจากใบบัว และยังได้ทราบอีกว่าข้าวมธุปายาสทำมาจากนมโคและในการปรุงต้องใช้ความร้อน
อรรถกถาฉบับดังกล่าวได้อธิบายคำว่า มธุปายาส ที่ปรากฏแห่งเดียวในพระไตรปิฎกบาลีในเรื่องของพระโคสาลเถระว่าเป็น “ข้าวปายาส ที่เขาหุงด้วยน้ำผึ้งและน้ำตาลกรวด” และปรากฏคำอธิบายเพิ่มเติมจากพระไตรปิฎกบาลีอีก เช่น “ข้าวปายาสที่ปรุงด้วยเนยใส น้ำผึ้ง และน้ำอ้อย” ในอรรถกถาเรื่องติตถชาดก และ “ข้าวมธุปายาสที่ปรุงด้วยเนยใสเป็นต้น” และ “ข้าวปายาสผสมด้วยสัปปิ” ในอรรถกถาเรื่องสันถวชาดก เป็นต้น จะเห็นได้ว่าคำว่า ปายาส และ สัปปิปายาส น่าจะหมายถึงสิ่งเดียวกัน ต่างกันเพียงแค่วิธีการเพิ่มคำขยายเท่านั้น
พบว่าข้าวปายาสที่กล่าวถึงในคัมภีร์ทั้งหลายมีลักษณะแตกต่างกัน 3 ลักษณะ กล่าวคือ ข้าวปายาสที่ไม่เหลว ข้าวปายาสที่เหลว และข้าวปายาสที่มีรสเปรี้ยว ซึ่งพบว่า กล่าวถึงข้าวปายาสที่ไม่เหลวมากที่สุด
ข้าวปายาสที่ไม่เหลวพบในอรรถกถาพระสุตตันตปิฎกดังนี้ “ข้าวปายาสไม่มีน้ำ” (นิรุทกปายาส) ในมหาวรรค ทีฆนิกาย “ข้าวมธุปายาสมีน้ำน้อย” (อปฺโปทก มธุปายาส) ในคาถาธรรมบท ขุททกนิกาย “ข้าวปายาสมีน้ำน้อย” (อปฺโปทกปายาส) ในอุทาน ขุททกนิกาย “ก้อนข้าวปายาส” (ปายาสปิณฺฑ) ในชาดก ขุททกนิกาย
ข้าวปายาสที่เหลวพบในอรรถกถาพระสุตตันตปิฎก มีการใช้คำว่า “ข้าวปายาสเปียก” (กิลินฺนปายาส) ใน คาถาธรรมบท ขุททกนิกาย และ “เอามือกอบคูถ กินและดื่มมูตรเหมือนคดข้าวปายาส” ในเถรคาถา ขุททกนิกาย
ส่วนข้าวปายาสที่เปรี้ยวพบในอรรถกถาพระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค มีการใช้คำว่า “ข้าวปายาสเปรี้ยว” (อมฺพิลปายาส)
บางแห่งในอรรถกถามีคำอธิบายถึงส่วนผสมของข้าวปายาสอีก ดังนี้ “ข้าวปายาสทำด้วยแป้ง” ในปาฏิกวรรค ทีฆนิกาย “ข้าวปายาสอย่างดี ปรุงด้วยเนยใสน้ำผึ้งและน้ำตาลกรวด” ในมหาวรรค ทีฆนิกาย “จัดแจงข้าวปายาสด้วยน้ำนมไม่ผสมน้ำ ด้วยข้าวสารแห่งข้าวสาลีที่ตนฉีกท้องข้าวสาลี ในที่นาประมาณ 8 กรีส จึงใส่น้ำผึ้ง เนยใส น้ำตาลกรวดเป็นต้นในข้าวปายาสนั้น” ในเถรคาถา ขุททกนิกาย “เนยใส น้ำผึ้ง น้ำตาลกรวด ข้าวสารและนมสด...นางเห็นสิ่งเหล่านั้นก็ดีใจว่า เราประสงค์จะถวายทาน และเราก็ได้ไทยธรรมนี้แล้ว ในวันที่สอง ก็จัดทานปรุงมธุปายาสน้ำน้อย” ในวิมานวัตถุ ขุททกนิกาย “ข้าวปายาสที่ปรุงด้วยของที่เจือด้วยเนยใสใหม่ น้ำผึ้งสุกและน้ำตาลกรวด” ในชาดก ขุททกนิกาย
@@@@@@@
ดังแสดงมานี้ จึงพอสรุปได้ว่าข้าวปายาสหรือที่นิยมเรียกว่ามธุปายาส จะประกอบด้วย ข้าว อาจจะเป็นข้าวสาลีหรือข้าวชนิดใด ไม่ได้ระบุไว้แน่ชัด และมี น้ำนม เนยใส น้ำตาลกรวด น้ำผึ้ง เตรียมขึ้นด้วยวิธีหุงต้ม มีลักษณะที่ไม่แข็งและไม่เหลวมาก สามารถที่จะปั้นเป็นก้อนได้
พระไตรปิฎกบาลีภาษาไทยฉบับอื่นพบว่า มีการแปลคำว่า ปายาส เป็น มธุปายาส เช่น ในพระไตรปิฎกภาษาไทยฉบับหลวง กรมการศาสนา พุทธศักราช 2521 และ พระไตรปิฎกภาษาไทยฉบับสังคายนาในพระบรมราชูปถัมภ์ พุทธศักราช 2530 เป็นต้น ในพุทธประวัติภาษาไทยก็กล่าวถึงสิ่งนี้ด้วยคำว่า ข้าวมธุปายาส นั่นเป็นเหตุที่ทำให้พุทธศาสนิกชนชาวไทยคุ้นเคยอาหารชนิดนี้ในชื่อว่า ข้าวมธุปายาส
ชาวพุทธในสังคมไทย มีประเพณีการกวนข้าวทิพย์ในช่วงวันวิสาขบูชา แล้วนิยมเรียกว่า ข้าวมธุปายาส ข้าวทิพย์มีส่วนผสมคือ ข้าว นม น้ำมันพืช น้ำผึ้ง น้ำอ้อย น้ำตาลกรวด น้ำตาลหม้อ ข้าวตอก ข้าวเม่า ถั่ว งา ลูกเดือย เมล็ดแตง เมล็ดบัว มะพร้าวแก่ มะพร้าวอ่อน ผลไม้สด ผลไม้แห้ง ผู้ที่กวนต้องเป็นสาวพรหมจารี นุ่งขาวห่มขาว ข้าวทิพย์มีรสหวาน มีสีน้ำตาล ลักษณะคล้ายกาละแม ลักษณะของข้าวทิพย์ดังกล่าวจึงแตกต่างจากข้าวมธุปายาสที่ปรากฏในพุทธประวัติ ข้าวทิพย์ไม่ได้เน้นรสของนมซึ่งเป็นส่วนผสมหลักของข้าวปายาส
ในหนังสือพุทธประวัติที่เขียนด้วยภาษาฮินดี ภาษาราชการที่ประเทศอินเดียใช้สื่อสารทั่วไปในปัจจุบันเมื่อกล่าวถึงอาหารที่พระพุทธเจ้าเสวยก่อนการตรัสรู้ จะใช้คำว่า ขีร ซึ่งเป็นขนมหวานชนิดหนึ่งที่ยังนิยมรับประทานทั่วไปในอินเดีย ทำจากข้าวหุงด้วยน้ำนม ใส่น้ำตาล ใส่เครื่องเทศและส่วนผสมอื่น ๆ มี กระวาน หญ้าฝรั่น อัลมอนด์ เม็ดมะม่วงหิมพานต์ เป็นต้น อาจใส่ ฆี(घी Ghee ) คือเนยใสด้วยก็ได้ เตรียมขึ้นโดยนำส่วนผสมทั้งหมดมาต้มแล้วกวนให้ข้นพอประมาณตามแต่ความต้องการ ลักษณะของขนมขีร คล้ายคลึงจนน่าเชื่อว่า ขีรและปายาส อาจเป็นอาหารชนิดเดียวกัน
หากถือตามนัยนี้ ก็อาจกล่าวได้ว่าข้าวมธุปายาสคือส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมอินเดียที่รักษาอัตลักษณ์มาอย่างยาวนานในการให้ความสำคัญแก่น้ำนม อาหารส่วนใหญ่ในอินเดียล้วนมีน้ำนมเป็นส่วนผสมสำคัญ จาก ‘ข้าวมธุปายาส’ หรือ ‘ปายาส’ อาหารในพุทธประวัติ สู่ ‘ขีร’ ขนมหวานที่เรียบง่ายแต่น่าเย้ายวน ผ่านกาลเวลาเนิ่นนานมากว่าสองพันปี ความหอมหวานของข้าวที่หุงด้วยน้ำนมยังไม่จืดจางหายไปจากแผ่นดินอินเดีย ดินแดนแห่งอารยธรรมเก่าแก่แห่งหนึ่งในโลกThank to : https://mgronline.com/daily/detail/9610000032227เผยแพร่: 1 เม.ย. 2561 12:29 | โดย : อาจารย์กิตติพงศ์ บุญเกิด และนางสาวภัคจิรา ธรรมมานุธรรม สาขาวิชาภาษาเอเชียใต้ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
|
|
|
9
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เกร็ดน่ารู้เกี่ยวกับ ข้าวมธุปายาส หรือ ข้าวทิพย์
|
เมื่อ: พฤษภาคม 22, 2024, 05:46:04 am
|
. เกร็ดน่ารู้เกี่ยวกับ ข้าวมธุปายาส หรือ ข้าวทิพย์ การกวนข้าวสำมะปิ หรือ ข้าวทิพย์ หรือ ข้าวมธุปายาส
เป็นอีกประเพณีหนึ่งที่จะทำในงานประเพณีออกพรรษาตามความเชื่อของชาวอีสาน ซึ่งได้ปฏิบัติต่อเนื่องมาเป็นประจำทุกปี
ข้าวสำมะปิ หรือข้าวทิพย์ ในพุทธประวัติเรียกว่า ข้าวมธุปายาส เป็นข้าวทิพย์ที่นางสุชาดา บุตรีกฏุมพี ในสมัยพุทธกาล จัดปรุงขึ้นแล้วนำไปถวายพระมหาบุรุษก่อนที่จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งหลังจากพระองค์ได้เสวยข้าวมธุปายาสของนางสุชาดา ก็ได้ทรงบรรลุอภิสัมโพธิญาณในย่ำรุ่งของคืนนั้นเอง
เหตุนี้ ชาวบ้านจึงเชื่อว่าข้าวมธุปายาสเป็นอาหารทิพย์ช่วยให้สมองดี เกิดปัญญาแก่ผู้บริโภคที่มา : Tnews https://www.tnews.co.th/religion/420474/ จุดเด่นของข้าวมธุปายาส
จากประวัติความเป็นมาและกรรมวิธีในการหุงข้าวมธุปายาส ที่พรรณนามาทั้งหมดจึงสรุปมูลเหตะที่ชาวพุทธทั้งหลายกล่าวยกย่อง "มธุปายาส" ว่าเป็น "ข้าวทิพย์" ได้ 3 ประการคือ
1. เป็นของที่มีรสอันโอชะล้ำเลิศและกระทำได้ยากผู้ที่จะสามารถปรุงขึ้นได้ ต้องอาศัยบารมี 2. เป็นของที่ปรุงขึ้นถวายแด่ผู้มีบุญญาธิการ ผู้ควรสักการะบูชา ปรุงขึ้นเป็นการเฉพาะ เช่น เพื่อเป็นเครื่องสังเวยต่อเทพยดา เป็นต้น รวมความก็คือ ทั้งผู้ปรุงและผู้รับต่างต้องมีบุญบารมีมากจึงจะกระทำได้ 3. เป็นอาหารที่พระพุทธเจ้าทรงเสวยแล้วสามารถตรัสรู้บรรลุอนุตตรสัมโพธิญาณได้
ที่มาของข้าวทิพย์ หรือ ข้าวมธุปายาส ครั้งพุทธกาล
ข้าวทิพย์ หมายถึง อาหารวิเศษ สำหรับถวายเทวดา ทำจากอาหาร 108 อย่าง เช่น น้ำนมข้าว ข้าวสาลีเกษตรสาคู เผือก มัน นม เนย ผักผลไม้ มะพร้าว น้ำอ้อย ฯลฯ นำมาบดจนเป็นแป้ง ผสมในน้ำกะทิกรองเอาแต่น้ำ ใส่น้ำตาล แล้วนำมากวนบนไฟอ่อนๆ จึงเรียกว่า "ประเพณีกวนข้าวทิพย์” ข้าวมธุปายาส เป็นข้าว ที่หุงด้วยน้ำนม อย่างดี ที่นางสุชาดา ธิดาของเศรษฐีหมู่บ้านเสนานิคม ได้นำ ไปบวงสรวงเทพยดาที่ใต้ต้นนิโครธ (ต้นไทรใหญ่) ในวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ได้พบพระพุทธองค์ ประทับอยู่ใต้ต้นนิโครธเข้าใจว่าเป็นเทพยดา จึงได้ข้าวมธุปายาสไปถวาย เมื่อพระพุทธองค์ทรงเสวยเสร็จแล้ว แล้วนางได้กล่าวว่า "ขอให้พระองค์ จงประสพความสำเร็จ ในสิ่งที่พระองค์ ทรงประสงค์ เช่นเดียวกับที่ดิฉัน ได้ประสพความสำเร็จ ในสิ่งที่ดิฉัน ประสงค์แล้ว เถิดเจ้าข้า” ดังนี้. พระองค์ทรงรับ บิณฑบาตนั้นแล้ว, ปั้นก้อนข้าวเป็น 49 ก้อน แล้วฉันจนหมด. อาหารมื้อนี้เอง เป็น อาหารมื้อก่อนการตรัสรู้ เป็นสมเด็จพระสัมมา สัมพุทธเจ้า. โดยได้ทรงนำถาดทองที่ใส่ข้าวมธุปายาสนั้นไปลอยน้ำ และทรงอธิษฐานว่า ถ้าหากพระองค์จะได้ตรัสรู้ก็ขอให้ถาดทองนั้นลอยทวนน้ำขึ้นไป เมื่อพระองค์ทรงวางถาดลงในน้ำ ก็ปรากฏว่า ถาดทองลอยทวนน้ำขึ้นเหนือน้ำดังคำอธิฐาน ซึ่งพระองค์ทรงถือว่าภัตตาหารมื้อนั้นได้มีส่วนทำให้พระองค์ได้สำเร็จและตรัสรู้อริยสัจ 4 ได้ ที่มาภาพ : http://learn2learning.blogspot.com/2014/07/8.html ประเพณีการกวน “ข้าวสำมะปิ” หรือกวนข้าวทิพย์ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11
การกวนข้าวสำมะปิในปัจจุบันนิยมทำกันในช่วงก่อนวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ซึ่งเป็นช่วงก่อนออกพรรษา โดยแต่ก่อนจะใช้วัดเป็นสถานที่กวนข้าวสำมะปิ เพราะว่าวัดเป็นศูนย์รวมจิตใจของพุทธศาสนิกชนชาวไทย
พิธีกวนข้าวทิพย์ จะเริ่มก่อนวันวิสาขบูชา วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 เริ่มต้นด้วยพิธีพราหมณ์ ตั้งบายศรีบวงสรวงเทพยดาเครื่องประกอบในการตั้งบายศรี มีไตรจีวร 1 ชุด และถาดใส่อาหารมีข้าว ไข่ ขนมต้มแดง ขนมต้มขาว และผลไม้ พราหมณ์สวดชุมนุมเทวดา แล้วเริ่มพิธีกวนข้าวทิพย์ โดยการนำเอาข้าวที่ยังเป็นน้ำนม (ข้าวที่เพิ่งออกรวงใหม่ ที่เมล็ดยังเป็นแป้ง นำมาเอาเปลือกออก) สิ่งของเครื่องปรุงข้าวทิพย์ คือมงคล 9 สิ่ง ได้แก่ นม เนย ถั่ว งา น้ำอ้อย น้ำตาล น้ำผึ้ง และผลไม้ต่าง ๆ ใส่ร่วมกันลงไป แล้วกวนให้ข้าวสุกจนเหนียว การประกอบพิธี
พิธีจะเริ่มประมาณ 4 โมงเย็นของวันขึ้น 14 ค่ำ เดือน 11 เริ่มด้วยพระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์ เด็กหญิงพรหมจารีรับศีล 8 เมื่อพระเจริญพระพุทธมนต์ถึงบทอิติปิโส เด็กหญิงจะลุกไปยังบริเวณพิธีกับผู้ชำนาญการ ส่วนคนอื่นจะเข้าไปไม่ได้ เด็กหญิงจะเป็นผู้เริ่มทำทุกอย่าง ตั้งแต่ก่อไฟ ยกกระทะขึ้นตั้งเตาไฟ แล้วเริ่มกวน กวนไปประมาณ 10 นาที ก็เป็นการเสร็จพิธีการ หลังจากนั้นชาวบ้านจะช่วยกันกวนโดยผลัดกันตลอดคืน บางวัดเสร็จตี 3 ตี 4 จึงเป็นวันที่สนุกสนานของหนุ่มสาวอีกวันหนึ่ง เพราะจะช่วยกันมากวนข้าวทิพย์ มีการกระเซ้าเย้าแหย่กันเพื่อไม่ให้ง่วงนอน นับเป็นกำลังสำคัญในการกวน ส่วนคนแก่คนเฒ่าส่วนมากจะนอนค้างที่วัด วันรุ่งขึ้นเป็นวันพระมีการทำบุญตักบาตรเป็นการเอิกเกริกถวายข้าวทิพย์แด่พระภิกษุสงฆ์ และแจกจ่ายแบ่งปันกัน หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส อิ่มบุญกันทั่วหน้า เป็นอันเสร็จพิธี
แต่ปัจจุบันความเจริญได้เข้ามามีอิทธิพล ทำให้พิธีกรรมต่าง ๆ เหล่านี้หายไป ชาวบ้านได้ถือเอาความสะดวกเป็นหลัก
Thank to : https://www.trueplookpanya.com/dhamma/content/84809Posted By มหัทธโน | 28 ก.ย. 63 แหล่งข้อมูล - หนึ่งในประเพณีออกพรรษา กิน “ข้าวสำมะปิ” หรือ “ข้าวทิพย์” ช่วยให้สมองดี โดย ผู้จัดการออนไลน์ - ประเพณีกวนข้าวทิพย์ ข้าวมธุปายาส และการตักบาตรเทโวโรหณะ ในวันออกพรรษา - พิธีกวนข้าวทิพย์เนื่องในวันออกพรรษา โดย ไทอีสาน
|
|
|
10
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / “คลาสภาษาอังกฤษ” สมัยรัชกาลที่ 5 เรียนกันอย่างไร.? เมื่อคนสอนพูดไทยไม่ได้
|
เมื่อ: พฤษภาคม 21, 2024, 06:29:53 am
|
บรรยากาศในห้องเรียนที่จัดการศึกษาวิทยาการสมัยใหม่ในสมัยรัชกาลที่ 5“คลาสภาษาอังกฤษ” สมัยรัชกาลที่ 5 เรียนกันอย่างไร? เมื่อคนสอนพูดไทยไม่ได้ คนเรียนพูดอังกฤษไม่เป็นหลายคนน่าจะพอคุ้นชื่อ แอนนา เลียวโนเวนส์ หรือ “แหม่มแอนนา” ครูสอนภาษาอังกฤษสมัยรัชกาลที่ 4 กันบ้าง ยุคนั้นผู้เรียนส่วนใหญ่คือเจ้าจอมและพระราชธิดาในพระองค์ พอมาถึงสมัยรัชกาลที่ 5 ด้วยโลกที่เปลี่ยนไปทำให้ทรงมีพระราชประสงค์ฝึกหัดคนเพื่อดูแลกิจการบ้านเมือง หนึ่งในนั้นคือต้องเรียนรู้ภาษาอังกฤษ จึงทรงตั้งโรงเรียนภาษาอังกฤษในพระบรมมหาราชวังขึ้น แล้ว คลาสภาษาอังกฤษ สมัยรัชกาลที่ 5 เรียนกันอย่างไร ในเมื่อคนสอนพูดไทยไม่ได้ ส่วนคนเรียนก็พูดอังกฤษไม่เป็น
ดร. อาวุธ ธีระเอก เล่าในหนังสือ “ภาษาเจ้า ภาษานาย การเมืองเบื้องหลังการศึกษาภาษาอังกฤษ สมัยรัชกาลที่ ๕” (สำนักพิมพ์มติชน) ตอนหนึ่งว่า
คลาสภาษาอังกฤษ สมัยรัชกาลที่ 5 เริ่มเมื่อราว พ.ศ. 2415 เมื่อ ฟรานซิส จอร์ช แพทเทอร์สัน ครูชาวอังกฤษเดินทางมาสยาม เพื่อเยี่ยมน้าชายคือ หลวงรัถยาภิบาลบัญชา (กัปตันเอม) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงโปรดเกล้าฯ ให้จ้างไว้เป็นครู และให้ตั้งโรงเรียนภาษาอังกฤษคู่กับโรงเรียนไทยที่มีอยู่เดิม
โรงเรียนภาษาอังกฤษนี้จัดสอนเจ้านายช่วงเช้า และสอนทหารมหาดเล็กช่วงบ่าย ตอนแรกก็คึกคัก มีนักเรียนมาเรียนกว่า 50 คน แต่ต่อมาส่วนใหญ่เลิกเรียนกลางคัน เจ้านายที่อายุมากหน่อยก็ออกไปทำราชการ ชั้นรองลงมาก็มักถึงเวลาผนวชเป็นสามเณร ส่วนทหารมหาดเล็กก็ต้องเรียนวิชาอื่นมาก จึงมาเรียนภาษาอังกฤษได้น้อยลง
ปีถัดมา นักเรียนจึงเหลือไม่ถึงครึ่ง และเริ่มลดลงเรื่อยๆ ซ้ำยังไม่มีนักเรียนใหม่มาเพิ่ม เมื่อถึงปีที่สามจึงเหลือเพียงนักเรียนเจ้านาย 5 พระองค์ และย้ายที่เรียนไปยัง “หอนิเพธพิทยา” ที่ประทับของสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช จากนั้นโรงเรียนก็เป็นอันเลิกไป เมื่อครูแพทเทอร์สันเดินทางกลับหลังครบสัญญา 3 ปี
@@@@@@@
คลาสภาษาอังกฤษ สมัยรัชกาลที่ 5 เรียนกันอย่างไร ในเมื่อต่างฝ่ายต่างพูดภาษาของอีกฝ่ายไม่เป็น
คำตอบคือ สมัยนั้น พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนเรศรวรฤทธิ์ เจ้านายชั้นผู้ใหญ่ที่ทรงทันเรียนภาษาอังกฤษกับ “แหม่มแอนนา” ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทำหน้าที่ล่าม พอแปลคำง่ายๆ ได้บ้าง คำศัพท์ที่เกินความรู้ก็ใช้พจนานุกรมที่เรียกว่า “หนังสืออภิธานศัพท์” เข้าช่วย
ผู้สอนใช้หนังสืออภิธานศัพท์ของหมอแมคฟาร์แลนด์ ที่แปลศัพท์ภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทย โดยชี้ให้นักเรียนดูความหมายในภาษาไทย ส่วนผู้เรียนใช้หนังสือ “สัพพะจะนะภาษาไทย” ของสังฆราชปัลเลกัวซ์ ตีพิมพ์ขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2397 (สมัยรัชกาลที่ 4) แปลคำภาษาไทยเป็นคำศัพท์ภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศส และภาษาละติน
ส่วนเนื้อหาและวิธีการสอน ผู้สอนสอนทั้งภาษาและเนื้อหาวิชาควบคู่กันไป โดยใช้หนังสือและแผนที่ฝรั่งเป็นหลัก วิชาเลขก็ใช้มาตราอังกฤษ ทั้งยังสอนให้รู้ความเป็นไปในต่างประเทศ และสถานการณ์บ้านเมืองต่างๆ เช่น เยอรมนีทำสงครามชนะฝรั่งเศส การเปลี่ยนระบอบการปกครองของฝรั่งเศสจากราชาธิปไตยเป็นประชาธิปไตย ฯลฯ
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส หนึ่งในผู้ที่ทรงเล่าเรียนกับครูแพทเทอร์สัน เห็นว่าวิธีดังกล่าวไม่เพียงแต่ให้หัดแปลความ แต่ให้หัดพูด หัดอ่าน แนะให้เข้าใจความ เป็นประโยชน์ต่อพระองค์อย่างยิ่ง ทำให้ทรงใช้งานภาษาอังกฤษได้จริง
ตอนหลังเมื่อต่างฝ่ายต่างเรียนรู้ภาษาของกันและกันมากขึ้น การใช้พจนานุกรมช่วยในการสื่อสารระหว่างกันก็ลดน้อยลงไป
อ่านเพิ่มเติม :-
• แหม่มแอนนา เล่าเรื่องเจ้าจอมในพระปิ่นเกล้าฯ ส่วนใหญ่เป็นหญิงลาว ชี้ สวย-ละมุนกว่าไทย • ไฉน “แหม่มแอนนา” ปลื้ม “พระองค์เจ้ายิ่งเยาวลักษณ์” พระราชธิดาผู้สิ้นชีพในคุกหลวง • “ฮาเร็ม” ของ “เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์” จากบันทึกแหม่มแอนนา จริงหรือที่สภาพ “น่าเวทนานัก”ขอขอบคุณ :- ผู้เขียน : กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม เผยแพร่ : วันจันทร์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ.2567 เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรก : เมื่อ 20 พฤษภาคม 2567 URL : https://www.silpa-mag.com/history/article_132784อ้างอิง : ดร. อาวุธ ธีระเอก. ภาษาเจ้า ภาษานาย การเมืองเบื้องหลังการศึกษาภาษาอังกฤษ สมัยรัชกาลที่ ๕. กรุงเทพฯ :มติชน, 2560
|
|
|
11
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / “วัดสามพระยา” บางขุนพรหม สามพระยานี้มีใครบ้าง.?
|
เมื่อ: พฤษภาคม 21, 2024, 06:15:58 am
|
. พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ 3 องค์ที่วัดสามพระยา (ภาพ : ข่าวสดออนไลน์)“วัดสามพระยา” บางขุนพรหม สามพระยานี้มีใครบ้าง.?วัดสามพระยา ตั้งอยู่ย่าน “บางขุนพรหม” กรุงเทพมหานคร เป็นวัดที่ประดิษฐานพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ 3 องค์ ที่พุทธศาสนิกชนนิยมไปกราบไหว้ คือ หลวงพ่อพระพุทธเกสร หลวงพ่อพระนั่ง และหลวงพ่อพระนอน วัดนี้มีประวัติความเป็นมายาวนานนับร้อยปี สร้างโดยขุนนาง 3 พี่น้อง ที่มีตำแหน่งเป็น “พระยา” แล้ว 3 พระยาที่ว่านี้มีใครบ้าง?
วัดสามพระยาเดิมเป็นวัดราษฎร์ชื่อ “วัดขุนพรหม” ตั้งตามชื่อ ขุนพรหมรักษา (สารท) ตำแหน่งปลัดกรมทหารในขวา ขุนนางเชื้อสายมอญ ซึ่งเสียชีวิตด้วยไข้ป่าขณะรับราชการสร้างมณฑปพระพุทธบาท สระบุรี ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
หลังขุนพรหมรักษาสิ้นไปแล้ว หลวงวิสูตรโยธามาตย (ตรุษ) ตำแหน่งในกรมพระตำรวจ ผู้เป็นพี่ชาย จึงยกบ้านและที่ดินของขุนพรหมรักษาสร้างเป็นวัด เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้น้องชาย ให้ชื่อว่า วัดขุนพรหม บริเวณที่ตั้งวัดนี้ภายหลังเรียกกันว่า บางขุนพรหม
@@@@@@@
เมื่อถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว วัดขุนพรหมอยู่ในสภาพชำรุดทรุดโทรม ลูกหลานของขุนพรหมรักษา ได้แก่ - พระยาราชสุภาวดี (ขุนทอง) ตำแหน่งเจ้ากรมพระสุรัสวดีกลาง - พระยาราชนิกุล (ทองคำ) ตำแหน่งปลัดทูลฉลองกระทรวงมหาดไทย และ - พระยาเทพอรชุน (ทองห่อ) ตำแหน่งปลัดทูลฉลองกรมพระกลาโหม ได้ร่วมใจกันบูรณปฏิสังขรณ์วัดขุนพรหมขึ้นใหม่
เมื่อบูรณปฏิสังขรณ์เสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้ว ทั้งสามจึงพร้อมใจน้อมเกล้าฯ ถวายรัชกาลที่ 3 ซึ่งพระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ รับเป็นพระอารามหลวงชั้นตรีชนิดวรวิหาร และโปรดพระราชทานนามเป็นอนุสรณ์แก่ผู้บูรณปฏิสังขรณ์ คือ พระยาทั้ง 3 ท่าน ว่า “วัดสามพระยา”
อ่านเพิ่มเติม :-
• ที่มาชื่อวัดชนะสงคราม และเรื่องเล่า “วังหน้าพระยาเสือ” ถวายเสื้อยันต์บูชาพระ • “พระแสงราวเทียน” ของ “วังหน้าพระยาเสือ” สมบัติชาติที่สูญหาย คืนสู่วัดมหาธาตุฯ • “วัดชัยชนะสงคราม” เจ้าพระยาบดินทรเดชา ขุนพลคู่พระทัยรัชกาลที่ 3 สร้างเพราะชนะสงครามอะไรขอขอบคุณ :- ผู้เขียน : กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม เผยแพร่ : วันจันทร์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ.2567 เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรก : เมื่อ 20 พฤษภาคม 2567 URL : https://www.silpa-mag.com/history/article_132790อ้างอิง :- - ศันสนีย์ วีระศิลป์ชัย. ชื่อบ้านนามเมืองในกรุงเทพฯ. พิมพ์ครั้งที่ 7. กรุงเทพฯ : มติชน, 2551 - ข่าวสดออนไลน์. ขอพร “3 พระประธาน” มงคล-วัดสามพระยา.
|
|
|
12
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ฮือฮา โบสถ์วัดดังเมืองตรัง ทาสีธงชาติไทยทั้งหลัง สุดแปลก เจ้าอาวาสเผยเหตุผล
|
เมื่อ: พฤษภาคม 21, 2024, 06:10:23 am
|
. ฮือฮา โบสถ์วัดดังเมืองตรัง ทาสีธงชาติไทยทั้งหลัง สุดแปลก เจ้าอาวาสเผยเหตุผลฮือฮา โบสถ์วัดดังเมืองตรัง ทาสีธงชาติไทยทั้งหลัง สุดแปลก เจ้าอาวาสเผยเหตุผล เพื่อเตือนใจอนุชนรุ่นหลังได้รำลึกถึงบรรพบุรุษไทย ดึงคนเข้าวัด และเป็นโบสถ์เพียงแห่งเดียวใน จ.ตรัง
วันที่ 20 พ.ค.2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่วัดควนอินทนินงาม ริมถนนสายตรัง-ย่านตาขาว หมู่ที่ 1 ต.ทุ่งกระบือ อ.ย่านตาขาว จ.ตรัง พระครูปลัดเริงชัย สุภโร เจ้าอาวาสวัดควนอินทนินงาม ผุดไอเดียการทาสีโบสถ์ทั้งหลังด้วยสีธงชาติไทย ทั้งสีแดง สีขาวและสีน้ำเงิน สื่อความหมายถึงความรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
และเพื่อเตือนใจให้อนุชนรุ่นหลังได้รำลึกถึงบรรพบุรุษไทย เป็นการปลุกใจให้รักชาติ และยังสามารถดึงคนเข้าวัดด้วยความโดดเด่นที่ไม่เหมือนใคร ทำนักท่องเที่ยวที่ผ่านไป-มาบนถนนสายดังกล่าว ต่างรู้สึกประทับใจ และแวะเวียนเข้ามาถ่ายภาพโพสต์ลงโซเชียลและเพจต่างๆ กันอย่างต่อเนื่องสำหรับโบสถ์หลังนี้ สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 2555 มีขนาดความยาว 100 เมตร ความกว้าง 30 เมตร สูง 2 ชั้น ใช้เงินก่อสร้างไปแล้วกว่า 20 ล้านบาท แต่ก่อสร้างแล้วเสร็จไปประมาณ 50 % ยังไม่ได้ติดตั้งระบบไฟฟ้าและน้ำประปา เนื่องจากวัสดุก่อสร้างมีราคาแพงขึ้น
ภายในเป็นลานกิจกรรม สำหรับให้เยาวชนและประชาชน ได้ใช้ในการประกอบพิธีต่าง ๆ และมีพระประธานปางมารสะดุ้งองค์ใหญ่ที่สุดในภาคใต้ น้ำหนัก 80 ตัน ที่มีดวงตาเป็นนิลสีดำประดิษฐานอยู่ส่วนบริเวณรอบโบสถ์จะมีการสร้างน้ำตก ให้น้ำไหลเวียนได้รอบโบสถ์ เพื่อให้เป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจของชาวบ้านและนักท่องเที่ยวได้อีกทางหนึ่งด้วยพร้อมกับการปลูกต้นไม้เพื่อให้ร่มเงาแก่คนและสัตว์ เช่น กระรอก กระแต นก และหมาแมว โดยผู้มีจิตศรัทธาสามารถร่วมบริจาคได้ที่ Fb วัดควนอินทนินงาม หรือที่พระครูปลัดเริงชัย หมายเลขโทรศัพท์ 085-8892403
ด้านพระครูปลัดเริงชัย สุภโร เจ้าอาวาสวัดควนอินทนินงาม กล่าวว่า ที่ตรังไม่มีวัดไหนมีโบสถ์สีธงชาติเต็มรูปแบบเหมือนของทางวัด ที่ตรังคงจะไม่มี ถ้ามีก็มีเฉพาะหลังคา ซึ่งของเราเป็นชั้นแบบสีธงชาติเลย ส่วนใครสนใจให้เปิดติดตามได้ในเน็ตซึ่งอาจจะขึ้นเบอร์วัด ส่วนหมายเลขโทรศัพท์ของอาตมาคือ 085-8892403ขอบคุณ : https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_824220820 พ.ค. 2567 - 15:35 น
|
|
|
13
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / “งานวิสาขบูชาโลก ปี 67” ผู้นำศาสนาและพุทธศาสนิกชนจาก 73 ประเทศร่วมกิจกรรม
|
เมื่อ: พฤษภาคม 20, 2024, 06:41:43 am
|
. “งานวิสาขบูชาโลก ปี 67” ผู้นำศาสนาและพุทธศาสนิกชนจาก 73 ประเทศร่วมกิจกรรม“งานวิสาขบูชาโลก ปี 67” ผู้นำศาสนาและพุทธศาสนิกชนจาก 73 ประเทศ กว่า 3,500 รูป/คน เดินทางเข้าร่วมกิจกรรมวิสาขบูชานานาชาติ วันสำคัญสากลของโลก ครั้งที่ 19
“งานวิสาขบูชาโลก ปี 67” รัฐบาลพร้อมจัด “งานวิสาขบูชาโลก ปี 67” จัดกิจกรรมวิสาขบูชานานาชาติ วันสำคัญสากลโลก ครั้งที่ 19 เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 72 พรรษา ระหว่างวันที่ 19-20 พฤษภาคม 2567
ล่าสุดวันนี้ 19 พฤษภาคม 2567 นายพิชิต ชื่นบาน รัฐมนตรีประจำสำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เป็นตัวแทนรัฐบาลไทยกล่าวต้อนรับผู้นำศาสนาและพุทธศาสนิกชนจาก 73 ประเทศ กว่า 3500 รูป/คน ซึ่งเดินทางมาเข้าร่วมกิจกรรมวิสาขบูชานานาชาติ วันสำคัญสากลของโลก ครั้งที่ 19 ที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา นายพิชิตกล่าวว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับวันวิสาขบูชา ซึ่งเป็นวันสำคัญสากลของโลก พร้อมสนับสนุนในทุกๆด้านอย่างเต็มที่เพื่อให้การจัดงานในครั้งนี้ยิ่งใหญ่สมกับที่ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางพุทธศาสนาโลก โดยในปีนี้คณะสงฆ์ สมาคมสภาสากลวันวิสาขบูชาโลก มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหามกุฎราชวิทยาลัย และภาคีเครือข่าย
มีฉันทามติร่วมกันจัดงานวันวิสาขบูชาโลกเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 72 พรรษา ในวันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2567 ภายใต้หัวข้อ “พุทธวิถีสู่การสร้างความไว้วางใจ และความสามัคคี”
จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่า งานนี้จะสร้างความร่วมมืออันดีระหว่างพุทธศาสนิกชนและองค์กรชาวพุทธ ตั้งแต่ระดับประเทศจนถึงระดับนานาชาติ.Thank to : https://www.thansettakij.com/news/general-news/596444ฐานเศรษฐกิจ | 19 พ.ค. 2567 | 16:40 น.
|
|
|
14
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / แห่สาธุ "องค์ท้าววิรูปักษ์" หนึ่งเดียวระยอง สูง 15 ม. สองมือถือ "สิ่งสำคัญ" มีมน
|
เมื่อ: พฤษภาคม 20, 2024, 06:15:14 am
|
. แห่สาธุ "องค์ท้าววิรูปักษ์" หนึ่งเดียวระยอง สูง 15 ม. สองมือถือ "สิ่งสำคัญ" มีมนต์ขลังศูนย์รวมความศรัทธา องค์ท้าววิรูปักษ์ สูง 15 เมตร หนึ่งเดียวในจังหวัดระยอง ทำพิธีพุทธาภิเษกสุดยิ่งใหญ่
วันที่ 18 พฤษภาคม 2567 เมื่อเวลา 17.00 น. ที่วัดหนองตะแบก ต.ตาขัน อ.บ้านค่าย จ.ระยอง พระเกจิจากวัดต่างๆ ในจังหวัดระยอง รวมถึงพุทธสานิกชน ได้เดินทางมาร่วมพิธี เบิกเนตร องค์ท้าววิรูปักษ์ สูง 15 เมตร หนึ่งเดียวในจังหวัดระยอง
บริเวณปรัมพิธี มีการจัดเรียง พานผลไม้ พวงมาลัยเครื่องเซ่นไหว้จัดไว้อย่างสวยงาม ด้านหน้าพุทธสานิกชนจุดธูป พร้อมกับท่องบทกราบไหว้ไม่ขาดสาย เมื่อมองไปเบื้องหน้าปรากฏ องค์ท้าววิรูปักษ์ สูง 15เมตร มือซ้ายถือไม้เท้ามีพญานาคพัน มือขวาถือลูกแก้ว ช่วงองค์เศียรมีพญานาคแผ่ปกป้องรักษา ดูแล้วมีมนต์ขลัง เมื่อพิธีเริ่มขึ้น มีการจุดประทัดเสียงดัง พระสวดมนต์เริ่มพิธี
พระครูสุรภัทร โพธิคุน เจ้าอาวาสวัดหนองตะแบก ให้สัมภาษณ์ว่าที่มาที่ไปที่ทางวัดได้สร้างองค์ท้าววิรูปักษ์นั้น แรกเริ่มมีญาติโยมมาทำบุญแล้วพอกลับไป ได้ไปปรากฏนิมิตรว่าที่วัดมีพญานาคปกครองอยู่ เมื่อนำนิมิตรไปปรึกษาร่างทรงจึงแนะนำว่าต้องสร้างองค์ท้าววิรูปักษ์ไว้ที่วัด เพราะองค์ท้าววิรูปักษ์กับพญานาคคือสิ่งคู่กัน
สำหรับ องค์ท้าววิรูปักษ์ สูง 15 เมตร เมื่อตรวจสอบภายในพื้นที่จังหวัดระยอง พบว่ายังไม่เคยสร้างที่ไหนมาก่อน ทำให้ที่วัดหนองตะแบกเป็นองค์แรกและองค์เดียวในจังหวัดระยอง หากท่านใดมีโอกาสขอเชิญแวะเวียนไป ขอพรได้ที่วัดหนองตะแบก อ.บ้านค่าย จ.ระยอง ชมภาพทั้งหมดได้ที : https://www.sanook.com/news/9387782/gallery/Thank to : https://www.sanook.com/news/9387782/Sanook! Regional : สนับสนุนเนื้อหา | 19 พ.ค. 67 (13:48 น.)
|
|
|
15
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ขอพรองค์พญาเพชรภัทรนาคราชอย่างไร ให้ปังพลิกชีวิต
|
เมื่อ: พฤษภาคม 20, 2024, 06:11:09 am
|
. ขอพรองค์พญาเพชรภัทรนาคราชอย่างไร ให้ปังพลิกชีวิตพญานาคที่เป็นองค์นาคาธิบดี ที่ทรงมีฤทธานุภาพสูงส่งให้คุณกับมนุษย์ได้อย่างน่าอัศจรรย์ หากใครรู้จักวิธีบูชาและขอพรอย่างถูกต้อง
องค์นาคราชที่เป็นหนึ่งในกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด 1 ใน 9 พระองค์ จริงๆในเมืองบาดาลมีกษัตริย์หลายพระองค์มากกว่า 9 แต่ที่ยิ่งใหญ่จริงๆ ที่มีพระบารมีสูง ทรงมีอยู่ 9 พระองค์ นาคาธิบดีเพชรภัทรนาคานาคราชเจ้าคือในทางอิทธิฤทธิ์แล้วพระองค์เป็นรองผู้อาวุโสทั้ง 4 คือ
- องค์ปู่ภุชงค์นาคราช เป็นนาคราชประจำกายพ่อศิวะ - องค์มุจลินนาคราชเป็นพญานาคราชของเจ้าชายสิทธัตถะ ในภัทรกัปนี้เป็นองค์ที่ 4 - องค์ศรีสุทโธนาคราชเป็นพญานาคประจำพระวรกายของท้าวสักกะหรือพระอินทร์ - องค์ศรีสัตตนาคราช ราชาแห่งฝั่งลาวที่สร้างไว้ที่นครพนมที่เราไปกราบไหว้กัน เท่านั้น
นอกจากนี้พระองค์ยังมีความพิเศษกว่านาคราชอื่นๆ อย่างไร คือ เป็นพญานาค 9 เศียร มีพระวรกายสีทองมีเกร็ดเป็นแก้วใสดุจเพชรอัญมณี ไม่มีศาสตราวุธใดๆทำอันตรายพระวรกายท่านได้ เป็นองค์มหาจักรพรรดิ 1ใน 9 ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งนาคพิภพ 14 ชั้นบาดาล พระองค์มีแก้วดวงจิต แก้วจันทกานต์มีรัศมีที่กว้างไกลมากกว่าผู้อื่น, พระองค์เป็นบุตรขององค์อนันตนาคราช เกิดในตระกูลวิรูปักษ์โขนาคราช(ตาคือท้าววิรูปักษ์โขนาคราช
ซึ่งท่านเป็นเทวดานะ เทวดาที่ปกครองนาคราชพิภพ), พระองค์จุติเป็น โอปาติกะเทพ อยู่ในภูมิเทวดา(คือการเกิดแบบบารมีสูงสุด) กำเนิดจากเพชรนพรัตน์สร้อยพระศอ ของพระศิวะ มีความสามารถเก่งฉกาจระดับต้นๆทั้งสวรรค์และเมืองบาดาลรูปงามเพียบพร้อม (เรียกภาษามนุษย์ก็ รูปหล่อพ่อรวย ตัวเองก็รวย แถมยังเก่งมากความสามารถและบารมี โอ้ยอะไรจะครบเครื่องปานนี้)
@@@@@@@
พระองค์มีชายาทั้งหมด 6 พระองค์ด้วยกันองค์แรกคือพระนางการะเกด ซึ่งเป็นลูกสาวขององค์พระราชทานมาให้เป็นพระชายา แต่อยู่กันได้เพียง 1 สัปดาห์เพราะ พระนาง ขอลาไป บำเพ็ญศีลบารมี ซึ่งท่านก็เห็นดีด้วย เพราะพระองค์ก็มีใจศรัทธาในศาสนาอยู่แล้ว
องค์ที่ 2 พระนางสิรินาเทวีได้พระราชทานจากองค์อัมรินทร์ อยู่กันได้เพียงวาระหนึ่งก็ขอลาไปจำศีลที่สระอโนดาต
องค์ที่ 3 ชื่อพระนางนิรารุจีเป็นนาคี(คือสามัญชน) เหตุได้มาพบเพราะนางกำลังจะโดนครุฑจับกินแต่องค์เพชรภัทรได้เข้าไปช่วยไว้พระนางจึงถวายตัวเป็นบาตรบริจาริกา
องค์ที่ 4 ครีภัตราเทวีเป็นนางรำหลวงที่ท้าวสักกะ ประทานส่งพระนางมาช่วยงานองค์เพชรภัทร และได้เป็นพระชายาในที่สุด
องค์ที่ 5 เป็นกินรี ที่อาศัยแถบริมโขง เหตุเกิดเพราะกำลังโดนครุฑจับกินและพระองค์ก็ไปช่วยไว้ได้อีกเช่นกัน (คนนี้แหละคือชนวนขอเรื่องวุ่น นางแอบร้ายนะ มีวางแผนไว้แล้ว หาจังหวะสบโอกาสให้เจอครุฑและให้พระองค์มาเจอและช่วยนาง)
องค์ที่ 6 พระนางอัญญารินทร์ธสินีมหาเทวี องค์นี้เป็นองค์สุดท้ายและเป็นองค์ที่ปู่เพชรภัทรนาคราชทรงรักมากที่สุด รักด้วยใจเสน่หาและมั่นคงอย่างแท้จริง และเป็นธิดาของปู่ภุชงค์และแม่ย่าศรีปรางตาล
@@@@@@@
เหตุการณ์ชุลมุนวุ่นวายเพราะ 4 หญิง 1 ชายย่อมเกิดปัญหาและทำให้พระนางอัญญารินทร์ต้องเสียชีวิต และด้วยองค์เพชรภัทรนาคราชทรงมีใจรัก ในพระนางอัญญารินทร์จึงไม่รักใครอีก ขอออกไปทรงบำเพ็ญเพียรบารมี 500 ปี จนสำเร็จเป็นพระโสดาบันและตามหาดวงจิตของพระนางจนทุกวันนี้(รายละเอียดอื่นๆแอดจะมาเล่าให้ฟังในภายหลัง)
ดูความมีเสน่ห์ต้องตาต้องใจท้วมท้นเหลือเกิน ใครบูชาดีๆก็ได้สิ่งนี้ไปด้วย ผู้ใหญ่ก็เมตตาเอ็นดู ให้นู้นให้นี่ ให้กระทั่งพระธิดาอันเป็นที่รักของตนเองเพื่อมาเป็นชายา(ดูเอาเถอะ) ความสามารถ ความเก่งกาจก็มากขนาดที่ครุฑยังแพ้ แสดงว่าด้านความแคล้วคลาดปลอดภัยได้อีกแล้วหนึ่ง เพราะพระวรกายท่านเป็นแก้วเป็นเพชร สิ่งที่ไม่ดีจะเข้ามาทำร้ายไม่ได้ ผู้ที่บูชาท่านก็เช่นกันจะได้พรด้านนี้ด้วย ขอพรท่านในเรื่องนี้คุณไสย หมู่มารไม่สามารถทำอันตรายท่านได้ เรื่องเงินทอง โชคทรัพย์สิน ขาดเรื่องนี้ได้ยังไง เนื่องด้วยท่านเป็นกษัตริย์แห่งนาคพิภพเจ้าแห่งสมบัติใต้บาดาลผู้ที่ขอพรจะได้พรด้านนี้ด้วย
เรามาดูกันถึงเรื่องจะขอพรอย่างไรองค์ปู่เพชรภัทรนาคราชโปรดคนนิสัยอย่างไรปฏิบัติอย่างไรและจะมอบพรตามคำอธิษฐานให้สำเร็จดั่งใจกับบุคคลที่ปฏิบัติเช่นนั้น
คือท่านชอบคนที่รักษาศีลข้อ 3 อย่างเคร่งครัดเพราะท่านมีกรรมทางด้านความรักมีใจรักมั่นคงกับพระนางอัญญารินทร์ ใครก็ตามที่มีกรรมเรื่องความรักและคนที่รักษาศีลข้อ 3 และหมั่นทำนุบำรุงรักษาพระพุทธศาสนา และบูชาขอพรองค์เพชรภัทรนาคราชด้วยจิตศรัทธา มีโอกาสที่จะสมหวังเรื่องความรักสูงมาก เรื่องรักที่ไม่ดีจะไม่เข้ามายุ่ง ได้พบแต่รักที่ดี และสมหวัง
นอกจากนี้ ก่อนที่จะไปไหว้ขอพรท่าน ให้เราถือศีลกินมังสวิรัติ 3 วันเป็นอย่างน้อยก่อนไป เพื่อเป็นการชำระล้าง รักษาจิตใจให้บริสุทธิ์ ท่านชอบบบบบ แล้วพรที่ขอจะสมดั่งประสงค์ เน้นย้ำเรื่องความรัก(ต้องไม่เกินบารมีบุญที่เคยสร้างมาในอดีตและตนเองต้องรักษาการปฏิบัติตามที่แอดได้บอกไปข้างต้นด้วยนะ ถ้าทำไม่ได้แนะนำ บูชาองค์อื่นเลย ไม่เช่นนั้นนอกจากไม่ได้สิ่งที่ขอแล้วยังอาจจะโดนโทษจากท่านด้วยThank to : https://www.sanook.com/horoscope/279731/Horosociety199 : สนับสนุนเนื้อหา | 18 พ.ค. 67 , (07:00 น.)
|
|
|
16
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / แม่น้ำเสมอด้วยตัณหาไม่มี : นตฺถิ ตณฺหาสมา นที
|
เมื่อ: พฤษภาคม 19, 2024, 08:15:48 am
|
. แม่น้ำเสมอด้วยตัณหาไม่มี : นตฺถิ ตณฺหาสมา นทีโดย สมเด็จพระญาณสังวร วัดบวรนิเวศวิหารพุทธศาสนสุภาษิตบทหนึ่ง กล่าวไว้แปลความว่า “แม่น้ำเสมอด้วยตัณหาไม่มี” คือ ไม่มีแม่น้ำใดที่จะกว้างใหญ่ไพศาลปราศจากขอบเขตเสมอด้วยตัณหา
ตัณหา คือ ความดิ้นรนทะยานอยาก แบ่งออกเป็นสาม คือ กามตัณหา ความดิ้นรนทะยานอยากไปในสิ่งที่น่าใคร่ น่าปรารถนาพอใจทั้งหลาย ภวตัณหา ความดิ้นรนทะยานอยากมี อยากเป็น วิภวตัณหา ความดิ้นรนทะยานอยากไม่มี ไม่เป็น
แม้พิจารณาตัณหาทั้งสามประการแล้วย่อมจะเห็นว่าครอบคลุมไปกว้างใหญ่ไพศาลหาขอบเขตไม่ได้จริงๆ ไม่มีเพียงความอยากในสิ่งที่น่าใคร่น่าปรารถนาพอใจเท่านั้น ยังมีความอยากมีอยากเป็น และความอยากไม่มี ไม่เป็นอีกด้วย อันสิ่งที่น่าใคร่น่าปรารถนาพอใจนั้น มีอยู่เต็มไปทั้งโลกก็ว่าได้ ความดิ้นรนทะยานอยากในสิ่งที่น่าใคร่น่าปรารถนาน่าพอใจจึงเต็มไปทั้งโลกเช่นกัน
ดังนั้นจึงพึงเห็นได้ว่า แม้เพียงตัณหาอย่างเดียวคือกามตัณหา ก็มีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลยิ่งนักแล้ว เกินกว่าแม่น้ำใดๆ ทั้งหมดแล้ว เมื่อรวมภวตัณหาและวิภวตัณหาเข้าด้วย ก็ย่อมจะยิ่งกว้างใหญ่ไพศาลเกิน กว่าจะประมาณขอบเขตได้
@@@@@@@
พระพุทธภาษิตอีกบทหนึ่งกล่าวไว้ว่า “ความอยากละได้ยากในโลก” แม้พิจารณาก็ย่อมจะเห็นตามความจริงนี้ ความอยากในกามคือ สิ่งน่าใคร่น่าปรารถนาพอใจเป็นสิ่งละได้ยากแน่นอน แม้พิจารณาความรู้สึกในใจตนของแต่ละคนก็ย่อมจะเห็นจริง ไม่มีปุถุชนใดจะสามารถละความอยากในกามได้ ไม่ในเรื่องนั้นก็ในเรื่องนี้ ย่อมมีความอยากได้ด้วยกันทั้งสิ้น เมื่อเห็นว่าเป็นสิ่งน่าใคร่น่าปรารถนาน่าพอใจ ความอยากมีอยากเป็นก็เช่นกัน ไม่มีปุถุชนคนใดที่สามารถละความอยากมีอยากเป็นได้อย่างง่ายดาย
ทุกคนลองพิจารณาใจตนเองให้เห็นความอยากมีอยากเป็นในใจตน แล้วลองพยายามละความอยากมีอยากเป็นนั้นดู ก็ย่อมจะเห็นว่า เป็นสิ่งที่สามารถทำได้ยากยิ่ง และสำหรับคนส่วนใหญ่ก็ไม่สามารถทำได้ ทั้งยังไม่สามารถจะพยายามทำเสียอีกด้วย มีแต่เพลิดเพลินติดอยู่กับกามตัณหานั้น ความอยากไม่มีอยากไม่เป็นก็เช่นกัน ไม่มีปุถุชนใดสามารถละได้อย่างง่ายดาย
ความอยากมีอยากเป็น กับความอยากไม่มีไม่เป็นนั้น จะกล่าวว่าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันก็เกือบได้ เมื่ออยากมีสิ่งหนึ่ง ก็ย่อมอยากไม่มีอีกสิ่งหนึ่งที่ไม่ตรงกันไม่เหมือนกัน หรือเมื่อเป็นอย่างหนึ่งก็ย่อมอยากไม่เป็นอีกอย่างหนึ่ง เหมือนเช่นอยากเป็นคนรวยก็ย่อมอยากไม่เป็นคนจน หรืออยากมีเงินก็ย่อมอยากไม่ไม่มีเงิน เป็นเช่นนี้นั่นเอง ความอยากทั้งสองนี้คือ ภวตัณหาและวิภวตัณหา จึงเรียกได้ว่าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แม้พิจารณาตัณหาทั้งสามอย่างละเอียดรอบคอบแล้ว ย่อมจะเห็นว่าเป็นความเกี่ยวเนื่องกันชนิดไม่อาจแยกออกจากกันได้ ทำลายข้อหนึ่งข้อใดได้พร้อมกันทุกข้อ ดังนั้น แม้เห็นโทษของตัณหา ก็ไม่เป็นการบกพร่องที่จะจับข้อหนึ่งข้อใดในใจตนขึ้นพิจารณาหาอุบายทำลายถอนรากถอนโคน ไม่จำเป็นต้องสับสนวุ่นวาย จับข้อนั้นขึ้นพิจารณาพุ่งตรงไปที่ตัณหาข้อหนึ่งข้อใดในสามประการดังกล่าวแล้วก็ได้
กามตัณหาความดิ้นรนทะยานอยากในสิ่งน่าใคร่น่าปรารถนาน่าพอใจ ก็คือ ภวตัณหาอยากมีอยากเป็นนั่นเอง คืออยากได้อยากมีของคนทั้งหลาย ก็ต้องเป็นไปในสิ่งที่น่าใคร่น่าปรารถนาพอใจ ขณะเดียวกันก็ไม่อยากได้ไม่อยากมีในสิ่งที่ไม่น่าใคร่ไม่น่าปรารถนาพอใจ ซึ่งกล่าวอีกอย่างก็กล่าวว่า อยากไม่ได้ไม่มีในสิ่งที่ไม่น่าใคร่ไม่น่าปรารถนาพอใจเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันดังนี้ เพราะฉะนั้น แม้จะทำลายตัณหาก็เพียงพิจารณาใจของตนให้เห็นชัดว่ามีความปรารถนาต้องการอย่างไร เพราะนั่นคือ กามตัณหาต้นสายของภวตัณหาและวิภวตัณหา พิจารณาให้เห็นแล้วก็ทำลายเสีย ดับเสีย
ทำไมจึงสมควรดับตัณหาแม้ตั้งปัญหานี้ขึ้น ก็อาจตอบได้ง่ายๆ ว่าเพราะตัณหาเป็นเหตุแห่งความดิ้นรนกระเสือกกระสนไปไม่รู้หยุด มีความเหน็ดเหนื่อยนักหนา ดับตัณหาเสียได้ก็จะหยุดความดิ้นรนได้ หายเหน็ดเหนื่อยทุกข์ยาก ได้คำตอบนี้แล้ว ผู้มาบริหารจิตควรตั้งคำถามต่อไป ว่าตนมีความต้องการอย่างไร กระเสือกกระสนไป ไม่รู้หยุดเพื่อสนองตัณหาเช่นนั้นหรือ หรือต้องการหยุดสงบอยู่อย่างสบายใจ ก็จะได้คำตอบที่ตรงกันทุกคน จะเกิดกำลังใจ เพียรดับตัณหาด้วยกันทุกคนขอขอบคุณ :- ภาพ : https://www.pinterest.ca/อ้างอิง : สมเด็จพระญาณสังวร. “พุทธศาสนสุภาษิต.” ศุภมิตร. มีนาคม – เมษายน ๒๕๓๒, หน้า ๒๗-๒๙ ที่มา : เฟซบุ้ค เล่าเรื่อง..วัดบวรฯ https://www.facebook.com/100069144534492/posts/971387536602284/
|
|
|
19
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ศน.จัดวิสาขบูชาอาเซียน กระชับสัมพันธ์ไทย-ลาว ด้วยมิติทางศาสนา
|
เมื่อ: พฤษภาคม 19, 2024, 06:24:18 am
|
. ศน.จัดวิสาขบูชาอาเซียน กระชับสัมพันธ์ไทย-ลาว ด้วยมิติทางศาสนาเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม นายชัยพล สุขเอี่ยม อธิบดีกรมการศาสนา เปิดเผยว่า กรมการศาสนา (ศน.) ร่วมกับสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัด และศูนย์กลางองค์การพุทธศาสนิกสัมพันธ์ลาว (อ.พ.ส.)จัดโครงการจัดงานสัปดาห์ “วิสาขบูชาอาเซียน เพื่อส่งเสริมสัมพันธไมตรีกับประเทศอาเซียน ในมิติพระพุทธศาสนา” จ.หนองคาย ประจำปี 2567 ระหว่างวันที่ 16-17 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ณ จ.หนองคาย และนครหลวงเวียงจันทน์ สปป.ลาว อย่างยิ่งใหญ่ในฐานะวันสำคัญสากลของโลก
ซึ่งจังหวัดหนองคายเป็นจังหวัดที่มีชายแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้านคือ สปป. ลาว และมีเครือข่ายพระพุทธศาสนาเข้มแข็ง ผู้นำศาสนาสมเด็จพระสังฆราช สปป.ลาว และเจ้าอาวาสวัดโพธิ์ชัย ร่วมส่งเสริมสัมพันธไมตรีในมิติพุทธศาสนา ซึ่งการร่วมจัดวิสาขบูชากับพระและชาวลาวที่วัดพระธาตุหลวง เสียงจันทน์ เป็นโอกาสดี เพราะต่างก็เป็นประเทศที่ประชาชนส่วนใหญ่นับถือพระพุทธศาสนา จะมีการทำบุญตักบาตร ไหว้พระ ทอดผ้าป่าบำรุงพุทธศาสนา เวียนเทียนในฝั่งลาว
รวมทั้งกิจกรรมทัศนศึกษาแลกเปลี่ยนเรียนรู้สถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์และพระพุทธศาสนาของสปป.ลาว ณ วัดพระธาตุหลวงเวียงจันทน์ วัดศรีเมือง และวัดองค์ตื้อมหาวิหาร ซึ่งเป็นที่เคารพสักการะของพุทธศานิกชนไทยที่ข้ามมากราบไหว้ด้วยความศรัทธา รวมถึงเยี่ยมชมตลาดวัฒนธรรมและผลิตภัณฑ์พื้นถิ่นของลาว ส่งเสริมการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทางวัฒนธรรม “นอกจากทำบุญตักบาตรข้าวเหนียว รับฟังพระธรรมเทศนา ปฏิบัติธรรม เนื่องในเทศกาลวันวิสาขบูชา ประจำปี พ.ศ. 2567 ยังมีการประชุมแลกเปลี่ยนเรียนรู้จัดทำแผนการขับเคลื่อนงานและกิจกรรมด้านศาสนาของประเทศอาเซียน ร่วมกับศูนย์กลางองค์การพุทธศาสนิกสัมพันธ์ลาว ณ วัดพระธาตุหลวง ซึ่งอยู่บนแนวคิดใช้ศาสนาเชื่อมความสัมพันธ์ ภายใต้โครงการศาสนิกสัมพันธ์ทางศาสนาของอาเซียน
ซึ่งจะขับเคลื่อนในมิติหลากหลาย ทั้งกิจกรรมร่วมกันทางศาสนา การท่องเที่ยวเชิงศาสนาและวัฒธรรม การส่งเสริมท่องเที่ยววัดโพธิ์ชัย ฝั่งไทย และข้ามไปวัดพระธาตุหลวง ลาว รวมถึงขยายผลกิจกรรมตักบาตรริมโขงให้เป็นที่นิยมมากขึ้นในกลุ่มนักท่องเที่ยว ปัจจุบันมีหลายวัดในจังหวัดริมโขงจัดกิจกรรม อาทิ หนองคาย อุบลราชธานี อุดรธานี เลย“ นายชัยพล กล่าวอธิบดีศน. กล่าวต่อว่า งานสัปดาห์วิสาขบูชาอาเซียนไทย-ลาว จะกระชับความสัมพันธ์ประชานสองประเทศที่เป็นบ้านพี่เมืองน้อง เกิดการไปมาหาสู่กันโดยใช้มิติพุทธศาสนานำทาง การทำบุญตักบาตรในวันและเทศกาลสำคัญต่างๆ เกิดความร่วมมือระหว่างองค์กรทางศาสนาแน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น พระสงฆ์ไทย-ลาว มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกัน เกิดงานและกิจกรรมแลกเปลี่ยนด้านศาสนาของอาเซียน ซึ่งมองว่า ภาคอีสานของไทยมีศักยภาพด้านวิปัสนากรรมฐาน ซึ่งเป็นแก่นของพระพุทธศาสนา จะเป็นพื้นที่สำคัญจัดกิจกรรมวิปัสนาครั้งใหญ่ภายในปีนี้ขอบคุณ : https://www.matichon.co.th/education/religious-cultural/news_4581583วันที่ 17 พฤษภาคม 2567 - 17:18 น.
|
|
|
20
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / อานิสงส์ถวายข้าวมธุปายาส
|
เมื่อ: พฤษภาคม 18, 2024, 08:21:49 am
|
. อานิสงส์ถวายข้าวมธุปายาส ร่างกายที่เราต้องใช้อยู่ทุกวัน ในการประกอบภารกิจการงาน มีความจำเป็นจะต้องชำระล้างให้สะอาดด้วยน้ำ ฉันใด จิตใจก็เช่นกัน จำเป็นต้องชำระล้างให้สะอาดบริสุทธิ์ ด้วยการเจริญภาวนา ฉันนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงสั่งสอนให้พุทธบริษัทเจริญภาวนา อยู่ในหนทางสายกลาง ให้เราเห็นความสำคัญของการฝึกฝนใจว่า ใจที่ผ่องใส ย่อมเป็นเหตุแห่งความสุข ใจที่ผ่องใสเป็นทางมาแห่งมหากุศล เป็นเครื่องนำสัตวโลกทั้งหลายไปสู่สุคติภูมิ และนำทุกชีวิตไปสู่เป้าหมายอันสูงสุด คือการบรรลุมรรคผลนิพพาน พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสไว้ในสุมนสูตรว่า “ยถาปิ จนฺโท วิมโล คจฺฉํ อากาสธาตุยา สพฺเพ ตารคเณ โลเก อาภาย อติโรจติ ฯ ดวงจันทร์ปราศจากมลทิน โคจรไปในอากาศ ย่อมสว่างกว่าหมู่ดาวทั้งหลาย ด้วยรัศมี ฉันใด บุคคลผู้สมบูรณ์ด้วยศีล มีศรัทธา ย่อมไพโรจน์กว่าผู้ตระหนี่ทั้งหลายในโลก ด้วยการให้ ฉันนั้น” มนุษย์ทุกคนเกิดมาในโลกนี้ ต่างก็ปรารถนาความสุขและความสำเร็จในชีวิต อยากเป็นผู้พรั่งพร้อมด้วยทรัพย์สมบัติ รูปสมบัติ คุณสมบัติ สมบัติทั้ง ๓ นี้จะเกิดขึ้นได้ ต้องอาศัยบุญเป็นเครื่องหล่อเลี้ยง อย่างน้อยผู้นั้นต้องเริ่มต้นด้วยการให้ คือต้องสามารถเอาชนะความตระหนี่ที่มีอยู่ในใจให้ได้เสียก่อน เปรียบเสมือนดวงจันทร์ เมื่อพ้นจากเมฆหมอกมาได้ ย่อมปรากฏความสว่างไสว ใจที่หลุดพ้นจากกระแสแห่งความตระหนี่ ก็เช่นเดียวกัน จะใสสว่างเหมาะสมที่จะเป็นภาชนะรองรับบุญกุศล และสามารถดึงดูดมหาสมบัติที่จะบังเกิดขึ้นได้โดยง่าย ปกติของคนตระหนี่จะไม่ชอบให้ทาน เพราะเขากลัวความจน กลัวว่าทรัพย์ที่ให้ไปจะสูญเปล่า แต่ผู้รู้กลับบอกว่า ยิ่งให้ก็จะยิ่งได้ เพราะการทำความดีใดๆ ที่จะไม่ส่งผลนั้น เป็นไม่มี หากเริ่มดำรงตนอยู่ในสถานะของผู้ให้ ใจของเราจะสูงขึ้น เป็นอิสระจากความตระหนี่ และจะขยายออกไปอย่างไม่มีประมาณ เมื่อถึงคราวที่บุญส่งผล ก็จะส่งผลเกินควรเกินคาด แม้ตัวเราก็จะอัศจรรย์ในตัวเอง @@@@@@@
*ดังเช่นเรื่องของสามเณรอรหันต์ ที่ในอดีตชาติเคยยากจนมาก่อน แต่ด้วยอานิสงส์ที่ทำบุญชนิดทุ่มสุดใจ เพราะเห็นคุณค่าของบุญยิ่งชีวิต ทำให้บุญลิขิตได้มาเกิดเป็นลูกของมหาเศรษฐี___________________ *มก. เล่ม ๔๑ หน้า ๒๕๙ ในสมัยพุทธกาล พระสารีบุตรผู้เป็นอัครสาวกเบื้องขวาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านมีความกรุณามาโปรดมหาเสนพราหมณ์ เพราะปรารถนาจะให้อริยทรัพย์อันประเสริฐ ติดตัวเขาไปในสังสารวัฏ จึงไปบิณฑบาตหน้าบ้านของพราหมณ์บ่อยๆ พราหมณ์เห็นพระสารีบุตรแล้วคิดว่า “ทรัพย์สมบัติในบ้านของเราไม่มีเลย เครื่องไทยธรรม ที่พอจะใส่บาตรพระก็ไม่มี” จึงไม่กล้าออกมาพบพระเถระ ได้แต่หลบหน้าอยู่ในบ้าน วันหนึ่ง พระเถระก็ได้ไปที่บ้านของพราหมณ์อีก เผอิญเช้าวันนั้น พราหมณ์ได้ข้าวปายาสมาถาดหนึ่งกับผ้าสาฎกเนื้อหยาบอีกผืนหนึ่ง พอท่านเห็นพระเถระบิณฑบาตผ่านมา ก็คิดว่า “ขณะนี้ไทยธรรมของเรามีพร้อม ศรัทธาของเราก็เต็มเปี่ยม เนื้อนาบุญอันบริสุทธิ์ก็อยู่ตรงหน้าแล้ว ฉะนั้นเราควรถวายทานแก่พระเถระในวันนี้แหละ” จึงนิมนต์พระเถระให้รับบาตร แล้วน้อมถวายข้าวปายาสลงในบาตรของพระเถระ ด้วยความปีติเป็นอย่างยิ่ง ขณะที่พราหมณ์ถวายข้าวไปได้ครึ่งหนึ่ง พระเถระก็ปิดบาตร พราหมณ์จึงกล่าวว่า “ขอท่านอย่าได้อนุเคราะห์กระผมเพียงแค่ชาตินี้เลย ท่านโปรดอนุเคราะห์กระผมในภพชาติเบื้องหน้าด้วยเถิด” ว่าแล้วก็ถวายอาหารจนหมดถาด พร้อมกับผ้าสาฎกอีกหนึ่งผืน นับตั้งแต่วันนั้น พราหมณ์ก็ตามนึกถึงบุญใหญ่ที่ตนเองได้ทำแบบทุ่มสุดใจเรื่อยมา ด้วยผลแห่งทานบารมีที่ได้ทำบุญถูกทักขิไณยบุคคล เมื่อละโลกไปแล้ว บุญก็ส่งผลให้พราหมณ์ไปเกิดในตระกูลอุปัฏฐากพระเถระ ในเมืองสาวัตถี ในวันที่ท่านเกิด พวกญาติได้นิมนต์พระเถระมาฉันภัตตาหารที่บ้าน ทันทีที่เด็กน้อยได้เห็นพระเถระ ก็ระลึกชาติได้ว่า ที่ตนได้เกิดมาในตระกูลของมหาเศรษฐีผู้ใจบุญ ก็เพราะอาศัยพระเถระรูปนี้ วันนี้นับว่าเป็นบุญลาภอันประเสริฐที่จะได้ถวายทานแก่พระเถระอีก พอพวกญาติจะอุ้มเข้าไปหาพระเถระ เด็กน้อยจึงใช้นิ้วมือเกี่ยวผ้ากัมพลไว้ไม่ยอมปล่อย ญาติเห็นอาการนั้น จึงอุ้มเด็กเข้าไปหาพระเถระพร้อมผ้ากัมพล พอเข้าไปถึงเบื้องหน้าพระเถระ เด็กน้อยก็ปล่อยผ้าให้ตกลงแทบเท้าท่าน พวกญาติจึงหยิบผ้าผืนนั้นขึ้นมาถวายพระเถระ แล้วพากันตั้งชื่อเด็กน้อยนั้นว่า “ติสสะ” เหมือนชื่อเดิมของพระเถระก่อนที่จะบวช ต่อมาเมื่อติสสะอายุได้เพียง ๗ ปี บุญในตัวของเขาก็เต็มเปี่ยม เห็นทุกข์ภัย ในการเกิดบ่อยๆ จึงขอบวชเป็นสามเณรอยู่กับพระสารีบุตรเถระ ฝ่ายบิดามารดาก็ไม่ได้ขัดข้องทั้งยังมีจิตยินดีและอนุโมทนา จึงพาไปหาพระสารีบุตรที่วัด
พระเถระได้ถามเพื่อทดสอบกำลังใจว่า “การบรรพชาเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก เมื่อต้องการของร้อนก็ได้ของเย็น เมื่อต้องการของเย็นก็ได้ของร้อน เธอจะอดทนต่อความลำบากได้หรือ”
ติสสะตอบด้วยความมั่นใจว่า “กระผมอดทนได้ และจะทำทุกอย่างตามที่พระอาจารย์สั่งสอน” พระเถระจึงรับเป็นอุปัชฌาย์บวชให้ เมื่อออกบวชแล้ว สามเณรได้เข้าไปบิณฑบาตในเมืองสาวัตถี ด้วยอานิสงส์ ที่เคยถวายทานแด่พระสารีบุตรเถระด้วยความเคารพ โดยไม่มีความตระหนี่ติดค้างอยู่ในใจ ทำให้ชาวเมืองเกิดความรักและศรัทธาในตัวสามเณรมาก จึงชักชวนกันมาถวายทานกันมากมาย @@@@@@@
ในช่วงฤดูหนาว สามเณรได้เห็นเหล่าภิกษุนั่งผิงไฟด้วยความหนาวสั่น จึงได้นิมนต์ภิกษุทั้งพันรูปเข้าไปบิณฑบาตในเมือง แล้วแจ้งความประสงค์ว่า ต้องการผ้ากัมพลสำหรับพระภิกษุเพื่อห่มกันหนาว ขณะนั้น มีชายคนหนึ่งเห็นว่า การทำทานไม่มีประโยชน์ มีแต่จะทำให้ทรัพย์หมดไป เขาจึงเที่ยวป่าวประกาศ ห้ามชาวพระนครไม่ให้มาทำบุญ แต่ด้วยบุญกุศลที่สามเณรได้ทำไว้ดีแล้ว ทำให้ชาวเมืองที่ได้เห็นสามเณรและพระภิกษุจำนวนนับพันรูป เกิดความเลื่อมใสศรัทธาอย่างเปี่ยมล้น ต่างก็ช่วยกันบอกบุญรวบรวมผ้ากัมพลจนครบทั้งหนึ่งพันผืนมาถวายสามเณรได้อย่างอัศจรรย์ สามเณรติสสะจึงเป็นที่รักของหมู่พระภิกษุทั้งหลาย และถึงแม้จะมีลาภเกิดขึ้น มีบริวารห้อมล้อมมากมาย แต่สามเณรก็มิได้ยึดติดในสิ่งเหล่านั้น ท่านได้หาโอกาสไปบำเพ็ญเพียรภาวนาในป่าตามลำพัง ตั้งใจปฏิบัติจนบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ เข้าถึงความเต็มเปี่ยมของชีวิตตั้งแต่อายุยังน้อย เราจะเห็นได้ว่า ชีวิตนี้เราลิขิตเอง เทวดาหรือพรหมไม่สามารถมาลิขิตแทนเราได้ เราปรารถนาจะให้ชีวิตเป็นเช่นไร ก็อยู่ที่เราจะเลือกเดินเอง วิสัยของนักปราชญ์บัณฑิตนั้น แม้จะพรั่งพร้อมไปด้วยทรัพย์สมบัติ รูปสมบัติ คุณสมบัติ ท่านก็ไม่ประมาท เพลิดเพลินอยู่เพียงแค่นั้น ยังคงมุ่งหวังจะทำกิเลสอาสวะให้หมดสิ้นไป เพื่อให้เข้าถึงความบริสุทธิ์ที่แท้จริง พวกเรานักสร้างบารมีก็เช่นเดียวกัน ต้องตั้งมั่นในคุณความดี เพื่อสั่งสมบุญบารมีให้ยิ่งๆ ขึ้นไป อย่าได้ย่อท้อต่ออุปสรรค เพราะบุญที่เราทำ จะเป็นพลวปัจจัยเกื้อหนุนให้เราสร้างบารมีได้อย่างสะดวกสบาย เนื่องจากเรายังต้องสร้างบารมีกันเรื่อยไป สร้างกันเป็นทีมใหญ่จนกว่าจะถึงจุดหมายปลายทาง เพื่อช่วยเหลือทั้งตัวเองและมวลมนุษยชาติ ให้เข้าถึงความเต็มเปี่ยมของชีวิต คือให้เข้าถึงพระธรรมกายเหมือนๆ กัน เพราะฉะนั้นไม่ว่าเราจะอยู่ในอิริยาบถใด จะยืน เดิน นั่ง นอน ก็อย่าลืมนำใจมาไว้ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ซึ่งเป็นแหล่งแห่งบุญกุศล เอาบุญใสใสจากการทำใจให้หยุดนิ่ง เป็นบุญพิเศษที่จะเป็นเหตุให้เราหลุดพ้นจากกิเลสอาสวะได้ ดังนั้นให้ทุกๆ ท่านตั้งใจหยุดนิ่งกันให้ดี ให้เห็นดวงธรรมชัดใสสว่าง เข้าถึงพระธรรมกายกันทุกคน ขอขอบคุณ :- ภาพจาก : https://www.pinterest.ca/พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย) URL : https://buddha.dmc.tv/dhamma/11499
|
|
|
21
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / วิธีทำ “ข้าวมธุปายาส” แจกสูตร-ส่วนผสม รับวันวิสาขบูชา
|
เมื่อ: พฤษภาคม 18, 2024, 07:31:45 am
|
. วิธีทำ “ข้าวมธุปายาส” แจกสูตร-ส่วนผสม รับวันวิสาขบูชาแจกสูตร พร้อมส่วนผสม “ข้าวมธุปายาส” หรือ “ข้าวทิพย์” รับวันวิสาขบูชา ตามความเชื่อที่ว่าหากใครได้ถวายเป็นพุทธบูชาจะนำพามาซึ่งความสุขสวัสดี
“ข้าวมธุปายาส” หรือที่คนไทยมักคุ้นหูกันว่า “ข้าวทิพย์” ถือเป็นอาหารในตำนานพระพุทธศาสนาที่เกี่ยวข้องกับวิสาขบูชา เนื่องจากก่อนที่พระพุทธเจ้าจะบรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ พระองค์ได้รับข้าวที่หุงด้วยน้ำผึ้ง น้ำอ้อย จากนางสุชาดาหลังพระองค์ตัดสินใจเดินทางสายกลางแทนการบำเพ็ญทุกรกิริยา
ด้วยเหตุนี้พุทธศาสนิกชนจึงนิยมทำบุญด้วย “ข้าวมธุปายาส” ในวันวิสาขบูชา และวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา ข้าวมธุปายาสโดยเชื่อว่าการได้ถวายเป็นพุทธบูชาจะนำพามาซึ่งความสุขและบุญกุศลมาให้แก่ตน มีอายุ วรรณะ สุขะ พละ มีอนามัยดี หรือมีสุขภาพดีและสมองปลอดโปร่ง
วันนี้ทีมข่าวพีพีทีวีจึงได้นำสูตรและเคล็ดลับการทำข้าวมธุปายาสมาฝากทุกคนกัน
ส่วนผสมข้าวมธุปายาส
1. ข้าวสาร/ข้าวเหนียว 2. ถั่วดำ/ถั่วแดง/ถั่วแปบ/ถั่วลิสง 3. งาดำ/งาขาว/งาหอม 4. น้ำตาลทราย/น้ำตาลปีบ 5. น้ำอ้อย 6. มะพร้าวแห้งสำหรับทำน้ำกะทิ 7. น้ำเปล่า สำหรับคั้นกะทิ 8. นมสด/นมกระป๋อง 9. น้ำอ้อยสด 10. น้ำตาลสด 11. น้ำผึ้งแท้
วิธีทำข้าวมธุปายาส
1. นำ ข้าวสาร/ข้าวเหนียว ลงไปแช่ให้พองตัว 2. ขูด มะพร้าว ให้เพียงพอ แล้ว คั้นกะทิ เตรียมไว้ 3. นำ ถั่ว และ งา มาล้างให้สะอาด 4. อุ่นกระทะร้อน หม้อ หรือเตาอั้งโล่ 5. นำ ข้าวสาร/ข้าวเหนียว ที่แช่จนพองตัวแล้วมาซาวน้ำให้สะเด็ด เสร็จนำไปนึ่งต่อจนสุก 6. เมื่อกระทะร้อน ให้เท น้ำกะทิ ลงไป คนจนเดือดแล้วนำ น้ำอ้อย น้ำตาล น้ำผึ้ง และ นม เทลงไป 7. เมื่อกวนจนน้ำตาล น้ำอ้อยละลายได้ที่แล้ว ให้นำ ข้าวสุก ลงไปคน เพื่อให้ข้าวและกะทิเข้ากันอย่างดี ต่อมาให้ใส่ ถั่ว งา ต่างๆ ลงไป กวนสลับกันไปมาเพื่อไม่ให้ไหม้ก้นกระทะ เพราะไม่เช่นนั้นข้าวมธุปายาสจะไม่อร่อยเท่าที่ควร 8. กวนจนได้ที่แล้ว ให้เทลงไปใส่ในภาชนะที่เตรียมไว้ ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย ข้าวมธุปายาสคำกล่าวถวายข้าวมธุปายาส
โดยส่วนมากแล้วชาวบ้านในแต่ละชุมชนมักจะมารวมตัวกันประกอบพิธีทำข้าวมธุปายาส ซึ่งจะมีสาวพรหมจารีเป็นผู้กวนข้าว หรือมีคนผู้สูงวัยที่หมดประจำเดือนแล้วถือศีล เป็นผู้ช่วยอีกแรงหนึ่ง
อย่างไรก็ตามในการประกอบพิธีกรรม จะมีการกล่าวคำถวายข้าวมธุปายาสไปด้วย สามารถดูได้ที่ลิงก์นี้ (คลิก)
ทั้งนี้หากใครที่อยากทำข้าวมธุปายาสเองเพื่อนำไปทำบุญด้วยตัวเองก็สามารถทำได้ หรืออยากไปร่วมประกอบพิธีก็ทำได้เช่นเดียวกัน นอกจากนี้หากจะทำเพื่อนำไปกินเอง เป็นอาหารสุขภาพ ข้าวมธุปายาสนี้ก็ถือเป็นอาหารที่อุดมประโยชน์จากข้าว ธัญพืช ถั่ว และนมขอขอบคุณ :- ข้อมูลจาก : กระทรวงวัฒนธรรม URL : https://www.pptvhd36.com/news/ไลฟ์สไตล์/223817 โดย PPTV Online | เผยแพร่ 15 พ.ค. 2567 ,13:24 น. การกล่าว คำถวาย ข้าวมธุปายาส
สมภารเจ้าอาวาสหรือปู่อาจารย์ เป็นผู้แทนศรัทธาประชาชนกล่าวคำถวาย ศรัทธาประชาชนที่มาร่วมถวายประณมมือตั้งปณิธานตามปรารถนา ปู่อาจารย์กล่าวเป็นคำร่าย ที่คนโบราณได้รจนาไว้ ดังต่อไปนี้
@@@@@@@
โย สันนิสินโน วรโพธิมูเล มารัง สะเสนัง มหันติ๋ง วิชะโย สัมโพธิมาคัจฉิวะ อนันตะญาโน โย โลกกุดตะโม ตัง ปะนะมามิ
พุทธัง ตัง ปะนะมามิ ธัมมัง ตัง ปะนะมามิ สังฆัง ตัง ปะนะมามิ คุณสาครันตัง นะมามิ ธัมมัง มุนิราชะเทสิตัง นะมามิ สังฆัง มุนิราชะสาวะกัง อะหัง วันทามิ สัพพะทา
สุณัณตุ โภนโต เทวทัสสะโน อนุโมทะนามิมัง เอกุนปัญญาสะวจัตตา ปิณฑานิ ยาวะ เทวะปริสายะ วิโนทยา มะยะ กาตานีติ
สาธุ โอกาสะ ข้าแต่สะหรี่สัพพัญญู พระพุทธเจ้า ตนสร้างโพธิสมภาร มานานว่าได้สี่สูงขัย ปลายแสนมหากัปป์ จึงจักได้ตรัส ผญาสัพพัญญู นั่งเหนือแท่นแก้ว แทบเค้าไม้มหาโพธิรุกขา มีหมู่อะระหันตาสาวะกะเจ้าตั้งแปด นั่งแวดล้อมเป็นบริวาร ดูรุ่งเรื่องงามเป็นมหามังคละอันประเสริฐ ล้ำเลิศกว่านระและเทวา บุคคลผู้ใดมีศรัทธาสักการะบูชา ด้วยข้าวน้ำโภชนาหาร แลข้าวตอกดอกไม้ทังมวล ก็จึงจักได้พ้นจากทุกข์แล้วได้เถิงสุข อันมีในชั้นฟ้าและเมืองคน มีเนรพานเจ้าเป็นยอด เที่ยงแท้ดีหลี บัดนี้หมายมี สมณศรัทธาและมูลศรัทธา ผู้ข้าทั้งหลาย ชุตนชุองค์ชุผู้ชุคน ก็ได้ตกแต่งพร้อมน้อมนำมา ยังข้าว ๔๙ ก้อน และปานิยังน้ำกิน เอามารูปนาตั้งไว้ ในสมุขีกลางคลอง ส่องหน้าแห่งองค์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อสวะซวาง วางเวนเคนหื้อเป็นทาน แก่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จุ่งจักอว่ายหน้า ปฏิคคาหกะรับเอา ยังข้าว ๔๙ ก้อน และปานิยังน้ำกิน พยัญชนะของไขว่ ทั้งหลายมวลถ้วนฝูงนี้ แท้ดีหลี ด้วยผู้ข้าจักวางเวน ตามพระบาลีว่า
สารโอกาสะ มะยัมภันเต อิมานิ ปถมัง โพธิบังงังกัง ทุติยัง อะนิมิสสะกัง ตะติยัง จังกมะเสฏฐัง จตุตถัง รัตนฆะรัง ปัญจะมัง อัชชะปาลัญจะ ฉัฏฐมุจจลินกัญจะ สัตตะมัง ราชายะตะนัง
เอกัสมิง ฐาเน เอเตสัตตเหยัตตกัง วโรพุทโธ วสิ เอกนปัญญาสะ นวจัตตาพิสะ สัพพะหิตัง
ติรัตนพุทธะ จุฬะมณี สิงกุตตะระ บุปผาลาชา ติรัตนพุทธะ ธัมมะ สังฆะ
มหาโพธิ จุฬะมณี สิงกุตตะระ สรีระธาตุ ศิริวิหาระ สัจจะคันธะ สมันตา คุตตะ สะยัง ภาชนัง ฐเปตวา มัณฑะเร ติรัตตะนัส
ทุติยัมปิ... ฯลฯ ... สักกัจจัง เทมะ ปูเชมะ ตติยัมปิ สาธุโอกาส มะยังภันเต ... ฯลฯ ... สักกัจจัง เทมะ ปูเชมะ
อิทัง โน เอกูนะปัญญาสะ นวจัตตาฬีสะ สัมมาสัมพุทธัสสะ อยัง มหาปูชโก อนุกัมปัง อุปทายะ ทีฆะรัตตัง อัตถายะ หิตายะ สุขายะ ยาวะ นิพพานายะปัจจะโย โหตุ โน นิจจัง
@@@@@@@
เสร็จแล้วนำเอาข้าวมธุปายาส เข้าประเคนพระประธานเป็นเสร็จพิธี
ข้าวมธุปายาสนี้ เรียกว่าข้าวทิพย์ ประชาชนเชื่อกันว่าหากใครได้รับประธานจะมีอายุ วรรณะ สุขะ พละ มีอนามัยดี จึงนิยมแบ่งกันรับประทาน หากเด็กๆ ได้รับประธาน ก็จะทำให้ผิวพรรณน่ารัก มีสุขภาพดี สมองปลอดโปร่ง นิยมทำเป็นประเพณีตราบเท่าทุกวันนี้
หมายเหตุ : ไม่ยืนยันความถูกต้อง ห้ามนำไปอ้างอิง ผู้รู้ช่วยตรวจสอบด้วย จักเป็นพระคุณยิ่งขอบคุณที่มา : https://www2.m-culture.go.th/lampang/ewt_news.php?nid=2172&filename=index
|
|
|
22
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ประวัติ “ข้าวมธุปายาส” อาหารที่เกี่ยวข้องกับวันวิสาขบูชา
|
เมื่อ: พฤษภาคม 18, 2024, 06:27:35 am
|
. ประวัติ “ข้าวมธุปายาส” อาหารที่เกี่ยวข้องกับวันวิสาขบูชารู้ประวัติ “ข้าวมธุปายาส” อาหารที่นางสุชาดาถวายพระพุทธเจ้าก่อนตรัสรู้ แม้จะมีเรื่องแก้บนมาเกี่ยว แต่ได้กลายเป็นประเพณีสืบทอดมาถึงปัจจุบัน
อาหารหนึ่งชนิดที่เกี่ยวพันกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จนกลายเป็นประเพณีที่ผู้คนมักทำถวายในเทศกาลสำคัญ ที่เราอยากพามารู้จักในวันวิสาขบูชา ซึ่งตรงกับวันที่ 22 พฤษภาคม 2567 คือ “ข้าวมธุปายาส” แต่ทำไมถึงต้อง “ข้าวมธุปายาส” วันนี้ทีมข่าวพีพีทีวีจึงได้รวบรวมข้อมูลมาให้ทุกคนได้รู้กัน
@@@@@@@
ประวัติข้าวมธุปายาส
“ข้าวมธุปายาส” นั้นมีจุดเริ่มต้นมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล คือตอนที่พระพุทธเจ้าจะตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ในวันเดือนเพ็ญวิสาขะหรือวันเพ็ญเดือนหก
พระองค์ได้รับข้าวหุงด้วยน้ำผึ้ง น้ำอ้อย จากนางสุชาดา ภรรยาของคฤหบดีเมืองมคธนำมาถวายเพื่อการบูชาเทพยดา ณ ต้นโพธิพฤกษ์
โดยมีความเป็นมาเกิดขึ้นเมื่อครั้นวันหนึ่ง ภรรยาของคฤหบดีในเมืองราชคฤห์ ปรารถนาอยากได้บุตรชายไว้สืบสกุลสักคน เพราะแต่งงานหลายปีแล้วยังไม่มีบุตร เมื่อนางและภรรยาพากันไปอาบน้ำในแม่น้ำเนรัญชราได้เดินผ่านต้นศรีมหาโพธิพฤกษ์ ซึ่งเป็นต้นขนาดใหญ่แตกกิ่งก้านสาขากว้างร่มใบหนา ใต้ร่มมีทรายขาวสะอาด ประดุจเงินดูแล้วน่านั่งนอนใต้ต้นไม้มาก
นางจึงมีความคิดว่าต้นไม้นี้น่าจะมีเทพารักษ์สิงสถิตอยู่แน่นอน เมื่อคิดดังนั้นนางจึงเข้าไปกราบที่โคนต้นไม้ แล้วพูดว่า “ข้าแด่เทพเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์มีมหิทธิฤทธิ์ ผู้สิงสถิตอยู่ ณ ต้นไม้นี้ ดิฉันขอความกรุณาจากท่านช่วยดลบันดาลให้มีบุตรสักคนเถิด เพื่อจะให้เขาสืบสกุลต่อไป ข้าแต่เทวะหากท่านให้ดิฉันสมปรารถนาแล้ว ดิฉันจะนำเอาข้าวมธุปายาสมาแก้บนสังเวยท่านเป็นสัจกิริยา”
เมื่อนางอธิษฐานเสร็จ กลับไปอยู่กับสามีไม่นานก็ตั้งครรภ์ เมื่อครบกำหนดนางก็คลอดลูกเป็นผู้ชายมีลักษณะงดงามสมส่วนตามลักษณะผู้มีบุญ เมื่อคลอดลูกโดยสวัสดิภาพและมีความสมบูรณ์อย่างนี้ นางสุชาดารำลึกถึงคำอธิษฐานที่นางได้ขอกับเทพยดา จึงทำการหุงข้าวมธุปายาส ซึ่งประกอบด้วย ข้าว ถั่ว งา น้ำตาล น้ำผึ้ง มะพร้าว เป็นต้น ทำอย่างประณีตแล้วใส่ถาดทองประดับด้วยดอกไม้อย่างสวยงามเดินทางออกจากบ้านพร้อมด้วยทาสีมุ่งสู่ต้นโพธิพฤกษ์
ขณะนั้นพระพุทธเจ้ามีดำริว่าจะบำเพ็ญเพื่อการตรัสรู้ ณ ต้นโพธิพฤกษ์และประทับนั่งโคนต้นไม้หันพระพักตร์สู่ทิศตะวันออก นางสุชาดาและนางทาสีมาถึงได้พบพระพุทธเจ้าครั้งแรกเข้าใจว่าเป็นรุกขเทพเจ้าจำแลงเพศ เกิดความเลื่อมใสจึงน้อมถาดข้าวมธุปายาสเข้าไปถวายแก้สัจกิริยาท่านได้บนบานไว้ พระพุทธเจ้าจึงตรัสขอบคุณต่อนาง และบอกแก่นางว่าพระองค์ท่านมิได้เป็นเทพยดา แต่เป็นมนุษย์คือเป็นกษัตริย์แห่งเมืองกบิลพัสดุ์ออกผนวช เพื่อแสวงหาสัจธรรม นางสุชาดาทราบเรื่องแล้ว ก็กราบถวายบังคมลากลับบ้านเรือนของตน
หลังจากนั้นพระพุทธเจ้าทรงนำเอาข้าวจากถาดมาทรงทำเป็นก้อนๆ นับจำนวนได้ 49 ก้อน ให้เป็นเครื่องรำลึกถึงวันที่ทรงบำเพ็ญทุกกิริยา เสวยข้าวมธุปายาส 49 ก้อนนั้นหมดแล้ว ทรงนำถาดไปทรงอธิฐานในแม่น้ำเนรัญชรา และทรงอธิฐานว่าถ้าหากพระองค์จะได้ตรัสรู้ก็ขอให้ถาดทองนั้นลอยทวนน้ำขึ้นไป
เมื่อพระองค์ทรงวางถาดลงในน้ำ ก็ปรากฏว่า ถาดทองลอยทวนน้ำขึ้นเหนือน้ำดังคำอธิฐาน ซึ่งพระองค์ทรงถือว่าภัตตาหารมื้อนั้นได้มีส่วนทำให้พระองค์ตรัสรู้อริยสัจ 4 บรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ
ด้วยรำลึกถึงพระพุทธองค์และเหตุการณ์สำคัญนี้ พุทธศาสนิกชนจึงนิยมทำข้าวมธุปายาสในวันวิสาขบูชา เกิดเป็น “ประเพณีกวนข้าวมธุปายาส” หรือที่คนไทยนิยมเรียกกันคุ้นหูว่า “ประเพณีกวนข้าวทิพย์” โดยเชื่อกันว่าการได้ถวายเป็นพุทธบูชาจะนำความสุขสวัสดีและบุญกุศลแก่ตนข้าวมธุปายาส“ข้าวมธุปายาส” ความหมายเดียวเรียกได้หลายชื่อ
ข้าวมธุปายาสมีชื่อหลายชื่อที่นิยมเรียกกัน แตกต่างกันในท้องถิ่นและประเทศต่างๆ ส่วนมากปรากฏชื่อคือ
• ข้าวมธุปายาส - ข้าวหุง หรือกวนด้วยน้ำผึ้ง • ข้าวยาคู - ข้าวต้มที่ใส่เกลือและน้ำตาล ทำเป็นชนิดเค็มและชนิดหวาน • ข้าววิตู - ข้าวกวนด้วยน้ำอ้อย น้ำตาล ถั่วงา ทำเป็นผงและก้อน • ข้าวกระยาสารท - ข้าวกวนด้วย น้ำตาล น้ำอ้อย น้ำผึ้ง ถั่วงา แปะแซ ทำเป็นก้อน เป็นแผ่น นิยมมีในงานเทศกาลอุทิศส่วนกุศลแก่บรรพชนในประเพณีเดือน 10 ของภาคกลาง • ข้าวกระยาทิพย์/ข้าวทิพย์ - ข้าวที่กวนด้วยพิธีกรรม ใส่น้ำตาล น้ำอ้อย น้ำผึ้ง ถั่วงา น้ำนม ทำให้เป็นก้อนโดยให้หญิงพรหมจารีกวน ถือว่าเป็นข้าวศักดิสิทธิ์ ใครได้รับประทานย่อมจะหายจากโรคภัยไข้เจ็บและมีความสุขสวัสดีตลอดไป • ข้าวซอมต่อหลวง - ข้าวมธุปายาสของชาวไทยใหญ่ นิยมกวนข้าวนี้เมื่อเดือนยี่เหนือถวายพระพุทธในตอนเช้ามืด เรียกว่า “ต่างซอมต่อหลวง” • ข้าวพระเจ้าหลวง - การเรียกชื่อข้าวมธุปายาสของชาวภาคเหนือ นิยมถวายในคราวเทศกาลใหญ่ๆ เช่น เดือนยี่เป็ง เดือนสี่เป็ง เดือนแปดเป็ง เป็นต้น โดยมากจะกวนข้าวในรั้วราชวัตรและให้หญิงพรหมจารี หรือผู้หญิงที่หมดประจำเดือนแล้วถือศีลห้า ถึงศีลแปดเป็นผู้กวนในพิธีนั้น ถวายพระพุทธตอนเช้า เรียกว่าใส่บาตรข้าวพระเจ้าหลวง
@@@@@@@
ความสำคัญของการถวายข้าวมธุปายาส
การถวายข้าวมธุปายาส มีความสำคัญดังนี้
• เป็นการปฏิบัติตามพุทธประเพณี • เป็นการบูชาพระเจ้าในวันเพ็ญเดือนยี่ เดือนสี่และวิสาขบูชา • เป็นการรำลึกถึงวันตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า • เป็นการสร้างสามัคคีในกลุ่มชน เนื่องจากมีการประกอบพิธีกรรมด้วย • เป็นการเรียนรู้ในการทำขนมหรือข้าวมธุปายาส • เป็นการถวายผลิตผลที่คนในท้องถิ่นช่วยกันสร้างขึ้นมา • เป็นการอนุรักษ์ประเพณีและศิลปะที่บรรพบุรุษสร้างไว้ยืนยงอยู่ตลอดไปรูปภาพพระ เนื่องในวันวิสาขบูชาข้าวมธุปายาสถวายเป็นพุทธบูชาได้เมื่อไร
ในประเทศไทยนอกเหนือจากวันวิสาขบูชาข้าวมธุปายาสยังนิยมถวายในงานเทศกาลสำคัญๆ หลายคราวด้วยกัน คือ 1. ประพฤติยี่เป็ง 2. ประเพณีเดือนสี่ 3. ประเพณีปอยหลวง
ทำไมต้องมีประเพณีข้าวมธุปายาส
ในงานประเพณีสำคัญๆ ชาวบ้านหลายชุมชนจะนิยมกวนข้าวมธุปายาสเพื่อสร้างเสริมศรัทธาแก่ประชาชนผู้มาร่วมงาน และทางวัดจะนิยมแจกจ่ายข้าวมธุปายาสแก่ประชาชนอย่างทั่วถึงกัน เพื่อสร้างความสุขสวัสดีและความสามัคคีให้เกิดในกลุ่มชนด้วย
ข้าวมธุปายาสจึงถือเป็นเครื่องระลึกถึงการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หนึ่งในเหตุการณ์สำคัญของวันวิสาขบูชา ด้วยเหตุนี้ในช่วงใกล้เทศกาลดังกล่าวจึงอยากชวนให้ทุกคนระลึกถึงไปพร้อมกันขอขอบคุณ :- ข้อมูลจาก : สำนักงานวัฒนธรรม จังหวัดลำปาง และ มหาลัยราชภัฏเทพสตรี URL : https://www.pptvhd36.com/news/ไลฟ์สไตล์/223760 โดย PPTV Online | เผยแพร่ 15 พ.ค. 2567 ,10:24น.
|
|
|
23
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ส่งคืน “โกลเด้นบอย” สมบัติชาติ ถึงไทย 20 พ.ค. 67 หลังถูกลักลอบขายต่างประเทศ
|
เมื่อ: พฤษภาคม 18, 2024, 06:08:11 am
|
. ส่งคืน “โกลเด้นบอย” สมบัติชาติ ถึงไทย 20 พ.ค. 67 หลังถูกลักลอบขายต่างประเทศ“โกลเด้นบอย” (Golden Boy) ประติมากรรมสัมฤทธิ์ อายุราว 900-1,000 ปี ในพิพิธภัณฑ์ฯ สหรัฐอเมริกา ส่งคืนถึงไทย วันจันทร์ที่ 20 พ.ค. นี้ ที่สนามบินสุวรรณภูมิ หลังทีมงานคนไทยใช้เวลาทวงคืนมายาวนาน พร้อมจัดแสดงไว้ในพิพิธภัณฑสถานพระนคร “กรมศิลปากร” เตรียมระดมผู้เชี่ยวชาญศึกษาเพิ่ม เพราะเป็นความรู้ใหม่ประวัติศาสตร์ไทยนายพนมบุตร จันทรโชติ อธิบดีกรมศิลปากร กล่าวว่า “โกลเด้นบอย” (Golden Boy) และโบราณวัตถุอีก 1 ชิ้น ที่จัดแสดงอยู่ใน The Metropolitan Museum of Art หรือ The MET ประเทศสหรัฐอเมริกา จะส่งคืนให้ไทย วันจันทร์ที่ 20 พ.ค. 67 ณ สนามบินสุวรรณภูมิ และจะมีกระบวนการผ่านการตรวจสอบของกรมศุลกากร จากนั้นจะนำมาที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร กรุงเทพฯจากนั้นจะมีการแถลงข่าวในวันอังคารที่ 21 พ.ค. 67 ถึงความสำเร็จในการนำโบราณวัตถุชิ้นสำคัญกลับคืนมาจากต่างประเทศได้ และมีการให้ความรู้กับประชาชน หลังจากนั้น “โกลเด้นบอย” (Golden Boy) และโบราณวัตถุอีก 1 ชิ้น จะเปิดจัดแสดงที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร กรุงเทพฯ
โบราณวัตถุทั้ง 2 ชิ้น เมื่อสหรัฐฯ ส่งคืนมายังไทยแล้ว ยังต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมอีกหลายเรื่อง โดยเฉพาะ “โกลเด้นบอย” (Golden Boy) จะเป็นความรู้ใหม่ทางวิชาการของไทย จึงต้องศึกษาทั้งส่วนผสม กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในการหล่อและขึ้นรูปแบบโบราณทั้งนี้ จากข้อมูลเดิมระบุว่า (Golden Boy) ประติมากรรมสัมฤทธิ์ มีอายุราว 900-1,000 ปี พิพิธภัณฑ์ฯ ในสหรัฐอเมริกา ที่ส่งคืนไทย ถือเป็นจิ๊กซอว์ประวัติศาสตร์สำคัญของ “พระเจ้าชัยวรมันที่ 6” เชื่อมโยงกับพื้นที่ราบสูงโคราช แต่การทวงคืนครั้งนี้เกือบจะหลุดมือ โชคดีที่นักโบราณคดีไทยไปเจอชุมชนที่ขุดค้นพบ ชี้รอยตำหนิสำคัญ ทำให้อเมริกายอมส่งคืนไทย ถือเป็นโบราณวัตถุสำคัญในการทวงคืนชิ้นอื่นๆ ที่ถูกขโมยไป
สอดคล้องกับข้อมูลที่ไทยรัฐออนไลน์ เคยสัมภาษณ์ ดร.ทนงศักดิ์ หาญวงษ์ นักวิชาการอิสระผู้เชี่ยวชาญด้านโบราณคดี หนึ่งในทีมติดตามทวงคืนวัตถุโบราณ กล่าวว่า โบราณวัตถุ 2 ชิ้น ที่ The Metropolitan Museum of Art หรือ The MET ประเทศสหรัฐอเมริกา ส่งคืนให้ไทย เกือบไม่ได้คืน เนื่องจากหาหลักฐานไปยืนยันไม่ได้ในช่วงแรก ขณะที่กัมพูชามีคณะทำงานทวงคืนที่ติดตามอยู่ตลอด เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงได้นำเสนอกับกรมศิลปากร และได้มอบหมายให้ลงพื้นที่ไปหาข้อมูลนำไปยืนยันกับสหรัฐอเมริกา ประติมากรรมสัมฤทธิ์ที่รู้จักในชื่อ Golden Boy มีอายุราวพุทธศตวรรษที่ 16 หรือประมาณ 900-1,000 ปี มีความสูง 129 ซม. เป็นวัตถุโบราณชิ้นสำคัญที่กัมพูชาพยายามนำหลักฐานมายืนยันกับสหรัฐอเมริกา เพราะเป็นวัตถุโบราณที่มีความงดงาม แต่ไทยก็หาหลักฐานไปยืนยันจนพบว่าเคยมีการขุดค้นพบ Golden Boy อยู่ในปราสาทโบราณ กลางชุมชนบ้านยางโป่งสะเดา อ.ละหานทราย จ.บุรีรัมย์ ซึ่งชาวบ้านในพื้นที่เมื่อเห็นรูปภาพ ก็ระบุชัดเจนว่ามีครอบครัวหนึ่งในชุมชนเป็นผู้ขุดค้นพบเมื่อปี 2518จากนั้นได้ขายประติมากรรมสัมฤทธิ์ Golden Boy ให้กับพ่อค้าวัตถุโบราณชาวต่างชาติ ราคา 1 ล้านบาท หลังขายได้ช่วงปี 2518 ทั้งหมู่บ้านจัดงานฉลองใหญ่ 3 วัน 3 คืน สิ่งนี้ทำให้มีพยานบุคคลในหมู่บ้านที่เกิดทันยุคนั้น ระบุได้ถึงการขายโบราณวัตถุดังกล่าว ดังนั้นเรื่องเล่านี้ทำให้คนในหมู่บ้านจำได้แม่น Thank to : https://www.thairath.co.th/scoop/theissue/278636317 พ.ค. 2567 , 12:09 น. | สกู๊ปไทยรัฐ > THE ISSUE > ไทยรัฐออนไลน์ บทความโดย : ไทยรัฐออนไลน์ / ทีมข่าวเจาะประเด็น
|
|
|
24
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / อุตรดิตถ์จัดงานประเพณี "อัฏฐมีบูชา" ครั้งที่ 69 ที่วัดพระบรมธาตุทุ่งยั้ง
|
เมื่อ: พฤษภาคม 18, 2024, 05:58:36 am
|
. อุตรดิตถ์จัดงานประเพณี "อัฏฐมีบูชา" ครั้งที่ 69 ที่วัดพระบรมธาตุทุ่งยั้งจ.อุตรดิตถ์ จัดงานประเพณี "อัฏฐมีบูชา" หนึ่งเดียวในโลกแห่งแรกในไทย ครั้งที่ 69 เป็นประเพณีสำคัญของจังหวัด ที่จัดช่วงสัปดาห์วิสาขบูชา รวมระยะเวลา 9 วัน 9 คืน เพื่อน้อมรำลึกถึงองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ระหว่างวันที่ 22-30 พ.ค. 67
เมื่อเวลา 18.00 น. ของวันที่ 16 พฤษภาคม 2567 ที่บริเวณวัดพระบรมธาตุทุ่งยั้ง หรือ วัดพระบรมธาตุ ต.ทุ่งยั้ง อ.ลับแล จ.อุตรดิตถ์ นายสหวิช อภิชัยวิศรุตกุล รอง ผวจ.อุตรดิตถ์ พร้อมด้วย นายสุรพันธ์ เจริญทรัพย์ วัฒนธรรมจังหวัดอุตรดิตถ์และนายนันทสิทธิ์ โพธิ์งาม รอง นายก อบจ.อุตรดิตถ์ ร่วมแถลงข่าว การจัดงานประเพณี “อัฏฐมีบูชา”
ซึ่งเป็นแห่งเดียวในโลกและแห่งแรกในประเทศไทย ต่อเนื่องมาปีนี้เป็นครั้งที่ 69 ที่พร้อมยกระดับให้มีความยิ่งใหญ่ ประจำปี 2567 เริ่มงานวันที่ 22-30 พฤษภาคมนี้ ให้ประชาชนมีส่วนร่วมทอผ้าห่มองค์พระบรมธาตุ สักการะหลวงพ่อพระประธานเฒ่า โดยมี หัวหน้าส่วนราชการและ ผู้นำท้องที่ ผู้นำท้องถิ่น ประชาชนชาวตำบลทุ่งยั้ง อ.ลับแล จ.อุตรดิตถ์ ร่วมงานดังกล่าว
นายสุรพันธ์ เจริญทรัพย์ วัฒนธรรมจังหวัดอุตรดิตถ์ กล่าวว่า สำหรับงานประเพณีอัฏฐมีบูชา เป็นงานประเพณีสำคัญของจังหวัดอุตรดิตถ์ ที่ปฏิบัติสืบทอดกันมาอย่างต่อเนื่อง ในช่วงสัปดาห์วิสาขบูชาและอัฏฐมีบูชา ซึ่งตรงกับ วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ถึงวันแรม 8 ค่ำ เดือน 6 รวมระยะเวลา 9 วัน 9 คืน เพื่อน้อมรำลึกถึงองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า สืบต่ออายุพระพุทธศาสนา และสืบสานประเพณีอัฏฐมีบูชาให้คงอยู่ รวมทั้งเป็นการส่งเสริมจิตสำนึกที่ดีของพุทธศาสนิกชนต่อพระพุทธศาสนานายสุรพันธ์ เจริญทรัพย์ วัฒนธรรมจังหวัดอุตรดิตถ์ กล่าวว่า วัดพระบรมธาตุทุ่งยั้ง หรือ วัดพระบรมธาตุ ตั้งอยู่ที่กลางเทศบาลตำบลทุ่งยั้ง ต.ทุ่งยั้ง อ.ลับแล จ.อุตรดิตถ์ เป็นวัดโบราณประดิษฐานพระมหาธาตุประจำเมืองทุ่งยั้ง เมืองโบราณตั้งแต่สมัยก่อนสุโขทัย ได้มีการจัดงานอัฏฐมีบูชา การถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระจำลอง ต่อเนื่องกันมาเป็นเวลานาน ตั้งแต่สมัยหลวงพ่อแน่นเป็นเจ้าอาวาส
หลังจากหลวงพ่อแน่นมรณภาพ มิได้มีการจัดงานนี้อีกเลย จวบจนราวปีพุทธศักราช 2502 พระครูสถิตพุทธคุณ เจ้าคณะตำบลทุ่งยั้งในสมัยนั้น ได้เห็นความสำคัญของวันอัฏฐมีบูชา ซึ่งเป็นประเพณีสำคัญที่ชาวเมืองทุ่งยั้งได้ถือปฏิบัติมาแต่โบราณ จึงได้ชักชวนคณะศรัทธา อุบาสก อุบาสิกา ริเริ่มฟื้นฟูประเพณีอัฏฐมีบูชา ของชาวตำบลทุ่งยั้ง อ.ลับแล เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน เพื่อน้อมรำลึกถึงองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงคุณอันประเสริฐต่อพระพุทธศาสนา
วัฒนธรรมจังหวัดอุตรดิตถ์ กล่าวต่อว่า ชาวบ้านทุ่งยั้งที่มีความรู้ในการจักสานพระพุทธเจ้าจำลอง จะร่วมกันสานองค์พระฯ ด้วยไม้ไผ่ ประทับในท่าสีหไสยาสน์ ขนาด 9 ศอก นุ่งห่มด้วยจีวร พร้อมบรรจุในโลงแก้ว และจัดสร้างเมรุมาศจำลอง โดยการใช้ไม้ไผ่ 6 ต้น นำมาเป็นโครงสร้าง ประดับตกแต่งด้วยกระดาษฉลุลายสวยงามจังหวัดอุตรดิตถ์ ขอเชิญนักท่องเที่ยว มาร่วมเที่ยวงานประเพณีอัฏฐมีบูชา ครั้งที่ 69 ซึ่งในปีนี้จัดยิ่งใหญ่กว่าทุกปี ภายในงาน เชิญร่วมทอผ้าห่มพระบรมธาตุ เชิญร่วมสรงน้ำพระบรมธาตุ ด้วยน้ำสรงพระราชทาน การเวียนเทียนวิสาขปุรณมี ฟังเทศน์ ปฏิบัติธรรม และชม ชิม ช็อป เลือกซื้อสินค้าพื้นบ้าน อาหารพื้นเมือง ผลิตภัณฑ์ของฝากของที่ระลึก ในตลาดวิถีชมชุนคนทุ่งยั้ง พร้อมชมการแสดงศิลปวัฒนธรรม การสาธิตอาหารและมรดกภูมิปัญญา การร้อยพวงดอกไม้ การร่วมบุญร่วมกุศลในพิธีห่มผ้าพระบรมธาตุ การถวายสลากภัต
ไฮไลต์สำคัญในพิธีเปิดงานในวันที่ 22 พฤษภาคม วันวิสาขบูชา ชมการรำถวายพระบรมธาตุ 999 คน และเวียนเทียนรอบพระบรมธาตุร่วมกัน พร้อมกับชมแสงสีเสียงมินิ “ตำนานเมืองทุ่งยั้งและเวียงเจ้าเงาะ” และในวันสุดท้ายของงานวันอัฐมีบูชา 30 พฤษภาคม เชิญชมขบวนแห่ทางศิลปวัฒนธรรม ขบวนเครื่องสักการะและขบวนเทิดพระเกียรติ จาก 9 อำเภอ ร่วมสรงน้ำและห่มผ้าพระบรมธาตุ
พร้อมกันนี้ ชมการแสดง แสง สี เสียง “พิธีถวายพระเพลิง พระบรมศพพระพุทธเจ้าจำลอง” รวมถึงเลือกซื้อเลือกหาทุเรียนหลงหลินลับแลมาทานได้ตลอดช่วงงาน ครั้งหนึ่งในชีวิตต้องไปร่วมงานบุญประเพณีที่ยิ่งใหญ่ หนึ่งเดียวในโลก งานประเพณีอัฐมีบูชาจังหวัดอุตรดิตถ์ ครั้งที่ 69 อย่าลืมพร้อมใจกันแต่งชุดขาว ไปร่วมงานประเพณีอัฐมีบูชา ในวันที่ 22-30 พฤษภาคม 2567 ที่วัดบรมธาตุทุ่งยั้ง ต.ทุ่งยั้ง อ.ลับแล จ.อุตรดิตถ์. Thank to : https://www.thairath.co.th/news/local/localbusiness/278639617 พ.ค. 2567 ,14:30 น. | ข่าว > ทั่วไทย > เศรษฐกิจท้องถิ่น > ไทยรัฐออนไลน์
|
|
|
26
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 5 ที่ปฏิบัติธรรม เรียนรู้เจริญสติ สงบทั้งกาย วาจา ใจ
|
เมื่อ: พฤษภาคม 17, 2024, 06:10:39 am
|
. 5 ที่ปฏิบัติธรรม เรียนรู้เจริญสติ สงบทั้งกาย วาจา ใจสติ คือ พื้นฐานของทุกสรรพสิ่ง นำมาซึ่งปัญญาอันแตกฉาน แม้เป็นนามธรรมที่ง่ายต่อการเข้าถึง แต่ก็กลายเป็นเรื่องยากสำหรับใครหลายคน
วิสาขบูชานี้ ถือเป็นวันพระใหญ่ที่สำคัญต่อชาวพุทธอย่างมาก คงจะดีไม่น้อยหากได้เจริญสติทำใจให้สงบ พร้อมสำหรับการใช้ชีวิตในวันข้างหน้า ที่เราก็ไม่รู้เลยว่าจะมีปัญหาดาหน้าเข้ามามากน้อยเพียงใด
เคยคิดไหมว่าทำไมเวลาคนมีปัญหาหรืออยากดึงสติ จะต้องไปบวช จนวัดกลายเป็นหลุมหลบภัยทางโลกที่คนมักจะไปมากที่สุด ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะบรรยากาศที่สงบเหมาะแก่การฝึกกำหนดรู้ ปัจจุบันนอกจากวัดแล้วยังมีสถานที่ปฏบัติธรรมที่สร้างขึ้นเฉพาะให้เราได้แสวงแสงแห่งธรรม ใครรู้สึกว่าช่วงนี้จิตฟุ้งซ่าน จดพิกัดพีพีทีวีเอามาฝากไว้เลย!เช็กลิสต์ 8 ข้อเตรียมตัวก่อนไปปฏิบัติธรรม
1. การแต่งกาย ผู้หญิง ควรใส่เสื้อสีขาว (ไม่รัดรูป คอไม่กว้าง) ผ้าถุงสีขาว ส่วนผู้ชาย ควรใส่เสื้อสีขาว กางเกงขายาวสีขาว 2. ผ้าห่ม / ถุงนอน / เครื่องนอนส่วนตัว 3. เครื่องใช้ส่วนตัวในห้องน้ำ (ผ้าเช็ดตัว สบู่ ยาสีฟัน แปรงสีฟัน ยาสระผม ฯลฯ) 4. รองเท้าแตะ รองเท้าฟองน้ำ เพื่อสะดวกในการเดิน 5. ไฟฉาย 6. ยากันยุง 7. ของใช้ส่วนตัวที่จำเป็น 8. ปล่อยวางความเครียด เตรียมร่างกายให้แข็งแรง และจิตใจให้สงบพร้อมปฏิบัติธรรม
@@@@@@@
5 สถานที่ปฏิบัติธรรม รู้เท่าทันจิตที่เปลี่ยนแปลงเสถียรธรรมสถานเสถียรธรรมสถาน บางเขน จ.กรุงเทพฯ และ หุบเขาโพธิสัตว์ จ.เพชรบุรี
"ทำให้ทุกพื้นที่ของการภาวนาอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ เข้าใจธรรมชาติ อย่างรู้ ตื่น และเบิกบาน ผ่านวิถีชีวิตของหุบเขาโพธิสัตว์" แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต
ที่ เสถียรธรรมสถาน มีกิจกรรมการปฏิบัติธรรมมากมายให้เลือกตามความสนใจ ไม่ว่าจะมาเดี่ยวหรือกลุ่ม หรือครอบครัว แต่ที่แนะนำสำหรับคนที่เวลาน้อย เหมาะกับ กิจกรรม Spiritual Trip
เพื่อเติมเต็มกายใจ กับ 1 วันในเสถียรธรรมสถาน ด้วยการปฏิบัติภาวนากับวิถีชีวิตอันหลากหลายเพื่อการเดินทางสู่โลกภายในตนเอง เติมเต็มจิตวิญญาณให้สัมผัสถึงชีวิตที่สุขง่ายใช้น้อย เพียงรู้จักการมีสติในลมหายใจและการเคลื่อนไหว
และในวันวิสาขบูชา 22 พฤษภาคม 2567 ที่เสถียรธรรมสถาน หุบเขาโพธิสัตว์ จังหวัดเพชรบุรี ได้มีการจัดกิจกรรมทางศาสนาฏิบัติบูชาเพื่อน้อมถวามแด่ผู้มีพระภาคเจ้าอีกด้วย
เปิดทุกวันเวลา 9.00 น. – 16.00 น. โทร : 02 519 1119 Email : sdsweb.webmaster@gmail.comวัดธารน้ำไหล หรือ สวนโมกขพลารามสวนโมกขพลาราม วัดธารน้ำไหล จ.สุราษฎร์ธานี
สวนโมกขพลาราม หรือชื่อเรียกทางการว่า “วัดธารน้ำไหล” ถือเป็นสถานปฏิบัติธรรมชั้นแนวหน้าของเมืองไทยเป็นแหล่งบ่มเพาะเรียนรู้พระพุทธศาสนา ที่มีผู้ศรัทธามากแห่งหนึ่ง ด้วยภายในอาณาบริเวณของสวนโมกข์ มีความร่มรื่น สงบ เหมาะสำหรับการปฏิบัติธรรม กล่อมเกลาจิตใจและศึกษาพระพุทธศาสนา
เปิดทุกวัน เวลา 08.00-17.00 น. ที่อยู่ : วัดธารน้ำไหล 68/1 หมู่ 6 ต.เลม็ด อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี 84110 โทร : 0-7743-1597, 0-7743-1661-2 เว็บไซต์ : suanmokkh วัดป่านานาชาติวัดป่านานาชาติ จ.อุบลราชธานี
วัดป่านานาชาติเป็นวัดสายวิปัสสนากรรมฐาน และยึดปฏิปทาพร้อมทั้งข้อวัตรปฏิบัติของหลวงปู่ชาเป็นหลัก เพราะฉะนั้นวัดป่านานาชาติเน้นการศึกษาและปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน แนะนำชีวิตบรรพชิตให้ชาวต่างชาติ ทั้งยังใช้ภาษาอังกฤษในการอบรมเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของวัดป่านานาชาติ การทำวัตรเช้าทำวัตรเย็นจึงแปลเป็นภาษาอังกฤษควบคู่กับภาษาบาลี
เปิดทุกวัน เวลา 06.00 - 18.00 น. ที่อยู่ : บ้านบุ่งหวาย ตำบลบุ่งหวาย อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี โทร : 089-9494559 เว็บไซต์ : www.watpahnanachat.orgสำนักวิปัสสนากรรมฐาน วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์สำนักวิปัสสนากรรมฐาน วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ จ.กรุงเทพฯ
สถานปฎิบัติธรรมใจกลางกรุงเทพตั้งอยู่ในวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์ราชวรมหาวิหารที่เก่าแก่ สร้างตั้งแต่สมัยอยุธยา รอบด้วยสถานที่สำคัญ อาทิ วัดพระแก้ว สนามหลวง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร เดินทางสะดวก เป็นสถานที่ที่สัปปายะ เงียบสงบ เหมาะแก่การปฏิบัติธรรม (ปิดวาจา)
ศูนย์ปฎิบัติฯ สอนวิปัสสนากรรมฐานให้แก่ชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีความสนใจ นอกจากนี้ยังได้รับรางวัลการันตีเป็นสำนักปฎิบัติธรรมประจำจังหวัดดีเด่นพ.ศ. 2556 และ รางวัลศูนย์วิปัสสนาดีเด่นของกรุงเทพประจำปี 2566
ที่อยู่ : 3 ถนน ท่าพระจันทร์ แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร 10200 โทร : 022226011 หรือ 022236878 เว็บไซต์ : watmahathat.comวัดร่ำเปิง จ.เชียงใหม่วัดตโปทาราม (ร่ำเปิง) จ.เชียงใหม่
“กินน้อย พูดน้อย นอนน้อย ปฏิบัติเยอะ”
สถานที่ฝึกปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามแนวสติปัฏฐาน 4 สำหรับพระภิกษุ สามเณร และประชาชน ปัจจุบันมีชาวไทยและชาวต่างประเทศ สนใจมาปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานกันอย่างมากมาย นอกจากนี้วัดนี้เป็นแห่งแรกที่มีพระไตรปิฏกฉบับล้านนา อีกทั้งเป็นแหล่งรวบรวมที่มีพระไตรปิฏกฉบับภาษาต่าง ๆ มากที่สุดในโลก
วันเวลาติดต่อ
- ลงทะเบียนเข้าปฏิบัติธรรมที่สำนักงานแม่ชี (สำนักปฏิบัติธรรมฝ่ายหญิง) หรือสำนักสงฆ์ (สำนักปฏิบัติธรรมฝ่ายชาย) เวลา 7.00 น. ทุกวัน (ยกเว้น วันพระ) - พิธีรับพระกรรมฐาน และรับศีล 8 เวลา 8:00 น. ของทุกวัน (ยกเว้นวันพระ) - พิธีลาศีล 8 (กลับบ้าน) และรับศีล 5 เวลา 6:00 น. (หลังทำวัตรเช้า) ของทุกวัน
ที่อยู่ : วัดร่ำเปิง (ตโปทาราม) เลขที่ 1 หมู่ 5 ต. สุเทพ อ. เมือง จ. เชียงใหม่ 50200 เว็บไซต์ : https://www.watrampoeng.com/ขอขอบคุณ :- ที่มา : สารสนเทศท้องถิ่นอีสาน ณ อุบลราชธานี Mahathatu Temple Bangkok URL : https://www.pptvhd36.com/news/ไลฟ์สไตล์/224001 โดย PPTV Online | เผยแพร่ 16 พ.ค. 2567 ,16:22 น.
|
|
|
27
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / รวม “3 หลักธรรมเกี่ยวกับวันวิสาขบูชา” คำสอนที่ชาวพุทธควรปฏิบัติ
|
เมื่อ: พฤษภาคม 17, 2024, 05:40:01 am
|
. รวม “3 หลักธรรมเกี่ยวกับวันวิสาขบูชา” คำสอนที่ชาวพุทธควรปฏิบัติ“วันวิสาขบูชา” วันที่เกิดเหตุการณ์สำคัญกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึง 3 เหตุการณ์ และยังเกิดเป็นหลักธรรมคำสอนให้ชาวพุทธได้ยึดถือปฏิบัติกันมาอย่างยาวนาน
“วันวิสาขบูชา” ในปี 2567 นี้ ตรงกับวันพุธที่ 22 พฤษภาคม วันสำคัญทางพระพุทธศาสนาที่พุทธศาสนิกชนพึงระลึกถึงอยู่เสมอ เพราะได้เกิดเหตุการณ์สำคัญที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และนั่นทำให้เกิดเป็น “หลักธรรมคำสอน” ที่สำคัญ และสามารถนำมาเผยแผ่ต่อชาวพุทธ เพื่อเป็นแนวทางในการยึดถือปฏิบัติในการดำเนินชีวิตอย่างสงบสุข
มาศึกษาหลักธรรมเหล่านี้ กับ “3 หลักธรรม ในวันวิสาขบูชา”3 หลักธรรมในวันวิสาขบูชา
1. ความกตัญญู ความกตัญญูหรือการรู้คุณคน มาคู่กับคำว่า “กตเวที” หมายถึง การตอบแทน การมีความกตัญญูกตเวที ส่งผลให้ครอบครัวมีความสุข และทำให้สังคมน่าอยู่มากขึ้น เพราะความกตัญญู ไม่จำเป็นต้องปฏิบัติต่อพ่อแม่อย่างเดียว แต่สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งกับคุณครูและศิษย์ นายจ้างกับลูกจ้าง เป็นต้น2. อริยสัจ 4 คือ ความจริงอันประเสริฐ 4 ประการที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ในวันวิสาขบูชา ได้แก่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค
- ทุกข์ คือ ปัญหาของชีวิต สภาวะที่ทนได้ยาก ทำให้เกิดความทุกข์ใจ ไม่ว่าจะเป็นการเกิด การแก่ เจ็บ และการตาย ล้วนเป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนต้องเผชิญ รวมถึงทุกข์ที่เกิดขึ้นจากการดำเนินชีวิตประจำวัน เช่น การพลัดพรากจากสิ่งที่เป็นที่รัก
- สมุทัย คือ ต้นเหตุของปัญหา หรือสาเหตุของการเกิดทุกข์ ซึ่งส่วนใหญ่ของปัญหา เกิดจาก “ตัณหา” ได้แก่ ความอยากได้ อยากมี อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
- นิโรธ คือ ความดับทุกข์ เป็นสภาพที่ความทุกข์หมดไป เพราะสามารถดับกิเลส ตัณหา อุปาทานออกไปได้
- มรรค คือ หนทางที่นำไปสู่การดับทุกข์ เป็นการปฏิบัติเพื่อแก้ปัญหา มี 8 ประการ ได้แก่ สัมมาทิฏฐิ (ปัญญาอันเห็นชอบ) สัมมาสังกัปปะ (ความดำริชอบ) สัมมาวาจา (การเจรจาชอบ) สัมมากัมมันตะ (การงานชอบ) สัมมาอาชีวะ (การเลี้ยงชีพชอบ) สัมมาวายามะ (ความเพียรชอบ) สัมมาสติ (ความรำลึกชอบ) สัมมาสมาธิ (ความตั้งใจมั่นชอบ)
3. ความไม่ประมาท คือ การมีสติอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะทำ พูด หรือคิดอะไร ล้วนต้องใช้สติ เพราะสติ คือการระลึกได้ การระลึกได้อยู่เสมอจะทำให้เราใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท และความประมาทจะทำให้เกิดปัญหายุ่งยากตามมาขอขอบคุณ :- ข้อมูล : สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดพัทลุง , มูลนิธิอุทธยานธรรม , มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย URL : https://www.pptvhd36.com/news/ไลฟ์สไตล์/223949/amp โดย : PPTV ONLINE | 13:41 น. , 16 พ.ค. 2567
|
|
|
28
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ฮือฮาสองฝั่งโขง! ขุดพบพระประธานโบราณริมโขง เชื่อเป็น “พระเจ้าตนหลวง”
|
เมื่อ: พฤษภาคม 17, 2024, 05:28:09 am
|
. ฮือฮา..สองฝั่งโขง.! ขุดพบพระประธานโบราณริมโขง เชื่อเป็น “พระเจ้าตนหลวง”โซเชียลฮือฮา! ขุดพบพระประธานโบราณขนาดใหญ่ริมแม่น้ำโขง ชาวลาวเชื่อเป็น “พระเจ้าตนหลวง” โปรดปวงชนให้อยู่เย็นเป็นสุข
จากกรณีชาวบ้านเมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว พบพระพุทธรูปเก่าแก่ หลายองค์ ที่ริมฝั่งแม่น้ำแม่โขง ตรงข้าม อ.เชียงแสน จ.เชียงราย ประเทศไทย เมื่อช่วงเดือน มี.ค.ที่ผ่านมานั้น ล่าสุดปรากฎว่ามีการค้นพบพระพุทธรูปขนาดใหญ่เพิ่มอีกองค์
โดยเฟซบุ๊ก “ขัตติยะบารมี ขัตติยะ” ได้โพสต์ภาพการค้นพบพระพุทธรูปขนาดใหญ่ พร้อมระบุว่า “กำลังกู้องค์พระเจ้าตนหลวงเพื่อนำขึ้นมาโปรดปวงชนมวลมนุษย์ให้อยู่เย็นเป็นสุข” นอกจากนั้นยังแสดงความเห็นอีกว่าพระพุทธรูปขนาดใหญ่เป็นองค์พระประธาน
อย่างไรก็ตามหลังจากโพสต์ดังกล่าว ได้มีผู้ใช้เฟซบุ๊กทั้งชาวลาวและชาวไทยเข้ามาแสดงความคิดเห็นจำนวนมาก โดยส่วนใหญ่พากันชื่นชมความสวยงามของพระพุทธรูปองค์ดังกล่าวThank to : https://www.pptvhd36.com/news/สังคม/224006 โดย PPTV Online | เผยแพร่ 16 พ.ค. 2567 ,19:14น.
|
|
|
29
|
เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: สวดมนต์ ต้องไม่โค่น "สาธยาย"
|
เมื่อ: พฤษภาคม 16, 2024, 11:31:27 am
|
. บันทึกประกอบ ในการพิมพ์ครั้งที่ ๑
ผู้เขียนนี้มานึกว่า เมื่อครั้งทําบุญครบ ๑ ปี อุทิศ โยมคุณหญิงกระจ่างศรี รักตะกนิษฐ ในวันที่ ๘ ก.พ. ๒๕๖๒ ได้พิมพ์หนังสือ จารึกบุญ จารึกธรรม เป็นธรรมทานที่ระลึก สําหรับปีที่ ๒ นี้ ก็ควรจะพิมพ์หนังสือธรรมทานเช่นนั้น อีกทั้งมาคํานึงว่า ถัดจากวันทําบุญครบ ๑ ปีในวันที่ ๘ ก.พ. นั้น รุ่งขึ้นวันที่ ๙ ก.พ. ก็จะเป็นวันทําบุญประจําปีของครอบครัวอารยางกูร อุทิศโยมบิดา-มารดา และพี่น้อง ตามปกติตัวผู้เขียนเองนี้จะไม่ได้ไปร่วมอยู่ในงานพิธีทั้งสองนั้น แต่ ก็เป็นธรรมดาที่ปรารถนาจะให้มีหนังสือธรรมทาน และคราวนี้ ถ้าได้เรื่องที่เหมาะมาพิมพ์ ก็จะเป็นหนังสือธรรมทานสําหรับงานทั้งสองต่อกัน
เวลานั้น วันงานใกล้เข้ามาแล้ว พอดีได้จังหวะมองเห็น file "สวดมนต์ฯ” ซึ่งพระครูประคุณสรกิจ (การุณย์ กุสลนนฺโท) เพิ่งส่งมาให้ใหม่ๆ อันเป็นบท คัดลอกถอดเสียงเป็นตัวหนังสือ ซึ่งทีมงานจิตอาสาของชมรมกัลยาณธรรม มี ทพญ. อัจฉรา กลิ่นสุวรรณ์ เป็นประธาน ได้จัดทําส่งต่อกันมาให้ผู้เขียนนี้ที่ เป็นผู้พูดเรื่องนั้น ตรวจทาน เพื่อนําลงพิมพ์ในวารสารโพธิยาลัย
ตัวผู้เขียนเอง เนื่องจากปัญหาสภาพปอดที่เสียหายมาก เกินกว่าครึ่ง ทํางานไม่ได้ นอกจากในพิธีอุปสมบทที่วัดญาณเวศกวันเอง ซึ่งเป็นกิจอัน จําเป็นแล้ว ก็มิได้มีการพูดคุยสนทนากับหรือแก่ที่ประชุม คณะ หรือหมู่คน มา นานนักหนาแล้ว เว้นแต่ต้องพูดคุยเป็นการภายในกับพระวัดญาณเวศกวันบ้าง ในบางโอกาส และมีโอกาสหนึ่งโอกาสเดียวซึ่งได้กลายเป็นเรื่องค่อนข้างประจํา คือ การไปที่วัดนั้นในวันกลางเดือนและวันสิ้นเดือน แล้วยามค่ําหลังสวด ปาติโมกข์ ได้พูดคุยกับพระแบบง่ายๆ สบายๆ ในเรื่องเบ็ดเตล็ด แล้วก็มีโยมที่ สนใจมาฟังบ้าง จนไปๆ มาๆ เหมือนว่าได้กลายเป็นรายการหนึ่ง เรียกว่า เกร็ดความรู้ธรรม เรื่อง "สวดมนต์ฯ" ที่ว่านั้น ก็เป็นคําพูดคุยของผู้เขียนใน โอกาสอย่างนี้ เมื่อวันเพ็ญกลางเดือน ๒ (๙ มกราคม ๒๕๖๓)
@@@@@@@
ได้มองเห็นว่า การสวดมนต์เป็นกิจที่พุทธศาสนิกชนปฏิบัติกันเป็น ประจํา และเด่นในความนิยม จึงควรรู้เข้าใจกันให้ดี เพื่อปฏิบัติได้ถูกต้อง และให้เกิดมีผลที่ดี บทถอดเสียงเป็นตัวหนังสือนั้นก็ไม่ยืดยาวนัก แค่ ๑๓ หน้า ถ้าตรวจทานจัดปรับต้นฉบับเสร็จ งานทางด้านวารสารโพธิยาลัยก็จะ ลุล่วงไป และก็จะได้หนังสือสําหรับงานบุญที่ปรารภนั้นด้วยพร้อมกัน เป็นอันตกลงและเริ่มทํางาน แต่ประจวบว่าเวลานั้น อีกด้านหนึ่ง เป็น ช่วงกาลที่เพิ่งได้เริ่มที่จะต้องรอฟังและปฏิบัติตามคํากําหนดและนัดหมาย
ของคุณหมอและโรงพยาบาล เพราะเพิ่งผ่านการตรวจและพิสูจน์ว่าผู้เขียนนี้ เป็นโรคมะเร็ง แม้ว่าจะทํางานหนังสือไปตามปกติ แต่เมื่อผ่านการตรวจและ พิสูจน์โรครู้แน่ชัดแล้ว ก็จะเข้าสู่กระบวนการบําบัดรักษาที่ยืดเยื้อยาวนาน มาก เมื่อผู้เขียนอยู่ห่างไกล บางทีก็ต้องไปนอนในโรงพยาบาล ถึงแม้ไม่ต้อง นอนพัก แค่เดินทางไปกลับก็หมดเวลาค่อนวัน แทนที่จะทํางานหนังสือได้ ๑๐ ชม. ก็เหลือทําได้ ๑-๒ ชม. หรือไม่ได้เลย พร้อมกันนั้น เรื่อง "สวด มนต์” นั้น เมื่อตรวจไป ก็เขียนขยายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุด ก็ไม่ทันที่จะได้ พิมพ์เป็นเล่มหนังสือเพื่อแจกในงานวันที่ ๘ และ ๙ กุมภาพันธ์
ถึงแม้ไม่ทันการอย่างที่คิดหมาย ก็ตกลงใจว่าจะทําหนังสือนั้นให้ เสร็จเป็นบุญกิริยาเนื่องในงานพิธี โดยเป็นธรรมทานตามหลังงาน อันน่าจะ มีผลได้ยืดยาวยืนนาน แล้วคราวนี้ยิ่งต้องเร่งรัดจริงจังเต็มที่ ให้หนังสือเสร็จไม่ล่าช้าหลังงานนานเกินไป จึงเป็นวาระที่ยิ่งต้องระดมทํางานนั้นเต็มแรงมากขึ้น
ที่จริง ตั้งแต่เริ่มตรวจเติมต้นฉบับหนังสือนี้ ก็ได้หยุดวางงานหนังสือ และเรื่องราวที่เกี่ยวข้องจากภายนอกทั้งหมด เช่น แม้แต่มีหลายท่านขอพิมพ์ หนังสือเล่มนั้นเล่มนี้ จะทํานั่นทํานี่กับหนังสือธรรมนั้นนี้ ก็ต้องขอให้รอก่อน จึงมีเรื่องค้างรอวันอยู่ไม่น้อย
@@@@@@@
ในขณะเดียวกัน มาถึงเวลานี้ ทางด้านโรงพยาบาล การรักษาผู้อาพาธ บําบัดมะเร็ง ก็เข้าสู่ช่วงตอนสําคัญ ต้องเข้าไปนอนพักใน รพ. เกือบครึ่ง เดือน เพื่อรับการฉายรังสีอย่างเข้มข้น หรือเต็มอัตรา ก็จึงมุ่งว่าในช่วงเวลา นั้น จะทํางานหนังสือได้มาก หนังสืออาจจะเสร็จในคราวนี้
แต่ถึงเวลาจริง ใน รพ. ก็ทํางานหนังสือได้ไม่มากอย่างที่คาด เพราะ เวลาที่โปร่งโล่งมีน้อย สภาพร่างกายที่ติดขัดต่างๆ ก็กลายเป็นเครื่องขัดถ่วง ด้วย และฝ่ายดูแลรักษาก็บอกให้พักให้มาก อิริยาบถนั่งก็เป็นการกดทับ อวัยวะที่เป็นโรค ควรหลีกเลี่ยง จึงออกจาก รพ. ศิริราช มาโดยงานยังไม่จบ
จากโรงพยาบาล ที่คุณหมอ ทั้งเจ้าของเรื่อง และที่ผ่านเข้ามาในเรื่อง พร้อมทั้งพยาบาลและเจ้าหน้าที่เจ้าพนักงาน ได้สละเวลาให้เรี่ยวแรงกําลังทํา ปฏิบัติการทางแพทย์ และดูแลอย่างเต็มที่ ด้วยน้ําใจปรารถนาดีจริงจัง จบการบําบัดรักษาไปอีกขั้นตอนหนึ่ง ออกไปพักรับผลการบําาบัดในชนบท รอเวลานัดหมายของคุณหมอต่อไป ปรากฏว่าร่างกายทรุดโทรมอ่อนเปลี้ยเกินคาดหมาย ได้ความว่าเป็นผลสืบเนื่องจากการฉายรังสีนั้นเป็นธรรมดา
ในที่พักถิ่นชนบทนั้น งานตรวจชําระทําต้นฉบับหนังสือเดินหน้าไป มิได้ช้า จาก ๑๓ หน้าบทถอดเสียงที่ได้รับ ขยายเป็น ๓๖ หน้า แล้วจัดทํา เป็นเล่มหนังสือได้ ๘๘ หน้า เสร็จในวันเพ็ญกลางเดือน ๔ ตรงกับ ๘ มีนาคม ๒๕๖๓ หลังงานทําบุญ ๑ เดือนพอดี คือออกจาก รพ.มาได้ ๘ วัน เป็นอันจบเนื้องาน แต่ตกลงทํางานแถมผนวกท้ายไว้ด้วย คือ มงคลสูตร พร้อมทั้งค่าแปลภาษาไทย
คราวนี้เห็นว่าควรให้ความสําคัญแก่คําแปล ในแง่ที่จะให้เข้าใจง่าย และใช้สวดได้ด้วย พอดีว่ากองอุปถัมภ์พระอาพาธที่ รพ. ซึ่งมีอาผา (คือคุณ บุบผา คณิตกุล) เป็นผู้นํา พร้อมด้วยจูน (คุณศศิธร ศรีโสภา) เมื่อถอน กําลังมากลับคืนถิ่นที่สหปฏิบัติและค่ายอารยาภิวัทธน์ ซึ่งอาดา (คุณกานดา อารยางกูร) ตั้งหลักอยู่ ก็พร้อมกันอุปถัมภ์พระอาพาธต่อ
@@@@@@@
ชาวถิ่นชาวค่ายนี้ มีชีวิตที่คุ้นชินกับการสวดมนต์และการอบรมสั่งสอนธรรมอยู่แล้ว พอพูดถึงการสวดคําแปลมงคลสูตร ก็สนใจ รวมทั้งผู้ที่ห่วงใยตามดูแลในระยะอาพาธคราวนี้ ได้แก่ ดร.อัมรินทร์ จันทนะศิริ ดต.มงคล รัตนะรองใต้ และผู้อยู่ประจําคือ นายวิชัย ปะโคทัง ก็ช่วยกันอ่าน คําแปลและทดลองสวด พระครูสังฆวิจารณ์ (พงศธรณ์ เกตุญาโณ) ซึ่งดูแล อยู่ใกล้ชิด นอกจากช่วยสะสางภาระทั่วไปแล้ว ก็ช่วยอ่านช่วยฟังคําแปลนี้ จริงจังด้วย ทําให้ได้ขัดเกลาค่าแปลนั้น จนถือเป็นอันยุติไปคราวหนึ่งก่อน
เป็นอันได้นํามงคลสูตร พร้อมทั้งคําแปล มาเติมท้ายได้เป็น ภาคผนวก เมื่อนับส่วนหน้าที่เพิ่มเข้าไปให้ครบลักษณะหนังสือด้วย รวมเป็น ๑๐๑ หน้า ตั้งชื่อหนังสือว่า สวดมนต์ ต้องไม่โค่นสาธยาย ได้สําเร็จเสร็จการ ในวันที่ ๑๔ มี.ค. ๒๕๖๓
บันทึกนี้เขียนบอกไว้เพื่อให้ท่านที่ติดค้างอยู่ ไม่ว่าที่วัดก็ตาม ที่อื่นใด นอกวัดก็ตาม ซึ่งมีกิจมีงานมีเรื่องราวเกี่ยวข้องไปถึงผู้เขียนนี้ ที่ต้องรออยู่ กับความเงียบเหมือนเรื่องหายไป จักได้เข้าใจว่า งานทําหนังสือ สวดมนต์ ต้องไม่โค่นสาธยาย นี่เอง ได้กักกันเรื่องราวเหล่านั้นไว้ในความเงียบงัน และ เมื่อรู้เข้าใจแล้วคงจะมีจิตผ่อนคลาย ปลงความติดค้างใจให้หมดหายไป
แบบปกหนังสือมี ๒ ท่าน ที่ได้เอื้อเฟื้อออกแบบให้ท่านละ ๑ แบบ คือ แบบที่ ๑ โดย อาจารย์เถกิง พริ้งพวงแก้ว และแบบที่ ๒ โดย คุณสาธิต โยคเสนะกุล ซึ่งได้จัดทําให้พร้อมไว้นานแล้ว ตั้งแต่ก่อนวันทําบุญในเดือนกุมภาพันธ์ ขออนุโมทนาไว้ ณ ที่นี้ เป็นอย่างมาก
ขออนุโมทนาทุกท่านทุกนามที่ได้มีน้ําใจเป็นบุญช่วยเกื้อกูลในด้านต่างๆ โดยตรงบ้าง โดยอ้อมบ้าง ทําให้หนังสือเล่มนี้เสร็จสําเร็จเป็นธรรมทานสมหมาย
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ปยุตฺโต) ๑๔ มีนาคม ๒๕๖๓ ขอยุติการนำเสนอ บทธรรมจากหนังสือ "สวดมนต์ ต้องไม่โค่นสาธยาย" ของ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ปยุตฺโต) ไว้แต่เพียงแค่นี้ ขอขอบพระคุณที่ติดตาม
|
|
|
30
|
เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: สวดมนต์ ต้องไม่โค่น "สาธยาย"
|
เมื่อ: พฤษภาคม 16, 2024, 10:52:36 am
|
. ผนวก : มงคล ๓๘ในวงเล็บ (...) เป็นคําอธิบาย ไม่ต้องสวดคาถาที่ 1. ๑. เว้นคนพาล ไม่คบหา ๒. เสวนาบัณฑิตชน ๓. บูชาคนที่ควรเชิดชู นี่เป็นมงคลอันอุดม
คาถาที่ 2. ๔. อยู่ในถิ่นที่เหมาะ ๕. บ่มเพาะความดีเป็นทุนไว้แต่ต้น ๖. ตั้งตนไว้ถูกทางอย่างมั่นคง นี่เป็นมงคลอันอุดม
คาถาที่ 3. ๗. เล่าเรียนทรงความรู้ให้เชี่ยวชาญ ๘. มีวิชาชีพวิชาช่างที่ชํานาญพร้อมไว้ ๙. มีวินัยที่ได้ฝึกเป็นอย่างดี ๑๐. มีถ้อยวจีที่พูดได้งดงาม นี่เป็นมงคลอันอุดม
คาถาที่ 4. ๑๑. บําารุงมารดาบิดาด้วยกตัญญู ๑๒. ใส่ใจเลี้ยงดูบุตรธิดา ๑๓. เกื้อหนุนภรรยาให้สมเป็นคู่ชีวิต ๑๔. ทํากิจการงานไม่คั่งค้างสับสน นี่เป็นมงคลอันอุดม
คาถาที่ 5. ๑๕. ให้ปันแก่คนทั้งหลาย (มิให้มีใครถูกทอดทิ้ง) ๑๖. มั่นในหลักธรรมจรรยา ๑๗. มีใจน่าพาสงเคราะห์ญาติ ๑๘. ไม่ขาดกิจกรรมดีงามบําเพ็ญประโยชน์ นี่เป็นมงคลอันอุดม
คาถาที่ 6. ๑๙. งดเว้นจากความชั่ว ๒๐. คุมตัวจากของมึนเมา ๒๑. เร่งเร้าตัวไม่ประมาทในธรรม นี่เป็นมงคลอันอุดม
คาถาที่ 7. ๒๒. มีคารวะให้ความสําคัญสมควรแก่คุณค่า ๒๓. กิริยาวาจาอ่อนโยนสุภาพ ไม่กระด้างถือตน ๒๔. สันโดษด้วยลาภผลที่มีตามธรรม(พอใจลาภผลแต่ที่ได้มาด้วยเรี่ยวแรงของตนโดยชอบธรรม) ๒๕. สํานึกกตัญญูรู้ค่าของผู้มีคุณความดี ๒๖. จัดให้มีเวลาฟังธรรมหาความรู้ นี่เป็นมงคลอันอุดม
คาถาที่ 8. ๒๗. เป็นผู้ที่เข้มแข็งอดทน ๒๘. เป็นคนที่พูดกันง่าย ๒๙. ไปพบพระเพื่อเจริญธรรมเจริญปัญญา ๓๐. จัดเวลาสากัจฉาถกปัญหาถูกธรรม นี่เป็นมงคลอันอุดม
คาถาที่ 9. ๓๑. มีตบะห้ามใจไม่มัวเมามุ่งมั่นทําหน้าที่ ๓๒. มีชีวิตดีงามดําเนินในอริยมรรคา ๓๓. มีปัญญาเห็นอริยสัจถึงความจริงของชีวิต ๓๕. สัมฤทธิ์ที่หมายได้ประจักษ์แจ้งนิพพาน นี้เป็นมงคลอันอุดม
คาถาที่ 10. แม้จะถูกโลกธรรมผ่านกระทบ ๓๕. ก็มีใจสงบได้ไม่หวั่นไหว ๓๖. มีใจชื่นสบายไร้โศกศัลย์ ๓๗. มีจิตผ่องใสไร้ธุลีละอองควัน ๓๘. และจิตนั้นเกษมศานต์มั่นคง นี่เป็นมงคลอันอุดม
(คาถาที่ 11. สรุปท้ายมงคล ๓๘) "เหล่าเทวะมนุษย์ได้กอปรมงคลเช่นนี้ เป็นผู้ที่ไม่ปราชัยในทุกสถาน จะถึงความสวัสดีในทุกสถานการณ์ นั่นคือ อุดมมงคลของเทวะมนุษยชน เหล่านั้นแล"
@@@@@@@
มงคลสูตร
คาถาที่ 1. ๑. อเสวนา จ พาลานํ ๒. ปณฺฑิตานญฺจ เสวนา ๓. ปูชา จ ปูชนียานํ เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ
คาถาที่ 2. ๔. ปฏิรูปเทสวาโส จ ๕. ปุพฺเพ จ กตปุญฺญตา ๖. อตฺตสมฺมาปณิธิ จ เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ
คาถาที่ 3. ๗. พาหุสจฺจญฺจ ๘. สิปฺปญฺจ ๙. วินโย จ สุสิกฺขิโต ๑๐. สุภาสิตา จ ยา วาจา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ
คาถาที่ 4. ๑๑. มาตาปิตุอุปฏฺฐานํ ๑๒-๑๓. ปุตฺตทารสฺส สงฺคโห ๑๔. อนากุลา จ กมฺมนฺตา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ
คาถาที่ 5. ๑๕. ทานญฺจ ๑๖. ธมฺมจริยา จ ๑๗. ญาตกานญฺจ สงฺคโห ๑๘. อนวชฺชานิ กมฺมานิ เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ
คาถาที่ 6. ๑๙. อารตี วิรตี ปาปา ๒๐. มชฺชปานา จ สญฺญโม ๒๑. อปฺปมาโท จ ธมฺเมสุ เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ
คาถาที่ 7. ๒๒. คารโว จ ๒๓. นิวาโต จ ๒๔. สนฺตุฏฺฐี จ ๒๕. กตญฺญุตา ๒๖. กาเลน ธมฺมสฺสวนํ เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ
คาถาที่ 8. ๒๗. ขนฺตี จ ๒๘. โสวจสฺสตา ๒๙. สมณานญฺจ ทสฺสนํ ๓๐. กาเลน ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ
คาถาที่ 9. ๓๑. ตโป จ ๓๒. พฺรหฺมจริยญฺจ ๓๓. อริยสจฺจาน ทสฺสนํ ๓๔. นิพฺพานสจฺฉิกิริยา จ เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ
คาถาที่ 10. ผุฏฺฐสฺส โลกธมฺเมหิ ๓๕. จิตฺตํ ยสฺส. น กมฺปติ ๓๖. อโสกํ ๓๗. วิรชํ ๓๘. เขมํ เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ
(คาถาที่ 11.) เอตาทิสานิ กตฺวาน สพฺพตฺถมปราชิตา สพฺพตฺถ โสตฺถึ คจฺฉนฺติ ตนฺเตสํ มงฺคลมุตฺตมนฺติ
(ยังมีต่อ..)
|
|
|
32
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / กมฺมุนา วตฺตตีโลโก | “วัฏจักรแห่งชีวิต” มี 10 ขั้นตอน
|
เมื่อ: พฤษภาคม 16, 2024, 07:09:06 am
|
. กมฺมุนา วตฺตตีโลโก | “วัฏจักรแห่งชีวิต” มี 10 ขั้นตอน การศึกษาว่าด้วย “วิทยาศาสตร์สุขภาพ” ไม่ว่าจะเป็นสายทางโลกหรือสายทางธรรมไม่ได้แตกต่างกันเท่าใด หากวิเคราะห์ดูแล้ววงจรชีวิตของคน หรือที่ว่าด้วย “ชีวิต” หนี “กฎแห่งธรรมชาติ” ไม่พ้น ในวงจรชีวิตภาษาธรรมะ เวลาที่เราไปวัด โดยเฉพาะงานศพ ตอนสวดพระอภิธรรมจะพบเห็นตาลปัตรของพระสงฆ์ 4 รูป ขึ้นสวดพระอภิธรรมว่า “ไปไม่กลับ หลับไม่ตื่น ฟื้นไม่มี หนีไม่พ้น” หรือจะเข้ากับ “ไตรลักษณ์” ที่ว่า “อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา”
แต่หากพิจารณาให้ถ่องแท้แล้ว “วัฏจักรแห่งชีวิต” มี 10 ขั้นตอน
1. เกิด : เป็นช่วงที่เด็กทารกอยู่ในครรภ์มารดา ช่วงเวลา 9 เดือน เมื่อครบกำหนดคลอดออกมาดูโลก ด้วยอวัยวะครบ 32 ประการ มีน้ำหนักตัวเฉลี่ย 2,500-3,500 กรัม
2. เด็ก : เป็นช่วงอายุ 0-12 ปี เป็นเด็กอ่อน มารดาโอบอุ้มเลี้ยงดู กระตุ้นพัฒนาการให้มีสติปัญญาอารมณ์เข้ากับสังคมได้ดี เข้าเรียนวัยก่อนอนุบาล อนุบาล ประถมศึกษา เรียนรู้กล่อมเกลาจากครูอาจารย์
3. หนุ่ม : เป็นช่วงอายุทีนเอจ (Teenage) อายุ 13-19 ปี เด็กเข้าเรียนชั้นมัธยมศึกษา ประมาณอายุ 17-18 ปี
4. รับปริญญา ประมาณอายุ 17-18 ปี เข้าเรียน “มหาวิทยาลัย” อีก 4-6 ปี ก็จะจบปริญญา ประมาณอายุ 21-24 ปี ได้รับความรู้ประสบการณ์จากอาจารย์มหาวิทยาลัย เพื่อนๆ
5. เข้าทำงาน หรือได้รับการศึกษาประสิทธิ์ประสาทปริญญาแล้ว ไปสมัครงานเข้าทำงาน ไม่ว่าจะทำธุรกิจที่บ้านเอง รับราชการ เป็นลูกจ้างร้านค้า รัฐวิสาหกิจ มีเงินเดือนหารายได้เป็นของตัวเอง
6. แต่งงาน : พอมีเงินมีหลักมีฐาน พอมีรายได้เข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ ก็จะพบคู่ คู่รัก คู่เพื่อน ช่วงวัย 25-35 ปี หากดวงสมพงศ์ก็จะเข้าประตูวิวาห์ตามกรอบวัฒนธรรมประเพณี มีหลักฐานของชีวิตตามที่พ่อแม่คาดหวังจากลูกทุกคนที่เป็นบัณฑิต มีครอบครัว เป็นหลักเป็นฐาน
7. เลี้ยงลูก : ครอบครัวที่อบอุ่นสมหวังคือการมี “ทายาท” ไว้สืบตระกูลเป็นชายก็ได้หญิงก็ดี เป็นลูกที่เกิดมาสมบูรณ์ครบทุกประการ เราทั้งสองที่เป็นคู่สามีภรรยาก็จะมีสถานะเป็น “คุณพ่อคุณแม่” ของลูกซึ่งจะเข้าวงจรที่เรา “จุติ” มาเกิดจากท้องพ่อ-แม่ของเรา และเลี้ยง “ลูก” ของเราให้เจริญเติบโต ฟูมฟักกล่อมเกลาเหมือนกับปู่ย่า ตายาย ที่คลอดและเลี้ยงเรามาอย่างน้อยก็ให้ดีเท่าหรือดีกว่าพ่อแม่ที่คลอด เลี้ยงเรามาพร้อมกับฐานะให้ “มั่นคง มีกิน มีใช้ ตามสมควร” เป็นรากฐานให้ลูก ช่วงนี้ก็จะอายุ 35-50 ปี
8. แก่ชรา : หากเรามีลูก 1-2 คน ท่านหากินอายุล่วงเข้า 50-60 ปีขึ้นไป เข้าสู่วัยทอง เข้าสู่วัยชรา หน้าที่นอกจากทำมาหากิน เราต้องดูแลสุขภาพกายและจิตของเรา เรื่องอาหารการกิน การออกกำลังกาย อารมณ์ เลี่ยงอบายมุขทั้งปวงด้วย ก็จะไม่ป่วยไข้และอายุยืนยาวในที่สุด
9. เจ็บป่วย : ด้วยอายุ 60 ปีขึ้นไป ถึง 70-80 ปี ดูแลสุขภาพ “3อ 3ลด” จากที่กล่าวแล้วควรจะต้องตรวจเช็กสุขภาพกายใจทุกปี ปีละอย่างน้อย 1-2 ครั้ง โดยเฉพาะการเกิดโรคไม่ติดต่อ คือเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคจิตประสาท โรคมะเร็ง อุบัติเหตุ เพราะเราสามารถจะป้องกันได้ด้วย “3อ 3ลด” แต่ด้วยเรื่องสังขารหนีไม่พ้น เรื่อง “การเจ็บป่วย” ด้วยวัยอันควรตามฐานะย่อมต้องเกิดแต่กว่าจะเกิดก็ขอให้อายุมากกว่า 80 ปีขึ้นไป และจะเข้าสู่บันไดข้อที่…
10. ตาย : ซึ่งเป็นบันไดขั้นสุดท้ายที่ทุกคนต้องถึงหลักชัยในชีวิตของทุกๆ คน พึงจะต้องถึงแน่ๆ แต่ขอให้จบชีวิตด้วย “ความสุขที่ได้บังเกิด อย่างมีคุณภาพชีวิตที่ดี” ⦁ “วิถีทางแห่งชีวิต” ทางธรรมะ กล่าวว่า “ยงฺกิญฺจิ สมุทยธมฺมํ สพฺพนฺตํ นิโรธธมฺมํ สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดเป็นธรรมดา สิ่งนั้นล้วนดับไปเป็นธรรมดา”
⦁ เราเกิดมาจากไหนใครไม่รู้ จะไปสู่แห่งไหนใครไม่เห็น จะตายเช้าหรือสาย บ่ายหรือเย็น ไม่มีเว้นทุกคนจนปัญญา แต่ว่าชีวิตที่เกิดมาจะเป็น “คนหรือมนุษย์”
⦁ “คน” เป็นสัตว์โลกชนิดหนึ่ง ซึ่งมีความเป็นอยู่เหมือนสัตว์ทั้งหลาย คือ มีการกิน การนอน การกลัว การสืบพันธุ์
ส่วน “มนุษย์” นั้นสูงกว่า “คน” เพราะมีธรรมของมนุษย์ คือมี “เบญจศีล เบญจธรรม” มนุษย์มีความหมาย 2 อย่าง คือ 1. ผู้มีใจสูง (มโน อุสฺโส อัสฺสาติ, มนุสโส) 2. ผู้รู้สิ่งที่เป็นประโยชน์และไม่เป็นประโยชน์ (หิตาหิตํ มนติชานาติ มนุสฺโส) ดังคำกลอนที่ว่า “เป็นมนุษย์ เป็นได้ เพราะใจสูง เหมือนหนึ่งยูง มีดี ที่แววขน ถ้าใจต่ำ เป็นได้ แต่เพียงคน ยอมเสียที ที่ตน ได้เกิดมา คิดดูเถิด ถ้าใคร ไม่อยากตก จงรีบยก ใจตน รีบขวนขวาย ให้ใจสูง เสียได้ ก่อนตัวตาย ก็สมหมาย ที่เกิดมา อย่าเชือนเอย”
@@@@@@@
“คนกับกรรม” : คนทำความดีได้ง่าย แต่ทำชั่วได้ยาก คนชั่วทำความชั่วได้ง่าย แต่กลับทำดีได้ยาก แต่ที่ได้กล่าวเบื้องต้นแล้วว่า “คนกับมนุษย์” นั้นต่างกัน
ขอกล่าวซ้ำอีกครั้งหนึ่งที่ว่า มนุษย์ คือ สัตว์โลกที่มีจิตใจสูง มีเหตุผลมี “ศีลธรรม” ส่วนคน เป็นสัตว์โลกที่มีจิตใจต่ำ ไม่มีศีลธรรม ไม่มีเหตุผล คำว่า “มนุษยธรรม” จึงแปลว่า “ธรรมที่ทำคนให้เป็นมนุษย์” ที่สมบูรณ์ทั้งร่ายกายและจิตใจ เมื่อพัฒนาจิตใจจาก “คน” ขึ้นมาเป็น “มนุษย์” ได้ก็ถือเป็น “คนดี” นั่นเอง
คำว่า “กรรม” เป็นคำกลางๆ แปลว่า “การ กระทำ” ทำดี เรียกว่า “กรรมดี” หรือ “กุศลกรรม” ทำชั่ว เรียกว่า “กรรมชั่ว” หรือ “อกุศลกรรม” ทั้งกรรมดีและกรรมชั่วนี้ทำได้หรือเกิดได้ 3 ทาง คือ ทางกาย ทางวาจา ทางใจ (คิด)
ตัวอย่างง่ายๆ : เรารับประทานอาหาร เป็น “กรรม” กรรมอิ่มเป็นผลของกรรม คือ “วิบากของการรับประทาน” แล้วเราอิ่มก็เป็นของเรา คนอื่นจะอิ่มแทนเราไม่ได้ จึงเป็นกฎตายตัวเลยว่า ใครก็ตามที่ “ทำกรรม” แล้ว จะต้องเป็นผู้รับผลของกรรมเสมอ
พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้และให้คิดอยู่เสมอว่า “เรามีกรรมเป็นของของตน จะต้องเป็นผู้รับผลของกรรม มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย ใครทำกรรมอันใดไว้ จะดีหรือชั่วก็ตาม จะเป็นผู้รับผลของกรรมนั้นๆ”
หรืออาจกล่าวได้ว่า “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” นี้เป็นกฎความจริงธรรมดา ที่จะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ เราปลูกต้นมะม่วงก็จะออกผลมาเป็นมะม่วง จะเป็นผลทุเรียนไปไม่ได้
มีผู้คิดอย่างพาลว่า “ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป” นั้นอยากจะบอกว่านั่นไม่จริงหรอก คนที่พูดอย่างนี้ เพราะเขาทำความดีไม่เป็น ไม่เข้าใจว่าการทำดีนั้นจะต้องให้มี 3 ดี คือ “ถูกดี ถึงดี และพอดี”
ถูกดี : ก็คือ ทำดีให้ถูกกาลเทศะให้ถูกจังหวะ และพอเหมาะพอควร ถึงดี : ก็คือ ทำดียังไม่ทันถึงดี ก็เบื่อหน่ายท้อแท้ เกียจคร้าน เลิกทำดีเสียแล้ว พอดี : ก็คือ บางคนทำดีเกินพอดี ล้ำหน้าเพื่อนฝูง เอาเด่นเอาดังคนเดียว อย่างนี้จะดีได้อย่างไร หรือพูดง่ายๆ ก็คือ “ทำดีต้องใจบริสุทธิ์” ⦁ ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี ที่ได้โปรดชี้ธรรมไว้นิมิต หลังจากที่ท่านล่วงลับไปแล้วเมื่อ 100 ปีกว่า กล่าวว่า
“ลูกเอ๋ย ก่อนจะเที่ยวไปขอบารมีหลวงพ่อองค์ใด เจ้าจะต้องมีทุนของตัวเอง คือ บารมีของตนลงทุนไปก่อนเมื่อบารมีของเจ้าไม่พอ จึงค่อยขอยืมบารมีคนอื่นมาช่วย มิฉะนั้นเจ้าเอาตัวไม่รอด เพราะหนี้สินในบุญบารมีที่เที่ยวไปขอยืมมาจนพ้นตัว เมื่อทำบุญทำกุศลได้ บารมีมาก็ต้องเอาไปผ่อนใช้หนี้เขาจนหมด ไม่มีอะไรเหลือติดตัว แล้วเจ้าจะมีอะไรไว้ภพหน้า หมั่นสร้างบารมีไว้ แล้วฟ้าดินจะช่วยเอง จงจำไว้นะ เมื่อยังไม่ถึงเวลา เทพเจ้าองค์ใดจะคิดช่วยเจ้าไม่ได้ ครั้นถึงเวลา ทั่วฟ้าจบดิน ก็ต้านเจ้าไม่อยู่ จงอย่าไปเร่งเทวดาฟ้าดิน เมื่อบุญเราไม่เคยสร้างไว้เลย จะมีใครที่ไหนมาช่วยเจ้า…”
นี่คือคำเทศน์ของท่านเจ้าประคุณสมเด็จพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี อันเป็นปฐมเหตุที่ต้องสร้างความดีอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
อนึ่ง เรามักจะได้ยินได้ฟังเสมอว่า การทำบุญให้ทานจะมีผลมาก มีอานิสงส์ไพศาล ถ้าประกอบด้วยองค์ 6 ประการ คือ
1. ก่อนให้มีใจผ่องใสชื่นบาน 2. เมื่อกำลังให้จิตใจผ่องใส 3. เมื่อให้แล้วก็มีความยินดีไม่เสียดาย 4. ผู้รับเป็นผู้ปราศจากราคะ หรือกำลังปฏิบัติเพื่อลดราคะ 5. ผู้รับเป็นผู้ปราศจากโทสะ หรือกำลังปฏิบัติเพื่อลดโทสะ 6. ผู้รับเป็นผู้ปราศจากโมหะ หรือกำลังปฏิบัติเพื่อลดโมหะ
นั่นคือ ถ้าหากเรา “คิด พูด ทำ” ด้วยการทำ “กรรมดี” ไม่ฆ่าสัตว์ คนอายุยืน “ไม่เบียดเบียนสัตว์” สุขภาพดี “อดทนไม่โกรธ” ผิวพรรณดี “ไม่ริษยาคนอื่น” มีเดชานุภาพมาก “บริจาคทาน” มีสมบัติมาก “อ่อนน้อม” มีตระกูลสูงศักดิ์ “คบแต่บัณฑิต” มีปัญญามาก “ผลการทำกรรมดี ย่อมได้ผลดีตามมา” นั่นคือ “สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม”
@@@@@@@
ท้ายสุดขอฝากแฟนๆ มติชนทุกท่าน ด้วยการดูแลสุขภาพของตนเองและคนในครอบครัวให้ปลอดจากโรคไวรัสโควิด-19 ด้วยหลัก 5 ประการ คือ
1. เร่งฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้ตัวเราเองให้ครบ อย่าลืม “3อ” ออกกำลังกาย ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ อารมณ์ดี 3ลด : ลดอ้วน ลดละเหล้า ลดละบุหรี่ 2. ใส่ Mask 100% ทุกที่ทุกเวลา 3. กินร้อนช้อนส่วนตัว อาหารจานเดียว แยกกันทาน 4. ล้างมือบ่อยๆ ด้วยสบู่ แอลกอฮอล์ 5. สังเกตตัวเอง ถ้ามีอาการไข้หวัด ไข้สูงมากกว่า 37.5 องศา หายใจขัด รีบไปพบแพทย์ทันทีเพื่อตรวจว่าติดเชื้อโควิด-19 หรือไม่ ไงเล่าครับ
ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.นพ.วิชัย เทียนถาวร อดีตปลัดกระทรวงสาธารณสุข
ขอบคุณที่มา : https://www.matichon.co.th/article/news_2905914วันที่ 26 สิงหาคม 2564 -12:33 น. | ผู้เขียน : วิชัย เทียนถาวร
|
|
|
33
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / พระพรหมที่ยังมีลมหายใจ
|
เมื่อ: พฤษภาคม 16, 2024, 06:46:00 am
|
. พระพรหมที่ยังมีลมหายใจ คอลัมน์ทำมาธรรมะ โดย ราชรามัญผมเคยไปเป็นวิทยากรที่โรงเรียนวิถีพุทธปัญญาประทีป ในอำเภอปากช่องจังหวัดนครราชสีมา อยู่ติดกับสำนักสงฆ์บ้านไร่ทอสี พอทราบว่ามีพระเถระรูปสำคัญอย่างท่านเจ้าประคุณ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ประยุทธ ปยุตฺโต) และท่านพระอาจารย์ชยสาโร พำนักจำวัดอยู่ ยิ่งทำให้หัวใจพองโตยิ่งนัก
พระอาจารย์ชยสาโร เคยพบท่านครั้งแรกสมัยผมเป็นนักเขียนในนิตยสารโลกทิพย์ ไปกราบท่าน สนทนากับท่านที่วัดป่านานาชาติ เป็นวัดสาขาของวัดหนองป่าพง ที่อุบลราชธานี ขณะนั้นท่านเป็นประธานสงฆ์ หรือ เจ้าอาวาส ที่นั่นมีแต่พระภิกษุชาวยุโรป อเมริกา และทั่วโลกจำวัดศึกษาปฏิบัติธรรม จำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว...
วันนี้พระอาจารย์ชยสาโร พระป่าสายหลวงพ่อชา วัดหนองป่าพง ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯเป็นพระราชาคณะชั้นรอง ที่พระพรหมพัชรญาณมุนี ก็ต้องเรียกท่านด้วยความเคารพว่า ท่านเจ้าคุณ จึงเหมาะแก่กาลเทศะยิ่ง
ท่านเป็นพระที่มุ่งมั่นในการเผยแผ่ธรรม และมีปฏิปทาที่งดงามเพียบพร้อมศีลและธรรม ท่านอธิบาย เรื่องภาวะอารมณ์ของการปฏิบัติธรรม ในแต่ละช่วงแต่ละตอนได้อย่างละเอียดมากกว่าที่ตำราเขียนไว้ เพราะทุกถ้อยคำล้วนมาจากประสบการณ์จริงที่ท่านได้ปฏิบัติอย่างเคร่งครัด
@@@@@@@
ครั้งหนึ่งเคยกราบเรียนถามท่านว่า มาศึกษาธรรมะ นั่งสมาธิภาวนาแบบนี้ เคยพบเทวดาบ้างไหม ถามครั้งแรกท่านก็ยิ้มน้อยๆ แต่ไม่ตอบ ถามครั้งที่ 2 ท่านก็นิ่งเฉย พอถามครั้งที่ 3 ท่านก็เลยเบาๆว่า
"เป็นธรรมดาของนักปฏิบัติ"
การถาม เป็นการที่ผมอยากรู้จริงๆ ว่าเทวดาจะมาหาแต่พระไทยหรือไม่ ปรากฏว่า จากคำตอบของท่านก็ทำให้อนุมานทราบได้ว่า เทวดานั้น มิได้เลือก ว่าเป็นพระไทยหรือพระต่างประเทศ ถ้ามีปฏิปทางดงามยิ่ง ก็จะเกิดความเคารพศรัทธาคอยดูแลปกป้อง ให้รอดปลอดภัย ในการดำรงสมณะเพศ
อีกสิ่งหนึ่งที่ บรรดาศิษย์ยานุศิษย์ ต่างกล่าวเป็นเสียงเดียวกัน คือท่านเป็นพระที่มากด้วยความเมตตา ความกรุณาเต็มหัวใจ ท่านมองโลกมองบุคคลทั้งหลาย ด้วยพึงอาศัยหลักแห่งธรรมในเชิงกุศล หรือพูดง่ายๆ ว่าท่านเป็นคนที่มีแนวคิด ทัศนคติไปในเชิงบวก โดยมีหลักธรรมสอดแทรกในการพิจารณาอยู่ตลอดเวลาแม้ว่าท่านจะได้รับการแต่งตั้งมีสมณศักดิ์ แต่ปฏิปทาในการปฏิบัติตามแนวทางวัดป่าของท่านนั้นก็ไม่เคยเปลี่ยน เคยฟังท่านอธิบายอารมณ์ภาวนาสมาธิ เรื่องฌาน 4 นี่ฟังเป็นของง่ายไปเลยแต่ความจริงต้องใช้ขันติบารมีในการปฏิบัติมากพอควร แต่สิ่งหนึ่งที่ผมสัมผัสกับตนเอง เมื่อคราวพบท่านที่วัดป่านานาชาติครั้งนั้น นั่งใกล้ๆ ท่านแล้วสามารถสัมผัสกระแสไอเย็นปีติพัดผ่านทุกซอกของหัวใจได้อย่างชนิดที่มีน้ำตาซึมขณะได้ฟังธรรมร่วมกับญาติธรรมคนอื่นๆ
พอท่านนำภาวนาไปสัก 40 นาที เมื่อถึงเวลาพัก ครั้นพอท่านลืมตาขึ้น แววตาของท่านใสเป็นประกายดุจเพชรมีน้ำนัยตาเออใส คล้ายพระอริยสงฆ์เพิ่งออกจากสมาบัติธรรม
จำได้ติดตากับภาพ... หลังท่านฉันกังหันแล้ว (ฉันข้าวมื้อเดียว) เป็นการฉันรวมในบาตร คือ เดินตักอาหารที่ญาติธรรมถวายตักใส่บาตร ทั้งคาวแลหวานและผลไม้รวมกันในบาตร เมื่อฉันแล้วล้างบาตรเอง เก็บผ้าปูอาสนะเอง มีผ้าขาวมาช่วยบางครั้ง
ผ้าขาว คือ ผู้ถือศีลแปดเป็นชาวต่างชาติ ก่อนจะบวชธรรมเนียมพระสายหลวงพ่อชาจะให้เป็นผ้าขาวก่อนเพื่อดูจริตนิสัย และฝึกฝนอบรมอุปนิสัยแห่งนักบวชก่อน ก่อนที่จะบวชให้ @@@@@@@
วันนี้ท่านเป็นพระราชาคณะที่รองสมเด็จ ราชทินนามว่า พระพรหมพัชรญาณมุนี ท่านเป็นดุจพระพรหมที่มีลมหายใจอันอุดมด้วย เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ตามคำสอนแห่งพรหมวิหารสี่ ขององค์พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ เป็นหน่อเนื้อแห่งโพธิธรรม ที่เกิดในแผ่นดินที่เจริญด้วยวัตถุ วิทยาศาสตร์ ในสหราชอาณาจักร แต่ทว่าจิตวิญญาณมุ่งมั่นในด้านพุทธธรรม นับได้ว่า วาสนาบารมีธรรมของท่านแต่เก่าก่อนย่อมพอดีพอธรรมอย่างสุดที่จะหาคำใดเทียบเคียงได้
ใครมีโอกาสได้กราบสักการะท่าน มักจะได้รับธรรมะสมควรแก่ตนเสมอ เพราะท่านมักซ่อนกายหลีกเร้นศึกษาปฏิบัติธรรม พระดีพระแท้แบบนี้นับวันจะหายากครับThank to : https://www.thansettakij.com/blogs/lifestyle/horoscope/59612016 พ.ค. 2567 | 04:30 น.
|
|
|
34
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เปิดประวัติ พระธรรมพัชรญาณมุนี (พระอาจารย์ชยสาโร) พระราชาคณะเจ้าคณะรองคนใหม่
|
เมื่อ: พฤษภาคม 16, 2024, 06:39:01 am
|
. เปิดประวัติ พระธรรมพัชรญาณมุนี (พระอาจารย์ชยสาโร) พระราชาคณะเจ้าคณะรองคนใหม่พระธรรมพัชรญาณมุนี หรือพระอาจารย์ชยสาโร ได้รับการประกาศสถาปนาสมณศักดิ์ จากพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ มหิศรภูมิพลราชวรางกูร กิติสิริสมบูรณอดุลยเดช สยามินทราธิเบศรราชวโรดม บรมนาถบพิตร พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม โปรดสถาปนาให้พระธรรมพัชรญาณมุนี ขึ้นเป็นพระราชาคณะเจ้าคณะรองคนใหม่ มีประวัติอย่างไร
@@@@@@@
ประวัติ พระธรรมพัชรญาณมุนี
พระธรรมพัชรญาณมุนี หรือพระอาจารย์ชยสาโร มีชื่อเดิมว่า ฌอน ไมเคิล ชิเวอร์ตัน เกิดบนเกาะไอล์ออฟไวท์ ประเทศอังกฤษ เมื่อปี 2501 ในปี 2521 ท่านได้ฝากตัวเป็นศิษย์กับหลวงพ่อชา (ชา สุภัทโท พระโพธิญาณเถร) ที่วัดหนองป่าพง จังหวัดอุบลราชธานี ในปี 2523 ท่านได้บรรพชาเป็นสามเณร และต่อมาในวันที่ 3 มิถุนายน 2523 ได้อุปสมบทโดยมีหลวงพ่อชาเป็นพระอุปัชฌาย์
เมื่อครบการฝึกตนเป็นพระนวกะ 5 พรรษาแล้ว พระอาจารย์ชยสาโรได้ออกธุดงค์และปลีกวิเวกจนถึงช่วงเข้าพรรษาปี 2529 ท่านจึงเดินทางกลับจังหวัดอุบลราชธานี หลังจากนั้นท่านอยู่ที่วัดป่านานาชาติเป็นส่วนใหญ่โดยรับหน้าที่เป็นรองเจ้าอาวาส
ตลอดระยะเวลาหลายปีหลังจากนั้น ท่านได้สลับหมุนเวียนระหว่างช่วงเวลาในการปลีกวิเวกและการปฏิบัติหน้าที่ตามตำแหน่งในคณะสงฆ์ ระหว่างนี้ท่านได้รับความไว้วางใจจากคณะสงฆ์อาวุโสในการเขียนเรียบเรียงชีวประวัติของหลวงพ่อชา ซึ่งท่านตั้งชื่อผลงานชิ้นนี้ว่า ‘อุปลมณี’ ในปี 2540 ท่านได้รับหน้าที่เป็นเจ้าอาวาสวัดป่านานาชาติจนถึงสิ้นปี 2545
ตั้งแต่ต้นปี 2546 พระอาจารย์ชยสาโรได้ปลีกวิเวกมาพำนักอยู่ที่อาศรมชนะมาร อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา และพร้อมไปกับการมุ่งต่อกิจส่วนตัวของท่าน พระอาจารย์ยังนำปฏิบัติธรรมให้ญาติโยมเป็นระยะๆ ที่สถานที่ปฏิบัติธรรมบ้านบุญ รวมถึงมีบทบาทในการนำหลักการพัฒนาชีวิตวิถีพุทธเข้าสู่ระบบการศึกษา
@@@@@@@
พระอาจารย์ชยสาโรได้เขียนหนังสือธรรมะทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษไว้มากมาย โดยจำนวนหนึ่งมีการนำไปแปลเป็นภาษาอื่นๆ งานเขียนภาษาอังกฤษชิ้นล่าสุดของท่าน คือ ‘Stillness Flowing’ เป็นงานชิ้นสำคัญซึ่งบันทึกชีวประวัติและคำสอนของหลวงพ่อชาโดยละเอียด
ในปี 2554 พระอาจารย์ชยสาโรได้รับมอบปริญญาเอกกิตติมศักดิ์ในสาขาวิชาธรรมนิเทศจากมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย และในปี 2562 ท่านได้รับพระราชทานแต่งตั้งสมณศักดิ์เป็น พระราชพัชรมานิต จากพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ต่อมาในปี 2563 ท่านได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็น พระเทพพัชรญาณมุนี และได้รับพระราชทานสัญชาติไทย ทั้งนี้ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป. อ. ปยุตโต) ได้เมตตาตั้งนามสกุลภาษาไทยให้ว่า 'โพธานุวัตน์' และในปี 2564 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็น พระธรรมพัชรญาณมุนี
ล่าสุด วันที่ 13 พ.ค. 2567 พระธรรมพัชรญาณมุนี ได้รับการโปรดสถปนาขึ้นเป็นพระราชาคณะเจ้าคณะรอง มีราชทินนามตามที่จารึก ในหิรัญบัฏว่า พระพรหมพัชรญาณมุนี ศรีวิปัสสนาธุราจารย์ ไพศาลวิเทศศาสนกิจ วิสิฐสีลาจารดิลก สาธกธรรมวิจิตร มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี สถิต ณ สถานพํานักสงฆ์บ้านไร่ทอสี จังหวัดนครราชสีมา มีฐานานุศักดิ์ตั้งฐานานุกรมได้ 8 รูปThank to : https://www.thairath.co.th/lifestyle/life/278529213 พ.ค. 2567 18:31 น. | ไลฟ์สไตล์ > ไลฟ์ > ไทยรัฐออนไลน์ ข้อมูลอ้างอิง : มูลนิธิปัญญาประทีป
|
|
|
35
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เปิดประวัติ หลวงปู่ศิลา ตำนานภาพปิดทองหลังพระของจริง
|
เมื่อ: พฤษภาคม 15, 2024, 06:20:07 am
|
. เปิดประวัติ หลวงปู่ศิลา ตำนานภาพปิดทองหลังพระของจริงเปิดประวัติ หลวงปู่ศิลา ตำนานภาพปิดทองหลังพระของจริง ลูกศิษย์ลูกหาหลั่งไหลเข้ากราบวันละนับหมื่นคน
เฟซบุ๊กเพจ ศรัทธาบารมี หลวงปู่ศิลา สิริจันโท ได้แชร์เรื่องราวตำนานปิดทองหลังพระ โดยระบุว่า "ครั้งหนึ่งมีผู้ศรัทธาท่านหนึ่ง เห็นภาพหลวงปู่ศิลาในเฟซบุ๊ก ไม่รู้จักหลวงปู่มาก่อน คิดว่าหลวงปู่ท่านละสังขารแล้ว แต่เกิดปิติศรัทธา
จึงบนบานกับภาพในเฟซนั้นในสิ่งที่ตนทุกข์ใจอยู่ว่า หากสำเร็จจะไปปิดทองรูปเหมือนหลวงปู่ที่วัด ปรากฏว่า ทุกอย่างผ่านพ้นได้ตามคำบนประสงค์ จึงสุ่มเดามาที่วัด ซึ่งยุคนั้นที่วัดไม่มีรูปเหมือนหลวงปู่เลย มีแต่องค์จริงท่านนั่งอยู่บนกุฏิสองผัวเมียจึงขอโอกาสแก้บนโดยการปิดทอง หลวงปู่ก็เมตตา
ที่วัดพระธาตุหมื่นหินและธรรมอุทยาน จึงมีรูปหล่อหลวงปู่ไว้ให้ท่านปิดทอง เชิญทุกท่านกราบขอพร ปิดทองตามอัธยาศัย ขอบารมีหลวงปู่คุ้มครองให้ทุกท่านมีโชคลาภ อำนาจ วาสนา เจริญด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ ประสบสิ่งอันพึงปรารถนาทุกทิพาราตรีกาลเทอญ"
เรื่องนี้นับเป็นหนึ่งในเรื่องที่ลูกศิษย์ของหลวงปู่ศิลา หรือ หลวงปู่มหาศิลา แชร์ในเรื่องของความศรัทธา ปาฏิหาริย์ต่างๆ ซึ่งหลวงปู่มีเมตตากับประชาชนที่เข้ามากราบไหว้ โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 8 พ.ค.ที่ผ่านมา ที่ธรรมอุทยานหลวงปู่ศิลาสิริจันโทบ้านแกเปะ ต.เชียงเครือ อ.เมือง จ.กาฬสินธุ์ ศิษยานุศิษย์ พุทธศาสนิกชนได้เข้าร่วมพิธีถวายกุฏิพระราชวัชรธรรมโสภณ (หลวงปู่ศิลาสิริจันโท)
โดยมีนายสนั่น พงษ์อักษร ผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์เป็นประธานฝ่ายฆราวาส พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการจากหลายหน่วยงานร่วมจุดธูปเทียนบวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หลังจากนั้นพระสงฆ์ได้สวดเจริญพระพุทธมนต์และเจริญชัยมงคลคาถาเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ผู้เข้าร่วมงาน
โดยหลวงปู่ศิลาสิริจันโท ได้มอบให้พระครูปลัดวชิรโสภณญาณ (ชัยชุตินธโร) รักษาการเจ้าอาวาสวัดพระธาตุหมื่นหิน (ธ) เป็นตัวแทนกล่าวโอวาทธรรมเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ผู้เข้าร่วมงาน ซึ่งมีใจความหนึ่งว่า
“เกิดมาเป็นมนุษย์ก็ดีพอแฮงแล้วหละ ได้พบพระพุทธศาสนาก็เป็นของดีพอแฮงแล้วหละ ได้รู้แจ้งทางโลกทางพรหมโลกทางสวรรค์จนฮอดพระนิพพานพู้นหละกะ เป็นของดีแล้วหละ ให้ปฏิบัติเอาให้หมั่นทำบุญทำทาน ให้หมั่นสร้างบุญสร้างกุศล”
หลวงปู่ศิลาสิริจันโท ยังได้เป่าสังข์แสดงพลังว่ายังแข็งแรงดีอยู่ ทำให้ลูกศิษย์ต่างสาธุขอให้องค์หลวงปู่มีสุขภาพแข็งแรงอยู่เผยแผ่พุทธศาสนาและบารมีให้ลูกศิษย์ลูกหาได้พึ่งพาอาศัยบารมีหลวงปู่นานๆ ด้วยประวัติหลวงปู่มหาศิลา
หลวงปู่พระมหาศิลาสิริจันโทมีนามเดิมชื่อ ศิลา นิลจันทร์ เกิดเมื่อ 14 ตุลาคม พ.ศ.2488 ขึ้น 8 ค่ำ เดือน 11 ปีระกา ปัจจุบันอายุ 78 ปี เป็นบุตรของนายแก่น และนางน้อย นิลจันทร์ บรรพชาเป็นสามเณรเมื่อครั้งอายุ 15 ปี ณ วัดธาตุประทับ และอุปสมบทสังกัดมหานิกายเมื่อปี พ.ศ.2509 ณ วัดบูรพาภิราม จ.ร้อยเอ็ด โดยพระสิริวุฒิเมธี (เจ้าคณะ จ.ร้อยเอ็ด สมัยนั้น)
หลวงปู่พระมหาศิลาศึกษาปริยัติอย่างมุ่งมั่นจนสอบได้นักธรรมชั้นเอกและเปรียญธรรม 6 ประโยครับพัดเปรียญกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ร.9 เมื่อปี พ.ศ.2515 ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม และได้รับหน้าที่เป็นพระอาจารย์สอนที่ รร.วัดนิคมคณาราม จ.ร้อยเอ็ด และรับหน้าที่เป็นพระที่สวดปาฏิโมกข์ในการลงอุโบสถของคณะสงฆ์ตลอดมา
เมื่อแตกฉานด้านปริยัติแล้ว หลวงปู่พระมหาศิลาได้จาริกแสวงบุญปลีกวิเวกไปหลายจังหวัด เช่น จ.อุดรธานี จ.หนองคาย จ.ชัยภูมิ ได้เดินธุดงค์ป่า ณ ภูเขา อ.สังคม จ.หนองคาย สู่ภูเขาควาย สปป.ลาว ในปี พ.ศ.2517 เดินทางไปกับหลวงพ่อบ้านชาติ วัดบ้านชาติ จ.ร้อยเอ็ด (มรณภาพแล้ว) ได้พบกับครูบาอาจารย์มากมาย เช่น หลวงปู่ทองมาถาวโร, หลวงปู่มหาบุญมีสิรินธโร, หลวงปู่ลีกุสลธโร และเป็นสหธรรมมิกกับครูบาอาจารย์หลายรูป เช่น หลวงพ่อสมานธัมรักขิตโต, หลวงปู่หนูอินทวัณโณ, หลวงปู่สมสิทธิ์รักขิสีโล, หลวงปู่ล้อมสีลสังวโรหลวงปู่พระมหาศิลาได้ร่ำเรียนวิปัสนาและเรียนอักษรธรรมลาว อ่านหนังสือจากใบลานอีสานได้อย่างแตกฉาน และได้ศึกษาคัมภีร์ใบลานสายสมเด็จลุนจาก สปป.ลาว หลายฉบับศึกษาจนแตกฉาน
ตั้งแต่ปี พ.ศ.2550 เป็นต้นมา หลวงปู่พระมหาศิลาได้ปลีกวิเวกหลายที่ ไม่ว่าจะเป็นป่าช้าร้างหลายแห่ง จนหลวงพ่อเจ้าอาวาสวัดโพธิ์ศรีสะอาดซึ่งเคารพนับถือท่านมากได้กราบนิมนต์ท่านมาจำพรรษาที่วัด โดยหลวงปู่ประสงค์จะปลีกวิเวก ณ สวนสงฆ์บ้านแกเปะ เหล่าศิษยานุศิษย์จึงร่วมกันสร้างกุฏิถวายหลวงปู่ศิลาได้จำพรรษาตลอดมา
พระธรรมรัตนดิลก เจ้าอาวาสวัดสุทัศน์เทพวราราม ได้มีความเลื่อมใสในองค์หลวงปู่ได้นิมนต์ท่านขึ้นไปร่วมงานพุทธาภิเษกพระกริ่งวัดสุทัศน์ฯ และหลายวัดในภาคอีสานจะกราบอาราธนาหลวงปู่ไปร่วมปรกแทบทุกงาน เนื่องจากเหล่าศิษยานุศิษย์ได้ประจักษ์แก่สายตาเรื่องพุทธาคมวัตรปฏิบัติ ความเมตตา ความสันโดษ และเรื่องญาณหยั่งรู้ที่ท่านสามารถล่วงรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าอย่างน่าอัศจรรย์Thank to :- ภาพจาก : facebook ศรัทธาบารมี หลวงปู่ศิลา สิริจันโท URL : https://www.amarintv.com/article/detail/64721Powered by amarintv | 14 พ.ค. 67
|
|
|
36
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ฤดูฝนนี้ไทยจะเป็นอย่างไร หากเอลนีโญกำลังจากไป และลานีญากำลังจะมาแทน
|
เมื่อ: พฤษภาคม 14, 2024, 06:52:08 am
|
. ฤดูฝนนี้ไทยจะเป็นอย่างไร หากเอลนีโญกำลังจากไป และลานีญากำลังจะมาแทนSummary- โลกร้อนขึ้นจนหลายคนสัมผัสได้อย่างชัดเจนและกำลังมาพร้อมภัยธรรมชาติที่กำลังกระทบไปทั่วโลก
- ปัจจุบันองค์การบริหารมหาสมุทรและชั้นบรรยากาศแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา (NOAA) คาดการณ์ว่าเอลนีโญจะสิ้นสุดในช่วงนี้จนถึงเดือนมิถุนายน และจะเปลี่ยนเป็นปรากฏการณ์ลานีญาระหว่างเดือนมิถุนายนถึงสิงหาคม
- โอกาสที่ปรากฏการณ์ลานีญาเข้ามาแทนเอลนีโญจึงเป็นที่น่าเป็นห่วงว่ารัฐไทยจะมีแผนรับมืออย่างไรกับพายุฝนและน้ำท่วมที่อาจเกิดขึ้นต่อเนื่องในช่วงฤดูฝนที่กำลังใกล้เข้ามาในอีกไม่ช้า
โลกร้อนขึ้นจนหลายคนสัมผัสได้อย่างชัดเจนและกำลังมาพร้อมภัยธรรมชาติที่กำลังกระทบไปทั่วโลก ซึ่งไม่กี่เดือนมานี้ หลายคนอาจเห็นข่าวคราวที่น่าผวากับภัยธรรมชาติในหลายประเทศ เช่น น้ำท่วมดูไบเพราะฝนตกหนักที่สุดในรอบ 75 ปี และเหตุการณ์ภูเขาไฟระเบิดที่อินโดนีเซียและคำเตือนว่าจะเกิดสึนามิ
หลังจากเมื่อปีที่แล้วสำนักอุตุนิยมวิทยาของออสเตรเลียคาดการณ์ว่าปรากฏการณ์เอลนีโญ (El Niño) จะมีความรุนแรงมากในช่วงสิงหาคม 2566-มีนาคม 2567 และจะลดลงไปสู่ระดับอ่อนถึงปานกลางในพฤษภาคม 2567 ซึ่งถ้าเอลนีโญปรับระดับเพิ่มขึ้นในครึ่งหลังของปี 2567 ก็อาจยาวนานยืดเยื้อไปถึงปี 2568
แต่ปัจจุบันองค์การบริหารมหาสมุทรและชั้นบรรยากาศแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา (NOAA) กลับคาดการณ์ว่าเอลนีโญจะสิ้นสุดในช่วงนี้จนถึงเดือนมิถุนายน และจะเปลี่ยนเป็นปรากฏการณ์ลานีญา (La Niña) ระหว่างเดือนมิถุนายนถึงสิงหาคม
หากใครยังจดจำกันได้ ลานีญา (La Niña) เคยเกิดขึ้นในไทยมาแล้ว และเป็นสาเหตุน้ำท่วมใหญ่ในปี 2011 ช่วงรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นและฝนตกหนัก ส่วนเอลนีโญเป็นผลตรงกันข้ามคือทำให้ประเทศไทยขาดฝนและเกิดความแห้งแล้ง เนื่องจากทิศทางกระแสลมทำให้กระแสน้ำอุ่นไปทางฝั่งตะวันตกของมหาสมุทรแปซิฟิก ส่งผลให้ฝั่งอเมริกาใต้ฝนตกมากขึ้น ซึ่งความรุนแรงของเอลนีโญและลานีญาจะแตกต่างออกไปในแต่ละปี เช่น เมื่อปี 2020 ก็เกิดปรากฏการณ์ลานีญา แต่มีกำลังอ่อนทำให้ฝนตกหนักกว่าปี 2019 เท่านั้น
แต่เนื่องด้วยวิกฤติสภาพภูมิอากาศที่อุณหภูมิเฉลี่ยโลกเมื่อปี 2023 กลายเป็นปีที่ร้อนที่สุดนับตั้งแต่ปี 1850 และกลายเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้การพยากรณ์เป็นไปอย่างยากลำบาก อีกข้อสำคัญคือการพยากรณ์ปริมาณน้ำฝนและอุณหภูมิไม่ได้ขึ้นอยู่กับการพยากรณ์เอลนีโญและลานีญาทำให้การคาดเดาผลกระทบอาจเป็นไปได้ยากในสภาพอากาศที่แปรปรวนหนักขึ้นเรื่อยๆ
โอกาสที่ปรากฏการณ์ลานีญาจะเข้ามาแทนเอลนีโญจึงเป็นที่น่าเป็นห่วงว่ารัฐไทยจะมีแผนรับมืออย่างไรกับพายุฝนและน้ำท่วมที่อาจเกิดขึ้นต่อเนื่องในช่วงฤดูฝนที่กำลังใกล้เข้ามาในอีกไม่ช้า ประเทศไทยจะกระทบหนักแค่ไหน.?
หากประเทศไทยเกิดลานีญาย่อมมีผลกระทบแน่นอน ซึ่งผลคาดการณ์เดือนเมษายน 2024 ของ กรมอุตุนิยมวิทยา คาดว่า ช่วงเดือนพฤษภาคมถึงกรกฎาคมอุณหภูมิสูงกว่าปกติ และปริมาณฝนมีค่าใกล้เคียงกับค่าปกติ แต่จะมีฝนตกชุกบริเวณภาคกลางตอนล่าง และฝั่งตะวันตกของภาคอีสาน
อีกทั้งยังคาดว่า จะเกิดปรากฏการณ์เอนโซ (ENSO : El Niño-Southern Oscillation) หรือสภาวะที่เป็นกลาง หมายความว่าเป็นช่วงที่ทั้งเอลนีโญและลานีญาไม่ได้มีพลังอยู่ ซึ่งก็คือในช่วงนี้ที่สภาวะเอลนีโญกำลังอ่อนลงและเปลี่ยนเข้าสู่สภาวะเป็นกลางในช่วงเดือนเมษายนถึงมิถุนายน หลังจากนั้นมีโอกาสถึง 60 เปอร์เซ็นต์ ที่จะเข้าสู่สภาวะลานีญาในช่วงเดือนมิถุนายนถึงสิงหาคม 2024 นอกจากนี้อุณหภูมิผิวน้ำทะเลในมหาสมุทรแปซิฟิกบริเวณเขตศูนย์สูตรก็เริ่มเย็นลงในเดือนที่ผ่านมา แต่ยังคงอุณหภูมิสูงกว่าปกติ เป็นผลต่อเนื่องจากเอลนีโญที่เกิดขึ้น
อย่างไรก็ตาม องค์กรทั่วโลกยังคงบอกว่าสถานการณ์ตอนนี้ยังคงต้องติดตามต่อเนื่องอย่างใกล้ชิด ซึ่งองค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) แนะนำว่าควรสังเกตการใช้แบบจำลองในการคาดการณ์ เพราะบางแบบจำลองตามฤดูกาลมีประสิทธิภาพต่ำ
สิ่งสำคัญคือ เอลนีโญและลานีญาไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่ส่งผลต่อสภาพภูมิอากาศโลกและท้องถิ่น การประเมินแนวโน้มต้องคำนึงถึงผลกระทบ และปัจจัยทางสภาพอากาศอื่นๆ ในท้องถิ่นนั้นๆ ด้วย
แม้พยากรณ์จากหลายสำนักจะคาดการณ์ไปในทิศทางเดียวกันในช่วงเวลาหนึ่ง แต่เรายังต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะเมื่อสภาพภูมิอากาศยากจะคาดเดาขึ้นเรื่อยๆ การเตรียมแผนรับมือจึงเป็นสิ่งที่ไม่ไกลตัวพวกเราทุกคน และความประมาทต่อสภาพภูมิอากาศในยุคโลกรวน อาจนำไปสู่หายนะที่ไร้หนทางแก้ก็เป็นได้
ขอขอบคุณ :- อ้างอิง : thehill.com , climate.copernicus.eu , media.bom.gov.auURL : https://plus.thairath.co.th/topic/naturematter/104388Thairath Plus › Nature Matter › Environment | 25 เม.ย. 67 | creator : ณัฏฐ์นรี เฮงสาโรชัย
|
|
|
39
|
เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / จิตประภัสสร | อารมฺมณํ จินฺเตตีติ จิตฺตํ
|
เมื่อ: พฤษภาคม 13, 2024, 07:06:05 am
|
. จิตประภัสสร | อารมฺมณํ จินฺเตตีติ จิตฺตํ จิตคืออะไร.? จิต คือ สิ่งที่คิดถึงเรื่องราว ดังคํานิยามที่ว่า อารมฺมณํ จินฺเตตีติ จิตฺตํ จิตคือ ธรรมชาติที่คิดถึงอารมณ์ อารมณ์คือสิ่งที่จิตคิด 5 ประการ ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และธรรมารมณ์(จินตภาพ) เมื่อจิตคิดถึงสิ่งใดก็ตาม จะประกาศเปิดเผยสิ่งนั้นให้ปรากฏในโลก
ถ้าโลกนี้ไม่มีจิตสิ่งต่างๆ ที่มีอยู่ก็ไม่ถูกรับรู้ สิ่งเหล่านี้มีก็เหมือนไม่มี เช่น ต้นหญ้าไม่รู้ว่าตัวเองอยู่บนแผ่นดิน แผ่นดินไม่รู้ว่ามีภูเขา ภูเขา ไม่รู้ว่ามีลําธารอยู่ข้างๆ ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในความลับดํามืด เพราะ ไม่มีการรับรู้ซึ่งกันและกัน แต่เพราะโลกนี้มีจิต ความมีอยู่ของสิ่งต่างๆ จึงถูกประกาศเปิดเผยออกมา
จิตจึงเหมือนแสงไฟส่องสว่างโลกนี้ จิตคิดไปทางใด โลกก็ถูก เปิดเผยในทิศทางนั้น เช่นเดียวกับเวลาที่เราขึ้นเฮลิคอปเตอร์ในคืนเดือนมืด เฮลิคอปเตอร์บินอยู่เหนือภูเขา เราฉายไฟสปอตไลต์ลงบน ยอดเขา แสงไฟสปอร์ตไลต์พุ่งไปที่ใด ที่นั่นก็ถูกเปิดเผยให้ปรากฏออกมา จิตเหมือนกับแสงไฟสปอตไลต์นี้ ท่านจึงเรียกว่า ประภัสสร แปลว่า ส่องแสงสว่าง
@@@@@@@
ดังพระพุทธพจน์ที่ว่า "ปภสฺสรมิทํ ภิกฺขเว จิตฺตํ ตญฺจ โข อาคนฺตุเกหิ อุปกกิเลเสหิ อุปกฺกิลิฏฺฐํ" แปลว่า ภิกษุทั้งหลาย จิตประภัสสร แต่จิตนั้นแลถูกอุปกิเลสที่จรมา ทําให้เศร้าหมอง
จิตได้ชื่อว่าประภัสสร เพราะส่องสว่างให้สิ่งต่างๆ ในโลกปรากฏ จิตเหมือนแสงไฟฉายที่สาดส่องไปในความมืดมิดแล้วเปิดเผย สิ่งต่างๆ บางครั้งแสงไปอาจเปลี่ยนสีไปตามสีของกระจกที่ครอบดวงไฟ ถ้ากระจกสีเขียว แสงไฟจะเป็นสีเขียว และสิ่งที่ถูกเปิดเผยก็จะ เป็นสีเขียวตามสีของแสงไฟ ถ้ากระจกครอบสีแดง แสงไฟจะมีสีแดง และภาพของสิ่งที่ถูกเปิดเผยก็จะเป็นสีแดงเช่นกัน ถ้ากระจกสีขาวสดใส แสงก็จะประภัสสรผ่องใส ภาพที่แสงไฟไปกระทบก็ไม่ถูกบิดเบือน
จิตของคนเช่นเดียวกับดวงไฟฉาย กิเลสต่างๆ เหมือนกับกระจกสีที่ห่อหุ้มดวงไฟนั้น จิตที่มีความโลภห่อหุ้มก็จะมองแต่สิ่งที่ น่าปรารถนาน่าอยากได้ จิตที่มีความโกรธห่อหุ้มก็มักจับผิดคนอื่น จิตที่มีกิเลสห่อหุ้มจะไม่สามารถเปิดเผยสิ่งต่างๆ ให้ปรากฏตามความเป็นจริง เช่นเดียวกับดวงไฟที่มีกระจกครอบเป็นสีเขียว แสงไฟจึงเป็นสีเขียว และทําให้สิ่งต่างๆ ปรากฏเป็นสีเขียวไปด้วย
จิตของปุถุชนที่ถูกกิเลสห่อหุ้ม มักบิดเบือนภาพที่ปรากฏให้ต่างจากความเป็นจริง เมื่อเรามองใครสักคน เรามักตัดสินเขาไปตามอํานาจกิเลสว่าสวยหรือไม่สวย น่ารักหรือน่าชัง ถูกชะตาหรือไม่ถูกชะตา
@@@@@@@
นี่แสดงว่า เราไม่ได้มองเขาตามความเป็นจริง เราปรุงแต่งไปตามอํานาจกิเลส สิ่งที่ปรุงแต่ง จิตมีทั้งฝ่าย และฝ่ายเลว นักอภิธรรมเรียกสิ่งที่ปรุงแต่งจิตว่า เจตสิก ดังคํานิยามที่ว่า เจตสิกนิยุตต์ เจตสิก ธรรมชาติที่ประกอบเข้ากับจิต เรียกว่า เจตสิก ซึ่งมีจํานวน ๕๒ ชนิด มีทั้งฝ่ายดี ฝ่ายเลว และฝ่ายเป็นกลาง
จิตของปุถุชนมองโลกต่างจากจิตของพระอรหันต์ ปุถุชนมักมองโลกด้วยเจตสิกฝ่ายไม่ดีจึงปรุงแต่งเป็นรักชอบหรือเกลียดชังไปตามสถานการณ์ ภาพของโลกที่จิตมองจึงถูกบิดเบือน แต่พระอรหันต์ ผู้ตัดกิเลสได้ขาด ไม่มีการปรุงแต่งเป็นชอบหรือชัง ทั้งนี้เพราะท่าน รู้เห็นตามความเป็นจริง (ยถาภูติ ปชานาติ)
ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสสอน ท่านพาหิยะทารุจีริยะว่า “พาหิยะ ในกาลใดเมื่อท่านเห็นสักแต่ว่าเห็น เมื่อฟังสักแต่ว่าฟัง เมื่อทราบสักแต่ว่าทราบ เมื่อรู้สึกแต่ว่ารู้ ในกาลนั้นท่านย่อมไม่มี ในกาลใดท่านย่อมไม่มี ในกาลนั้นท่านย่อมไม่มีในโลกนี้ ย่อมไม่มีในโลกหน้า ย่อมไม่มีในระหว่างโลกทั้งสอง นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์"
จิตปุถุชนประกอบด้วยเจตสิกทั้งฝ่ายดี(กุศล) และฝ่ายเลว(อกุศล) เจตสิกฝ่ายอกุศลที่สําคัญคือ โลภะ โทสะ และโมหะ ตัวโมหะนี้ คือ อวิชชา เป็นหัวหน้าของกิเลสทั้งหลาย เจตสิกฝ่ายกุศลที่สําคัญ ก็คือ อโลภะ อโทสะ และปัญญา เจตสิกทั้งฝ่ายดีและฝ่ายไม่ดีต่อสู้ แย่งชิงพื้นที่ในจิตมนุษย์ เราเรียกเจตสิกฝ่ายดีว่า "คุณธรรม" หมายถึง คุณสมบัติที่ดีในจิต และเรียกเจตสิกฝ่ายไม่ดีว่า "กิเลส"กิเลส ๓ ชั้น
กิเลส หมายถึง สิ่งที่ทําให้จิตเศร้าหมอง ตามปกติจิตนี้ประภัสสร ผ่องใสตามธรรมชาติ แต่ต้องเศร้าหมองเพราะมีกิเลสเข้ามาแปดเปื้อน กิเลสมี ๓ ชั้น คือ อนุสัยกิเลส ปริยุฏฐานกิเลส และวีติกกมกิเลส
๑) อนุสัยกิเลส หมายถึง กิเลสอย่างละเอียดที่ตกตะกอน นอนอยู่ก้นบึ้งส่วนลึกของจิต กิเลสชั้นนี้มักไม่ปรากฏเด่นชัด ท่านจึงเปรียบอนุสัยกิเลส เหมือนตะกอนที่นอนอยู่กันตุ่มน้ำ ในที่มีตะกอน นอนอยู่กันตุ่มนั้น น้ำในตุ่มมีลักษณะใสข้างบน แต่เมื่อใครไปกวนเข้า ตะกอนข้างล่างจะฟุ้งขึ้นมา น้ำก็จะขุ่น
จิตก็เหมือนกัน เมื่อยังไม่ถูกอารมณ์ภายนอกมากระทบ จิตจะสงบอยู่ได้ อนุสัยกิเลสก็ไม่ฟุ้ง จิตก็ดูบริสุทธิ์และประภัสสรผ่องใส เหมือนความใสของน้ำในตุ่มก่อนที่ ตะกอนจะฟุ้งขึ้นมา เมื่อจิตถูกอารมณ์ยั่วยวน อนุสัยที่เป็นตะกอนจะฟุ้งขึ้น จิตก็ขุ่นมัว
ดังนั้น พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า จิตประภัสสรผ่องใส แต่เศร้าหมองเพราะอุปกิเลสจรมากระทบ ในที่นี้จิตประภัสสรยังมีอนุสัยกิเลสอยู่ แต่ดูบริสุทธิ์ผ่องใส เพราะกิเลสตกตะกอนนอนอยู่ในส่วนลึก เมื่อมีอะไรมากวนกิเลสส่วนนี้ให้ฟุ้งขึ้นมา จิตก็เศร้าหมอง
อนุสัยกิเลสมี ๓ ชนิด คือ ก. ราคานุสัย คือ เชื้อแห่งความกําหนัดหรือความอยากได้ ข. ปฏิฆานุสัย คือ เชื้อแห่งความชัง ค. อวิชชานุสัย คือ เชื้อแห่งความหลง
๒) ปริยุฏฐานกิเลส หมายถึง กิเลสอย่างกลางที่กลุ้มรุมจิต ให้อยู่ไม่เป็นสุข ได้แก่ อนุสัยกิเลสที่ถูกกวนให้ฟุ้งขึ้นมาในระดับหนึ่ง นั่นคือ - ราคานุสัยฟุ้งออกมาเป็นราคะ - ปฏิฆานุสัยฟุ้งออกมาเป็นโทสะ และ - อวิชชานุสัยฟุ้งออกมาเป็นโมหะ
กิเลส ๓ กองนี้ คือ ราคะ โทสะ โมหะ เปรียบเหมือนโจรปล้นใจ ทําให้หาความสงบไม่ได้ เช่น เราถูกยั่วให้โกรธ ความโกรธเป็นโทสะที่ทําให้หงุดหงิด จนนอนไม่หลับ
นี้คือ ปริยุฏฐานกิเลสที่ปล้นความสงบใจ ถ้าควบคุมไว้ได้ก็เพียงแต่อึดอัดกลัดกลุ่ม มีสภาพเช่นเดียวกับน้ำเดือด ที่มีตะกอนหมุนวนอยู่ภายในหม้อน้ำ แต่ถ้าควบคุมไม่ได้ กิเลสก็กระฉอกออกมา เป็นเหตุให้ประกอบกรรมชั่วต่างๆ กลายเป็นกิเลสชั้นที่ ๓
๓) วีติกกมกิเลส คือ กิเลสอย่างหยาบที่ควบคุมไม่ได้ จึงกระฉอกออกมา ทําการล่วงละเมิดศีลธรรม ข้อนี้หมายความว่า เมื่อ ราคะมีกําลังแรงขึ้นกลายเป็นอภิชฌา ความเพ่งเล็งอยากได้ของของผู้อื่น เมื่อโทสะมีกําลังแรงขึ้นก็กลายเป็นพยาบาท คือ คิดทําร้ายผู้อื่น ลําพังโทสะยังไม่คิดทําร้ายใคร เป็นแค่ความขัดเคืองอยู่ในใจ เมื่อใดโมหะมีกําลังแรงมากขึ้น ก็กลายเป็นมิจฉาทิฏฐิ คือ เห็นผิดเป็นชอบ เช่น ความเห็นผิด ๑๐ ประการดังได้กล่าวข้างต้น
อภิชฌา พยาบาท มิจฉาทิฏฐิ ทั้ง ๓ อย่างนี้เป็น วีติกกมกิเลส คือ เป็นกิเลสที่จะทําให้ล่วงละเมิดศีลธรรมทางกายและทางวาจา พูดง่ายๆ ก็คือ เป็นกิเลสที่กระฉอกออกมาแปดเปื้อนรบกวนคนอื่น
ขอบคุณที่มา :- ภาพจาก : https://www.pinterest.ca/ข้อธรรม : หนังสือ ปลดบ่วงชีวิต พิชิตกรรม โดย พระพรหมบัณฑิต (ประยูร ธมฺมจิตฺโต) ยกมาแสดงบางส่วน หน้าที่ ๓๗-๔๓ , จาก ปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “ปลดบ่วงชีวิต พิชิตกรรม” บรรยายเมื่อวันอาทิตย์ที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๕๓ ณ อาคารเรียน มจร. วัดศรีสุดาราม ในกิจกรรมเสริมหลักสูตรพุทธศาสตรมหาบัณฑิตสาขาวิชาชีวิตและความตาย รุ่นที่ ๓
|
|
|
|