ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
  • สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน
แสดงกระทู้
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
  Messages   Topics   Attachments  

  Topics - สาวิตรี
หน้า: 1 [2]
41  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สิ่งที่เป็นได้ยาก อย่าประมาทกันนะจ๊ะ สร้างกุศลไว้ก่อน เมื่อ: ตุลาคม 13, 2010, 04:02:30 pm
# กิจฺโฉ มนุสฺสปฏิลาโภ
                            ความได้เป็นมนุษย์เป็นการยาก                                                       
# กิจฺฉํ มจฺจาน ชีวิตํ
                            ความเป็นอยู่ของสัตว์เป็นการยาก                           
# กิจฺฉํ สทฺธมฺมสฺสวนํ
                            การฟังธรรมของสัตบุรุษเป็นการยาก
# กิจฺโฉ พุทฺธานมุปฺปาโท
                            ความเกิดขึ้นแห่งท่านผู้รู้เป็นการยาก                         
# ทุลฺลภํ ทสฺสนํ โหติ สมฺพุทฺธานํ   อภิณฺหโส
                            การเห็นพระพุทธเจ้าเนืองๆ เป็นการหาได้ยาก


     
42  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ไม่ใช่ปัญญา เมื่อ: ตุลาคม 09, 2010, 11:40:51 am

ไม่ใช่ปัญญา

เมื่อสองสามปีที่แล้วปรากฏเรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับพระไทยในหนังสือพิมพ์ต่างประเทศ
พระมีข้อวัตรปฏิบัติที่จะต้องรักษาพรหมจรรย์อย่างเคร่งครัด
ในฝ่ายเถรวาท เพื่อให้พระอยู่เหนือข้อสงสัยใดๆ ทั้งสิ้นเกี่ยวกับการประพฤติพรหมจรรย์
พระจะมีการสัมผัสทางกายกับผู้หญิงไม่ได้เลยไม่ว่าในกรณีใด
เช่นเดียวกับแม่ชี ซึ่งจะสัมผัสทางกายกับผู้ชายไม่ได้เช่นกัน
ในเรื่องอื้อฉาวที่ถูกตีพิมพ์พระบางรูปไม่ปฏิบัติตามพระวินัย ทำตัวเหลวไหล
และนักข่าวก็รู้ดีว่า ความเรียบร้อยของพระดีๆ น่าเบื่อเมื่อเทียบกับเรื่องอื้อฉาวของพระเหลวไหล

ในช่วงที่เรื่องเหล่านี้เกิดขึ้น อาตมาคิดว่าเป็นโอกาสอันดีที่อาตมาจะสารภาพเรื่องของอาตมา
ดังนั้นเย็นวันศุกร์หนึ่ง ที่วัดของเราในเมืองเพิร์ธ ต่อหน้าผู้ฟังราวๆ สามร้อยคน
หลายๆ คนเป็นโยมอุปัฏฐากมานาน อาตมารวบรวมความกล้าที่จะสารภาพความจริง
อาตมาเริ่มว่า “อาตมามีเรื่องจะสารภาพ มันไม่ง่ายนักหรอกเมื่อหลายปีมาแล้ว.....” อาตมารีรอสักพัก

แล้วอาตมาจึงพูดต่อ “เมื่อหลายปีมาแล้ว อาตมาใช้เวลาช่วงที่มีความสุขที่สุดในชีวิต ...”
แล้วอาตมาก็หยุดชะงักอีกครั้ง

ในที่สุดอาตมาก็สารภาพออกมาว่า
“อาตมาใช้เวลาช่วงที่มีความสุขที่สุดในชีวิต ... ในอ้อมแขนที่อุ่นด้วยไอรักของภรรยาชายอื่น”

“เราโอบกอดกัน เราลูบไล้กัน เราจูบกัน” อาตมากล่าวจบพร้อมอาการคอตก และตาก้มต่ำมองพรมเบื้องล่าง

อาตมาสามารถได้ยินเสียงตระหนกตกใจจากญาติโยมบางคนยกมือปิดปากที่อ้าค้างด้วยความช็อค
อาตมาได้ยินเสียงกระซิบว่า “โอ๊ย... ย .. ! ท่านอาจารย์พรหมก็เอากับเค้าด้วยเรอะ”
อาตมามองเห็นภาพบรรดาโยมที่อุปัฏฐากวัดมานานพากันเดินออกจากประตูไปโดยที่จะไม่หวนกลับมาอีก
แม้แต่ฆราวาสก็ไม่สมควรทำกับภรรยาของชายอื่น
มันเป็นการผิดลูกผิดเมียเขา อาตมาตั้งศีรษะขึ้นตรง มองไปยังผู้ฟังอย่างมั่นใจและยิ้ม

“ผู้หญิงคนนั้น” อาตมารีบอธิบายก่อนที่ใครสักคนจะเดินออกจากประตูไป
“ผู้หญิงคนนั้นคือแม่ของอาตมาเอง และเมื่อครั้งที่อาตมายังเป็นเบบี๋น่ะนะ”
บรรดาผู้ฟังของอาตมาระเบิดหัวเราะออกมาอย่างโล่งใจ

“นี่เรื่องจริงนะ” อาตมาพูดดังๆ ใส่ไมโครโฟนสู้กับเสียงหัวเราะนั้น
“เธอเป็นเมียของชายอื่น พ่อของอาตมาเอง เรากอด เราลูบไล้ เราจูบกัน
มันเป็นช่วงเวลาที่อาตมามีความสุขที่สุดในชีวิตช่วงหนึ่งทีเดียวเชียวล่ะ”

เมื่อบรรดาผู้ฟังปาดน้ำตาทิ้งและหยุดหัวเราะ อาตมาได้ชี้ประเด็นว่า
พวกเขาเกือบทุกคนได้ตัดสินอาตมาอย่างผิดพลาดไปแล้ว
แม้ว่าพวกเขาจะได้ฟังเรื่องราวจากปากของอาตมาเอง
และความหมายของข้อความเหล่านั้นชัดเจนมาก
แต่พวกเขายังสามารถโดดไปสู่บทสรุปที่ผิดพลาดได้
โชคดีโดยแท้ ที่ครั้งนี้เป็นแค่เรื่องที่อาตมาตั้งใจล้อเล่น
อาตมาจึงสามารถชี้ให้เห็นถึงความคิดเห็นที่ผิดของพวกเขาได้
อาตมาถามขึ้นว่า “กี่ครั้งกี่หนแล้วที่เราไม่ได้โชคดีเช่นนี้
และได้ด่วนสรุปจากหลักฐานที่ดูเหมือนว่าแน่นอนนัก
เพื่อจะได้พบว่ามันผิด ผิดอย่างมหันต์และให้ผลร้ายเสียด้วย?”

การตัดสินเปรี้ยงลงไปว่า “สิ่งนี้ถูก สิ่งอื่นผิดหมด” ไม่ใช่ปัญญา
43  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / วิธีระงับความโกรธ แบบได้ผล เมื่อ: ตุลาคม 05, 2010, 05:42:55 pm
วิธีระงับความโกรธ แบบได้ผล

อันดับที่ 10

      

รู้จักอภัย

ฟังดูแล้วออกจะเป็นนางเอกไปซักนิด แต่ลองทำดูซิคะ แล้วคุณจะรู้ว่าการให้อภัย นอกจากจะเป็น การให้โอกาสคนอื่นแล้ว ยังทำให้เราสบายใจขึ้นได้อีกด้วย ลองให้อภัยคนอื่นดูซิคะ แล้วจะรู้ว่าชีวิตเราดีขึ้นขนาดไหน

อันดับที่ 9

      

นอนหลับซะเลย

เวลาที่คนเราโกรธจะรู้สึกปวดหัว แล้วหัวมันก็เกิดหนักขึ้นมาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน รับรอง ว่าถ้าคุณได้นอนหลับเอาแรงซักงีบ เมื่อคุณตื่นขึ้นมา คุณจะต้องรู้สึกดีขึ้นอย่างแน่นอนเลยค่ะ

อันดับที่ 8

      

ลืมมันซะ

หากิจกรรมดีดีทำ เลิกคิดถึงเรื่องที่ทำให้คุณโกรธ ให้สมองได้พักผ่อนอยู่กับสิ่งที่คุณชอบ และรักดีกว่า อย่าไปใส่ใจกับเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องเลย

อันดับที่ 7

      

ร้องเพลงไง

การร้องเพลงจะช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดของกล้ามเนื้อได้เป็นอย่างดี ร้องตะโกนให้มันดัง ๆ ปลดปล่อยอารมณ์ออกไปตามเพลงให้เต็มที่ แล้วความโกรธก็จะหลุดลอยไปตามเสียงเพลงนั่นแหละค่ะ

อันดับที่ 6

      

น้ำตาชนะทุกอย่างได้

การร้องไห้นั้นเป็นการระบายความเครียด รวมทั้งระบายความโกรธได้อีกด้วย ลอง ปล่อยน้ำตาให้ไหลโดยไม่ต้องบังคับดูสิ แล้วคุณจะรู้ว่าร้องไห้ช่วยไล่ความโกรธได้จริงๆ

อันดับที่ 5

      

หัวเราะชนะโกรธ

เพราะการหัวเราะนั้นมีแต่ประโยชน์ค่ะ ไม่เคยมีโทษต่อร่างกายเลย คิดซะว่า โกรธคือโง่ โมโหคือบ้า ดูหน้าตัวเองตอนกำลังโกรธ ในกระจกก็ได้ค่ะ มันคงตลกไม่น้อยเลย หัวเราะให้ความโกรธมันกระจายไปเลย

อันดับที่ 4

      

เย็นดับร้อน

หาเครื่องดื่มเย็น ๆซักแก้วเผื่อว่าความเย็น ความหวานของเครื่องดื่มจะช่วยดับความร้อนภายในใจ ของเราได้บ้าง แต่อย่าเอาแบบที่แอลกอฮอล์เลยนะคะ เพราะมันอาจจะทำให้เราขาดสติ เรื่องเล็กจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ไปได้ค่ะ

อันดับที่ 3

      

กินแก้โกรธ

เรื่องกินเนี้ยไม่เข้าใครออกใครจริง ๆนะคะไม่ว่าใครถ้าลองได้กินอาหารสุดโปรด สุดอร่อยที่ตัวเอง ชอบแล้วล่ะก็ ลืมเรื่องอื่นไปได้เลย ว่าแต่อย่าโกรธบ่อยนะคะ เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน

อันดับที่ 2

      

หาที่ปรึกษา

แต่จะปรึกษา หรือระบายอะไรกับใครทั้งทีก็ดูตาม้าตาเรือหน่อยนะคะ ว่าเค้าคนนั้นไว้ใจได้แค่ไหน ไม่งั้นอาจจะเป็นงูพิษแว้งกัดคุณทีหลังก็ได้

อันดับที่ 1

      

หลีกเลี่ยง

การหลีกเลี่ยงต่างจากการหลีกหนี ไม่ได้แปลว่าคุณขี้ขลาด หรือกลัวเลยซักนิดเดียว แต่มันหมายถึง การแสดง EQ ในตัวคุณต่างหาก ที่สามารถระงับอารมณ์โกรธได้เป็นอย่างดี

เครดิต
http://www.toptenthailand.com/display.php?id=1169
44  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / การจัดอันดับ 10 วิีธีทำบุญ ที่คนนิยม เมื่อ: ตุลาคม 05, 2010, 05:11:55 pm
การทำความเห็นให้ถูกต้อง เหมาะสม หรือ ทิฏฐุชุกรรม ( อันดับที่ 10 )

คือ การไม่ถือทิฐิ เอาแต่ความคิดเห็นของตนเป็นใหญ่ แต่ให้รู้จักแก้ไข ปรับปรุงพัฒนาความคิดเห็น และความเข้าใจในเรื่องต่างๆให้ถูกต้องตามธรรมอยู่เสมอ หรือจะพูดง่ายๆว่า ให้คิดและประพฤติตนให้ถูกต้องตามทำนองคลองธรรมก็ได้ ซึ่งข้อนี้แม้จะเป็นข้อสุดท้ายแต่ก็สำคัญยิ่ง เพราะไม่ว่าจะทำบุญใดทั้ง ๙ ข้อที่กล่าวมา หากมิได้ตั้งอยู่ในทำนองคลองธรรม การทำบุญนั้นก็ไม่บริสุทธิ์และให้ผลได้ไม่เต็มที่ ดังจะได้กล่าวถึงเกณฑ์การวัดบุญต่อไป
การแสดงธรรม หรือ ธรรมเทศนามัย ( อันดับที่ 9 )

คือการให้ธรรมะหรือข้อคิดที่ดีๆแก่ผู้อื่น ด้วยการนำธรรมะหรือเรื่องดีๆที่เป็นประโยชน์ไปบอกต่อ หรือให้คำแนะนำให้เขาได้รู้จักวิธีการดำเนินชีวิตที่ดี เช่น สอนวิธีการทำงานให้ แนะหลักธรรมที่ดีที่เราได้ยินได้ฟังมาและปฏิบัติได้ผลแก่เพื่อนๆ เป็นต้น ผลบุญในข้อนี้นอกจากจะทำให้ผู้อื่นได้รับรู้สิ่งที่เป็นประโยชน์แล้ว ยังทำให้ผู้บอกกล่าวได้รับการยกย่องสรรเสริญอีกด้วย

การฟังธรรม หรือ ธรรมสวนมัย ( อันดับที่ 8 )

การฟังธรรมจะทำให้เราได้ฟังเรืองที่ดีมีประโยชน์ทั้งต่อสติปัญญา และการดำเนินชีวิต ซึ่งการฟังธรรมนี้ไม่จำเป็นต้องไปฟังที่วัดหรือจากพระท่านโดยตรง แต่อาจจะฟังจากเทป ซีดี หรือเป็นการฟังจากผู้รู้ต่างๆ และธรรมในที่นี้ก็มิได้หมายถึงแต่เฉพาะหลักธรรมในทางศาสนาเท่านั้น แต่ยังหมายรวมไปถึงเรื่องจริง เรื่องดีๆที่ทำให้ผู้ฟังเกิดความรู้และปัญญา ผลบุญข้อนี้จะทำให้ผู้ฟังเกิดการรู้แจ้งเห็นจริงยิ่งขึ้น
การอนุโมทนาส่วนบุญ หรือ ปัตตานุโมทนามัย ( อันดับที่ 7 )

การยอมรับหรือยินดีในการทำความดีหรือทำบุญของผู้อื่น เมื่อใครไปทำบุญมาก็รู้สึกชื่นชมยินดีไปด้วย โดยไม่คิดอิจฉาหรือระแวงสงสัยในการทำความดีของผู้อื่น เช่น เพื่อนเดินทางไปสักการะสังเวชนียสถานมา ก็ร่วมอนุโมทนาที่เขามีโอกาสได้ไปทำบุญในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ไม่อิจฉาเขา แม้เราไม่ได้ไป ก็อย่าไปคิดอกุศลว่าเขาได้ไปเพราะชู้รักออกเงินให้ เป็นต้น การไม่คิดในแง่ร้ายจะทำให้เรามีจิตใจไม่เศร้าหมอง แต่จะแช่มชื่นอยู่เสมอเพราะได้ยินดีกับกุศลผลบุญต่างๆอยู่ตลอดเวลา แม้จะมิได้ทำเองโดยตรงก็ตาม
การให้ผู้อื่นมาร่วมทำบุญกับเรา หรือ ปัตติทานมัย ( อันดับที่ 6 )

กล่าวคือ ไม่ว่าจะทำบุญอะไร ก็เปิดโอกาสให้คนอื่นได้มาร่วมทำบุญด้วย ไม่ขี้เหนียวหรืองกบุญเพราะอยากได้บุญใหญ่ไว้คนเดียว เช่น จะทำบุญสร้างระฆัง ก็ให้คนอื่นได้ร่วมสร้างด้วย ไม่คิดจะทำเพียงคนเดียว เพราะคิดว่าทำบุญระฆังจะได้กุศลกลายเป็นคนเด่นคนดัง เลยอยากดังเดี่ยว ไม่อยากให้ใครมาร่วมด้วย เป็นต้น นอกจากนี้ การเปิดโอกาสให้คนอื่นมาร่วมทำงาน ร่วมแสดงความคิดเห็น รวมไปถึงการทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ล่วงลับไปแล้ว ก็ถือเป็นการทำบุญในข้อนี้ด้วย ผลบุญดังกล่าวจะช่วยให้เราเป็นคนใจกว้าง และปราศจากอคติต่างๆ เพราะพร้อมเปิดใจรับผู้อื่น
การช่วยขวนขวายทำในกิจที่ชอบ หรือไวยาวัจจมัย ( อันดับที่ 5 )

การช่วยขวนขวายทำในกิจที่ชอบ หรือไวยาวัจจมัย พูดง่ายๆว่า เป็นการให้ความช่วยเหลือแก่สังคมรอบข้างในการทำกิจกรรมความดีต่างๆ เช่น ช่วยพ่อแม่ค้าขายไม่นิ่งดูดาย ช่วยสอดส่องดูแลบ้านให้เพื่อนบ้านยามที่เขาต้องไปธุระต่างจังหวัด ช่วยงานเพื่อนที่ทำงานให้แล้วเสร็จทันเวลา ให้กำลังใจแก่เพื่อนที่มีความทุกข์ เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ถือเป็นบุญอีกแบบหนึ่ง และผลบุญในข้อนี้ก็จะช่วยให้เกิดความรักความสามัคคีขึ้นด้วย
การอ่อนน้อมถ่อมตน หรือ อปจายนมัย ( อันดับที่ 4 )

หลายคนคงคิดไม่ถึงว่า การประพฤติตนเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนจะถือเป็นบุญอย่างหนึ่ง ทั้งนี้ ก็เพราะว่าการอ่อนน้อมถ่อมตนไม่ว่าจะเป็นผู้น้อยประพฤติต่อผู้ใหญ่ และการที่ผู้ใหญ่แสดงตอบด้วยความเมตตา หรือการอ่อนน้อมต่อผู้มีคุณธรรม รวมถึงการให้เกียรติ ให้ความเคารพต่อความคิด ความเชื่อ และวิถีปฏิบัติของบุคคลหรือสังคมอื่นที่แตกต่างจากเรานั้นเป็นการลดความยึด มั่นถือมั่นในความเป็นตัวตนของเรา ช่วยให้สังคมทุกระดับเกิดความเข้าใจต่อกัน และช่วยให้ชาติบ้านเมืองเกิดความสงบสุข จึงถือเป็นบุญอย่างหนึ่ง ผลบุญข้อนี้จะทำให้เกิดความเมตตาต่อกัน
เจริญภาวนา หรือภาวนามัย ( อันดับที่ 3 )

เป็นการทำบุญอีกรูปแบบที่มุ่ง พัฒนาจิตใจและปัญญา ทำให้จิตใจสงบ เห็นคุณค่าสิ่งต่างๆตามความเป็นจริง ซึ่งในข้อนี้หลายคนอาจจะทำเป็นประจำอยู่แล้ว เช่น นั่งสมาธิ วิปัสสนา แต่หลายคนอาจจะคิดว่าเป็นเรื่องยากเกินกำลัง ดังนั้น อาจจะทำง่ายๆด้วยวิธีการสวดมนต์เป็นคาถาสั้นๆบูชาพระที่เราเคารพบูชาก่อนนอน ทุกคืน เช่น คาถาพระพุทธเจ้าชนะมาร คาถาหลวงปู่ทวด เป็นต้น การสวดมนต์เป็นประจำอย่างน้อยก็เป็นการน้อมนำจิตใจของเราไปสู่สิ่งที่เป็น มงคลในชีวิต เป็นการเตือนสติให้เรายึดมั่นในการประพฤติปฏิบัติชอบตามสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ เรานับถือ และผลบุญข้อนี้จะทำให้เกิดปัญญาแก่ผู้ปฏิบัติ
รักษาศีล หรือ สีลมัย ( อันดับที่ 2 )

คำว่า ศีล หมายถึง ข้อบัญญัติทางพระพุทธศาสนาที่กำหนดการปฏิบัติทางกายและวาจา เช่น ศีล ๕ ศีล ๘ หรืออาจจะหมายถึงการรักษากายวาจาให้เรียบร้อย การรักษาศีลเป็นการฝึกฝนมิให้ไปเบียดเบียนผู้อื่น ในขณะเดียวกันก็เป็นการลด ละ เลิกความชั่ว มุ่งให้กระทำความดี อันเป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิตมิให้ตกต่ำลง เช่น ไม่ไปเป็นชู้เป็นกิ๊กกับใครที่ทำงาน ทำให้ครอบครัวเขาไม่แตกแยก เป็นแม่ค้าไม่โกหกหลอกขายของไม่ดีแก่ลูกค้า เป็นพ่อบ้านไม่กินเหล้าเมายา ทำให้ลูกเมียมีความสุข เพื่อนบ้านก็สุข เพราะไม่ต้องทนฟังเสียงรบกวนจากการทะเลาะวิวาทกัน เหล่านี้ล้วนเป็นการรักษาศีลและเป็นหนึ่งในการทำบุญอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งผลบุญข้อนี้จะทำให้เรากลายเป็นคนเยือกเย็น สุขุมด้วย
ให้ทาน หรือ ทานมัย ( อันดับที่ 1 )

อันหมายถึง การให้ การสละ หรือการเผื่อแผ่แบ่งปัน ไม่ว่าจะเป็นเงินทอง ข้าวของเครื่องใช้หรือสิ่งอื่นใด และไม่ว่าจะให้แก่ใครก็ถือเป็นบุญทั้งสิ้น เพราะการให้ทานเป็นการลดความเห็นแก่ตัว ความตระหนี่ถี่เหนียว และความคับแคบในจิตใจให้น้อยลง ทำให้เราไม่ยึดติดในวัตถุสิ่งของ อีกทั้งสิ่งที่เราบริจาคหรือให้ทานแก่ผู้อื่นก็จะช่วยบรรเทาความเดือดร้อน และเป็นประโยชน์ต่อผู้รับและสังคมโดยส่วนรวม การให้ทานนี้อยู่ที่ไหนๆก็ทำได้ และไม่จำเป็นต้องเงิน เช่น การแบ่งของกินให้กับแม่บ้านที่ทำงานหรือยาม เป็นต้น ข้อสำคัญ สิ่งที่บริจาคหรือให้ทานแก่ผู้อื่นควรเป็นสิ่งยังใช้ได้ มิใช่เป็นการกำจัดของเหลือใช้ที่หมดอายุ หมดคุณภาพให้ผู้อื่น ผลการให้ทานดังกล่าวจะทำให้ผู้ปฏิบัติเกิดความปีติอิ่มเอิบใจ

เครดิต ที่มาการจัดอันดับ

http://www.toptenthailand.com/display.php?id=1226
45  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ความจริง กับ การพิสูจน์ เป็นสิ่งที่ต้องสอดคล้องกัน เมื่อ: ตุลาคม 05, 2010, 04:23:07 pm
 
 


  ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง  ทำ จากหินทรายแป้ง ลักษณะเป็นหลักสี่เหลี่ยมด้านเท่าทรงกระโจม หรือทรงยอ กว้างด้านละ 35 เซนติเมตร สูง 111 เซนติเมตร จารึกอักษรไทยสุโขทัย (ภาษาไทย ปี พ.ศ.1835) เรียกศิลาจารึกหลักนี้ว่า จารึกหลักที่ 1 ปัจจุบันอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ

       เมื่อปี พ.ศ.2476 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ครั้งดำรงพระอิสริยยศ สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้ามงกุฎ ขณะทรงผนวชได้เสด็จจาริกหัวเมืองฝ่ายเหนือ ถึงเมืองเก่าสุโขทัย ทรงพบศิลาจารึกหลักนี้พร้อมพระแท่นมนังคศิลาบาตร ณ โคกปราสาทร้าง จึงได้โปรดให้นำเข้ากรุงเทพฯ ในขั้นแรกเก็บรักษาไว้ที่วัดราชาธิวาส เพราะทรงประทับอยู่ ณ ที่วัดนั้น ต่อมาเมื่อทรงย้ายไปประทับที่วัดบวรนิเวศวิหาร จึงโปรดให้ย้ายไปไว้ที่วัดบวรนิเวศวิหาร

       พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ทรงอ่านศิลาจารึกหลักนี้ได้เป็นพระองค์แรก เมื่อปี พ.ศ.2479

       เมื่อ ไม่นานมานี้ได้มีนักวิชาการบางท่าน ไม่เชื่อว่าเป็นศิลาจารึกที่พ่อขุนรามคำแหงสร้างขึ้นไว้เมื่อประมาณ เจ็ดร้อยปีก่อน จึงได้มีการพิสูจน์ทางด้านวิทยาศาสตร์ ตามที่สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงเสนอแนะไว้ในคราวประชุมใหญ่ฯ เมื่อวันที่ 4 มีนาคม พ.ศ.2532 โดยมอบหมายให้นักวิทยาศาสตร์ ประจำกรมศิลปากร และกรมทรัพยากรธรณี ทำการวิจัยเรื่อง การพิสูจน์ศิลาจารึกหลักที่ 1 ด้วยวิธีวิทยาศาสตร์ โดยนำศิลาจารึกที่ทำด้วยหินทรายแป้ง ชนิดเดียวกับศิลาจารึกหลักที่ 1 และถูกทิ้งกรำแดดกรำฝน คือศิลาจารึกวัดพระบรมธาตุนครชุม เมืองกำแพงเพชร (จารึกหลักที่ 3) ศิลาจารึกวัดมหาธาตุ (จารึกหลักที่ 45) พระแท่นมนังคศิลาบาตร และจารึกชีผ้าขาวเพสสันดรวัดข้าวสารมาเปรียบเทียบกัน ผู้วิจัยได้ใช้แว่นขยายรังสีอัลตร้าไวโอเลต และรังสีอินฟราเรด กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน เป็นเครื่องมือสำคัญในการตรวจพิสูจน์

       เมื่อเปรียบเทียบวิเคราะห์หลายๆ จุดบนตัวอย่างแต่ละตัวอย่างแล้ว หาค่าเฉลี่ยพบว่า ความแตกต่างขององค์ประกอบที่ผิวกับส่วนที่อยู่ข้างในของศิลาจารึกหลักที่ 1 หลักที่ 3 และหลักที่ 45 มีสัดส่วนใกล้เคียงกัน จึงสรุปผลการพิสูจน์ว่า ผิวของหินตรงร่องที่เกิดจากการจารึกตัวอักษรมีปริมาณแคลไซด์ ลดลงมากใกล้เคียงกับผิวส่วนอื่น ๆ ของศิลาจารึกหลักที่ ๑ จนสามารถมองเห็นเป็นชั้นที่มีความแตกต่างได้ชัดเจน แสดงว่าเป็นการจารึกในช่วงเวลาเดียวกัน หรือใกล้เคียงกันกับการสกัดก้อนหินออกมาเป็นแท่งแล้วขัดผิวให้เรียบ มิใช่เป็นการนำแท่งหินที่ขัดผิวไว้เรียบร้อยในสมัยสุโขทัย แล้วนำมาจารึกขึ้นใหม่ในสมัยรัตนโกสินทร์

       จากความจริงที่พิสูจน์ได้ทางวิทยาศาสตร์ดังกล่าว แสดงว่าศิลาจารึกหลักที่ 1 ได้ผ่านกระบวนการสึกกร่อนผุสลายมาเป็นเวลาหลายร้อยปี ใกล้เคียงกับศิลาจารึก หลักที่ 3 หลักที่ 45 และหลักที่กล่าวถึงชีผ้าขาวเพสสัดร จึงเป็นอันยุติว่า ศิลาจารึกหลักที่ 1  เป็นของดั้งเดิม มิใช่ทำขึ้นใหม่ อย่างที่กลุ่มคนบางจำพวกยกเป็นประเด็นขึ้นมา

       สาระสำคัญของศิลาจารึกหลักที่ 1 เบื้อง ต้นเป็นการบอกเล่า พระราชประวัติพ่อขุนรามคำแหง ซึ่งทรงบอกเล่าด้วยพระองค์เอง ตั้งแต่ทรงพระเยาว์จนถึงขึ้นครองราชย์ แสดงให้เห็นถึงความอุดมสมบูรณ์ของสุโขทัย และวิถีชีวิตของคนไทยในสมัยสุโขทัย ที่อยู่ร่วมกันด้วยน้ำใจไมตรี เคารพในสิทธิเสรีภาพของกันและกัน ความมีใจบุญสุนทาน เอื้ออาทรกัน ให้ทานและรักษาศีลกันเป็นประจำ

       ในจารึกให้ข้อมูลว่า พ่อขุนรามคำแหงทรงคิดประดิษฐ์อักษรไทยขึ้น ในปีมหาศักราช 1205 ซึ่งตรงกับ ปี พ.ศ.1826 ต่อมาในปี มหาศักราช 1214 (พ.ศ.1835) พ่อขุนรามคำแหงทรงให้ช่างนำหินทรายแป้งมาทำพระแท่นชื่อ พระแท่นมนังคศิลาบาตร ตั้งไว้ที่กลางดงตาล ในวันพระแปดค่ำ สิบห้าค่ำ จะนิมนต์พระเถระขึ้นนั่งบนพระแท่นแล้วแสดงธรรมให้ราษฎรได้สดับตรับฟัง ในวันธรรมดาพ่อขุนรามคำแหงทรงขึ้นประทับนั่งว่าราชการงานเมือง และตัดสินคดีความที่ราษฏรมาร้องทุกข์ ทรงโปรดให้แขวนกระดิ่งไว้ เพื่อให้ผู้ที่มีความทุกข์ร้อนมาสั่นกระดิ่งร้องทุกข์

       ด้านการพระพุทธศาสนา  พ่อ ขุนรามคำแหงทรงอาราธนาพระภิกษุสงฆ์ฝ่ายลังกาวงศ์ จากนครศรีธรรมราชมาร่วมกับภิกษุสงฆ์ฝ่ายเถรวาทเดิม ผู้สืบทอดมาแต่พระโสนะเถระ และพระอุตรเถระให้มาอบรมสั่งสอนชาวสุโขทัย คนสุโขทัยในสมัยนั้น จึงรักษาศีลเมื่อเข้าพรรษาทุกคน โดยวันธรรมดารักษาศีลห้า ในวันธรรมสวนะ หรือวันพระรักษาศีลแปด หรือศีลอุโบสถตามแต่ศรัทธา

       ด้านการปกครอง  จารึก ไว้ว่ามีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล ทิศตะวันออกตั้งแต่สรลวงสองแคว (พิษณุโลก) เลย จากลุมบาจายสะคาไปถึงเวียงจันทน์ ทิศใต้ตั้งแต่สุพรรณบุรี ราชบุรี เลยนครศรีธรรมราชไปสุดแผ่นดินจดทะเลมหาสมุทร ทิศตะวันตกเลยเมืองฉอด ไปถึงเมืองหงสาวดีมีมหาสมุทรเป็นแดน ทิศเหนือถึงแพร่ น่าน ข้ามฝั่งโขงไปถึงเมืองหลวงพระบาง
 
46  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / อานิสงค์ 10 ประการของการไม่บริโภคเนื้อสัตว์ เมื่อ: ตุลาคม 03, 2010, 12:43:28 pm
จิตใจสว่างไสว


อานิสงส์ขั้นต้นของการไม่กินเนื้อสัตว์ ไม่ฆ่าสัตว์และไม่เบียดเบียนสัตว์คือจะทำให้ชีวิตของเราไม่ต้องตายด้วย ปืนผาหน้าไม้ คมหอกคมดาบ ไม่ตายด้วยเหตุกาณ์อันน่าสยดสยอง

        เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า อานิสงส์ขั้นต้นของการไม่กินเนื้อสัตว์ ไม่ฆ่าสัตว์และไม่เบียดเบียนสัตว์คือจะทำให้ชีวิตของเราไม่ต้องตายด้วย  ปืนผาหน้าไม้ คมหอกคมดาบ ไม่ตายด้วยเหตุกาณ์อันน่าสยดสยอง หรือภัยพิบัติ ต่างๆ ทั้งยังสามารถตัดกรรมในเรื่องการฆ่าและยุติการจองเวรกับสรรพสัตว์ ทั้งหลายอีกด้วย

        องค์สมเด็จพระบรมศาสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระผู้เปี่ยมล้นด้วย พระเมตตาอันมิอาจประมาณได้ทรงรักใคร่ สรรพสัตว์ทั้งหลายประดุจลูกในอุทร ของ พระองค์เองเมื่อได้บรรลุอนุตตรสัมโพธิญาณสูงสุดแล้ว ก็ยังทรงมีพระทัย ห่วงใยปรารถนาให้เวไนยสัตว์ทั้งหลาย ได้หลุดพ้นออกจากบ่วงกรรม และระงับดับ การจองเวรซึ่งกันและกัน

        ในบรรดาบาปกรรมทั้งหลายที่คนหลงผิดกระทำไปการเบียดเบียนฆ่า    ทำลาย ชีวิตผู้อื่นถือเป็นบาปกรรมที่ร้ายแรงที่สุดแม้ว่าจะกระทำลงไปโดยไม่เจตนา ก็ยังต้องไปรับโทษ นับประสาอะไรกับการจงใจเจตนาฆ่าเขาให้ตายโทษทัณฑ์ นั้นจะยิ่งใหญ่หลวงและไม่อาจให้อภัยได้

        ด้วยเหตุที่พระพุทธองค์ทรงมีพระประสงค์ให้เราทุกคนละเว้นจากการ ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต และเลิกเบียดเบียนผู้อื่นโดยเด็ดขาด พระองค์จึงทรงบัญญัติศีลข้อ “ปาณาติบาต” คือห้ามการฆ่าเป็นข้อที่สำคัญอันดับหนึ่ง

        ขอให้เราจงมาร่วมกันศึกษาพิจารณาพระพุทธวจนะว่าด้วยเรื่อง  “อานิสงส์ ๑๐ ข้อของการไม่กินเนื้อสัตว์” เพื่อจักได้นำไปเป็นแนวทางในการ ปฏิบัติและบำเพ็ญธรรมให้สูงขึ้นไป

        ในพระสูตรของพระพุทธศาสนามหายานเล่าว่า

         “สมัยหนึ่ง... องค์สมเด็จพระบรมศาสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เสด็จไปเทศนาโปรดบรรดาเหล่าพญานาคทั้งหลาย พระพุทธองค์ได้ทรงตรัส ธรรมกถาวิสัชนาแสดงแก่พญานาคราชความว่า

        “บุคคลใดหยุดการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต และงดเว้นเสียจากการ เสพเลือดเนื้อสัตว์ อีกทั้งยังชี้นำส่งเสริมให้หมู่ชนทั้งหลายหยุดฆ่า หยุดเสพชีวิตเลือดเนื้อผู้อื่น”

        บุคคลผู้นั้นย่อมห่างไกลจากอกุศลมูลทั้งปวง และบริบูรณ์พร้อม ด้วยอานิสงส์ทั้ง ๑๐ ประการอันได้แก่:

        ๑.เป็นที่รักใคร่ของบรรดาเทพพรมตลอดจนมนุษย์ และสัตว์ทั้งหลาย

        ๒.จิตอันเป็นมหาเมตตาย่อมบังเกิดขึ้น

        ๓.สามารถตัดขาดความอาฆาตดับอารมณ์เหี้ยมโหดเครียดแค้นในใจลงได้

        ๔.ปราศจากโรคภัยร้ายแรงมาเบียดเบียนร่างกาย

        ๕.มีอายุมั่นขวัญยืน

        ๖.ได้รับการปกป้องคุ้มครองจากวัชรเทพทั้งแปด

        ๗.ยามหลับนิมิตรเห็นแต่สิ่งที่ดีงามเป็นศิริมงคล

        ๘.ย่อมระงับการจองเวร สลายความอาฆาตแค้นซึ่งกันและกัน

        ๙.สามารถดำรงอยู่ในกระแสแห่งนิพพาน ไม่พลัดหลงตกลงสู่อบายภูมิ

        ๑๐.ทันทีที่ละสังขารจากโลกนี้ จิตญาณจะมู่งสู่คติภพ
47  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ฟังธรรมะแล้วจะไม่โง่ เมื่อ: กันยายน 22, 2010, 12:09:03 pm
+ ฟังธรรมะเเล้วจะทำให้ไม่โง่
เเต่ถ้าฟังโปเตโต้ ถึงมีรักเเท้เเต่ก็ดูเเลไม่ได้

+ ฟังธรรมะเเล้วจะทำให้ตาใส่เเจ่ม
เเต่ถ้าฟังบอดี้เเสลม มักจะโทษว่าความรักทำให้คนตาบอด

+ ฟังธรรมะเเล้วจะทำให้ไม่เพ้อเจ้อ
เเต่ถ้าฟังพีชเมกเกอร์ จะละเมอถึงเเต่เรื่องบนเตียง

+ ฟังธรรมะเเล้วจะทำให้ปากเราติดดิสเบรก
เเต่ถ้าฟังเบิร์ด-เสก ถึงอมพระมาพูดก็ไม่เชื่อ

+ ฟังธรรมะเเล้วจะทำให้ใจเราชอกช้ำ
เเต่ถ้าฟังไอน้ำ จะชอกช้ำเพราะรักคนมีเจ้าของ

+ ฟังธรรมะเเล้วจะทำให้ไม่เหงาหงอย
เเต่ถ้าฟังเสนาหอย จะเเอบเหงาคนเดียว

+ ฟังธรรมะเเล้วจะทำให้ไม่งมงายในความเชื่อเเละศรัทธา
เเต่ถ้าฟังทาทา มักจะพูดว่า ไอ บีลีฟๆ

+ ฟังธรรมะเเล้วจะทำให้รักกันอย่างไม่ต้องนอนละเมอ
เเต่ถ้าฟังไฮเปอร์ มักจะเจอรักแท้ในคืนหลอกลวง

+ ฟังธรรมะเเล้วจะทำให้ใจไม่เน่าเสีย
เเต่ถ้าฟังนัท มีเรีย มักจะโทษว่า รักไม่ช่วยอะไร

+ ฟังธรรมะเเล้วจะทำให้รักกันจนสิ้นชีวิน
เเต่ถ้าฟังเอนโดรฟิน เเล้วจะบอกว่า ถ้าเขามาฉันจะไป

+ ฟังธรรมะเเล้วจะทำให้เราไม่คุยโม้
เเต่ถ้าฟังโปเตโต้ จะถูกต่อว่าปากดีนะเรา

+ ฟังธรรมะเเล้วจะทำให้เรามีสุขเมื่ออยู่ด้วยกัน เ
เต่ถ้าฟังน้องพั้นซ์ เพียงเเค่วางมือบนบ่า น้ำตาก็ไหล่

+ ฟังธรรมะเเล้วจะทำให้เราเจอคนดีเสมอ
เเต่ถ้าฟังไฮเปอร์ มักจะเจอผู้ร้ายคนใหม่

+ ฟังธรรมะเเล้วจะทำให้เราเข้าใจกัน
เเต่ถ้าฟังน้องพั้นซ์ บอกได้คำเดียวว่า ยิ่งกว่าเสียใจ

+ ฟังธรรมะเเล้วจะทำให้เรารักกันยิ่งกว่าชีวิน
เเต่ถ้าฟังเอนโดรฟิน จะเป็นได้เเค่เพื่อนสนิท

+ ฟังธรรมะเเล้วจะทำให้จิตใจใสเเจ่ม
เเต่ถ้าฟังว่าน วงเเพลม จะตัดพ้อต่อว่า ไม่บอกให้รู้สักเรื่องได้ไหม

+ ฟังธรรมะเเล้วจะทำให้ไม่เเรด
เเต่ถ้าฟังบิ๊กเเอส มักจะเล่นของสูง

+ ฟังธรรมะเเล้วจะทำให้ไม่หยิ่งยะโส
เเต่ถ้าฟังติ๊ก ชีโร่ จะโอหังว่า รักไม่ยอมเปลี่ยนเเปลง

+ ฟังธรรมะเเล้วจะทำให้จิตใจเปล่งปลั่ง
เเต่ถ้าฟังอาหรั่ง จะคุ้มคลั่งว่า ทำบ้า....ทำบ้าอะไร

+ ฟังธรรมะเเล้วจะทำให้ดีที่ใจมิใช่เพียงเเค่หน้าตา เ
เต่ถ้าฟังปนัดดา ก็จะรู้เพียงว่า ขอเป็นคนเลวที่รักเธอ

+ ฟังธรรมะเเล้วจะทำให้ใจไม่สั่นคลอน เ
เต่ถ้าฟังสุนทราภรณ์ เเล้วเธอจะรู้สึก!!

+ ฟังธรรมะเเล้วจะทำให้ไม่เปลืองเเรง
เเต่ถ้าฟังพรศักดิ์ ส่องเเสง จะเปลืองเเรง เพราะ มีเมียเด็กต้องหมั่นตรวจเช็คใครโทรมา

+ ฟังธรรมะเเล้วจะทำให้สอบผ่านทุกๆ ปี
เเต่ถ้าฟังเเอน สุชาวดี มักจะติดร.วิชาลืม
48  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / บุคคลที่ไม่ควรแผ่เมตตา นั้น มีเท่าไหร่ คะ เมื่อ: สิงหาคม 16, 2010, 12:22:24 pm
วันนี้ฟังเรื่อง แผ่เมตตาอยู่ และได้ฟังถึงบุคคลที่แผ่เมตตาให้

มีจำนวนหลาย บุคคล แต่จำไม่ได้ คะ

วานท่านผู้รู้ ช่วยตอบกระทู้ให้อ่าน ด้วยคะ


 :17: :25:

49  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ยืนไหว้พระ กับ นั่งไหว้พระ อันไหนถูกต้องคะ เมื่อ: กรกฎาคม 30, 2010, 01:17:54 pm
ตอนเช้าเวลาหนูมาโรงเรียน ได้ผ่านพระสงฆ์ ที่ บิณธบาตร หนูก็ยืนไหว้ เพื่อนหนู นั่งคุกเข่าไหว้ บ้าง ยืนบ้าง
จึงเกิดการถกเถียง กันมาได้ร่วม 15 วันแล้ว ว่า นั่ง กับ ยืน อันไหนถูก อันไหนผิด เพราะไปถามครูก็ให้ความเห็นว่า
ยืน ก็ถูก นั่งก็ ถูก



 :17: :17: :17:
หน้า: 1 [2]