คือว่า มีอยู่วันหนึ่งผมขับรถกับจากการทำงาน แล้วปรากฏว่ารถมอร์เตอร์ไชค์ ขับข้ามถนนแล้วไปชนกับรถทัวร์ จากนั้นรถมอร์เตอร์ไซค์ก็ไหลมาชนรถผม ด้านหน้าทำให้กันชนพัง ส่วนรถทัวร์ก็หนีไปคนกระเด็นไปอยู่ข้างทางอีกจุดหนึ่ง ผมก็เลยจอดรถชวนคนก่อน พาคนเจ็บส่ง รพ.ซึ่งยังอยู่ในอาการมึนเมา หลังจากช่วยคนเสร็จผมจะกลับบ้าน แต่ทาง รพ.ไม่ให้ผมกลับครับ เรียกตำรวจมาซึ่งจากรูปเหตุการณ์นั้น ผมก็เลยโดนข้อหาขับรถชนมอร์เตอร์ไซค์ ครับตอนนั้นครับ ใจผม มัน เต้นมาก ๆ หนาว ๆ ร้อน ๆ ครับ กลัวติดคุก และก็ติดจริงๆ เพราะตำรวจเชิญไปยังห้องขังพร้อมของกลางคือรถยนต์ผม และ มอร์เตอร์ไซค์ ซึ่งหลังจากนั้นมาผมก็เรียกญาติมาประกันตัวออกไปก่อน ยุ่ง มาก ๆ ครับเพราะทั้งตำรวจ และ ใคร ต่อใคร ก็ไม่มี ใครเชื่อผมเลย ผมต้องเสียเงินให้ทนายไปหลายบาท จนกระทั่งมีการตรวจมุมการชน แต่ในขณะที่ทำคดีอยู่นั้น ทางฝ่ายมอร์เตอร์ไซค์ ก็วิ่งเต้นเหมือนกัน ไม่มีการบันทึกว่าผู้บาดเจ็บ อยู่ในอาการมึนเมา นี่สำคัญมากครับ แต่เพราะการมาหาของคนเจ็บนี้เองทำให้ผมชนะคดี คือผมแอบตั้งกล้องแอบถ่ายวันที่คนเจ็บมาพบผมที่บ้าน ซึ่งเป็นหลักฐานชั้นเยี่ยมเนื่องจาก คนเจ็บได้เผลอพูดอ้อนวอนผม ว่าเขาเดือดร้อน วันนั้นเขาก็เมามาก
สรุปครับว่า
1 การที่ผมช่่วยคนวันนั้น ได้บุญหรือป่าวครับ แต่ทำไมผมจึงต้องเสียอะไร ๆ อีกหลายอย่าง
2 การที่ผมใช้กล้องบันทึก แล้วทำให้ผมชนะคดี ซึ่งคดีกลับต้องพลิกเป็นว่าต้องซ่อมรถให้ผมด้้วย และจ่ายค่าเสียเวลาผมด้วย ( แต่อันนี้ผมไม่เอาครับ เพราะสงสารคนเจ็บ )
3 การกระทำของผมต่อคนเจ็บ ด้วยความไม่รับผิดชอบแบบนี้ สมควรหรือป่าวครับ แต่แม่ผมร้องไห้ทุกวันเลยครับตั้งแต่ผมเจอคดีมา
4 หลังจากคดีเสร็จสิ้น ผมได้ไปทำบุญ และกรวดน้ำ อธิษฐานว่าอย่าได้มาผูกเวรกันอีกนะ จะได้ผลหรือป่าว
5 อาการที่ผมนั่งอยู่ในห้องแอร์ แล้ว เหงื่อแตกเพราะอารมณ์เสีย และกลัวนี่ จะแก้อย่างไรดีครับ
ุ6 ถ้าท่านเจอเหตุการณ์อย่างผม ท่านจะช่วยคนเจ็บหรือป่าวครับ ไม่มีใครเห็นเหตุการณ์ครับ รถวิ่งน้อยครับ
ขออภัยเล่าประสบการณ์จริงให้ฟัง เผื่อจะเป็นประโยชน์ในการตัดสินใจ เรื่องช่วย หรือ ไม่ช่วยครับ