ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: พระไตรปิฏก "มองอย่างตรงตรง ไม่ต้องเปลี่ยนแปลง ให้เข้ากับตน"  (อ่าน 2721 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ธัมมะวังโส

  • ธัมมะวังโส
  • ผู้บริหารเว็บ
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +180/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 7250
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0


  เป็นที่น่าทอดถอนใจ ว่าในปัจจุบัน ถึงแม้มีการเผยแผ่พระธรรม ด้วยพระไตรปิฏก มากขึ้น แต่ทุกวันนี้ ผู้อธิบายเนื้อหาพระไตรปิฏก พยายามที่จะแสดง เนื้อหาเพียงด้านใด ด้านหนึ่งของพระไตรปิฏก จนเกิดพวกที่มีความคิดออกมาหลายประเภท จากพระไตรปิฏก ทำให้ต้องมาตั้งเป็นปัญหาตอบโจทย์ต่อไปว่า พระไตรปิฏกส่วนนี้จริง ส่วนนี้ไม่จริง ส่วนนี้เชื่อได้ ส่วนนี้เชื่อไม่ได้ บางครั้งมันน่าหัวร่อ ผู้ที่ไม่ได้เป็นพระอริยะด้วยซ้ำไป กลับมา วิจัยสิ่งที่พระอริยะทั้งหลายท่านรวบรวมไว้ให้ศึกษา เหมือนตนเองเชี่ยวชาญมากกว่าพระอริยะผู้ทำการทำสังคายนา ถึงตรงนี้คงต้องขอพูดสักครั้งว่า ปัจจุบันเดี๋ยวนี้ เริ่มรู้สึกว่า จะเลอะเทอะ ไปกันใหญ่ กลายเป็นว่าต้องหลายท่านต้องมาเลือกพระธรรม ทั้งที่พระธรรมเป็นสากล ลองกับไปอ่านบทพระธรรมคุณกันให้ดีนะจ๊ะ ทำไมสิ่งที่ท่านปฏิบัติกันไม่ได้กลายเป็นว่า เป็นธรรมเป็นส่ิงที่ไม่ถูก มีการปฏิเสธเรื่องราวที่ปรากฏในพระไตรปิฏก

     ยกตัวอย่าง คนที่เชื่อ แต่เพียงเรื่อง สภาวะธรรม เพราะมองแต่ เรื่อง ธรรมาธิษฐาน ก็ไม่เอาปุคลาธิษฐาน ปฏิเสธ สิ่งที่ตัวเองไม่เห็นไม่เข้าถึง ว่าเป็นเพียงสิ่งที่ถูกกล่าวไว้ เป็นเพียงกลอุบายที่พระพุทธเจ้าใช้เป็นวิธีการสั่งสอน ดังนั้นเลยแสดงความเห็นว่าควรเชื่อแต่เพียงสภาวะธรรมเท่านั้น เช่น พูดถึงเรื่องชาติหน้า ชาติหลัง ก็จะบอกว่า พูดว่า เราเชื่อในสภาวะปัจจุบัน ว่า ทำดีในปัจจุบันก็ดี หน้าก็จะต้องดี หลังก็จะต้องดี คำพูดแท้ คือ ไม่เชื่อเรื่องชาติที่เป็นภพ แต่ เชื่อเรื่อง ชาติ ที่เป็นสภาวะ ภพที่เป็นสภาวะ และลึก ๆ ก็คือการปฏิเสธิ ชาต ภพ อันเป็นสภาวะ  ดังนั้นคนเหล่านี้จึงปฏิเสธ เรื่องราวในพระไตรปิฏก ว่าเป็นการแสดง ธรรมาธิษฐาน พิจารณาให้ดี คนเหล่านี้ไม่แม้แต่จะเป้นพระโสดาบันเลย เพราะยังไม่เชื่อ ตถาคตโพธิสัทธา คือ ไม่เชื่อในญาณตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ว่า ญาณที่ 1 คือ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ คือการระลึกชาติ เป็นเรื่องจริงแท้แน่นอน ท่านที่เชื่ออย่างนี้ คิดเห็นแต่เพียงว่า เป็นเพียงธรรมาธิษฐาน เท่านั้นที่ควรเชื่อ แล้วก็พยายามคัดเลือก พระธรรม พระสูตร ให้เข้ากับใจของตนเอง และพยายามตัดเนื้อหาของพระไตรปิฏก ออก ช่างเป็นบาปที่ใหญ่ เสียจริง

     อีกพวกหนึ่ง ไม่เชื่อเรื่องฤทธิ์ เรื่องฌาน เรื่องสวรรค์ เรื่องนรก และชอบกล่าวว่าเป็น ปุคคลาธิษฐาน ที่พระพุทธเจ้าใช้เป็นอุปเท่ห์ สั่งสอนธรรมให้แก่คนในสมัยนั้น หรือแม้แต่อธิบาย ความหมาย ของนิพพาน เพียงแค่ความหมาย ว่า ดับเย็น ทั้ง ๆ ที่ สภาวะธรรมแท้ ของพระนิพพานไม่ใช่เป็นอย่างนั้น คนทั้งหลายเหล่านี้ก็พยายามเปลี่ยนพระไตรปิฏกในความหมายของตนเอง ปฏิเสธเรื่อง ฌาน สมาบัติ นิโรธสมาบัติ สุญญตามหาวิหารสมาบัติ สัญญาเวทยิตนิโรธ  เพราะเหตุที่ตนเองทำไม่ได้ จึงคิดว่า นิพพานเป็นเพียงแค่การดับทุกข์ ดับกิเลสเท่านั้น ยิ่งคิด ยิ่งอย่างนี้ ความหมายของนิพพาน แท้ ๆ ก็เลยหายไป พยายามอธิบาย ความหมายของ อรหัตตผล เป็น นิพพานกัน แท้ที่จริง พระพุทธเจ้าทรงตรัสแยก ธรรม เรียกว่า นวโลกุตตระธรรม ไว้ 3 ประการ คือ มรรค 4 ผล 4 และ นิพพาน 1 ดังนั้นการดับกิเลส สำเร็จเป็นพระอรหันต์ ไม่ใช่ นิพพาน นิพพาน เป็น เรื่องที่ต่อต่างหากจากการสำเร็จเป็นพระอรหันต์

     แม้การอธิบาย แบบของพระอรหันต์ ก็พยายามใส่คำว่าปัญญา มองเห็น แต่พระอรหันต์จริง ๆ นั้น มีสองแบบรวม ๆ คือ แบบเจโตวิมุตติ แบบปัญญาวิมุตติ แบบปัญญาวิมุตติ ไม่สามารถเห็นได้แบบ เจโตวิมุตติ ดังนั้นทุกวันนี้หลาย ๆ ท่านพยายามที่จะมองเนื้อหาเพียงด้านเดียว เพราะว่าเข้าไม่ถึง มองไม่เห็น พยายามจะอธิบายแบบวิทยาศาสตร์ คือ พยายามให้ปุถุชน ที่มีกิเลสหนา มองเห็นเนื้อหาพระธรรมอย่างที่ปุถุชนมองเห็น การอธิบายอย่างนี้เป็นการทำลาย พุทธประสงค์ และ จุดมุ่งหมายของพระอริยะผู้ทำสังคายนา ร้อยกรองเรียบเรียง พระไตรปิฏก

     จนบางครั้งก็เห็นหลายครูอาจารย์ มาแสดงความเห็นว่า ควรจะตัดพระไตรปิฏก ตรงส่วนนี้ออก ตรงส่วนนี้ควรจะเพิ่ม นี่แหละ ทีเรามองเห็นว่า คนที่ทำลาย พุทธศาสน์ ที่แท้จริงก็คือคนที่พยายามอธิบายเนือ้หาพระไตรปิฏก เพียงด้านเดียว

     ฉันบอกท่านทั้งหลาย ด้วยการพิมพ์เพียงไม่กี่บรรทัดนี้ไม่ได้หรอก เพราะว่า ฉันได้อ่านพระไตรปิฏก มาเป็นเวลาหลายปี สิ่งที่เริ่มเห็นและ มองเห็นและเข้าไปเห็นก็คือ เนื้อหาของพระไตรปิฏกนั้น ตรงไปตรงมา ไม่มีเบี่ยงเบน มีก็บอกว่ามี  ไม่มี ก็บอกว่าไม่มี ตรงพระสูตรส่วนไหนที่เรายังอ่านแล้วไม่เข้าใจ ก็ควรข้ามไปก่อน แต่ไม่ใช่ไม่เข้าใจแล้ว จะไปนำออกเพื่อให้ถูกใจตัวเอง ถูกใจหมู่ที่สนับสนุนตนเอง อย่างนี้ไม่ควร

     หวังว่า ศิษย์ฉันทุกคนที่ได้ใช้ประโยชน์ จากพระไตรปิฏก คงตรงไปตรงมาตามเนื้อหา ไม่ต้องไปตัด ไปเปลี่ยนแปลงใด ๆ ทั้งสิ้น จงรักษา อรรถและเนือ้หาที่มีอยู่นั้นไว้ ไม่ใส่ความคิดเห็นของตนเองไปตัดรอน เนื้อหาพระธรรมที่มีอยู่ เพียงกำมือเดียวให้สิ้นไป เพราะตัวท่านเอง มันจะเป็นบาปใหญ่ ขวางธรรม ด้วยการปรามาสต่อพระธรรม ต่อพระพุทธเจ้า ต่อพระสงฆ์
 
     รักลูกศิษย์ ทุกคน จึงเตือนไว้ อย่าได้ประพฤติ ทำลายเนื้อหาพระไตรปิฏก ด้วยความชอบใจตามจริตของตนเอง และบรรดาครูอาจารย์ ที่หลงผิด คิดว่าตนเองใหญ่กว่า สำคัญกว่า พระรัตนตรัย ที่ประเสริฐแล้ว แต่จงรักษาเนื้อหาพระไตรปิฏก ที่ถูกสังคายนามาด้วยดี ไว้เพื่อสืบทอดอายุพระพุทธศาสนาให้ได้ครบ ห้าพันพระวัสสา ตามพุทธทำนายเถิด

     เจริญธรรม / เจริญพร
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 13, 2014, 09:21:54 am โดย ธัมมะวังโส »
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

ธัมมะวังโส

  • ธัมมะวังโส
  • ผู้บริหารเว็บ
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +180/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 7250
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
เนื้อหา พระไตรปิฏก ตรงไป ตรงมา ไม่ต้องตีความ

   1.บุคคลา ธิษฐาน
   2.ธัมมา ธิษฐาน
   3.ฐานา ธิษฐาน
   4.อรรถะ ธิษฐาน
   5.เวยยะ ธิษฐาน
   6.ปัญญา ธิษฐาน


  ทั้งหมดตรงไป ตรงมา

     ไม่ต้องตีความ  ถ้าพูดถึงพรหม ก็มีพรหม เช่น พรหมชื่อว่า สหัมบดีพรหม ก็มีพรหมชื่อว่า สหัมบดีพรหม ไม่ต้องไปตีความว่า เป็น น้ำพระทัยของพระพุทธเจ้าที่ประกอบด้วยเมตตา ดุจดั่งพรหม ที่พรั่งพร้อมเป็นหัวหน้าใหญ่แห่งพรหมใน พระทัยของพระองค์ ถ้าอธิบายอย่างนี้แสดงว่า พรหมที่เป็นภพ ไม่มีจริง เป็นเพียงพระพุทธเจ้าแสดงอุปเท่ห์ ยกบุคคลาธิษฐาน มาแสดง น้ำพระทัยของพระองค์เท่านั้น อันนี้ครูอาจารย์ยุคใหม่ ตีความใส่ไป ทำให้ พระพุทธศาสนา ไม่มีเรื่อง อิทธิปาฏิหาริย์ เพราะที่มีก็เป็นเรื่องหลอกลวง
   
     อย่าลืมว่า ถ้าพระพุทธศาสนาไม่มีปาฎิหาริย์ การเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ ก็ไม่มีจริง และอีกหลาย ๆ อย่าง เช่น ฌาน สมาบัติ สุญญตาวิหารสมาบัติ ภพ ชาติ ตลอด เรื่องพุทธวงศ์ การเกิดของพระพุทธเจ้า เก้าแสนอสงไขยชาติ เท่ากับเป็นการกระทำที่ตีความว่าพระพุทธเจ้า เป็นนักหลอกลวง ชนทั้งโลก ด้วยคำโกหก อันเป็นอุปเท่ห์ เพื่อสอนธรรม เพื่อใช้เป็นอุบาย เท่านั้น การแสดงให้คนทั้งหลายเข้าใจอย่างนี้เป็นการแสดงถึงว่า พระพุทธเจ้า เป็นนักหลอกลวงเจ้าเล่ห์ ด้วยอุบายการสอน เพื่อให้คนเชื่อ ทำตาม โอ สัมมาวาจา หายไปไหน ? ท่านทั้งหลาย อย่าได้สร้างบาป เพราะปรามาสพระพุทธเจ้า กันอีกเลย มันขวางธรรมนะ การประจักษ์ธรรมจะไม่เกิด กับบุคคลที่ยังปรามาสต่อพระรัตนตรัย ด้วยความพยายาม ที่มีความตั้งใจอย่างนี้

      แม้แต่การที่พระพุทธเจ้า ขึ้นไปแสดง พระอภิธรรม 7 คัมภีร์ บน ชั้นดาวดึงส์ เพื่อโปรดพุทธมารดา ก็กลายเป็นเรื่องตลกขบขันโปกฮา ของพระที่ว่าเจ้าปัญญาและประกาศตนว่าตนเองเป็นศิษย์ที่มอบกายถวายชีิวิต ต่อพระพุทธเจ้า แต่กลับ ตีความว่า พระพุทธเจ้า ขึ้นไปโปรดสองตายาย บนเขาสูง อย่างนี้เป็นต้น กลายเป็นว่าเรื่องที่ปรากฏไม่ตรงต้อง การแที่แสดงออกมาอย่างนี้เป็นการแสดงการปรามาสครั้งยิ่งใหญ่ของโลก เพราะว่า เป็นการดูถูกว่า พระพุทธเจ้า ผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ ผู้เป็นศาสดา ผู้เป็นใหญ่กว่านรชน เป็นพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า ชอบการโกหก ด้วยอุปเท่ห์ ชอบพูดชนะผู้อื่นด้วยคำลวงหลอกให้เชื่อ คิดถึงบาปอันใหญ่นี้กันบ้างหรือบ้าง บรรดานักตีความทั้งหลาย ที่เก่งเลิศเลอ กว่า พระอรหันต์ที่ได้ทำสังคายนา พระสูตร พระวินัย พระอภิธรรม ให้ท่านได้เรียน ได้ศึกษา ได้อ่านกันในวันนี้

     ฉันเตือนศิษย์ ของฉัน เสมอ ว่าอย่าได้เปลี่ยนแปลง พระไตรปิฏก ให้เข้ากับตนเอง แต่จงเปลี่ยนแปลงตนเองด้วยการภาวนาให้เข้ากับพระไตรปิฏก จงเป็นผูุ้เปิดศรัทธา ใน อมตธรรม ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ชอบเถิด

    เจริญธรรม / เจริญพร

 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 13, 2014, 09:20:49 am โดย ธัมมะวังโส »
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

ธัมมะวังโส

  • ธัมมะวังโส
  • ผู้บริหารเว็บ
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +180/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 7250
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
กัปปิละ ปลาสีทองปากเหม็น

 เรื่องนี้สำคัญ ไปอ่านกันเสียบ้าง อย่าได้คิดทำลายพระไตรปิฏก กันอีกเลย


  ;)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 13, 2014, 09:29:15 am โดย ธัมมะวังโส »
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

ธัมมะวังโส

  • ธัมมะวังโส
  • ผู้บริหารเว็บ
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +180/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 7250
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
"เมื่อบุคคลไม่เห็นเทวดา ก็บอกว่าเทวดาไม่มี ไม่เคยเห็นผี ก็บอกว่าผีไม่มี ไม่เคยเห็นพระอริยะตั้งแต่พระโสดาบัน ก็บอกว่าพระอริยะไม่มี ไม่เคยเห็นพระพุทธเจ้า ก็บอกว่าพระพุุทธเจ้าไม่มี ไม่เคยเห็นใต้ท้องมหาสมุทรว่าเป็นดิน ก็บอกว่าดินไม่มีในใต้ท้องมหาสมุทร ไม่เคยเห็นไฟในใต้โลก ก็บอกว่าโลกนี้ไม่มีไฟอยู่ใต้โลก ไม่เคยเห็นฌาน ก็บอกว่าฌานไม่มี สรุปตรงนี้ว่า ถ้าคุณไม่เคยเห็น คุณจะตอบว่าไม่มี ถึงคุณตอบว่าไม่มี ก็ไม่ได้แสดงว่า สิ่งที่คุณไม่เห็นไม่ใช่ไม่มี เพราะมี หรือ ไม่มี ไม่ใช่ข้อพิสูจน์ในธรรม แต่ มีหรือไม่มี เป็นเหตุนำซึ่งความเฉไฉ ที่ไม่ยอมเข้าใจในพระธรรมมากกว่า แต่ถึงคุณจะเฉไฉอย่างไร สวรรค์ นรก ฌาน วิปัสสนา พระพุทธ พระธรรม และ พระสงฆ์ ก็คงมีอยู่อย่างนั้นไม่เปลี่ยนแปลง เหมือน ความแก่ ความชรา และความตาย ที่คุณยังมองไม่เห็นก็มีอยู่ฉันนั้น"

ข้อความบางส่วนจาก หนังสือเพียงหยดหนึ่งแห่งพระธรรม
บันทึกการภาวนา ของ ธัมมะวังโส
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 13, 2014, 09:29:51 am โดย ธัมมะวังโส »
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

Akira

  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +2/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 653
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
แจ่มแจ้ง ด้วยข้อความ อ่านทบทวนกลับไป กลับมาหลายรอบ ตอนนี้เลยต้องระวังตัวตามด้วยเจ้าคะ
ขอบคุณพระคุณเจ้าที่แนะนำ ธรรมอย่างตรงไป ตรงมาเจ้าคะ

  st12 st12 st12
บันทึกการเข้า
เครดิต ยายกบ มาศึกษาธรรมะจ้า แก๊งค์ อ๊บ อ๊บ

PRAMOTE(aaaa)

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 3598
  • ความศรัทธาคือเชื่อเรื่องการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ขออนุโมทนาสาธุ
บันทึกการเข้า
การมีกัลยาณมิตร ครูบาอาจารย์ ที่สั่งสอนธรรม เป็นเรื่องที่ดี
..เชื่อเรื่องการตรัสรู้ธรรม ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
...และเชื่อในพระธรรมที่เป็นตัวแทนของพระศาสดา