« ตอบกลับ #1 เมื่อ: มกราคม 15, 2024, 10:55:58 am »
0
ผลจากการวิจัย
จากการศึกษาพบว่า ตามวัตถุประสงค์ข้อที่ ๑. นั้น
ชาวพุทธไทยยังมีแนวโน้มของการเข้าวัด ทำบุญและปฏิบัติธรรมอยู่เป็นจำนวนมาก อันเนื่องมาจากความศรัทธาในพระพุทธศาสนาเป็นเบื้องต้น ชาวพุทธส่วนใหญ่จะมีความเชื่อในเรื่องของการทำบุญถวายสังฆทานกับพระภิกษุสงฆ์ ให้ทาน รักษาศีล ฟังธรรม เพราะมีพื้นฐานความเชื่อมาจากการอบรมสั่งสอนจากบรรพบุรุษในเรื่องการประกอบกรรมดีประกอบบุญกุศลจะส่งผลดีให้ชีวิต ถ้ากระทำแต่บาปอกุศลก็จะหาความสุขความเจริญได้ยาก
ส่วนใหญ่ของบุคคลที่ทำบุญมักจะหวังผลตอบแทนให้บังเกิดเรื่องที่ดีกับชีวิต มีเป็นเพียงส่วนน้อยที่กระทำด้วยความบริสุทธิ์ใจมิหวังผลตอบแทนใดๆ จากการทำบุญนั้น มีความเป็นสุข มีความปีติกับกุศลที่ได้บำเพ็ญ บุคคลส่วนนี้จัดได้ว่า มีความเข้าใจในความหมายของการประกอบบุญกุศลอย่างดี เพราะตามหลักของพระพุทธศาสนาเถรวาทให้คำจำกัดความของคำว่า “บุญ” คือ เครื่องชำระสันดาน คือ ชำระพื้นจิตใจให้สะอาดสิ่งที่ทำให้เกิดผล คือ ภพที่น่าชื่นชม
บางแห่งยังแสดงความหมายอื่นไว้อีกว่า สิ่งที่นำมาซึ่งความน่าบูชา และว่าสิ่งที่ยังอัธยาศัย(ความประสงค์)ของผู้กระทำให้บริบูรณ์(5-) เพราะว่าเมื่อเกิดบุญแล้วก็มีวิบากที่ดีงาม น่าชื่นชมใกล้กับพุทธพจน์ที่ว่า สุขสฺเสตํ อธิวจนํ ยทิทํ ปุญฺญานิ(6-) ซึ่งแปลว่า “ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายอย่ากลัวบุญเลย”
คำว่า “บุญ” นี้เป็นชื่อของความสุขที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่ารัก น่าพอใจ(7-) ดังนั้น เมื่อบุญเกิดขึ้นในใจแล้ว จิตใจก็สบาย มีความเอิบอิ่ม แช่มชื่นผ่องใส บุญจึงเป็นชื่อของความสุข ดังนั้น ผู้ที่เข้าใจในการทำบุญจะมีความแช่มชื่นสบายใจเป็นสุขกับบุญกุศลนั้นอย่างแท้จริง
จากการศึกษาพบว่าในสภาพสังคมปัจจุบันชาวพุทธส่วนใหญ่ยังคงนิยมการทำบุญ ตักบาตรในตอนเช้า ทำบุญถวายสังฆทาน ฟังธรรม และปฏิบัติธรรม ตามโอกาสและเวลาที่อำนวยให้ ประกอบกับหน่วยงาน และสถาบันการศึกษามีการสนับสนุนในด้านการปฏิบัติธรรมมากขึ้น จึงได้มีโครงการฝึกอบรมการปฏิบัติธรรมแทบทุกวัดและทุกท้องที่ซึ่งจัดเป็นการเสริมความรู้และเป็นกิจกรรมในทางพระพุทธศาสนา เป็นการเชื่อมโยงให้ศาสนิกชนมีโอกาสได้เข้า
ถึงพระธรรมโดยมีพระภิกษุเป็นผู้ให้ความรู้ ให้คำแนะนำอย่างถูกต้องไม่หลงทางผิดไปในทางมิจฉาทิฏฐิมีสติ มีปัญญาเกิดในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ให้ผ่านพ้นไปได้ นับเป็นการพึ่งพากันในด้านความรู้ ความเข้าใจในการประกอบบุญกุศลและการปฏิบัติธรรม นอกเหนือจากนั้นชาวพุทธส่วนใหญ่ควรมีหลักธรรมประจำใจ เพื่อเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวในการดำเนินชีวิต เพื่อเป็นการเตือนสติในการใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่น
เช่น การยึดหลักของ สังคหวัตถุ ๔ ประการ หมายถึงหลักธรรมอันเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวใจบุคคล ประสานหมู่ชนไว้ในสามัคคี ซึ่งประกอบด้วย
๑. ทาน การให้ คือเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เสียสละแบ่งปัน ช่วยเหลือ ตลอดจนให้ความรู้และแนะนำสั่งสอน
๒. ปิยวาจา มีวาจาอันเป็นที่รัก กล่าวคำสุภาพไพเราะอ่อนหวานสมานสามัคคี ให้เกิดไมตรีและความรักใคร่นับถือ ตลอดถึงคำแสดงประโยชน์ประกอบด้วยเหตุผล
๓. อัตถจริยา การประพฤติประโยชน์ ขวนขวายช่วยเหลือกิจการ บำเพ็ญสาธารณประโยชน์ ตลอดถึงช่วยแก้ไขปรับปรุงส่งเสริมในทางจริยธรรม
๔. สมานัตตตา ความมีตนเสมอ คือทำตนเสมอต้น เสมอปลาย ปฏิบัติสม่ำเสมอกันในชนทั้งหลาย ตลอดถึงการวางตนเหมาะสมกับฐานะ ภาวะบุคคล เหตุการณ์และสิ่งแวดล้อม(8-)
หรือหลักธรรมคุ้มครองโลก ๒ ประการ หมายถึงธรรมที่ช่วยให้โลกมีระเบียบเรียบร้อย ไม่เดือดร้อน
๑. หิริ ความละอายบาป ละอายต่อการทำความชั่ว
๒. โอตตัปปะ ความเกรงกลัวต่อความชั่ว(9-)______________________________
(5-) พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต), พุทธธรรม ฉบับปรับขยาย, พิมพ์ครั้งที่ ๓๓, (กรุงเทพมหานคร:
สำนักพิมพ์เพ็ทแอนด์โฮม, ๒๕๕๕), หน้า ๒๕๑.
(6-) ขุ.อิติ.เอกก. (บาลี) ๒๕/๒๐๐/๒๔๐.
(7-) ขุ.อิติ.เอกก. (ไทย) ๒๕/๒๒/๓๖๖.
(8-) ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๑๔๐/๑๖๗.
(9-) องฺ.ทุก. (ไทย) ๒๐/๒๕๕/๖๕.หลักธรรมอื่นๆ ในพระพุทธศาสนาเถรวาท ยังมีอีกหลายประการที่เป็นเครื่องช่วยเตือนสติเครื่องยึดเหนี่ยว ซึ่งชาวพุทธมีโอกาสที่จะได้ศึกษาหลักธรรมเหล่านี้ได้จากพระภิกษุในขณะสนทนาธรรม หรือในช่วงของการปฏิบัติธรรม หากบุคคลมีความยึดมั่นในหลักของการปฏิบัติตามหลักธรรมที่ได้ยกตัวอย่างมาแล้วนี้ย่อมส่งผลให้มีความผาสุก ความเจริญในการดำเนินชีวิต
แต่ถ้ายังประสบกับปัญหาและความขัดข้องอยู่ มีความไม่สบายใจ มีความเสียหายอยู่นั่นเพราะการให้ผลของกรรมดียังมาไม่ถึง ด้วยเหตุของสมบัติ ๔ และวิบัติ ๔ ดังที่พระธรรมปิฎก (ป. อ. ปยุตฺโต) ได้อธิบาย สมบัติ ๔ และวิบัติ ๔ เพื่อให้เกิดความกระจ่างว่า
สมบัติ หมายถึง ความเพียบพร้อมสมบูรณ์แห่งองค์ประกอบต่า ๆ ซึ่งช่วยเสริมส่งอำนวยโอกาสให้กรรมดีปรากฏผล และไม่เปิดช่องให้กรรมชั่วแสดงผล สมบัติมี ๔ อย่าง คือ
๑. คติสมบัติ สมบัติแห่งคติ หรือ คติให้เกิดอยู่ในภพ ภูมิ ถิ่น ประเทศที่เจริญ เหมาะหรือเกื้อกูล ตลอดจนระยะสั้น คือ ดำเนินชีวิตหรือไปในถิ่นที่อำนวย
๒. อุปธิสมบัติ สมบัติแห่งร่างกาย ถึงพร้อมด้วยร่างกาย หรือ รูปร่างให้ เช่น มีรูปร่างสวย ร่างกายสง่างาม หน้าตาท่าทางดี น่ารัก น่านิยมเลื่อมใส สุขภาพดีแข็งแรง
๓. กาลสมบัติ สมบัติแห่งกาล ถึงพร้อมด้วยกาล หรือ กาลให้เกิดอยู่ในสมัยที่บ้านเมืองมีความสงบสุข ผู้ปกครองดี ผู้คนมีศีลธรรม ยกย่องคนดีไม่ส่งเสริมคนชั่ว ตลอดจนในระยะสั้น คือ ทำอะไรถูกกาลเวลา ถูกจังหวะ
๔. ปโยคสมบัติ สมบัติแห่งการประกอบ ถึงพร้อมด้วยประกอบกิจ หรือกิจการให้ เช่น ทำเรื่องตรงกับที่เขาต้องการ ทำกิจตรงกับความถนัดและความสามารถของตน ทำการถึงขนาดถูกหลักครบถ้วนตามเกณฑ์ หรือ ตามอัตราไม่ใช่ทำครึ่ง ๆ กลาง ๆ หรือ เหยาะแหยะ หรือ ไม่ถูกเรื่องกัน รู้จักจัดทำ รู้จักดำเนินการ
วิบัติ หมายถึง ความบกพร่องแห่งองค์ประกอบต่าง ๆ ซึ่งไม่อำนวยแก่ การที่กรรมดีจะปรากฏผล
แต่กลับเปิดช่องให้กรรมชั่วแสดงผล มี ๔ อย่าง คือ
๑. คติวิบัติ วิบัติแห่งคติ หรือ คติเสีย คือ เกิดอยู่ในภพ ภูมิ ถิ่นประเทศสภาพ แวดล้อมที่ไม่เจริญ ไม่เหมาะ ไม่เกื้อกูล ทางดำเนินชีวิต ถิ่นที่ไปไม่อำนวย
๒. อุปธิวิบัติ วิบัติแห่งร่างกาย หรือ รูปกายเสีย เช่น ร่างกายพิกลพิการอ่อนแอ ไม่สวยงามกริยาท่าทางน่าเกลียด ไม่ชวนชม ตลอดจนสุขภาพไม่ดีเจ็บป่วย มีโรคมาก
๓. กาลวิบัติ วิบัติแห่งกาล หรือกาลเสีย คือ เกิดอยู่ในยุคสมัยที่บ้านเมืองมีภัยพิบัติ ไม่สงบเรียบร้อย ผู้ปกครองไม่ดี สังคมเสื่อมจากศีลธรรมด้วยการเบียดเบียน ยกย่องคนชั่ว บีบคั้นคนดี ตลอดจนทำอะไร ไม่ถูกกาลเวลา ไม่ถูกจังหวะ
๔. ปโยควิบัติ วิบัติแห่งการประกอบ หรือ กิจการเสีย เช่น ฝักใฝ่ในกิจการ หรือ เรื่องราวที่ผิดทำการไม่ตรงกับความถนัด ความสามารถ ใช้ความเพียรในเรื่องไม่ถูกต้อง ทำการครึ่ง ๆ กลาง ๆ เป็นต้น(10-)
เห็นได้ว่า การที่ผลของกรรมดีและกรรมชั่วในชาตินี้ จะปรากฏได้ต้องอาศัยปัจจัยอันมีองค์ประกอบ ๔ อย่าง คือ กาล คติ อุปธิ และ ปโยคะ ในฝ่ายพร้อมให้การสนับสนุนกรรมดีเรียกว่า สมบัติ ๔ และในส่วนที่เป็นฝ่ายขัดขวางกรรมดี เรียกว่า วิบัติ ๔
ซึ่งการทำกรรมดีเพื่อหวังผลในระดับนี้ จึงต้องใช้สติปัญญาพิจารณาไตร่ตรองเพื่อที่จะทำให้เหมาะสมกับตำแหน่งหน้าที่และสภาพแวดล้อม(คติสมบัติ) ถูกต้องตามกาลเทศะ หรือเวลา(กาลสมบัติ) และมีการจัดการที่ดี มีความเพียรพยายามอย่างเต็มที่และต่อเนื่อง(ปโยคสมบัติ) หรือที่เรียกว่า ทำดีถูกที่ ทำดีถูกเวลา และทำดีให้พอดี(อุปธิสมบัติ) วิบัติจึงไม่สามารถขัดขวางองค์ประกอบดังกล่าวได้ ถึงแม้ว่าผลของกรรมบางอย่างได้ถูกขัดขวาง ไม่ให้ปรากฏผล แต่ผลกรรมนั้นยังคงอยู่ และรอยคอยเวลาให้ผล
ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า
“สัตว์ผู้จะต้องตายไปในโลกนี้ ทำกรรมอันใด คือ บุญและบาปทั้งสองประการ บุญและบาปนั้นแล เป็นสมบัติของเขา ทั้งเขาจะนำเอาบุญและบาปนั้นไปได้ อนึ่งบุญและบาปย่อมติดตามเขาไป ดุจเงาติดตามตัวไปฉะนั้น” (11-)
นอกจากจะศึกษาให้เข้าใจถึงการให้ผลของกรรมแล้ว เรายังสามารถนำมาใช้แก้ไขข้อบกพร่อง(วิบัติ) ในตนเองได้ เมื่อนำไปแก้ไขปรับปรุงแล้ว จะทำให้การดำเนินชีวิตประจำวันและการทำงานประสบผลสำเร็จได้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย
ดังนั้น ชาวพุทธจึงควรมีความเข้าใจในเรื่องของกรรม และการให้ผลอย่างดี จะช่วยขจัดข้อสงสัยในการประกอบผลดี ทำความดีแล้วไม่ได้รับผลตอบแทนที่ดี ชีวิตยังต้องพบกับอุปสรรค ไม่ประสบความสำเร็จ เมื่อเปรียบเทียบกับบุคคลบางกลุ่มที่ประกอบกรรมไม่ดี แต่กลับได้รับผลหรือสิ่งตอบแทนในชีวิตที่ดีกว่าตน ทำให้เกิดความท้อถอยในการดำเนินชีวิต หันไปหาที่พึ่งอื่นๆ หรือมุ่งไปหาวิธีแก้กรรม เพื่อให้เกิดผลดีกับตน อันนี้ถือว่ายังมีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนในเรื่องของกรรมอยู่ เพราะตามหลักของพระพุทธศาสนาการแก้กรรม คือ การปฏิบัติกรรมใหม่ที่ดีกว่ากรรมเดิม เปลี่ยนความประพฤติ เปลี่ยนสิ่งที่เคยทำมาบกพร่องในอดีต ให้เป็นสิ่งที่ดีในปัจจุบัน
ในทางพระพุทธศาสนานั้น หนทางของการปฏิบัติเพื่อการสิ้นกรรม คือ พระนิพพาน เมื่อผู้ใดสามารถเข้าถึงได้ ย่อมอยู่เหนือบุญและบาปทั้งปวง การกระทำทั้งปวงเป็นกิริยาจัดอยู่ในข้อของกรรมไม่ดำ ไม่ขาว มีวิบากไม่ดำไม่ขาว (เจตนากรรมในมรรคทั้ง ๔ ซึ่งทำให้สิ้นกรรม) เป็นไปเพื่อความสิ้นกรรม ไม่หวังผลตอบแทนเป็นความดี หรือความชั่ว(12-)
ปัจจุบันสังคมไทยตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของกระแสวัตถุนิยม และบริโภคนิยมตามอย่างชาติตะวันตกเมื่อหลักธรรมเรื่องกรรมถูกบิดเบือนไปจากหลักคำสอนเดิมในพระพุทธศาสนา “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” เป็นการวัดผลของความดีกันที่วัตถุ คนในสังคมจึงต้องการเป็นเจ้าของวัตถุ และความร่ำรวยโดยไม่สนใจที่จะทำงานให้เหนื่อยยาก ด้วยวิธีการที่ผิดกฎหมายและผิดศีลธรรม เช่น ค้ายาเสพติด อาชญากรรมโจรกรรม เป็นต้น ส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ที่ปกติสุขของสังคมส่วนรวม ดังที่นักปราชญ์และนักวิชาการในพระพุทธศาสนาได้อธิบายไว้ ดังต่อไปนี้
ท่านพุทธทาสภิกขุ ได้กล่าวไว้ว่า
“...ความเชื่อเรื่องกรรมที่ไม่ถูก คือ เรามองกรรมไปที่สิ่งของที่เงินทองของนอกกาย จะไปเทือกนั้น ซึ่งเป็นความเชื่อที่ไม่ถูกต้องแต่ไม่ได้มองที่ผลของมัน คือความดีความชั่ว อันมีอยู่แล้วในกรรมนั้น ซึ่งจิตใจเราสัมผัสได้ทุกครั้งที่เราทำกรรม”(13-)_____________________________
(10-) พระพรหมคุณาภรณ์, (ป. อ. ปยุตฺโต), พุทธธรรม ฉบับปรับขยาย, พิมพ์ครั้งที่ ๓๓, (กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์เพ็ทแอนด์โฮม จำกัด, ๒๕๕๕), หน้า ๒๗๓.
(11-) สํ.ส. (ไทย) ๑๕/๑๑๕/๑๓๒.
(12-) ม.ม. (ไทย) ๑๓/๘๑/๗๙.
(13-) พุทธทาสภิกขุ, กรรมและการอยู่เหนือกรรม, (กรุงเทพมหานคร: ธรรมสภา, ๒๕๓๙), หน้า ๒๐.พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตโต) ได้กล่าวไว้ว่า
… หลักกรรมเป็นปัญหาแก่เรามากนั้น ไม่ใช่ว่าเป็นหลักธรรมใหญ่หรือสำคัญอย่างเดียว แต่เป็นเพราะว่าได้มีความเข้าใจคลาดเคลื่อนและสับสนเกิดขึ้นพอกพูนต่อๆ กันมา เพราะฉะนั้น ต้องทำความเข้าใจเรื่องกรรมนอกจากจะทำความเข้าใจในตัวเองแล้วยังมีปัญหาเพิ่มขึ้น คือ จะต้องแก้ความเข้าใจคลาดเคลื่อนสับสนในเรื่องกรรมนั้นด้วย…
ความเข้าใจของคนทั่วไปเกี่ยวกับกรรมว่า ประการแรก คนโดยมากมองกรรมไปในแง่ตัวผล ประการต่อไป เราพูดถึงกรรมโดยมุ่งเอา แง่ชั่วแง่ไม่ดี… นอกจากนั้นมุ่งไปในแง่อดีต โดยเฉพาะมุ่งเอาชาติหน้าเป็นสำคัญ พูดง่ายๆว่า คนทั่วไปมองความหมายของกรรม ในแง่ผลร้ายของการกระทำชั่วในอดีตชาติ…(14-) และค่านิยมของสังคมที่ยกย่องวัตถุมากกระทบกระเทือนต่อหลักกรรม เวลาเราพูดว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว คนส่วนมากนึกถึงค่านิยมที่เป็นวัตถุ(15-)
อาจารย์วศิน อินทสระ ได้กล่าวไว้ว่า
“คนส่วนมากมักถือเอาความสุข ความสมปรารถนาในชีวิตปัจจุบันเป็นมาตรฐาน วัดความดี คือ ความดีต้องมีผลออกมาเป็นความสุขความสมปรารถนา เป็นลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ความชั่วต้องมีผลตรงกันข้าม แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่แน่เสมอไป”(16-)
ตามที่ พุทธทาสภิกขุ พระธรรมปิฎก (ป. อ. ประยุตโต) และวศิน อินทสระ ได้อธิบายไว้นั้น เห็นได้ว่า ปัจจุบันคนไทยมีความเชื่อเรื่องกรรม ที่คลาดเคลื่อนไปจากหลักคำสอนในพระพุทธศาสนา คือ นำคำว่า “กรรม” มาใช้ในความหมายของกรรม หมายถึง ผลของการกระทำไม่ดีของบุคคล ที่ทำไว้ในชาติก่อน ส่งผลในชาติปัจจุบัน และผลของกรรมดี ไม่ใช่ความดีที่จิตใจสัมผัสได้ แต่มุ่งถึงผลของการกระทำภายนอก อันเป็นผลที่ตนเองและผู้อื่นมองเห็นได้ง่าย เป็นวัตถุสิ่งของ เช่น ลาภ ยศ สรรเสริญ ความสุข , ส่วนผลของกรรมชั่ว คือ เสื่อมลาภ เสื่อมยศ ถูกนินทา ทุกข์
ดังนั้นการที่ชาวพุทธส่วนใหญ่ยังมุ่งมาปฏิบัติธรรม จึงเป็นหน้าที่ที่พระภิกษุควรจะได้มีการแนะนำ ชี้แนะที่ถูกต้องในเรื่องของหลักธรรมโดยเฉพาะเรื่องของกรรม และการให้ผลของกรรมอย่างถูกต้องอันจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับพุทธศาสนิกชน______________________________
(14-) พระธรรมปิฎก, (ป. อ. ปยุตโต), เชื่อกรรม รู้กรรม แก้กรรม, (กรุงเทพมหานคร: พิมพ์สวย, ๒๕๔๕),
หน้า ๕ – ๖.
(15-) เรื่องเดียวกัน, หน้า ๓๔.
(16-) วศิน อินทสระ, หลักกรรมและการเวียนว่ายตายเกิด, พิมพ์ครั้งที่ ๑๒, (กรุงเทพมหานคร: เคล็ดไทยจำกัด, ๒๕๔๕), หน้า ๔๕-๔๖.
ในวัตถุประสงค์ข้อที่ ๒.
จากการศึกษาสภาพการพึ่งพาและปฏิบัติตามหลักโหราศาสตร์ของคนไทยในปัจจุบันพบว่า วิชาโหราศาสตร์ได้เข้ามามีบทบาทต่อชีวิตและสังคมของคนไทยมาเป็นระยะเวลายาวนานในหลายๆด้าน นับตั้งแต่เกิดที่บุคคลส่วนใหญ่ใช้หลักของวิชาโหราศาสตร์ ในการเลือกหาชื่อที่เหมาะสมเป็นมงคลนามให้กับบุตรธิดา เมื่อเติบโตขึ้น ผู้ใหญ่มักจะให้โหรหาฤกษ์ในการสมรส ในการสร้างบ้านสร้างอาคารสถานที่ทำงานให้เกิดความวัฒนาถาวรเจริญรุ่งเรือง
จนกระทั่งล่วงเข้าสู่วัยปลายของชีวิตโหรก็ยังคงมีบทบาทในการประกอบพิธีทำบุญสืบชะตา เจริญอายุวัฒนะร่วมกับพระภิกษุเพื่อความเป็นสิริมงคล เช่น การทำบุญอายุวัฒนะครบ ๗ รอบ การทำบุญสืบชะตา รับ-ส่งดาวพระเคราะห์ที่เข้ามาเสวยอายุ เป็นต้น
เมื่อบุคคลประสบกับปัญหา ชีวิตที่ดำเนินอยู่มีแต่ความทุกข์ยาก ลำบากมากกว่าคนอื่น ๆ ทั้งที่พยายามตั้งอยู่ในความถูกต้องดีงามแล้ว จึงทำให้เกิดความท้อถอยต้องการหาคำตอบ หาทางออกของปัญหาที่บีบคั้นอยู่ ขจัดข้อขัดแย้ง อุปสรรค ในชีวิตที่ทำให้เกิดภาวะไม่มั่นคงทางจิตใจ ก็จำเป็นที่ต้องหาที่พึ่งทางใจ ให้คลายทุกข์ หมอดู จึงเปรียบเหมือนทางเลือกที่ผู้คนมักมาหาคำตอบ
ดังนั้นตัวบุคคลผู้ให้คำพยากรณ์หรือที่เรียกว่า “หมอดู” กับผู้มารับการพยากรณ์ หมอดูจะต้องมีทัศนะคติที่ดีในการประมวลผลออกมาเป็นคำพยากรณ์ มีจริยธรรม ที่จะนำหลักวิชาไปใช้ในทางที่ก่อให้เกิดประโยชน์ทั้งต่อตัวบุคคล สภาพสังคม และสถานที่ เป็นการสื่อสารสองทาง คือทั้งผู้ที่อ่านดวงชะตา และผู้ที่เป็นเจ้าของดวงชะตา จะต้องปรับทัศนะคติให้ตรงกัน ประโยชน์จึงจะเกิด
ในการอ่านดวงชะตาบุคคลออกมาเป็นคำพยากรณ์ ผู้รับฟังหรือเจ้าของดวงชะตาเองก็ต้องมีวิจารณญาณที่ดีในการที่จะเชื่อมากน้อยเพียงใด โหราศาสตร์บอกความเป็นไปได้ในระดับหนึ่ง แต่หนทางของการพ้นทุกข์อย่างแท้จริงนั้น ขึ้นอยู่กับการกระทำของบุคคลผู้นั้น
ดังที่พระยาบริรักษ์เวชการ ได้กล่าวไว้ว่า
... ความจริงการใช้ตำแหน่งของดวงดาวในท้องฟ้ามาเป็นหลักในการทำนายดวงชาตาของบุคคลและการพยากรณ์โชคเคราะห์ต่าง ๆ นั้น หาใช่ความหมายว่า ดวงดาวนั้นใช้อิทธิพลบันดาลให้เจ้าชาตาเป็นดั่งนั้นไม่ หากความหมายเพียงว่าดวงดาวเหล่านั้นเป็นเครื่องชี้ถึงวาสนาและโชคชาตาของเจ้าของดวงชาตานั้น ๆ เท่านั้น เจ้าของดวงชาตาย่อมมีอำนาจอิสระที่จะปรับปรุงตนเอง หรือกระทำตนให้เป็นผลดีผลร้ายแก่ตนต่อไปได้อีกเสมอ(17-)
หลักของการพึ่งพากันระหว่างพระพุทธศาสนาและโหราศาสตร์ว่า จะต้องมีความเข้าใจในหลักของพระศาสนาในเรื่องของการกระทำทางไตรทวาร มองปัญหาที่เกิดขึ้นจากการกระทำของตนเองและผลที่ได้รับที่ต้นเหตุ ใช้ทั้งสองศาสตร์ประกอบกันในการแก้ไข เพราะความรู้ในทางโหราศาสตร์เป็นส่วนที่มาเสริมให้บุคคลเข้าใจในแผนที่ชีวิตของตน มีการวางแผน มีการแก้ไขไปสู่จุดที่ดีได้ พระสงฆ์ที่มีความรู้ในด้านนี้สามารถแนะนำให้กับพุทธศาสนิกชนที่มาขอคำแนะนำได้โดยการแทรกธรรมะข้อควรปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธศาสนา ให้บุคคลเกิดสัมมาทิฏฐิ มีสติ มีปัญญา ก็ถือว่าเป็นการเสริมกันในทางที่ดี____________________________
(17-) พระยาบริรักษ์เวชการ, หลักโหราศาสตร์ทั่วไป มูลฐานของโหราศาสตร์และประโยชน์ของการศึกษา
โหราศาสตร์ มรดกแห่งโหรสยาม สมาคมโหรแห่งประเทศไทย, (กรุงเทพมหานคร: มิตรสยามการพิมพ์, ๒๕๓๕), หน้า๔-๕.
ในวัตถุประสงค์ข้อที่ ๓.
พบว่าการพึ่งพาระหว่างพระพุทธศาสนา ในด้านการปฏิบัติธรรมของชาวพุทธ และการพยากรณ์ตามหลักการโหราศาสตร์ จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตของบุคคล คือ การที่บุคคลรู้จักที่จะนำคำพยากรณ์ที่ได้รับมาปรับให้เข้ากับหลักธรรมของทางพระพุทธศาสนาเถรวาทได้ เพราะโหราศาสตร์บอกคนให้รู้ได้ถึงภูมิฐานกำเนิด หนทางที่ควรจะเลือกปฏิบัติตามความถนัด เหตุการณ์ที่มีแนวโน้มจะเกิดขึ้นทั้งในทางที่ดีและทางที่เสื่อม โดยอาศัยคุณสมบัติของดาวพระเคราะห์ที่สถิตในดวงชะตา และองค์ประกอบทางโหราศาสตร์ที่มีในการพยากรณ์
โหราศาสตร์ช่วยคนได้ในระดับหนึ่ง ในการรู้จักตัวตนของตนเอง เพื่อทำความเข้าใจในแผนที่ของชีวิต เข้าใจในแผนที่กรรมของตนเอง เมื่อเข้าใจแล้ว จึงนำมาประยุกต์ใช้กับหลักธรรมของพระพุทธองค์ ก็จะช่วยให้การดำเนินชีวิตมีทางเลือก อย่างถูกต้องมีเหตุผลมากขึ้น เช่น ในดวงชะตาปรากฏให้เห็นถึงการประสพอุบัติเหตุ สูญเสียทรัพย์สิน เจ้าชะตาก็ต้องเพิ่มความมีสติ มีความรอบคอบ ไม่ประมาทในการดำเนินชีวิต ก็ช่วยให้ปลอดภัยไม่เสียชีวิต และทรัพย์สิน เป็นต้น
การที่บุคคลยังมีความเข้าใจที่ผิดในการแก้กรรมตามกระแสของสังคม มีการประกอบพิธีกรรมต่างๆ บางครั้งก็มีพระภิกษุเป็นผู้ประกอบพิธีให้นั้น ยังไม่ถูกต้องเสียทีเดียวในทัศนะของผู้วิจัย ถึงแม้จะเป็นการประกอบกุศล ทำให้จิตใจสบาย แต่ควรที่จะมีการศึกษาและทำความเข้าใจให้ดีในเรื่องของกรรมและการให้ผลของกรรม
เพราะโชคดีหรือโชคร้ายที่เราได้ประสบอยู่ในปัจจุบัน ไม่ใช่ขึ้นอยู่กับอำนาจภายนอก หรืออำนาจดวงดาวใดๆเลย แท้จริงแล้ว ขึ้นอยู่กับผลกรรมที่เราได้สั่งสมไว้(18-) จึงจะเกิดประโยชน์ เพราะพระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ หนทางสายเอกของการพ้นทุกข์อย่างแท้จริง________________________________
(18-) พระเทพวิสุทธิกวี (พิจิตร ฐิตวณฺโณ), กฎแห่งกรรม, พิมพ์ครั้งที่ ๕, (กรุงเทพมหานคร: มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๓๗), หน้า ๓.(อ่านต่อด้านล่าง)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 15, 2024, 11:00:21 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ