1. การง่วงนี้ก็ดูก่อนว่า เรานั้นได้พักผ่อนมาเต็มที่รึยัง ถ้าพักผ่อนไม่เต็มที่ปฏ้ปกติที่จะง่วง ก็ควรไปพักผ่อนเสียให้เต็มค่อยกลับมาทำ
2. ถ้าร่างกายปกติสมบูรณ์ดี แยกวิธีพิจารณาดังนี้
- ที่เราง่วงนี้เพราะจิตมันนิ่ง มันสบาย มันไม่ฟุ้ง ที่เขาบอกว่า ไม่คิดมากมีความสบายใจและร่างกายสมบูรณ์ก็หลับง่าย หลับสบายเป็นอย่างนี้แหละ ก็ถึงอุบายตามจริงว่า จิตรวมนี้มันไม่ฟุ้ง เป็นที่สบายกายใจ มันจึงไม่ง่วง ถ้าทรงสติอยู่ก็ให้ตามรู้มันไปเลย ง่วงเสร็จจะเจอความว่างที่มีจิตแนบแน่นตั้งมั่น ธรรมชาติที่ผมเคยผ่านมา คือ
อารมณ์ปกติ มีตรึกนึกปรุงแต่งอยู่เป็นธรรมดา เพราะธรรมชาติของจิตมันคือคิด → ฟุ้งซ่านไปในอดีตบ้างอนาคตบ้าง สมมติเร่าร้อนไปทั่ว → คิดชอบ (คำบริกรรม ความคิดปลงใจ) → ไม่เร่าร้อน จิตเป็นปกติ (อานิสงส์ของศีลที่มีเกิดในขณะนั้น) → จิตผ่องใส → อิ่มใจวูบวาบขนลุกซู่เป็นช่วงที่จิตนี้เปลี่ยนอารมร์ที่ตั้งมั่นขึ้น (ขณิกปิติ) → สงบ (ขณิกสมาธิ) ความปลงใจได้ → ง่วงนอน อยากเอนตัวลงนอนพัก อยากเลิกกรรมฐาน (นิวรณ์ ๕) → เจตนาตั้งใจไว้ ทำใจมั่นที่จะกรรมฐาน มันง่วงก็ช่าง หรือถ้าไม่ไหวก็จะนั่งหลับนี่แหละ ถือ "เนสัชชิก" คือจะไม่นอนเอนตัวลงหลับบ้าน จะนั่งหลับบ้าง จะเพียรโดยไม่เผลอหลับบ้าง เป็นผู้รู้ราตรีบ้าง ถ้าไม่ไหวจริงๆพระท่านสอนผมว่า..ก็เลือกเอาใน ๔ อิริยาบถกรรมฐาน คือ ยืน เดิน นั่ง นอน เลือกอันไหนก็ได้ (ซี่งท่านไหลเย็นได้ชี้แนะเรื่องพระโมคคัลลานะเถระไว้แล้ว) → จิตตั้งมั่นชอบ → รู้เห็นตามจริง (สัมมาทิฐิเกิดที่ตรงนี้), นิพพิทาญาณ ความเห็นจริงจนหน่ายในสมมติกิเลสทั้งปวง (เนกขัมมะเหล่าใดก็เกิดตรงนี้เช่นกัน) → สัมโพชฌงค์ (ญาณอันเป็นไปในปัญญาเพื่อตัดให้ถึงวิราคะ), สัมมาญาณ → วิมุตติ (ความพ้นทุกข์ ดับทุกข์)
หากร่างกายปกติสมบูรณ์ดีแล้ว พอทำสมาธิกลับง่วงนอน
- ตัวหนังสือสีแดง คือ เหตุ
- ตัวหนังสือสีเขียว คือ ทางแก้
ก็น้อมลงใจเอาครับ ถ้าลงใจได้ก็เห็นกรรมฐานและทางแก้ ถ้าเอาลงใจไม่ได้ก็เห็นที่ผมพูดเป็นแค่คำสนทนาชี้แจงทั่วไป
ส่วนความรู้และทางแก้ที่แท้จริงก็รอพระอาจารย์หรือผู้รู้ทุกท่านมาตอบให้ความรู้ครับ ผมไม่มีศีล ไม่รู้ธรรม ไม่ถึงธรรมใดๆ ก็แนะแนวทางที่พอจะระลึกจดจำได้ ได้เพียงเท่านี้ครับ