ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: 12,960 วินาที ใต้ร่มกาสาวพัสตร์ ในแดนพุทธภูมิ  (อ่าน 1526 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28456
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0

12,960 วินาที ใต้ร่มกาสาวพัสตร์ ในแดนพุทธภูมิ
คอลัมน์ บันทึกเดินทาง โดย สักกะ โพธิ  (มติชนรายวัน 18 ต.ค.2555)

ผมเองเป็นอีกคนหนึ่งที่เคยนับถือศาสนาพุทธแค่ในทะเบียนบ้าน เพิ่งตั้งใจศึกษาและเข้าใจพระธรรมก็เมื่ออายุมากแล้ว เคยบวช (ตามประเพณี) เมื่ออายุ 20 ต้นๆ พอสึกออกมาแล้วเหมือนไม่ได้อะไรติดตัวมาสักอย่าง กระทั่งได้บริจาคโลหิตที่สภากาชาดไทย ส่งผลให้มีดวงตาเห็นธรรมกับเขาบ้าง

จะเรียกว่าเพราะความลงตัวหรือเปล่าไม่รู้ ที่อยู่ๆ มีผู้ใหญ่ใจดีหลายคนให้การสนับสนุน และเป็นโยมอุปัฏฐาก ได้ทำตามความตั้งใจ ไปบวชที่วัดไทยพุทธคยา สถานที่ที่พระพุทธองค์ตรัสรู้

หลังจากลาบวชเป็นที่เรียบร้อย เฝ้าสวดมนต์เตรียมตัวอยู่เกือบ 1 เดือน วันแห่งการรอคอยก็มาถึง

วันที่ 2 มีนาคม 2555 ออกเดินทางเพียงลำพังจากประเทศไทย จากสนามบินสุวรรณภูมิใช้เวลาไม่ถึง 3 ชั่วโมงก็มาถึงสนามบินคยา ผ่านเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองด้วยอาการหวั่นๆ ว่าจะผ่านหรือเปล่า เพราะพกเงินที่เพื่อนพ้องน้องพี่ฝากทำบุญเป็นจำนวนมาก ทั้งเงินไทย เงินดอลลาร์ ตรวจอยู่ 20 นาทีผ่าน...โล่ง หลังจากนั้นมีรถของทางวัดไทยพุทธคยามารับ เดินทางเพียง 25 นาทีก็ถึงวัด

มีเวลาเดินสำรวจสถานที่อยู่ประมาณครึ่งวัน เพื่อรอเวลาเข้าร่วมพิธีบวชพร้อมกับคณะกลุ่มนายทหารนายตำรวจซึ่งจะเดินทางมาถึงในช่วงเย็น

กว่าทุกอย่างพร้อมปาเข้าไปประมาณ 2 ทุ่ม โดย *พระราชรัตนรังษี* หัวหน้าพระธรรมทูตสายอินเดีย-เนปาล โกนศีรษะให้ และมีคุณสมพร เทพสิธา อดีตรองประธานสภาสังคมสงเคราะห์ ซึ่งตามมาบวชให้ลูกชาย กรุณาเป็นโยมพ่อให้ผม ท่ามกลางอุณหภูมิ 10 องศา


ผ่านไปครึ่งชั่วโมง โกนหัวเสร็จ แต่งชุดขาว เตรียมตัวซ้อมขานนาค และเตรียมตัวบวชเณรใต้ต้นโพธิ์ ขณะที่เวลาล่วงเลยกว่า 2 ทุ่ม อากาศรอบกายค่อยๆ ลดลงอีกทำให้กายผมเริ่มสั่นสะท้านอย่างช่วยไม่ได้


ภายในอุโบสถวัดไทยพุทธคยา

ตอนนี้ได้มานั่งอยู่ใกล้ๆ กับพระแท่นวัชรอาสนพุทธบัลลังก์ และพระพุทธเมตตา ห่างประมาณไม่ถึง 10 เมตร ถึงเวลาขานนาค ความตื่นเต้นทำให้ลืมบทขานนาคเกือบหมด พระคู่สวดต้องบอกนำให้ เมื่อถึงตอนครองจีวร ห่มเป็นเณรเกิดความปีติจนน้ำตาไหล ใต้ผ้าจีวรรู้สึกความหนาวหายไปหมดสิ้น

เสร็จพิธีบวชเณร ครองจีวร มันคอยจะหลุดอยู่ตลอดเวลา ต้องคอยระวัง จนกลายเป็นวิตกกังวล กลับกุฏิภายในวัดไทยพุทธคยา นอนไม่ค่อยหลับ ตื่นเต้น ตื่นมาตี 5 รีบไปหาพระพี่เลี้ยงช่วยครองจีวรให้ เพื่อเตรียมตัวบวชเป็นพระ ในตอนเช้าของวันที่ 4 มีนาคม

เข้าโบสถ์ ทำพิธีบวชเป็นพระ พอมาถึงตอนถวายผ้าไตรจีวรแด่พระราชรัตนรังษี เป็นพระอุปัชฌาย์ นั่งขนาบด้วย *พระครูศรีปริยัติวิสุทธิ์ (หลวงพ่อโกวิท)* เจ้าคณะอำเภอด่านขุนทด วัดด่านใน (พระกรรมวาจาจารย์) *พระเมธีวรญาณ* ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดมหาธาตุฯ ท่าพระจันทร์ (พระอนุสาวนาจารณ์)

ช่วงเวลาที่พระราชรัตนรังษีชักอังสะออกจากไตรมาสวมให้ผู้เขียน รู้สึกหัวใจเต้นแรง ทำให้นึกถึงพ่อ-แม่ และผู้มีพระคุณขึ้นมาทันที ที่ได้บวชเป็นพระได้สำเร็จ

บวชเป็นพระเพียง 1 วันก็ได้ร่วมคณะทัวร์ไปสังเวชนียสถานอีกสามแห่งคือไปที่ *สารนาถ* สถานที่ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนาคือ ประกาศพระสัจธรรมเป็นครั้งแรก เมืองปาวา เป็นที่ตั้งของ *สาลวโนทยาน* หรือป่าไม้สาละที่พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานและเป็นสถานที่ถวายพระเพลิงพระพุทธเจ้า และต่อไปยัง *ลุมพินีสถาน* เป็นสถานที่ประสูติของเจ้าชายสิทธัตถะ ผู้ซึ่งต่อมาตรัสรู้เป็นพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ตั้งอยู่ที่อำเภอไภรวา แคว้นอูธ ประเทศเนปาล

หากเป็นฆราวาสร่วมทัวร์คงไม่มีปัญหาอะไรมากมาย แต่นี้เป็นพระ ดูจะกังวลไปหมด เดินทางไปที่สถานที่สามแห่ง ใช้ระยะเวลายาวนานหลายวันอยู่บนรถบัส มากกว่าอยู่วัด บางเวลาต้องฉันอาหารในบาตรบนรถ ต้องมีสติรู้ตัวอยู่ตลอดเวลา ไม่ได้เพราะเคร่ง แต่ต้องห่มผ้าจีวรที่จะหลุดอยู่ตลอดเวลา

ที่เป็นอุปสรรคคืออากาศหนาว แล้วยังมียุง ที่ไม่สนใจว่าอากาศจะหนาวแค่ไหนกัดอย่างเดียว เวลาปวดเบา ปวดหนัก ต้องไปปลดทุกตามป่าข้างทาง โอ้โห สุดยอด


พระอุโบสถวัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์

จำพรรษาวัดที่สอง ที่ "วัดไทยกุสินาราเฉลิมราษฎร์" ได้ทำกิจวัตรของพระหลายข้อ เช่น ทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็น รักษาผ้าครอง รู้สึกได้ทันทีว่าไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับการบวชเป็นพระ ตื่นตีห้า หกโมงเช้าทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็น 19.00 น. เป็นช่วงเวลาที่มีอากาศค่อนข้างหนาว ขนาดพูดควันออกปาก อยู่ที่วัดไทยกุสินาราเฉลิมราษฎร์หลายวัน ด้วยถูกกำหนดด้วยตั๋วเดินทาง ต้องกลับประเทศไทย วันที่ 20 มีนาคม

วันที่ 18 มีนาคม ออกเดินจากวัดไทยกุสินาราเฉลิมราษฎร์ไปยังวัดไทยพุทธคยาอีกครั้ง ตั้งใจว่าจะต้องไปนั่งสมาธิใต้ต้นโพธิ์ให้ได้ก่อนกลับประเทศไทย มีเวลา 2 คืน คือ 18-19 มีนาคม

ทันทีที่เดินทางไปยังพระมหาโพธิเจดีย์ จองตั๋วเพื่อเข้าไปนั่งหลัง เวลา 21.00 น. ถึงตอนเช้า 06.00 น. เรียกว่านั่งสมาธิกันข้ามคืนข้ามวันกัน

วันแรกหลังเวลา 21.00 น. ไปด้วยความมั่นใจมาก ไม่มีกลด หรือยาทากันยุงใดๆ ทั้งสิ้น ไปนั่งข้างต้นโพธิ์ห่างแท่นวัชรอาสน์ ที่ประทับนั่งของพระมหาบุรุษ ผู้ทรงมีใจเข้มแข็ง ประดุจเพชร 4-5 เมตร ใต้ต้นโพธิ์หน่อที่ 4

     ปรากฏว่านั่งสมาธิได้ประมาณ 5 นาที มารฝูงใหญ่พากันมากัดทั่วสรรพางค์กาย
     เว้นตรงที่ครองจีวร เป็นอันว่าคืนแรกปฏิบัติการไม่สำเร็จตามที่ต้องการ


คืนที่สองลองใหม่ เตรียมตัวไปอย่างดี มีเกราะกันมาร เอ๊ย ยุง เป็นกลดรุ่นใหม่ทรงสี่เหลี่ยมขนาดพอเหมาะ ของวัดครับยืมมา นั่งรอเวลา 3 ทุ่ม 4 ทุ่ม 5 ทุ่ม ถึงตีหนึ่ง เริ่มนั่งสมาธิกะได้แน่ เพราะปลอดมาร คือยุง นั่งไปสัก 5 นาที เจอมารตัวใหม่ สุนัขอินเดียขนานแท้ ใต้ต้นโพธิ์ต้นหน่อที่ห้า เห่าอยู่ข้างหูห่างหนึ่งเมตร ภาวนาเสียงหนอๆๆๆๆ

10 นาทีผ่านไป จิตเริ่มสงบนิ่ง รู้ว่ามีเสียงเห่า แต่ไม่เกิดความรำคาญ เป็นสภาวะที่จิตเข้าถึงความสงบ พูดแล้วเหมือนอวดอุตริ แต่เป็นเรื่องจริงเจอกับผู้เขียนจริง ในสภาวะที่จิตสงบ อยากจะนั่งใต้ต้นโพธิ์อีกเพื่อให้ได้สมาธิเพื่อให้จิตรวมน่าเสียดายต้องกลับประเทศไทยแล้ว

ผู้เขียนออกจากประเทศอินเดียด้วยใจระทึก ตรงด่านตรวจคนเข้าเมือง ตรวจละเอียดมาก ผู้เขียนเองถูกใส่ข้อมูลมาตลอดระหว่างที่อยู่ที่ประเทศอินเดียว่าการบวชจากประเทศอินเดียแล้วจะกลับประเทศไทยนั้น สถานภาพเปลี่ยนไปจากเดิม จะทำให้ออกจากประเทศอินเดียไม่ได้ ตอนเข้าประเทศไทยไปอินเดียเป็นฆราวาส แต่ตอนออกบวชเป็นพระ แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ผู้เขียนเตรียมรูปภาพ ตอนบวชไว้หากเจอปัญหาก็จะแสดง แต่ก็โล่งอกผ่านตลอด


พระศรีสรรเพชญ พระประธานในพระอุโบสถวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์

ผู้เขียนลาสิกขาที่ทำงานไว้ 1 เดือนยังไม่ครบ เหลืออีก 10 วัน และต้องการบวชเป็นพระกลับมาที่ประเทศไทย มาจำพรรษาต่อที่วัดมหาธาตุฯท่าพระจันทร์ ที่คณะ 8 เพื่อให้ญาติพี่น้อง เพื่อนพี่น้อง ได้มาทำบุญ     
     ก่อนที่จะสึก มาอยู่ที่วัดมหาธาตุฯได้เห็นอะไรหลายอย่าง
     พระที่จำพรรษาอยู่ใจกลางผู้คนที่พลุกพล่านมันเป็นเรื่องยากสำหรับการปฏิบัติธรรม
     ถ้าใจไม่เข้มแข็งพอ กิจวัตรท่ามกลางอากาศร้อน ตรงกันข้ามกับประเทศอินเดีย


มาอยู่ที่ประเทศไทยได้ทำกิจวัตรหลายอย่างเพิ่มขึ้น เช่นตื่นตีห้าครึ่งบิณฑบาต 06.00 น. สร้างสมาธิได้อย่างดี ต้องระวังไม่ให้ฝาบาตรหล่น เดินสำรวมระยะสามก้าว ระยะเส้นทางครึ่งกิโลเมตร แต่ก็ไม่วายถูกเศษแก้วตำเท้า มาจำพรรษาที่คณะ 8 มีเวลาอ่านหนังสือมากมายหลายเล่ม โดยเฉพาะหนังสือธรรมะ

สรุปว่าการบวชแค่ 1 เดือนยังไม่ได้อะไรเลย ต้อง 1-2 พรรษา เพศบรรพชิตจบลงด้วยความอาลัย มีเจ้าประคุณพระธรรมสุธี อธิบดีสงฆ์ วัดมหาธาตุฯ (ท่าพระจันทร์) ให้ความกรุณาทำพิธีสึกให้ พอถึงวินาทีสุดท้ายดึงสังฆาฏิออกจากบ่า จิตใจอาวรณ์ไม่อยากออกจากผ้าเหลือง เกือบกั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่

ผมบวชหนนี้ถ้าไม่ได้บุคคลเหล่านี้ทั้งพระ ฆราวาส ให้ความอุปถัมภ์ คงบวชไม่ได้ อย่างคุณนายชัชชัย สุเมธโชติเมธา กรรมการผูัจัดการ บริษัท สากล เอนเนอยี จำกัด คุณอ๊อด สุภชัย วีระภุชงค์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยนครพัฒนา จำกัด และพระราชรัตนรังษี พระมหาโกวิท และพระเมธีวรญาณ เป็นพระเถระที่อุปสมบทพวกกระผมมา ทำให้พวกกระผม ทราบเรื่องราวเกี่ยวกับประเทศอินเดียมากขึ้น

     "บวชที่ไหนก็ได้ แต่บวชที่ประเทศอินเดีย เหมือนอยู่ใกล้พระพุทธเจ้า"


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1350729027&grpid=03&catid=&subcatid=
http://www.thongthailand.com/,http://www.watthaikusinara-th.org/,http://www.mahathatde.com/
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 20, 2012, 10:12:48 am โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ