การปฏิบัติธรรมมีแบบปฏิบัติที่สำคัญๆ อยู่ 2 แบบ
1. ใช้สมาธินำก่อน แล้วค่อยใช้ปัญญาตาม
2. ใช้ปัญญานำก่อน(แต่จิตจะต้องมีกำลังของสมาธิพอสมควร)
1. ใช้สมาธินำ
เช่น นั่งสมาธิ อาจจะใช้อานาปานสติ กำหนดรู้ที่ลมหายใจเข้า-ออก
ตอนนี้จิตกับลมหายใจจะเป็นอันเดียวกัน
กำหนดไปๆ จนจิตแยกออกมาจากลมหายใจกลายมาเป็นผู้มารู้ลม
ที่กำลังเข้า-ออกแทน แต่ไม่มีคำว่าลมหายใจแล้ว แต่ก็ยังไม่ใช่ปัญญา
(ตอนนี้เป็นสมาธิระดับลึก ต้องเอาปัญญามาพิจารณา แล้วจิตจะถอน
ออกมาจากสมาธิลึกเล็กน้อยเพื่อที่จะพิจารณาความจริงได้)
เพราะถ้าไม่พิจารณาว่า ลมคือลม จิตคือจิต แยกจากกัน ก็จะเป็นสมถะ
แต่ถ้ารู้แบบแยกจากกันได้ ก็จะเป็นวิปัสสนา ว่า ลม(หายใจ)ไม่ใช่เรา
(ใช้ผลจากกำลังสมาธิลึก ทำให้จิตตั้งมั่น แล้วถอยจิตออกมาเล็กน้อย)
แล้วอาจจะพิจารณาไปอีกว่าลมนี้ก็มีเกิดขึ้น-ตั้งอยู่(ยังมีสภาพเป็นลม)
และดับไป เท่านั้นเอง แล้วลมนี้มาจากไหน ก็มาจากการยังมีอยู่ของร่างกาย
แล้วร่างกายมีสภาพอย่างไร ก็ใช้อสุภะมาพิจารณา หรือพิจารณาแยกกาย
ออกมากองทีละส่วน หาความจริงของร่างกายนั้นไม่ได้(สายพระป่า)
แต่การพิจารณากายทั้งหมด ใช้สมาธิไม่ใช่ระดับลึก แต่ต้องมีสมาธิบ้าง
อีกอย่างที่สำคัญคือ ข้อมูลความเป็นจริงของร่างกาย หรือข้อมูลที่เราจะเอา
มาพิจารณาจะต้องมีเก็บอยู่ในสัญญาขันธ์(ความจำ)บ้าง ไม่เช่นนั้น
เราจะเอาอะไรมาพิจารณาไม่ได้เลย ดังนั้นข้อมูลจึงสำคัญ
ข้อมูลนั้นได้มาจาก การฟัง, การอ่าน(สุตตมยปัญญา) แล้วเอามาคิด
พิจารณา (ภาวนามยปัญญา) และ ใคร่ครวญจนเกิดปัญญาอย่างแท้จริง(จินตมยปัญญ)
สรุป สมาธิ--- ปัญญา(สติที่พิจารณาใคร่ครวญจนเกิดปัญญาหรือสัมมาสติ)---สัมมาสมาธิ(ความ ตั้งมั่นของจิตที่ต่อเนื่องมั่นคงอยู่กับความกระจ่างแจ้งในความเป็นจริงของ ความจริงอยู่ในใจหรือในจิต จิตจะตั้งมั่นอยู่กับปัญญาที่เกิดขึ้น)
2. ใช้ปัญญานำก่อน
เริ่ม จาก การได้รับข้อมูลความจริง(สัมมาทิฏฐิ)ได้มาจาก การฟัง, การอ่าน(สุตตมยปัญญา) แล้วเอามาคิดพิจารณา (ภาวนามยปัญญา) และ ใคร่ครวญจนเกิดปัญญา
อย่างแท้จริง(จินตมยปัญญ)
การนำข้อมูลความจริงจากที่พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้ หรือได้รับฟังจากครูบาอาจารย์
มานั้น เราต้องนำมาคิด ใคร่ครวญ ทบทวน อยู่บ่อยๆ(สัมมาสติ)
การทำแบบนี้ก็จะทำให้เกิดสัมมาสมาธิได้ แต่เป็นสัมมาสมาธิระดับอ่อน จนคิดบ่อยๆ
พิจารณาบ่อยๆ จนหยั่งลึกเข้าไปในจิต จนจิตเป็นผู้รู้ผู้ตื่นได้อย่างแท้จริง
จึงจะเป็นสัมมาสมาธิที่ตั้งมั่นทรงตัวอยู่กับจิตได้มากขึ้น
สรุป ปัญญา(สัมมาสติ)---สมาธิ(สัมมาสมาธิ)
เมื่อจิตมีความตั้งมั่นมากขึ้น ข้อมูลความจริงที่ซึมซับลงไปอยู่ในจิตใต้สำนึกมากขึ้น
สติก็จะเกิดเองได้บ่อยขึ้นไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถใด
อยากจะพิจารณา แต่นึกอะไรไม่ออก...
ดังนั้น ตัวปัญญาหรือข้อมูลความจริงจึงสำคัญมากๆ ควรมีมากๆ
ดึงขึ้นมา นึกขึ้นมาได้เพื่อเอามาสอนจิตของเราเอง ถ้าข้อมูลที่มีอยู่ไม่พอ
แล้วเราจะดึงความจริงจากตรงไหนมาพิจารณาล่ะ
ขอให้ทุกท่านเจริญในความจริงตามพระสัทธรรมคำสอนของ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยเร็วด้วยกันทุกท่าน
จากคุณ : nongmew321
http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y10223503/Y10223503.html