ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: สมควรปฎิรูปพุทธศาสนาไม่ต้องแก้พระไตรปิฎกหรือยัง-นำพระอริยะเจ้าเข้ามาตีความ  (อ่าน 6877 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

tuenum

  • บุคคลทั่วไป
0

 
นี่...คุณรู้ไหมว่าถ้าคุณจะปฎิรูปพุทธศาสนาก็ต้องแก้พระไตรปิฎกด้วยน๊ะ...เพราะพุทธศาสนาเรายึดตามหลักในพระไตรปิฎก..

ทำไมคุณป้าฉลาดน้อยอย่างนี้ล่ะครับ  พระไตรปิฎกไม่ผิด และไม่เกี่ยวเลย ไม่ต้องปฏิรูป  แต่ที่ต้องปฏิรูปศาสนาพุทธ คือ ปฎิรูปคำสอนของไอ้พวกมารศาสนา ที่เรียกว่า พวกปริยัติ  พวกนี้ไม่ปฏิบัติ  จึงไม่ได้ปัญญาทางศาสนา  เมื่อไม่ได้ปัญญาทางพุทธศาสนา  พวกนี้จึงตีความพระไตรปิฎกผิดๆ แล้วทะลึ่งเอาการตีความพระไตรปิฎกขั้นหายนะของพวกมัน  เอาไปเผยแพร่ให้คนไทยและชาวโลกรับรู้ =  ทำลายพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้า

มันใช้ไม่ได้ครับ  เราต้องปฏิรูปยกเครื่อง  ยกคำสอนโหลยโท่ยในพุทธเถรวาทของสมมุติสงฆ์ ที่บิดเบือนคำสอนของพระพุทธองค์ออกไป เพราะมารมันคุมฝ่ายปริยัติ  ทำให้เกิดของปลอมที่เรียกว่า สัทธรรมปฏิรูปพุทธศาสนาขึ้น

ผมตัวอย่าง 3 เรื่องที่ต้องยกเครื่องคำสอน ที่บิดเบือนคำสอนของพระพุทธเจ้า ออกไป


1.  นิพพานเป็นธรรมกาย และธรรมกายเป็นอัตตา แก๊งค์มารผ้าเหลือง ดันทะลึ่งสอนว่า  นิพพานเป็นอนัตตา  ทั้งๆที่พระพุทธเจ้าพูดถึงสิ่งที่เป็นอนัตตา คือ ขันธ์ 5 หรือสังขตธาตุ หรือจิต(สังขาร) เท่านั้น  อย่างนี้มันใช้ไม่ได้ครับ   มีอย่างที่ไหน
 
  - ไปบอกว่า นิพพานเป็นอนัตตา แล้วเราจะไปนิพพานหาพระแสงอะไรล่ะ เพราะมันก็ยังทุกข์ และเกิดแก่เจ็บตายอยู่  แล้วคำนิยาม อัตตา ของพระพุทธเจ้าในอนัตตลักขณะสูตร ก็ชัดเจ้นอยู่แล้วว่า อัตตา = สิ่งที่เที่ยง ไม่ทุกข์ ไม่แปรปรวนเป็นธรรมดา = ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย = อสังขตธาตุ(นิพพาน) 
 
2.  นอกจากไปทะลึ่งสอนว่า นิพพานเป็นอนัตตาแล้ว ยังอวดฉลาด เอาคำสอนซื่อบื่อของตน ไปบอกชาวโลกว่า ศาสนาพุทธไม่เชื่อในเรื่องพระเจ้า และไม่มีพระเจ้า และศาสนาพุทธเป็นอเทวนิยม  ทั้งๆที่ศาสนาพุทธเป็นเทวนิยม ชนิดที่สมบูรณที่สุด เพราะบอกถึงวิธีการเข้าไปเป็นเทวะในทุกชั้น  รวมถึงชั้นพระเจ้า(วิสุทธิเทพ)

 เก่งจริงๆเลยนะเรื่องฉลาดน้อยอย่างนี้   ไม่มีความรู้เลยว่า พระเจ้าที่แท้ก็คืออสังขตธาตุ  หรือพุทธะ หรือพระอรหันต์    แต่เรื่องเหล่านี้ไว้ค่อยถกกันในกระทู้อื่น
 
3. พระพุทธเจ้าไม่ได้หายไปไหน ยังคงอยู่  ผมได้แสดงพระสูตรในพระไตรปิฏกแลปิฎกมหายานไปล้ว  ที่ชัดเจนเลยคือ พรหมชาลสูตรที่ ๑.

" ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคต มีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพขาดแล้ว ยังดำรงอยู่ เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักเห็นตถาคตชั่วเวลาที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่"

แต่พวกปริยัติ  ปฏิบัติไม่ถึงขั้น  จึงโดนมนตราของมาร ให้อ่านเท่าไร ก็ตีความพุทธพจน์นี้ไม่ได้  มันเป็นความผิดของพระไตรปิฎก หรือความผิดของสมมุติสงฆ์ล่ะครับ

สรุป

ปฎิรูปพุทธศาสนาไม่ต้องแก้พระไตรปิฎก  แต่ต้องแก้คนตีความพระไตรปิฎก  ผมขอเสนอตัวเองเป็นแกนนำฝ่ายฆราวาสในการปฎิรูปพุทธศาสนา....ขอผู้รับรองด้วยครับ 

อ้อ!  ไม่มีเลยหรือ?  ก็อย่างว่าล่ะครับ  มารมันคุมใจของพุทธศาสนิกชนไว้หมดแล้ว  แม้แต่คนที่เห็นด้วยกับผม  ก็หดตัว หดหัว ไม่กล้าแสดงตัวให้เห็น
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 13, 2010, 12:55:52 pm โดย tuenum »
บันทึกการเข้า

sumboon

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +3/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 108
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ท่านผู้อ่านทั้งหลายครับ

ผู้ใดอยากรู้ธรรม  อยากเห็นธรรมะของจริงของพระพุทธเจ้า  ก็ต้องแหวกขี้ไป  แต่ถ้าติดอยู่ในกองขี้ .... ก็ย่อมไม่เห็นธรรม

ธรรมะเขาวิปลาสมาก แหวกขี้ออกมา มิน่ามีแต่สิ่งโสมม

บันทึกการเข้า
ศิษย์ วัดหนองบัวหิ่ง ปากท่อ ราชบุรี

กิจกรรมของวัด http://nbh2550.com/forum/

tuenum

  • บุคคลทั่วไป
0
ธรรมะเขาวิปลาสมาก แหวกขี้ออกมา มิน่ามีแต่สิ่งโสมม

ธรรมะวิปลาสคือ ธรรมะของพวกมารที่มันซ่อนอยู่ในใจของสมมุติสงฆ์ และฆราวาส เช่นคุณ

ธรรมะที่ผมแสดงในทุกกระทู้ เป็นธรรมะของพระพุทธเจ้าแท้ๆ จึงไม่มีทางค้านได้ด้วยเหตุผลแม้แต่เรื่องเดียว  แต่ค้านได้โดยใส่ร้ายป้ายสี ด่าว่าเสียดสี สาบแช่งเท่านั้น  เหมือนที่คุณกำลังเอาขี้เหม็นๆของคุณ มาป้ายกระทู้ต่างๆของผมอยู่นี่ยังไง

พอพวกมารได้กลิ่นขี้สกปรก  ก็จะตามมาใส่ของโสมมเข้ากระทู้ผมอีก
บันทึกการเข้า

sumboon

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +3/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 108
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
อ้าวแอบมาดมขี้ตั้งแต่เมื่อไร ชอบแต่ของโสมม แถวบ้านเรียก กระสือ กระหัง
บันทึกการเข้า
ศิษย์ วัดหนองบัวหิ่ง ปากท่อ ราชบุรี

กิจกรรมของวัด http://nbh2550.com/forum/

sumboon

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +3/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 108
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0


มันใช้ไม่ได้ครับ  เราต้องปฏิรูปยกเครื่อ
กระหังตนนี้มันช่างบังอาจจริง อยู่กับของโสมมเลยคิดได้แต่เรื่องโสมมม
บันทึกการเข้า
ศิษย์ วัดหนองบัวหิ่ง ปากท่อ ราชบุรี

กิจกรรมของวัด http://nbh2550.com/forum/

sumboon

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +3/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 108
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0



มันใช้ไม่ได้ครับ  เราต้องปฏิรูปยกเครื่อง ยกคำสอนโหลยโท่ยในพุทธเถรวาทของสมมุติสงฆ์ ที่บิดเบือนคำสอนของพระพุทธองค์ออกไป เพราะมารมันคุมฝ่ายปริยัติ  ทำให้เกิดของปลอมที่เรียกว่า สัทธรรมปฏิรูปพุทธศาสนาขึ้น

กระหังตนนี้มันช่างบังอาจจริง อยู่กับของโสมมเลยคิดได้แต่เรื่องโสมมม

[/quote]
บันทึกการเข้า
ศิษย์ วัดหนองบัวหิ่ง ปากท่อ ราชบุรี

กิจกรรมของวัด http://nbh2550.com/forum/

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28527
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
คำเตือน

ขอให้ทุกท่านทบทวนข้อความของตนเองด้วยครับ

ทุกท่านต้องแก้ไข ถ้อยคำที่ไม่สุภาพ ถากถาง เยาะเย้ย เสียดสี ส่อเสียด

และกรุณาใช้คำพูดหรือภาษาของสุภาพชน

มิฉะนั้น ผมจะใช้สิทธิื์์์์์์ที่มีอยู่ ดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่ง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 13, 2010, 03:21:37 pm โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

lastman

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +10/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 158
  • สระบุรี มีอรอยพระพุทธบาทมากที่สุด.................
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
แปลมั่วอีกแล้ว กับความหมาย อนัตตา
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: ตุลาคม 13, 2010, 07:07:56 pm »
0
อ้างถึง
ไปบอกว่า นิพพานเป็นอนัตตา แล้วเราจะไปนิพพานหาพระแสงอะไรล่ะ เพราะมันก็ยังทุกข์ และเกิดแก่เจ็บตายอยู่  แล้วคำนิยาม อัตตา  ของพระพุทธเจ้าในอนัตตลักขณะสูตร ก็ชัดเจ้นอยู่แล้วว่า อัตตา = สิ่งที่เที่ยง ไม่ทุกข์ ไม่แปรปรวนเป็นธรรมดา = ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย = อสังขตธาตุ(นิพพาน) 

ยกเอามากล่าวไปเรื่อย เฉพาะตัวผมเอง ยังไม่เคยได้ยินว่า พระรูปไหนที่อยู่ผมรู้จัก พูดว่า นิพพาน เป็นอนัตตา

อ้างถึง
แล้วเราจะไปนิพพานหาพระแสงอะไรล่ะ
ใช้วาจาเถื่อนจัง ( สงสัยจะสะใจที่ได้พูดอย่างนี้ )

นิพพาน ในคัมภีร์พระอภิธรรมให้ความหมายไว้ 28 ประการ
ไปอ่านเสียหน่อยนะ
นั่นคือเป้าหมายของนิพพานทั้งหมด

อ้างถึง
อัตตา = สิ่งที่เที่ยง ไม่ทุกข์ ไม่แปรปรวนเป็นธรรมดา
อันนี้ก็แปลผิดอีก จึงให้ความหมายผิด

อัตตา แปลโดยอรรถ ว่า ตัวตน ตัวเรา ของเรา  ตัวตนของเรา

เป็นตนของเรา ( หลวงพ่อพุทธทาสใช้คำว่า ตัวกู ของกู )

อนัตตา แปลโดยอรรถว่า  ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนของเรา



ินิจจัง อันนี้ถึงจะแปลเที่ยง หรือมีอยู่เป็นนิตย์  ไม่เปลี่ยนสภาพ

อนิจจัง อันนี้ถึงจะแปลว่า ไม่เที่ยง ไม่คงอยู่ ไม่ทนสภาพ แปรปรวน

คุณแปลวผิดให้ความหมายผิด พระไตรปิฏก อย่าเพียงอ่านข้อความภาษาไทยเท่านั้น


อ้างถึง
ทั้งๆที่พระพุทธเจ้าพูดถึงสิ่งที่เป็นอนัตตา คือ ขันธ์ 5

นี่ก็ด่วนสรุปอีกแล้ว ว่าพระพุทธเจ้าสอนสิ่งที่เป็นอนัตตาที่ขันธ์ 5 เท่านั้น

ในอาพาธสูตร หรือ คิลิมานันทสูตร

พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า อนิจจสัญญา ยกอารมณ์ ขันธ์ ว่าเป็นอนิจจัง องค์กรรมฐานที่ ขันธ์ 5 มีเท่านี้

   ส่วน อนัตตสัญญา พระองค์ระบุลงไปที่ อายตนะ ภายใน กับ ภายนอก กระทบกัน ให้มองเห็นอนัตตา

อ้างถึง
ปฎิรูปพุทธศาสนาไม่ต้องแก้พระไตรปิฎก  แต่ต้องแก้คนตีความพระไตรปิฎก

อันนี้ผมเห็นด้วยว่า ควรจะเป็นอย่างนั้น

 แต่ถ้าเป็นคุณ ความสามารถยังไม่พอ ยังมีอคติกับเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ที่แน่นอนที่สุด คือคุณไม่มี

ญาณจริง ๆ อย่างที่คุณโพทะนาไว้่



 จากส่วนนี้





« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 13, 2010, 07:30:57 pm โดย patra »
บันทึกการเข้า
อนันตริยกรรม ๖ พึงงดเว้น
มีเพื่อนบอกว่าคุณจะเลวอย่างไรก็ได้ แต่อย่าทำผิดศีล ๕

ทิด...คนหนึ่งที่นับถืออาจารย์

lastman

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +10/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 158
  • สระบุรี มีอรอยพระพุทธบาทมากที่สุด.................
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
       ดูกรภิกษุทั้งหลาย

        รูปเป็นอนัตตา ถ้ารูปนี้จักได้เป็นอัตตาแล้ว รูปนี้ไม่พึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลพึงได้ในรูปว่า รูปของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด รูปของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย ภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะรูปเป็นอนัตตา ฉะนั้น รูปจึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลย่อมไม่ได้ในรูปว่า รูปของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด รูปของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย

        เวทนาเป็นอนัตตา ถ้าเวทนานี้จักไปนอัตตาแล้ว เวทนานี้ไม่พึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลพึงได้ในเวทนาว่า เวทนาของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด เวทนาของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย ภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะเวทนาเป็นอนัตตา ฉะนั้น เวทนาจึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลย่อมไม่ได้ในเวทนาว่ เวทนาของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด เวทนาของเราจงอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย

        สัญญาเป็นอนัตตา ถ้า สัญญานี้จักได้เป็นอัตตาแล้ว สัญญานี้ไม่พึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลพึงได้ในสัญญาว่า สัญญาของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด สัญญาของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย ภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะสัญญาเป็นอนัตตา ฉะนั้น สัญญาจึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลย่อมไม่ได้ในสัญญาว่า สัญญาของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด สัญญาของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย

        สังขารทั้งหลายเป็นอนัตตา ถ้าสังขารนี้จักได้เป็นอัตตาแล้ว สังขารเหล่านี้ไม่พึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลพึงได้ในสังขารทั้งหลายว่า สังขารทั้หลายของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย ภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะสังขารทั้งหลายเป็นอนัตตา ฉะนั้น สังขารทั้งหลายจึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลย่อมไม่ได้ในสังขารทั้งหลายว่า สังขารทั้งหลายของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด สังขารของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย

        วิญญาณเป็นอนัตตา ถ้าวิญญาณนี้จักได้เป็นอัตตาแล้ว วิญญาณเหล่านี้ไม่พึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลพึงได้ในวิญญาณว่า วิญญาณของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด วิญญาณของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย ภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะวิญญาณเป็นอนัตตา ฉะนั้น วิญญาณจึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลย่อม ไม่ได้ในวิญญาณว่า วิญญาณของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด วิญญาณของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย

        พระบรมศาสดาตรัสถามว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอสำคัญความข้อนี้เป็นไฉน

รูปเที่ยงหรือไม่เที่ยง

        พระปัญจวัคคีย์ทูลว่า ไม่เที่ยงพระพุทธเจ้าข้า
        พระบรมศาสดา ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า
        ปัญจวัคคีย์ เป็นทุกข์พระพุทธเจ้าข้า
        พระบรมศาสดา ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา ควรหรือที่จะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตนของเรา
        ปัญจวัคคีย์ ข้อนั้นไม่ควรเลยพระพุทธเจ้าข้า
        พระบรมศาสดาตรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอสำคัญความข้อนี้เป็นไฉน

เวทนาเที่ยงหรือไม่เที่ยง

        พระปัญจวัคคีย์ทูลว่า ไม่เที่ยงพระพุทธเจ้าข้า
        พระบรมศาสดา ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า
        ปัญจวัคคีย์ เป็นทุกข์พระพุทธเจ้าข้า
        พระบรมศาสดา ก็สิ่งใดไม่เที่ยง มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา ควรหรือที่จะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตนของเรา
        ปัญจวัคคีย์ ข้อนั้นไม่ควรเลยพระพุทธเจ้าข้า
        พระบรมศาสดาตรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอสำคัญความข้อนี้เป็นไฉน

สัญญาเที่ยงหรือไม่เที่ยง

        พระปัญจวัคคีย์ทูลว่า ไม่เที่ยงพระพุทธเจ้าข้า
        พระบรมศาสดา ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า
        ปัญจวัคคีย์ เป็นทุกข์พระพุทธเจ้าข้า
        พระบรมศาสดา ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา ควรหรือที่จะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตนของเรา
        ปัญจวัคคีย์ ข้อนั้นไม่ควรเลยพระพุทธเจ้าข้า
        พระบรมศาสดาตรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอสำคัญความข้อนี้เป็นไฉน

สังขารทั้งหลายเที่ยงหรือไม่เที่ยง

        พระปัญจวัคคีย์ทูลว่า ไม่เที่ยงพระพุทธเจ้าข้า
        พระบรมศาสดา ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า
        ปัญจวัคคีย์ เป็นทุกข์พระพุทธเจ้าข้า
        พระบรมศาสดา ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความ
        แปรปรวนไปเป็นธรรมดา ควรหรือที่จะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นของเรา นั่นเป็นตนของเรา
        ปัญจวัคคีย์ ข้อนั้นไม่ควรเลยพระพุทธเจ้าข้า
        พระบรมศาดาตรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอสำคัญความข้อนี้เป็นไฉน

วิญญาณเที่ยงหรือไม่เที่ยง

        พระปัญจวัคคีย์ทูลว่า ไม่เที่ยงพระพุทธเจ้าข้า
        พระบรมศาสดา ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า
        ปัญจวัคคีย์ เป็นทุกข์พระพุทธเจ้าข้า
        พระบรมศาสดา ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา ควรหรือที่จะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตนของเรา
        ปัญจวัคคีย์ ข้อนั้นไม่ควรเลยพระพุทธเจ้าข้า


ช่วงนี้เป็นช่วงทบทวน ความรู้ อารมณ์ การเห็นตามเป็นจริง ของพระโสดาบัน



        พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล
รูปอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน ภายในหรือภายนอก หยาบหรือละเอียด เลวหรือประณีต ไกลหรือใกล้ ทั้งหมดก็เป็นแต่สักว่ารูปเธอทั้งหลายพึงพิจารณารูปนั้นด้วยปัญญาอันชอบตาม เป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตนของเรา

        เวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน ภายในหรือภายนอก หยาบหรือละเอียด เลวหรือประณีต ไกลหรือใกล้ ทั้งหมดก็เป็ตแต่สักว่าเวทนา เธอทั้งหลายพึงพิจารณาเวทนานั้นด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตนของเรา

        สัญญาอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน ภายในหรือภายนอก หยาบหรือละเอียด เลวหรือประณีต ไกลหรือใกล้ ทั้งหมดก็เป็นแต่สักว่าสัญญา เธอทั้งหลายพึงพิจารณาสัญญานั้นด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตนของเรา

        สังขารทั้งหลายอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน ภายในหรือภายนอก หยาบหรือละเอียด เลวหรือประณีต ไกลหรือใกล้ ทั้งหมดก็เป็นแต่สักว่าสังขาร เธอทั้งหลายพึงพิจารณาสังขารนั้นด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตนของเรา

        วิญญาณอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน ภายในหรือภายนอก หยาบหรือละเอียด เลวหรือประณีต ไกลหรือใกล้ ทั้งหมดก็เป็นแต่สักว่าวิญญาณ เธอทั้งหลายพึงพิจารณาวิญญานั้นด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตนของเรา

        ภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้ฟัง ได้พิจารณาอยู่อย่างนี้แล้ว ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในรูป ในเวทนา ในสัญญา ในสังขารทั้งหลาย และในวิญญาณ เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมสิ้นกำหนัด เพราะสิ้นกำหนัดจิตก็พ้น เมื่อจิตพ้นแล้ว อริยสาวกนั้นก็ทราบชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์ได้อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำได้ทำสำเร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี

        พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสพระสูตรนี้แล้ว พระปัญจวัคคีย์มีใจยินดี ในภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าจบไวยากรณภาษิตนี้ จิตของปัญจวัคคีย์พ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น ภิกษุ ปัญจวัคคีย์ทั้งหมดดำรงอยู่ในพระอรหัต


ในส่วนสำคัญของอนัตตลักขณสูตร อยู่ช่วงนี้เพราะว่าเป็นช่วงที่ทำให้เกิดพระอรหันต์


ท่านผู้อ่าน ๆ พระไตรปิฏ ดีกว่านะครับ เพราะไม่ต้องปฏิรูปอะไรทั้งนั้นอยู่แล้ว แต่อ่านหลาย ๆ รอบหน่อย
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 13, 2010, 07:15:06 pm โดย lastman »
บันทึกการเข้า
อนันตริยกรรม ๖ พึงงดเว้น
มีเพื่อนบอกว่าคุณจะเลวอย่างไรก็ได้ แต่อย่าทำผิดศีล ๕

ทิด...คนหนึ่งที่นับถืออาจารย์

phonsak

  • บุคคลทั่วไป
0
love@mind เขียน:



สรุป

ปฎิรูปพุทธศาสนาไม่ต้องแก้พระไตรปิฎก แต่ต้องแก้คนตีความพระไตรปิฎก ผมขอเสนอตัวเองเป็นแกนนำฝ่ายฆราวาสในการปฎิรูปพุทธศาสนา....ขอผู้รับรองด้วยครับ

อ้อ! ไม่มีเลยหรือ? ก็อย่างว่าล่ะครับ มารมันคุมใจของพุทธศาสนิกชนไว้หมดแล้ว แม้แต่คนที่เห็นด้วยกับผม ก็หดตัว หดหัว ไม่กล้าแสดงตัวให้เห็น



อิอิ

ยกมือคนแรกเลย
เห็นด้วยครับ
ต้องแก้ที่คนตีความ

ตกลงสรุปว่า   แก้ที่ป๋าพอลล์(phonsak)ก่อนเป้นคนแรกเลย อิอิ



ตอบ


ไม่ต้องแก้ที่ผมครับ  ผมไม่เกี่ยวพันธ์  ผมอาจจะเป็นแค่ร่างทรงของพระพุทธเจ้าก็ได้นะ  สิ่งที่ผมบอก อาจจะล้วนเป็นคำสอนของพระพุทธองค์ ที่ตรัสผ่านผมให้พวกคุณรู้ก็เป็นได้ 

แต่เนื่องจากวิบากกรรมเก่าของผม  มารเขาจึงสามารถเอาขี้และโคลนตมสกปรก มายัดใส่ได้  ทำให้พุทธศาสนานิกชนที่ยังมีกิเลสหนาแน่น ไม่สนใจคำสอนของพระพุทธองค์ที่ผ่านผม  แต่ไปสนใจกับขี้และโคลนตมที่โสโครกแทน
บันทึกการเข้า

prachabeodee

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 135
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ป้าขออโหสิกรรมด้วยน๊ะทุกๆคนที่ตามอ่าน ที่ป้าอาจใช้คำที่ไม่เหมาะสมหรืออาจก้าวร้าวไปหน่อย....แต่ทั้งหมดทั้งสิ้นก็เพื่อจะแสดงให้เห็นอะไรบางอย่าง.........
....ป้าก็ไม่ไช่ผู้บรรลุหรือเคร่งในธรรมหรือแม่นในข้ออรรถข้อธรรมอะไรแต่พอจะเข้าใจในความมีความเป็นได้ระดับหนึ่ง .....
.....ที่ป้าเข้ามานี่ก็เป็นอีกความเห็นหนึ่งเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่ไม่ไช่ปฎิบัติสายมัชชิมาโดยลำดับ หรือสายที่คุณพลศักดิ์และคุณtuenum...แต่ป้าเป็นตัวขอตัวเองไม่ร่วงเกินไม่สบประมาทในคำสอนในแนวปฎิบัติหรือไม่โต้เถียงในฐิทิที่แตกต่างกันในแต่ละสายแต่ละความเห็นเพราะที่จริงแล้วการปฎิบัติธรรมโดยแท้จริงแล้วต้องให้ความสนใจเข้าสู่ภายในไม่ไช่มาส่งความคิดส่งฐิทิออกนอกเพื่อหักล้างหรือโต้เถียงเพื่อเอาชนะกันหน้าดำหน้าแดงเช่นนี้....ท่านทั้งหลายที่โต้เถียงหรือถกธรรมมะกันอยู่นี่ท่านต้องดูจิตของตัวท่านเองด้วยน้า..อย่าให้ความคิดอันบรรเจิดนำดวงจิตให้ไม่ประภัสสร.......
......................................
ศาสนามีตั้งมากมายหลายศาสนา  แม้แต่ศาสนาพุทธเองก็มีหลากหลายนิกาย.....(มีทั้งเป็นสาวกภูมิ พุทธภูมิ โพธิสัตว์ภูมิ มหาโพธิสัติภูมิ )เราซึ่งยึดในเถรวาท(สาวกภูมิ)คือรู้ตามเห็นตามในพระสัมโพธิญาณในองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน(สมณโคดม) ก็ตั้งหน้าตั้งตาปฎิบัติไปให้เต็มกำลัง มรรคและผลอันเกิดจากการปฎิบัติย่อมบังเกิดเองไม่ต้องไขว่เขวไม่ต้องสับสน.....................
...............ส่วนเรื่อที่ถกกันในธรรมในมรรคในผล,ในแนวปฎิบัติ,ในฐิทิ,ในความต่างแห่งเป้าหมาย,ในต่างมุมมอง,ในความเป็นไปได้หรือเป็นไปไม่ได้(อจินไตย)...ต่างๆเหล่านี้ ทุกๆท่านก็ให้ฟังไว้ ถึงแม้ว่าบางข้อความบางช่วงบางตอน ผู้อ่านอาจตีความหมายไปต่างๆนานา เกิดความสงสัยเกิดความลังเลเกิดความสับสนหรือไม่มั่นใจในความเป็นไป.....ทุกท่านก็ให้รูไว้เป็นบทเรียนเพื่อเป็นความรู้ประดับสมองแค่นั้น
..........................................................................................
การที่ท่านทั้งหลายที่มาถกเทียงกันเอาเป็นเอาตายให้สมยานามกันว่าต่างคนต่างก็เป็นมาร......ท่านรู้หรือไม่ว่า....คำว่า"นิพพาน","มาร"นั้นลึกซึ้งแค่ไหน????.........พระพุทธองค์ท่านยังไม่สามารถอธิบายได้เลยเพราะเป็นอสัคตะธรรม..แม้ออกมาเป็นคำพูดหรืออักษรก็ไม่ตรงแล้ว แค่ดำหริก็เป็นมารแล้ว(ณ.คุณtuenumน๊ะ-คุณบอกว่ามนุษย์หรือการตีความเป็นพวกมาร)......ลึกซึ้งสุขขุมคำภีร์ภาพยิ่งนัก....ยิ่งอธิบายยิ่งผิดยิ่งพูดยิ่งไม่ตรง...
.........แต่ท่านทั้งหลายกับมาเถียงกันเปรียบประหนึ่งว่าเหมือนการต่อลองราคาในตลาดสด.เลยอ่ะ........นี่มันไม่ผิดเกินไปหน่อยหรือ??????...................
...
ส่วนที่มาเถียงกันเรื่องนิพพานแล้วสูญหรือไม่สูญนั้น...มันเป็นเรื่งเก่าแล้วล่ะ..เพราะมีการถกเถียงกันมาก่อนหน้านี้แล้วเป็นเวลานาน........แล้วก็ไม่มีข้อสรุป..เพราะจะมีหรือไม่มีก็เป็นเหตุเหนือวิสัยที่มนุษย์อันมีอายุไขเพียงไม่เกิด๑๐๐ปี จะมาเป็นผู้ตัดสิ้น เพราะด้วยอิทธิพละสัมโพธิญาณสัพพัญญูญาณ แห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลายจัดเป็น อจินไตยที่คิดแล้วก็ปวดหมอง.....เพราะฉนั้น อย่าไปคิดมันเลยเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์...สู้เอาเวลามาอยู่กับปัจจุบันขณะ จะมีอานิสงฆ์มีมรรคมีผลเป็นชิ้นเป็นอันมากกว่า....
.....................................................................................
......นี่คุณ ตำรวจคุม เว็บ..ป้าพูดดีแล้วน๊ะ..ไม่ส่อเสีนดแล้วน๊ะ...อย่ามาว่ากระทบป้าอีกเด๊อะ?!?!...
บันทึกการเข้า

prachabeodee

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 135
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0

ธรรมะที่ผมแสดงในทุกกระทู้ เป็นธรรมะของพระพุทธเจ้าแท้ๆ จึงไม่มีทางค้านได้ด้วยเหตุผลแม้แต่เรื่องเดียว  แต่ค้านได้โดยใส่ร้ายป้ายสี ด่าว่าเสียดสี สาบแช่งเท่านั้น  เหมือนที่คุณกำลังเอาขี้เหม็นๆของคุณ มาป้ายกระทู้ต่างๆของผมอยู่นี่ยังไง

พอพวกมารได้กลิ่นขี้สกปรก  ก็จะตามมาใส่ของโสมมเข้ากระทู้ผมอีก
[/quote]

.....................หนูเปล่าน้า..เข้ามาเอง....หนูเปล่าชวนน๋า........เขามาเอง...........
.................(ร้องต่อไม่ได้แย้วอ่ะ)..................
บันทึกการเข้า

ธรรมะ ปุจฉา

  • http://www.facebook.com/srikanet?ref=tn_tnmn
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +2/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 713
  • ปัญญสโก ภิกขุ (พระที) ..... คณะ ๓/๓ วัดพลับ
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
แล้วเราจะต้องตีความกันอย่างไรละ ไม่ให้ผิด  (เออะ แล้วทำไมถึงตีความผิดละ)
บันทึกการเข้า
ยาดี มิได้ทำให้คนหายไข้   คนหายไข้ เพราะได้กินยาดี
ธรรมะ มิได้ทำให้คนดี       คนดีได้  เพราะปฏิบัติธรรม

ธรรมะ ปุจฉา

  • http://www.facebook.com/srikanet?ref=tn_tnmn
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +2/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 713
  • ปัญญสโก ภิกขุ (พระที) ..... คณะ ๓/๓ วัดพลับ
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
แล้วเราจะปฎิรูปพุทธศาสนา กันได้ยังงัย งง!
มีแผนไม่ไม๊
ขอดูแผนก่อน อาจจะร่วมด้วย
บันทึกการเข้า
ยาดี มิได้ทำให้คนหายไข้   คนหายไข้ เพราะได้กินยาดี
ธรรมะ มิได้ทำให้คนดี       คนดีได้  เพราะปฏิบัติธรรม

เฉินหลง

  • ศิษย์ตรง
  • กำลังแหวกกระแส
  • *****
  • ผลบุญ: +3/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 153
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
อ้างถึง

อ้างถึง

    ปฎิรูปพุทธศาสนาไม่ต้องแก้พระไตรปิฎก  แต่ต้องแก้คนตีความพระไตรปิฎก


อันนี้ผมเห็นด้วยว่า ควรจะเป็นอย่างนั้น

 แต่ถ้าเป็นคุณ ความสามารถยังไม่พอ ยังมีอคติกับเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ที่แน่นอนที่สุด คือคุณไม่มี

ญาณจริง ๆ อย่างที่คุณโพทะนาไว้่

ผมเห็นด้วย ครับ ตามอ่านมาตั้งแต่ต้น เห็นลักษณะขี้คุย ชี้อวด ขี้โม้ มากๆ
บันทึกการเข้า