อันที่จริง ในแง่ ปริยัติ นั้นเราก็แยกออกมาเป็น สมถะ บ้าง วิปัสสนา บ้าง
แต่ความเป็นจริงในด้านการปฏิบัตินั้น ทั้งสองส่วนอยู้รวมกัน แยกจากกันไม่ได้
ในความเป็นจริง เพราะผู้ฝึกสมถะก็มิได้อยู่ในสมถะ เสมอไป ตามสภาวะของปุถุชชน ที่ยังต้องมีการปรุงแต่งดังนั้น จึงใช้การสำรวมจิต ที่เรียกว่าการปล่อยวางให้เกิดขึ้น บางคนใช้คำซะหรูว่า อุเบกขา แท้ที่จริงไม่เรียกว่า อุเบกขา แต่เเรียกว่า อทุกขมสุขเวทนา มากกว่า คือการทำอารมณ์ให้เป็นกลาง หรือ สภาวะปลอ่ยวาง การปล่อยวางนั้น ต้องมีการสำรวมจิต รวมทั้งความยินดีที่จะต้องปล่อยวาง ดังนั้นก็ต้องมีเหตุผลให้ จิต เพื่อให้จิตได้ปล่อยวาง เหตุผล นั้นเป็นวิปัสสนาเช่นเดียวกัน จะอ่อน จะแก่ ก้เรียกว่าวิปัสนนา
ดังนั้นในกรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับนั้น ก็ต้องอาศัยทั้งสองอย่าง คือ สมถะ และวปัสสนา ผู้เจริญภาวนาเข้ารวมศูนยฺ์ไว้ที่ฐานจิต เช่นนี้ได้เป็น สมถะั แต่การเข้าถึงพระลักษณะ และ พระรัศมี ด้วยคุณธาตุ นั้นเป็นวิปัสสนา เพราะต้องจดจำและเข้าถึง คำว่า เข้าถึง นี้เป็นวิปัสสนา เป็นการรู้เบื้องต้นในธาตุ ในคุณธาตุ ซึ่งเป็นพระลักษณะ และ พระรัศมี จึงมีกำหนดธาตุ ขึ้นมาในส่วนของ กายคตาสติ ผสมด้วย
เริ่มตั้งแต่ เกสา ผม เป็นต้น ตั้งแต่ดิน จนไปจบ ธาตุ อากาศ
ดวงตาเห็นธรรม ก็จะเกิดขึ้นเป็นไปตามลำดับ
ดังนั้นถ้าไม่ไปยึดติดกับคำจนเกินควรแล้ว การฝึกกรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับก็ตอบโจทย์ตรงนี้ได้ดีในการภาวนา อย่างชัดเจน
ลำดับของการเข้าถึง คือ ธาตุ มนธาตุ มนายตนะธาตุ หทัยวัตถุ อุปาทายรูป เบื้องต้นเท่านี้ก่อนนะจ๊ะ
เจริญพร/ เจริญธรรม