ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
  • สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน
แสดงกระทู้
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
  Messages   Topics   Attachments  

  Topics - รักหนอ
หน้า: 1 2 [3]
81  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ไข่ขาวรักษาแผลน้ำร้อนลวก เมื่อ: พฤศจิกายน 09, 2010, 06:11:31 am
ไข่ขาวรักษาแผลน้ำร้อนลวก


ไข่ขาวนอกจากจะมีประโยชน์ในการรับประทานแล้วยังมีประโยชน์อีกหลายด้านแต่วันนี้จะกว่าถึงการรักษาแผลจากน้ำร้อนลวกกัน

วิธีคือ เอาไข่ขาว มาทาที่ น้ำร้อนลวก ให้ทั่วทิ้งไว้จนแห้ง ไปเอง แล้วรอสักพักใหญ่ ๆ จึงล้างออกจะไม่มีรอยแดง หรือพองเลย ข้อสำคัญ ก่อนทาไข่ขาวอย่าให้ถูกน้ำเย็นหรือของอื่นเลย และอย่าไปแกะ หรือเกาตอนที่ใกล้จะแห้ง เพราะจะทำให้หนังถลอก
82  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ความรู้สึก ระยะห่าง ระหว่างคน เมื่อ: พฤศจิกายน 09, 2010, 06:01:19 am
ความรู้สึก ระยะห่าง ระหว่างคน

วันเวลาที่ผ่านมา ชั่วระยะเวลาหนึ่งของชีวิต
ผู้คนมากมายผ่านเข้ามา บางคนผ่านมาเพียงเพื่อจะผ่านไป
แต่กลับบางคนกลับไม่เป็นเช่นนั้น จากคนแปลกหน้า
กลายเป็นคนรู้จัก คนคุ้นเคย ล่วงเลย ไปถึงกลายเป็นคนรักกัน

เวลาเปลี่ยน สถานการณ์เปลี่ยน
สถานภาพทางความรู้สึกของเราก็อาจมีการเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย
บางคนยังคงความเป็นคนแปลกหน้า
ยังรักษาระยะห่างของการเป็นคนรู้จักคนคุ้นเคย
หรือ คนรักกันไว้ได้อย่างคงที่…

บางคน เปลี่ยนแปลงจากคนแปลกหน้า กลายเป็นคนคุ้นเคย…
จากคนเคยคุ้น กลายมาเป็น คนรักกัน ....
ทำลายระยะห่างของความรู้สึกให้สั้นลงอย่างรู้สึกได้ …
และเมื่อนั้น เรื่องราวดี ๆ สวยงามทางความรู้สึกจึงเกิดขึ้น ...

แต่ในทางกลับกัน...
ระยะห่างของบางคน อาจห่างไกลออกไปจนสุดหูสุดตา
จากคนเคยรัก คนเคยคุ้น ....กลายเป็นแค่คนเคยรู้จัก ...

กลายเป็นคนแปลกหน้าทางความรู้สึกไป ...
แน่นอนว่า ระยะห่างของคนรู้จัก กับ คนรัก ย่อมไม่เท่ากันเป็นแน่
แต่นั่นแหละ ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปได้เสมอ...

ฉันเชื่อในเรื่องของการเปลี่ยนแปลงของเวลา
พอ ๆ กับเชื่อในเรื่องของการเปลี่ยนแปลงของความรู้สึก...
ไม่มีมาตราวัดใด ๆ ที่จะใช้วัดระยะห่างของความรู้สึกได้
และระยะห่างในแต่ละสถานภาพทางความรู้สึกในแต่ละคนก็คงจะไม่เท่ากัน...

เราระบุชัดไม่ได้ว่า 1 เท่ากับ 1 ในความรู้สึกของอีกคน 1
ในความรู้สึกของคนหนึ่ง อาจจะเป็น 100 ในความรู้สึกของอีกคนก็เป็นได้
...
และในเมื่อการคบหากันเป็นปฏิสัมพันธ์ของคนสองคน ....
เราจึงมองเห็นความไม่ลงตัว
เห็นระยะห่างที่ไม่เท่ากันของคนสองคนได้เสมอ…

กับคนบางคน เราอยากเป็นมากกว่าคนรู้จัก
เราก็จะพยายามที่จะทำให้ระยะห่างของเรามันสั้นลง
กับคนบางคน เราอยากเป็นน้อยกว่าที่เป็นอยู่ . .......
เราก็จะพยายามที่จะทำให้ระยะห่างของเรายาวไกลออกไป...

แต่กลับบางคนเรากลับอยากจะรักษา ระยะห่าง ตรงกลาง ไว้ให้คงที่
ไม่ให้ห่างหาย จางหนี หรือ เข้ามาใกล้จนเรารู้สึกอึดอัด....
เคยรู้สึกใช่ไหมว่า ...
ขณะที่เราเดินเข้าหา บางคนกลับกำลังเดินหนี
กับบางคนเรากำลังเดินหนี บางคนกลับเดินตาม…
กับบางคนเราก็ต้องการระยะห่างประมาณหนึ่ง ไม่ต้องใกล้มาก
แต่ไม่ต้องการห่างหายไปไหน...

ขณะที่บางคนวิ่งตาม ล้มลุกคลุกคลาน…
เจ็บปวดกับระยะห่างของอีกคนที่ทิ้งไว้ตรงหน้า
ขณะเดียวกันกับที่อีกคนก็วิ่งหนี
โดยไม่คิดจะหันกลับมามองความเจ็บปวดของอีกคน
อะไรก็เกิดขึ้นได้ กับความรู้สึกคน...
เหนื่อยแสนเหนื่อย ล้าแสนล้า ....
แต่สุดท้ายก็ยังพยายาม พยายามที่จะยื้อยุดฉุดดึงอยู่เช่นนั้น

บางคนปล่อยความรู้สึกของอีกคนไว้ บนความห่าง ห่างจนลับตา ...
ไม่เคยหันกลับมามองหรือรับรู้ความเป็นไปของอีกคน
ไม่เคยรับรู้ว่า ...
ระยะห่างที่เขาทิ้งไว้อีกคนมันสร้างความเจ็บปวดได้ประมาณไหน
แต่ก็มีบางคนที่เหนื่อยล้ากับระยะห่างที่พยายามรักษาไว้เพียงแค่นั้น
ไม่ต้องห่างไป แต่ เข้าใกล้กว่านี้ไม่ได้ ...
ต้องการเพียงเส้นขนานที่ไม่มีทางมาบรรจบ …

การทำลายระยะห่างของคนสองคนอาจไม่ใช่เรื่องยาก
แต่ก็ไม่ได้ง่ายดายนักสำหรับอีกหลาย ๆ คน…
บางคนพยายามมาเกือบทั้งชีวิต....
ระยะห่างที่ว่าก็ยังคงห่างอยู่เช่นเดิม....

ขณะที่บางคนอยู่นิ่ง ๆ ไม่วิ่งหนี ไม่วิ่งตาม
ปล่อยทุกอย่างให้เป็นหน้าที่ของเวลา
ไม่เรียกร้องให้เกิดความคาดหวัง ไม่ปล่อยละเลยจนเหมือนชาเฉย…
ระยะห่างนั้นกลับขยับเข้ามาใกล้ราวปฏิหาริย์...
เอาใจช่วยสำหรับคนที่กำลังพยายามเดินเข้าหา...
ให้อีกคนหันกลับ
83  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / คำกำจัดความของคำว่า "บุญ" เมื่อ: พฤศจิกายน 09, 2010, 05:53:56 am
บุญยังแปลว่า ความอิ่มเอิบเบิกบานใจ เพราะได้ทำความดีและสร้างสรรค์ความเจริญงอกงามให้เกิดขึ้น คนเราทุกคนต้องการทำความดี อยากให้ความดีภายในได้เปล่งประกายออกมา เหมือนกับดอกไม้ที่อยากเบ่งบาน สยายกลีบ โดยไม่สนใจว่าจะมีคนเห็นหรือไม่ การทำความดีช่วยให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ดุจเดียว

ผู้ให้ความสุขย่อมได้ความสุข

บุญ นั้นเริ่มต้อนด้วยการรู้จักให้ (หรือทาง) ช่วยให้เราไม่คิดจะเอาเข้าตัวอยู่ร่ำไป ชีวิตที่ดีแต่จะเอาเป็นชีวิตที่ไม่สมดุล จิตที่คิดแต่จะเอาเป็นจิตที่คับแคบ เห็นแก่ตัว ทำให้เป็นคนไม่น่ารัก และมีความสุขยาก




เด็กๆ เติบโตขึ้นมาได้เพราะเป็นฝ่ายรับจากผู้อื่นมาตั้งแต่เกิด ทั้งน้ำนม อาหาร ความอบอุ่น ตลอดจนความรู้ แต่ถ้าไม่รู้จักให้เสียเลย ก็จะเกิดความเข้าใจผิดว่าชีวิตนี้เกิดมาเพื่อจะเป็นผู้รับฝ่ายเดียวเท่านั้น การสอนเด็กให้รู้จักให้ คือการสอนบทเรียนชีวิตข้อแรกว่า เมื่อรับแล้วต้องรู้จักให้ เหมือนกับต้นไม้ทุกต้นเติบโตเพราะดูดน้ำและอาหารจากพื้นดิน แต่เวลาเดียวกันกันเขาก็รู้จักคายน้ำและทิ้งกิ่งใบให้เป็นปุ๋ย เป็นการตอบแทนผืนดินที่หล่อเลี้ยงเขามา อีกทั้งยังให้อาหารและที่พักพิงแก่เพื่อนร่วมโลก เช่น นก กระรอก รวมทั้งมนุษย์


แต่การให้มิได้หมายถึงการตอบแทนหรือเป็นเพียงหน้าที่เท่านั้น การให้ยังช่วยให้เราได้รับความสุข การสอนลูกให้รู้จักให้คือการสอนให้เขารู้จักความสุขจากการให้ “ ผู้ให้คามสุขย่อมได้รับความสุข ” เป็นสัจธรรมที่เด็กควรรับรู้

เครดิต

http://www.thaiedu.net/komkawee/sonloongtambun/sonlungtambun5.htm
84  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / บอกวิธีทำอาหารไปแล้ว คราวนี้มาชวน ใส่บาตรกันบ้าง.. เมื่อ: พฤศจิกายน 09, 2010, 05:52:04 am
ใส่บาตรกันเถอะ

ขำดี

 อ่านแล้วเข้าใจว่าผู้เขียนคงจะเป็นพระที่อารมณ์ดีมาก เขียนได้ดีเลยส่งมาให้อ่านด้วยกัน

ข้อปฏิบัติในการใส่บาตร

1. นิมนต์พระ
หลังจากที่เราเตรียมสำรับกับข้าวเรียบร้อยแล้ว เราก็ยืนรอพระที่จะเดินบิณฑบาตผ่านมา
การยืนรอพระในขั้นตอนนี้ ควรศึกษาให้ดีเสียก่อนว่า เส้นทางนี้มีพระเดินผ่านหรือไม่
ไม่ใช่ว่าไปรอบนทางสายเปลี่ยวที่ไม่มีพระเดินผ่าน คงไม่ได้ใส่กันพอดี
รอซักพัก พอมีพระเดินมาก็นิมนต์ท่าน
การนิมนต์ ก็ควรใช้คำว่า "นิมนต์ครับ/ค่ะท่าน" แค่นี้พระท่านก็ทราบแล้ว
ตอนเป็นพระเคยเดินบิณฑบาตที่ตลาดเขมร โยมนิมนต์ด้วยถ้อยคำอันรื่นหูว่า "ท่านเจ้าประคุณเจ้าคะ
นิมนต์เจ้าค่ะ" (ใช้คำไฮโซมาก)
มีอีกทีนึงโยมใช้คำว่า "นิมนต์เจ้าค่ะ พระอาจารย์" (เอ่อ โยม อาตมาเพิ่งบวชอาทิตย์เดียว)
การนิมนต์พระควรนิมนต์ด้วยความสำรวมและใช้เสียงดังพอประมาณ
โยมบางคนเรียกพระด้วยเสียงอันดัง "นิ โมนน!!" (แง้ ทำไมต้องตะคอกด้วย - -")
การนิมนต์ควรสังเกตอายุของพระด้วย
ถ้าอายุน้อยกว่าเราหรือว่าเยอะกว่าไม่มากก็เรียกว่าหลวงพี่ ถ้ามีอายุหน่อยก็เรียกหลวงน้า ถ้าแก่พรรษา
มากก็เรียกหลวงตา หรือนอกจากนี้ก็อาจจะเรียกหลวงอา หลวงลุง หลวงปู่ฯลฯ แล้วแต่จะลำดับญาติ
อย่างฉันปีนี้อายุ ๒๓ ปี หน้าตาค่อนข้างเด็ก แต่เคยมีโยมใช้คำว่า "นิมนต์ค่ะ หลวงลุง" ทำเอาเสีย
self จนอยากสึกออกไปทำ baby face
โยมบางคนคงเขินอายพระ เนื่องจากไม่ค่อยได้ใส่บาตรเท่าไร เวลาพระเดินมาก็ยื่นมือออกมาทำท่า
กวักๆ ทำเหมือนพระเป็นรถเมล์
หลังจากนิมนต์พระ ก็เข้าสู่ขั้นตอนถัดไปคือ

2. จบ
อันนี้ไม่ได้หมายความว่าเรื่องจบแล้วนะ
การจบ หมายถึง การเอามาทูนไว้ที่หัวแล้วอธิษฐาน
การจบ ควรใช้เวลาอธิษฐานแต่พองาม ไม่ต้องอธิษฐานนานจนเกินไป
เคยมีโยมนิมนต์ไปรับบาตร ไอเราก็เดินไปเปิดฝาบาตรรอรับ โยมก็จบอยู่ ขอบอกว่านานมากกกกกกก
นานจนรู้สึกได้ นานจนอดคิดไม่ได้ว่า "โยมขออะไรเราน้า?"

3. ถอดรองเท้า ยืนด้วยเท้าเปล่า
จริงๆแล้ว จุดประสงค์ของการถอดรองเท้าคือเป็นการให้ความเคารพพระสงฆ์โดยการไม่ยืนสูง กว่าท่าน
เพราะเวลาพระสงฆ์บิณฑบาตจะเดินเท้าเปล่า แต่มีญาติโยมบางคนไม่เข้าใจเกี่ยวกับการถอดรองเท้าซึ่ง
มีหลายประเภทเหมือนกัน เช่น
บางคนถอดรองเท้าอย่างเรียบร้อยแต่ยืนบนรองเท้า - -" (สูงกว่าเดิมอีก)
บางคนถอดรองเท้าและยืนบนพื้นจริง แต่ว่าตัวเองยืนบนฟุตบาท พระยืนบนพื้นถนนซะงั้น (หนักกว่าเก่า)
เคยมีเรื่องเล่าว่า มีโยมคนนึงยืนใส่บาตรพระ พระเห็นว่าโยมใส่รองเท้าเลยแนะนำโยมไปว่า
พระ : "โยม อาตมาว่าโยมควรถอดรองเท้าใส่บาตรนะ"
โยมมีสีหน้าตกกะใจ ตอบพระไปว่า
โยม : เอ่อ จะดีเหรอคะ
พระ : ไม่เป็นไรหรอกโยม
โยมก็จัดแจงถอดรองเท้า ยกขึ้นมาพร้อมกับถามพระว่า
โยม : จะให้ใส่ข้างเดียวหรือว่าสองข้างเลยคะ
อิบ้า!! ท่านหมายถึงถอดรองเท้าเวลาใส่บาตร ไม่ใช่ถอดรองเท้าเอามาใส่ในบาตร
อันนี้เป็นเรื่องที่หลวงน้าท่านนึงเล่าให้ฟังระหว่างฉันเพล (เรื่องขำขันขณะฉันเพล)
พอถอดรองเท้าเสร็จก็เข้าสู่ขั้นตอนที่สี่

4. ใส่บาตร
อันนี้ถือเป็นจุดไคลแมกซ์ของการใส่บาตร
สิ่งสำคัญที่ทุกคนมองข้ามก็คือควรดูว่าของที่นำมาใส่บาตรนั้น เสียรึเปล่า
บางคนมีเจตนาอยากทำบุญดี แต่ดันไปซื้อของเสียมาใส่บาตร
พระฉันไป เข้าห้องน้ำไป
พวกร้านค้าก็จริงๆ บางครั้งเอาของค้างคืนมาขายเอากำไร ไม่สนใจพระเจ้า เห็นแก่ตัว หากินกับพระ
ก็ฝากด้วยนะครับ เด๋วทำบุญจะได้บาปเปล่าๆ
นอกจากนี้ ของที่นำมาใส่ ถ้าเพิ่งปรุงสุกเสร็จ ควรดูด้วยว่ามันร้อนมากรึเปล่า
เคยมีโยมใส่แกง ร้อนมากๆๆ บาตรเกือบหล่น ทั้งนี้เพราะบาตรทำจากโลหะ นำความร้อนได้ดี
ปริมาณไม่ควรมากจนเกินไป
เคยมีโยมใส่บาตรด้วย "กล้วย ๓ หวี"
กล้วยเล็บมือนาง กล้วยไข่ อาตมาไม่ว่า
แต่นี่ใส่ "กล้วยหอม" (อันนี้เกิดกับตัวเองจริงๆ)
คิดดู "กล้วยหอม ๓ หวี" อยู่ในบาตร หนักมากกกก จนอยากบอกโยมว่า "โยม อาตมาไม่ใช่ช้าง"
การใส่ก็ควรวางในบาตรด้วยอาการสำรวม
โยมผู้หญิงบางคนกลัวโดนพระจัด พอถุงกับข้าวถึงแค่ปากบาตร ก็ปล่อยลงมา ตุ๊บ!! นึกว่ากาลิเลโอกลับ
ชาติมาทดลองเรื่องแรงโน้มถ่วงของโลก (วางดีๆก็ได้ 55)
ขั้นตอนต่อไปคือ

5. รับพร
หลังจากใส่บาตรเสร็จ พระสงฆ์ส่วนมากก็จะให้พร
เราเป็นญาติโยม ก็ประนมมือรับพรกันตามระเบียบ โดยอาจยืนหรือนั่งยองๆ ก็ได้ ก้มหัวแต่พองาม
เคยมีโยมยืนประนมมือ แต่ก้มหน้ามาแทบชนพระ ห่างจากหน้าพระประมาณคืบเดียว
(ไม่ต้องใกล้ชิดศาสนาขนาดนั้นก็ได้โยม (ตอนนั้นให้พรเบาๆ เพราะไม่มั่นใจเรื่องกลิ่นปาก))
ถ้าเป็นโยมผู้หญิงก็นั่งให้เรียบร้อย เหมาะสม
ระหว่างนี้ก็อุทิศส่วนกุศลให้คนที่รัก เจ้ากรรมนายเวรและอื่นๆ ก็ว่ากันไป

การใส่บาตรที่อยากแนะนำก็มีประมาณเท่านี้
 
 ขั้นตอนการทำบุญง่ายๆ ตื่นเช้ามาใส่บาตรกันเถอะครับ พี่น้อง

..............................
 
 
 
ขำมากกกกกกกกกกเลยค่ะ อ่านไปหัวเราะไป  มีครั้งหนึ่งเราเคยใส่บาตรแก้บนเจ้าที่ เราแก้บนด้วยไข่ต้ม 100 ฟอง

แต่เราต้มแล้วนะใส่ถุงเรียบร้อย แต่ไม่ได้ปลอกเปลือกนะ ถุงละ 20 ฟอง   แต่ว่าหลวงพี่ที่รับบาตรท่านไม่เข้าใจคิดว่าไข่ดิบ

มั้ง ท่านรับบาตรไปขมวดคิ้วไป  เห็นท่านขมวดคิ้วแล้ว รู้สึกผิดขึ้นมาทันที เลยบอกท่านไปว่าไข่ต้มค่ะ  ท่านก้อคงจะถึง

บางอ้อ ท่านก้อไม่ว่าไร  แต่ว่าท่านมีลูกศิษย์เข็นรถใส่ของเดินตาม เราเลยไม่ห่วงว่าหลวงพี่จะหนัก  555555
85  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ข้าวยำข้าวกล้องน้ำบูดู อาหารเพื่อสุขภาพโดยแท้จริง เมื่อ: พฤศจิกายน 09, 2010, 05:40:43 am
ข้าวยำข้าวกล้องน้ำบูดู อาหารเพื่อสุขภาพโดยแท้จริง
เขียนโดย bosskit 

ข้าวยำ น้ำบูดู

ข้าวยำปักษ์ใต้ เป็นอาหารที่เชื่อว่าทุกคนต้องเคยลิ้มลองกันมาบ้างแล้ว เพราะเป็นอาหารที่ขึ้นชื่อของชาวใต้จนดูเหมือนจะกลายเป็นสัญลักษณ์อาหาร ปักษ์ใต้อีกเมนูหนึ่ง
ข้าวยำของชาวใต้ จะอร่อยหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับน้ำบูดูเป็นสำคัญ น้ำบูดูมีรสเค็ม แหล่งที่มีการทำน้ำบูดูมากคือจังหวัดยะลาและปัตตานี เวลานำมาใส่ข้าวยำต้องเอาน้ำบูดูมาปรุงรสก่อน จะออกรสหวานเล็กน้อยแล้วแต่ความชอบ น้ำบูดูของชาวใต้มีกลิ่นคาวของปลา เพราะทำมาจากปลา กลิ่นคล้ายของทางภาคอีสาน แต่กลิ่นน้ำบูดูจะรุนแรงน้อยกว่า เนื่องจากน้ำบูดูมีรสเค็ม ชาวใต้จึงนำมาใส่อาหารแทนน้ำปลา
เครื่องปรุงข้าวยำ

ข้าวสวย (ข้าวกล้อง)
กุ้งแห้งป่น
มะพร้าวหั่นฝอย คั่วจนเหลืองกรอบ
พริกขี้หนูคั่วป่น
ผักถั่วงอกเด็ดหาง
ตะไคร้หั่นฝอย
ใบมะกรูดอ่อนหั่นฝอย
มะม่วงดิบสับหั่นเส้นเล็ก
ถั่วฝักยาวหั่นฝอย
มะนาว
½ ถ้วย (60 กรัม)๐
3 ช้อนโต๊ะ (45 กรัม)
3 ช้อนโต๊ะ (45 กรัม)
2 ช้อนชา (15 กรัม)
1/3 ถ้วย (25 กรัม)
2 ช้อนโต๊ะ (30 กรัม)
1 ช้อนโต๊ะ (15 กรัม)
2 ช้อนโต๊ะ (30 กรัม)
3 ช้อนโต๊ะ (45 กรัม)
1 ลูก
      


   


เครื่องปรุงน้ำบูดู

น้ำบูดู 3 ช้อนโต๊ะ (45 กรัม)
น้ำ 1 ถ้วยครึ่ง
ปลาอินทรีย์เค็ม 1 ชิ้น (10 กรัม)
น้ำตาลปี๊บ 1 ถ้วย (120 กรัม)
หอมแดงทุบพอแตก 300 กรัม
ตะไคร้หั่นท่อนสั้น 1 ต้น (40 กรัม)
ใบมะกรูดฉีก 3 ใบ (7 กรัม)
ข่ายาว  1 นิ้ว
ทุบพอแตก  1 ชิ้น (5 กรัม)
   
ขั้นตอนการปรุง




1. ทำน้ำบูดูโดยการต้มปลาอินทรีย์จนเปื่อย แกะเอาแต่เนื้อใส่หม้อ เติมน้ำบูดู น้ำ แล้วตั้งไฟ
2. ใส่หอม ตะไคร้ ข่า ใบมะกรูดฉีก น้ำตาลปี๊บ ต้มต่อจนน้ำบูดูข้น ชิมให้รสเค็มนำหวาน ยกลง
3. จัดเสริ์ฟโดยตักข้าวใส่จาน ใส่มะพร้าวคั่ว กุ้งแห้งป่น และผักทั้งหมดใส่อย่างละน้อย พอคลุกรวมกันแล้วจะมากยิ่งขึ้น ราดน้ำบูดู ปรุงรสด้วยน้ำมะนาว เคล้าให้เข้ากันดีรับประทานได้
สรรพคุณของสมุนไพร
1. มะพร้าว รสมันหวาน บำรุงกำลัง บำรุงเส้นเอ็น ใช้รักษาโรคกระดูก
2. พริกขี้หนู รสเผ็ดร้อน ช่วยกระตุ้นให้เจริญอาหาร ขับลม ช่วยย่อยอาหาร
3. กระเทียม รสเผ็ดร้อน ขับลมในลำไส้ แก้ไอ ขับเสมหะ ช่วยย่อยอาหาร แก้โรคทางผิวหนัง น้ำมันกระเทียมมีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญของเชื้อรา แบคทีเรีย ไวรัส ลดน้ำตาลในเลือด ลดไขมันในหลอดเลือด
4. หอมแดง รสเผ็ดร้อน แก้ไอเพื่อเสมหะ บำรุงธาตุ แก้ไข้หวัด
5. มะนาว เปลือกผลรสขม ช่วยขับลม น้ำมะนาวรสเปรี้ยว ขับเสมหะ แก้ไอ แก้เลือดออกตามไรฟัน ฟอกโลหิต
6. ตะไคร้ รสปร่ากลิ่นหอม แก้ปวดท้อง ขับปัสสาวะ บำรุงธาตุ ช่วยเจริญอาหาร
7. ใบมะกรูด รสปร่ากลิ่นหอมติดร้อน ใช้ปรุงอาหารช่วยดับกลิ่นคาว แก้โรคลักปิดลักเปิด ขับลมในลำไส้ ขับระดู แก้ลมจุกเสียด
8. มะม่วง รสเปรี้ยว ขับเสมหะ
9. ถั่วฝักยาว รสมันหวาน มีคุณค่าทางอาหารสูง กระตุ้นการทำงานของกระเพาะ ลำไส้ บำรุงธาตุ
10. ข่า รสเผ็ดปร่าและร้อน ช่วยขับลม ขับพิษโลหิตร้ายในมดลูก ขับลมในลำไส้
ประโยชน์ทางอาหาร

ข้าวยำปักษ์ใต้ที่ปรุง สำเร็จแล้วจะออกรสหลายรสด้วยกัน ได้แก่ รสมันของมะพร้าว รสเปรี้ยวจากมะม่วงดิบและน้ำมะนาว รสเค็มหวานจากน้ำบูดู รสเผ็ดของพริกป่น เรียกว่าเป็นอาหารที่บำรุงธาตุก็ไม่ผิดนัก

ประโยชน์มากมายของการกินข้าวกล้อง

   
•   ได้วิตามินบีรวม ช่วยป้องกันและบรรเทาอาหารอ่อนเพลีย แขน ขาไม่มีแรง ปวดกล้ามเนื้อ โรคผิวหนังบางชนิด บำรุงสมอง ทำให้เจริญอาหาร   
•   ได้วิตามินบี 1 ซึ่งถ้ากินเป็นประจำจะช่วยป้องกันโรคเหน็บชาได้   
•   ได้วิตามินบี 2 ป้องกันโรคปากนกกระจอก   
•   ได้ฟอสฟอรัส ช่วยในการเจริญเติบโตของกระดูกและฟัน   
•   ได้แคลเซียม ทำให้กระดูกแข็งแรง ช่วยป้องกันไม่ให้เป็นตะคริว   
•   ได้ทองแดง สร้างเมล็ดโลหิต และเฮโมโกลบิน   
•   ได้ธาตุเหล็ก ช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง   
•   ได้โปรตีน ช่วยเสริมสร้างส่วนที่สึกหรอ   
•   ได้ไขมัน ให้พลังงานแก่ร่างกาย ไขมันในข้าวกล้องเป็นไขมันที่ดี ไม่มีโคเรสเตอรอล   
•      ได้ไนอะซิน ช่วยระบบผิวหนังและเส้นประสาท และป้องกันโรคเพลลากรา
(โรคที่เกิดจากการขาดไนอะซิน จะมีอาการท้องเสีย ประสาทไหว โรคผิวหนัง)
   
•   ได้คาร์โบไฮเดรต ให้พลังงานแก่ร่างกาย   
•   ได้กากอาหาร ข้าวกล้องมีกากอาหารมาก ซึ่งจะทำให้ท้องไม่ผูก และช่วยป้องกันมะเร็งในลำไส้อีกด้วย   

   วิตามินและเกลือแร่ต่างๆ ในข้าวกล้องจะช่วยให้ส่วนต่างๆ ของร่างกายทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
คุณค่าทางโภชนาการ

ข้าวยำปักษ์ใต้ 1 ชุด ให้พลังงานต่อร่างกาย 1141 กิโลแคลอรี่ ประกอบด้วย
- น้ำ 589.7 กรัม
- โปรตีน 31.1 กรัม
- ไขมัน 18.0 กรัม
- คาร์โบไฮเดรต 217.3 กรัม
- กาก 11.8 กรัม
- ใยอาหาร 1.8 กรัม
- แคลเซียม 191.9 มิลลิกรัม
- ฟอสฟอรัส 363 มิลลิกรัม
- เหล็ก 200 มิลลิกรัม
- เรตินอล 13.2 ไมโครกรัม
- เบต้า-แคโรทีน 65.8 ไมโครกรัม
- วิตามินเอ 6772.4 IU
- วิตามินบีหนึ่ง 825.18 มิลลิกรัม
- วิตามินบีสอง 0.61 มิลลิกรัม
- ไนอาซิน 7.77 มิลลิกรัม
- วิตามินซี 68.80 มิลลิกรัม
86  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / การ์ตูนลายเส้น ปรัชญาความพอเพียง เมื่อ: พฤศจิกายน 09, 2010, 05:32:19 am
ปรัชญาความพอเพียง













87  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / แก้ปวดฟันด้วยวิธีธรรมชาติ (ชีวจิต) เมื่อ: พฤศจิกายน 09, 2010, 05:28:10 am
แก้ปวดฟันด้วยวิธีธรรมชาติ (ชีวจิต)
เรื่อง : สุวพันธ์

          คุณคงเป็นคนหนึ่งที่ยอมยกธงขาวให้อาการปวดฟัน ซึ่งหลายคนลงความเห็นว่าเป็นที่สุดของความทรมานใช่ไหมคะ

          เพราะไหนจะมีอาการปวดแปลบ ปวดตุบๆ หรือปวดรุนแรงคอยกวนใจอยู่ตลอดเวลา ทำอย่างไรก็ไม่หายสักที กินยาแก้ปวดก็แล้ว ทายาก็แล้ว โดยเฉพาะหลังจากการเคี้ยวอาหารมื้ออร่อยหรือขนมขบเคี้ยวไปแล้วประมาณ 20 นาที จนต้องรีบบึ่งไปหาหมอฟัน เปลืองทั้งเงินเจ็บทั้งตัว

          ถ้าคุณเบื่อการกินยาแก้ปวด และไม่อยากไปหาหมอฟันแล้วละก็ ชีวจิตมีวิธีแนะนำให้คุณเป็นหมอรักษาตัวเองด้วยวิธีง่าย ๆ ค่ะ

อะไรทำให้ปวดฟัน

          อาการปวดฟัน (toothache) ส่วนใหญ่มีผลมาจากฟันผุ ซึ่งในระยะเริ่มแรกจะมีลักษณะเสียวฟัน ก่อนที่อาการปวดจะลามไปที่บริเวณใต้คางและศีรษะต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อกินของเย็น ของร้อน หรือของหวาน เพราะจะเป็นการกระตุ้นให้แบคทีเรียที่อาศัยอยู่ในช่องปาก ปล่อยกรดออกมาทำลายเคลือบฟัน และชอนไชเข้าไปจนถึงเนื้อเยื่อส่วนที่นิ่มภายใน ซึ่งมีเส้นเลือดฝอยจำนวนมาก บวกกับในโพรงประสาทฟันมีเนื้อที่จำกัด จึงทำให้เกิดการอักเสบและบวม

          เมื่อเกิดอาการบวมจะทำให้เส้นประสาทถูกกด รวมทั้งเกิดการปิดกั้นช่องทางเปิดปลายรากฟัน ทำให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวก จึงไม่สามารถนำออกซิเจนมาเลี้ยงฟันได้ จนทำให้เกิดอาการปวดฟันที่รุนแรง

          และในที่สุดเนื้อฟันก็จะตาย เมื่อถึงตอนนั้นอาการปวดจะหายไป อย่างไรก็ตาม ถ้าเป็นหนองบริเวณปลายรากฟันอาการปวดอาจกลับมาอีก แต่ลักษณะการปวดจะเป็นแบบตื้อ ๆ และสามารถระบุตำแหน่งได้ชัดเจนขึ้น

          นอกจากนี้อาการปวดฟันอาจเกิดจากวัสดุอุดฟันหลุดไป ฟันร้าวหรือแตกจนถึงชั้นเนื้อฟันและโพรงประสาทฟัน การนอนกัดฟัน (bruxism) ปวดเนื่องจากมีฟันคุดและเหงือกอักเสบ (gingivitis) ซึ่งจะทำให้เหงือกร่นและรากฟันบางส่วนโผล่ขึ้นมาส่งผลให้เกิดอาการเสียวฟัน และปวดฟันได้ แต่บางคนที่มีสุขภาพฟันดีก็อาจมีความไวมากเป็นพิเศษต่อของร้อนหรือของเย็น ได้

วิธีลดอาการปวดฟัน

ถ้าคุณอยากหายทรมานจากอาการปวดฟันแล้วละก็ ลองปฏิบัติตามคำแนะนำง่าย ๆ ต่อไปนี้ดูสิคะ

          1.เมื่อมีอาการปวดฟัน ให้ประคบด้านข้างของใบหน้าซีกที่ปวดฟันด้วยน้ำอุ่น

          2.ในกรณีที่อาการปวดฟันมีลักษณะปวดตุบ ๆ ซึ่งอาจเกิดจากการติดเชื้อ ให้ประคบที่ด้านข้างของใบหน้าด้วยน้ำแข็งประมาณ 5-10 นาที ทุก ๆ ครึ่งชั่วโมง ความเย็นจะช่วยลดปวดและลดบวม

          3.ถ้ามีอาการเสียวฟันง่าย ให้ใช้โซดาไฟหรือแปรงฟันด้วยยาสีฟันสูตรสำหรับแก้เสียวฟัน

          4.เมื่อต้องอยู่ในที่ที่อากาศเย็นหรือในช่วงฤดูหนาว สามารถป้องกันอาการเสียวฟัน หรืออาการปวดฟันจากอากาศเย็นได้โดยปิดปากด้วยผ้าพันคอ

          5.เลี่ยงอาหารที่ร้อนจัด เย็นจัด และหวานจัด โดยเฉพาะชา กาแฟ และไอศกรีม เพราะจะยิ่งกระตุ้นให้มีอาการงดอาหารที่แข็งจนต้องใช้วิธีกัดกิน เช่น แครอท แอปเปิ้ล ฝรั่งที่ยังไม่สุก เพราะการขบกัดฟันแรง ๆ กับวัตถุแข็ง ๆ จะกระตุ้นให้เกิดอาการปวดฟัน และในกรณีที่อุดฟันควรหลีกเลี่ยงการเคี้ยวหมากฝรั่ง เพราะจะทำให้สารที่อุดฟันไว้หลุดออกมาง่ายขึ้น

นวดกดจุดลดอาการปวด

          หลายคนคงค้นเคยกับการนวดกดจุดตามร่างกาย ทั้งฝ่าเท้า ฝ่ามือ และศีรษะดีแล้วใช่ไหมคะ คราวนี้เราลองมานวดกดจุดเพื่อบรรเทาอาการปวดฟันกันดีกว่า

          1.นวดคลึงเบา ๆ ที่แก้มเหนือบริเวณฟันที่ปวด จะช่วยบรรเทาอาการปวดได้ชั่วคราว

          2.ใช้น้ำแข็งก้อนเล็ก ๆ กดและถูบริเวณง่ามมือ ระหว่างนิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้ หรือใช้มืออีกข้างนวดบริเวณเดียวกันนี้ จะช่วยลดอาการปวดฟันได้ชั่วคราว

          3.สำหรับคนที่ปวดบริเวณกรามล่าง ให้ใช้นิ้วหัวแม่มือนวดบริเวณกระดูกขากรรไกรที่รองรับฟันล่าง ส่วนคนที่ปวดบริเวณกรามบนให้วางนิ้วหัวแม่มือ ตรงบริเวณส่วนกลางของหู แล้วลากนิ้วไปทางด้านหน้า จนกระทั่งถึงรอยบุ๋มใต้กระดูกประมาณหนึ่งนิ้วบริเวณหน้าใบหู จากนั้นกดแรง ๆ ประมาณ 10 นาที

สมุนไพรบรรเทาปวด

          บางคนพึ่งยาสารพัดชนิด ทั้งกินทั้งทา แต่พอหมดฤทธิ์ยาแล้ว อาการปวดฟันก็กลับมาสำแดงเดชอีกครั้ง ลองมาสอบอาการปวดด้วยฤทธิ์ยาทางธรรมชาติของสมุนไพรเหล่านี้ดีกว่าค่ะ

          ว่านหางจระเข้ มีสรรพคุณในการทำลายเชื้อโรคและสลายพิษ (neutralization) ของเชื้อโรค โดยหั่นว่านหางจระเข้เป็นชิ้น ๆ ความยาวประมาณ 2-3 เซนติเมตร ล้างยางออกให้หมด เหน็บไว้ที่ซอกฟัน ใช้ฟันขบให้อยู่บริเวณที่ปวดหรือใช้ไม้พันสำลีจุ่มน้ำวุ้นว่านหางจระเข้ ป้ายตรงบริเวณที่ปวด จะช่วยบรรเทาอาการได้ชั่วคราว

          น้ำมันละหุ่ง ทาน้ำมันละหุ่งบริเวณแก้มข้างที่ปวดฟัน และใช้พลาสเตอร์ยาปิดไว้ แล้วใช้ผ้าขนหนูอุ่น ๆ หรือแผ่นประคบบริเวณที่มีอาการปวด จากนั้น นอนพักอย่างน้อย 20 นาที น้ำมันละหุ่งมีสรรพคุณในการระงับปวดได้ดี โดยจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดที่ไปคั่งอยู่กับเชื้อจุลินทรีย์ในกรณี ที่เกิดการติดเชื้อหรือกับสารที่ทำให้เกิดอาการปวด เช่นไซโทไคเนส (cytokines) ในกรณีที่ปวดรากฟัน

          น้ำมันกานพลู มีสรรพคุณในการรักษาอาการปวดฟันได้ดีที่สุดชนิดหนึ่ง บางครั้งหมอฟันจะใช้น้ำมันกานพลูแทนยาที่มีฤทธิ์แรงกว่า เช่น Novocain โดยทาน้ำมันกานพลูบริเวณที่ปวดในช่องปากได้โดยตรง (หากน้ำมันกานพลูเข้มข้นเกินไปอาจทำให้เจือจางด้วยการผสมน้ำมันมะกอก) นอกจากนี้อาจใช้วิธีอมกานพลูทั้งชิ้นไว้ในปากบริเวณที่ปวดก็ได้ จะทำให้รู้สึกชาอย่างรวดเร็ว และอยู่นานกว่า 90 นาที หรือนำดอกกานพลูมาทุบแช่น้ำเหล้าขาว แล้วชุบสำลีอุดฟันซี่ที่ปวด

          น้ำมันกระเทียม ใช้สำลีชุบน้ำมันกระเทียมทาบริเวณที่ปวดฟัน จะช่วยบรรเทาอาการปวดได้เหมือนกัน

          ดาวเรือง ใช้ดอกแห้งประมาณ 7-8 ดอก ต้มกับน้ำสะอาดในปริมาณที่พอเหมาะ ดื่มเป็นน้ำสมุนไพรทั้งวันเพื่อแก้อาการปวดฟัน

          ผักบุ้งนา นำรากสดของผักบุ้งนาประมาณ 10 กรัม ตำให้ละเอียดแล้วคั้นเอาแต่น้ำ ผสมกับน้ำส้มสายชู อมไว้ประมาณ 5 นาที แล้วบ้วนออกด้วยน้ำสะอาด

          มะระ นำรากสดของมะระมาตำพอแหลก แล้วพอกฟันซี่ที่ปวด โดยใช้ลิ้นกดไว้สักครู่ใหญ่ ๆ

          กุยช่าย ในกรณีที่ปวดฟันเพราะแมงกินฟัน ให้นำเมล็ดกุยช่ายมาคั่วให้เกรียมดำ จากนั้นนำมาบดให้ละเอียดละลายน้ำมันยางแล้วชุบสำลี ยัดในฟันที่เป็นรูโพรง ทิ้งไว้หนึ่งคืน จะสามารถฆ่าตัวแมงที่กินฟันได้

          ถ้าไม่อยากไปหาหมอ คุณก็ต้องชิงเป็นหมอของตัวเอง ก่อนที่อาการปวดจะลุกลามเกินเยียวยาจนถึงขั้นต้องถอนฟันทิ้งนะคะ

Tip

          1.เมื่อใช้ยาสมุนไพรจนอาการปวดฟันบรรเทาแล้ว ควรไปพบทันตแพทย์

          2.ไม่ควรใช้ยาแอสไพรินบดอุดบริเวณฟันที่ปวด เพราะจะทำให้เกิดแผลไหม้ที่เหงือก และเป็นอันตรายต่อเคลือบฟันได้

          3.ถ้ามีอาการปวดบวมเมื่อเคี้ยวอาหาร หรือเหงือกแดงผิดปกติ มีเลือดออก แสดงว่าติดเชื้อ หรือถ้าปวดฟันและมีไข้ร่วมด้วย ควรรีบไปพบแพทย์ทันที
88  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 3 Fast Food เพิ่มพลังสมองยามเช้า (ชีวจิต) เมื่อ: พฤศจิกายน 09, 2010, 05:26:00 am



3 Fast Food เพิ่มพลังสมองยามเช้า (ชีวจิต)

          อาหารเช้าสำคัญต่อสมองมากกว่ามื้อไหน ๆ เพราะทีมนักโภชนาการชาวออสเตรเลีย ซึ่งศึกษาวัยรุ่น 800 คน พบว่า การได้รับประทานอาหารมื้อเช้า ที่มีสารอาหารบางประเภทช่วยในเรื่องการทำงานของสมอง โดยพบว่า ทำคะแนนในห้องเรียนได้ดีขึ้น และมีสุขภาพจิตดีขึ้นด้วย เห็นแล้วอดไม่ได้ที่จะนำมาบอกต่อ เพราะนอกจากจะดีต่อสุขภาพสมองแล้ว วิธีทำก็แสนง่ายแบบที่ไม่ต้องกวนคุณแม่ และไม่เสียเวลาเตรียมมากนัก มาลองทำกันเลย

          สูตรที่ 1 ซีเรียลจากธัญพืชที่ไม่ขัดสี เติมนมเปรี้ยวแบบไม่มีไขมันหรือไขมันต่ำ จากนั้นเติมกล้วยหอมหั่นเป็นชิ้นลงไป คลุกเคล้าให้เข้ากัน

          สูตรที่ 2 โยเกิร์ตแบบไม่มีไขมันหรือไขมันต่ำ ใส่ข้าวโอ๊ตบดหยาบและผลไม้ต่าง ๆ ตามชอบ เช่น กีวี แอปเปิ้ล สตรอว์เบอรี่ (ไม่ควรเป็นผลไม้ที่มีรสหวาน) คลุกเคล้าให้เข้ากัน

          สูตรที่ 3 แซนด์วิชทูน่า ใช้ขนมปังไม่ขัดขาว เนื้อปลาทูน่า และที่ขาดไม่ได้คือมะเขือเทศสีแดงสด

          ส่วนผสมหลัก ๆ บอกไปแล้วนะคะ ส่วนใครจะมีเคล็ดลับอะไร ก็สามารถเพิ่มเติมได้ตามใจชอบ อร่อยกันแล้ว อย่าลืมเพิ่มพลังสมองอีกทางด้วยการออกกำลังกายนะคะ


3 Fast Food เพิ่มพลังสมองยามเช้า (ชีวจิต)

          อาหารเช้าสำคัญต่อสมองมากกว่ามื้อไหน ๆ เพราะทีมนักโภชนาการชาวออสเตรเลีย ซึ่งศึกษาวัยรุ่น 800 คน พบว่า การได้รับประทานอาหารมื้อเช้า ที่มีสารอาหารบางประเภทช่วยในเรื่องการทำงานของสมอง โดยพบว่า ทำคะแนนในห้องเรียนได้ดีขึ้น และมีสุขภาพจิตดีขึ้นด้วย เห็นแล้วอดไม่ได้ที่จะนำมาบอกต่อ เพราะนอกจากจะดีต่อสุขภาพสมองแล้ว วิธีทำก็แสนง่ายแบบที่ไม่ต้องกวนคุณแม่ และไม่เสียเวลาเตรียมมากนัก มาลองทำกันเลย

          สูตรที่ 1 ซีเรียลจากธัญพืชที่ไม่ขัดสี เติมนมเปรี้ยวแบบไม่มีไขมันหรือไขมันต่ำ จากนั้นเติมกล้วยหอมหั่นเป็นชิ้นลงไป คลุกเคล้าให้เข้ากัน

          สูตรที่ 2 โยเกิร์ตแบบไม่มีไขมันหรือไขมันต่ำ ใส่ข้าวโอ๊ตบดหยาบและผลไม้ต่าง ๆ ตามชอบ เช่น กีวี แอปเปิ้ล สตรอว์เบอรี่ (ไม่ควรเป็นผลไม้ที่มีรสหวาน) คลุกเคล้าให้เข้ากัน

          สูตรที่ 3 แซนด์วิชทูน่า ใช้ขนมปังไม่ขัดขาว เนื้อปลาทูน่า และที่ขาดไม่ได้คือมะเขือเทศสีแดงสด

          ส่วนผสมหลัก ๆ บอกไปแล้วนะคะ ส่วนใครจะมีเคล็ดลับอะไร ก็สามารถเพิ่มเติมได้ตามใจชอบ อร่อยกันแล้ว อย่าลืมเพิ่มพลังสมองอีกทางด้วยการออกกำลังกายนะคะ
89  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ปี 2010 ทั่วโลกเผชิญสภาวะน้ำท่วมใหญ่ครั้งรุนแรง (กรมอุตุนิยมวิทยา) เมื่อ: พฤศจิกายน 03, 2010, 08:52:01 am
ปี 2010 ทั่วโลกเผชิญสภาวะน้ำท่วมใหญ่ครั้งรุนแรง (กรมอุตุนิยมวิทยา)

ปี 2010 เป็นปีหนึ่งที่หลายประเทศทั่วโลกเผชิญกับฝนตกหนักและน้ำท่วมครั้งรุนแรง อย่างที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อนในอดีตที่ผ่านมา โดยปีนี้ไม่เพียงประเทศอินเดียเท่านั้น ที่มีฝนตกหนักรุนแรงและน้ำท่วม แต่อีกในหลายประเทศได้แก่ อียิปต์ จีน เกาหลีเหนือ ปากีสถาน โปรตุเกส โปแลนด์ ฮังการี ออสเตรีย เยอรมัน สโลวาเกีย เซอร์เบีย ยูเครน แลตเวีย เวียดนาม รวมถึงไทย ก็ประสบกับสภาวะอันเลวร้ายและได้รับความเสียหายจากน้ำท่วมจนก่อให้เกิดการ สูญเสียในชีวิตและทรัพย์สินเช่นกัน

สภาวะน้ำท่วมในปีนี้ได้ส่งผลกระทบหลายพื้นที่เป็นบริเวณกว้าง ประเทศปากีสถานมีผู้คนจำนวนมากที่ต้องเสียชีวิต ประชาชนหลายพันคนและพื้นที่เป็นบริเวณกว้างได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม โดยที่ Swat Valley ประชาชนกว่า 900,000 คนต้องย้ายถิ่นที่อยู่อาศัย พืชผลทางการเกษตรเช่น ข้าว ข้าวสาลี อ้อย และยาสูบเสียหาย อีกทั้งร้านค้ารวมถึงถนนหนทางและสะพานถูกกระแสน้ำพัดพาเสียหายทั้งสิ้น ประชาชนต้องการอาหารและที่พักชั่วคราวอย่างเร่งด่วนก่อนที่สภาพอากาศหนาวที่ เลวร้ายจะมาเยือน

ส่วนเกาหลีเหนือ จากฝนที่ตกหนักอย่างรุนแรงก่อให้เกิดดินถล่มปิดถนนหนทาง บ้านเรือน โรงเรียน และพืชผลการเกษตรต้องถูกฝังกลบอยู่ภายใต้กองโคลน นอกจากนี้ประเทศจีนก็เป็นอีกประเทศหนึ่งที่ประสบกับสภาวะน้ำท่วมรุนแรงใน รอบทศวรรษสร้างความเสียหายต่อชีวิต ทรัพย์สิน พืชผลทางการเกษตร และโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศด้วย

สำหรับอินเดียซึ่งไม่เคยประสบกับปริมาณฝนที่สูงมากส่งผลกระทบต่อหลายรัฐใน ช่วงเวลาเดียวกันมาก่อน แต่ปีนี้ไม่ว่าจะเดินทางไปที่ไหนก็จะพบเห็นแต่ความเสียหายทีเกิดจากน้ำท่วม พืชผลการเกษตรเสียหาย บ้านเรือนถูกน้ำพัดพา ในเมืองเดลฮี แม่น้ำยมนาซึ่งปกติจะค่อนข้างแห้งขอด มีน้ำน้อย แต่ปรากฏว่าปีนี้ระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้นเข้าท่วมพื้นที่การเกษตร ประชาชนจำเป็นต้องย้ายถิ่นฐาน รวมถึงในอีกหลายรัฐของอินเดียก็ประสบกับปัญหาน้ำท่วมหนัก มีการประกาศภาวะฉุกเฉิน ราษฎรถูกอพยพออกนอกพื้นที่เพื่อที่จะบูรณะฟื้นฟูจากความเสียหายที่เกิดขึ้น

จากการที่หลายชีวิตต้องสูญเสีย บ้านเรือนถูกน้ำพัดพา ถนนหนทาง โครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ไฟฟ้า โทรศัพท์ พืชผลและพื้นที่การเกษตรได้รับผลความเสียหายได้ส่งผลกระทบต่อประชาชนใน พื้นที่ดังกล่าวที่ต้องต่อสู้ดิ้นรนเพื่อให้ได้มาซึ่งอาหารและที่พักอาศัย อีกทั้งเริ่มมีการระบาดของโรค

สำหรับในทวีปยุโรปก็เช่นเดียวกัน ปี 2010 นับเป็นปีที่หลายประเทศในยุโรปทั้งออสเตรีย เยอรมัน ฮังการี โปแลนด์ แลตเวีย ยูเครน สโลวาเกีย ต้องเผชิญกับสภาวะน้ำท่วม เกิดความเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สิน ซึ่งเป็นช่วงจังหวะเวลาเดียวกันกับที่ทวีปยุโรปกำลังเผชิญกับปัญหาวิกฤตทาง เศรษฐกิจ ซึ่งก็เป็นสิ่งท้าทายอย่างยิ่งต่อความพยายามที่จะหลุดพ้นจากวิกฤตการณ์เหล่า นี้

นอกจากนี้ประเทศออสเตรเลียซึ่งโดยปกติจะมีฝนน้อย แต่ปรากฏว่าปีนี้รัฐวิกตอเรียมีฝนมากผิดปกติทำให้เกิดน้ำท่วมจนก่อให้เกิด การสูญเสียชีวิตและทรัพย์สิน ประเทศแมกซิโก แคนาดา และสหรัฐอเมริกาก็เช่นกันที่ประสบกับฝนตกหนัก น้ำท่วม และดินถล่มในปีนี้

สำหรับประเทศไทยมี รายงานน้ำท่วมบางพื้นที่เป็นระยะ ๆ ตั้งแต่ปลายเดือนกรกฎาคม โดยในเดือนสิงหาคมทั่วทุกภาคของประเทศมีฝนตกหนาแน่นจนก่อให้เกิดน้ำท่วมฉับ พลันและน้ำป่าไหลหลากในหลายพื้นที่ เรื่อยมาจนถึงเดือนตุลาคม บริเวณประเทศไทยมีฝนตกหนาแน่นเป็นช่วง ๆ และยังคงมีหลายพื้นที่ที่ยังคงประสบอุทกภัย

หากถ้าจะกล่าวว่าปี 2010 เป็นปีแห่งอุทกภัยของศตวรรษนี้ก็ไม่เป็นการกล่าวเกินจริงนัก ส่วนสาเหตุที่ก่อให้เกิดฝนตกหนักและหลายพื้นที่ต้องประสบกับสภาวะน้ำท่วม นั้น นอกจากปัจจัยหลักทางอุตุนิยมวิทยาอันได้แก่ ร่องมรสุม หย่อมความกดอากาศต่ำ พายุ รวมถึงมรสุมที่พัดปกคลุมในแต่ละช่วงฤดูกาลแล้วนั้น เราคงไม่อาจปฏิเสธได้ว่าสาเหตุหนึ่งที่สำคัญที่ก่อให้เกิดฝนตกหนักน้ำท่วม รุนแรงมากขึ้น ส่วนหนึ่งมีสาเหตุมาจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ซึ่งสอดคล้องกับรายงานของ IPCC ที่ระบุว่าหนึ่งปรากฏการณ์ความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 21 คือการเกิดเหตุการณ์รุนแรงด้านภูมิอากาศเช่นฝนตกหนัก น้ำท่วม และดินถล่ม เพิ่มมากขึ้น

ดังนั้น ปัญหาด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจึงเป็นปัญหาสำคัญที่เราจะต้องร่วมมือ กันป้องกันและเสริมสร้างความสามารถในการรองรับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น

ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
กรมอุตุนิยมวิทยา
90  ธรรมะสาระ / ห้อง_ด า ว น์ โ ห ล ด / มีหนังสือ ธรรมะ ไฟล์ PDF ให้โหลดอ่านคะ เชิญตามเข้ามาเลยนะคะ เมื่อ: พฤศจิกายน 03, 2010, 08:10:27 am
และอีกมากมาย เลยคะ สามารถดาวน์โหลด ได้ที่เว็บนี้นะคะ
โหลดที่ละเล่ม ก็พอนะคะ อ่านจบแล้ว ค่อยโหลดใหม่ ระวังความโลภ เกิดขึ้น โหลดแล้วไม่อ่าน ....

http://www.ebookdharma.com/allbooks.htm


ด้านล่างยังมีหนังสือ เล่มอื่น ๆ  รอให้ท่านดาวน์โหลด ไปอ่านอยู่นะคะ

91  กรรมฐาน มัชฌิมา / ธรรมะสัญจร / ศูนย์ปฎิบัติธรรมพุทธสาวิกา เมื่อ: พฤศจิกายน 02, 2010, 07:44:53 am


ศูนย์ปฎิบัติธรรมพุทธสาวิกา มีเนื้อที่ 29 ไร่ อยู่ระหว่างเทือกเขา 2 เทือก ตั้งอยู่ ณ เลขที่ 104/2 หมู่ 3 ตำบลคลองกิ่ว อำเภอบ้านบึง จังหวัดชลบุรี มีกุฎิรับรองผู้ต้องการปฎิบัติธรรม 19 หลัง มีอาคาร จำนวน 2 หลัง จำนวน 30 ห้อง มีห้องน้ำในอาคารทั้งหมด มีห้องน้ำภายนอกอาคารไว้ บริการอีก 51 ห้อง สำหรับผู้ที่ใช้เต้นท์ หรือกรต มีสระใหญ่ซึ่งทำทางจงกลมไว้ด้านหลัง มีศาลาปฎิบัติธรรม ซึ่งสามารถบรรจุคนได้ถึง 1,000 คน มีห้องอาหารไว้บริการสำหรับผู้มาปฎิบัติธรรม นอกจากนี้ยังมีกุฎิกรรมฐานซึ่งอยู่บนเชิงเขาอีก 12 หลัง

คุณแม่ชี นลินรัตน์ สุทธิธรรมวิชญ์ เกิดเมื่อปี 2496 จังหวัดชัยนาท  จบการศึกษา ป.4  บวชชีเมื่อวันที่ 10 ก.พ. 2514 ที่วัดเหนือ ต.แพรกศรีราชา อ.สรรค์บุรี ชัยนาท พระผู้บวชให้คือ พระอธิการ พิน ขันติธัมโม มาอยู่ปฎิบัติวิปัสสนากรรมฐานกับ หลวงพ่อสังวาลย์ ที่วัดไกลกังวล (วัดเขาสารพัดดีศรีเจริญธรรม) ต.บ้านเชียน อ.หันคา ชัยนาท จวบจนปี
พ.ศ. 2530 ได้ติดตามหลวงพ่อสังวาล ไปอยู่ที่วัดทุ่งสามัคคีธรรม ตำบลหนองผักนาค อำเภอสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี ต่อมาปี
พ.ศ. 2532 ได้กราบลาหลวงพ่อสังวาลย์ เพื่อเดินทางไปปฎิบัติกรรมฐานอยู่เทือกเขาเขียว จังหวัดชลบุรี เป็นเวลานาน 10 ปี
พ.ศ. 2543 ได้มาปฎิบัติธรรมกับคุณแม่ชี อำพัน เนตรวงษ์ ที่สำนักปฎิบัติธรรมวัดย่านขาด ต.พรหมพิราม อ.พรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก คุณแม่ชี นลินรัตน์ ได้สร้างศาลาปฎิบัติธรรมถวายเป็นการบูชาธรรมที่สำนักปฎิบัติธรรมวัดย่านขาด โดยใช้งบประมาณ 2.2 ล้านบาท
พ.ศ. 2545 กลับมาอยู่จังหวัดชลบุรี เพื่อเผยแพร่พระพุทธศาสนา ให้สืบทอดตำรงต่อไป

คุณแม่ชี นลินรัตน์ ผู้เป็นประธานสำนักปฎิบัติธรรมพุทธสาวิกา เริ่มสอนเพื่อพัฒนาจิต ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2546 ติดต่อเรื่อยมาจนปัจจุบัน มีผู้ร่วมเข้า ปฎิบัติธรรมเฉลี่ย เดือนละ 1,000 คน ส่วนวันสำคัญทางพุทธศาสนา หรือวันเสาร์ - อาทิตย์ จะมีจำนวนผู้เข้าร่วมการปฎิบัติธรรม หรือเข้ากรรมฐานมากขึ้น เฉลี่ยวันละ 100 คน ในปีหนึ่งจะมีผู้เข้ามาปฏิบัติธรรมประมาณหมื่นเศษ
เจ้าสำนัก คุณแม่ชี นลินรัตน์ สุทธิธรรมวิชญ์

 
การอบรม
ระเบียบปฏิบัติในการมาปฏิบัติธรรมของพุทธสาวิกา

   1. ทางสำนักจะใช้เสียงระฆังแห่งสติในการร่วมกิจกรรมปฏิบัติธรรมอย่างตรงต่อเวลาทุกกิจกรรม
   2. มีความสำรวม กาย วาจา ใจ ในการปฏิบัติจิตตภาวนา งดการติดต่อกับบุคคลภายนอก และการใช้เครื่องมือสื่อสาร งดการสนทนาในเรื่องที่ไม่ใคร่ครวญในธรรม
   3. มีความตั้งมั่นในการภาวนากำหนดตามลมหายใจทุกขณะ มีสติอยู่ทุกอิริยาบถ โดยฝึกทำงานและทำกิจวัตรทุกอย่างให้เป็นฐานของการภาวนา   ผู้ปฏิบัติมีส่วนร่วมในการทำสถานปฏิบัติธรรม ให้เกิดความสะอาด สว่าง สงบ
   4. โปรดเอื้อเฟื้อเกื้อกูลต่อเพื่อนร่วมห้องพัก งดการคลุกคลี พูดคุยกันเป็นกลุ่ม และงดการเพ่งโทษ เพราะจะทำให้เป็นเครื่องกั้นและเศร้าหมองในการปฏิบัติธรรม
   5. เมื่อมีข้อสงสัยในการปฏิบัติธรรม ให้สอบถามกับคุณแม่แก้วหรือคณะแม่ชีเท่านั้น ไม่สอบถามกันเองกับผู้มาปฏิบัติธรรม
   6. โปรดช่วยกันประหยัดน้ำและประหยัดไฟ  ร่วมกันดูแลทำความสะอาดห้องพักและห้องน้ำ   ในวันกลับควรให้สะอาดกว่าวันเข้าพัก  ช่วยกันเก็บอุปกรณ์เครื่องนอน เข้าที่ให้เรียบร้อย และถอดปลอกหมอนคืนสำนักงาน
   7. ติดป้ายชื่อตลอดเวลาในการปฏิบัติธรรม
   8. งดการใช้เครื่องประดับทุกชนิด ยกเว้นนาฬิกา และไม่ควรนำของมีค่าติดตัว มาสถานปฏิบัติธรรม ถ้าเกิดสูญหายทางสำนักฯ ไม่รับผิดชอบ
   9. งดการนำอาหารและของว่างมารับประทานในที่พัก  ให้รับประทานในที่จัดไว้ให้เฉพาะเท่านั้น  เพื่อกันมดและแมลง อื่นๆ ไต่ในห้องพัก


สิ่งที่ผู้ปฏิบัติต้องเตรียมมา

   1. การแต่งกาย เสื้อผ้าสีขาวเนกขัมมะ, ผ้าสไบ ผ้าถุง (ให้ใส่กระโปรงซับในด้วย) หรือกางเกงตัวหลวม ไม่อนุญาตให้ใส่กางเกงรัดรูป
   2. เตรียมผ้าห่มมาด้วย ทางสำนักมีเสื่อ และหมอนไว้ให้
   3. ร่มกันฝน หมวกกันแดด
   4. รองเท้าแตะ หรือรองเท้าฟองน้ำ
   5. ไฟฉาย, ยากันยุงทาผิว
   6. ขวดน้ำส่วนตัวประจำไว้ในห้องพัก
   7. ผ้าขี้ริ้วทำความสะอาดส่วนตัว (สำหรับทำความสะอาดที่พักของท่าน)
   8. เครื่องใช้ส่วนตัวที่ควรนำมา ผ้าเช็ดตัว, สบู่, ยาสีฟัน, ยาสระผม, ผงซักฟอก, ผ้าอนามัย, ไม้แขวนเสื้อ

บุคคลผู้ไม่รับพิจารณาปฏิบัติธรรม

   1. บุคคลผู้ที่มีจิตวิปลาสคลาดเคลื่อน ขาดสติสัมปัญชัญญะ
   2. บุคคลผู้ติดยาเสพติด
   3. บุคคลผู้ต้องคดีอาญา
   4. บุคคลผู้ที่มีโรคติดต่อร้ายแรง
   5. เด็กที่ยังทำสมาธิไม่ได้ (จะทำความรบกวนผู้ปฏิบัติท่านอื่น)

กิจวัตรประจำวัน
0400 -06.00 น.
06.00 -06.30 น.
07.00 น.
08.00 น.
10.00 น.
11.00 น.
12.00 น.
14.00-15.00 น.
16.00-17.00 น.
17.00-17.30 น.
18.00-21.00 น.    ทำวัตรเช้า และเจริญสมาธิภาวนา
ภาวนากับการเดินจงกรม
ภาวนากับการพิจารณาอาหารเช้า
ภาวนากับการทำความสะอาดบริเวณทั่วไป และศาลาปฏิบัติธรรม
ภาวนาส่วนตัว
ภาวนากับการพิจารณาอาหารกลางวัน
ภาวนาส่วนตัว
เจริญสมาธิภาวนา
ภาวนากับการทำความสะอาดบริเวณทั่วไป และศาลาปฏิบัติธรรม
ภาวนากับการเดินจงกรม
ทำวัตรเย็น และเจริญสมาธิภาวนา

 
ที่อยู่-การติดต่อ
เลขที่-ซอย-ถนน: 104/2 ม.3
ตำบล: คลองกิ่ว   อำเภอ: บ้านบึง
จังหวัด: ชลบุรี   รหัสไปรษณีย์: 20220
โทร.: แม่ชีนลินรัตน์ 081-982-8937, คุณลวิตรา (089-008-9848)
เว็บไซต์ : http://buddhasavika.com/
อีเมล : admin@buddhasavika.com
ทวิตเตอร์ : ........

 
แผนที่-การเดินทาง
แผนที่กุกเกิล :
........
92  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / ปรัชญาแก้เซ็ง บทความยาวนิด นะคะ เมื่อ: พฤศจิกายน 02, 2010, 07:30:57 am
ปรัชญาแก้เซ็ง
 
พระธรรมโกศาจารย์ (ประยูร ธมฺมจิตฺโต ป.ธ. ๙, Ph.D.)
อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, เจ้าคณะภาค ๒, เจ้าอาวาสวัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร

                   ในชีวิตประจำวัน คนเรามักหลีกหนีความเซ็งไปไม่พ้น ความเซ็งเกิดขึ้นง่าย    พอ ๆ กับการเป็นหวัดคัดจมูกในฤดูฝน คนที่เซ็งไม่ใช่คนเป็นโรคจิต การบำบัดรักษา จากจิตแพทย์จึงไม่จำเป็น แต่เราจะปล่อยให้เซ็งอยู่นาน ๆ ก็ไม่ได้ เพราะความเซ็ง มีส่วนลดทอนความสุขของชีวิต และมักจะทำลายบรรยากาศที่แสนจะโรแมนติกของ บางคน ทำอย่างไรความเซ็งจึงจะถูกลบหายไปจากหัวใจ นี่เป็นปัญหาที่นักปรัชญา ร่วมสมัยควรขบคิด
ปรัชญาความเซ็ง
                   คำว่า “เซ็ง” แม้จะเป็นศัพท์ที่เริ่มใช้ในวงการภาษาสะแลง แต่ก็ติด ริมฝีปากของคนไทยได้นาน เพราะสะท้อนถึงความรู้สึกชนิดหนึ่งได้เหมาะสมกะทัดรัด ความรู้สึกชนิดนั้นคือ “เซ็ง” ที่ใครได้ยินก็เข้าใจซึ้งโดยไม่ต้องอธิบายขยายความ เพราะ คนเราต่างคุ้นกับความเซ็งของตัวเองอยู่แล้ว ใครก็ตามที่ความเซ็งเข้าจับความรู้สึก ใจของเขาจะเริ่มมึนซึม ความกระฉับกระเฉงมีชีวิตชีวาจางหายไป ความแจ่มใส เปลี่ยนเป็นซึมเซาเช่นเดียวกับเงาดำปรากฏเวลาดวงจันทร์เข้ากลีบเมฆ จากนั้น อารมณ์ชักหงุดหงิด ส่งผลให้ใครทำอะไรก็กลายเป็นสิ่งไม่สบอารมณ์ รอยยิ้มหวาน ดูเป็นรอยยิ้มเยาะ และเสียงสดใสฟังเป็นเสียงกวนประสาท เหล่านี้เป็นลักษณะอาการ ทั่วไปของความเซ็ง
นิยามแห่งความเซ็ง
                   ความเซ็งนั้นมีความเข้มข้นและเจือจางต่างกันไป นั่นก็คือเหตุผลว่าทำไม บางคนเซ็งมากแต่บางคนเซ็งน้อย ทั้งนี้ เพราะเหตุที่ก่อให้เกิดความเซ็งมีความหนัก เบาต่างกัน เมื่อวิเคราะห์แยกแยะถึงสาเหตุเหล่านั้น เราจะพบความเซ็ง ๓ ระดับ คือ ความเซ็งธรรมดา ความเบื่อ และความเอียน แต่ละระดับก็จัดเป็นความเซ็ง ทั้งนั้น
ความเซ็งชั่วขณะ
                   ระดับแรกคือ ความเซ็งชั่วขณะ เพราะมีเวลาว่างมาก และไม่มีสิ่งถูกใจ ให้จับทำ เวลาคนอยู่ว่างเขามักจะคิดฟุ้งซ่าน คิดหนักเข้าก็เกิดอาการเซ็งตัวเอง บางทีเวลาว่างนั้นเกิดขึ้นโดยสถานการณ์บังคับ เช่น ต้องรอรถเมล์นานเป็นชั่วโมง สองชั่วโมง เราจะหยิบอะไรขึ้นมาทำระหว่างรอก็ไม่ได้ ยิ่งรอก็ยิ่งเซ็ง บางคนไม่ได้ พิศวาสกับการนั่งใต้เพิงหมาแหงนกลางทุ่งสักหน่อย แต่ก็ต้องทนนั่งจับเจ่าอยู่ที่นั่น นับเป็นชั่วโมงเพราะฝนเทลงมาอย่างกะฟ้ารั่ว กลับบ้านก็ไม่ได้ ถ้าเราเจอสภาพนี้เข้า จะเซ็งขนาดไหน
                   หรือบางรายตกไปอยู่ต่างถิ่นต่างแดนพบแต่คนแปลกหน้า ถ้าปรับตัว เข้ากับคนถิ่นนั้นไม่ได้ก็มีแต่เซ็งกับเซ็ง ซึ่งข้อนี้คนไทยในต่างประเทศรู้ดี สองสาม วันแรกในต่างแดนผ่านไปอย่างเชื่องช้า ความไม่คุ้นเคยกับสถานที่และความไม่สันทัด ในภาษาต่างประเทศ บังคับให้ต้องนอนเฝ้าบ้านเขา ใช้เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการ คิดถึงเมืองไทยและคนไทยที่แสนดี ช่วงนี้เป็นระยะที่โรคคิดถึงบ้านออกฤทธิ์ นี่เป็น สภาพที่พูดได้คำเดียวว่า “เซ็งระเบิด”
ศิลปะแห่งการสร้างความสุขในความเซ็ง
                   ใครที่รำคาญตัวเอง หรือมีความเซ็งระดับแรกนี้ก็ควรหาอะไรทำแก้เซ็ง   ไม่ว่าจะเป็นการอ่านหนังสือ ฟังวิทยุ ชมโทรทัศน์ หรือสนทนากับคนถูกคอ การไม่ ปล่อยตัวเองให้มีเวลาว่าง นอกจากจะแก้เซ็งแล้วยังกำจัดความวิตกกังวล และกิเลส อีกหลายประการ คนเรายิ่งมีเวลาว่างมากก็ยิ่งคิดมาก และตามปกติก็มักคิดถึง อารมณ์ที่เพิ่มพูนกิเลสของตัวเอง การจับอะไรขึ้นมาทำจึงช่วยลดกิเลสได้มาก บางคน กล่าวไว้น่าฟังว่า “งานเท่านั้นที่จะฆ่ากิเลสทั้งหลายให้ตายไปได้” การทำงานจึงช่วย ลดกิเลสและแก้เซ็งไปในตัว บางท่านจึงกล่าวว่า “การทำงานเป็นการปฏิบัติธรรม”
                   ชาวญี่ปุ่นเป็นชนชาติขยันขันแข็งผู้ไม่ยอมให้ตนเองอยู่นิ่งเฉย เขาทำ ทุกอย่างที่จะนำผลประโยชน์มาให้ตนเอง ชาวญี่ปุ่นมีคติสอนใจว่า “ล้มไปแล้ว อย่าลุกขึ้นมามือเปล่า อย่างน้อยให้มีหญ้าสักเส้นติดมือขึ้นมาก็ยังดี” ดังนั้นชาวญี่ปุ่น จึงทำงานสร้างชาติแข่งกับเวลา เขาไม่ปล่อยเวลาให้ล่วงไปอย่างไร้ประโยชน์ แม้ในขณะที่ยืนรอรถเมล์ ชาวญี่ปุ่นยังมีหนังสือติดมือมาเปิดออกอ่าน ในประเด็นนี้ คนกรุงเทพฯสามารถเลียนแบบชาวญี่ปุ่นได้ คือผู้โดยสารรถเมล์แต่ละคนควรถือ หนังสือติดมือคนละเล่มสองเล่ม พอจำเป็นต้องรอรถเมล์นาน ๆ หรือนั่งในรถที่ติดกัน ยาวเหยียด ก็เปิดหนังสือตอนที่ขำขันออกอ่าน แล้วหัวเราะคิกคักไปคนเดียว “นัยว่าแก้เซ็ง”
ริรักแก้เซ็ง
                   ความเซ็งเพราะไม่รู้จะทำอะไรนี้ไม่ใช่จะให้โทษเสมอไป ความเซ็งอาจให้คุณ ก็ได้ถ้าเราใช้เป็น นักศึกษาหลายคนประสบผลสำเร็จงดงามในการศึกษาก็เพราะ ความเซ็ง นักศึกษาเหล่านี้ขังตัวเองในห้องที่ไม่มีสิ่งเริงรมย์อื่นใดนอกเหนือไปจาก ตำรา เมื่อรู้สึกเซ็งหนักเข้าพวกเขาจะอ่านตำราแก้เซ็ง ดังนั้น นักศึกษาผู้ไม่สามารถ บังคับใจให้จดจ่ออยู่กับตำราเรียน ควรทดลองขังตัวเองอยู่กับตำราดูบ้าง ความจำเป็น เพราะออกไปไหนไม่ได้จะบังคับให้เขาอ่านหนังสือแก้เซ็งได้ ถ้าไม่ชิงหลับปุ๋ยไปเสียก่อน
นักศึกษาไทยในต่างประเทศก็อาจใช้ความเซ็งให้เป็นประโยชน์ต่อการศึกษา   การต้องจากบ้านเมืองไปอยู่ในต่างแดนที่มีแต่คนแปลกหน้าทำให้เกิดความเซ็ง อย่างมาก วิธีแก้เซ็งที่ดีก็คือต้องตั้งใจเรียน แต่ต้องระวังไม่ให้กลายเป็นเรียนรัก ทั้งนี้เนื่องจากนิยายรักในต่างแดนเกิดขึ้นง่าย เพราะหญิงและชายต่างก็มี ความเซ็งในหัวใจเหมือนกัน ต่างฝ่ายจึงต่าง “ริรักแก้เซ็ง”
เขียนแก้เซ็ง
                   นักปรัชญาชื่อว่า อริสโตเติ้ล ดูจะเข้าใจถึงความสัมพันธ์ระว่างความเซ็ง กับการเรียนรู้นี้ดี อริสโตเติ้ลได้รับเชิญจากพระเจ้าฟิลิปแห่งนครรัฐมาชิโดเนีย ให้เป็น พระอาจารย์สอนหนังสือเจ้าชายอาเล็กซานเดอร์ เจ้าชายพระองค์นี้ต่อมาได้เป็น อาเล็กซานเดอร์มหาราชผู้พิชิตโลก เจ้าชายไม่ทรงสนพระทัยในการศึกษา พระอาจารย์ก่อน ๆ ไม่สามารถสอนเจ้าชายได้เลย
                   ดังนั้น หลังจากได้รับพระบรมราชานุญาตจากพระเจ้าฟิลิปแล้ว อริสโตเติ้ล จึงจับเจ้าชายอาเล็กซานเดอร์ขังในห้องนอน เจ้าชายร้องดิ้นรนเพื่อจะออกจากห้อง   แต่ก็ไม่มีใครเปิดประตู หลังจากสิ้นหวังว่าจะได้ออกไปข้างนอกแล้วจึงสำรวจไป     รอบ ๆ ห้อง และได้พบตัวอักษรกรีกที่อริสโตเติ้ลได้เขียนเตรียมไว้บนฝาผนัง   ความเซ็งเพราะไม่มีอะไร จะทำเร่งเร้าให้เกิดความสนใจตัวหนังสือเจ้าชายค่อย ๆ ฝึกหัดเขียนตามทีละตัว ๆ การศึกษาของเจ้าชายอเล็กซานเดอร์เริ่มขึ้นแล้วจาก “ความเซ็ง”
                   แม้ในกิจกรรมด้านอื่นความเซ็งก็มีส่วนกระตุ้นให้เกิดผลงานเลอเลิศ เล่ากันว่า “ดิกชันนารี่อังกฤษ-ไทย” ของ “ส. เสถบุตร” ถูกเขียนขึ้นในคุก เขาคงจะ เขียนมันขึ้นเพื่อผ่านช่วงเวลาที่แสนเซ็ง นี่เรียกว่า “เขียนแก้เซ็ง”
เซ็งเพราะสภาพจำเจ
                   ความเซ็งระดับแรกนี้ยังน่ารัก เพราะเราพอปรับใช้ประโยชน์ได้ดังกล่าว แต่เรา จะไม่พบส่วนดีในความเบื่อ ซึ่งเป็นความเซ็งระดับที่สองเลย ความเบื่อ เกิดมาจากสภาพจำเจ เช่น ทำงานเดิมทุกวัน เรียนที่เดิมทุกวัน หรือพบคนหน้าเดิม ทุกวัน เหล่านี้สร้างความเบื่อหน่ายและเซ็งอย่างร้ายกาจ เพราะขัดกับสภาพในใจ ของเราที่ไม่ชอบความซ้ำซากจำเจ ตามปกติใจของคนเราชอบสิ่งแปลกใหม่ สิ่งใด ที่ได้เป็นกรรมสิทธิ์แล้วก็แล้วกันไป เรามองข้ามของเก่าและสอดสายตาหาของใหม่ ต่อไปด้วยอำนาจตัณหา
                   ไม่มีใครฟังคำเตือนที่ว่า “นกตัวเดียวในกำมือ ดีกว่านกสองตัวบนต้นไม้”   น้อยคนจะสนใจสิ่งใกล้มือ ส่วนมากมักพยายามไขว่คว้าสิ่งไกลเกินเอื้อม สิ่งใดที่หามา ได้โดยง่าย สิ่งนั้นดูจะมีค่าน้อย ดอกฟ้าที่ยังเกี่ยวอยู่บนกิ่งฟ้าจึงเป็นสุดที่รักสุดบูชา   แต่วันใดที่ดอกฟ้าถูกเด็ดลงมาปักแจกัน นับตั้งแต่วันนั้นดอกฟ้าก็ลดค่าลงมา เทียมดอกหญ้า และภาวะจำเจนั่นเองอาจก่อให้เกิดความเซ็งในอดีตดอกฟ้า บางคน พอรู้สึกเบื่อสิ่งใดก็อยากหนีสิ่งนั้น นั่นก็เป็นวิธีแก้เซ็งที่ได้ผลชะงัด แต่ในทางปฏิบัติ เราทำได้ยาก
                   ถึงเราจะเบื่อแสนเบื่อกับงานที่ซ้ำซากจำเจ เราก็ต้องทนทำเพื่อเงินเดือน หรือเพื่อเพิ่มพูนประสบการณ์ในงาน บางคนถึงจะเบื่อหน้าคนที่บ้าน ก็ทิ้งเขาไปไม่ได้ เพราะมีพันธะผูกพันคือลูกตาดำ ๆ เสียแล้ว
                   บางท่านแม้จะเซ็งกับชีวิตนักบวชเพียงใดก็ต้องทนบวช เพราะเป็นถึง เจ้าฟ้าเจ้าคุณ การที่เราต้องทนกับภาวะจำเจต่อไปก็เพราะมีภาวะจำยอมบีบบังคับเรา ดังนั้น แม้จะเบื่อต่อสภาพจำเจเราก็ดิ้นไม่หลุด ทุกคนมีหัวโขนประจำตัว ใครสวม หัวโขนไปแล้วก็ถอดยากและจะไม่เต้นไปตามบทบาทก็ไม่ได้ เหมือนอย่างเช็คสเปียร์ กล่าวว่า “โลกนี้คือโรงละครใหญ่ ชายหญิงไซร้คือตัวละครนั่น”
                   เมื่อหนีความจำเจไปไม่ได้ เราก็ไม่ควรทนอยู่ด้วยความเบื่อ แต่ควรจะอยู่ ด้วยไม่รู้สึกเบื่อหรือเซ็ง วิธีการก็คือ ขั้นแรกเราปรับใจให้ยอมรับและพอใจกับสิ่ง จำเจนั้น มองหาเสน่ห์ในความจืดชืด คิดเสียว่า “เมื่อไม่มีสิ่งที่เราชอบ ก็ต้องชอบ สิ่งที่เรามี” จากนั้นจึงหาวิธีเพิ่มเสน่ห์ให้กับสิ่งที่เรามี เช่น ถ้าเบื่องานประจำเราก็หาทาง ปรับปรุงขยับขยายงานนั้น เปิดแผนกใหม่ขึ้นมาบ้าง ไม่ทำงานแบบเช้าชามเย็นชาม และที่สำคัญคือไม่กลัวการเสี่ยง ยึดภาษิตว่า “ล้มเพราะก้าวไปข้างหน้า ดีกว่ายืน เต๊ะท่าอยู่กับที่” หรือถ้าทำงานประจำจนเครียด ควรหางานอดิเรกทำสลับฉาก บางคน เขียนหนังสือเป็นงานอดิเรกจนกลายเป็นนักประพันธ์ผู้ยิ่งใหญ่ และบางท่านแม้จะ มีงานประจำทำอยู่แล้ว ก็ยังรับตำเหน่งรัฐมนตรีเป็นงานอดิเรก เหตุนั้นการปรับปรุง กิจการภายในจึงเป็นวิธีแก้ความเบื่อได้ดี 
                   คนเบื่อบ้านก็อาจตกแต่งห้องใหม่อย่างมีศิลป์ โยกย้ายเฟอร์นิเจอร์เสียบ้าง บ้านจะได้ดูน่าอยู่ขึ้น หรือสำหรับผู้ที่เบื่อแฟนก็อาจใช้วิธีเปลี่ยนบรรยากาศชวนกันไป ทานอาหารนอกบ้าน ไปตากอากาศด้วยกันบ้าง หรือเซ็งหนักเข้าก็ชวนกันไปปิดทอง ลูกนิมิต แล้วอธิษฐานว่า “ชาติหน้าชาติไหน จงอย่าได้เจอะได้เจอกันอีกเลย” จะได้ สิ้นเรื่องสิ้นราวไปเลย
ที่สุดแห่งความเซ็ง
                   “ความเซ็งประการสุดท้าย” คือความเซ็งระดับสุดยอดที่เรียกกันว่า   “ความเอียน” นั่นคือความเบื่อโลกหรือเอียนชีวิต ตรงกับคำว่านิพพิทา หรือความ หน่ายโลก ใครที่เอียนชีวิตจะมีความเซ็งชนิดถาวร มองเห็นโลกไม่น่าอภิรมย์ เอาเสียเลย ถ้าไม่ออกบวชหรือฆ่าตัวตายก็มีชีวิตอย่างหมดชีวิตชีวา
                   ความเอียนชีวิตเกิดมาจากสาเหตุที่ว่า เป้าหมายในชีวิตได้พังทลายลงอย่าง กระทันหัน บางครั้งเป้าหมายหรืออุดมคติในชีวิตได้พังทลายลงเพราะค่านิยมของเรา เปลี่ยนแปลงไปเอง เป้าหมายที่เราเคยตั้งไว้กลายเป็นสิ่งที่ไร้คุณค่า ตัวอย่างคือ เจ้าชายสิทธัตถะเคยมองตำแหน่งจักรพรรดิว่าเป็นสิ่งชวนไขว่คว้า ต่อมาเมื่อทรง พิจารณาเห็นความไม่เที่ยงของชีวิต พระองค์ทรงมองไม่เห็นคุณค่าของความเป็น พระเจ้าจักรพรรดิอีกต่อไป เป้าหมายชีวิตเดิมได้พังทลายลง ความเอียนชีวิตได้ ครอบงำพระทัยของพระองค์ ดังนั้น จึงทรงหาเป้าหมายใหม่ให้กับชีวิตคือ “ทรงปรารถนาความเป็นพระพุทธเจ้า”
                   เป้าหมายชีวิตของคนธรรมดาอาจถูกทำลายได้ เพราะเห็นระบบสังคม ที่ฟอนเฟะหรือผู้นำที่ไม่เอาไหน ซึ่งทำให้คนอยู่ในสังคมอย่างหมดหวัง บางคนจึงทำตัว เป็นฮิปปี้ผู้สูบกัญชายาเสพติด บางคนหมดศรัทธาในพ่อแม่ของตัวเองก็หันเข้าหา ยาเสพติด เขามียาเสพติดไว้จุดประกายชีวิตชีวาในหัวใจ ผู้หวังดีต่อเขาอาจให้การ บำบัดทางกายจนเขาพ้นอิทธิพลของยาเสพติด แต่ใครจะรับประกันได้ว่าเขาไม่ หวนกลับไปหามันอีก เพราะนั่นเท่ากับฉุดเขาออกจากโลกฝันอันบรรเจิด เมื่อเขาเลิก ใช้ยาเสพติดแล้วชีวิตเขาอาจจะเซ็งมาก จนเขาต้องกลับไปหายาเสพติดอีก ดังนั้น เขาควรได้รับการบำบัดทางใจอย่างรีบด่วน ด้วยการหาเป้าหมายเป็นหลักยึดในชีวิต ของเขา
                   คนเอียนชีวิตอีกประเภทหนึ่งคือคนผิดหวังอย่างแรง เพราะเป้าหมายชีวิต ถูกสาเหตุภายนอกทำลาย เช่น นักเรียนผู้ทุ่มเทกับการเรียนอย่างมากแต่ก็สอบตก อย่างพลิกล็อค นักธุรกิจผู้ประสบกับสภาพล้มละลายอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว นายกรัฐมนตรี ถูกคณะปฏิวัติจี้ให้สละเก้าอี้อย่างกระทันหัน คนเหล่านี้เป็นผู้ผิดหวังอย่างแรงจนเกือบ หมดอาลัยตายอยากในชีวิต มีสภาพเหมือนกับคนอกหัก
                   คนผู้กำลังตกอยู่ในห้วงรักย่อมวาดวิมานในอากาศ เขาสู้ถากถางสร้าง อนาคตรอใครคนหนึ่ง หยาดเหงื่อแรงงานทุกหยดหยาดหลั่งแล้วเพื่อสร้างรังรัก สำหรับใครคนนั้น   แต่แล้ววันที่ฟ้าไม่ปราณีก็มาถึง เมื่อรังรักถูกฟ้าผ่าเพราะใครคนนั้น ตีจากไป เขาหยุดการสร้างตัวทันที ถ้ากำลังเรียนก็เลิกเรียน ถ้ากำลังทำงานก็ทิ้งงาน เขาไม่รู้จะสร้างอนาคตต่อไปทำไมหรือเพื่อใคร เขาคงอยากหลับฝันถึงความหลัง ครั้งก่อนเก่าดีกว่าลืมตาตื่นมาพบชีวิตจริงที่เลื่อนลอย คนอกหักจึงมีทั้งอดีตอันขมขื่น และปัจจุบันที่สุดเซ็ง
                   ความเอียนไม่ว่าจะเป็นของคนประเภทใด ล้วนเนื่องมาจากการพังทะลาย ของเป้าหมายในชีวิต ถ้าเราประสบกับความเอียนเช่นนี้จะทำอย่างไร ชีวิตอันหมด ที่หมาย มีสภาพไม่ผิดกับว่าวหลุดจากสายป่าน ดังนั้นต้องประคองตัวให้ดี อย่าให้ ความผิดหวังหรือความเอียนทำลายอนาคตหรือดับชีวิตของเรา ปลอบตัวเองด้วยคำ ของโบวีที่ว่า “แม้ทุกสิ่งทุกอย่างจะเสียไปแล้ว อนาคตก็ยังอยู่ และสถานการณ์ไม่ได้ เลวร้ายที่สุดอย่างที่เราคาดคิดในวันอารมณ์เสีย ทั้งสถานการณ์ก็ไม่ได้ดีที่สุดอย่างที่เรา คาดคิดในวันอารมณ์ดี” จากนั้นจึงสร้างเป้าหมายใหม่ให้กับชีวิตอย่างแช่มช้าแต่มั่นคง ข้อสำคัญจึงอยู่ที่ว่า เราไม่ปล่อยชีวิตให้ล่องลอยไปตามยถากรรม เพราะถ้าขืน ปล่อยไปเช่นนั้น สถานการณ์มีแต่จะเลวร้ายลงเรื่อย ๆ เราต้องรีบสร้างเป้าหมายใหม่ ของชีวิตมาทดแทนสิ่งที่พังทะลายไป เหมือนอย่างพระพุทธองค์ทรงเลือกโพธิบัลลังก์ แทนราชบัลลังก์ ส่วนมาก คนเราไม่กล้าเลือกแนวทางชีวิตใหม่อย่างที่พระพุทธองค์ ทรงกระทำ เรากลัวว่าทางใหม่จะเลวร้ายกว่าทางเก่าแล้วผิดหนักกว่าเก่า
                   ความจริงนั้นเรามีเสรีภาพในการตัดสินใจเลือก ฌองปอล ชาตร์ ยืนยันว่า “มนุษย์ถูกสาปให้มีเสรีภาพ” ดังนั้น เราต้องใช้เสรีภาพในการเลือกแนวทางใหม่ ของชีวิต แม้ภายหลังการณ์จะปรากฏว่าเราเลือกทางผิดเราก็ไม่เสียใจ คนที่ลังเล ไม่ยอมตัดสินใจ เป็นคนน่าสงสาร เขากลัวความเอียนไม่รู้จบน้อยกว่าความรับผิดชอบ จากการตัดสินใจ เขามีลักษณะเหมือนคนผู้หลงทางกลางป่า แต่ไม่กล้าเลือกเดินไป ตามทางสายใดสายหนึ่ง เพราะกลัวจะไปพบทางตัน คนชนิดนี้จะติดอยู่ในป่าจนตาย คนที่ขาดเป้าหมายใหม่ให้กับตัวเองก็จะเซ็งจนตายเช่นกัน
                   รวมความว่า ความเซ็งคืออารมณ์พันทางที่ผสมผสานระหว่างความ หงุดหงิด ความเบื่อ และความเอียน ความเซ็งมีถึงสามระดับ กล่าวคือ ผู้ที่มีความเซ็ง ขั้นธรรมดาเพราะไม่มีอะไรทำ ควรจับอะไรบางอย่างขึ้นมาทำแก้เซ็ง ผู้ที่เซ็งเพราะ ความเบื่อความจำเจ ก็ควรเติมเสน่ห์หรือใส่ผงชูรสลงในสิ่งจำเจนั้น ส่วนท่านที่เซ็ง ถึงขนาดเอียนชีวิตเพราะสูญเสียเป้าหมายของชีวิตกระทันหัน ก็ควรมองหา จุดประสงค์อันอื่นแล้วกล้าตัดสินใจเลือกทางใหม่ของชีวิต
          
http://www.buddhadham.com/index.php?mo=3&art=250120
93  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ศิลปะ บนเปลือกไข่ ( ผ่อนคลาย ผ่อนคลาย ) เมื่อ: ตุลาคม 25, 2010, 07:40:14 am















94  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / รุ้งน้ำแข็ง เมื่อ: ตุลาคม 25, 2010, 07:29:03 am

เผยภาพสุดมหัศจรรย์ ปรากฏการณ์รุ้งน้ำแข็ง icebow

24 ต.ค. เว็บไซต์ข่าวเดลี่เมล์ รายงานว่า นาย ริยาซ ลีมาเลีย (Reyaz Limalia) สามารถถ่ายรูป ปรากฎการณ์มหัศจรรย์ ขณะที่ขับรถในเมือง Gloucestershire ประเทศอังกฤษ โดยเขาสังเกตเห็นแสงคล้ายรุ้งกินน้ำ ล้อมรอบดวงอาทิตย์ จึงได้ถ่ายรูปเก็บไว้

ทั้งนี้ ปรากฏการณ์ดังกล่าวเรียกว่า ice rainbow ซึ่งในเชิงวิชาการ เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า ’22 degrees halo’เนื่องจากมีวงแหวนของแสง 22°ล้อมรอบดวงอาทิตย์

“ผม แทบจะขับรถไปชนคันอื่นๆที่แล่นสวนมา เพราะเหลือบไปเห็นความมหัศจรรย์ของแสงอาทิตย์  ตอนแรกผมแค่สงสัยว่าทำไมรุ้งกินน้ำมีลักษณะเป็นวงกลม แล้วทำไมถึงไปล้อมรอบดวงอาทิตย์เช่นนั้น หลังจากนั้นจึงไปตรวจสอบข้อมูลก็พบว่า ภาพที่เห็นไม่ใช่รุ้งกินน้ำ แต่เกิดจากการรวมตัวของแสงอาทิตย์หักเหผ่านผลึกน้ำแข็งในก้อนเมฆ ตามข้อมูลที่ระบุไว้ว่ามันคือ รุ้งน้ำแข็ง “icebow”

เรียบเรียงข่าวโดย Mthai news
95  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 30 วิธี ทำไใ้ห้ใจมีสุข เมื่อ: ตุลาคม 25, 2010, 07:25:31 am
บางครั้ง ความสุขก็ไม่จำเป็นต้องไขว่คว้ามา บางครั้ง มันอาจจะจะอยู่ใกล้ๆตัวคุณก็ได้

ลองอ่านดูเผื่อคุณจะพบความสุขในไม่ช้านี้...

1. นึกไว้เสมอว่า การโกรธ 1 นาที จะทำให้ความทุกข์อยู่กับคุณ 3 ชั่วโมง

2. ถ้ายิ้มให้กับคนที่อยู่ในกระจกรับรองว่าเขาต้องยิ้มตอบกลับมาทุกครั้ง

3. ลองปลูกต้นไม้เองซักต้นการเติบโตของมันจะบ่งบอกตัวตนของคุณได้

4. หลับตานิ่งๆสัก 3 นาที เมื่อรู้สึกว่าอะไรที่อยู่ตรงหน้ามันช่างยากเย็นเหลือเกิน

5. ระหว่างแปรงฟันฮัมเพลงไปด้วยจนจบ จะทำให้ฟันสะอาดขึ้นเป็น 2 เท่า

6. เคี้ยวข้าวแต่ละคำให้ช้าลงจากรสชาติที่ธรรมดา ก็จะอร่อยขึ้นเยอะเลย

7. ไม่ว่าผมจะสั้นหรือยาวแค่ไหนก็ต้องการให้หวีอย่างทะนุถนอมเหมือนกันหมด

8. การขึ้น-ลงบันไดสูงๆแบบไม่ให้เมื่อย คือ การไม่นับว่ากำลังยืนอยู่บันไดขั้นที่เท่าไร

9. คนตาบอดจะเห็นว่าคุณหล่อมากๆทันทีที่คุณถามเขาว่า “ช่วยพาข้ามถนนไหมคับ”

10. เมื่อจะหยิบเศษเงินให้ขอทานไม่จำเป็นต้องนับก่อนที่จะหย่อนลงกระป๋องหรอก

11. ควรหัดพูดคำว่า ไม่เป็นไร ให้เคยปากมากกว่าจะพูดคำว่า จะเอายังไง

12. ลองตั้งนาฬิกาให้เร็วขึ้น 15 นาที รับรองว่าจะไม่ไปสายเหมือนเมื่อก่อน <<อันนี้เอาไปใช้ได้เลยรับรองไปโรงเรียนทันไม่โดนทำโทษให้เหนื่อยตอน เช้าแน่นอน

13. สัตว์เลี้ยงที่บ้านเก็บความลับเก่ง ดังนั้น เรื่องที่ไม่อยากให้ใครรู้ จึงเล่าให้มันฟังได้

14. อาหารที่จะไม่ชอบกินตอนเด็กลองตักเข้าปากอีกสักที เผื่อจะกลายเป็นอาหารจานโปรด

15. เขียนชื่อคนที่คุณเกลียดใส่กระดาษ แล้วฉีกทิ้ง (หรือแปะไว้ใต้รองเท้าแล้วใส่รองเท้านั้นไปเดินเล่นสักพัก) ความเกลียดจะเบาบางลงเรื่อยๆ <<ต้องลองไปทำดูซะและ
16. ปล่อยน้ำตาให้ไหลโดยไม่ต้องเช็ด เมื่อน้ำตาแห้ง จะดูแทบไม่ออกเลยว่าเพิ่งร้องไห้

17. ตุ๊กตาและของเล่นเก่าๆจะทำให้เรายิ้มออกเสมอเมื่อได้เห็นมันอีกครั้ง

18. ก่อนซื้ออะไรก็ตาม ต้องคิดหาประโยชน์ของมัน ทำให้ได้ 3 ข้อก่อน

19. ถึงเสื้อและกางเกง ในตู้จะมีอยู่น้อย แต่ถ้าใส่สลับกันไปเรื่อยๆก็จะดูเหมือนมีเยอะขึ้น

20. ซาลาเปา 1 ลูก กินได้ 2 คน ลูกชิ้นปิ้ง 1 ไม้ กินได้ 4 คน ถ้าคุณคิดจะแบ่งเท่านั้นเอง

21. เลือกให้ของขวัญคนที่ไม่เคยได้ ดีกว่าให้คนที่ได้เยอะ จนจำชื่อคนให้ได้ไม่หมด

22. ในวันที่รู้สึกเศร้าหรือเหงาๆเดินไปซื้อดอกไม้ให้ตัวเองซักดอกก็จะดีขึ้น

23. แอบรักใครสักคน...ยังไงก็ยังดีกว่าไม่เคยรู้ว่าความรู้สึกรักมันเป็นอย่างไร <<ซึ้งกินใจข้อนี้ T^T

24. ถึงจะไม่ได้ออกไปไหน แต่ก็ไม่ได้หมายความจะแต่งตัว สวยๆ หล่อๆ ไม่ได้นี่

25. ฝึกโรแมนติกง่ายๆคนเดียวบ้าง ด้วยการนั่งนับดาวให้ครบ 100 ดวงก่อนนอน

26. ถ้าคุณเช็ดกระจกที่ขุ่นมัวที่สุดจนสดใสได้ "ทำไมถึงจะเรียนดีกว่านี้ไม่ได้"

27. พยายามอ่านหนังสือทุกชนิดในมือให้จบ มันอาจจะไม่สนุก แต่ก็มีประโยชน์แฝงอยู่

28. วันที่ตื่นเช้าให้บิดขี้เกียจให้นานที่สุด เท่าที่จะนานได้ ถ้าขี้เกียจออกกำลังกาย

29. แค่เอาข้าวที่กินไม่หมดไปให้หมาที่เดินผ่าน ก็เป็นการทำบุญที่ไม่ต้องลงทุนแล้ว

30. ปิดไฟดวงที่ไม่จำเป็นในบ้าน แม่จะได้มีค่าขนมให้คุณเพิ่มขึ้นอีกหลายบาท

ลองไปทำหรือปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตัวเองดูนะครับ คงจะมีความสุขเพิ่มขึ้นอีกเยอะเลยล่ะครับพี่น้องง
96  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / สัมปชานนะ มุสาวาทะ คือ ? เมื่อ: ตุลาคม 15, 2010, 08:18:51 am
ฟังทุกวัน จาก มหาราหุโรวาทสูตร

  สัมปชานะมุสาทวาทะ  คือ พูดโกหกทั้งที่มีสติรู้ ว่าพูดโกหก พูดคำหยาบ พูดส่อเสียด พูดเ้พ้อเจ้อ

  มุสาวาท  พูดโกหก พูดคำหยาบ พูดส่อเสียด พูดเ้พ้อเจ้อ

   พิจารณา แล้ว แบบแรก หรือ แบบสอง ก็ให้ผล คือเบียดเบียนตนเอง และ ผู้อื่น เหมือนกัน ใช่ไหมคะ

 
   แต่การโกหก ทั้ง ๆ ที่ใจรู้ นั้น เป็นเรื่องปกติ ตรงนี้น่าจะตรงกับคำว่า ยึดมั่น ถือมั่น นะคะ

    เช่น เราแก่ทุกวัน พอส่องกระจกก็บอกว่า ตัวเองสวยทุกวัน ทั้ง ๆ ที่ ริ้วรอย ความแก่ ความเสื่อม มันก็ฟ้อง

    สัมปชานะมุสาวาทะ น่าจะเกี่ยวกับ ความยึดมั่น ถือมั่น ด้วยทิฏฐิ โดยตรงนะคะ

   เช่น รู้ว่าตัวเอง คิดผิด ทำผิด พูดผิด แต่ก็ยังดื้อรั้น หาแง่มุมต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนการทำผิด เพราะความหลง

   ยึดมั่น ถือมั่น ถ้าพิจารณา น่าจะจัดเป็น อัตตวาทุปาทาน คือ ยึดมั่น ถือมั่น วาทะว่าเป็นตัวเรา ของเรา นะคะ

   

   อยากให้ทุกคน สนใจ มหาราหุโรวาทสูตร คะ เพื่อรำลึกถึงพระราหุลมหาเถระเจ้า พุทธชิโนรส คะ

   :25: :25: :25: :25:

 

  เกลียดคนหยาบคาย

 
97  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Fwd mail ชื่อดัง สิ่งที่คนเมา ชอบทำ Top 10 เมื่อ: ตุลาคม 15, 2010, 08:08:54 am
Fwd mail ชื่อดัง สิ่งที่คนเมา ชอบทำ Top 10
February 5, 2010 — tinnoi

จาก Twitter ส่งลิงค์ไปดู fwd mail

สิ่งที่คนเมา ชอบทำ เวลา เมาจากการกินเบียร์ผสมน้ำผลไม้ (น้ำส้ม)

    * เดินแก้ผ้า
    * ฉี่เรี่ยราด
    * อ้วกเรี่ยราด
    * เอาหน้าซุกโถส้วม แล้วอ้วก
    * อาละวาดทำลายข้าวของ
    * พูดความในใจ ว่ารักใคร ( แอบรักใคร )
    * เอา โฟม ล้างหน้า มาบีบ ทีเกือบหมดหลอด ( แล้วพยายาม เอาใส่คืน ในขวด ครีมอาบน้ำ )
    * เอานม หมดอายุมาอาบ เอามาเท เรี่ยราด
    * รักชาติ ขึ้นมาเฉย ๆ
    * บ้าพลัง

คำเตือน การดื่มสุรา ของ มึนเมา ทำให้เกิดการขาดสติ

 :character0029: :character0029:
98  พระไตรปิฏก / พระธรรมตามพระไตรปิฏก / พระไตรปิฏก ออนไลน์ คอมพิวเตอร์ ฉบัับมหาจุฬา เมื่อ: ตุลาคม 09, 2010, 07:30:28 am
99  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เรื่องบังเอิญที่อยากให้อ่าน เมื่อ: ตุลาคม 03, 2010, 07:32:53 pm
เรื่องบังเอิญ...ที่อยากให้อ่าน
ข้อความบังเอิญ....

        “มีคนเคยบอกว่า...ชีวิตคือความบังเอิญ..แต่ความบังเอิญบางครั้งก็เปลี่ยนแปล ง..มุมมองเราใหม่ทั้งชีวิต”
         ผมไม่เคยเชื่อในข้อความนี้...จนกระทั่งวันธรรมดาวันหนึ่ง ที่ผมเปิดมือถือขึ้นตอนเช้า
ผม ได้รับข้อความ SMS บอกว่า ผมมีข้อความเสียงฝากไว้ ใน Voice Mail Box ของผมให้โทรเข้าไปฟัง... ผมกด เข้าไปฟัง แต่พอฟัง...ผมกลับรู้สึกแปลกใจใหญ่เพราะเสียงของคนที่ฝากข้อความไว้นั้นผมไม ่คุ้นเอาเสียเลย...

           และยิ่งฟังข้อความที่ฝากไว้...ยิ่งน่าจะไม่เกี่ยวกับผมเลยด้วยซ้ำ แต่เสียงเศร้า ของชายสูงวัยนั้น ทำให้ผมสะดุดใจผมอย่างยิ่ง

         “ชัย...นี่พ่อนะ พ่อพยายามติดต่อลูกหลายครั้ง แต่ติดต่อไม่ได้ คือ พ่อต้องเข้ารพ.ไปผ่าตัดอาทิตย์หน้าและหมอให้พ่ออยู่ที่ โรงพยาบาลตั้งแต่พรุ่งนี้..ที่บ้านไม่มีคนอยู่..ถ้าลูกว่างก็แวะมาได้ที่ โรงพยาบาลโคราช บางทีพ่ออาจจะเหลือเวลาไม่มาก......”

เสียงปลายทาง..สิ้นสุดลง ผมอึ้งและ...งง กับข้อความที่เพิ่งฟังจบไป อยู่พักหนึ่ง
ผมไม่ได้ชื่อชัย...และผม ก็ไม่มีพ่ออยู่โคราช พ่อผมเสียไปนานมากแล้ว...
ผู้ชายคนนั้นคง..กดเบอร์โทรผิด ผมคิดแค่นั้น และพยายามไม่ได้สนใจกับสิ่งที่ผมเพิ่งฟังมา
ทำไมต้องสนใจ?..มันไม่เกี่ยวกับผม..!

แต่ ตลอดวันนั้น เสียงล้าๆ เหนื่อยๆ ของชายคนนั้นที่ฝากไว้ใน Voice Mail Box วนเวียนเข้ามารบกวนใจผมเป็นระยะ... ผมได้แต่คิดว่า ผมมีสิทธิ์ที่จะลืมมัน? มันไม่ใช่หน้าที่อะไรของผมที่จะต้องสนใจ กับแค่การฝากข้อความผิดเบอร์...

แต่ประโยค “บางทีพ่ออาจจะเหลือเวลาไม่มากนัก......” มันทำให้ผมรู้สึกแย่ หากไม่ลุกมาทำอะไรสักอย่าง

ผม ตัดสินใจโทรกลับไปที่หมายเลขที่โทรมาฝากข้อความไว้....ซึ่งเป็นโทรศัพท์บ้ าน... ผมโทรไปหลายต่อหลายครั้ง ไม่มีคนรับสาย....ใช่ป่านนี้เค้าคงอยู่ที่โรงพยาบาลแล้ว ผมได้แต่ถอนใจและพยายามบอกว่าตัวเองทำดีที่สุดแล้ว...

แต่ตอนเย็นของวันนั้น ในที่สุด ความสำนึกดี..(ที่มีอยู่ไม่มากนักในตัวผม)
ก็(ดัน) ดลบันดาลในให้ผม หาทางออกได้ว่า ผมน่าจะลองโทรไปหาเบอร์มือถือที่ใกล้เคียงกับผมดู

เผื่อบางที อาจจะมีเบอร์ใด...ที่อาจจะเป็น ลูกชายของคนที่ฝากข้อความไว้ก็ได้
เพราะถ้ากดผิดได้แสดงว่าหมายเลขคงจะห่างกันไม่มาก



      ผมตัดสินใจไล่...กดเบอร์มือถือ ที่ใกล้เคียงกับเลขหมายโทรศัพท์ของผม ตั้งใจว่าจะกด แค่สิบเบอร์แรก...เท่านั้น โดยเรียงจากเลขที่ใกล้เคียงกันมากที่สุด...ผมทำมันด้วยความไม่เต็มใจเท่าไหร ่นักหรอก.. เพราะมันไม่สนุกเลยที่คุณจะต้องโทรไปหาใครที่ไม่รู้จักแล้วบอกเค้าว่า

        “ สวัสดีครับ คุณชื่อชัยหรือเปล่าครับ...ผมเป็นคนที่มีเลขหมายโทรศัพท์มือถือ ใกล้เคียงกับคุณ คือ คุณพ่อคุณคงกดเบอร์ผิด และฝากข้อความไว้ที่ Voice Mail ของผม คือ ท่านบอกว่า เค้ากำลังจะเข้าผ่าตัดที่โรงพยาบาลทีโคราชอาทิตย์หน้า....”

ทายซิครับ...ผมได้รับคำตอบ....อะไรบ้าง?

บ้างก็วางสายใส่อย่างไม่ปราณี...
บ้าง..ก็ถามกลับมาว่า คุณบ้าหรือเปล่า?
แต่คำตอบยอดนิยมที่ผมได้รับ...คือ....“ขอโทษนะค่ะ...ดิฉันไม่ซื้อประกันตอนน ี้...และทำบัตรเครดิตครบทุกธนาคารแล้วค่ะ”

ผม อยากจะบ้าตาย..ผมไม่ได้พูดอะไรที่เกี่ยวกับเรื่องประกัน กับ บัตรเครคิตซะหน่อย..เฮ้อ... บางที...คนสมัยนี้ คงยุ่งเกินกว่าที่จะ คุยกับคนแปลกหน้า..ก็ได้...มั้ง……
ผมนึกโกรธ เจ้าความสำนึกดีในตัวเอง...ที่มันยังดึงดันพยายามต่อ...

จากที่ตั้งใจว่า จะโทรแค่ 10 เบอร์ที่ใกล้เคียงเท่านั้น แล้วผมก็ลามปราม...โทรไปถึง..สามสิบเบอร์

แต่ในที่สุด..ผมก็ต้อง..ถอนใจ ...หมดหวัง..เมื่อเบอร์สุดท้ายก็ติดต่อไม่ได้

ผม...ตัดสินใจฝากข้อความ Voice Mail ของหมายเลขที่ผมลองสุ่มโทรไป... ด้วยประโยคที่ผมพูดซ้ำกันมากกว่า 30 รอบ อย่างเชี่ยวชาญ

       “ สวัสดีครับ คุณชื่อชัยหรือเปล่าครับ...ผมเป็นคนที่มีเลขหมายโทรศัพท์มือถือ ใกล้เคียงกับคุณ คือ คุณพ่อ คุณคงกดเบอร์ผิด และฝากข้อความไว้ที่ Voice Mail ของผม คือ ท่านบอกว่า เค้ากำลังจะเข้าผ่าตัดที่โรงพยาบาลที โคราชอาทิตย์หน้า....”

ผมวางสาย...เบอร์โทรที่เป็น...เป้าหมายสุดท้าย...เสร็จสิ้นไปแล้ว...
ผมพยายามปลอบใจตัวเองว่า...ผมทำดีที่สุดแล้ว...และไม่ควรรู้สึกผิดอะไรอีก
ผมหลับตานึกภาพพ่อของคนที่ชื่อชัย....ที่ต้องนอนป่วยโดดเดียวที่โรงพยาบาล
ผมได้แต่หวังว่า เค้าจะมีช่องทางการติดต่อสื่อสารอย่างอื่นที่ทำให้สองคนนี้ได้คุยกันได้


แต่แล้ว...สวรรค์ ก็คงมีตาอยู่บ้าง...

(จริงๆ ผมว่า สวรรค์น่าจะมี Call Center เพราะถ้ามีแค่ตาบางทีอาจจะมองไม่เห็นทุกคนที่เดือดร้อน...) แล้วอยู่ๆ ก็มีเสียงโทรศัพท์จากเลขหมายหนึ่งเข้ามา.... นั่นคือ...เลขหมายสุดท้ายที่ผมฝากข้อความไว้ใน Voice Mail นั้นเอง

“ขอโทษนะครับ...คุณใช่คนที่ฝากข้อความไว้ใน Voice mail ของผมหรือเปล่า? ผมชื่อชัย…”

และแล้ว...ภาระกิจอันยิ่งใหญ่...ของผมก็สำเร็จ...เมื่อคนที่ชัยโทรกลับมาจริ งๆ
แม้ในน้ำเสียงของเค้าดูจะไม่ค่อยไว้วางใจกับเรื่องที่ผมเล่าเท่าไหร่...และยังสงสัยอยู่หลายประเด็น

แต่เมื่อผมบอกว่า...เขาสามารถโทรไปสอบถาม ที่โรงพยาบาลโคราชได้ว่ามีชื่อพ่อเค้าอยู่หรือเปล่า

เขา วางหูและเงียบหายไปพัก...และโทรกลับมาขอบคุณผม เพราะที่โรงพยาบาลโคราชยืนยันว่ามีคนป่วยเป็นมะเร็งขั้นสุดท้ายที่ชื่อตรง กับคุณพ่อของเค้าจริงๆ

ผม...อึงไปพัก..เมื่อรู้ว่า...น้ำเสียงล้าๆ...ที่ผมได้ยินจาก Voice Mail Box นั้นเกิดจากการเป็น โรคร้ายระยะสุดท้าย..

ชัยรีบเดินทางกลับไปโคราช เขาไปถึงก่อนที่พ่อจะผ่าตัด..
แค่หนึ่งวัน ชัย โทรมาขอบคุณผมอีกครั้ง
เขา เล่าว่าสาเหตุที่..เขาต้องปิดมือถือ หนีหน้าครอบครัว..และคนอื่น.. เพราะธุรกิจที่เขาที่กรุงเทพมีปัญหา...เขาต้องหนีเจ้าหนี้...ที่ตามทวงอย่าง หนัก

เขาบอกว่า... แต่สิ่งที่โชคดีที่สุดของเขา..ตอนนี้ อย่างน้อย เขาก็ได้มีเวลาได้ดูแลพ่อ แม้จะเป็นช่วงเวลาสุดท้ายก็ตาม

ผม ยังเก็บข้อความเสียง ของคุณพ่อของชัยเอาไว้ และ แอบกด เข้าไปฟังอีกหลายครั้ง เพราะ ท่ามกลางชีวิตที่ยุ่งวุ่นวาย..จนไม่มีเวลาจะสนใจคนอื่น..ของผม

ข้อความเสียงนั้น ใน Voice Mail Box ที่ผมได้รับโดยบังเอิญนั้น...คอยเตือนให้ผมรู้ซึ้ง ถึงความหมายของคำว่า

“การที่เรายอมลำบากเพียงเล็กน้อย...เพื่อคนอื่นบ้างนั้น
ใครจะรู้ว่า...บางที มันอาจจะหมายถึงสิ่งที่มีค่าที่สุดของอีกคนหนึ่งก็ได้”



ขอบคุณไทยคลินิค
100  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เรื่องนี้หลอกลวง คะ ( หลอกเราได้ตอนไป จ.แพร่ ) อ่านไว้เดี๋ยวไปคุยผิดเหมือนรักหนอ เมื่อ: กันยายน 25, 2010, 04:27:45 pm
เมื่อ 2 ปีก่อน รักหนอได้เดินทางไปปฏิบัติธรรม ที่จังหวัดแพร่ และไปพบรูปด้านล่างนี้ คะ


อ่านแล้วเราก็หลงเชื่อ ว่าเป็นเรื่องจริง เพราะทางวัดนั้น นำภาพไปไว้ในวิหาร โบสถ์ แทบจะทุกที่

เหมือนนัยว่าเป็นเรื่องจริง ข้อความก็ตามภาพนั้นนะคะ








พอเพื่อน ฟอร์เวิร์ดเมล์ มาให้ถึงบางอ้อ เลยคะ

ภาพที่ 1 คือเมล์ลวงครับ
ภาพที่ 2-9 คือ เป็นรูปปั้นในพิพิธภัณ แห่งหนึ่งที่ประเทศจีนครับ เขาจะสอนให้คนรู้เรื่องบาป
บุญคุณโทษเท่านั้นนะครับ
มันไม่ได้มีเรื่องจริงที่ไหนเลย เด๋วคนเข้าใจผิด ผมแนบไฟร์รูปไปให้แล้วนะครับ
ขอบคุณ
 
ข้อมูลจากคุณ ฏิณภพ


ขอขอบคุณ ที่มา:http://www.jabchai.com/main/view_joke.php?id=6165


101  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / กทม ภาพสวย ๆ ชมกันชื่นใจ นะคะ เมื่อ: กันยายน 25, 2010, 03:18:29 pm










102  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / เจ้าชายสิทธัตถะรู้ชัดแน่แท้แล้ว ว่า จักได้ตรัสรู้เป็น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อ: กันยายน 18, 2010, 01:29:50 pm
ตามประวัติพระไตรปิฏก นั้น

 ครั้งที่ 1 เจ้าชายสิทธัตถะ ครั้นออกอภิเนษกรม แล้ว ตอนปลงพระเกศานั้น

   ก็เสีียงทายด้วยสามารถ หากเราจะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ ขอให้เส้นผมนี้อย่าล่วงหล่นสู่ธรณี

   พอปลงพระเกศา พระอินทร์ก็น้อมรับพระเกศา ไปด้วยฤทธิ์ บรรจุไว้ใน จุฬามณี


 ครั้งที่ 2 นักบวชสิทธัตถะ ก็อธิษฐานตอนคลายความเพียร ด้วยการทรมานตน ด้วยการเสวย

 ข้าวมธุปายาส ของนางสุชาดา พร้อมกันนั้น ก็ได้อธิษฐาน ลอยถาดทองคำ ด้วยการอธิษฐานว่า

 หากเราจักได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วขอให้ถาดทองคำนี่จงลอย ทวนน้ำ

 ถาดนั้นก็ลอยทวนน้ำ และลงไปทับถาดของพระพุทธเจ้าอีก 3 พระองค์ในกัปป์นี้ ที่เมืองนาค


ครั้งที่ 3 ที่พระองค์ทรงเห็นโอภาสในค่ำคืนวิสาข นั้น พระองค์จึงทรงอธิษฐานอีกครั้งด้วยความมั่นใจ

ว่าจะได้บรรลุเป็นพระสัมมาสัมพุทธเ้จ้า อีกครั้งหนึ่ง

 แม้เลือดและหนัง เอ็นกระดูก ของเรานี้ จักเหือดแห้งไปก็ตามที หากเรายังไม่ได้บรรลุเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ก็จักไม่ลุกจากบัลลังก์นี้


( จากการวิเคราะห์ นั้น นักบวชสิทธัตถะ สามารถเข้าสมาบัติ 8 และ 9 ได้อยู่แล้วเนื่องด้วยสำเร็จ สมาบัติ

มาจากสำนัก อุทกดาบส และ อาฬารกดาบส ซึ่งเป็น อรูปกรรมฐาน ดังนั้นแม้ นักบวชสิทธัตถะ หรือดาบส

อธิษฐานเช่นนั้น ก็ย่อมรู้กำลังของตนอยู่แล้วว่า สามารถเข้าสมาบัติได้ไม่ต่ำกว่า 15 วัน และเพราะพระองค์

ได้ผ่านการทรมานตนด้วยการอดอาหารมา เป็นเวลา 6 ปี จึงรู้กำลังว่าเสวยครั้งนี้จะสามารถเข้าสมาบัติได้นาน

เท่าใด ดังนั้นเนื่องจากทุกครั้งนั้น พระสติของพระองค์พะวงด้วยเรื่องอาหารบ้าง วิธีการบ้าง แต่ครั้งนี้ ดาบส

ก็รู้แล้วว่าการทำเช่นนั้นด้วยการทรมานกายไม่เกิดประโยชน์อะไร นอกจากตบะทางจิต พระองค์เห็นหนทางแล้ว

จึงได้เจริญ อานาปานสติกรรมฐาน ด้วยความปล่อยวาง จากกาย และ จิต และกลับมาพิจารณาความจริงแห่ง

สัจจธรรมคือ พระอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ( แหมเขียนยังกับว่ารู้ภาวะของพระดาบสเลย ไม่ใช่คะจำมาจากพระ

อาจารย์คะ ) ในค่ำคืนนั้นพระองค์ จึงได้เข้าสู่การบรรลุญาณ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตามลำดับ คะ

 แต่ครั้งนี้พระทัยของพระองค์นึำกไปถึง การเข้า ปฐมฌาน ตอนพระเยาว์โดยบังเอิญนั้นเป็น สมาธิอันเนื่อง

ด้วยแสงสว่าง ที่วางและว่าง พระองค์จึงกำหนดอารมณ์นั้นเป็นกำลัีงในสมาธิ จึงทำให้จิตไม่ถูกย้อมด้วยวิธีการ

ทั้งปวง และเนื่องด้วยวิบากกรรมของพระองค์หมดแล้ว จึงได้สำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า


 :25: :25:
Aeva Debug: 0.0006 seconds.
103  เรื่องทั่วไป / แจ้งปัญหาการใช้งานบอร์ด / นิมนต์พระอาจารย์ อบรมกรรมฐาน 4 ชั่วโมงที่วิทยาลัย เมื่อ: กันยายน 14, 2010, 08:12:35 am
ทางทีม รักหนอ มี พี่วิริยา พี่หมวดAxe คุณหมวยจ้า ได้คุยกับกลุ่ม เรื่องกิจกรรมเกี่ยวกับพระสงฆ์ ใน ม.

ก็ได้รับมติเสียง ให้จัดมีการบรรยายธรรมะ เพื่อเป็นมงคลแก่ นักศึกษา จำนวน 120 คน ตั้งแต่ บ่ายโมง - สี่โมงเย็น 2 คาบ โดยจัดให้ทีม รับผิดชอบ นิมนต์พระสงฆ์ มาอบรม

จึงต้องการนิมนต์พระอาจารย์ มาอบรมคะ

 :25: :25:
104  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / การใช้ สติ กับการมี สมาธิ เป็นองค์เดียวกันหรือป่าวคะ เมื่อ: กันยายน 14, 2010, 08:08:52 am
ได้ไปฟัง อธิบาย การสอนปฏิบัติสติ และ พระคุณเจ้า

ที่สอนได้บอกโยม สติ กับ สมาธิ คือองค์เดียวกัน

จึงเรียนถามพระอาจารย์ เพื่อความกระจ่าง ว่า

 สติ กับ สมาธิ เป็นองค์เดียวกันหรือป่าวคะ

 :25: :25:
105  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สุดมือสอยก็ปล่อยมันไป เมื่อ: กันยายน 14, 2010, 08:02:29 am


สุดมือสอยก็ปล่อยมันไป

เมื่อคุณชี้แจงไป แล้ว เขาก็ควรจะยอมรับฟัง แต่เมื่อเขาไม่ฟัง และคุณก็ได้ทำหน้าที่ของตนเองอย่างดีที่สุดไปแล้ว ก็คงต้อง “ ปล่อยมันไป ”

ในโลกนี้ มีเรื่องอะไรต่อมิอะไรหลายอย่างที่เราไม่สามารถให้เวลากับมัน หรือไม่สามารถทำในสิ่งนั้นให้ดีที่สุด   แต่แล้วเราก็ต้องปล่อยให้สิ่งเหล่านั้นผ่านไป เพราะหากเรามัว แต่จะ “ นับเม็ดทรายในแม่น้ำคงคา ” เวลาของคุณคงไม่พอเป็นแน่
( มีความหมายว่า จะพยายามทำให้คนทั้งโลกรู้สึกพอใจตัวเองในทุกเรื่อง) 

ดังนั้น ทำอะไรก็ตาม ควรทำเท่าที่เราทำได้ เมื่อทำอย่างดีที่สุดแล้ว คนเขาไม่เห็นว่าดีก็ต้อง “ ปล่อยมันไป ”

เลือกทำในสิ่งที่เห็นว่า เราถนัดที่สุด และมีความสุขที่จะทำก็พอแล้ว
อะไรก็ตาม ที่เราไม่ถนัด หรือถึงถนัด...แต่ไม่มีความสุขที่จะทำ ก็อย่าทำ

เรามีเวลาไม่มาก นักหรอกที่จะแบกสารพัดภาระในโลกนี้ ควรมองไหล่ของตัวเองดูสักหน่อยว่า พร้อมจะแบกเป้หลังที่มีน้ำหนักมากน้อยเพียงใด อย่าแบกอะไรที่เกินกำลังของตัวเองเพราะไม่เพียงแต่มันจะทำให้คุณเป็นทุกข์ แต่บางทีอาจมีผลต่อการยืนตรงๆ อย่างยาวนานของคุณด้วย

ขออนุโมทนาขอบคุณชาวพุทธทุกท่านที่กรุณา forward mail แนะนำธรรมทานนี้ต่อ ๆ กันไป 
ทางชมรมฯ ไม่สงวนลิขสิทธิ์ใด ๆ   และขออภัยอย่างสูง   หาก mail นี้รบกวนท่าน
กรุณา reply เพื่อปฏิเสธการรับ mail ครั้งต่อ ไปด้วย
106  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เรื่องสั้น ๆ เสน่ห์ยาแฝด เมื่อ: กันยายน 07, 2010, 06:14:31 am
ฉันกับแฟนคบกันมา 4 ปี มีโครงการจะแต่งงานกันสิ้นปีนี้ แต่แล้วจู่ ๆ เค้าก็มาบอกว่า 'เราเลิกกัน

เค้าไม่ได้รักฉันแล้ว ตอนนี้เค้าพบคนใหม่ ตลอดเวลาเค้าหลอกฉันมาตลอดว่ารัก เค้าจะแต่งงานกับผู้หญิงคนใหม่สิ้นปีนี้'ฉัน ทำทุกวิถีทางเพื่อจะฉุดรั้งเค้ากลับมา ฉันถามว่าฉันผิดตรงไหน ไม่ดีตรงไหน ฉันจะปรับปรุงตัวใหม่ เค้าต้องการอะไรฉันทำให้ได้ทุกอย่างและยอมทุกอย่าง ขอเพียงแค่ 'กลับมาเหมือนเดิม' แต่สิ่งที่ฉันได้รับคือความเฉยชา,หงุดหงิด,รำคาญ ทำอะไรก็ผิดไปหมด

เพื่อนแนะนำฉันให้ 'ไปทำเสน่ห์' ปกติฉันเป็นคนที่กลัวเรื่องพวกนี้ไม่อยากยุ่งเกี่ยว

ไม่อยากเข้าใกล้ แต่....ณ จุดจุดนี้ ไม่ได้แล้ว ความรักบังตาฉันยอมทุกอย่าง ขอเพียงได้เค้ากลับคืน อะไรก็ได้สำหรับฉัน ณ ตอนนี้'ปู่ฤาษี ' คือผู้ที่เพื่อนฉันพาไปหา เพื่อนบอกว่า 'ท่านเก่ง ญาติของเพื่อน สามีหนีไปอยู่กับเมียน้อยท่านก็เป็นคนเรียกกลับมา ทุกวันนี้ทั้งรักทั้งหลงภรรยา ไม่ไปมีใหม่อีกเลย' บ้านปูนชั้นเดียว มีลานจอดรถที่พอจอดรถยนต์ได้ประมาณ 10 คัน

วันแรกที่ฉันไปมีรถยนต์จอดอยู่ 3 คัน มองเข้าไปในบ้านมีคนนั่งจนล้นออกมาข้างนอกมีเสียงหัวเราะดังออกมาเป็นระยะ เพื่อนพาฉันเข้าไป ภาพที่ฉันเห็น 'ชายหนุ่มอายุน่าจะประมาณ 28 – 29 ปี ผมยาวมีลายสักเต็มตัว นัยต์ตาหวานเยิ้ม มือคีบบุหรี่พูดไป ยิ้มไป ปล่อยมุกสนุกสนาน ทำให้ผู้ที่เข้ามาหาหัวเราะเป็นระยะ ๆ นุ่งชุดลายเสือ ดูดีมีเสน่ห์' คน นี้เรอะที่เพื่อนบอกว่าเป็นปู่ฤาษี ทำไมยังหนุ่ม แต่ ณ วินาทีนั้นความรักบังตาไม่ได้คิดอะไร เพื่อนบอกว่าดี ฉันก็เชื่อโดยที่ไม่ได้คิดถึงเหตุการณ์ในวันข้างหน้าเลย

เราสองคนนั่งรออยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง คนที่เข้ามาล็อตแรกก็ออกไป ถึงคิวของฉัน

เพื่อนแต่งขันธ์ห้า (ดอกไม้ 5 คู่ เทียน 5 คู่) พร้อมเงิน 100 บาท ให้ฉันเขียนชื่อ-นามสกุล พร้อมที่อยู่ ของฉันและของแฟน ยื่นให้ปู่ฤาษี '.........(เอ่ยชื่อฉัน) ดวงไม่ดี จะถูกแย่งของรัก ....... (เอ่ยชื่อแฟน) คนนี้เป็นแฟนใช่มั๊ย?'

ฉันตอบ 'ใช่ค่ะ'

'มีอะไรจะถาม?' ท่านถามฉัน

......เงียบ .....ฉันก็ไม่รู้จะถามอะไร

เพื่อนหันมาสะกิด 'ตอบไปซิ'

ก็ไม่รู้จะตอบอะไร..........

ท่านนั่งหลับตาสวดคาถาประมาณ 5-10 คำ แล้วหันมาถาม ' รักเค้ามาก ตอนนี้ใจเศร้าหมอง ในสมอง มีแต่คิดจะฆ่าตัวตาย ........อยากได้เค้ากลับมามั๊ย?' ท่านหันมาถาม

'อยากได้ค่ะ' ฉันตอบ

'ถ้าอยากได้คืน จะช่วย แต่จะต้องจ้างน่ะ มีเงินเท่าไหร่?'

'สองพันค่ะ'

ท่านหลับตาสักพัก 'ไม่ใช่หรอก ในกระเป๋าตังค์มีเงิน ห้าพันบาท ในสมุดบัญชีมีเงินอีก 3 หมื่น'

ฉันตกใจ ท่านรู้ได้อย่างไง

'ถ้าอยากได้คืน ปู่คิดค่าจ้าง 3 หมื่น'

'ตกลงค่ะ!' ฉันตอบตกลง

'จะบ้าเหรอ.....3 หมื่นน่ะแก ไม่คิดก่อนหรือไง' เพื่อนฉันตกใจรีบหันมาถามฉัน

แต่สำหรับฉันตอนนี้อะไรก็ไม่สำคัญเท่าการได้แฟนกลับคืนมา

ปู่ฤาษี มองหน้ายิ้ม ๆ 'ให้ไปเอา...................................' ท่านสั่งให้ฉันนำสิ่งของมาเข้าพิธี รุ่งขึ้น เดินทางไปหาปู่ฤาษี ไปถึงก็มีคนมารอท่านเต็มอาศรมไปหมด รายแรก....มากันประมาณ 5-6 คน แต่งขันธ์ 5 จานเดียวใส่เงิน 100 บาท แต่มีรายชื่อในกระดาษประมาณ 10 ชื่อได้ ท่านรับขันธ์ 5 ไป หลับตาสวดมนต์ ดูให้ทีละคน การทำนายของท่านแม่นเหมือนตาเห็น ท่านจะทักเกี่ยวกับที่อยู่อาศัยก่อนว่า เป็นลักษณะไหนอยู่ตรงไหนมีอะไรเป็นจุดเด่น (มาทราบภายหลังว่าท่านไม่ได้ดูจากวันเดือนปีเกิด แต่จะส่งจิตไปยังบ้านที่เราอาศัยอยู่เพื่อไปตรวจสอบยังสถานที่ ท่านจึงต้องถามว่าสถานที่ที่ท่านไปถูกต้องหรือไม่)

ท่านจะทักแต่ละคนตามรายชื่อที่เขียนไป จนกระทั่งไปสะดุดที่ชื่อของลูกสาวของคนที่มาดู

'มันหนีออกจากบ้านไปใช่มั๊ย?' (จริง ๆ แล้วท่านจะพูดเป็นภาษาอีสาน แต่ว่าฉันแปลเป็นภาษาภาคกลางให้เพื่อจะได้เข้าใจ)

'ใช่จ๊ะ'คนเป็นแม่พูด น้ำตาเริ่มไหล

ท่านหลับตาสวดมนต์สัก 5-10 คำ 'มันหนีไปกับผู้ชายตอนนี้มันอยู่ กาฬสินธ์ อยู่บ้านเค้า'

'ปู่ช่วยหน่อย ตามมันกลับมาให้หน่อย'แม่พูดไปพร้อมเช็ดน้ำตา ฉันเองก็พาลจะน้ำตาไหลตามไปด้วย

ท่านสวดมนต์สักพัก

'เออ....ปู่จะช่วย วันจันทร์มันจะกลับมา พอมันมาแล้วให้พามันมาหาปู่……..'ท่าน พูดปลอบใจเขาสักพักแล้วก็เริ่มสอนให้เข้าใจถึงวิถีชีวิตของมนุษย์เป็นคำสอน ตามแบบของศาสนา จนพ่อแม่ของน้องผู้หญิงผ่อนคลายหายเศร้าท่านจึงให้กลับ

รายที่ สอง เป็นชาวบ้านมาประมาณ 4-5 คน รายนี้ภรรยาหนีตามชู้ไป

ทิ้งสามีกับลูกสองคน สามีเค้ารักภรรยามาก อยากได้ภรรยาคืน ฤาษีท่านดูไปแล้วทักว่า ภรรยาของแกหนีตามผู้ชายข้างบ้านไป ผู้ชายคนนั้นก็มีภรรยาแล้วใส่เสน่ห์ภรรยาของแกด้วย พอท่านพูดถึงตรงนี้ ผู้หญิงที่มาด้วยบอกว่าเป็นสามีของแกเอง ปู่จึงหันมาถามว่าจะเอาคืนด้วยหรือ ฝ่ายหญิงตอบว่าไม่เอา

ปู่จึงหันไปถาม ฝ่ายชายว่าจะเอาคืนจริง ๆ หรือ ไม่รังเกียจเค้าหรือที่เค้าทำแบบนี้ โกรธเค้าไหม เกลียดเค้ามั๊ย ซึ่งฝ่ายชายก็ยืนยั นคำเดียวว่าจะเอาคืน ท่านถามซ้ำ 3 ครั้ง ฝ่ายชายก็ยังยืนยันคำเดิมท่านรับปากว่าจะช่วยแล้วให้บูชาของสิ่งหนึ่งไป เรียกเก็บเงิน 500 บาท ฉันเริ่มสงสัย เอ...ทำไมของฉัน 3 หมื่น ส่วนของคนนี้แค่ 500 บาท แต่ก็ยังไม่ได้ถามตอนนั้น

รายที่สามเป็นคุณยาย พาหลานสาวมากราบท่าน

บอกว่าเป็นคนนี้ที่หนีออกจากบ้านแล้วให้ท่านตามมาให้ กลับมาแล้วตามที่ท่านบอก ท่านเรียกน้องผู้หญิง (อายุประมาณ 16-17 ปี) เข้ามานั่งต่อหน้าท่านแล้วเริ่มสอน ซึ่งคำสอนของท่านฉันฟังแล้วน้ำตาแทบไหล.....

'เห็น หน้ายายมั๊ย แกเสียใจขนาดไหน เค้าเลี้ยงเรามากี่ปี แต่ผู้ชายอีกคนพึ่งเจอกันไม่เท่าไหร่ ทำไมถึงทุ่มเททุกอย่างให้เค้าได้ขนาดนั้น ยายเค้าเสียใจขนาดไหนเห็นมั๊ย? (คุณยายเริ่มเช็ดน้ำตา)

ที่ปู่ช่วยไม่ได้อยากช่วยเราน่ะ ปู่สงสารยายของเราถึงได้ช่วยเรียกกลับมา' ท่านสอนอยู่นานพอควร

เกือบบ่าย 2 ถึงคิวฉันซะที ท่านหันมายิ้ม 'เดี๋ยวจะทำน้ำมนต์ให้อาบ' ท่านให้ฉันอาบน้ำมนต์โดยท่านเป็นผู้ปลุกเสก จะมีผู้ชายอีกคนเป็นคนอาบให้

ในระหว่างที่อาบเค้าก็จะสวดคาถาไปด้วย ....หลังจากอาบน้ำมนต์เสร็จ ท่านก็ให้นำของที่เตรียมมาให้ ทำพิธีอยู่ประมาณ 10 นาที หลังเสร็จพิธีท่านผูกแขนให้ฉันแล้วสั่งให้ฉันปฏิบัติตามคำสั่ง 1. ทุกวันตอนเย็น ให้ฉันเดิน 999 ก้าว โดยให้นับทีละก้าวห้ามนับผิด หากนับผิดหรือไม่แน่ใจให้เริ่มนับใหม่

2. ก่อนนอนให้สวดมนต์ 99 จบ

3. ให้คุยกับ คุณพ่อหรือคุณแม่ทุกวัน เล่าเรื่องต่าง ๆ ให้ฟังให้หมด ห้ามปิดบังและโกหก

4. ไม่ให้รับรู้หรือพูดคุยกับแฟนโดยเด็จขาด ภายใน 15 วัน หากผิดคำสัญญาจะต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่จนกว่าจะครบ 15 วัน ท่านให้ฉันปฏิบัติอยู่ 15 วันแล้วให้กลับมาหาท่านใหม่ ซึ่งท่านสัญญาว่าภายใน 15 วัน หากฉันทำได้ตามคำสั่งแฟนของฉันจะกลับมาหาฉันแน่นอน

ฉันรับปาก และเริ่มปฏิบัติตามที่ท่านสั่งไว้......เวลาเริ่มผ่านไปจากวันที่หนึ่ง

เป็นวันที่สอง วันที่สาม วันที่สี่ วันที่ห้า.......วันที่สิบห้า

วันที่ 15 ครบจำนวนวันที่ท่านสัญญาไว้ ฉันเดินทางไปหาท่านแต่เช้า......

'เป็นไง.....รู้สึกดีขึ้นบ้างหรือเปล่า' ท่านถาม

'ค่ะ สบายใจขึ้น มากแล้วค่ะ'

'รักเค้ามากเลยหรือ' ท่านถาม

'ค่ะ'

'ได้โทรหาแม่ทุกวันหรือเปล่า'

'โทรค่ะ'

'แม่ว่าไง เค้าเสียใจมั๊ย'

'แม่ไม่ว่าอะไรค่ะ ท่านจะคอยปลอบใจ แล้วท่านก็เสียใจมากค่ะ'

'แม่เสียใ จ แล้วเราเสียใจมั๊ย'

.....ฉันเงียบ เริ่มคิด 'เสียใจค่ะ'

'ตอนเราร้องไห้ แม่เค้าว่าไง' ' ......แม่เค้าก็ร้องไห้ค่ะ....'

'รักแม่มั๊ย'

'รักค่ะ'

'ใครทำให้เราเสียใจ?...ใครทำให้เราเป็นแบบนี้? ผู้ชายคนนั้นใช่มั๊ย'

.......ฉันนั่งนิ่ง น้ำตาเริ่มไหล.......

'ทำ งานมาเคยให้เงินแม่บ้างมั๊ย....เวลาไปตลาดเห็นกับข้าวเคยจำได้มั๊ยว่าแม่ชอบ กินอะไร จำได้หรือเปล่าว่าตัวเราชอบกินอะไร..............ทุกวันนี้กับข้าวที่ซื้อมา กินเป็นที่เราชอบหรือเป็นที่ผู้ชายคนนั้นชอบ........ทำไมต้องให้เค้ามามี อิทธิพลอยู่เหนือตัวเองขนาดนั้น

เค้าทิ้งเราไปเพราะอะไร.......ตอบได้มั๊ย'

'.......เค้าไปมีคนใหม่ค่ะ'

'ทำไมเค้าไปมีคนใหม่'

'......ไม่ทราบค่ะ' ฉันตอบไปพลางเช็ดน้ำตา

'เพราะสันดาน......เข้าใจคำว่าสันดานมั๊ย คนดี จะคิดดี ทำดี พูดดี คนไม่ดี ความคิดมันก็เลวไปด้วย อยากจะทุกข์ทรมานอยู่แบบนี้ไปตลอดชีวิต ก็จะเอามันคืนให้ แต่ถ้าอยากจะมีความสุข ไม่อยากให้แม่เสียใจ มีชีวิตที่ดี เจอคนดี ๆ ก็เลิกกับมันซะ ปู่ไม่เคยเห็นใครตายเพราะอกหัก แต่ที่คนมันตายก็เพราะมันสิ้นคิด เพราะแพ้ใจตัวเอง

ใจ อ่อนแอ ถ้าไม่คิด ไม่นำจิตไปวางไว้กับมัน มันก็จะค่อย ๆ ดีขึ้นเอง บังคับตัวบังคับกายมันทำได้ แต่การบังคับใจถ้าไม่แกร่งจริงมันก็ยาก แต่ใจมันเป็นของเราถ้าเรายอมแพ้มัน เราก็จะแพ้ไปตลอดชีวิต ถ้า เราเคยเอาชนะมันได้บังคับมันได้ เราก็จะไม่มีทุกข์ ไม่มีใครช่วยเราได้หรอกหมอที่ไหนก็รักษาให้ไม่ได้ มีแต่ตัวเรากับเวลาเท่านั้นที่ช่วยตัวเราได้ ......สิบห้าวันผ่านมาเป็นไงบ้าง'

'ไม่ได้คิดอะไร ก็รู้สึกดีค่ะ'

'ทำต่อไปน่ะ ตัดใจซะ มันทำไม่ได้ทันทีหรอกแต่มันจะค่อย ๆ ดีขึ้น คิดถึงแม่ไว้ให้มาก ๆ ไม่สบายใจอะไรก็เล่าให้ เค้าฟัง ให้มีสติ อย่าไปจดจ่ออยู่กับมัน 15 วันผ่านมาไม่มีเค้าเราก็อยู่ได้ ไม่เห็นจะตายไม่ใช่หรือ ตัดใจซะเอาสมาธิไปจดจ่ออยู่กับสิ่งอื่น อย่าไปใส่ใจกับม ัน คนมันไม่ดีก็ปล่อยมันไปตามวิถีชีวิตของมัน........' ปู่ฤาษี หันไปหยิบของในย่าม เป็นเงิน 3 หมื่นบาท ยื่นคืนให้ฉัน

'เงิน 3 หมื่น ปู่ไม่เอาหรอก ให้เอาไปเก็บไว้ 2 หมื่น เอาให้แม่ 5 พัน อีก 5 พัน ไปซื้อเสื้อผ้า เครื่องสำอาง แต่งตัวใหม่ให้ดูดีกว่านี้' พูดจบแกก็หัวเราะ

'จำคำปู่ไว้ อย่าเชื่อใจคน อย่ามองเพียงแค่ภายนอก แล้วอย่าไปทำเสน่ห์ที่ไหนอีก ทุกคนมีเสน่ห์อยู่ในตัวเองอยู่แล้ว เพียงแต่เสน่ห์ที่เรามีจะถูกใจใครเท่านั้น พวกนุ่งผ้าเหลือง ผ้าขาว บางคนสักแต่เอาผ้ามาห่ม แต่ใจมันไม่ใช่คน เราเป็นผู้หญิงต้องระวังตัวให้ดี ถ้าเจอคนดีก็ดีไป ถ้าเจอพวกไม่ดีเราจะเสียทั้งตัว เสียทั้งเงิน เสียทั้งใจ จะไปโทษใครบอกใครก็ไม่ได้ เราโง่เอง ..หยุด...ห้ามไปทำเสน่ห์ที่ไหนอีก จำคำปู่ไว้ให้ขึ้นใจ วันนี้แฟนเราจะมาหา ก็ตัดสินใจเอาก็แล้วกัน' ฉันกลับที่พัก เริ่มนั่งคิดทบทวน เรื่องราวต่าง ๆ ที่ผ่านมา

ความเจ็บปวดที่เคยมี ทุกครั้งฉันแทบจะทนไม่ได้ถ้าคิดถึงเค้า แต่ตอนนี้ทำไมความเจ็บปวดมันลดลง เริ่มมองเห็นสิ่งต่าง ๆที่ผ่านมา จิตใจที่เคยอ่อนแอ มันเริ่มแข็งแรงตั้งแต่เมื่อไหร่ฉันไม่รู้ น้ำตาที่เคยไหลไม่หยุดหากเมื่อไหร่ที่คิดถึงเค้า ทำไมมันหายไปไหน คำสอนของปู่ก้องอยู่ในสองหู ฉันตัดสินใจ.....จากนี้ต่อไปฉันต้องเข้มแข็ง

...........เสียงเคาะประตูหน้าห้อง.....

'ใครค่ะ?' ฉันถาม

'เราเอง' เหมือนที่ปู่บอกไว้ไม่ผิด เค้ามาจริง ๆ ใจที่เคยเด็ดเดี่ยวเมื่อครู่หายไปไหนหมดหัวใจเต้นแรง ใจเริ่มอ่อน เริ่มหวั่นไหว........ 'มีธุระอะไร?' ฉันไม่ยอมเปิดประตู

'.....เราคิดถึง.....เปิดประตูให้เราหน่อย'

.......ฉันเริ่มสับสน น้ำตาเริ่มไหล จะทำไงดี..คิดถึงคำพูดของปู่ฤาษี คิดถึงหน้าแม่.......

'กลับไปก่อนน่ะ วันนี้เรายังไม่อยากคุย ตอนนี้เราอยู่กับแม่ กลับไปเถอะ' ฉันโกหกเพราะรู้ว่าตัวเองยังไม่เข้มแข็งพอ หากเจอเค้าวันนี้ฉันต้องใจอ่อนแน่นอน ทุก วันนี้ฉันฝากตัวเป็นศิษย์ของท่าน ผู้ให้ชีวิตใหม่แก่ฉัน ถ้าไม่มีท่านฉันก็ไม่รู้ว่าชีวิตของฉันจะต้องพบเจออะไร อาจจะเจอสิ่งที่เลวร้าย เจอพวกซาตานในคราบนักบุญ ต้องเสียทั้งตัว เสียทั้งใจ จึงอยากจะขอเตือนเพื่อน ๆ ที่คิดจะไปทำเสน่ห์ ให้ไตร่ตรองให้ดี ไม่ใช่ทุกคนจะโชคดีเหมือนฉันเสมอไปน่ะคะ
107  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ข้อคิดดี ก็มีนะ ก่อนตัดสินใจอะไรไปในทางผิด เมื่อ: กันยายน 07, 2010, 06:02:21 am



กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีหญิงสาวคนหนึ่งผิดหวังในรักเนื่องจากคนรักของตนได้ทิ้งไป

จึงกำลังจะฆ่าตัวตาย ขณะนั้นเองมีพระธุดงค์รูปหนึ่งผ่านมาพบเข้า จึงได้กล่าวให้สติกับสีกาว่า "โยมจะทำอะไรรึ"
หญิงสาว "ดิชั้นจะฆ่าตัวตายเพราะไม่รู้จะอยู่ไปทำไม มีแฟนแฟนก็มาทิ้งไปเจ้าค่ะ"
หญิงสาวตอบ พระธุดงค์จึงได้เทศนาให้หญิงสาวฟังว่า
"เหตุใดโยมจึงต้องเสียใจเล่าในเมื่อคนที่ควรจะเสียใจ ควรจะเป็นแฟนของโยมสิ"
หญิงสาวหยุดคิดและถามกลับไปด้วยความสงสัยว่า "ทำไมล่ะเจ้าคะ"
พระธุดงค์ตอบว่า "ในเมื่อโยมมิได้สูญเสียสิ่งที่สำคัญไปเลยน่ะสิ"

หญิงสาวตั้งใจฟังพระธุดงค์แล้วก็ตอบกลับไปว่า "ไม่จริงหรอกค่ะ ดิชั้นสูญเสียแฟนอันเป็นที่รักยิ่งไปนะเจ้าค่ะ"

พระธุดงค์ตอบ "โยมได้สูญเสียคนที่มิได้รักและห่วงใยโยม ซึ่งจะมีค่าอันใด แต่แฟนโยมซิที่สูญเสียคนที่รักและห่วงใยเค้าเช่นโยม ใครควรจะเสียใจกว่ากันล่ะโยม"

สาธุ...เรื่องจบแค่นี้ให้เดาเอาเองแล้วกันนะคะว่า หญิงสาวจะยังคิดแบบเดิม คือฆ่าตัวตายหรือเปล่า.


108  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / พระที่เคยต้องคดี ฆาตกรรม มา บวชพระแล้ว เป็นพระหรือป่าว คะ เมื่อ: สิงหาคม 18, 2010, 07:00:28 am
เป็นโจทย์ อยู่ในเรื่อง อุปสมบถ คะ

  สมมุติ นะคะ

    นาย ก ได้ ฆ่า คนตาย คนหนึ่ง แล้ว หนีคดีไป บวชเป็นพระ อยู่ ในวัดป่าแห่งหนึ่ง ซึ่งไกลจากผู้คน

แล้วต่อมา ก็มีคนไปพบเข้าและจำได้ ก็พาตำรวจไปจับท่านสึก พระ ก ไม่ยินยอมสึก แต่ถูกบังคับ และ

ถูกจับดำเนินคดี


คำถามนะคะ

 1.นาย ก เป็น พระหรือป่าวคะ

 2.ถ้า นาย ก เป็น พระ เจ้าหน้าที่ จับพระ สึก ( ไม่ิยินยอม ) พระ ก ยัง เป็นพระ หรือ ป่าว คะ

 3.เจ้าหน้าที่ มีบาป หรือ ป่าว ที่ทำตามหน้าที่


 :17: :17: :c017: :25: :25:
109  กรรมฐาน มัชฌิมา / ธรรมะสัญจร / สถานที่ปฏิบัติ ที่ประทับใจในปี นี้ ที่อยากแนะนำคะ เมื่อ: สิงหาคม 07, 2010, 09:17:35 am
ปีนี้ รักหนอได้ไปร่วมปฏิบัติ 3 ที่นี้ดูรู้สึก ชอบกับบรรยากาศคะ

ที่แรก แดนมหามงคล จ.กาญจนบุรี



ที่สอง วัดเขาสมโภชน์ ลพบุรี



ที่สาม ภูดอยโอบ เชียงใหม่ ( ไปกับ คณะวัดมเหยงค์ อยุธยา )



ส่วนรูปนี้ ไม่เกี่ยว แต่ก็อยากไปปีนเขากับเขาบ้าง



110  เรื่องทั่วไป / แนะนำเว็บไซท์ สายธรรมะ กันหน่อยจ้า / เว็บคณะสงฆ์ อำเภอเสาไห้ มีข้อมูล ดี ๆ น่าอ่านหลายเรื่อง เมื่อ: กรกฎาคม 22, 2010, 07:51:04 am
จากการหาข้อมูล ของวัดในสระบุรี รักหนอ เห็นว่ามีประโยชน์คะ



http://saohaimonk.igetweb.com/index.php?mo=3&art=223976

111  กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับ วัด พระสงฆ์ พระธาตุ พระเครื่อง / วัดที่น่าจะมีตำนาน เกี่ยวกับพระกรรมฐาน และ พระแก้วมรกต ในสระบุรี เมื่อ: กรกฎาคม 22, 2010, 06:41:00 am
วัดศรีบุรีรตนาราม

วัดศรีบุรีรัตนาราม มีลักษณะเด่นที่ตัวฐานของพระอุโบสถ ซึ่งมีรูปแบบคล้ายเรือสำเภาซึ่งมีความสวยงามมาก ลวดลายต่างๆ รอบอุโบสถก็งดงามเช่นกัน มีความอ่อนช้อยเป็นลวดลายที่วิจิตร บริเวณรอบๆ วัดมีบรรยากาศร่มรื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พุทธศาสนิกชน มักจะมาสักการะบูชา พระแก้วมรกตพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร "พระแก้วมรกต" พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืององค์สำคัญที่สุดของชาติไทย เดิมประดิษฐานอยู่ที่เมืองเชียงราย ต่อมาย้ายมาอยู่ที่เมืองลำปางและเชียงใหม่ ต่อมาพระไชยเชษฐา (เจ้าลาว) ได้มาอัญเชิญไปประดิษฐานเพื่อเป็นที่สักการะยังเมืองลาวเป็นการชั่วคราวแล้ว ไม่ยอมคืนไทย

ในปี พ.ศ. 2320 สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี มหาราช ได้ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก (พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก มหาราช รัชกาลที่ 1) เป็นแม่ทัพ ยกไปตีเมืองเวียงจันทน์ได้ จึงได้อัญเชิญ พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร พระแก้วมรกต กลับคืนมาประดิษฐานไว้ในราชอาณาจักรไทยดังเดิม

ในคราวสมเด็จพระยามหากษัตริย์ศึก ได้ยาตราทัพกลับประเทศไทย เมือเดินทัพมาถึงจังหวัดสระบุรี ได้หยุดพำนักที่วัดศรีบุรีรตนาราม (วัดปากเพรียว) พร้อมกับอัญเชิญ พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร พระแก้วมรกต ประดิษฐานไว้ที่วัดนี้ เป็นเวลา 1 เดือน เพื่อเตรียมการรับเสด็จและเฉลิมฉลองอันยิ่งใหญ่มโหฬาร ณ กรุงธนบุรี

ต่อมาสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี มหาราช ได้โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้ากรมขุนอินทรพิทักษ์ พระมหาอุปราช เสด็จขึ้นมารับและอัญเชิญพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร พระแก้วมรกต โดยขบวนแห่พยุหยาตราทางชลมารค อย่างมโหฬารเป็นประวัติการณ์ เมื่อเดือนยี่ ข้างแรม ปีกุน พ.ศ. 2322 ขบวนแห่พยุหยาตราได้ล่องมาถึงกรุงธนบุรี เมื่อวันอังคาร ขึ้น 2 ค่ำ เดือน 4 ปี พ.ศ. 2322



ใบลาน คัมภีร์เก่าในวัด ที่ยังหลงเหลืออยู่



เหรียญเจ้าคุณหนู ถือว่าเป็นที่นิยมในหมู่เซียนพระเครื่อง

ไหว้พระเก้าวัด
www.madchima.org/forum/index.php?topic=378.0
112  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / มัชฌิมา นี้มีสาเหตุมาจาก พระอินทร์ใช่ไหมคะ เมื่อ: มิถุนายน 30, 2010, 08:44:54 am
รักหนอ ได้ดู วีดีโอ ตอนที่ พระมหาบุรุึษได้ ปฏิบัติภาวนา ทรมานตนจนเป็นเวลา 6 ปี

ต่อมา พระอินทร์ เหมือนจะมาเตือนพระพุทธองค์ ด้วยการดีดพิณ ที่มี การขึงสายต่างกัน

เส้นหนึ่งตึง พอดีด ก็ขาด

เส้นหนึ่งหย่อน พอดีด ก็เสียงไม่กังวาน

เส้นหนึ่งขึงไม่ตีงไม่หย่อน ( พอดี ) พอดีดเสียงก็กังวานดี

พระมหาบุรุษ จึงได้เปลี่ยน พระทัยหันกลับมาปฏิบัติ แบบ ไม่โต่ง ไปทางซ้าย หรือ ทางขวา

ทำให้กลุ่ม ปัญจวัคคีย์ หนีจากพระองค์ไป

==========================================

จากเรื่อง วิเคราะห์ โดยส่วนตัวเห็นว่า พระอินทร์มาชี้นำทางสายกลาง แก่พระมหาบุรุษใช่หรือป่าวคะ

 :25: :25:
113  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / เพื่อนทุกข์ เพราะัการเรียน เมื่อ: มิถุนายน 30, 2010, 08:36:27 am
เพื่อนรักหนอ คนหนึ่งก็พบกับอุปสรรค เปลี่ยนอารมณ์ เป็นอีกคนเลย

เนื่องด้วย เพื่อนคนนี้ ตกงาน แต่ก็ยังพยายามเ้รียน ทำให้เกิดการกู้เงิน เพื่อเรียนทั้งในระบบ และ นอกระบบ

เพราะเรียน ม.เอกชน คะ ค่าเทอมก็ หลัก 4 หมืี่้่น ขึ้นคะ

============================================

ิแต่เพื่อน คนนี้ถึงจะทุกข์ แต่ก็พยายามหางาน จ๊อบเล็ก ๆ ทำเช่น รับจ้างทำบัญชี ขายขนม ส่งขนม

เป็นต้น เพราะความทุกข์ ที่เกิดขึ้นกับเธอ ทำให้เธอเปลี่ยนอารมณ์ เป็นคนเก็บตัวไม่เหมือนเมื่อก่อน

แต่ ก็เป็นคนที่เยือกเย็น เป็นผู้ใหญ่ เพิ่มขึ้น และสนใจการภาวนามากขึ้น

=================================================

ที่เล่าให้ฟัง ก็เพื่อนให้ เพื่อน ๆ ที่มีความทุกข์ อยู่ ไม่ว่าจะทุกข์ เรื่องอะไร ๆ เราก็ต้องฟันฝ่าไปให้ได้นะคะ

อย่าท้อถอย อย่าทำผิด

 :25: :25: :25:
114  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ในชั้นดุสิต นั้นมีเทพธิดา หรือป่าวคะ เมื่อ: มิถุนายน 04, 2010, 10:14:01 pm
ได้ยินว่า ในสวรรค์ชั้นดุสิต นั้นไม่มี เทพธิดา

อย่างนั้นแสดงว่า พุทธมารดา ที่พระพุทธเจ้า ขึ้นไปโปรดนั้นต้องเป็นเทพบุตรใช่ หรือ ป่าวจ๊ะ


 :88: :25:
115  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / ป่วยเบาหวาน มีทางรักษาได้ ไม่ต้องตัดขา เมื่อ: เมษายน 07, 2010, 06:00:41 am
รพ มศว

ในประเทศไทยมีผู้ป่วยเป็นเบาหวาน ที่ต้องรักษาแผลที่เท้า และต้องถูกตัดขาปีละ 40,000 ราย ( สี่หมื่นราย!!! )
ปัจจุบันนี้ได้มีความพยายามในงานวิจัยโดยความร่วมมือกับ
คณะแพทย์ศาสตร์มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ร่วมกับ
พตอ.นพ.ไพบูลย์ มะระพฤกษ์วรรณ โรงพยาบาลตำรวจ และ
นพ.ณรงค์ชัย ยิ่งศักดิ์มงคล ศูนย์การแพทย์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา มหาวิทยาลัยศรีนครินวิโรฒ คลอง16 ถนนรังสิต-นครนายก
ได้ช่วยผู้ป่วยให้ไม่ต้องถูกตัดขาไปแล้วหลายราย

หากท่านใดมีญาติที่เป็นเบาหวาน มีแผลที่เท้า
และมีปัญหาในการดูแลรักษา
กรุณาช่วยประชาสัมพันธ์ให้ด้วย คะ
ติดต่อโดยตรงกับผู้ประสานงานโครงการ
คุณวุฒิพันธ์ บุญญกาญจน์ Tel. 081-3024707

ในงานวิจัยนี้ผู้ป่วยทุกรายจะได้รับการดูแลรักษาเรื่องเบาหวานขึ้นจอประสาทตาด้วย
โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น
กรุณาบอกบุญเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยที่ขาดทางเลือกในการรักษาด้วยครับ ขออุโมทนาบุญที่ได้ร่วมกันด้วย
ขอบคุณคะ
116  เรื่องทั่วไป / เรื่องเล่ากฎแห่งกรรม / ใครคิดว่าตนเองโชคร้าย ควรอ่านนะจ๊ะ เมื่อ: เมษายน 07, 2010, 05:57:17 am
จากเรื่องจริง ที่ถ่ายทอดมา จากพระ

ธรรมบรรยาย ที่นำมาลงให้อ่านนี้ ได้มาจากพระพระสุปฎิปันโนรูปหนึ่ง

ขอเชิญพิจารณาเถิด



ใครที่คิดว่าตัวเองโชคร้าย หรือเป็นคนอับโชคมีเคราะห์ อยากให้พิจารณาเรื่องนี้ดู แล้วมาเปรียบเทียบกับตัวเองดูว่าเป็นอย่างไร เป็นเรื่องของผู้หญิงคนหนึ่งอายุประมาณ 50 เศษ ชีวิตของเธอเรียกว่าเจอแต่ความทุกข์ และสิ่งที่ไม่คาดฝันมาโดยตลอด

อายุ 2 เดือน พี่เลี้ยงทำตกน้ำ กว่าจะช่วยขึ้นมาได้ก็สำลักน้ำกับน้ำมัน เพราะแถวนั้นมีเรือและยังมีถังน้ำมันในเรือ 8 ขวบ ก็ตกน้ำอีก เกือบจะช่วยไม่ทัน ดำผุดขึ้นมา 2 ครั้ง ไม่มีใครเห็น ครั้งที่ 3 พ่อเห็นก็เลยช่วยเอาไว้ได้

ตกน้ำ 2 ครั้งนั้น มีผลกระทบต่อระบบประสาทเรื่อยมา เวลาเจอแดดร้อนๆ นี่จะเป็นลม บางทีร้องไห้มากๆ ถึงกับสลบไปเลย อยู่มาอีก 2 ปี แม่ก็เสียชีวิต พ่อทำใจไม่ได้ เครียดจนเป็นอัมพาต ตอนหลังก็เสียชีวิต ทิ้งหนี้สินให้กับผู้หญิงคนนี้

ซึ่งชื่อเกษมสุข ภมรสถิตย์ ชื่อ เพราะ แต่ว่าเจอทุกข์มาโดยตลอด อายุ 19 ก็ต้องเป็นหลักในครอบครัว ต้องเลี้ยงน้องอีก 4 - 5 คน จากบ้านที่เคยอยู่เป็นหลักเป็นแหล่ง ก็ต้องไปอยู่บ้านเช่าเล็กๆ ต่อมาก็แต่งงาน ชีวิตก็น่าจะมีความสุขได้ ถ้าหากว่าลูกที่ออกมาไม่เกิดพิกลพิการ

เพราะว่าหมอเอาคีมดึงหัวลูกออกมา คง จะดึงแรงเกินไป ทำให้กระทบกระเทือนถึงสมองกลายเป็นเด็กปัญญาอ่อน หมอบอกว่าคงจะมีอายุอีกไม่นาน แต่เธอก็สามารถเลี้ยงลูกจนโตได้ คลอดลูกมาไม่นานก็เป็นเนื้องอกที่มดลูก เข้าโรงพยาบาลผ่าตัด ปรากฏว่าหมอผ่าผิดข้าง คือเอาข้างดีออกไป ส่วนที่ไม่ดียังค้างไว้

หมาย ความว่าต้องกลับไปผ่าใหม่ คราวนี้ก็หมายความว่าตัดหมดเลย พอตัดหมดก็ไม่มีฮอร์โมน พอไม่มีฮอร์โมนก็ต้องกินฮอร์โมนทดแทน ทำให้เป็นโรคกระดูกผุ เป็นคนที่กระดูกผุง่ายมาก ซึ่งกลายเป็นปัญหากับเธอในภายหลัง

ชีวิตต่อมาก็มีปัญหาอีก สามีทิ้ง เพราะว่าคงจะทนอยู่รับภาระเลี้ยงลูกซึ่งปัญญาอ่อนไม่ได้ ทิ้งลูกไป ตัวเองตอนนั้นอายุ 26 เอง ต้องเลี้ยงลูก เป็นอันว่าต้องมาช่วยตัวเองกันใหม่ ต่อมาก็เกิดอุบัติเหตุอีก นั่งรถอยู่ดีๆ ก็มีรถฝ่าไฟแดงพุ่งเข้ามาชน

ปรากฏ ว่า กระดูกต้นคอหักไปทับเส้นประสาท ทำให้เกือบจะขาดเลย หมายความว่า ตั้งแต่ต้นคอลงไปนี่เป็นอัมพาต เคลื่อนไหวไม่ได้ ต้องเข้าโรงพยาบาลแน่นิ่งอยู่ 2 เดือนเต็ม ทีแรกก็นึกว่ายังจะไม่รอด หรือถึงรอดก็ต้องเป็นอัมพาตไปตลอดชีวิต แต่เดชะบุยยังรอดมาได้ สามารถเดินเหินเป็นปกติ

หลังจากนั้นก็เจออุบัติเหตุอีก รถที่ตนนั่งเกิดแหกโค้งไปชนเสาไฟฟ้า เธอแขนหักเป็น 2 ท่อน แต่ที่หนักก็คือว่า ก้านเกียร์หักทิ่มเข้าไปในท้องขณะที่กำลังช่วยคนขับรถอยู่ ผลคือตับแตก หลังจากนั้นก็ยังเจออุบัติเหตุอีกหลายครั้ง แม้กระทั่งก่อนไปออกรายการ"เจาะใจ" ก็เกิดอุบัติเหตุรถที่นั่งมาถูกรถอีกคันหนึ่งชน แต่ว่ายังทนได้ ออกรายการเสร็จแล้วจึงค่อยไปหาหมอ

ถามว่ามีใครที่เจอชะตากรรมซ้ำซากแบบนี้บ้าง แต่ที่พิศวงก็คือว่า ผู้หญิงที่ชื่อ เกษมสุข คนนี้ เธอไม่ได้รู้สึกน้อยใจในโชคชะตาเลย กลับมีความหวังกับชีวิตอยู่เสมอ ไม่ได้มีความท้อแท้ท้อถอย หรือรู้สึกว่าถูกชะตากรรมทำร้าย ทั้งๆ ที่ก็ไม่รู้ว่าข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น กลับทำให้ตัวเองเป็นที่พึ่งของคนอื่นได้

ที่เอาเรื่องของคุณเกษมสุขมา เล่าให้ฟัง ก็เพราะอยากชี้ให้เห็นว่า คนเราจะสุขหรือทุกข์ ไม่ได้อยู่ที่ว่ามีอะไรมากระทบเรา หรือเกิดขึ้นกับเรา แต่อยู่ที่ว่าเรารู้สึกอย่างไรกับสิ่งที่มากระทบกับเรา หลายคนอาจจะคิดว่า เราจะสุขได้ต่อเมื่อมีของดีๆ เกิดขึ้นกับเรา

เช่น มีคนรัก มีเงิน มีสุขภาพดี มีโชค มีเกียรติยศ มีชื่อเสียง มีบ้าน มีงานการต่างๆ จึงจะเป็นสุขได้ แต่นั่นก็ไม่แน่ บางคนได้เงิน ได้ขึ้นเงินเดือนน่าจะดีใจ แต่กลับกลายเป็นทุกข์ เพราะไปรู้ว่าคนอื่นได้ขึ้นเงินเดือนมากกว่าตัวเอง ตัวเองได้ขึ้นหนึ่งพัน แต่พอรู้ว่าคนอื่นได้ขึ้นสองพัน ทุกข์ทันทีเลย

สิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวเองกลับกลายเป็นเรื่องที่น่าเจ็บปวด เพราะ ไปมองว่าคนอื่นเขาได้มากกว่า บางคนถูกหวยน่าจะดีใจแต่ก็เป็นทุกข์ เพราะรู้สึกว่าที่ได้มามันน้อยเกินไป เด็กๆ เดี๋ยวนี้ก็เป็นอย่างนี้ แม่ซื้ออะไรให้ บางทีแทนที่จะดีใจกลับทุกข์ เพราะรู้สึกว่าตัวเองได้น้อยไป คนอื่นได้มากกว่านี้ หรือทุกข์ เพราะเห็นว่าเพื่อนๆ มีดีกว่านี้ คิดแบบนี้ก็เป็นทุกข์เลย

ฉะนั้น สิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นกับเราไม่ได้ทำให้เราเป็นสุขเสมอไป อาจจะทำให้เราทุกข์ก็ได้ ในทางตรงข้ามเมื่อเจอสิ่งแย่ๆ เราอาจไม่ทุกข์ก็ได้ ถ้ารู้จักวางใจหรือรู้จักมอง คนที่ไม่รู้จักวางจิตวางใจก็จะตีโพยตีพาย กลุ้มอกกลุ้มใจ อยู่อย่างไม่มั่นใจ คนที่ฝึกจิตไว้ดีนี่จะรู้เลยว่า สุขหรือทุกข์ไม่ได้อยู่ที่ว่ามีอะไรเกิดกับเรา แต่อยู่ที่ว่า เราวางใจอย่างไร

คนเราทุกข์เพราะไปมีปฏิกิริยาแตกตื่นมากเกินไป แต่ถ้าเรามีสติได้เราจะรู้ว่า เออ ของพวกนี้เป็นเรื่องธรรมดา เวลา เราทุกข์ถ้าเราตั้งหลักได้ก็จะพบว่า ที่ทุกข์นี่เพราะใจ มากกว่าทุกข์เพราะอย่างอื่น อากาศร้อนไม่ได้ทำให้เราทุกข์หรอก พวกที่เล่นฟุตบอลหรือดูฟุตบอลกลางแดด

พวก นี้นั่งอยู่กลางแดดเป็นชั่วโมงๆ โดยไม่รู้สึกร้อนเลย แต่พอแข่งเสร็จออกไปยืนรอรถเมล์กลางแดดแค่ 5 นาที เท่านั้นล่ะ กระสับกระส่าย ทั้งที่ตอนดูบอล ดูมาเป็นชั่วโมงไม่เห็นรู้สึกทุกข์อะไรเลย ถามว่าทุกข์เพราะแดดหรือเปล่า ไม่ใช่ ทุกข์ที่ใจต่างหาก

ถ้าใจเรามีสมาธิกับอะไรสักอย่างมันก็จะลืมเรื่องกาย แต่พอไม่มีสมาธิจิตมันก็จะหาเรื่อง บ่นโน่นบ่นนี่ จิตของเราเป็นจิตที่ขี้บ่น จะเห็นอะไรต่ออะไรไม่ถูกใจไปหมด แต่ถ้าเรารู้จักดูแลจิตใจของเราให้ดี ของพวกนี้จะทำอะไรเราไม่ได้ เสียงที่ดังเพราะเราไปตั้งใจจดจ่อฟัง

แต่ ถ้าเราไม่ฟังมันก็เลิกรบกวนเรา ดังนั้นขอให้เราลองพิจารณาดูว่า เวลาเป็นทุกข์ เราทุกข์เพราะอะไรแน่ เวลาเป็นทุกข์ เรามีวิธีแก้ทุกข์ได้หลายอย่าง เช่น นึกถึงคนที่ทุกข์มากกว่าเรา มันก็ทำให้เรารู้สึกว่า เออ เรานี่ยังโชคดีกว่าคนอื่นนะ เวลาเงินหายพันนึง ลองนึกสิว่า ยังดีกว่าหายห้าพัน

เราเคยคิดแบบนี้บ้างหรือเปล่า คนที่เป็นมะเร็ง พอมองให้เป็นก็พูดขึ้นมาว่า โชคดีที่เป็นมะเร็ง ถ้าไม่เป็นมะเร็งก็คงไม่มีเวลามาอยู่กับครอบครัว คงไม่มีเวลามาศึกษาปฏิบัติธรรมะ จนเข้าใจชีวิตจิตใจของตนเอง คนที่เป็นเอดส์บางคนบอกว่า โชคดีที่เป็นเอดส์นะ เพราะตอนที่ไม่ได้เป็นก็เที่ยวเตร่สนุกสนานใช้ชีวิตอย่างไร้สาระ แต่พอเป็นเอดส์ก็รู้สึกว่าชีวิตนี้มีคุณค่ามีความหมาย

ดัง นั้นจึงพยายามใช้เวลาที่เหลือให้มีประโยชน์ หันมาสนใจธรรมะ ทำให้ค้นพบความสุขที่แท้จริง ค้นพบความหมายของชีวิต เรื่องพวกนี้ถ้าเขาไม่เป็นเอดส์ก็คงไม่สนใจ หรือไม่มีวันค้นพบเลย

เมื่อเป็นอย่างนี้ขอให้เรารู้จักหาประโยชน์จากความทุกข์ ถ้าพิจารณาดูจะพบว่ามันมีประโยชน์มากมาย แต่ส่วนใหญ่เราไม่รู้จักวางใจหรือมองไม่เป็น เช่น ชอบไปมองเปรียบเทียบคนที่เขาดีกว่าเรา หรือได้มากกว่าเรา เราได้เลื่อน 1 ขั้น ไม่ดีใจ เพราะเห็นคนอื่นได้ 2 ขั้น ที่จริงได้เลื่อน 1 ขั้น น่าจะดีใจ

หรือแม้จะไม่ได้เลื่อนก็ น่าจะดีใจ อย่างน้อยเราก็ยังมีงานทำ อย่างน้อยเราก็ยังมีบ้านอยู่ แม้จะไม่ใช่บ้านของเรา แต่เราก็ยังกินอิ่มนอนอุ่น ตรงกันข้ามกับคนอีกหลายร้อนล้านในโลกนี้ ที่ไม่มีโชคอย่างเรา

เราลองดูให้ดีนะว่าเรายังมีอะไรที่ดีๆ บ้าง ที่คนอื่นเขาไม่มีกัน ถ้าเรามองให้เป็นแล้วเราจะมีความสุขได้ มองให้เป็นนี่ เราสามารถมองได้หลายแง่ เช่น การเปรียบกับคนที่เขาแย่กว่าเรา ช่วยให้เรารู้สึกว่าเรายังโชคดีกว่าคนอีกมาก หรือมองหาประโยชน์จากเรื่องร้ายๆ ที่เกิดขึ้น

เช่น เมื่อสูญเสียข้าวของ ก็มองว่านี่เป็นการฝึกให้เราเตรียมพร้อม กับการพลัดพรากสูญเสียที่ยิ่งกว่านั้นในอนาคต จะไม่ดีกว่าหรือ ถ้าเราลองฝึกการรับมือกับการสูญเสียตั้งแต่ต้นๆ เริ่มจากการสูญเสียที่ยังพอรับได้ ก็ถือว่าเป็นการเตรียมพร้อมหรือฝึกใจเอาไว้ เป็นการซ้อมย่อย

ถ้าจะไม่นึกถึงก็ได้ แต่ก็ต้องมีสติรู้ทันอารมณ์ที่เกิดขึ้น เพราะถ้าไม่มีสติใจก็จะพลัดเข้าไปสู่ร่องอารมณ์เดิมๆ ที่เราสร้างเอาไว้ เราถูกฝึกเอาไว้ว่า ถ้าฉันสูญเสียฉันต้องทุกข์ มันเป็นปฏิกิริยาเหมือนกับเจอเสียงดังต้องหงุดหงิด ต้องโมโห เราถูกฝึกแบบนี้มาเป็นเวลานาน

จน กระทั่งกลายเป็นนิสัยหรือความเคยชิน ทำไปโดยไม่รู้ตัวและไม่ทันได้คิดด้วย เรากลายเป็นทาสของสิ่งแวดล้อมไป เป็นทาสของ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส จากสิ่งรอบตัว รวมทั้งความรู้สึกนึกคิดที่เกิดขึ้นในใจด้วย

แต่เราเลือกได้นะ เราไม่จำเป็นต้องเป็นทาสเสมอไป เราสามารถเป็นอิสระจากมันได้ พอได้ยินเสียงปุ๊บมีสติปั๊บ ก็ไม่รู้สึกขุ่นเคือง หรือถึงจะมีความขุ่นเคืองก็วางได้ทัน เวลามีคนพูดไม่ดีกับเราไม่ให้เกียรติเรา แทนที่เราจะฉุนเฉียวแล้วก็พูดตอบโต้ไป เรามีสติรู้ทันอารมณ์ที่เกิดขึ้นจากเสียงที่มากระทบ

เรา ก็หลุดจากอารมณ์นั้น มันทำอะไรเราไม่ได้ ต่อไปความเจ็บความปวดก็ทำให้เราทุกข์ไม่ได้ เพราะเรารู้ว่าความเจ็บปวดนั้นเป็นเรื่องของกาย แต่ใจไม่จำเป็นต้องเจ็บปวดหรือเป็นทุกข์ด้วย

จะเห็นได้ว่าทั้งหมดนี้สำคัญอยู่ที่ใจ สำคัญอยู่ที่ว่าเรามีท่าทีอย่างไรกับสิ่งที่มากระทบกับเรา หรือต่อสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา เราเลือกได้ว่าจะทุกข์หรือไม่ทุกข์ ถ้าเราทุกข์ก็แสดงว่าเราเลือกที่จะทกุข์เอง ไม่ใช่เป็นเพราะปัจจัยภายนอกอย่างเดียว พระพุทธเจ้าตรัสว่า มือที่ไม่เป็นแผลจับยาพิษก็ไม่เป็นอันตราย แต่ที่เป็นอันตรายเพราะมือมีแผล นั่นหมายความว่า ปัจจัยภายในสำคัญกว่าปัจจัยภายนอก

ปัจจัยภายในหรือจิตใจนี้เป็นสิ่งสำคัญ เราจะทุกข์หรือไม่ อยู่ที่ว่าใจของเราจะยอมให้ยาพิษมันเข้ามาในใจเราหรือไม่ ใจเรามีแผลที่จะให้ยาพิษซึมซาบเข้ามาทำร้ายได้หรือเปล่า ตรงนี้เป็นสิ่งสำคัญที่สุด เป็นเพราะเราปล่อยให้ใจมีแผลใช่ไหม ยาพิษหรือความไม่สมหวังจากภายนอกจึงเข้ามาทำอันตรายเราได้ ถ้าหากทุกข์นั้นเกิดจากใจเป็นสำคัญ

เรา ก็ต้องกลับมาดูตัวเองแล้วว่า เราจะมีเครื่องคุ้มกันจิตได้อย่างไร เรามีสติ ปัญญาแค่ไหน ที่จะช่วยคุ้มกันปกป้องใจเรา เรารู้จักคิดแค่ไหน เรารู้จักมองแค่ไหน เพื่อไม่เปิดช่องให้ความทุกข์มาทำร้ายเราได้


( พระไพศาล วิสาโล / 24 สิงหาคม 2547 )
117  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / ใจคน อยากหยั่งลึก เมื่อ: กุมภาพันธ์ 08, 2010, 09:35:39 pm
 :'(
มีพี่ที่นับถือกันอยู่คนหนึ่ง คอยพูดสนับสนุน ดิฉัน ในเวลาทำงาน ตอนที่ดิฉันเข้าไปทำงานใหม่ ๆ พี่คนนี้ก็คอย
พูดบอกเพื่อน ๆ ให้ว่า ฉันนี้เก่งอย่างนั้น อย่างนี้ ในงานที่ฉันทำ ดิฉันก็เลยทำงานให้พี่คนนี้ สุดชีวิต


แต่หลังจากสิ้นปีนี้ มาที่มีการประเมินผลงานและมีการปรับฐานเงินเดือน ด้วยความสามารถ บวกกับความขยันและตั้งใจทำงาน เจ้านายใหญ่ก็เลื่อนตำแหน่งให้ มาเสมอกับพี่ที่ดิฉันนับถือ

แต่พอดิฉัน ได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นมาก็พูดถึงความดีของพี่คนนี้ และทำงานให้อย่างเต็มกำลังเหมือนเดิม แต่หลังจากนี้มาพี่คนนี้ ไม่ชอบพูดที่จะพูดกับฉัน และทำท่าทางไม่สนับสนุนดิฉัน แต่ดิฉันก็ยังทำงานให้พี่เขาเหมือนเดิม เพราะยังนับถือพี่คนนี้อยู่

ทำอย่างไรให้พี่คนนี้ กลับมาดีต่อฉันเหมือนเดิมคะ
118  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / คิดไม่ออก จะปลอบใจพี่เขาอย่างไร เมื่อ: กุมภาพันธ์ 08, 2010, 09:27:33 pm
วันนี้ ระหว่างที่ใจสับสน ปกติก็จะเป็นที่ปรึกษาให้กับคนนั้น คนนี้ ตามสภาพของนักอาสา
แต่มาวันนี้ โดนความรักเล่นงาน มีพี่คนหนึ่งมาปรึกษาเรื่อง ลูกชาย ที่ไปจับสลากเข้าเรียนในสถานศึกษา
แล้วจับไม่ได้ พี่แกน่าสงสาร ไหนจะต้องดูแลแม่ ไหนจะต้องมาดูลูก ไหนจะต้องมารับเรื่องไม่เป็นเรื่อง
พี่คนนี้ มานั่งร้องไห้และเล่าเรื่องต่าง ๆ ให้ฟัง

แต่เพราะวันนี้ใจของฉัน ไม่ปกติ จึงไม่สามารถ ที่จะกล่าวเรื่องต่าง ๆ ปลอบใจเขาได้
ในสมองมีแต่เรื่องของตัวเอง เท่านั้น ที่คิดอยู่ พร้อมกับอึดอัด

ถ้าในสถานการณ์อย่างนี้ เราจะปลอบใจพี่เขาอย่างไร ด้วยคำที่ทำให้จิตยินดี คะ
119  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / ความรัก เมื่อเกิดขึ้นแล้วจะแก้อย่างไร เมื่อ: กุมภาพันธ์ 08, 2010, 09:21:45 pm
ในชีวิต เกิดมาไม่เคยรักใคร และไม่อยากรักใคร ผ่านอายุมา 27 ปี ปฏิบัติธรรมมาตั้งแต่อายุ 16

จนตอนนี้มาพบชายคนหนึ่ง ที่สบตาแค่ครั้งเดียว ทำให้ใจหวั่นไหว แอบมอง แอบเป็นห่วง แอบ......
ที่ใดมีรัก ที่นั่นก็มีทุกข์

อาการกระสับ กระส่าย ไม่เห็นหน้าชายคนนั้นแล้วรู้สึกไม่สบายใจ
อยากพบ อยากเจอ อยากคุย อยากสนทนา
เวลาเห็นหญิงอื่น คุยสนทนากับชายคนนั้น แล้วรู้สึกไม่สบายใจ รู้สึกเลือดขึ้นหน้า

ถึงแม้รู้ อย่างนี้ ใจมันก็สับสน นั่งนึกภาวนา พุทโธ ๆๆๆๆๆ
แต่อารมณ์ ก็ไม่สงบ สักที

บางคืน ก็หงุดหงิด พาลให้งาน เสียด้วย
คุยคนเดียว เหมือนคนบ้า
รู้สึกตัว อยู่เหมือนกัน แต่ไม่ก็หักห้ามใจ ไม่ได้

นึกถึง เว็บนี้ได้อยากได้คำปรึกษา วิธีปฏิบัติธรรม ต่อความรัก นี้ด้วย

ช่วยด้วย คะ :'( :-[ :'( :-[
หน้า: 1 2 [3]