ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
หน้า: 1 [2] 3 4 ... 10
 11 
 เมื่อ: พฤษภาคม 24, 2024, 10:27:29 am 
เริ่มโดย raponsan - กระทู้ล่าสุด โดย raponsan
.



ในการถวายสังฆทานนั้น อะไรควรถวาย.? อะไรไม่ควรถวาย.?

การถวายสังฆทาน ไม่ใช่การถวายถังเหลือง และการทำบุญ ไม่ใช่การถวายสังฆทานเท่านั้น
 
การทำบุญทำได้หลายวิธี ทั้งการให้ทาน(ให้วัตถุ ให้คำสอน ให้คำแนะนำ ให้ธรรมะ ให้เวลากับพ่อแม่ ให้อภัย) การรักษาศีล (ไม่เบียดเบียนทำร้ายสัตว์,ไม่ลักขโมยฉ้อโกง,ไม่ประพฤติผิดในกาม,ไม่พูดโกหก เพ้อเจ้อ ส่อเสียด หยาบคาย,ไม่ดื่มสุรา ไม่ใช้ยาเสพติด) และการภาวนา(พัฒนาจิตใจและปัญญา ด้วยการศึกษา สนทนาธรรม รักษาใจให้ผ่องแผ้ว สดใส พิจารณาชีวิตตามความเป็นจริง)

@@@@@@@

แต่ถ้าพิจารณาแล้วเห็นว่า ต้องการทำบุญด้วยการถวายสังฆทาน ก็ควรให้อย่างสัตบุรุษ คือยึดหลักธรรมที่เรียกว่า สัปปุริสทาน ๘ ได้แก่

    (๑) ให้ของสะอาด : เลือกสิ่งที่บริสุทธิ์ ได้มาโดยสุจริต
    (๒) ให้ของประณีต : ให้ของที่ดี ตามกำลังศรัทธา อย่างรู้จักประมาณ
    (๓) ให้ถูกเวลา : เช่นถวายภัตตาหารพระก่อนเวลาเพลเท่านั้น ถ้าจะถวายหลังเวลาเที่ยงไปแล้วก็อาจจะถวายเครื่องไทยธรรม ดอกไม้ธูปเทียน น้ำปานะต่างๆ ที่ไม่ขัดต่อพระวินัย เป็นต้น
    (๔) ให้ของที่สมควรแก่ผู้รับจะนำไปใช้ได้ : เช่นถ้าจะถวายสังฆทาน ก็ควรถวายของที่สมควรแก่พระ ไม่ใช่สุรา ยาเสพติด เครื่องประดับตกแต่ง บางคนคิดว่าจะถวายสังฆทานอุทิศให้แก่ผู้ล่วงลับก็ต้องนำของที่ผู้ล่วงลับชอบใจหรือใช้อยู่เป็นประจำมาถวายพระ นี่เป็นความคิดที่ไม่ถูกต้อง เพราะของเหล่านั้นถวายแก่พระ ไม่ใช่การทำพิธีให้ของนั้นล่องลอยไปสู่ผู้ล่วงลับ บุญเกิดจากการให้ มิใช่อยู่ที่ตัวสิ่งของ

    (๕) ให้ด้วยวิจารณญาณ ให้เกิดผลเกิดประโยชน์มาก : ของที่จะให้เป็นทานจะมีราคาสูงหรือ ต่ำไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่ควรเป็นสิ่งที่ใช้ประโยชน์ได้จริง การจัดหาของน้อยชิ้นที่ใช้งานได้ อาจจะดีกว่าการจัดของสารพัดอย่างลงในถังให้ดูครบครันแต่นำมาใช้ หรือแม้แต่จะจัดเก็บก็ยากลำบาก
    (๖) ให้ประจำสม่ำเสมอ
    (๗) เมื่อให้ ทำจิตให้ผ่องใส
    (๘) ให้แล้ว เบิกบานใจ : ไม่คิดกังวลว่าผู้รับจะใช้หรือไม่ จะยินดีแค่ไหน เมื่อให้ไปแล้วก็ไม่ยึดถือเป็นของเรา ตัวเราต่อไปอีก


@@@@@@@

เมื่อทำได้ดังนี้ หรือฝึกฝนที่จะทำเช่นนี้ ก็ชื่อว่าได้ให้อย่างผู้มีปัญญา เป็นการให้ที่มีประโยชน์ มีอานิสงส์มาก มีอานิสงส์ใหญ่ น่าอนุโมทนาชื่นชมเป็นอย่างยิ่ง




ขอบคุณที่มา : https://www.watnyanaves.net/th/web_page/QandA_4





ถ้าจะถวายปัจจัยแก่พระ ควรทำอย่างไรจึงจะถูกต้อง.?

โดยพระวินัย พระไม่รับเงินทอง และโดยนโยบายของวัดก็ไม่มีการเรี่ยไร หรือตั้งตู้รับบริจาคใดๆ ทั้งสิ้น

สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์เคยกล่าวไว้ว่า เรื่องสร้างวัดเป็นเรื่องของโยม (คือไม่ใช่งานที่พระจะต้องไปหาเงินหาทองมาสร้าง มาซ่อม โยมทำให้อย่างไรก็อยู่ได้) ดังนั้นคณะกรรมการวัดที่เป็นญาติโยมจึงทำหน้าที่ในการดูแลวัด ซ่อมแซมอาคารสถานที่ต่างๆ ตามความเหมาะสม และจัดการงบประมาณส่วนหนึ่งมาใช้ในการจัดทำสื่อธรรมะต่างๆ เพื่อแจกแก่ญาติโยมที่มาวัด รวมทั้งดูแลค่าใช้จ่ายต่างๆ เช่น การจัดกิจกรรมวันสำคัญ การดูแลพระอาพาธ การถวายทุนการศึกษาเล่าเรียนแก่พระภิกษุสามเณร เป็นต้น

ดังนั้นถ้าท่านต้องการร่วมทำบุญเพื่อกิจเหล่านี้ ก็ให้เห็นเป็นเรื่องที่ญาติโยมมาจัดการกันเอง (อย่างเปิดเผย โปร่งใส) เพื่อเกื้อกูลแก่พระสงฆ์ในการทำกิจอันเป็นประโยชน์แก่พุทธศาสนิกชนโดยส่วนรวม โดยไม่จำเป็นต้องถวายแก่พระสงฆ์

หากมีเจตนาต้องการถวายปัจจัยเฉพาะเจาะจงแก่พระสงฆ์ เพื่อใช้เพื่อแลกเปลี่ยนเป็นสิ่งของที่ควรแก่สมณะ ก็มีพุทธบัญญัติให้มอบปัจจัยนั้นแก่ไวยยาวัจจกร แล้วแจ้งให้พระสงฆ์ทราบด้วยวาจา หรือเขียนเป็นตัวหนังสือลงในใบปวารณาก็ได้

และก็ควรเน้นย้ำว่า มีหนทางอีกมากที่ชาวพุทธจะทำบุญที่ยิ่งไปกว่าเพียงการถวายปัจจัยแก่พระสงฆ์หรือแก่วัด ซึ่งไม่ใช่ความจำเป็นหรือธรรมเนียมปฏิบัติที่ต้องกระทำแต่อย่างใด

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เจ้าหน้าที่ (คุณญานิศา) เพื่อทำความเข้าใจหลักการปฏิบัติเพื่อให้สอดคล้องกับธรรมวินัย  โดยติดต่อทางโทรศัพท์หมายเลข ๐๘๑-๖๙๔-๒๙๒๘ หรือเพิ่มเพื่อนใน Line ด้วย ID : @watonline



ขอบคุณที่มา : https://www.watnyanaves.net/th/web_page/QandA_5

 12 
 เมื่อ: พฤษภาคม 24, 2024, 10:20:28 am 
เริ่มโดย todaytimepost11 - กระทู้ล่าสุด โดย todaytimepost11
ขออนุญาต อัพเดทกระทู้

 13 
 เมื่อ: พฤษภาคม 24, 2024, 10:14:45 am 
เริ่มโดย raponsan - กระทู้ล่าสุด โดย raponsan
.



ว่าด้วย "สังฆทาน" โดย สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ.ปยุตฺโต)

ผู้มีจิตศรัทธาประสงค์จะมาถวายสังฆทานและภัตตาหารที่วัด สามารถถวายได้ทุกวันก่อนพระฉันเช้าและฉันเพล ณ ญาณเวศก์ธรรมศาลา โดยพระจะนำสมาทานศีล รับถวายทาน สัมโมทนียกถา (แสดงธรรม) และอนุโมทนากถา (ให้พร) ตามลำดับ
    - ช่วงเช้า เวลาประมาณ ๐๖.๔๕ น.
    - ช่วงเพล เวลาประมาณ ๑๐.๔๕ น.

หากประสงค์ถวายหลังช่วงฉันภัตตาหาร สามารถถวายได้ ดังนี้
    - ช่วงเช้า  ทุกวัน เวลาประมาณ ๐๙.๐๐ น. - ๑๐.๓๐ น.
    - ช่วงบ่าย  โดยปกติไม่มีพระมารับสังฆทานเพราะติดกิจทางการศึกษาและงานเผยแผ่

ในวันเสาร์อาทิตย์ หรือวันสำคัญ อาจมีพระมารับสังฆทาน โดยไม่สามารถยืนยันล่วงหน้า และไม่สามารถนิมนต์พระตามคำขอของญาติโยมที่มาได้

หากญาติโยมต้องการถวายสังฆทานในช่วงที่ไม่มีพระมารับ สามารถนำไปวางถวาย ณ ที่ที่จัดไว้ ด้านข้างพระประธานในอาคารญาณเวศก์ธรรมศาลา (ปิดเวลา ๑๕.๐๐ น.)

คลิกเพื่ออ่านบทความ "ทบทวนเรื่องสังฆทาน" โดย สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ.ปยุตฺโต)

หมายเหตุ

    1. สาธุชนถวายสังฆทานในเวลาและสถานที่ที่กำหนด
    2. แนะนำให้นำสังฆทานไปวางจุดที่กำหนดไว้เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย
    3. พระภิกษุ ๑ รูป เป็นตัวแทนสงฆ์ แสดงธรรม ให้ศีล ให้พร กล่าวคำถวายสังฆทานร่วมกัน
    4. หากประสงค์จะถวายพระหลายรูป โปรดนิมนต์ล่วงหน้า
    5. สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อคุณญาณิศา โทร ๐๘๑-๖๙๔-๒๙๒๘ (ยกเว้นวันพฤหัสบดี)

คำถามที่ถามกันบ่อยๆ เกี่ยวกับการถวายสังฆทาน

    • ในการถวายสังฆทานนั้น อะไรควรถวาย? อะไรไม่ควรถวาย?
    • ถ้าจะถวายปัจจัยแก่พระ ควรทำอย่างไรจึงจะถูกต้อง?


 

ขอบคุณที่มา : https://www.watnyanaves.net/th/web_page/offering

.



"ทบทวนเรื่องสังฆทาน" โดย สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป. อ. ปยุตฺโต)

 :25: :25: :25:

สทฺธา พนฺธติ ปาเถยฺยํ สิริ โภคานมาสโย : ศรัทธาเอาเสบียงมามัดรวมไว้ สิริดึงดูดโภคสมบัติให้เนืองนองหลั่งไหลมา

ขออนุโมทนาญาติโยม ที่มีจิตศรัทธา ได้มาวัด ทําบุญเจริญกุศลกันมากท่าน หลายกิจกรรม บุญพิธีที่สาธุชนมาทำบ่อยที่สุด ก็คือ สังฆทาน ซึ่งเวลานี้ได้กลายเป็นกระแสนิยม

@@@@@@@

ก. ทำทาน อย่าเสียบุญ

เมื่อสาธุชนมาทําสังฆทาน พระในวัดก็ต้องออกมารับ ญาติโยมมาคณะหนึ่ง หรือแม้เพียงคนหนึ่ง พระก็ต้องออกมารับ ครั้งหนึ่ง บางทีญาติโยมมากันวันหนึ่งอาจถึง ๑๐ ราย ถ้ามีพระมากพอ ก็ฉลองศรัทธาโยมไป แต่เวลานี้ญาติโยมมาถวายสังฆทานบ่อย ขณะที่จํานวนพระลดน้อยลง

อีกทั้งงานวัดและศาสนกิจด้านอื่นที่เพิ่มขึ้นๆ เกินกําลังของพระ จนถึงจุดที่ต้องบอกญาติโยม

พระสงฆ์ในวัดญาณเวศกวัน ขณะนี้มีทั้งหมด ๑๓ รูป เป็นพระเก่า ๑๐ พระใหม่ ๓
    - ในพระเก่า ๑๐ นั้น ชราอายุ ๙๔ ปี ๑ รูป, มีอวัยวะหลายชิ้นชำรุด ๑ รูป ยังหนุ่มแต่อาพทธรุนแรงแทบ เกินไม่ได้ ๑ รูป, น้ําหนัก ลดสิบกิโลอยู่ในโรงพยาบาล ๑ รูป เหลือค่อนข้างปาก ๖ รูป
    - ส่วนพระใหม่ คือ พระนวกะ ๓ รูปนั้น เข้ามาเพื่อบวชเรียน และมีเวลาจํากัด ยิ่ง (ส่วนมากบวชรูปละ ๑ เดือน) กำลังต้องการฝึกศึกษาปฏิบัติกิจวัตรเต็มเวลา

เป็นอันว่า มีพระเท่าที่จะมารับญาติโยม ๖ รูป แต่ที่หนักก็คือ ทุกรูปนี้ต้องแบกงานวัดที่เพิ่มขึ้น พร้อมกับออกปฏิบัติศาสนกิจนอกวัด เฉพาะอย่างยิ่งไปบรรยายและสอนศีลธรรม ใน ร.ร. ต่างๆ

การศึกษาและเผยแผ่ธรรมนี้ เป็นศาสนกิจหลักตามพระพุทธโอวาท หลักธรรมวินัยบอกว่า ญาติโยมศรัทธา ก็คือมาช่วยหนุนให้พระสงฆ์มีกําลังไปทําศาสนกิจหลักนี่แหละ

ฉะนั้น จะต้องช่วยกันไม่ให้การพบโยมรับสังฆทาน กลายเป็นเหตุบั่นทอนศาสนกิจ แต่ตรงข้ามจะต้องให้สังฆทานและไม่ว่าทานใดๆ เป็นเครื่องช่วยหนุนให้พระมีเรี่ยวแรง และเวลาที่จะศึกษาและเผยแผ่ธรรมได้มากยิ่งขึ้น ให้ตรงตามพระพุทธประสงค์ให้จงได้ จึงจะเป็นบุญแท้ที่เต็มสมบูรณ์

@@@@@@@

ข. พระได้งาน โยมยิ่งได้บุญ

ถ้ารู้วิธี ทานต้องหนุนศีลภาวนาของโยม และหนุนศาสนกิจของพระ แน่นอน จะทําอย่างไร ก็พลิกใจนิดเดียว พอไปถูกแง่ ก็จะดีทั้งแก่พระศาสนาและแก่โยมศรัทธานั้นเอง

สาธุชนจํานวนมากไปถวายสังฆทานเพื่อให้พ้นเคราะห์ เวลานั้นคือ ใจตกชีวิตอ่อนแอ ก็จะให้บุญช่วย เวลาทําบุญจึงตั้งวางใจ แต่ให้ได้ผลบุญมาช่วยให้หายเคราะห์ ให้เบา หรือโล่งไปที ศรัทธาแบบนี้มีกําลังน้อย แล้วคนที่ใจอ่อนแอก็ไม่มั่นคง หวั่นไหวง่าย เป็นช่องให้เคราะห์ใหม่เข้ามาอีก

จึงต้องตั้งวางจิตให้ถูก จะทําอย่างไร ก็คือ เวลาถวายสังฆทานหรือ ทําบุญอะไร ก็มีสติระลึกนึกเห็นว่า ที่เราถวายทานนี้ๆ คือ เราช่วยให้พระสงฆ์และพระพุทธศาสนา มีกําลังทำศาสนกิจ ตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ เพื่อให้ชีวิต ดีสังคมร่มเย็น ประเทศชาติประชาชนเจริญงอกงาม มีสันติสุข

พอนึกอย่างนี้ ในใจจะเกิดมีพลังขึ้นมาทันที ทําให้ชีวิตเข้มแข็ง นี่คือที่เรียกว่า "สิริ" หรือ "ศรี" ไม่ใช่ศักดิ์ศรีผิดๆ แบบที่จะเอามาข่มหรือแข่งกัน แต่คือ ศักดิ์ศรีแท้ ที่รู้ตัวขึ้นว่า เรานี้มีพลังมีอํานาจ สามารถเกื้อหนุนโอบอุ้มผู้อื่นได้ นี่ก็คือ มีอานาจศักดิ์สิทธิ์อยู่ในตัว ที่พร้อมจะก้าวหน้าไป ตอนนี้ความอ่อนแอ ท้อแท้ระโหยโรยแรงหมดไป มีแต่ความเข้มแข็งและพลังความมั่นใจ พร้อมที่จะทําการทั้งหลายให้สําเร็จ คนจะพ้นเคราะห์ร้าย และมีโชคดีจริง ต้องตั้งวางจิตถึงขั้นนี้

นี่แหละเข้าพุทธภาษิต ที่ตั้งไว้เป็นหัวข้อข้างบน สทฺธา พนฺธติ ปาเถยฺยํ สิริ โภคานมาสโย ซึ่งแปลว่า "ศรัทธาเอาเสบียงมามัดรวมไว้ สิริดึงดูดโภคสมบัติให้เนืองนองหลั่งไหลมา"

คนไม่มีสิริก็ไม่มีแรงดึงเอาโชคมา จึงต้องรอแรงข้างนอกบันดาล ให้ได้โชคมาที่หนึ่งๆ ทำแล้วทำเล่า ฉะนั้นเมื่อ ศรัทธาพาเราไปถวายสังฆทาน ขากลับต้องให้ได้สิริมาด้วย จะได้ไม่ต้องรอพึ่งแต่พิธี

    วิธีปฏิบัติ

    1. ถวายสังฆทานแท้ ที่ไม่ต้องมีพิธี
    2. ถ้ายังต้องการแบบพิธี นานปีทำสักครั้ง
    3. ขยันหาบุญอื่นที่เหนือกว่าทาน
       (ทั้งหมดนี้ เวลาทำตั้งจิตวางเจตนาให้ถูก)

                                                          พระพรหมคุณาภรณ์ | ๒๑ เมษายน ๒๕๕๐

 14 
 เมื่อ: พฤษภาคม 24, 2024, 07:39:55 am 
เริ่มโดย raponsan - กระทู้ล่าสุด โดย raponsan
.



เปิดผลสำรวจ สุสานโครงกระดูกมนุษย์ยุคหิน กรมศิลป์ ชี้ เป็นแหล่งโบราณคดียุคก่อน ปวศ.สำคัญของไทย

เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม นายพนมบุตร จันทรโชติ อธิบดีกรมศิลปากร เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากมีการสำรวจพบชิ้นส่วนโครงกระดูกมนุษย์ภายในถ้ำเขาค้อม หมู่ที่ 10 ตำบลควนกาหลง อำเภอควนกาหลง จังหวัดสตูล จึงมอบหมายให้สำนักศิลปากรที่ 11 สงขลา ลงพื้นที่ตรวจสอบ ซึ่งได้รับรายงานว่าเจ้าหน้าที่สำนักศิลปากรที่ 11 สงขลา ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบแล้ว เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2567 พบว่า

ถ้ำเขาค้อมตั้งอยู่ทางทิศใต้ของเขาหินปูนลูกโดด ซึ่งตั้งอยู่บริเวณริมอ่างเก็บน้ำด้านหลังของวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีสตูล จากการสำรวจทางโบราณคดี พบหลักฐานที่สำคัญ ได้แก่ ชิ้นส่วนโครงกระดูกมนุษย์  ชิ้นส่วนภาชนะดินเผา ชิ้นส่วนกระดูกสัตว์ เปลือกหอยน้ำจืดและเปลือกหอยทะเล เป็นต้น




ผลจากการศึกษาวิเคราะห์โบราณวัตถุในเบื้องต้นกำหนดให้เขาค้อมเป็นแหล่งโบราณคดียุคก่อนประวัติศาสตร์ สมัยหินใหม่ กำหนดอายุราว 3,000 – 6,000 ปีมาแล้ว อ้างอิงผลจากการขุดค้นทางโบราณคดีที่แหล่งโบราณคดีเพิงผาปาโต๊ะโร๊ะ อำเภอควนโดน จังหวัดสตูล เมื่อปี พ.ศ.2553 ซึ่งพบโครงกระดูกยุคก่อนประวัติศาสตร์ กำหนดอายุทางวิทยาศาสตร์ราว 3,000 ปีมาแล้ว

ผลจากการดำเนินงานทางด้านโบราณคดีที่ผ่านมาพบแหล่งโบราณคดียุคก่อนประวัติศาสตร์เป็นจำนวนมาก แสดงให้เห็นพื้นที่จังหวัดสตูลเป็นที่อยู่อาศัยของชุมชนยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่สำคัญของประเทศไทย โดยสำรวจพบแหล่งโบราณคดีอย่างน้อย 46 แหล่ง ปัจจุบันอยู่ระหว่างการจัดทำข้อมูลเพื่อประกาศรายชื่อให้ครอบคลุมทั้งหมด

อธิบดีกรมศิลปากร กล่าวอีกว่า กรมศิลปากรขอขอบคุณหน่วยงานต่าง ๆ ที่ร่วมกันปกป้องคุ้มครองและพัฒนาแหล่งการเรียนรู้และท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม การค้นพบครั้งนี้ถือเป็นการค้นพบที่สำคัญซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาค้นคว้าทางโบราณคดีของกรมศิลปากรและการพัฒนางานวิชาการต่อไปในอนาคต




















ขอบคุณ : https://www.matichon.co.th/region/news_4590225
วันที่ 23 พฤษภาคม 2567 - 13:35 น.   

 15 
 เมื่อ: พฤษภาคม 24, 2024, 07:10:59 am 
เริ่มโดย raponsan - กระทู้ล่าสุด โดย raponsan
.



‘ล้มทฤษฎี’ กินไข่ไก่ ‘คอเลสเตอรอลสูง’ | จักรกฤษณ์ สิริริน

กระทรวงเกษตรแห่งสหรัฐอเมริกา (United States Department of Agriculture : USDA) ได้ประกาศ “ถอดคอเลสเตอรอล” ออกจากสารอาหารที่ชาวอเมริกันต้องควบคุม หลังจากค้นพบว่า “คอเลสเตอรอล” จาก “ไข่ไก่” ไม่ว่าจะเป็น HDL LDL รวมถึงไตรกรีเซอไรด์ ที่ได้รับจาก “ไข่ไก่” ไม่สัมพันธ์กับปริมาณคอเลสเตอรอลในเลือด

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “กระทรวงเกษตรแห่งสหรัฐอเมริกา” หรือ USDA ได้เปิดผลวิจัยที่น่าสนใจ ซึ่งเกี่ยวข้องกับ “ไข่ไก่” เป็นผลจากการทดลองกับกลุ่มตัวอย่างจำนวน 3 กลุ่ม คือ ระหว่างกลุ่มคนที่ไม่รับประทานไข่ กลุ่มที่รับประทานไข่ต้ม และกลุ่มที่รับประทานไข่ดาว คนละ 1 ฟองต่อวัน โดยให้กลุ่มตัวอย่างทั้งหมด รับประทาน “เมนูไข่” ดังกล่าว ติดต่อกันประมาณ 2 เดือน

ผลการทดลองพบว่า กลุ่มตัวอย่างทั้ง 3 มีระดับ “คอเลสเตอรอล” ไม่ว่าจะเป็น HDL LDL รวมถึงไตรกรีเซอไรด์ “ไม่แตกต่างกัน” การทดลองนี้จึงพิสูจน์ให้เห็นว่า การรับประทาน “ไข่ไก่” ไม่มีความสัมพันธ์กับ “ระดับคอเลสเตอรอลในเลือด” แต่อย่างใด

ข้อมูลจากงานวิจัยดังกล่าว ได้เปรียบเทียบพลังงานที่ได้จาก “ไข่ไก่” แต่ละประเภท ที่พบว่า “ไข่ต้ม” 1 ฟอง ให้พลังงาน 75 กิโลแคลอรี “ไข่ดาว” 1 ฟอง ให้พลังงาน 150 กิโลแคลอรี และ “ไข่เจียว” 1 ฟอง ให้พลังงาน 250 กิโลแคลอรี

ดังนั้น ไข่ต้มจึงเป็น “เมนูไข่” ที่ให้พลังงานต่ำที่สุด ขณะเดียวกัน “ไข่ต้ม” มีสัดส่วนระหว่าง Omega-6 ต่อ Omega-3 ต่ำที่สุด ซึ่งถือว่าดีต่อสุขภาพ

สรุปผลการวิจัยของ USDA ที่พบว่า “ไข่ไก่” เป็นแหล่งของ Omega-3 ซึ่งมีคุณค่าเทียบเท่าหรือมากกว่าไขมันในปลาแซลมอน และปลาทะเล อุดมด้วยกรดไขมัน DHA (Docosahexaenoic Acid) และ EPA (Eicosapentaenoic Acid) โดยทั้ง DHA และ EPA มีความจำเป็นต่อการทำงานของสมอง สายตา หัวใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ระบบหลอดเลือด

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ไข่ไก่” ช่วยในด้านการทำงานของสมอง ผู้ที่บริโภค “ไข่ไก่” เป็นประจำ สมองจะตอบสนองต่อเรื่องต่างๆ ได้รวดเร็วขึ้นมากกว่า 25% เมื่อเทียบกับคนที่ไม่ได้บริโภค “ไข่ไก่”

นอกจากนี้ “ไข่ไก่” ยังช่วยป้องกัน “โรคสมาธิสั้น” ในเด็ก และยังช่วยลดความเสี่ยงการเป็น “โรคสมองเสื่อม” หรือ “อัลไซเมอร์” ในผู้สูงวัย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การกิน “ไข่ไก่” เป็นประจำ ยังมีส่วนช่วยป้องกัน “โรคหัวใจ” ได้อีกด้วย


@@@@@@@

สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมด ตรงกันข้ามกับคำสอน หรือสิ่งที่บอกเล่าต่อๆ กันมาเป็นเวลายาวนานว่า “ไม่ควรบริโภคไข่ไก่มาก” เพราะจะทำให้ “คอเลสเตอรอลสูง” ผลการวิจัยของ “กระทรวงเกษตรแห่งสหรัฐอเมริกา” ข้างต้น จึงเสมือนการ “ล้มทฤษฎี” กินไข่แล้ว “คอเลสเตอรอลสูง” ซึ่งเป็นความเชื่อผิดๆ ที่ส่งทอดกันมาหลายสิบปี ล้มความมั่นใจของผู้ที่เข้าใจคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับ “คอเลสเตอรอล” ใน “ไข่ไก่” ลงไปอย่างสิ้นเชิง

ทฤษฎีกินไข่แล้วคอเลสเตอรอลสูง เป็นความเชื่อที่ผิดมานาน เพราะคอเลสเตอรอลแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ
    1. คอเลสเตอรอล 75% ของร่างกาย ถูกสร้างขึ้นที่ตับ จากพลังงานส่วนเกินของร่างกาย
    2. คอเลสเตอรอล 25% ที่เหลือ ได้รับจากกินอาหารโดยตรง

ดังนั้น การลด ละ เลิก การกิน “ไข่ไก่” ไม่ได้ทำให้ “ระดับคอเลสเตอรอล” ต่ำลงแต่อย่างใด ไม่เช่นนั้น “กระทรวงเกษตรแห่งสหรัฐอเมริกา” คงไม่เฉลยบทพิสูจน์ให้เห็นกันว่า “ไข่ไก่” มีคุณค่าทางอาหารเต็มใบแค่ไหน เพราะ “ไข่ไก่” เป็น “แหล่งโปรตีนคุณภาพดี” ย่อยง่าย เด็กกินได้-ผู้ใหญ่กินดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้สูงวัยที่รับประทาน “ไข่ไก่” จะช่วยให้กล้ามเนื้อแข็งแรง และช่วยให้ได้รับวิตามิน+เกลือแร่ที่ร่างกายต้องการ

    - “ไข่ไก่” มี “ลูทีน” ที่ช่วยบำรุงสุขภาพดวงตา และสมอง ที่พบว่า มีความสัมพันธ์กัน คือดวงตาดี สมองจะดี ทำให้เรียนดี
    - “ไข่ไก่” เป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง อุดมด้วยสารอาหารที่ร่างกายต้องการอย่างครบถ้วน ไข่ไก่ 1 ฟองมีโปรตีน 7 กรัม ให้พลังงาน 75 กิโลแคลอรี
    - “ไข่ขาว” ประกอบด้วย Ovalbumin, Ovoglobulin และ Phosphoprotein ซึ่งสารทั้ง 3 ชนิดนี้เป็นองค์ประกอบของโปรตีนซึ่งอุดมไปด้วย “กรดอะมิโน 8 ชนิด” ที่จำเป็นต่อร่างกาย
    - “ไข่แดง” ประกอบไปด้วยโปรตีน ไขมัน วิตามิน และแร่ธาตุที่สำคัญ โดยไขมันที่มีอยู่มากใน “ไข่แดง” เป็นไขมันประเภทอิ่มตัว
    - “ไข่ไก่” 1 ฟอง มีวิตามิน-แร่ธาตุหลากหลาย อาทิ วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 5 วิตามินบี 6 วิตามินบี 12 วิตามินดี ไอโอดีน อิโนซิทอล แคลเซียม ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม เป็นต้น รวมถึง “โฟเลต” ที่ช่วยลดการเกิดโรคหลอดเลือด




โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “โคลีน” ใน “ไข่ไก่” นั้น เป็นส่วนประกอบสำคัญในสารที่เรียกว่า “เลซิติน” ที่มีสรรพคุณช่วยบำรุงสมอง และป้องกันภาวะความผิดปกติของระบบประสาท “โคลีน” มีผลโดยตรงต่อการเพิ่มประสิทธิภาพความจำ ความสามารถในการเรียนรู้ ช่วยชะลอการสูญเสียความทรงจำในผู้สูงอายุ หรือโรคสมองเสื่อม และอัลไซเมอร์ “โคลีน” ยังช่วยป้องกันไขมันอุดตันในเส้นเลือด และโรคหลอดเลือดหัวใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ช่วยชะลอความแก่

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ไข่ไก่” มี “ซิลิเนียม” สารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) ช่วยชะลอวัย และป้องกันอัลไซเมอร์ ใน “ไข่ไก่” 1 ฟอง มี “ซิลิเนียม” มากถึง 1 ใน 4 ของปริมาณที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันเลยทีเดียว

“โฟลิก” ใน “ไข่ไก่” ถูกใจเด็กทารกที่ยังไม่มีฟัน และผู้สูงอายุที่มีปัญหาเรื่องฟันเคี้ยวอาหารประเภทเนื้อสัตว์
“โฟลิก” เป็นสารป้องกันโลหิตจาง และเป็นสารที่จำเป็นสำหรับหญิงตั้งครรภ์ เพื่อการตั้งครรภ์ที่มีคุณภาพ

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ไข่ไก่” มีวิตามินบี 6 และบี 5 ช่วยคลายเครียด ควบคุมพลังงาน และรักษาระดับฮอร์โมนทางเพศ ช่วยให้พลังขับเคลื่อนทางเพศทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ กิน “ไข่ไก่” ทุกวัน วันละ 1 ฟอง เสริมพลังทางเพศ ชาร์จแบตเต็มทั้งแท่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ช่วยให้ไวต่อความรู้สึกทางเพศ

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เพศชายที่ต้องการเพิ่มพลังทางเพศ มักจะนิยมสั่งไข่ลวกกินทุกวัน วันละ 1 ฟอง เหมือนได้ยาโด๊ปราคาถูก หาซื้อง่าย และที่สำคัญก็คือ กิน “ไข่ไก่” ไม่ต้องกลัว “คอเลสเตอรอลสูง” ไม่มีอันตรายต่อหัวใจ และมีประโยชน์ในด้านการเสริมสมรรถภาพทางเพศอีกด้วย

นอกจากนี้ การรับประทาน “ไข่ไก่” เป็นประจำ ยังช่วยให้สเปิร์มแข็งแรงขึ้น เพราะไข่อุดมไปด้วยโปรตีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิตามินอี ที่ช่วยบำรุงรักษาเนื้อเยื่อลูกอัณฑะไม่ให้เสื่อมเร็ว รวมทั้งยังเพิ่มปริมาณอสุจิ และช่วยเสริมศักยภาพของภาวะเจริญพันธุ์อีกด้วย


@@@@@@@

งานวิจัยอีกชิ้นหนึ่งพบว่า “ไข่ไก่” จะช่วยส่งเสริมการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 HDL-Cholesterol, Insulin Sensitivity ไขมัน และกลูโคส เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น

กิน “ไข่ไก่” ช่วยให้อิ่มเร็ว หิวช้า ลดความอยากอาหาร ช่วยเรื่องการควบคุมน้ำหนัก

สมาคมโรคหัวใจแห่งสหรัฐอเมริกา (American Heart Association) เป็นอีกหน่วยงานหนึ่งซึ่งเปลี่ยนให้คำแนะนำในการกิน “ไข่ไก่” จากเดิมที่ห้ามไม่ให้บริโภค “ไข่ไก่” เกิน 3 ฟองต่อสัปดาห์ มาเป็นให้บริโภค “ไข่ไก่” วันละ 1 ฟอง

อย่างไรก็ดี ผู้ที่มีไขมันในเลือดสูง หรือผู้ที่จำเป็นต้องควบคุมไขมันในเลือด ยังไม่ควรรับประทานไข่มากกว่า 3 ฟองต่อสัปดาห์ ดังนั้น การเลือกรับประทาน “ไข่ไก่” แบบใหม่ จะทำให้ลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจขาดเลือด และทำให้สุขภาพดีครับ







ขอขอบคุณ :-
ที่มา : มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 3 - 9 กุมภาพันธ์ 2566
ผู้เขียน : ดร.จักรกฤษณ์ สิริริน
เผยแพร่ : วันอาทิตย์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2566
URL : https://www.matichonweekly.com/healthy/article_644584

 16 
 เมื่อ: พฤษภาคม 23, 2024, 08:56:42 pm 
เริ่มโดย todaytimepost11 - กระทู้ล่าสุด โดย todaytimepost11
ขออนุญาต อัพเดทกระทู้

 17 
 เมื่อ: พฤษภาคม 23, 2024, 04:39:31 pm 
เริ่มโดย todaytimepost11 - กระทู้ล่าสุด โดย todaytimepost11
ขออนุญาต อัพเดทกระทู้

 18 
 เมื่อ: พฤษภาคม 23, 2024, 01:12:10 pm 
เริ่มโดย todaytimepost11 - กระทู้ล่าสุด โดย todaytimepost11
ขออนุญาต อัพเดทกระทู้

 19 
 เมื่อ: พฤษภาคม 23, 2024, 12:50:51 pm 
เริ่มโดย aventure1 - กระทู้ล่าสุด โดย aventure1
ดันกระทู้

 20 
 เมื่อ: พฤษภาคม 23, 2024, 09:31:01 am 
เริ่มโดย raponsan - กระทู้ล่าสุด โดย raponsan
.



หิริโอตัปปะและศีล ๕ : หลักธรรมป้องกันการทุจริต
โดย พระพรหมบัณฑิต ศ.ดร. อธิการบดีมหาจุฬาฯ เทศน์ "สุจริตกถา"


กล่าวว่า มหาจุฬาฯ ร่วมกับสำนักงานการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ การจัดงานครั้งนี้เพื่อเป็นโอกาสสำคัญในการแสดงถึงความกตัญญูต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ทั้งสองพระองค์ทรงครองแผ่นดินโดยธรรม โดยมีพระปฐมบรมราชองค์การว่า

"เราจะครองแผ่นโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม" คำว่า "โดยธรรม" หมายถึง "สุจริตธรรม" พระพุทธเจ้าแสดงธรรมเรื่องสุจริตธรรมครั้งแรกให้พระเจ้าสุทโทธนะ มีหน้าที่ด้วยความสุจริต มี ๓ ประการ

    ๑. "ไม่บกพร่องต่อหน้าที่" ทำหน้าที่ตนเองให้ที่สุด ร้องให้สุดคำ รำให้สุดแขน ทำให้ดีที่สุด ทำอะไรอย่าให้บกพร่อง
    ๒. "ไม่ละเว้นต่อหน้าที่" ผู้เป็นบิดามารดาไม่ละทิ้งหน้าที่ในการสั่งสอนบุตรของตน เพราะถ้าบุตรเป็นโจร บิดามารดาย่อมมีส่วนโจรด้วยเพราะไม่สั่งสอนบุตร
    ๓. "ไม่ทุจริตต่อหน้าที่" ไม่ใช้หน้าที่ของตนในการทำการทุจริต รวมถึงทรัพย์สินเงินทอง ใช้อำนาจหน้าที่ในทางมิชอบ

พระพุทธเจ้าตรัสว่า "บุคคลไม่ควรประพฤติหน้าที่ให้ทุจริต" อาณาจักรหรือประเทศจะล้มสลายถ้ามีการทุจริต กล่าวว่า "สนิมเกิดแต่เหล็ก จะกัดกินเหล็ก" ซึ่งสภาพในสังคมไทยปัจจุบันมีการทุจริตจำนวนมากเป็นสนิทร้ายต่อประเทศ ลักษณะมือใครยาว สาวได้สาวเอา มีการแย่งอาหารกันกิน แย่งถิ่นกันอยู่ แย่งคู่กันพิศวาส แย่งอำนาจกันเป็นใหญ่

นำไปสู่การขาดความสามัคคีในประเทศชาติ เป็นการละเมิดศีล ๕ ในข้อที่ ๒ คือ ถือเอาสิ่งของจากเจ้าของท่านไม่ได้ให้ ควรงดเว้นด้วยวิรัติ ถือว่าเป็นการงดเว้น ต้องมีหิริ ความละอายแก่ใจ การส่งเสริมในเรื่องศีล ๕ ของมหาเถรสมาคม จึงเป็นการต่อต้านการทุจริตนั่นเอง

@@@@@@@

สมัยอดีตก็มีการทุจริต ทนันชาณิพราหมณ์มีการปล้นพระราชา ฉ้อราษฏร์บังหลวง อ้างพระราชาปล้นประชาชน อ้างว่าจะไปช่วยเหลือประชาชน แต่กลับเอาไปใช้ส่วนตัว อ้างว่าเอาเงินไปเลี้ยงบิดามารดา บุตร และ ณ สวนสัตว์แห่งหนึ่งมีการทุจริตต่อหน้าที่ ในการเลี้ยงเสือ ประชาชนมาดูเสือทำไมเสือไม่อ้วน เสือผอม ทำไมเสือผอมเป็นการตั้งคำถามของประชาชน เพราะอาหารเสือโดนเบียดบัง ผู้อำนวยการสวนสัตว์ส่งผู้ตรวจการ ๓ คน มาตรวจทุจริตทั้ง ๓ คน จึงมีโครงโลกนิติว่าด้วยว่า "เบิกทรัพย์วันละบาทซื้อมังสา" กล่าวว่า

    เบิกทรัพย์วันละบาทซื้อ มังสา
    นายหนึ่งเลี้ยงพยัคฆา ไป่อ้วน
    สองสามสี่นายมา กำกับ กันแฮ
    บังทรัพย์สี่ส่วนถ้วน บาทสิ้นเสือตาย

เสือ หมายถึง ประเทศชาติ รวมถึงประชาชนในชาติ ผู้นำรัฐ ข้าราชการ ต้องประพฤติสุจริตธรรม ประเทศถึงจะอยู่รอด การทุจริตทำมากมาย ไม่ว่าจะเป็นซื้อสิทธิ์ขายเสียง ก็ถือว่าเป็นการทุจริต สหประชาชาติจึงประกาศให้วันที่ ๙ ธันวาคมของทุกปี เป็นวันต่อต้านการทุจริตของโลก ประชาชนต้องไม่สนับสนุนการทุจริต

ธรรมะที่คุ้มครองโลก คือ "หิริและโอตัปปะ" เป็นธรรมะที่ให้มนุษย์ประเสริฐกว่าสัตว์ เป็นธรรมะฝ่ายขาวคุ้มครองโลก
    หิริ หมายถึง ความละอายต่อบาป ต่อความชั่วทั้งหลาย ไม่นำร่างกายไปเปื้อนกับความสกปรก
    คำว่า โอตตัปปะ หมายถึง ความเกรงกลัวต่อบาป เปรียบเหมือน ถ่านไฟ อย่าได้ไปเข้าใกล้มันร้อน
    เมื่อหิริโอตตัปปะมีอยู่โลกจะสามารถอยู่รอดและปลอดภัย

การงดเว้นการทุจริตก็ต่อเมื่อมีธรรมะ คือ "หิริและโอตตัปปะ" เป็นหลักธรรมป้องกันการทุจริต เพราะเมื่อละอายแก่ใจ ดังคำกล่าวว่า" อดอยากเยี่ยงอย่างเสือ" เหมือนนางขุตชุตรา เป็นนางสาวใช้ของพระนางสามวดี เบิกเงินไปซื้อดอกไม้ แต่ซื้อเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น เธอได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า ทำให้กลับตัวกลับใจ มีความหิริภายในใจ เธอพยามสร้างอริยทรัพย์ เป็นทรัพย์ภายใน "ความรู้จักพอเป็นยอดแห่งทรัพย์"


@@@@@@@

เศรษฐกิจพอเพียงขององค์ในหลวง ถือว่าเป็นการป้องกันการทุจริต คือ ให้เรารู้จักพอ เพียงพอ ประมาณตนเอง ในการบริหารชีวิต เพราะถ้าไม่พอก็เกิดความโลภ โอตัปปะเป็นความกลัว กลัวต่อการกฎหมายลงโทษอย่างมีประสิทธิภาพ กลัวต่อการตกนรก คนสมัยโบราณกลัวการทุจริต กลัวต่อผลบาปการทุจริต จึงยึด "ทำได้ดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว"

เราปฏิบัติสุจริตย่อมมีชีวิตที่มีความสุขในโลกนี้และโลกหน้า มีพราหมณ์คนหนึ่งสมัยพระเจ้าโกศล เขาทดลองว่า ถ้าประพฤติทุจริตจะเป็นอย่างไร.? ด้วยการหยิบเหรียญวันละ ๑ เหรียญ ทำเรื่อยๆ และหยิบเป็นกำมือ จนคนตะโกนว่าจับโจร พระราชาถามว่าทำไมถึงทำแบบนี้ พราหมณ์ตอบว่า เป็นการทดลองการประพฤติผิดว่าจะเป็นอย่างไร พราหมณ์จึงออกบวชในศาสนาของพระพุทธเจ้า

องค์ในหลวงของเรารักเป็นแบบอย่างที่ดีในการประพฤติสุจริตธรรม จะทำให้ประเทศของเรามีความ "มั่นคง มั่งคั่ง และสันติสุข" สืบไป





Thank to :-
image : https://www.pinterest.ca/
URL : https://www.mcu.ac.th/news/detail/12803
๑๐/๐๘/๒๐๑๖

หน้า: 1 [2] 3 4 ... 10