ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
  • สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน
แสดงกระทู้
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
    Messages   Topics Attachments  

  Messages - นาตยา
หน้า: 1 [2] 3 4
41  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: ความผัน กับ ความจริง ทำไมจึงสอดคล้องกัน... เมื่อ: กุมภาพันธ์ 15, 2011, 09:43:00 am
จิตคิดถึงสิ่งใดบ่อย ๆ เราก็มักจะฝันถึงเรื่องนั้น ขึ้นมา

 :25:
42  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: สวดมนต์ กับ นั่งสมาธิ เป็นการปฏิบัติสมาธิเหมือนกันหรือไม่คะ เมื่อ: กุมภาพันธ์ 15, 2011, 09:42:06 am
น่าจะเหมือนกันนะคะ สวดมนต์ จะเพลินได้ดีกว่า นั่งสมาธิ คะ

 :13:
43  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: นักปฏิบัติธรรม ทุกท่าน มีความเห็นอย่างไรที่ เรา ยังชอบดูการ์ตูน เมื่อ: กุมภาพันธ์ 15, 2011, 09:15:02 am
เราก็ชอบ ดูการ์ตูนนะ พวกโคนัน นี้ ช๊อบ ชอบ ดูแล้ว ก็ได้ความรู้เหมือนกัน

อยู่ที่เราดูเพื่ออะไร แล้ว เราคลั่งไคล้ เกินไปหรือไม่

แต่การภาวนาได้บ้าง ก็ถือว่า ดีคะ เพราะค่อย  ๆ สั่งสม อุปนิสัยธรรม ไปเรื่อย ๆ สักวัน

ก็คงจะเลิกดูคะ

 :25:
44  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: เมื่อลูกศิษย์ ถามผมว่า "ปล่อยปลาลงแม่น้ำได้บุญ หรือบาปครับ" เมื่อ: กุมภาพันธ์ 14, 2011, 09:25:22 am
ปล่อยปลา ก็ได้บุญ อยู่แล้ว สิคะ

แต่ปล่อยไปแล้ว ปลา ไปทำร้ายใครต่อใคร นั่นเป็นเรื่องของปลา กระมังคะ

 ทางกลับกัน ปล่อยเสือ เข้าป่า ก็น่าจะคล้ายกัน นะคะ


 :s_laugh:
45  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / Re: ยามใดที่เรารู้สึก ท้อแท้ ต่อชีวิต ควรใช้หลักธรรมพยุงใจคร้า.. เมื่อ: กุมภาพันธ์ 11, 2011, 08:36:11 am
มอบเพลงนี้ให้ฟ้ง แบบชาวโลกคะ

46  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / Re: เข้าใจการปฏิบัติใช้สมาธินำ หรือ ปัญญานำ แบบส่วนตัว เมื่อ: กุมภาพันธ์ 11, 2011, 08:26:43 am
พุทธศาสนสุภาษิตกล่าวว่า การฝึกจิตการข่มจิตเป็นความดี เพราะว่าถ้าทำได้สำเร็จก็จะมีความสุข เพราะจิตที่ฝึกดีแล้วนั่นแหละจสามารถนำสุขมาให้ได้จริง ฝึกจิตข่มจิตได้เพียงใด ก็จะมีความสุขเพียงนั้น

ความจริงมีอยู่ว่า ความสุขของทุกคนไม่ได้เกิดแต่อื่น แต่เกิดแต่จิตของตนเท่านั้น ที่เข้าใจว่าความสุขอยู่ที่นั่นอยู่ที่นี่ ความสุขอยู่ที่คนนั้นอยู่ที่คนนี้ หรือความสุขอยู่ที่สิ่งนั้นสิ่งนี้ นั่นเป็นความเข้าใจผิด

ที่จริงความสุขเกิดแต่จิต ความสุขอยู่ที่จิต ถ้าจิตไม่เป็นสุขแล้ว ผู้ใดอื่น อะไรอื่น ก็หาอาจทำให้เกิดความสุขได้ไม่ เงินทองแม้มากมายมหาศาล ยศฐาบัดาศักดิ์แม้ยิ่งใหญ่ บ้านเรือนตึกรามแม้มโหฬาร วงศ์สกุลแม้สูงส่ง ก็ไม่อาจทำให้เป็นสุขได้ ถ้าใจไม่เป็นสุข ถ้าจิตเป็นทุกข์ คือเร้าร้อนอยู่ด้วยกิเลส มีโลภ โกรธ หลง เป็นสำคัญ

อารมณ์ที่น่าใคร่ทั้งหลายที่มักจะมีอำนาจเหนือจิตใจที่เบา ที่อ่อน นั่นแหละเป็นเหตุสำคัญแห่งความทุกข์ความร้อนของจิต เมื่อเห็นความจริงนี้แล้ว ก็ย่อมจักยินดีอบรมจิตของตนให้พ้นจากอำนาจของกิเลส ให้เป็นจิตที่อ่อนต่ออำนาจของความดีงาม แต่ให้หนักให้แข็งต่ออำนาจของความไม่ดีไม่งามทั้งหลาย

เมื่อใดสามารถ อบรมจิตได้ ข่มจิตได้ แม้เพียงพอสมควร จึงจิตให้พ้นจากความอ่อนต่อความชั่วร้าย คือสิ่งที่น่าใคร่น่าปรารถนาพอใจทั้งหลาย แม้เพียงพอสมควร ก็จะได้รู้รสความสุขที่แตกต่างจากความสุขที่เป็นความร้อนเช่นที่พากันเสวย อยู่ พากันคิดอยู่ว่า เป็นความสุขที่พอใจแล้ว


สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=9951

47  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: เขมรโจมตีไทย....ภาวะสนามรบชายแดนเดือด เมื่อ: กุมภาพันธ์ 07, 2011, 08:28:41 am


น่าเห็นใจคนไทยที่ต้องมาตกอยู่ภายใต้กดดัน อย่างนี้ทุกวันหากินก็จะไม่พอกินกัีนอยู่แล้วชีวิต
ชาวบ้านชายแดน ยิ่งมาเกิดสงคราม ก็ต้องลำบากลำบนมากกว่าเดิม เห็นบ้านโรงเรียนที่ถล่มจนพังทลายไปทั้งหมู่บ้านแล้ว อดน้ำตาตกไม่ได้

จะเห็นได้ว่ายุคนี้ ทั่วโลก จะเกิดภาวะการไล่ผู้นำประเทศ กันแทบทั้งนั้น

และจะสังเกตุได้ว่า ถ้ารบกันในปัจจุบันนี้ ใช้อุปกรณ์สงครามอาวุธหนักเลย

คิดว่าในยุคภายหน้า... น่าจะหนักกว่านี้ ถ้าประเทศไหนมี นิวเคลียส์ ละก็ได้เปรียบแน่ ๆ

คิดแล้วไม่อยากเกิดอีกเลยในอนาคต ขอเป็นชาติสุดท้ายเลยดีกว่า คะ

 :bedtime2:
48  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: เขมรโจมตีไทย....ภาวะสนามรบชายแดนเดือด เมื่อ: กุมภาพันธ์ 07, 2011, 08:13:25 am
รู้สึกว่าสถานการณ์ชาติต่าง ๆ เข้าสู่ยุคประท้วง ปฏิวัติ สงครามกันหลายประเทศ

อาจจะเป็นเพราะว่า พวกกระหายสงครามเริ่มกลับมาเกิดแล้ว

 :33:
49  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / อ่านสักนิด " โรคกรรม " เมื่อ: กุมภาพันธ์ 06, 2011, 08:01:11 am
อ่านสักนิด " โรคกรรม "
ไปเยี่ยมเยียน หมอน้องชายเล่าเรื่องแปลกของคนไข้รายหนึ่งให้ฟัง 

ซึ่งน่าจะเป็นอุทาหรณ์ให้ผู้คนละบาปได้ดีจึงขอเล่าสู่กันฟังต่อ  …….

การสนทนาตอนหนึ่งหมอน้องชายเล่าให้ฟังว่า 

ตั้งแต่เป็นหมอมาไม่เคยเห็นผู้ป่วยรายใดต้องผ่าตัดทุลักทุเลซ้ำซากอย่างนี้เลย 

สามปีต้องผ่าตัดห้าครั้งและหนักหนายิ่งขึ้นทุกครั้ง 

ผู้ป่วยรายนี้ชื่อบุญมาครั้งแรกที่เข้าโรงพยาบาลก็เพื่อมาทำแผลที่นิ้วก้อยที่ถูกตะพาบน้ำกัด 

หมอให้ทายากินยาแก้ปวดแก้อักเสบแล้วกลับบ้านดูแล้วไม่น่าจะมีปัญหาอีก 

ครึ่งเดือนต่อมาบุญมากลับมาใหม่แผลเก่าอักเสบรุนแรงบวมใหญ่ 

หมอตรวจพบว่าเชื้อโรคกินเข้ากระดูก จะต้องตัดนิ้วเพื่อไม่ให้เน่าลุกลาม 

ซึ่งนิ้วเท้านั้นอาจทำให้ถึงแก่ชีวิตได้ 

หลังจากนั้นครึ่งปีบุญมาไปเที่ยวชายทะเลเขาถูกตะพาบน้ำกัดที่นิ้วเท้าอีก 

อะไรจะเจาะจงได้ถึงอย่างนั้นนิ้วเท้าของบุญมาที่ถูกตะพาบน้ำกัดครั้งที่สองอักเสบบวมใหญ่ 

ภายในเวลาสองวัน เมื่อมาฉายเอกซเรย์ที่โรงพยาบาลก็ได้พบอีกว่า 

เชื้อโรคกินเข้าไปถึงกระดูกหมดจึงต้องตัดนิ้วเท้าของเขาไปอีกหนึ่งนิ้ว 

เวลาผ่านไปไม่ถึงหนึ่งปีบุญมากลับมาที่โรงพยาบาลอีก 

ครั้งนี้แผลเก่าทั้งสองแห่งเกิดอักเสบบวมใหญ่ขึ้นพร้อมกัน 

พอเอกซเรย์ก็พบว่าแย่แล้ว  !  เชื้อโรคแพร่เข้าไปกินกระดูกอย่างรุนแรง 

เชื้อโรคนั้นกำลังกลายเป็นมะเร็ง จะต้องผ่าตัดฝ่ามือฝ่าเท้าออกให้หมดก่อนที่จะลุกลามขึ้นไปอีก 

บุญมาต้องนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลถึงยี่สิบกว่าวันด้วยสภาพของผู้ป่วยด้วน 

วันหนึ่งลูกชายของญาติอุปสมบทบุญมาไปช่วยงาน คืนนั้นผู้ร่วมงานบวชนอนค้างที่วัดกันสี่ห้าสิบคน 

เคราะห์หามยามร้ายของบุญมายังไม่จบสิ้นหนูตัวหนึ่งเจาะจงมา กัดตรงขาด้วนของบุญมาคนเดียว กัดแล้วก็หนีไป 

บุญมาสะดุ้งตื่นด้วยความเจ็บปวดคนที่นอนอยู่ด้วยกันตกใจกับเสียงร้องพากันตื่นหมด 

แผลที่หนูกัดไม่กว้างไม่ลึกนักมีเลือดซึมออกมาแต่ทุกคนพากันตกใจที่อยู่ดีๆ 

ทำไมจึงมีหนูมากัดคนนอนหลับเพราะหนูจะกัดกินก็เฉพาะศพเท่านั้น 

ไม่กัดกินคนเป็นๆบุญมาขวัญเสียถูกเคราะห์กรรมซ้ำเติมจนคิดว่าตนคงจะต้องตายในไม่ช้า 

มันทารุณจิตใจมากไม่นานต่อมาเกิดอาการเจ็บคันบริเวณแผลเก่าที่มือที่เท้าอีก

บุญมารีบมาหาหมอที่โรงพยาบาลโดยเร็ว 

ผลการฉายเอกซเรย์ปรากฏว่าเชื้อมะเร็งกินลึกเข้าไปมาก หมอจำเป็นต้องจัดการตัดแขนขาทั้งท่อนของบุญมาทิ้งไป 


หมอน้องชายซึ่งเป็นเจ้าของคนไข้แปลกใจในชะตากรรมของบุญมานัก 

จึงสอบถามประวัติอย่างละเอียดอีกครั้งไว้และได้ความว่า

บุญมาชายอายุยี่สิบสามปี อาชีพเกษตรกรรมและรับจ้างก่อสร้าง ชอบดื่มเหล้าเป็นประจำชอบแกล้มเหล้าด้วยปลาน้ำจืด
โดยเฉพาะชอบกินเต่ากินตะพาบ 

บุญมาเคยได้ยินมาว่าใครกินตะพาบน้ำได้สิบถึงยี่สิบตัวแล้ว 

ตลอดชีวิตจะไม่เป็นโรคไขข้ออักเสบอีกทั้งยังช่วยบำรุงไต 

บุญมาจึงเพียรหาตะพาบน้ำมาผัดเผ็ดแกล้มเหล้าขาว บุญมากินตะพาบน้ำมาแล้วเกือบยี่สิบปี นับไม่ได้แล้วว่ากินเข้าไป
ได้กี่ตัว วันหนึ่งบุญมาซื้อตะพาบน้ำตัวใหญ่จากตลาดมา 

ตะพาบน้ำตัวนี้น้ำหนักตั้งสิบกว่ากิโลกรัมเขาดีใจมาก ตัวใหญ่ขนาดนี้ฆ่ากินทีเดียวไม่หมดจะต้องค่อยๆกิน ที่บ้านไม่มีตู้เย็นให้แช่เก็บได้จึงต้องกินผ่อนทีละน้อย ตะพาบน้ำเป็นสัตว์อายุยืนอดทนไม่ตายง่ายๆ ไม่ว่าจะถูกกักขังอยู่ในสภาพใดก็อดทนมีชีวิตอยู่ได้เป็นปี 

บุญมาเห็นแก่กินไม่นึกถึงว่าตะพาบจะต้องทนทุกข์ทรมานนานเพียงไร ต้องเจ็บปวดแสนสาหัสครั้งแล้วครั้งอีก 

เขาตัดเฉือนเนื้อตะพาบส่วนต่างๆ ตามความพอใจมาปรุงอาหารทีละชิ้นๆ บาดแผลรอบตัวตะพาบเขาทาด้วยปูนแดงที่กินกับหมากเพื่อไม่ให้เนื้อตัวตะพาบ เน่า ตะพาบตัวนั้นต้องทนทุกข์ทรมานอยู่นานกว่าครึ่งเดือน 

จากนั้นบุญมาจึงประหารเอามากินเป็นมื้อสุดท้าย บุญมาพอใจกับวิธีที่จะได้กินเนื้อตะพาบสดๆ ทุกวันอย่างนี้เรื่อยมา 

ผลสรุปประวัติผู้ป่วยที่โรงพยาบาลบันทึกไว้ในตอนท้ายมีอยู่ประโยคหนึ่งว่า  …..

เป็นประวัติที่แสดงให้เห็นกรรมตามสนองอย่างไม่น่าเชื่อที่ไม่มีข้อสรุปชัดเจน ในทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ปัจจุบัน

ปล.คุณควรตระหนักถึงการกระทำที่คุณได้ทำอยู่ในทุกวันนี้ 

ถึงผลดีและผลร้ายที่คุณได้กระทำลงไป มันจะส่งผลกลับมาหาคุณเอง ที่เรียกกันว่า  '  กรรมตามสนอง '  นั้นเอง 

ขอขอบคุณหนังสือธรรมะทุกเล่มที่ให้ความรู้แก่ผู้คนทั้งหลายเรื่องดีๆ
50  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: ควันหลงจากการไปดูหนัง เรื่องนี้ เห็น...... เมื่อ: กุมภาพันธ์ 05, 2011, 09:19:01 am
อ้างถึง
การนับถือ พุทธฝ่าย มหายานไม่สนับสนุนการบรรลุธรรม หรือ ไม่ครับ

น่าจะต้องลองอ่านภาพรวมของมหายานก่อน คะ

 ตัวอย่างเรื่องกาย คะ


 12. กาย

            เถรวาท ยอมรับแต่ธรรมกายและนิรมานกายบางส่วน นอกนั้นไม่ยอมรับมหายาน ถือว่าพระพุทธเจ้ามีกาย 3 คือธรรมกายได้แก่ธรรม สัมโภคกายหรือกายจำลองหรือกายอวตารของ พระพุทธเจ้า แบบนารายณ์อวตารคือที่พระพุทธเจ้าเป็นพระกัสสปสัมพุทธะบ้าง เป็นพระศากยมุนีบ้าง เป็นพระกกุสันธะบ้างเป็นต้นนั้น ล้วนเป็นสัมโภคกายของพระพุทธเจ้าองค์เดิม (อาทิพุทธะ) ทั้งนั้น และนิรมานกาย คือกายที่ต้องอยู่ในสภาพของธรรมดา คือต้องแก่ เจ็บและปรินิพพาน ซึ่งเป็นกายที่พระพุทธเจ้าสร้างขึ้นเพื่อสอนคนให้เห็นความจริงของชีวิต แต่สำหรับพระพุทธองค์ ที่แท้นั้นไม่ต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนั้น แบบเดียวกับ ปรมาตมัน ของพราหมณ์
          สรุป แม้ว่าทั้ง 2 นิกายจะต่างกันบ้าง แต่จุดหมายปลายทางก็รวมกันที่วิมุติเหมือนกัน เช่นกับแม่น้ำหลายสาย บางสายก็ใส บางสายก็ขุ่น แต่ก็รวมลงในทะเลเป็นอันเดียวกัน.....

เนื้อหาเต็ม ๆ อ่านย่อ ได้ที่นี่คะ

http://www.yanavarodom.mbu.ac.th/index.php?option=com_content&task=view&id=28&Itemid=39&limit=1&limitstart=1
51  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / การลดกรรม 45 อย่าง แบบที่เราท่านทั้งหลายทำกันได้ เมื่อ: กุมภาพันธ์ 03, 2011, 02:43:21 pm
การลดกรรม 45 อย่าง

1. กรรมที่ไม่มีลูก
กรรมจาก การทำร้ายลูกของสัตว์อื่น พรากสัตว์อื่นจากพ่อแม่หรือเคยข่มเหงลูกคนอื่น
ลดกรรม ด้วยการงดกินเนื้อสัตว์ทุกๆ 7 วัน ในทุกๆเดือนทำบุญปล่อยปลาลงน้ำ ปล่อยนกปล่อยกา ทำบุญบริจาคทานที่มูลนิธิสัตว์หรือ

2. เจ็บป่วยบ่อย หรือเป็นโรคร้าย
กรรมจาก เคยทำทารุณกรรมต่อสัตว์
ลดกรรม ด้วยการทำบุญทำทานกับสัตว์อนาถา ให้อาหารให้ความเมตตา ซื้อยาหรือบริจาคเงินที่โรงพยาบาลสงฆ์ ทำบุญปล่อยเต่า
งดกินเนื้อสัตว์ตลอดชีวิต

3. ตาบอดหรือเป็นโรคตา
กรรมจาก เคยทำร้ายสัตว์ที่ดวงตา หรือไม่เคยทำบุญเติมน้ำมันตะเกียงในชาติก่อน หรือเคยทำลายไฟฟ้าของวัด ของที่สารธารณะ
ลดกรรม ซื้อโคมไฟ หลอดไฟถวายวัด ถวายเทียนห่อใหญ่ ถวายไฟฉาย เติมน้ำมันตะเกียงทุกวันพร! ะ บริจาคเงินในกล่อง
ซื้อน้ำมันเติมตะเกียงที่วัด

4. ถูกรถเฉี่ยวชน ถูกลูกหลง ถูกสัตว์กัดต่อย
กรรมจาก จากเคยเป็นคนพาลเกะกะเกเร หาเรื่องเดือดร้อนให้ผู้อื่น มักรังแกและสาปแช่งผู้อื่นอยู่เสมอ
ลดกรรม หมั่นพูดดี มีวาจาไพเราะ

5. สูญเสียคนใกล้ชิด
กรรมจาก เคยยิงนกตกปลา
ลดกรรม ทำบุญไถ่ชีวิตโค กระบือ งดกินเนื้อสัตว์อย่างน้อยสัก 1 อย่างชั่วชีวิต หรือกินเจทุกๆ 3 เดือน ทำบุญปล่อยนกปล่อยปลา

6.ถูกนินทา ถูกให้ร้าย
กรรมจาก เคยพูดจาให้เป็นเหตุให้คนอื่นเป็นทุกข์หรือเดือดร้อน
ลดกรรม พิมพ์หนังสือธรรมะแจกฟรี พูดดี พูดให้คนอื่นเกิดประโยชน์ พูดให้ผู้อื่นมีความสุข

7. มักเดือดร้อนเพราะไฟ ไฟไหม้บ้าน ไฟดูด
กรรมจาก เคยลบหลู่พระสงฆ์ และศาสนา
ลดกรรม ตักบาตรทุกวันพระ ทำบุญถวายสังฆทานทุกเดือน ฟังเทศน์ฟังธรรมทุกวันพระ หรือทุกๆเดือนในวันพระ ร่วมพิมพ์หนังสือ
ธรรมะแจกจ่ายฟรี

8. ขาดบารมี ไร้ญาติขาดมิตร
กรรมจาก ไม่เคยไปร่วมงานบุญงานศพ
ลดกรรม ร่วมทำบุญงานศพ บริจาคเงิน หรือร่วมด้วยแรงกายช่วยงานอื่นๆในงานศพ เช่นทำอาหาร จัดดอกไม้

9. ตั้งหลักปักฐานไม่ได้ โยกย้ายบ่อย
กรรมจาก ไม่เคยร่วมทำบุญสร้างโบสถ์สร้างวิหาร แก่วัดวาอารามต่างๆ
ลดกรรม ร่วมทำบุญสร้างโบสถ์ สร้างหลังคาวิหาร ร่วมทำบุญฝังลูกนิมิต หมั่นไปไหว้ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง ณ เมืองที่ตนอยู่อาศัย

10. มักถูกรังแก ถูกเบียดเบียน
กรรมจาก ไม่เคยบวช หรือทำบุญงานบวช
ลดกรรม บวช ด้วยจิตศรัทธาปวารถาอย่างบริสุทธิ์ไม่มีเจตนาอื่นแ! อบแฝงจะบวช 7 วัน หรือ 15 วัน 1 เดือน 1 พรรษา แล้วแต่
จิตศรัทธา ถ้าเป็นสตรีจะบวชชีพราหมณ์ หรือถือศีล 8 ตามเวลาที่สะดวกและตั้งจิตศรัทธา หรือร่วมทำบุญงานบวชอย่าง
สม่ำเสมอเท่าที่จะทำได้

 

11.ไม่มีคนชื่นชมเอ็นดู ขาดเสน่ห์
กรรมจาก ไม่เคยถวายของหอม
ลดกรรม หมั่นทำบุญไหว้พระทุกวันพระ ถวายธูปหอม เทียน ดอกไม้สด พวงมาลัย ทองคำเปลว ประน้ำอบน้ำปรุง ประพฤติดี
ปฏิบัติชอบต่อผู้อื่น คิดดี ทำดี พูดดี ให้ผู้อื่นได้ดี มิให้ร้ายผู้ใด

12. เป็นที่รังเกียจ มีกลิ่นปาก กลิ่นตัว
กรรมจาก ทำติเตียนดูแคลน ผู้ที่ชอบทำบุญทำทาน
ลดกรรม หมั่นทำบุญทำทานอย่างสม่ำเสมอ ฟังเทศน์มหาชาติทุกๆปี ชักชวนผู้อื่นให้ร่วมทำบุญหรือบริจาคทานเป็นการบอกบุญผู้อื่น
พิมพ์หนังสือธรรมะจ่ายแจกฟรี

13. ไปไหนมาไหนลำบาก มีแต่อุปสรรค
กรรมจาก เคยทำลายหนทางสัญจรของวัด หรือของชาวบ้าน หรือทำให้ทางสัญจรสาธารณะได้รับความไม่สะดวก
ลดกรรม บริจาคทรัพย์หรือแรงกายช่วงสร้างสะพาน สร้างทางอันเป็นประโยชน์แก่วัด หรือชุมชนเล็กๆ ช่วยผู้คนยากไร้ให้
ได้มียวดยานพาหนะหรือทางสัญจรที่สะดวก

14. เป็นคนรับใช้เขาร่ำไป

กรรมจาก เคยเนรคุณผู้ที่เคยมีพระคุณแก่ตน
ลดกรรม ตอบแทนผู้มีคุณด้วยความกตัญญู ร่วมทำบุญสร้างพระพุทธรูป พระประธาน ทำทานทั้งกับคนและสัตว์

15. ขัดสน อดมื้อกินมื้อ
กรรมจาก เคยละเว้นการใส่บาตร ละเว้นการให้ทาน เมื่อมีคนยากไร้มาขอทานอาหารและน้ำ
ลดกรรม แบ่งปันอาหาร น้ำ เสื้อผ้า แก่คนยากไร้อนา! ถา แม้ไม่มีเงินก็แบ่งปันสิ่งของตามที่มี ตักบาตรทุกเช้าหรือทุกวันพระ

16. อาภัพคู่ ร้างคู่
กรรมจาก เคยผิดลูกผิดเมียเขา
ลดกรรม บวชพระ หรือบวชชีพราหมณ์ ร่วมทำบุญเป็นเจ้าภาพงานแต่งงานคู่บ่าวสาวที่ยากจน ถวายของเป็นคู่ เช่น แจกันคู่
เชิงเทียนคู่ หมอนคู่ เป็นต้น

17. ได้คู่ที่เลวร้าย ทำร้ายตนหรือทำให้เป็นทุกข์
กรรมจาก เคยข่มขืนเขาในชาติก่อน เคยทุบตีทำร้ายคู่
ลดกรรม บวชพระ หรือบวชชีพราหมณ์ ทำบุญปล่อยนกปล่อยปลา

18. อยู่โดดเดี่ยวยามบั้นปลาย
กรรมจาก เคยจับสัตว์ขัง
ลดกรรม ทำบุญปล่อยปลาลงน้ำ ปล่อยนกปล่อยกา ทำบุญทำทานแก่เด็กอนาถาและสัตว์อนาถา

19. รูปร่างหน้าไม่งดงาม
กรรมจาก ไม่เคยถวายดอกไม้ของหอม
ลดกรรม ถวายพวงมาลัยดอกไม้สด ดอกไม้หอม ทำบุญบริจาคดวงตา บริจาคร่างกายให้โรงพยาบาล

20. มักถูกโกง ถูกเบี้ยวเงิน
กรรมจาก เคยคดโกงผู้อื่น!
ลดกรรม สละทรัพย์บริจาคร่วมการกุศลต่างๆ ทำบุญตักบาตร ถวายสังฆทาน อุทิศส่วนกุศลแก่เจ้ากรรมนายเวรทุกๆเดือน

21. พิการ ร่างกายไม่สมประกอบ
กรรมจาก เคยทุบตีพ่อแม่ ด่าพ่อแม่ หรือทำร้ายพ่อแม่
ลดกรรม หมั่นทำบุญไหว้พระ ปล่อยนกปล่อยปลา ถือศีล 5 ศีล 8 เจริญภาวนา นั่งวิปัสสนากรรมฐาน

22. มีคดีความ
กรรมจาก เคยพบคนทุกข์ร้อนแล้วไม่ช่วยหรือพยายามหาทางช่วยเหลือ
ลดกรรม หมั่นทำบุญปล่อยนกปล่อยปลา นั่งสมาธิ เจริญวิปัสสนากรรมฐาน ถือศีล 8 ทุกๆ 3 เดือนๆละ 7 วัน

23. ไร้ที่อยู่เป็นหลักแหล่ง
กรรมจาก ไม่สงเคราะห์คนอนาถา ที่มาขออาหาร ขอชายคาหลบฝน ไม่มีน้ำใจช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยาก
ลดกรรม ร่วมทำบุญซื้อกระเบี้องหลังคาโบสถ์ หมั่นไปกราบไหว้บู! ชาศาลหลักเมือง ทำบุญทำทานแก่สัตว์พิการหรือสัตว์จรจัด

24. จิตใจขุ่นมัว ดุดัน ขี้โมโห
กรรมจาก มักตะหนี่ในการทำบุญ
ลดกรรม สวดมนต ์ไหว้พระ ทุกวันพระ ฝึกวิปัสสนากรรมฐาน ถือศีล 5 หรือศีล 8 ทุกๆ 3 เดือน บริจาคทาน แบ่งปันเงินทองหรือ
สิ่งของแก่ผู้ตกทุกข์ได้ยาก หรือร่วมทำบุญบริจาคทานกับมูลนิธิสถานสงเคราะห์ และวัดวาอารามต่างๆ

25. ไม่มีชื่อเสียง
กรรมจาก เคยติฉินนินทาทำให้ผู้อื่นเสียหาย
ลดกรรม ร่วมทำบุญสร้างหอระฆัง ร่วมทำบุญหล่อเทียนพรรษา ทำทานกับคนยากไร้ และสัตว์อนาถา

26. ไม่มีวาสนาบารมี
กรรมจาก ไม่เคยนับถือชื่นชมผู้นับถือธรรมมะ
ลดกรรม ทำบุญสร้างพระพุทธรูป ทำทานกับคน

27. มีลูกหลานไม่ดี เกเร ไม่เชื่อฟัง
กรรมจาก ทำแท้ง เคยทำร้ายคนใกล้ชิดมาก่อน และทำร้ายจิตใจครอบครัวในชาติก่อน
ลดกรรม บวชเณร โดยให้ลูกบวชหรือไปร่วมบวช จะทำให้กรรมน้อยลง ปฏิบัติธรรม อุทิศให้ลูกตนเอง

28. เจอแต่คนเอาเปรียบ
กรรมจาก เคยเบียดเบียนเงินพ่อแม่ไว้ในอดีตชาติ เคยโกงคนไว้ในอดีตชาติ ขโมยเงินครอบครัวมาใช้
ลดกรรม หมั่นยึดถือศีล 5 ให้มั่น ไม่ดื่มเหล้า ทำให้ขาดสติ โดนโกงง่าย หมั่นสวดมนต์ อธิษฐานบารมีด้านขอพรให้พบเจอคนดี ๆ
เข้ามาในชีวิต

29. เกิดในสกุลต้อยต่ำ
กรรมจาก โอหัง อวดดี จิตใจคับแคบ
ลดกรรม ร่วมทำบุญสร้างวัด สร้างพระประธาน ทำบุญทำทานกับคนยากไร้ และสัตว์อนาถา พิมพ์หนังสือธรรมะแจกฟรี

30. ไร้สง่าราศี ขาดวาสนา
กรรมจาก เคยเมาสุระอาละวาด ระรานผู้อื่น!
ลดกรรม นั่งสมาธิ ฝึกกรรมฐาน ทำทานกับคนอนาถา และสัตว์อนาถา ร่วมพิมพ์หนังสือธรรมะแจกฟรี

31. ไม่เจริญก้าวหน้า จิตใจเป็นทุกข์
กรรมจาก เคยชักจูงคนทำชั่ว
ลดกรรม ถือศีล 8 เป็นเวลา 7 วัน ทุกๆ 3 เดือน หมั่นทำบุญตักบาตร ถวายสังฆทาน

32. จิตใจฟุ้งซ่าน เป็นทุกข์
กรรมจาก เคยริษยาผู้อื่น
ลดกรรม ทำบุญตักบาตร ถวายสังฆทาน ปล่อยปลาลงน้ำ นั่งสมาธิ สวดมนต์บทคาถาพระชินบัญชร

33. ชีวิตตกต่ำ ทำสิ่งใดไม่เจริญ
กรรมจาก เคยทำแท้ง
ลดกรรม ปล่อยปลาลงน้ำทุกๆเดือน จนครบ 9 เดือน หรือ 1 ปีเต็ม ถวายสังฆทาน ทำบุญใส่บาตรเสมอ

34. เป็นเมียน้อย เมียเก็บ
กรรมจาก เคยผิดลูกผิดเมียเขามาก่อน ขืนใจเขาโดยไม่ยินยอม เคยอธิษฐานจิตร่วมกันมาว่ากี่ภพก็ขอให้ได้ใช้ชีวิตคู่ด้วยกัน
ลดกรรม ถวายธงคู่ ธูปคู่ เชิงเทียนคู่ หมอนคู่ อย่างใดก็ได้ อธิษฐานจิตขอให้ชีวิตคู่ที่ดีขึ้น บวชชีพราหมณ์ ปีละ 1 ครั้ง 3 วัน อุทิศให้
เจ้ากรรมนายเวรที่เคยล่วงเกินให้ได้รับกุศลและเปิดทางให้ชีวิตคู่ดีขึ้น ร่วมเป็นเจ้าภาพงานแต่ง เพื่อชีวิตตนจะดีขึ้นและ
สมหวัง สวดมนต์ขอพรทุกวันเกิดด้านความรักให้สมหวังต่อไป ทำบุญสังฆทานสด ในวันเกิดตนเอง เดือนละครั้ง เพื่ออุทิศ
ให้เจ้ากรรมนายเวรในอดีตชาติปัจจุบันชาติและวิญญาณที่ตามมาให้ได้รับกุศลและอโหสิกรรม

35. เป็นทุกข์เพราะคนในครอบครัว
กรรมจาก เคยลำเอียง ไร้คุณธรรมในด้านครอบครัวไว้ก่อน เคยเอารัดเอาเปรียบคนในครอบครัวและคนใกล้ชิดไว้ในชาติอดีตและ
ชาติปัจจุบัน เคยทำให้ครอบครัวเขาแตกแยกในอดีตชาติ
ลดกรรม ต้องบวชชีพราหมณ์ เพราะเมื่อเกิดอีกภพชีวิตจะได้ดีมีชีวิตที่ดีขึ้น เพราะกุศลของการบวช ปฏิบัติธรรมทำให้เจ้ากรรมนายเวร
อโหสิกรรม และตนเองได้พบสิ่งที่มีกุศลมากขึ้น ยึดพรหมวิหาร 4 มี เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา จะทำให้ชีวิตมีความเมตตา
และไม่ลำเอียงเอารัดเอาเปรียบคนใกล้ชิด ทำให้วิถีชีวิตมีคนนับถือและพ้นจากความทุกข์ในเรื่องญาติพี่น้องยุ่งเกี่ยวได้
นำพระคู่บ้านคู่เมืองเข้าสักการะที่บ้าน และสวดมนต์ขอพรให้ครอบครัวอยู่เย็นเป็นสุข

36. เป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต
กรรมจาก ฆ่าสัตว์ ทรมานสัตว์ ทำร้ายคนไว้ในอดีตชาติและปัจจุบันชาติ
ลดกรรม ตักบาตรอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรในอดีตชาติปัจจุบันชาติ รวมถึงสรรพสัตว์ทั้งหลายให้ได้กุศลและอโหสิกรรมซึ่ง
กันและกัน ปล่อยสัตว์ลงน้ำในวันเกิดตนเอง กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรได้รับและอโหสิกรรม ถวายยาเข้าวัด
หรือช่วยเหลือคนป่วย

37. เป็นมะเร็ง
กรรมจาก รู้เห็นเป็นใจกับการทำแท้ง การทารุณสัตว์ หรือการทำร้ายเบียดเบียนผู้อื่น
ลดกรรม ทำบุญใหญ่อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร และบวชชีพราหมณ์ 1 เดือน เพื่อส่งกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรอโหสิกรรม
ทำบุญสร้างพระพุทธรูป สร้างโบสถ์หรือสร้างศาลาวัด ร่วมพิมพ์หนังสือธรรมะแจกฟรี หมั่นนั่งสมาธิ ฝึกกรรมฐาน

38. ค้าขายขาดทุน ทำงานไม่ก้าวหน้า
กรรมจาก เคยลบหลู่เจ้าที่เจ้าทาง
ลดกรรม หมั่นทำบุญใส่บาตร ถวายสังฆทาน ถวายเครื่องเซ่นสังเวย เจ้าที่-เจ้าทาง หมั่นสวดมนต์บทคาถาพระชินบัญชร

39. ด้อยปัญญา
กรรมจาก ฝักใฝ่อบายมุขในชาติก่อน หรือชักชวนคนไปทำชั่ว ดูแคลนหลักธรรมมะ
ลดกรรม พิมพ์หนังสือธรรมะจ่ายแจก ทำบุญทำทานกับโรงเรียนของเด็กพิการหรือตาม! ูลนิธิต่างๆ

40. ตกงาน
กรรมจาก เคยกลั่นแกล้งผู้อื่นในเรื่องงาน หรือแย่งงานผู้อื่น
ลดกรรม หมั่นทำบุญทำทาน ร่วมงานบุญต่างๆ ปล่อยนกปล่อยปลา

41. ไม่มีโชคลาภ
กรรมจาก ไม่เคยสวดมนต์ไหว้พระ
ลดกรรม หมั่นทำบุญสวดมนต์ไหว้พระ ถวายธูป เทียน ดอกไม้สด พวงมาลัย และทองคำเปลว

42. เรียนไม่จบ การเรียนมีอุปสรรค
กรรมจาก ชาติก่อนปฏิเสธการฟังเทศน์ฟังธรรม
ลดกรรม หมั่นเข้าวัด ร่วมงานบุญต่างๆ ฟังเทศน์ อ่านหนังสือธรรมะ

43. มีอาชีพต้อยต่ำที่ผู้คนดูแคลน
กรรมจาก ชาติก่อนเคยบวชด้วยเจตนาไม่บริสุทธิ์ ไร้ความศรัทธา อาศัยผ้าเหลืองหากิน
ลดกรรม ถือศีล 5 ศีล 8 นั่งสมาธิ ฝึกกรรมฐาน ถวายสังฆทานทุกเดือน หรือทุก 3 เดือน

44. ครอบครัวยากจน
กรรมจาก ชาติก่อนไม่เคยบริจาคทาน
ลดกรรม หมั่นทำบุญด้วยการบริจาคทาน ถ้ามีเงินไม่มากก็บริจาคเป็นสิ่งของ แรงกาย หรือน้ำใจ ต่อผู้ตกทุกข์ได้ยาก เช่น ไปช่วยอ่านหนังสือให้มูลนิธิคนตาบอด

45. เป็นทุกข์เพราะความรัก
กรรมจาก ชาติก่อนเจ้าชู้ หลอกผู้อื่นให้อกหัก
ลดกรรม ประพฤติดีปฏิบัติดีทั้งความคิด กาย วาจา ใจ ร่วมทำบุญงานแต่งงาน ทำสิ่งดีๆให้คนอื่นได้สมรักสม

ที่มาจากเว็บ

http://www.thaismarttips.com/board/index.php?topic=357.0
52  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: พระบรมสารีริกธาตุ และ พระอรหันตธาตุ เมื่อ: กุมภาพันธ์ 01, 2011, 03:52:02 pm
อนุโมทนา คะกับ ความรู้เรื่อง พระธาตุ และ รูปต่าง ๆ ที่ได้ดูบางภาพก็ไม่เคยเห็นเลยคะ
ได้เห็นแล้ว รู้สึกเป็นบุญตา และเห็นถึงการภาวนา และ การเข้าใจเรื่องธาตุ และ กรรมฐานอันเนื่องด้วยธาตุ

สาธุ สาธุ สาธุ

 :25:
53  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: สวัสดียามเช้า วันสิ้นเดือน 31 ม.ค. 2554 เมื่อ: มกราคม 31, 2011, 08:50:58 am









54  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 50 ข้อคิดดี ๆ ยามเช้านี้ คะ เมื่อ: มกราคม 31, 2011, 08:48:56 am



1.คาดหวังให้สูงเข้าไว้และแน่นอนว่าต้องเตรียมใจที่จะพบกับความผิดหวังด้วย

2.ถ้าอยากจะประสบความสำเร็จต้องกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง

3.ถ้าเชื่อว่าไม่แพ้ เราก็จะไม่แพ้

4.คนเข้มแข็งเท่านั้นที่จะอยู่บนโลกใบนี้ได้

5.อุปสรรคล้วนเป็นยาขม ไม่มีใครอยากลิ้มลอง แต่ขึ้นชื่อว่ายาขม ส่วนใหญ่มักเป็นยาดีเสมอ

6.ขอบคุณความทุกข์ที่ทำให้ความสุขในคราวต่อมาเป็นความสุขที่แท้จริง

7.เพื่ออะไรกับการรอคอยที่ไม่มีความหมาย

8.ยิ่งบทเรียนยากขึ้นเท่าไหร่ ถ้าเราผ่านมันไปได้เราก็จะยิ่งเก่งขึ้นเท่านั้น

9.กุหลาบไร้หนามมีเพียงมิตรภาพเท่านั้น

10.อย่ากังวลกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึง แต่ให้คำนึงถึงสิ่งที่กำลังทำ

11.แม้แต่นิ้วของคนเรายังยาวไม่เท่ากัน นับประสาอะไรกับความยั่งยืนของชีวิต

12.โลกใบนี้เต็มไปด้วยความมหัศจรรย์ ถ้าไม่ออกเดินทางก็ไม่มีวันค้นพบ

13.ไม่มีใครสะดุดภูเขาล้ม มีแต่สะดุดก้อนหินล้ม

14.ไม่มีใครเข้มแข็งตลอดไปและไม่มีใครอ่อนแอตลอดกาล

15.บางครั้งเราก็เหมือนคนตาบอดมีวิธีเดียวที่จะพาเรามุ่งหน้าไปได้คือการคลำทางเดินหน้าต่อไป

16.อย่าเกลียดน้ำตาเพราะมันคือเพื่อนแท้ อย่าเกลียดความอ่อนแอเพียงเพราะมันไม่ใช่ความเข้มแข็ง

17.มีเพียงชีวิตที่ทำเพื่อคนอื่นเท่านั้นที่ควรค่าแก่การมีชีวิต

18.ทุกอย่างมีค่าเสมอ อย่างน้อยก็ทำให้เรารู้ว่าไม่ควรจะทำมันอีก

19.คนฉลาดย่อมไม่นำแต่ตาม ย่อมไม่พูดแต่ฟัง

20.ทุกคนได้ยินในสิ่งที่คุณพูด ต่เพื่อนที่ดีที่สุดจะได้ยินแม้ในสิ่งที่คุณไม่ได้พูด

21.อวดโง่ดีกว่าอวดฉลาด

22.คนที่ว่าคนอื่นโง่ บุคคลนั้นโง่ยิ่งกว่า คนที่ว่าคนอื่นฉลาด บุคคลนั้นคือผู้ฉลาดอย่างแท้จริง

23.ฝันได้แต่อย่าหวัง

24.เรียนรู้ที่จะแพ้อย่างผู้ชนะ แล้วจะรู้จักกับคำว่าชัยชนะที่แท้จริง

25.นักปราชญ์ควรรู้ว่าเมื่อไหร่ควรหยุด

26.ความยึดถือคือความเจ็บปวด

27.พระเจ้าไม่ได้รักเรามากกว่าคนอื่น และไม่ได้รักคนอื่นมากกว่าเรา

28.อุปสรรคคือแบบทดสอบของชีวิต

29.ไม่มีอะไรแน่นอนในชีวิต

30.สิ่งร้ายๆจะมาพร้อมกับสิ่งดีๆเสมอ

31.โลกใบนี้ยังมีมุมดีๆให้มอง

32.ตัวเรายังไม่ได้ดั่งใจเรา แล้วคนอื่นจะเป็นได้อย่างไร

33.ถนนบางสายไกลหน่อยแต่ก็ยังมีวันถึง

34.แต่งหน้าด้วยเครื่องสำอาง แต่งใจด้วยความดี

35.ความเจ็บปวดทำให้หัวใจแข็งแกร่ง

36.เดินคนเดียวอาจไม่รู้สึกดีอะไร แต่อย่างน้อยก็มีที่แกว่งแขนมากขึ้น

37.ทำวันนี้ให้ดีที่สุด แล้วทำวันพรุ่งนี้ให้ดีกว่าเดิม

38.ความผิดพลาดเกิดขึ้นได้เพราะทุกปัญหาแก้ไขได้

39.ถ้าไม่ลองก้าวจะรู้ได้อย่างไรว่าตัวเองวิ่งได้

40.ตึกสูงระฟ้ามาจากก้อนอิฐ

41.ใช้ชีวิตอยู่กับความจริง ยอมรับสิ่งที่เป็น มองเห็นข้อดีคนอื่น หยัดยืนด้วยขาตัวเอง

42.เราจะรู้รสชาติของความสุขก็ต่อเมื่อเราผ่านความทุกข์มาก่อน

43.ปัญหามีไว้แก้ และต้องแก้ด้วยตัวเองไม่ใช่ยืมมือคนอื่นมาแก้

44.จุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์คือความเชื่อใจ

45.ทุกคนมีคุณค่าเพียงแต่มีโอกาสแสดงคุณค่าไม่เท่ากัน

46.บางทีการได้เจอปัญหามันก็ดีเหมือนกัน

47.สิ่งที่ผ่านมาแล้วจะกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้อีก

48.ไม่ว่าใครจะตายหรือหายไป สุดท้ายโลกก็ยังหมุนต่ออยู่ดี

49.น้ำตาให้ได้แค่ความเห็นใจ

50.ในการที่จะเริ่มต้นทำสิ่งใดทุกครั้งควรคิดถึงจุดจบด้วย



 


--
โอ้ชีวิตมีอะไรตั้งเยอะแยะ
มีเกิดแก่เจ็บตายคล้ายๆ กัน
แต่สิ่งที่มีไม่เหมือนคือความฝัน
อยู่ที่ใครจะล่ามันให้อยู่มือ
55  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สวัสดียามเช้า วันสิ้นเดือน 31 ม.ค. 2554 เมื่อ: มกราคม 31, 2011, 08:45:42 am
ผ่านปีไปอีก 1 เดืิอนแล้วนะคะ เอาภาพสวยๆ มาให้ดูยามเช้านี้คะ เซพเป็น สกรีนเซพเวอร์ได้คะ












ขอบคุณภาพ
http://fwmail.teenee.com
56  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สร้างสมาธิจากนิสัย เมื่อ: มกราคม 31, 2011, 08:42:48 am


สมาธิเป็นพื้นฐานสำคัญของการทำกิจกรรมต่างๆ
มีเกร็ดน่ารู้เกี่ยวกับการสร้างสมาธิพื้นฐาน จากชีวิตประจำวันมาฝาก

ซึ่งวัยเรียนและวัยทำงานสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้
เพื่อช่วยควบคุมความสนใจ การรับรู้
ให้จดจ่อต่อสิ่งที่กระทำอยู่อย่างต่อเนื่องจนติดเป็นนิสัย

สร้างความเต็มใจและจริงใจที่จะทำเรื่องนั้นๆ
จะช่วยให้เราสนใจในสิ่งเดียว ไม่วอกแวกสนใจเรื่องอื่น

สร้างนิสัย ‘ มุ่งมั่นลงมือทำทันที’
จะฝึกให้เราเป็นคนมีคุณลักษณะที่ดี คือ การควบคุมความสนใจ จดจ่อต่อสิ่งที่กระทำอยู่อย่างต่อเนื่องจนสำเร็จ
ซึ่งอีกด้านหนึ่ง การยืดเวลาหรือผัดวันประกันพรุ่ง จะทำให้เบื่อหน่ายกับงานเดิมๆ จนกลายเป็นความเกียจคร้าน
ซึ่งเป็นอุปสรรคของการเรียนและการทำงานด้วย

จัดลำดับเรื่องที่จะทำ
จะช่วยให้การทำสิ่งนั้นๆ เป็นระบบ และใช้เวลาน้อย
ตรงกันข้ามกับการสนใจหลายเรื่องในเวลาเดียวกันจะทำให้ไม่มีสมาธิ

รู้จักแบ่งเวลาพักผ่อน
เพื่อผ่อนคลายสมอง และรักษาสภาพจิตใจให้คลายความกังวลในงานนั้นๆ
เพราะถ้าเราคร่ำเครงกับสิ่งต่างๆ มากเกินไป จะเป็นอุปสรรคต่อสมาธิ

การหมั่นสร้างนิสัยในชีวิตประจำวันให้มีสมาธินั้น
นอกจากจะทำให้จิตใจสงบ มีสติในการแก้ปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพแล้ว
ยังเป็นกุญแจสำคัญในการช่วยเตรียมความพร้อม เพื่อการเรียนรู้สิ่งต่างๆ ในทุกๆวันด้วย.

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
57  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: พระเดินธุดงค์ ใช้เต๊นซ์ ได้หรือป่าวครับ เมื่อ: มกราคม 30, 2011, 09:58:54 am


58  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: การระงับความโกรธ แบบปัจจุบัน ที่ได้ผล เมื่อ: มกราคม 28, 2011, 01:05:59 pm
อ่านเรื่องนี้แล้ว รู้สึกได้เลยว่ามีความสุข เพราะเห็นแนวปฏิบัติได้จริง หลายประการเลยคะ
ท่านผู้ใดยังไม่ได้อ่าน ก็ขอให้เข้าอ่านนะคะ มีประโยชน์มาก ๆ คะ

 :s_good: :s_good: :s_good:
59  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: มีวิธีวัดอย่างไร ในการสำเร็จ กรรมฐาน หรือ สมาธิ เมื่อ: มกราคม 28, 2011, 01:01:44 pm
อนุโมทนา คะ อ่านแล้วเข้าใจมากขึ้นคะ

 :25:
60  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: เรื่องของปลากปิละ ผู้มีอดีตเป็นผู้กล่าวแต่ พระธรรมอย่างเดียว ไม่ปฏิบัติ เมื่อ: มกราคม 28, 2011, 12:49:49 pm


สำหรับประวัติ พระยโสชเถระ
ขอบคุณเนื้อหา เนื้อเรื่อง ที่เว็บนี้นะคะ
http://www.dharma-gateway.com/monk/great_monk/pra-yasocha.htm
61  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: เรื่องของปลากปิละ ผู้มีอดีตเป็นผู้กล่าวแต่ พระธรรมอย่างเดียว ไม่ปฏิบัติ เมื่อ: มกราคม 28, 2011, 12:46:53 pm
ประวัติพระยโสชเถระ

บุรพกรรมในสมัยพระวิปัสสีพุทธเจ้า

แม้ท่านพระยโสชเถระนี้ มีบุญญาธิการที่ได้ทำไว้แล้วในพระพุทธเจ้าองค์ก่อน ๆ เมื่อสั่งสมบุญทั้งหลายในภพนั้น ๆ มาในกาลของ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าวิปัสสี ได้เกิดในตระกูลของผู้เฝ้าสวน ครั้นเติบใหญ่แล้ว วันหนึ่ง ได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า พระนามว่า วิปัสสี กำลังเสด็จมาทางอากาศ มีใจเลื่อมใส ได้ถวายผลขนุนสำมะลอ แด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น.

บุรพกรรมในสมัยพระกัสสปพุทธเจ้า

ได้ยินว่า ในอดีตกาล ศาสนาของพระกัสสปทศพล มีภิกษุอยู่ป่ารูปหนึ่ง อยู่ในกุฏิมุงด้วยใบไม้ สร้างไว้ในศิลาดาดในป่า ก็สมัยนั้นโจร ๕๐๐ กระทำการปล้นชาวบ้านเป็นต้น เลี้ยงชีพแบบโจรกรรม กระทำโจรกรรม ถูกพวกมนุษย์ในชนบทพากันติดตาม หนีเข้าป่าไป ไม่เห็นอะไรๆ ในที่นั้น ไม่ว่าจะเป็นรกชัฏหรือที่พึ่งอาศัย เห็นภิกษุนั้น นั่งอยู่บนแผ่นหินในที่ไม่ไกล จึงไหว้แล้วบอกเรื่องนั้น อ้อนวอนว่า ขอท่านจงเป็นที่พึ่งแก่พวกกระผมเถิดขอรับ พระเถระกล่าวว่าที่พึ่งอื่นเช่นกับศีลของพวกท่านไม่มี จงสมาทานศีล ๕ กันทั้งหมดเถิด โจรเหล่านั้นรับคำของท่านแล้ว สมาทานศีล พระเถระกล่าวว่า ท่านตั้งอยู่ในศีลแล้ว ท่านแม้ถึงชีวิตของตนจะพินาศไป ก็อย่าเกรี้ยวกราดด้วยการเบียดเบียน ดังนี้แล้ว จึงบอกวิธีอุปมาด้วยเลื่อย โจรเหล่านั้นรับว่า ดีละ ลำดับนั้น ชาวชนบทเหล่านั้นไปยังที่นั้น ค้นดูข้างโน้นข้างนี้ พบพวกโจรเหล่านั้น ก็ปลงชีวิตเสียทั้งหมด โจรเหล่านั้น ไม่ได้ทำแม้มาตรว่า ความแค้นเคืองใจในชนเหล่านั้น มิได้ขาดศีล ตายไปบังเกิดในเทวโลก ชั้นกามาวจร โจรเหล่านั้นผู้เป็นหัวหน้า ได้เป็นเทพบุตรหัวหน้า ฝ่ายโจรนอกนั้น ได้เป็นบริวารของเทพบุตรผู้หัวหน้านั้นเอง เทวบุตรเหล่า นั้น ท่องเที่ยวไปๆ มาๆ สิ้นพุทธันดรหนึ่งในเทวโลก

กำเนิดเป็นยโสชมาณพในสมัยพระสมณโคดมพุทธเจ้า

ในกาลแห่งพระพุทธเจ้าของเราทั้งหลาย เทพบุตรผู้เป็นหัวหน้าได้ถือปฏิสนธิในท้องแห่งภรรยาของชาวประมง ผู้เป็นหัวหน้าสกุล ๕๐๐ สกุล ในหมู่บ้านชาวประมงซึ่งมีอยู่ที่ประตูเมืองสาวัตถี เทพบุตรพวกนี้ได้ถือปฏิสนธิในครรภ์ของภรรยาของชาวประมงอื่นในหมู่บ้านนั้น เด็กเหล่านั้นได้ถือปฏิสนธิและออกจากครรภ์ในวันเดียวกันกับบุตรของหัวหน้าชาวประมงนั้นเอง

ต่อมา หัวหน้าชาวประมงคิดอยู่ว่า ในหมู่บ้านนี้มีทารกคนอื่นซึ่งเกิดในวันเดียวกับบุตรเรานี้มีอยู่หรือไม่หนอ ครั้นเมื่อได้สอบถามดู และได้พบทารกเหล่านั้นแล้ว ก็คิดว่าเด็กเหล่านี้ จะเป็นเพื่อนเล่นของบุตรเรา แล้วจึงได้ให้เครื่องเลี้ยงดูแก่เด็กเหล่านั้นทุกคน เด็กเหล่านั้นทั้งหมดก็ได้เป็นสหายเล่นฝุ่นด้วยกันมา จนเจริญวัยโดยลำดับ เด็กผู้เป็นบุตรของหัวหน้าชาวประมงนั้นได้ชื่อว่าโสชะ และเป็นผู้เลิศกว่าเด็กเหล่านั้น

วันหนึ่งโสชะมาณพและพวกก็ได้ไปลงอวนที่แม่น้ำอจิรวดี เพื่อจะจับปลาพร้อมกับลูกชาวประมงที่เป็นเพื่อนของตน บรรดาปลาที่จับได้เหล่านั้น มีปลาใหญ่ตัวหนึ่งมีสีเหมือนทองเข้าติดอวน เรื่องในอดีตของปลาสีทองตัวนี้ปรากฏในกปิลสูตร ดังนี้

พระพุทธองค์ทรงแสดงกปิลสูตร

ในภัทรกัปนี้ในสมัยของพระผู้มีพระภาคสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า กัสสป ในสมัยคนทั้งหลายมีอายุ ๒๐,๐๐๐ ปี พระผู้มีพระภาคทรงดำรงพระชนมายุได้ ๑๖,๐๐๐ ปี แล้วก็เสด็จดับขันธปรินิพพาน เมื่อทรงปรินิพพานนั้นพระธาตุทั้งหลายของพระองค์นั้นไม่กระจัดกระจาย แต่ตั้งอยู่เป็นก้อนเดียวกัน ดุจก้อนทองคำฉะนั้น เพราะนั่นเป็นธรรมดาของพระพุทธเจ้าผู้ทรงมีพระชนมายุยืนทั้งหลาย ส่วนพระพุทธเจ้าผู้ทรงมีพระชนมายุน้อยทั้งหลาย เช่น พระผู้มีพระภาคเจ้าของพวกเรานั้น หมู่ชนจำนวนมากยังไม่ทันเห็น ก็เสด็จปรินิพพานก่อน เพราะฉะนั้น ท่านจึงทรงอธิษฐานว่า ขอพระธาตุทั้งหลายจงกระจัดกระจาย ด้วยทรงหมายอนุเคราะห์ว่า ชนทั้งหลายในที่ต่าง ๆ เมื่อได้ทำการบูชาพระธาตุแล้วก็จะประสบบุญ ด้วยเหตุนั้น พระธาตุทั้งหลายของพระพุทธเจ้า ผู้ทรงมีพระชนมายุน้อยเหล่านั้น จึงกระจัดกระจายไป ดุจเศษส่วนของทองคำ ฉะนั้น.

ในครั้งนั้น มหาชนก็ร่วมกันทำที่บรรจุพระธาตุของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นโดยให้สร้างพระเจดีย์ โดยส่วนสูงและโดยรอบ ๑ โยชน์ พระเจดีย์นั้น มีประตู ๔ แห่ง ห่างกันประตูละ ๑ คาวุต พระเจ้ากิงกิราช ทรงสร้าง ๑ ประตู พระราชโอรสของพระองค์พระนามว่า ปฐวินธร ทรง สร้าง ๑ ประตู อำมาตย์ผู้เป็นหัวหน้าของเสนาบดีทั้งหลายสร้าง ๑ ประตู ชาวพระนครที่เหลือมีเศรษฐีเป็นหัวหน้าสร้าง ๑ ประตู พระเจดีย์นั้นสร้างด้วยอิฐทองคำ ประดับด้วยรัตนะต่าง ๆ แต่ละก้อนมีราคาหนึ่งแสนกหาปณะ

เมื่อพระเจดีย์สร้างเสร็จอย่างนี้แล้ว กุลบุตร ๒ พี่น้องออกบวชในสำนักของพระสาวกผู้ใหญ่ทั้งหลาย ด้วยเหตุว่า ในสมัยของพระพุทธเจ้าผู้ทรงมีพระชนมายุยืนนั้น เฉพาะพระสาวกผู้ใหญ่ทั้งหลายเท่านั้น ที่สามารถให้บรรพชา ให้อุปสมบท ให้นิสัย ได้ ส่วนพระสาวกทั้งหลายนอกนี้ย่อมทำเช่นนั้นไม่ได้ กุลบุตร ๒ พี่น้องนั้นผู้พี่ชื่อว่า โสธนะ ผู้น้องชื่อว่า กปิละ ท่านทั้งสองมีมารดาชื่อ ว่า สาธนี มีน้องสาวชื่อว่า ตาปนา ทั้งมารดาและน้องสาวนั้นบวชในสำนักนางภิกษุณี เมื่อได้บวชแล้ว ภิกษุทั้งสองนั้น ก็เรียนถามพระเถระผู้ใหญ่ว่า ข้าแต่ท่านผู้ เจริญ ในพระศาสนามีธุระอยู่กี่อย่าง พระเถระกล่าวว่า ธุระในพระศาสนามี ๒ อย่าง คือ วาสธุระ ๑ ปริยัติธุระ ๑

ในธุระ ๒ อย่างนั้น กุลบุตรผู้บวชแล้ว อยู่ในสำนักของพระอาจารย์และพระอุปัชฌาย์สิ้น ๕ ปี บำเพ็ญข้อวัตรและ ปฏิบัติทำปาฏิโมกข์ และภาณวารและสูตร ๒๓ สูตร ให้คล่องแคล่ว เรียน กรรมฐานเข้าสู่ป่า โดยไม่มีความอาลัยในตระกูล หรือคณะ สืบต่อ พยายาม เพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระอรหัต นี้ชื่อว่า วาสธุระ

ส่วนกุลบุตรเล่าเรียน ๑ นิกาย ๒ นิกาย หรือ ๕ นิกาย ตามกำลังของตน พึงตามประกอบศาสนาให้บริสุทธิ์ดี โดยปริยัติ และโดยอรรถ นี้เรียกว่า ปริยัติธุระ.

ลำดับนั้น กุลบุตรเหล่านั้นกล่าวว่า บรรดาธุระ ๒ อย่าง วาสธุระ เท่านั้นประเสริฐ คิดว่า ก็พวกเรายังหนุ่ม จักบำเพ็ญวาสธุระในเวลาตนแก่ จักบำเพ็ญปริยัติธุระก่อน จึงปรารภปริยัติ ท่านทั้งสองโดยปกติเทียว เป็น คนมีปัญญา ต่อกาลไม่นานนัก ก็มีความรู้อันกระทำแล้วในพุทธพจน์ทั้งสิ้น และเป็นผู้ฉลาดในการวินิจฉัยในวินัยอย่างยิ่ง ท่านทั้งสองนั้นเพราะอาศัยปริยัติ จึงมีบริวารเกิดขึ้น เพราะอาศัยบริวารจึงมีลาภ แต่ละรูปมีภิกษุ ๕๐๐ เป็นบริวาร ท่านเหล่านั้นแสดงอยู่ซึ่งศาสนาของพระศาสดา เป็นเหมือนพุทธกาล อีก.

ในบรรดาพระภิกษุทั้งสองนั้น พระผู้พี่คิดว่า เราจะบำเพ็ญวาสธุระ (ธุระเป็นเครื่องอบรมตน) ดังนี้แล้วก็อยู่ใน สำนักของอุปัชฌาย์และอาจารย์ทั้งหลายเป็นเวลา ๕ ปี มีพรรษา ๕ ฟังกรรมฐานจนถึงอรหัตแล้วจึงเข้าไปสู่ป่า พยายามบำเพ็ญเพียรอยู่ ไม่นานก็ได้บรรลุพระอรหัต

ส่วนพระกปิละนั้นคิดว่า เรานั้นยังหนุ่มอยู่ ต่อเมื่อในเวลาแก่แล้วเราจึงจะบำเพ็ญแม้ วาสธุระดังนี้แล้ว ก็เริ่มคันถุระ ได้เป็นผู้ทรงพระไตรปิฎกแล้ว พระกปิละ นั้นเพราะอาศัยปริยัติ จึงมีบริวารเกิดขึ้น เพราะอาศัยบริวารจึงมีลาภ พระกปิละ นั้นเมาด้วยการเมาในการที่ตนเป็นพาหุสัจจะ สำคัญตนว่าเป็นบัณฑิต มีความสำคัญว่าตนรู้ แม้ในสิ่งที่ตนยังไม่รู้ กล่าวสิ่งที่เป็นกัปปิยะ แม้ในสิ่งที่ภิกษุเหล่าอื่นกล่าวแล้วว่าเป็นอกัปปิยะ แม้สิ่งที่เป็นอกัปปิยะ ก็กล่าวว่าเป็นกัปปิยะ แม้สิ่งที่มีโทษ ก็กล่าวว่าไม่มีโทษ แม้สิ่งที่ไม่มีโทษ ก็กล่าวว่ามีโทษ

ต่อแต่นั้น พระกปิละนั้น เมื่อภิกษุทั้งหลายผู้มีศีลเป็นที่รัก กล่าวให้โอวาทอยู่ โดยนัยว่า ท่านกปิละ ท่านย่าได้พูดอย่างนี้ ดังนี้เป็นต้น ก็เที่ยวขู่ตะคอกภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นด้วยคำเช่นว่า พวกท่านเหมือนกับคนที่กำมือเปล่า จะรู้อะไร ดังนี้ เป็นต้น อย่างนั้นแล ภิกษุทั้งหลายได้บอกเรื่องนี้ แก่พระโสธนเถระผู้เป็นพี่ชายของท่าน พระโสธนเถระนั้นก็ได้เข้าไปหาพระกปิละนั้นแล้วพูดว่า คุณกปิละ การปฏิบัติชอบของภิกษุทั้งหลายเป็นสิ่งที่ทำให้พระศาสนาอายุยืนยาว ดูก่อน อาวุโส คุณอย่าได้พูดแม้สิ่งที่เป็นกัปปิยะ ฯลฯ สิ่งที่มีโทษว่าไม่มีโทษ แต่พระกปิละนั้นก็ไม่สนใจคำของพระโสธนเถระผู้เป็นพี่ชายเลย ลำดับนั้น พระ โสธนเถระเมื่อได้กล่าวเตือนพระกปิละขึ้น ๒ - ๓ ครั้ง เมื่อเห็นพระกปิละไม่เชื่อฟังเช่นนั้น ก็หยุดพูด แล้วจึงกล่าวว่า อาวุโส คุณก็จะประสบกรรมของคุณนั้นเอง ดังนี้แล้วก็หลีกไป ตั้งแต่นั้นมา ภิกษุทั้งหลายที่มีศีลเป็นที่รัก ก็ทอดทิ้งพระกปิละนั้นเสีย

พระกปิละนั้นเป็นผู้ประพฤติชั่ว มีภิกษุประพฤติชั่วแวดล้อมอยู่ วันหนึ่งคิดว่า เราจะลงอุโบสถ แล้วก็ขึ้นสู่อาสนะ พอนั่งลงก็พูดขึ้น ๓ ครั้งว่า อาวุโสทั้งหลาย ปาติโมกข์ย่อมควรแก่ภิกษุทั้งหลายในที่นี้หรือ ครั้งนั้น แม้ภิกษุรูปหนึ่งก็ไม่ได้พูดว่า ปาติโมกข์ย่อมควรแก่ข้าพเจ้า ทั้งก็ไม่ได้พูดว่าปาติโมกข์ย่อมควรแก่พระกปิละนั้น หรือควรแก่ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น ลำดับนั้นพระกปิละนั้นก็พูดว่า เมื่อปาติโมกข์พวกเราฟังก็ดี ไม่ฟังก็ดี ชื่อว่าวินัยไม่มีหรอก ดังนี้แล้วก็ลุกขึ้นจากอาสนะ พระกปิละนั้น ทำพระศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงพระนามว่ากัสสปะให้ เสื่อมถอย คือให้พินาศแล้ว ด้วยประการฉะนี้

ครั้งนั้น พระโสธนเถระก็ได้ปรินิพพานในวันนั้นนั่นเอง พระกปิละ แม้นั้นทำศาสนานั้นให้เสื่อมถอยลงไปอย่างนี้แล้ว เมื่อถึงแก่กรรม ก็บังเกิด ในอเวจีมหานรก มารดาและน้องสาวของท่านแม้นั้นถึงทิฏฐานุคติของพระ กปิละนั้นนั่นเอง ด่าบริภาษภิกษุทั้งหลายที่มีศีลเป็นที่รัก ทำกาละแล้วก็บังเกิด ในนรก

พระกปิละเกิดเป็นปลาสีทองแต่มีปากเหม็น

ภิกษุชื่อว่ากปิละเมื่อพ้นจากกรรมในนรกแล้ว ก็มาเกิดเป็นปลาในแม่น้ำอจิรยวดี มีสีร่างกายเหมือนเหมือนทอง แต่ปากเหม็น ด้วยเศษกรรมที่เหลือจากนรก วันที่ยโสชมาณพและเด็กชาวประมงเหล่านั้นจับปลาสีทองนั้นได้ และนำไปให้เล่าชาวประมงผู้เป็นบิดาของตนดู ชาวประมงทั้งหมดเห็นปลานั้นแล้ว ก็พากันพูดว่า บุตรของพวกเราออกจับปลาทั้งหลายเป็นครั้งแรกนั้นก็จับได้ปลาทอง ความเจริญจักมีแก่เด็ก ๆ เหล่านั้น และถ้าเรานำปลานี้ไปถวายพระราชาคงพระราชทานทรัพย์แก่เราทั้งหลาย

ดังนั้น ยโสชมาณพและสหายทั้ง ๕๐๐ คนเหล่านั้น ก็เอาปลาลงใส่ในเรือแล้วยกเรือขึ้นแล้วนำไปสู่พระราชวัง พระเจ้าปเสนทิโกศลทอดพระเนตรแล้วรับสั่งถามว่า นั่นอะไร ยโสชมาณพกราบทูลว่า ปลา พระเจ้าข้า พระราชาทอดพระเนตรเห็นปลาสีทองก็ทรงดำริว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าจักทรงทราบเหตุที่ปลานี้มีสีทอง ดังนี้แล้วจึงรับสั่งให้นำปลานั้นไปพร้อมกับพระองค์ เสด็จพระดำเนินไปเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคพร้อมกับยโสชมาณพและพวกสหายทั้ง ๕๐๐ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ครั้นถึงแล้วได้นำปลาไปถวายพระผู้มีพระภาค เมื่อเวลานำปลาลง ปลาก็อ้าปากขึ้น กลิ่นเหม็นอันร้ายกาจก็พลุ่งออกมาจากปากปลา พระเชตะวันก็คละคลุ้งด้วยกลิ่นเหม็นอย่างยิ่ง พระเจ้าปเสนทิโกศลจึงได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เพราะเหตุไร ปลาจึงเกิดเป็นปลามีสีทอง และ เพราะเหตุไร กลิ่นเหม็นจึงฟุ้งออกจากปากของปลานั้น พระพุทธเจ้าข้า

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า มหาบพิตร ปลานี้อดีตเคยเป็นภิกษุพหูสูต ผู้เรียนจบปริยัติ ชื่อว่า กปิละ ในพระศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่ากัสสปะ เป็นผู้ด่าบริภาษภิกษุทั้งหลายซึ่งไม่เชื่อถ้อยคำของตน เป็นผู้ทำศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าให้เสื่อมไป เพราะกรรมที่เธอทำพระศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นให้เสื่อมไป เธอจึงบังเกิดในอเวจีมหานรก และก็มาเกิดเป็นปลาในบัดนี้ ด้วยเศษแห่งวิบาก ด้วยผลแห่งกรรมที่เธอได้กล่าวพุทธพจน์ สรรเสริญพระพุทธเจ้าเป็นเวลานาน เธอจึงได้วรรณะเช่นนี้ และเพราะเหตุที่เธอได้ด่าบริภาษภิกษุทั้งหลาย กลิ่นเหม็นจึงฟุ้งออกจากปากของปลานั้น มหาบพิตร ตถาคตจะให้ปลานั้นพูด

พระเจ้าปเสนทิโกศลทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาค พระพุทธเจ้าข้า

ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสถามปลานั้นว่า เจ้าคือกปิละหรือ

ปลาตอบว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ถูกแล้วพระพุทธเจ้าข้า ข้าพระองค์ชื่อว่ากปิละ

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า เธอมาจากไหน

ปลาตอบว่า ข้าพระองค์มาจากอเวจีมหานรกพระเจ้าข้า

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า พระโธนะไปไหน

ปลาตอบว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระโธนะปรินิพพานแล้ว

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า นางสาธนีไปไหน

ปลาตอบว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า นางสาธนีเกิดในนรก

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถาม ว่า นางตาปนาไปไหน

ปลาทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า นางตาปนาเกิด ในมหานรก

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า บัดนี้เจ้าจักไปไหน ปลาตอบว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระองค์จักไปสู่มหานรก

ในทันใดนั่นเองปลานั้น ด้วยความเดือดร้อนใจในบาปของตนเข้ามาครอบงำ ปลานั้นจึงใช้ศีรษะฟาดเรือแล้วก็ตายไปเกิดในมหานรก มหาชนเกิดความสังเวช ขนลุกชูชัน ครั้งนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงพระธรรมเทศนาในบริษัท ซึ่งมีทั้งคฤหัสถ์และบรรพชิตที่มาพร้อมกัน

ยโสชมาณพ ออกบวช

ยโสชมาณพ ครั้นได้ฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดาแล้ว เกิดสังเวชสลดใจ เมื่อปรารถนาจะทำที่สุดทุกข์ จึงได้บวชในสำนักของพระศาสดา พร้อมด้วยสหายของตน พักอยู่ ณ ที่ ๆ สมควร บำเพ็ญสมณธรรมแต่ก็ยังไม่บรรลุมรรคผลอันใด

พระพุทธเจ้าไล่พระยโสชะและพวก

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล ภิกษุประมาณ ๕๐๐ รูปมีพระยโสชะเป็นประมุข เดินทางมาถึงพระนครสาวัตถีโดยลำดับ เพื่อจะเฝ้าพระผู้มีพระภาค ก็ภิกษุอาคันตุกะเหล่านั้นปราศรัยอยู่ กับภิกษุทั้งหลายผู้เป็นเจ้าถิ่นปูลาดเสนาสนะ เก็บบาตรและจีวรกันอยู่ ได้ส่งเสียงอื้ออึง

ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสถามท่านพระอานนท์ว่า ดูกรอานนท์ ใครนั่นมีเสียงอื้ออึงเหมือนชาวประมงแย่งปลากัน ท่านพระอานนท์กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุประมาณ ๕๐๐ รูป มีพระยโสชะเป็นประมุขเหล่านี้ เดินทางมาถึงพระนครสาวัตถีโดยลำดับ เพื่อจะเฝ้าพระผู้มีพระภาค ก็ภิกษุผู้อาคันตุกะเหล่านั้นปราศรัยอยู่กับภิกษุทั้งหลายผู้เป็นเจ้าถิ่น ปูลาดเสนาสนะ เก็บบาตรและจีวรกันอยู่ส่งเสียงอื้ออึง พระเจ้าข้า ฯ

พระผู้มีพระภาคทรงตรัสว่า ดูกรอานนท์ ถ้าเช่นนั้น เธอจงเรียกภิกษุเหล่านั้นมา ท่านพระอานนท์จึงได้เข้าไปหาภิกษุเหล่านั้นถึงที่อยู่ ครั้นแล้วได้กล่าวกะภิกษุเหล่านั้นว่าพระศาสดารับสั่งหาท่านทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นจึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วได้นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้าง หนึ่ง พระผู้มีพระภาคตรัสถามภิกษุเหล่านั้นว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุไรหนอ เธอทั้งหลาย จึงส่งเสียงอื้ออึงเหมือนชาวประมงแย่งปลากัน ฯ

เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสถามอย่างนี้แล้ว ท่านพระยโสชะได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุประมาณ ๕๐๐ รูปเหล่านี้เดินทางมาถึงพระนครสาวัตถี โดยลำดับ เพื่อจะเฝ้าพระผู้มีพระภาค ภิกษุผู้อาคันตุกะเหล่านี้ปราศรัยกับภิกษุทั้งหลายผู้เป็นเจ้าถิ่น ปูลาดเสนาสนะ เก็บบาตรและจีวรกันอยู่ส่งเสียงอื้ออึง พระเจ้าข้า ฯ

พระผู้มีพระภาคทรงตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงไป เราประณามเธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายไม่ควรอยู่ในสำนักของเรา ฯ

พระยโสชะและพวกบรรลุพระอรหัต

ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว ลุกจากอาสนะ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค กระทำประทักษิณแล้ว เก็บเสนาสนะ ถือบาตรและจีวรหลีกจาริกไปทางวัชชีชนบท เที่ยวจาริกไปในวัชชีชนบทโดยลำดับ ถึงแม่น้ำวัคคุมุทานที กระทำกุฎีมุงบังด้วยใบไม้ เข้าจำพรรษาอยู่ ใกล้ฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทานที ฯ

ครั้งนั้นแล ท่านพระยโสชะเข้าจำพรรษาแล้ว เรียกภิกษุทั้งหลายมาว่า ดูกร ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคทรงใคร่ประโยชน์ ทรงแสวงหาประโยชน์ ทรงอนุเคราะห์ ทรงอาศัยความอนุเคราะห์ ประณามเราทั้งหลาย

พระผู้มีพระภาคพึงทรงใคร่ประโยชน์แก่เราทั้งหลายผู้อยู่ด้วยประการใด ขอเราทั้งหลายจงสำเร็จการอยู่ด้วยประการนั้นเถิด ภิกษุเหล่านั้นรับคำท่านพระยโสชะแล้ว ครั้งนั้นแล ภิกษุเหล่านั้นหลีกออกจากหมู่ ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยวอยู่ ภิกษุ ๕๐๐ ทั้งหมดนั้นนั่นแล ได้กระทำให้ประจักษ์แก่ตน ซึ่งวิชชา ๓ เหล่านี้ คือ บุพเพนิวาสานุสติญาณ ๑ ทิพยจักขุญาณ ๑ อาสวักขยญาณ ๑ ภายในพรรษานั้นเอง ฯ

พระพุทธเจ้ามีรับสั่งให้พระยโสชะและพวกเข้าเฝ้า

ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ในพระนครสาวัตถีตามพระอัธยาศัยแล้ว เสด็จจาริกไปทางพระนครเวสาลี เสด็จเที่ยวจาริกไปโดยลำดับได้เสด็จถึงพระนครเวสาลี ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ กูฏาคารศาลาป่ามหาวัน ใกล้พระนครเวสาลีนั้น

ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงมนสิการกำหนดใจของภิกษุทั้งหลายผู้อยู่ที่ฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทานทีด้วยพระทัยของพระองค์ แล้วตรัสกะท่านพระอานนท์ว่า ดูกรอานนท์ ภิกษุทั้งหลายผู้อยู่ที่ฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทานทีอยู่ในทิศใด ทิศนี้เหมือนมีแสงสว่างแก่เรา เหมือนมีโอภาสแก่เรา เธอเป็นผู้ไม่รังเกียจที่จะไปเพื่อความสนใจแห่งเรา เธอพึงส่งภิกษุผู้เป็นทูตไปในสำนักแห่งภิกษุทั้งหลายผู้ที่อยู่ฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทานทีด้วยสั่งว่า พระศาสดารับสั่งหาท่านทั้งหลาย พระศาสดาใคร่จะเห็นท่านทั้งหลาย

ท่านพระอานนท์ทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว เข้าไปหาภิกษุรูปหนึ่ง ครั้นแล้วได้กล่าวกะภิกษุนั้นว่า ดูกรอาวุโสท่านจงเข้าไปหาภิกษุทั้งหลายผู้อยู่ที่ฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทานที ครั้นแล้ว จงกล่าวกะภิกษุ ทั้งหลายผู้ที่อยู่ฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทานทีอย่างนี้ว่า พระศาสดารับสั่งหาท่านทั้งหลาย พระศาสดาทรง ประสงค์จะเห็นท่านทั้งหลาย

ภิกษุนั้นรับคำท่านพระอานนท์แล้วหายจากกูฏาคารศาลาป่ามหาวัน ไปปรากฏข้างหน้าภิกษุเหล่านั้นที่ฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทานที เปรียบเหมือนบุรุษผู้มีกำลังพึงเหยียดแขน ที่คู้หรือคู้แขนที่เหยียดฉะนั้น ลำดับนั้น ภิกษุนั้นได้กล่าวกะภิกษุทั้งหลายผู้อยู่ที่ฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทานทีว่าพระศาสดารับสั่งหาท่านทั้งหลาย พระศาสดาทรงประสงค์เห็นท่านทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นรับคำภิกษุนั้นแล้ว เก็บเสนาสนะ ถือบาตรและจีวร หายจากที่ฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทานที ไป ปรากฏเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาค ที่กูฏาคารศาลาป่ามหาวันเปรียบเหมือนบุรุษมีกำลัง พึงเหยียดแขนที่คู้ หรือคู้แขนที่เหยียด ฉะนั้น ฯ

พระเถระทั้งหมดนั่งอยู่ด้วยอาเนญชสมาบัติ ตามเสด็จพระผู้มีพระภาค

ก็สมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคประทับนั่งอยู่ด้วยสมาธิอันไม่หวั่นไหว ครั้งนั้น ภิกษุเหล่านั้นมีความดำริว่า บัดนี้ พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ด้วยวิหารธรรมข้อไหนหนอ ภิกษุเหล่านั้นเมื่อพิจารณาดูด้วยใจจึงทราบว่า บัดนี้ พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ด้วยอาเนญชวิหารธรรม เมื่อทราบดังนั้น ภิกษุทั้งหมดนั้นจึงนั่งอยู่ด้วยอาเนญชสมาบัติ ตามเสด็จพระผู้มีพระภาคฯ

พระอานนท์ไม่ทราบว่าพระศาสดาและเหล่าภิกษุนั่งอยู่ด้วยอาเนญชสมาบัติ

ครั้งนั้นแล เมื่อราตรีล่วงไป เมื่อปฐมยามผ่านไป ท่านพระอานนท์ลุกจากอาสนะ กระทำผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่าข้างหนึ่งประนมอัญชลีไปทางที่พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ได้กราบทูล พระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ราตรีล่วงไปแล้ว ปฐมยามผ่านไปแล้ว ภิกษุอาคันตุกะ ทั้งหลายนั่งอยู่นานแล้วขอพระผู้มีพระภาคทรงปราศรัยกับภิกษุอาคันตุกะทั้งหลายเถิด พระเจ้าข้า ฯ

เมื่อท่านพระอานนท์กราบทูลอย่างนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคได้ทรงนิ่งอยู่แม้ครั้งที่ ๒ เมื่อ ราตรีล่วงไปแล้ว เมื่อมัชฌิมยามผ่านไปแล้ว ท่านพระอานนท์ลุกจากอาสนะ กระทำผ้าอุตราสงค์ เฉวียงบ่าข้างหนึ่ง ประนมอัญชลีไปทางที่พระผู้มีพระภาคประทับอยู่แล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาค ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญราตรีล่วงไปแล้ว มัชฌิมยามผ่านไปแล้ว ภิกษุอาคันตุกะทั้งหลายนั่ง อยู่นานแล้วขอพระผู้มีพระภาคทรงปราศรัยกับภิกษุอาคันตุกะทั้งหลายเถิด พระเจ้าข้า แม้ครั้ง ที่ ๒ พระผู้มีพระภาคได้ทรงนิ่งอยู่ ฯ

แม้ครั้งที่ ๓ เมื่อราตรีล่วงไปแล้ว ปัจฉิมยามผ่านไปแล้ว อรุณขึ้นแล้วเมื่อราตรีรุ่งอรุณ ท่านพระอานนท์ลุกขึ้นจากอาสนะกระทำผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่าข้างหนึ่ง ประนมอัญชลีไปทางที่ พระผู้มีพระภาคประทับอยู่แล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ราตรีล่วง ไปแล้ว ปัจฉิมยามผ่านไปแล้วอรุณขึ้นแล้ว ราตรีรุ่งอรุณ ภิกษุอาคันตุกะทั้งหลายนั่งอยู่นาน แล้ว ขอพระผู้มีพระภาคทรงปราศรัยกับภิกษุอาคันตุกะทั้งหลายเถิด พระเจ้าข้า ฯ

ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเสด็จออกจากสมาธินั้น แล้วตรัสกะท่านพระอานนท์ว่า ดูกรอานนท์ ถ้าว่าเธอพึงรู้ไซร้ ความแจ่มแจ้งแม้มีประมาณเท่านี้ก็ไม่พึงปรากฏแก่เธอ ดูกร อานนท์ เราและภิกษุ ๕๐๐ เหล่านี้ทั้งหมด นั่งแล้วด้วยอาเนญชสมาบัติ ฯ

ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว ทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า

ภิกษุใดชนะหนาม คือ กาม ชนะการด่า การฆ่า และการจองจำได้

แล้ว ภิกษุนั้นมั่นคงไม่หวั่นไหวดุจภูเขา ภิกษุนั้นย่อมไม่หวั่นไหวใน

เพราะสุขและทุกข์ ฯ

พระเถระบำเพ็ญโมเนยยปฏิปทา

ในเรื่องการปฏิบัติโมเนยยปฏิปทานี้ พระพุทธองค์ทรงตรัสว่าเป็นปฏิปทาที่ทำได้โดยยาก ทำให้เกิดความยินดีได้ยาก และพระอรรถกถาจารย์ได้กล่าวว่า ในพุทธธันดรหนึ่ง จะมีพระที่ปฏิบัติโมเนยยปฏิปทาอย่างอุกฤษฏ์ได้เพียงท่านเดียว และในพุทธันดรนี้พระเถระที่ปฏิบัติได้ก็คือท่านพระนาลกเถระ และภิกษุผู้บำเพ็ญโมเนยปฏปทาอย่างอุกฤษฎ์ จะมีชีวิตอยู่ได้ ๗ เดือนเท่านั้น ถ้าบำเพ็ญอย่างกลางจะมีชีวิตอยู่ได้ ๗ ปี ถ้าบำเพ็ญอย่างอ่อนจะมีชีวิตอยู่ได้ ๑๖ ปี พระนาลกเถระนี้บำเพ็ญอย่างอุกฤษฎ์ ฉะนั้นท่านจึงอยู่ได้ ๗ เดือน รายละเอียดในเรื่องการปฏิบัติโมเนยยปฏิปทานี้ อ่านได้จาก ประวัติท่านพระนาลกเถระ

เมื่อพระศาสดาได้ตรัสสั่งให้ท่านยโสชะ พร้อมด้วยบริวารผู้มีอภิญญา ๖ เข้าเฝ้าแล้ว ได้ทรงทำการต้อนรับด้วยอาเนญชสมาบัติ (สมาบัติที่ไม่หวั่นไหว) ต่อมาท่านก็ได้สมาทานธุดงค์ธรรมทุกข้อ แล้วประพฤติธุดงค์นั้น มีรูปร่างผอม เพราะบำเพ็ญโมเนยยปฏิปทา (ข้อปฏิบัติเพื่อเป็นมุนี) ให้บริบูรณ์ ด้วยเหตุนั้น ร่างกายของท่าน จึงผ่ายผอม เศร้าหมอง ผิวพรรณคล้ำไป พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรง สรรเสริญท่าน ด้วยความเป็นผู้มีความปรารถนาน้อยอย่างยิ่ง จึงได้ตรัส พระคาถา ไว้ว่า

นรชนผู้มีใจไม่ย่อท้อ เป็นผู้รู้จักประมาณในข้าวและน้ำ

มีร่างกายซูบผอม มีตัวสะพรั่งไปด้วยเส้นเอ็น เหมือนกับเถาหญ้านาง .

พระเถระผู้อันพระศาสดาทรงสรรเสริญอย่างนี้แล้ว เมื่อจะกล่าวธรรม ที่เหมาะสมกับความที่ตนเป็นผู้อันพระศาสดาทรงสรรเสริญแล้ว แก่ภิกษุ ทั้งหลาย โดยการสรรเสริญอธิวาสนขันติ วิริยารัมภะ และความยินดีในวิเวก ของตนเป็นสำคัญ จึงได้ภาษิตคาถา ๒ คาถาไว้ว่า

ภิกษุถูกเหลือบยุงทั้งหลายกัดแล้วในป่าใหญ่

พึงเป็นผู้มีสติอดกลั้นในอันตรายเหล่านั้น

เหมือนช้างในสงคราม

ภิกษุอยู่ผู้เดียวย่อมเป็นเหมือนพรหมผู้อยู่ ๒ องค์เหมือนเทพเจ้า

ผู้ที่อยู่ด้วยกันมากกว่า ๓ องค์ขึ้นไปเหมือนชาวบ้าน ย่อมมีความโกลาหลมากขึ้น

เพราะฉะนั้น ภิกษุพึงเป็นผู้อยู่แต่ผู้เดียว.
62  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / เรื่องของปลากปิละ ผู้มีอดีตเป็นผู้กล่าวแต่ พระธรรมอย่างเดียว ไม่ปฏิบัติ เมื่อ: มกราคม 28, 2011, 12:45:13 pm
เสนอเนื้อหาไว้สองแบบคะ แบบพระสูตร กับ แบบเนื้อเรื่อง ชอบแบบไหน อ่านแบบนั้นนะคะ
 :93: :93: :93:

๑. เรื่องปลาชื่อกปิละ [๒๔๐]
               
ข้อความเบื้องต้น


   พระศาสดา  เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน   ทรงปรารภปลาชื่อกปิละ
ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " มนุชสฺส "  เป็นต้น.
               
สองพี่น้องออกบวช

   ได้ยินว่า  ในอดีตกาล  ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนาม
ว่ากัสสป   ปรินิพพานแล้ว    กุลบุตรสองคนพี่น้องออกบวชในสำนักแห่ง
พระสาวกทั้งหลาย.
   บรรดากุลบุตรสองคนนั้น    คนพี่ได้ชื่อว่าโสธนะ,  คนน้องชื่อกปิละ.
ส่วนมารดาของคนทั้งสองนั้น    ชื่อว่าสาธนี,    น้องสาวชื่อตาปนา.    แม้
หญิงทั้งสองนั้น     ก็บวชแล้วใน  ( สำนัก ) ภิกษุณี.    เมื่อคนเหล่านั้นบวช
แล้วอย่างนั้น      พี่น้องทั้งสองทำวัตรและปฏิวัตรแก่พระอาจรรย์และพระ-
อุปัชฌายะอยู่    วันหนึ่ง    ถามว่า  " ท่านขอรับ   ธุระในพระศาสนานี้มี
เท่าไร ?"    ได้ยินว่า    " ธุระมี ๒ อย่าง    คือ  คันถธุระ  ๑   วิปัสสนา-
ธุระ  ๑,"   ภิกษุผู้เป็นพี่คิดว่า  " เราจักบำเพ็ญวิปัสสนาธุระ"  อยู่ในสำนัก
แห่งพระอาจารย์และพระอุปัชฌาย์  ๕ พรรษาแล้ว     เรียนกัมมัฏฐานจน
ถึงพระอรหัต   เข้าไปสู่ป่าพยายามอยู่   ก็บรรลุพระอรหัตผล.
           
น้องชายเมาในคันถธุระ

   ภิกษุน้องชายคิดว่า      " เรายังหนุ่มก่อน,    ในเวลาแก่จึงจักบำเพ็ญ

   

หน้าที่ 271

วิปัสสนาธุระ "   จึงเริ่มตั้งคันถธุระ   เรียนพระไตรปิฎก.   บริวารเป็นอัน   
มากได้เกิดขึ้น   เพราะอาศัยปริยัติของเธอ,   ลาภก็ได้เกิดขึ้น   เพราะอาศัย
บริวาร.   เธอเมาแล้วด้วยความเมาในความเป็นผู้สดับมาก  อันความทะยาน
อยากในลาภครอบงำแล้ว    เพราะเป็นผู้สำคัญตัวว่าฉลาดยิ่ง   ย่อมกล่าวแม้
สิ่งที่เป็นกัปปิยะ   อันคนเหล่าอื่นกล่าวแล้วว่า   " เป็นอกัปปิยะ,"    กล่าว
แม้สิ่งที่เป็นอกัปปิยะว่า     " เป็นกัปปิยะ,"    กล่าวแม้สิ่งที่มีโทษว่า  " ไม่มี
โทษ,"  กล่าวแม้สิ่งไม่มีโทษว่า " มีโทษ."   เธอแม้อันภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก
ทั้งหลายกล่าวว่า  " คุณกปิละ    คุณอย่าได้กล่าวอย่างนี้ "    แล้ว      แสดง
ธรรมและวินัยกล่าวสอนอยู่   ก็กล่าวว่า " พวกท่านจะรู้อะไร ?  พวกท่าน
เช่นกับกำมือเปล่า"  เป็นต้นแล้ว   ก็เที่ยวขู่ตวาดภิกษุทั้งหลายอยู่.
           
น้องชายไม่เชื่อพี่

   ครั้งนั้น  ภิกษุทั้งหลายบอกเนื้อความนั้นแม้แก่พระโสธนเถระผู้เป็น
พี่ชายของเธอแล้ว.     แม้พระโสธนะเถระเข้าไปหาเธอแล้ว     ตักเตือนว่า
" คุณกปิละ       ก็การปฏิบัติชอบของภิกษุทั้งหลายผู้เช่นเธอชื่อว่าเป็นอายุ
พระศาสนา;     เพราะฉะนั้น  เธออย่าได้ละการปฏิบัติชอบแล้ว      กล่าว
คัดค้านสิ่งที่เป็นกัปปิยะเป็นต้นอย่างนั้นเลย."      เธอมิได้เอื้อเฟื้อถ้อยคำแม้
ของท่าน.   แม้เมื่อเป็นเช่นนี้    พระเถระก็ตักเตือนเธอ ๒ - ๓ ครั้ง  ทราบ
เธอผู้ไม่รับคำตักเตือนว่า    " ภิกษุนี้ไม่ทำตามคำของเรา"     จึงกล่าวว่า
" คุณ  ถ้าดังนั้น  เธอจักปรากฏด้วยกรรมของตน   ดังนี้แล้ว  หลีกไป.
          
น้องชายเสียคนเพราะถูกทอดทิ้ง

   จำเดิมแต่นั้น   ภิกษุทั้งหลายผู้มีศีลเป็นที่รัก   แม้เหล่าอื่น  ทอดทิ้ง

   

หน้าที่ 272

เธอแล้ว.     เธอเป็นผู้มีความประพฤติชั่ว     อันพวกผู้มีความประพฤติชั่ว 
แวดล้อมอยู่   วันหนึ่ง   คิดว่า  " เราจักสวดปาติโมกข์ "   จึงถือพัดไปนั่ง
บนธรรมาสน์ในโรงอุโบสถแล้ว   ถามว่า   " ผู้มีอายุ  ปาติโมกข์ย่อมเป็นไป
เพื่อภิกษุทั้งหลายผู้ประชุมกันแล้วในที่นี้หรือ ?"   เห็นภิกษุทั้งหลายนิ่งเสีย
ด้วยคิดว่า  " ประโยชน์อะไร    ด้วยคำโต้ตอบที่เราให้แก่ภิกษุ ?"    จึง
กล่าวว่า    " ผู้มีอายุ    ธรรมก็ดี    วินัยก็ดี    ไม่มี,    ประโยชน์อะไรด้วย
ปาติโมกข์   ที่พวกท่านจะฟังหรือไม่ฟัง"  ดังนี้แล้ว    ก็ลุกไปจากอาสนะ.
เธอยังศาสนาคือปริยัติของพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่ากัสสปให้
เสื่อมลงแล้วด้วยอาการอย่างนี้.    แม้พระโสธนเถระก็ปรินิพพานในวันนั้น
เอง.
   ในกาลสิ้นอายุ   ภิกษุกปิละเกิดในอเวจีมหานรก.   มารดาและน้อง-
สาวของเธอแม้นั้น    ถึงทิฏฐานุคติของเธอนั่นแล   ด่าบริภาษภิกษุทั้งหลาย
ผู้มีศีลเป็นที่รักแล้ว  ก็บังเกิดในอเวจีมหานรกนั้นเหมือนกัน.
           
โจรเกิดในเทวโลกด้วยอำนาจของศีล

   ก็ในกาลนั้น  บุรุษ  ๕๐๐ คนทำโจรกรรมมีการปล้นชาวบ้านเป็นต้น
เป็นอยู่ด้วยกิริยาของโจร   ถูกพวกมนุษย์ในชนบทตามจับแล้ว   หนีเข้าป่า
ไม่เห็นที่พึ่งอะไรในป่านั้น        เห็นภิกษุผู้อยู่ในป่าเป็นวัตรรูปใดรูปหนึ่ง
ไหว้แล้ว     กล่าวว่า  " ท่านผู้เจริญ    ขอท่านจงเป็นที่พึ่งของพวกข้าพเจ้า
เถิด."
   พระเถระกล่าวว่า   " ชื่อว่าที่พึ่งเช่นกับศีล  ย่อมไม่มีแก่ท่านทั้งหลาย,
พวกท่านแม้ทั้งหมดจงสมาทานศีล ๕  เถิด."
   โจรเหล่านั้นรับว่า   " ดีละ"   ดังนี้แล้ว   สมาทานศีลทั้งหลาย.

   

หน้าที่ 273

        ลำดับนั้น   พระเถระตักเตือนโจรเหล่านั้นว่า   " บัดนี้    พวกท่าน 
เป็นผู้มีศีล;     พวกท่านไม่ควรล่วงศีลแม้เพราะเหตุแห่งชีวิตเลย;     ความ
ประทุษร้ายทางใจ  ก็ไม่ควรทำ."   โจรเหล่านั้นรับว่า  " ดีละ "  แล้ว.
   ครั้งนั้น   ชาวชนบทเหล่านั้น (มา) ถึงที่นั้นแล้ว    ค้นหาข้างโน้น
ข้างนี้    พบโจรเหล่านั้นแล้ว    ก็ช่วยกันปลงชีวิตเสียทั้งหมด.    พวกโจร
เหล่านั้นทำกาละแล้ว     ก็บังเกิดในเทวโลก.    หัวหน้าโจรได้เป็นหัวหน้า
เทพบุตร.
           
เทพบุตรถือปฏิสนธิในตระกูลชาวประมง
 
   เทพบุตรเหล่านั้น  ท่องเที่ยวไปในเทวโลกสิ้นพุทธันดรหนึ่ง   ด้วย
อำนาจอนุโลมและปฏิโลม      ในพุทธุปบาทกาลนี้     บังเกิดแล้วในบ้าน
ชาวประมง ๕๐๐ ตระกูล   ใกล้ประตูพระนครสาวัตถี.   หัวหน้าเทพบุตร
ถือปฏิสนธิในเรือนของหัวหน้าชาวประมง,    พวกเทพบุตรนอกนี้    ถือ
ปฏิสนธิในเรือนชาวประมงนอกนี้.    การถือปฏิสนธิและการออกจากท้อง
มารดาแห่งชนเหล่านั้น  ได้มีแล้วในวันเดียวกันทั้งนั้น  ด้วยประการฉะนี้.
   หัวหน้าชาวประมงให้คนเที่ยวแสวงหาว่า  " พวกทารกแม้เหล่าอื่น
ในบ้านนี้   เกิดแล้วในวันนี้มีอยู่บ้างไหม ?"  ได้ยินความที่ทารกเหล่านั้น
เกิดแล้ว   จึงสั่งให้ ๆ ทรัพย์ค่าเลี้ยงดูแก่ชาวประมงเหล่านั้น     ด้วยตั้งใจว่า
" พวกทารกนั้น    จักเป็นสหายของบุตรเรา."    ทารกเหล่านั้นแม้ทุกคน
เป็นสหายเล่นฝุ่นร่วมกัน      ได้เป็นผู้เจริญวัยโดยลำดับแล้ว     บรรดาเด็ก
เหล่านั้น  บุตรของหัวหน้าชาวประมงได้เป็นผู้เยี่ยมโดยยศและอำนาจ.
              
กปิละเกิดเป็นปลาใหญ่

   แม้ภิกษุกปิละ     ไหม้ในนรกสิ้นพุทธันดรหนึ่งแล้ว      ในกาลนั้น

   

หน้าที่ 274

บังเกิดเป็นปลาใหญ่ในแม่น้ำอจิรวดี  มีสีเหมือนทองคำ  มีปากเหม็น  ด้วย 
เศษแห่งวิบาก.
   ต่อมาวันหนึ่ง   สหายเหล่านั้นปรึกษากันว่า   " เราจักจับปลา "   จึง
ถือเอาเครื่องจับสัตว์น้ำมีแหเป็นต้น     ทอดไปในแม่น้ำ.   ทีนั้นปลานั้นได้
เข้าไปสู่ภายในแหของคนเหล่านั้น.   ชาวบ้านประมงทั้งหมด   เห็นปลานั้น
แล้ว     ได้ส่งเสียงเอ็ดอึงว่า  " ลูกของพวกเราเมื่อจับปลาครั้งแรก     จับได้
ปลาทองแล้ว,   คราวนี้    พระราชาจักพระราชทานทรัพย์แก่เราเพียงพอ."
สหายแม้เหล่านั้นแล   เอาปลาใส่เรือ   ยกเรือขึ้นแล้วก็ไปสู่พระราชสำนัก.
   แม้เมื่อพระราชาทอดพระเนตรเห็นปลานั้น  ตรัสว่า     " นั่นอะไร ? "
พวกเขาได้กราบทูลว่า    " ปลา  พระเจ้าข้า."   พระราชาทอดพระเนตรเห็น
ปลามีสีเหมือนทองคำ  ทรงดำริว่า   " พระศาสดาจักทรงทราบเหตุที่ปลานั่น
เป็นทองคำ"  ดังนี้แล้ว  รับสั่งให้คนถือปลา  ได้เสด็จไปสู่สำนักพระผู้มี-
พระภาคเจ้า.   เมื่อปากอันปลาพออ้าเท่านั้น  พระเชตวันทั้งสิ้น  ได้มีกลิ่น
เหม็นเหลือเกิน.
   พระราชาทูลถามพระศาสดาว่า  " พระเจ้าข้า   เพราะเหตุไร   ปลา
จึงมีสีเหมือนทองคำ ?   และเพราะเหตุไร    กลิ่นเหม็นจึงฟุ้งออกจากปาก
ของมัน ? "
   พระศาสดา.  มหาบพิตร  ปลานี้ได้เป็นภิกษุชื่อกปิละ   เป็นพหูสูต
มีบริวารมาก   ในธรรมวินัยของพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่ากัสสป,
ถูกความทะยานอยากในลาภครอบงำแล้ว     ด่าบริภาษพวกภิกษุผู้ไม่ถือคำ
ของตน   ยังพระศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่ากัสสป  ให้
เสื่อมลงแล้ว .     เขาบังเกิดในอเวจีด้วยกรรมนนั้นแล้ว      บัดนี้เกิดเป็นปลา

   

หน้าที่ 275

ด้วยเศษแห่งวิบาก;   ก็เพราะเธอบอกพระพุทธวจนะ   กล่าวสรรเสริญคุณ 
พระพุทธเจ้าสิ้นกาลนาน,   จึงได้อัตภาพมีสีเหมือนทองคำนี้    ด้วยผลแห่ง
กรรมนั้น.    เธอได้เป็นผู้บริภาษภิกษุทั้งหลาย    กลิ่นเหม็นจึงฟุ้งออกจาก
ปากของเธอ  ด้วยผลแห่งกรรมนั้น;  มหาบพิตร  อาตมภาพจะให้ปลานั้น
พูด.
   พระราชา.  ให้พูดเถิด  พระเจ้าข้า.
   ลำดับนั้น    พระศาสดาตรัสถามปลาว่า  " เจ้าชื่อกปิละหรือ  ? "
   ปลา.  พระเจ้าข้า   ข้าพระองค์ชื่อกปิละ.
   พระศาสดา.  เจ้ามาจากที่ไหน ?
   ปลา.   มาจากอเวจีมหานรก  พระเจ้าข้า.
   พระศาสดา.  พระโสธนะพี่ชายใหญ่ของเจ้าไปไหน ?
   ปลา.  ปรินิพพานแล้ว   พระเจ้าข้า.
   พระศาสดา.   ก็นางสาธนีมารดาของเจ้าเล่าไปไหน ?
   ปลา.  เกิดในนรก  พระเจ้าข้า.
   พระศาสดา.  นางตาปนาน้องสาวของเจ้าไปไหน ?
   ปลา.  เกิดในมหานรก   พระเจ้าข้า.
   พระศาสดา.  บัดนี้เจ้าจักไปที่ไหน ?
   ปลาชื่อกปิละกราบทูลว่า  " จักไปสู่อเวจีมหานรกดังเดิม พระเจ้าข้า "
ดังนี้แล้ว   อันความเดือดร้อนครอบงำแล้ว   เอาศีรษะฟาดเรือ    ทำกาละ
ในทันทีนั่นเอง   เกิดในนรกแล้ว.   มหาชนได้สลดใจมีโลมชาติชูชันแล้ว.
             พระศาสดาตรัสกปิลสูตร   
   ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรวจดูวาระจิตของบริษัทผู้ประชุม

   

หน้าที่ 276

กันในขณะนั้น       เพื่อจะทรงแสดงธรรมให้สมควรแก่ขณะนั้น  จึงตรัส 
กปิลสูตรในสุตตนิบาต๑ว่า     " นักปราชญ์ทั้งหลาย    ได้กล่าวการประพฤติ
ธรรม ๑   การประพฤติพรหมจรรย์ ๑   นั่น   ว่าเป็นแก้วอันสูงสุด"   ดังนี้
เป็นต้นแล้ว  ได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า:-
          ๑.   มนุชสฺส  ปมตฺตจาริโน             
         ตณฺห  วฑฺฒติ  มาลุวา  วิย
         โส  ปลวตี  หุราหุรํ
         ผลมิจฺฉํว  วนสฺมึ  วานโร.
   ยํ  เอสา  สหตี  ชมฺมี                  ตณฺหา  โลเก   วิสตฺติกา
   โสกา  ตสฺส  ปวฑฺฒนฺติ             อภิวฑฺฒํว  พีรณํ.
   โย    เจ  ตํ    สหตี   ชมฺมึ             ตณฺหํ  โลเก  ทุรจฺจยํ
   โสกา  ตมฺหา  ปปตนฺติ                อุทพินฺทุว  โปกฺขรา.
   ตํ   โว   วทามิ  ภทฺทํ   โว             ยาวนฺเตตฺถ  สมาคตา
   ตณฺหาย   มูลํ    ขณถ                    อุสีรตฺโถว   พีรณํ.
   มา   โว   นฬํ  ว  โสโตว              มาโร   ภญฺชิ   ปุนปฺปุนํ.
      " ตัณหา   ดุจเถาย่านทราย  ย่อมเจริญแก่คนผู้มี
   ปกติประพฤติประมาท.   เขาย่อมเร่ร่อนไปสู่ภพน้อย
   ใหญ่   ดังวานรปรารถนาผลไม้เร่ร่อนไปในป่าฉะนั้น.
   ตัณหานี้เป็นธรรมชาติลามก  มักแผ่ซ่านไปในอารมณ์
   ต่าง ๆ ในโลก    ย่อมครอบงำบุคคลใด   ความโศก
   ทั้งหลายย่อมเจริญแก่บุคคลนั้น,  ดุจหญ้าคมบางอัน
๑.  ขุ.  สุ. ๒๕/ ข้อ ๓๒๑.  ธรรมจริยสูตร.
63  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / Re: เมื่อเพื่อนคนหนึ่งมาปรึกษา....เรื่องที่จะทำให้ใจสงบ เมื่อ: มกราคม 27, 2011, 08:14:42 am
อ่านเรื่องนี้ที่ลิงก์นี้ดีไหมคะ เนื้อเรื่องคำถามดูจะคล้ายกัน

ความรัก เมื่อเกิดขึ้นแล้วจะแก้อย่างไร

http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=348.0

 :58:
64  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / Re: โกหกพ่อแม่ เพื่อให้ท่านสบายใจ เป็นบาปมากหรือป่าวคะ เมื่อ: มกราคม 27, 2011, 08:13:04 am
จำจากพระอาจารย์พูดไว้่ว่า เจตนา เป็น กรรม

  ดังนั้น ถ้าเราโกหก พ่อ แม่ เราสบายใจ เพราะปกปิดเรื่องไม่ดีของเราเอง มันก็มีเหตุผลอยู่ เืพื่อความสุขของท่าน

แต่อย่าลืม พ่อ แม่ เป็นพระอรหันต์ของลูก หนักหนาสาหัสอย่างไร ก็ไม่ควรโกหก

 เพราะโทษของการโกหก เราจะไม่เป็นที่ไว้วางใจของท่านต่อไป และมีผลสะท้อนตามมาข้างหลัง อีกมาก

เปลี่ยนวิธีเป็น ค่อย ๆ บอกความจริง ถ้าดูแล้วจะช๊อกกับเรื่องของเรา ค่อย ๆ บอกไปทีละนิดดีกว่า

 :93:
65  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สัตว์จำศีลคืออะไร เมื่อ: มกราคม 26, 2011, 12:39:56 pm
      
สัตว์จำศีล (Hibernation)

         การจำศีลของสัตว์ หมายถึง ช่วงเวลาที่สัตว์หยุดพัก หยุดเคลื่อนที่ โดยเคลื่อนไหวน้อยที่สุด เพื่อถนอมพลังงานในร่างกายให้ถูกใช้น้อยที่สุดเท่าที่จะน้อยได้ และใช้พลังงานจากส่วนที่ถูกสะสมเอาไว้ เช่น จากไขมันบริเวณต่าง ๆ ของร่างกาย

การจำศีลเกิดขึ้นเมื่ออยู่ในช่วงที่สภาวะแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม เช่น หนาวเกินไป หรือแห้งเกินไป ซึ่งเมื่อก่อนจะถึงฤดูจำศีล สัตว์จะกินอาหารอย่างเต็มที่ เพื่อสะสมอาหารไว้ใช้ตลอดช่วงจำศีล

สถานที่และพฤติกรรมในการจำศีล แตกต่างกันออกไปตามชนิดของสัตว์ เช่น

นก          -        จำศีลชั่วคราวโดยการนอนหลับครั้งละหลาย ๆ วัน

เต่า , งู     -        นอนเบียดหรือทับกัน เพื่อให้อุณหภูมิสูงกว่าสิ่งแวดล้อม 1-2 องศาเซลเซียส

หอย        -        เข้าไปอยู่ใต้ขอนไม้ผุ ๆ หรือใต้ก้อนหิน สร้างเมือกเคลือบปิดฝาเอาไว้

กบ          -        จำศีลในรูดินที่มีความชื้น ส่วนกบป่าจำศีลใต้ก้อนหิน ท่อนไม้หรือตอไม้ในป่า

ปลาช่อน    -        จำศีลโดยการฝังตัวอยู่ในโคลนที่มีความชื้น พอฝนตกลงมา ดินอ่อนเป็นโคลนตมก็โผล่ขึ้นมาจากดิน

          การจำศีลจะสิ้นสุดลงเมื่อสิ้นฤดูหนาวเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ หรือในกรณีจำศีลหน้าร้อนจะสิ้นสุดลงเมื่อหมดฤดูร้อนเข้าฤดูฝน






เอกสารอ้างอิง

ปรีชา สุวรรณพินิจ,นงลักษณ์ สุวรรณพินิจ,ชีววิทยา 2 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 2549, สัตววิทยา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
66  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ทำ..ในสิ่งที่อยากจะทำ‏ เมื่อ: มกราคม 26, 2011, 12:36:48 pm



บทความนี้เขียนขึ้นโดย จอร์จ คอลลิน ซึ่งเป็นดาราตลกที่โด่งดัง
เขาเขียนขึ้นในวันที่ 11 กันยายน (ตึกเวิรด์เทรดถล่ม)
หลังจากที่ทราบว่าภรรยาของเขาเสียชีวิตในตึกนั้นด้วย…… ทำ..ในสิ่งที่อยากจะทำ
อยากให้ทุกคนได้อ่าน ข้อความนี้ มีความหมายดีนะ
ทุกวันนี้เรามีตึกสูงขึ้น มีถนนกว้างขึ้นแต่ความอดกลั้นน้อยลง
เรามีบ้านใหญ่ขึ้น แต่ครอบครัวของเรากลับเล็กลง
เรามียาใหม่ ๆ มากขึ้น แต่สุขภาพกลับแย่ลง
เรามีความรักน้อยลง แต่มีความเกลียดมากขึ้น
เราไปถึงโลกพระจันทร์มาแล้ว แต่เรากลับพบว่า
แค่การข้ามถนนไปทักทายเพื่อนบ้านกลับยากเย็น…..
เราพิชิตห้วงอวกาศมาแล้ว แต่แค่ห้วงในหัวใจกลับไม่อาจสัมผัสถึง
เรามีรายได้สูงขึ้น แต่ศีลธรรมกลับตกต่ำลง
เรามีอาหารดี ๆ มากขึ้นแต่สุขภาพแย่ลง
ทุกวันนี้ทุกบ้านมีคนหารายได้ได้ถึง 2 คน แต่การหย่าร้างกลับเพิ่มมากขึ้น
ดังนั้น …… จากนี้ไป …… ขอให้พวกเรา
อย่าเก็บของดี ๆ ไว้โดยอ้างว่าเพื่อโอกาสพิเศษ
เพราะทุกวันที่เรายังมีชีวิตอยู่คือ …… โอกาสที่พิเศษสุด…… แล้ว
จงแสวงหา การหยั่งรู้
จงนั่งตรงระเบียงบ้านเพื่อชื่นชมกับการมีชีวิตอยู่ โดยไม่ใส่ใจกับความ….. อยาก …
จงใช้เวลากับครอบครัว เพื่อนฝูงคนที่รักให้มากขึ้น …….
กินอาหารให้อร่อย ไปเที่ยวในที่ที่อยากจะไป
ชีวิตคือโซ่ห่วงของนาทีแห่งความสุขไม่ใช่เพียงแค่การอยู่ให้รอด
เอาแก้วเจียระไนที่มีอยู่มาใช้เสีย
น้ำหอมดี ๆ ที่ชอบ จงหยิบมาใช้เมื่ออยากจะใช้
เอาคำพูดที่ว่า ……. สักวันหนึ่ง …….. ออกไปเสียจากพจนานุกรม
บอกคนที่เรารักทุกคนว่าเรารักพวกเขาเหล่านั้นแค่ไหน
อย่าผลัดวันประกันพรุ่ง
ที่จะทำอะไรก็ตามที่ทำให้เรามีความสุขเพิ่มขึ้น
ทุกวัน ทุกชั่วโมง ทุกนาที มีความหมาย
เราไม่รู้เลยว่าเมื่อไรมันจะสิ้นสุดลง…
   :58:
67  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / หินสีช่วยคลายเครียดได้ เมื่อ: มกราคม 26, 2011, 12:27:50 pm


คิดมาก นอนไม่หลับเลย : หินสีม่วงอะเมทิสต์จะช่วยคลายเครียด ลดอาการฟุ้งซ่าน ใส่หินสีม่วงไว้ใต้หมอนจะช่วยให้นอนหลับสนิทขึ้นไม่มั่นใจ

          เก็บกด อัดอั้นตันใจ : หินคาร์เนเลียนสีส้มที่ช่วยเรื่องปวดท้องรอบเดือน มีลูกยาก ยังช่วยให้เรารู้สึกมันใจและกล้าที่จะบอกความในใจที่อึดอัดอยู่ไม่แน่ใจ
 
          ลังเล ตัดสินใจไม่ถูก : ถ้าคุณเป็นคนที่ต้องตัดสินใจอะไรบ่อยๆ ก็ต้องมีบ้างที่ลังเล แนะนำพกหยกหินสีเขียวนี่ล่ะไว้ติดตัว จะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ ว่องไวและแน่วแน่ขึ้นหมดไฟ

          หัวทึบ คิดงานไม่ออก : หินสีแดงอย่างทับทิม หรือปะการังสีแดง จะช่วยเพิ่มความคิดสร้างสรรค์ ให้ไอเดียปรู๊ดปร๊าดได้
 
           โกรธแฟน แค้นจัด ไม่ให้อภัยซะที : หาหินสีชมพูโรสควอตซ์ มาใส่ไว้กับตัว เวลาที่น้อยใจโกรธแค้นขึ้นมาค่อยๆ กำมาไว้ใกล้ๆหัวใจ จะช่วยให้ใจเย็นขึ้น หายใจผ่อนคลายขึ้น ก็หินสีชมพูนี้เป็นหินแห่งความรัก การให้อภัย คนที่ทะเลาะกับแฟนบ่อยๆ ควรพกไว้ ทุกอย่างจะดีขึ้น

หินและอัญมณีบำบัด

คน โบราณเชื่อว่าอัญมณี พลอยและหินสีทั้งหลายเป็นสิ่งมหัศจรรย์ตามธรรมชาติ มีพลังอำนาจมนต์วิเศษอยู่ในตัวเอง ที่ธรรมชาติคอยเกื้อหนุนมนุษย์ชาติ อัญมณีและหินสีนอกจากจะใช้เป็นเครื่องประดับซึ่งบ่งบอกฐานะของผู้ครอบครอง แล้วยังสามารถช่วยรักษาอาการเจ็บป่วยทางกายและทางจิตใจของคนเราได้ตามความ เชื่อของคนโบราณที่สืบทอดมานับพันปี

นับ เนื่องมาจนถึงปัจจุบันนี้ ขณะที่เทคโนโลยีล้ำอนาคตมีมากขึ้น ผู้คนก็เริ่มจะคืนกลับไปแสวงหาธรรมชาติกันมากขึ้นโดยถือกันว่าการกลับคืนสู่ ธรรมชาติคือความสงบอันแท้จริงของจิตวิญญาณ

หิน และอัญมณีเกิดจากธาตุทั้งสี่และกาลเวลาซึ่งซึมซับรับพลังทุกสิ่งจากธรรมชาติ อันเป็นพลังงานบริสุทธิ์ ซึ่งเมื่อเราเข้าใจถึงคุณสมบัติพิเศษของหินหรืออัญมณีแต่ละชนิดก็จะทำให้เรา สามารถนำมาใช้ประโยชน์ในการบำบัด รักษาโรคภัยไข้เจ็บทั้งทางกายและทางจิตใจ เสริมสร้างความมั่นคงกล้าหาญ ที่จะต่อสู้อุปสรรคในชีวิต ทั้งยังสามารถใช้เพื่อเพิ่มความเป็นสิริมงคลและความสวยงามตามแต่บุคลิก ลักษณะและฐานะของแต่ละคน
         
ที่มา http://variety.teenee.com/foodforbrain/14304.html
   
68  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: ร้องตรวจสอบพระธุดงค์เดินเรี่ยไร บิณฑบาตหลัง9โมงเช้า เมื่อ: มกราคม 26, 2011, 12:15:46 pm
เดี๋ยวนี้คนยิ่งจะไม่เคารพระแล้ว เพราะพวกปลอมเป็นพระมา ทำลายศรัทธา

ลำพังพระสงฆ์ ที่บวชมาหากินแล้ว ยังมาเจอพวกนี้อีกก็หนัก

 :91:
69  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: นำ้ของเซ่นเจ้า ใส่บาตร ได้บุญ หรือ ได้บาป คะ เมื่อ: มกราคม 25, 2011, 07:28:35 pm
ละเอียดมาก คะ ได้ความรู้เรื่อง เจ้า เพิ่มขึ้นปกติ ก็ใ่ส่แต่น้ำชา วางผลไม้ ขนม จุดธูป ไม่ค่อยทราบว่าไหว้ใครบ้าง
พึ่งทราบความหมาย ที่ไหว้คะ คนลำปาง ในเมือง  คนจีนก็มีมากคะ

 :13: :13: :13:
70  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: สลด..แม่กอดลูกวัย 3 วัน โดดตึก รพ.เจริญกรุงประชารักษ์ ดับคู่ เมื่อ: มกราคม 25, 2011, 11:09:25 am
พูดถึงเรื่องการบูชานาราย์ด้วยการฆ่าลูกตัวเอง เจ้าตัวก็บอกบูชา พระนารายณ์ ก็คล้าย ๆ การสะกดจิตให้ทำ
ลองเสริช เรื่องนี้ดูสิคะ เห็นว่าลักษณะการตาย คล้าย ๆ กัน

 คนสติ ไม่ดี คนบ้า อะไรเป็นมูลเหตุ ให้เป็นอย่างนั้น คะลองช่วยกันวิเคราะห์ได้หรือป่าวคะ

 อย่่างคุณหมอ พวกที่ไปเข้าพิธีแล้วมีอาการของขึ้นพวกนี้ เรียกว่าโรคอุปาทานหมู่เช่นกันคะ

 :smiley_confused1:
71  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: ชุมชนนิมนต์ยิ้ม คลายเรื่อง ซีเรียสบ้างนครับ ( สงสารเด็ก ๆ ) เมื่อ: มกราคม 24, 2011, 01:17:26 pm
หัวข้อนี้ วีดีโอ โดนลบแล้วนะคะ

 :25:
72  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: คนเป็นทอมแปลงเพศแล้ว บวชพระได้หรือป่าวคะ เมื่อ: มกราคม 24, 2011, 12:46:19 pm
คนเป็นทอม ถ้าไม่บอกก็ดูยาก คะถ้าบวช เป็นแม่ชี หรือ พระภิกษุณี ก็พอจะได้ คะ

แต่ว่า บวชถือศีล 8 ทดสอบก่อนดีกว่านะคะ เพราะเดี๋ยวไปทำให้เป็นบาปแก่ตนป่าว ๆ คะ

 :smiley_confused1:
73  กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับ วัด พระสงฆ์ พระธาตุ พระเครื่อง / Re: หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน พิจิตร เมื่อ: มกราคม 23, 2011, 08:18:30 am
หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน 1/10

หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน 2/10

หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน 3/10

หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน 4/10

หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน 5/10

หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน 6/10

หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน 7/10

หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน 8/10

หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน 9/10

หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน 10/10


ขอบคุณผู้เผยแพร่

winai2493 บน youtube คะ

74  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 17 มกราคม 2554 ได้เกิดเหตเพลิงไหม้ที่วัดศรีชุม จังหวัดลำปาง เมื่อ: มกราคม 22, 2011, 09:23:00 am


                    เมื่อกลางดึกวันที่ 17 มกราคม 2554 ได้เกิดเหตเพลิงไหม้ที่วัดศรีชุม จังหวัดลำปาง ทำให้กุฎิไม่สักเก่าแก่ ที่เป็นสถาปัตยกรรมแบบพม่าอายุกว่า 100 ปี วอดทั้งหลัง พระพุทธรูปเก่าแก่ถูกเพลิงไหม้ และมีพระภิกษุบาดเจ็บ2 รูป เนื่องจากถูกไฟลวก ขณะพยายามนำถังน้ำเข้าไปดับไฟ โดยวัดศรีชุมแห่งนี้ เป็นวัดที่กรมศิลปากร จัดให้เป็นโบราณสถานสำคัญ เละในเบื้องต้นประเมินความเสียหายไม่ต่ำกว่า 10 ล้าน ขณะที่โบราณสถานและ พระพุทธรูปสำคัญ ซึ่งมีความเก่าแก่นั้นประเมินค่ามิได้ 







เกิดเหตุเพลิงไหม้วัดศรีชุม อ.เมือง จ.ลำปาง ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่ศิลปพม่า สร้างเมื่อ พ.ศ. 2433 อายุกว่า 120 ปี เปลวเพลิง ได้ไหม้โหมกระหน่ำ อาคารวิหารไม้เก่าแก่ 2 ชั้น เป็นแบบปูนและไม้ เสียหายเกือบทั้งหมด ส่วน พระไม้หอมแก่นจันทร์ ปางมารวิชัยขัดสมาธิ หน้าตักกว้าง 29 นิ้ว พร้อมแท่นไม้สักลาย 12 ราศี ซึ่งเป็นของสำคัญในวัดถูกไฟไหม้เสียหายอีกด้วย ซึ่งประเมินค่าไม้ได้

จากการสอบสวน พระจีรวัฒน์ อายุ 34 เป็นพระลูกวัดเล่าว่า กลางดึกที่ผ่านมาเห็นควันไฟลุกบนเพดานวิหารชั้น 2 ตนเอง พร้อมพระลูกวัด จึงนำน้ำมาช่วยกันดับ แต่พระลูกวัด 2 รูป ถูกไฟไหม้ร่างกายและแขน ได้รับบาดเจ็บ ถูกเจ้าหน้าที่กู้ภัย นำส่ง ร.พ.ทันที ไม่นานนัก มีรถดับเพลิงมา กว่า 10 คัน เข้ามาระงับเหตุไว้ได้ โดยใช้เวลากว่า 40 นาที จึงควบคุมเพลิงได้

ทั้งนี้ วัดศรีชุม เป็นวัดที่ กรมศิลปากร ประกาศให้เป็นโบราณสถานแห่งชาติ เมื่อปี 2524 สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย เอกลักษณ์ของวัดศรีชุม คือสถาปัตยกรรมเป็นแบบพม่า มีปูชนียวัตถุ คือ เจดีย์พระพุทธรูปจากพม่า วัดศรีชุม นั้นเคยถูกไฟไหม้ครั้งใหญ่มาแล้ว เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2535 ส่วนในเกิดเหตุ คือ วันนี้ ครบรอบ 1 ปี กับอีก 3 วันพอดี มูลค่าความเสียหาย ไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท ส่วนสาเหตุการเกิดเพลิงไหม้ เจ้าหน้าที่ตำรวจกองพิสูจน์หลักฐานลำปาง กำลังเดินทางเข้าตรวจสอบแล้ว





ภาพข่าว
http://www.lampang108.com/wb/read.php?tid-6126.html
75  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สลด! แม่เล่นเฟซบุ๊กเพลิน ปล่อยลูกจมอ่างน้ำดับ เมื่อ: มกราคม 22, 2011, 09:07:03 am

เมื่อวันที่ 15 มกราคมที่ผ่านมา สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ตำรวจรัฐโคโลราโด จับกุม แชนนอน จอห์นสัน คุณแม่วัย 34 ปี มาดำเนินคดี ฐานนั่งเล่นเกมในเฟซบุ๊กจนปล่อยให้ลูกวัย 1 ขวบ จมน้ำในอ่างน้ำเสียชีวิต

          เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อเดือนกันยายน 2553 โดย แชนนอน จอห์นสัน ได้ให้การสารภาพว่า เธอปล่อยลูกชายวัย 13 เดือนไว้ในอ่างอาบน้ำ ส่วนตัวเองเดินออกจากห้องน้ำไปนั่งเล่นเกม  และตรวจสอบสถานะของเพื่อน ๆ ในเฟซบุ๊ก และหลังจากนั้นเธอก็ได้เข้ามาดูลูกในห้องน้ำอีกครั้ง แล้วพบว่าลูกชายกำลังเล่นน้ำในอ่างอยู่อย่างสนุกสนาน จึงเดินออกไปเล่นเกมต่อ หลังจากนั้น 10 นาที เธอก็ไม่ได้ยินเสียงลูกชายดังออกมาจากห้องน้ำอีกเลย จึงเข้าไปดูในห้องน้ำอีกครั้ง ก่อนจะพบว่าลูกชายกำลังนอนคว่ำหน้าแน่นิ่งอยู่ในอ่างน้ำและมีฟองอากาศปุด ขึ้นมา เธอจึงรีบเรียกหน่วยฉุกเฉินทันที แต่ก็สายไปเสียแล้ว

         นอกจากนี้  แชนนอน จอห์นสัน ยังสารภาพอีกว่า ก่อนหน้านี้เธอก็มักจะปล่อยให้ลูกชายอยู่ลำพังคนเดียว ด้วยเหตุผลที่ว่าอยากให้เขาเป็นอิสระ ไม่อยากให้ลูกชายติดแม่ และไม่อยากให้ลูกชายรู้ว่าเป็นลูกของแม่ด้วย เธอจึงคอยดูลูกชายอยู่ห่าง ๆ มาตลอด จนในที่สุด การละเลยของเธอก็ทำในลูกชายเสียชีวิตในที่สุด งานนี้  แชนนอน จอห์นสัน จึงได้รับโทษตามกฎหมาย ฐานทารุณกรรมเด็กจนถึงแก่ความตาย โดยอาจได้รับโทษจำคุกเป็นเวลากว่า 48 ปีเลยทีเดียว

76  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ฮือฮา หิมะตกหนักในพม่า เมื่อ: มกราคม 22, 2011, 09:05:37 am
สาละวินโพสต์ เปิดเผยรายงาน เกิดหิมะตกอย่างหนักทางตอนเหนือของประเทศพม่า ในรัฐคะฉิ่น ใกล้กับชายแดนจีน ทำให้การเดินทางสัญจรไปมาเป็นไปอย่างยากลำบาก

ชาวบ้านคนหนึ่ง กล่าวว่า เราไม่เคยเจอเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน หิมะตกอย่างกับฝนตกหนัก

ส่วนเมืองชีพวย เมืองที่อยู่ถัดไป การเดินทางสัญจรก็เป็นไปอย่างทุลักทุเลเช่นกัน เนื่องจากตามถนนเต็มไปด้วยหิมะและลูกเห็บ

กรมอุตุนิยมวิทยาในย่างกุ้ง รายงานว่า จะมีมวลอากาศเย็นปกคลุมทางตอนเหนือของรัฐคะฉิ่น อย่างต่อเนื่องระหว่างเดือนมกราคมถึงเดือนมีนาคม โดยอุณหภูมิในพื้นที่จะเพิ่มขึ้นหรือลดลงก็ขึ้นอยู่กับความเร็วลมและทิศทาง ลมจากพื้นที่สูงในประเทศจีน

เรียบเรียงข่าวโดย Mthai news



77  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / Re: ซีรี่ย์ พระปริตร ตอน"โพชฌงคปริตร"(ภาคพิสดาร) เมื่อ: มกราคม 17, 2011, 03:14:14 pm
วิชากรรมฐานและคำสอนของหลวงปู่ จากเอกสาร นำโพสต์ไว้บ้างบางท่านไม่ได้อ่าน

http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=1539.0

มาช่วยเสิรมวิชาที่หลวงปู่ถ่ายทอดไว้คะ

 :25:
78  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: บุคคลศาสนิกอื่นควรปฏิบัติตัวอย่างไรเมื่อเข้าพบพระสงฆ์ เมื่อ: มกราคม 16, 2011, 11:12:06 am
ก็ทำตัวเหมือน ชาวไทย คะไม่ว่าคุณจะนับถืออะไร ก็ให้เกรียติคนไทย ด้วยกัน

ด้วยอัธยาศัย ใจดีต่อกัน คะ

  :34:
79  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / Re: 9 วิธีเจริญสติในออฟฟิศ เมื่อ: มกราคม 15, 2011, 03:40:57 pm


เปลี่ยนวิธีการจาก สติ เป็นมองตามความเป็นจริง แล้ว ปิดหู ปิดตา ปิดปาก บ้างดีหรือป่าวคะ

 :58:
80  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / หญิงแปลก กินวันละ 60 มื้อแต่ไม่อ้วน เมื่อ: มกราคม 13, 2011, 02:59:31 pm
หญิงแปลก กินวันละ 60 มื้อแต่ไม่อ้วน

เมื่อ วันที่ 27 มิถุนายนที่ผ่านมา สำนักข่าวต่างประเทศต่างตีแผ่ถึงเรื่องราวของหญิงประหลาดคนหนึ่ง ในรัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริกา ที่ทานอาหารวันละกว่า 60 มื้อ แต่ไม่อ้วน

            โดยหญิงสาวรายนี้ มีชื่อว่า ลิซซี่ เวลาสเควซ วัย 21 ปี เป็นหญิงสาวที่มีความปกติทางพันธุกรรม คือ มี ภาวะการสูญเสียไขมันทั่วร่างกาย ซึ่งทำให้พลังงานที่เธอได้รับจากอาหารในแต่ละวัน ไม่ได้ถูกเปลี่ยนเป็นไขมันหรือกล้ามเนื้อ ทำให้ร่างกายเธอผ่ายผอม แม้จะทานอาหารเท่าไรก็ไม่อ้วนขึ้น และขณะนี้เธอก็มีน้ำหนักเพียง 24 กิโลกรัมเท่านั้น

          ทั้ง นี้ ลิซซี่ กล่าวว่า ในแต่ละวันเธอจะทานอาหารไม่ต่ำกว่าวันละ 60 มื้อ คือทานทุก 15 - 20 นาที เพื่อให้ร่างกายของเธอมีพลังงานในการทำกิจกรรมต่าง ๆ โดยอาหารที่เธอทานแต่ละอย่าง ล้วนแล้วแต่ทำให้คนปกติทั่วไปเป็นโรคอ้วนทั้งนั้น เช่น พิซซ่า เค้ก โดนัท ช็อคโกแลต มันฝรั่งทอด และขนมหวานต่าง ๆ แต่สำหรับเธอดูเหมือนว่าร่างกาย จะไม่มีปฏิกิริยาต่ออาหารพวกนี้เลย และยิ่งไปกว่านั้น ในขณะที่คนปกติต้องการพลังงานวันละไม่เกิน 2,000 แคลอรี่ แต่ พลังงานในตัวเธอจาก อาหารแต่ละวันเฉลี่ยแล้วอยู่ที่ประมาณ 8,000 แคลอรี่ ถือว่ามากกว่าคนทั่วไปถึง 4 เท่าตัวเลยทีเดียว

ทุกวันนี้ ลิซซี่ใช้ชีวิตตามปกติ และกำลังศึกษาในระดับปริญญาตรีในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในเท็กซัส เธอบอกว่านอกจากความปกติทางร่างกายด้านนี้แล้ว ก็มีปัญหาทางการมองเห็น คือ เธอตาบอดข้างหนึ่งเท่านั้น ขณะที่สุขภาพโดยทั่วไปของเธอก็แข็งแรงดี

          อย่างไรก็ตาม ทีมแพทย์ได้กล่าวว่า กรณีของลิซซี่นั้น ไม่ใช่โรคผอมแห้ง หรือ anorexic แต่อย่างใด แต่คาดว่าเป็นความผิดปกติร่างกาย ที่ไม่ได้ส่งผลอะไรมากนัก เพราะอวัยวะภายในของเธอปกติทุกอย่าง และเธอก็จะต้องทานอาหารวันละไม่ต่ำกว่า 60 มื้อแบบนี้ต่อไป เพื่อรักษาสุขภาพและรักษาน้ำหนักให้คงที่





หน้า: 1 [2] 3 4