ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
  • สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน
แสดงกระทู้
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
  Messages   Topics   Attachments  

  Topics - Husapol
หน้า: [1]
1  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / อยากถามว่า เมื่อ: เมษายน 13, 2011, 04:19:13 pm
 ระหว่างคนที่รู้ธรรมะ กับ คนที่ไม่รู้ธรรมะ ใคร?จะเป็นผู้ที่สามารถทำบาปได้มากกว่ากัน เพราะอะไร?
 :smiley_confused1:
2  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / ขอเชิญฟังธรรมะ เมื่อ: เมษายน 13, 2011, 04:15:35 pm
หัวข้อ "สึนามิธรรม...สึนามิโลก"

โดย พระมหาสมปอง ตาลปุตฺโต วัดสร้อยทอง กรุงเทพฯ

วันพฤหัสบดีที่ 28 เมษายน 2554
เวลา 12.00 น.--14.30 น. ณ.ห้องแพลทินั่ม ชั้น 3 โรงแรมแกรนด์ เมอร์เคียว ฟอร์จูน รัชดาภิเษก

สำรองที่นั่งได้ที่ : คณะทำงานโครงการฟอร์จูนธรรม@ฟอร์จูนทาวน์
บริษัท ซี.พี.แลนด์ จำกัด (มหาชน)
โทร. 02-642-1015 (คุณอรกานต์)
02-641-1924 (คุณกชกานต์)
อีเมลล์. dhamma@cpland.co.th

การเดินทางมา : รถไฟฟ้าใต้ดิน ลงสถานีพระราม 9 ทางออกที่ 1
- รถประจำทาง : สาย 36 , 54 , 73 , 73ก ,136 ,137 ,163 ,168 ,185 , 204 , 206 , 514 และ ปอ.517
- รถตู้ปรับอากาศ : สะพานใหม่-อสมท. , งามวงศ์วาน-อสมท. , มีนบุรี-อนุสาวรีย์ฯ (ลงหน้าอสมท.)

หมายเหตุ : มีอาหารว่างและเครื่องดื่ม สามารถรับได้ตั้งแต่เวลา 11.30 น.-12.00 น. (ฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย)

ขอเชิญทุกท่านร่วมฟังธรรมในครั้งนี้ด้วยครับ
ขอเจริญในธรรมครับ
3  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ฉันพูดกับพุทธองค์ว่า..... เมื่อ: เมษายน 02, 2011, 01:37:20 am
ฉันพูดกับพุทธองค์ว่า   :  ขอให้เพื่อนของฉันทุกคนมีความสุข สุขภาพดี ตลอดไป

พุทธองค์ตอบว่า :  ขอได้เพียง 4 วันเท่านั้น

ฉันตอบว่า : ได้  ถ้างั้นขอวันฤดูใบไม้ผลิ  วันฤดูร้อน  วันฤดูใบไม้ร่วง  วันฤดูหนาว

พุทธองค์ตอบว่า  : ไม่ได้ ให้ได้แค่ 3 วัน
 
ฉันตอบว่า : ได้  เมื่อวาน  วันนี้  วันพรุ่งนี้

พุทธองค์ตอบว่า  : ไม่ได้  ให้ได้แค่ 2 วัน
 
ฉันตอบว่า : ได้  งั้นเป็นกลางวัน และ กลางคืน

พุทธองค์ตอบว่า  : ไม่ได้มากไป  ให้ได้วันเดียว

ฉันตอบว่า : อ๋อ ได้
 
พุทธองค์ถามว่า : วันไหนล่ะ

ฉันตอบว่า : ขอเป็นวันที่เพื่อนๆของฉันยังมีชีวิตอยู่
 
พุทธองค์หัวเราะ แล้วพูดว่า : นับแต่นี้ไปเพื่อนๆของเธอจะมีความสุข มีสุขภาพแข็งแรงทุกๆวัน  :93:
4  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เรื่องใหญ่ของมนุษย์ เมื่อ: เมษายน 02, 2011, 01:32:46 am
รื่องใหญ่
 
คนส่วนใหญ่ไม่มีปัญหาเรื่องการเห็น แต่มักมีปัญหาเรื่องการมองให้ถูกจุด  :a102:
 
คนส่วนใหญ่ไม่มีปัญหาเรื่องการได้ยิน แต่มักมีปัญหาเรื่องการฟังให้เข้าใจ  :a102:
 
คนส่วนใหญ่ไม่มีปัญหาเรื่องการคิด แต่มักมีปัญหาเรื่องการรู้จักคิดให้ดี  :a102:
 
คนส่วนใหญ่ไม่มีปัญหาเรื่องการเปล่งเสียง แต่มักมีปัญหาเรื่องการพูดให้เข้าหูคน  :a102:
 
คนส่วนใหญ่ไม่มีปัญหาเรื่องการมีมือเท้า แต่มักมีปัญหาเรื่องการใช้มือเท้าให้เป็นประโยชน์  :a102:
 
คนส่วนใหญ่ไม่มีปัญหาเรื่องการมีครู แต่มักมีปัญหาเรื่องการหาครูดีให้พบ  :a102:
 
คนส่วนใหญ่ไม่มีปัญหาเรื่องการเรียน แต่มักมีปัญหาเรื่องการรู้ให้จริง  :a102:
 
คนส่วนใหญ่ไม่มีปัญหาเรื่องการมีเพื่อน แต่มักมีปัญหาเรื่องการเลือกคบเพื่อนให้ถูกคน  :a102:
 
คนส่วนใหญ่ไม่มีปัญหาเรื่องการมีคนรัก แต่มักมีปัญหาเรื่องการรักคนให้เป็น  :a102:
 
คนส่วนใหญ่ไม่มีปัญหาเรื่องการมีเพศสัมพันธ์ แต่มักมีปัญหาเรื่องการได้เสียให้ถูกต้อง  :a102:
 
คนส่วนใหญ่ไม่มีปัญหาเรื่องการมีเวลา แต่มักมีปัญหาเรื่องการใช้เวลาให้คุ้ม  :a102:
 
คนส่วนใหญ่ไม่มีปัญหาเรื่องการมีเงิน แต่มักมีปัญหาเรื่องการใช้เงินให้พอ  :a102:
 
คนส่วนใหญ่ไม่มีปัญหาเรื่องการมีกระจกเงา แต่มักมีปัญหาเรื่องการเห็นเงาตัวเองให้ตรงจริง :a102:
 
คนส่วนใหญ่ไม่มีปัญหาเรื่องการรู้จักพ่อแม่ แต่มักมีปัญหาเรื่องการรู้จักความเป็นมาของตัวเองให้กระจ่างชัด  :a102:
 
 
เรื่องที่เป็นปัญหาใหญ่สุดของมนุษย์ คือเกิดมาพร้อมกับความไม่รู้อะไรเลย และแม้โตขึ้นเหมือนจะรู้แล้ว ก็มักเป็นความรู้ที่เกิดจากการเห็นอย่างผิวเผิน หาใช่เกิดจากการเข้าถึงแก่นสารของชีวิตที่กำลังปรากฏอยู่ตรงหน้า
 
มีเพียงบางคน ที่สามารถเห็นได้ถูกจุดเสมอ เพราะฝึกมองทั้งกว้าง ยาว และลึกให้เห็นสิ่งที่ควรเห็นอย่างครอบคลุม ไม่เพ่งเฉพาะจุดคับแคบ นับแต่การอ่านข้อความในหน้ากระดาษ ไปจนกระทั่งการสังเกตรู้ ว่าโลกนี้มีอะไรควรมองก่อน อะไรควรมองทีหลัง
 
มีเพียงบางคน ที่สามารถรับฟังได้เข้าใจเสมอ เพราะฝึกฟังอย่างมีเป้าหมายที่ดี พร้อมทั้งนึกตั้งคำถามเก็บตกรายละเอียดไปด้วย นับแต่การตั้งใจฟังครูในชั้น ใส่ใจฟังงานในสนาม ตลอดจนรับฟังความรู้สึกนึกคิดของคนในบ้าน
 
มีเพียงบางคน ที่รู้จักคิดได้ดีเสมอ เพราะฝึกมองจนเห็นตามจริง ว่าคิดอย่างไรเป็นประโยชน์ คิดอย่างไรเป็นโทษ ทั้งต่อจิตใจตนเอง กับทั้งต่อโลกภายนอก
 
มีเพียงบางคน ที่พูดเข้าหูคนได้เสมอ เพราะฝึกยับยั้งปากไม่ให้อ้าผิดจังหวะ เมื่อรู้จักตั้งจิตให้นุ่มนวลก่อนอ้าปากได้ น้ำคำและสุ้มเสียงของเขาย่อมเป็นธารมธุรสวาจาอันเย็นรื่น ที่หลั่งไหลเข้ากระทบแก้วหูคน ก่อให้เกิดแต่ความรู้สึกอันเป็นมงคลไปเอง
 
มีเพียงบางคน ที่ใช้มือเท้าให้เป็นประโยชน์ได้เสมอ เพราะฝึกเห็นโทษของความเฉื่อยชา กระทั่งรังเกียจความอับเฉาของการงอมืองอเท้า และคร้านกับความไม่แน่นอนของการรอพึ่งพาคนอื่น เขาจึงลุกขึ้นด้วยความกระตือรือร้น เห็นความจริงว่าการมีตนเองเป็นที่พึ่ง คือการได้ที่พึ่งอันประเสริฐกว่าที่พึ่งอื่นใดทั้งหมด
 
มีเพียงบางคน ที่หาครูดีได้พบเสมอ เพราะฝึกห้ามใจไม่ให้หลงตนว่าวิเศษแล้ว กับทั้งไม่เข้าพวกกับคนพาล ไม่ยกย่องคนเลว แต่ยอมรับนับถือคนดี ให้ความเคารพเชื่อฟังคนดี กับทั้งพร้อมจะทำตามแบบอย่างที่ดี ด้วยความรู้ตัวว่ายังมีสิ่งใดบกพร่อง และมีคนมากมายอาจให้คำแนะนำเพื่อพัฒนาตนอยู่ทุกหนแห่ง
 
มีเพียงบางคน ที่รู้จริงในทุกสิ่งที่สนใจเสมอ เพราะฝึกที่จะเอาทั้งตัวทุ่มเทให้กับสิ่งที่ตนรัก หายใจเข้าออกเป็นสิ่งที่ตนรัก อยากรู้อยากเห็นข้อแตกต่างและแง่มุมทั้งหลาย กระทั่งรายละเอียดทั้งหมดปรากฏให้เห็นง่ายราวกับพลิกดูเส้นลายมือตนเอง
 
มีเพียงบางคน ที่เลือกคบเพื่อนได้ถูกคนเสมอ เพราะฝึกที่จะมีน้ำใจกับคนอื่นก่อน เป็นเพื่อนที่ดีของคนอื่น จนรู้ซึ้งถึงความหมายของเพื่อนที่ดี แม้เขาต้องผ่านเพื่อนสารเลวมาหลายร้อย ในที่สุดย่อมเจอเพื่อนแสนดีที่เสมอกันกับตนสักคนหนึ่ง และการได้คบกับเพื่อนแท้เพียงคนเดียวก็นับว่าเกินพอแล้ว สำหรับชีวิตที่น่าอุ่นใจ
 
มีเพียงบางคน ที่รู้จักรักคน จนกระทั่งได้คนรักที่คู่ควร เพราะฝึกที่จะสร้างเหตุแห่งความรัก คือไม่เริ่มต้นด้วยการตั้งคำถามว่าคนรักของฉันอยู่ที่ไหน? เมื่อไรจะได้เจอ? หรือเธอทำไมไม่เป็นอย่างใจฉันเลย? แต่เขาเริ่มต้นด้วยการตั้งคำถาม ว่าตัวเองมีคุณค่าอันใด ควรทำสิ่งไหนให้คนที่อยู่ตรงหน้ายินดี และทำอย่างไรจึงจะถนอมความรักเอ็นดูของคนอื่นไว้ได้ ในที่สุดความดีของเขา ย่อมเหนี่ยวเอาคนดีที่คู่ควรมาหาเอง
 
มีเพียงบางคน ที่ได้เสียกันอย่างถูกต้อง ไม่ก่อความเดือดเนื้อร้อนใจในภายหลัง เพราะฝึกที่จะพิจารณาถึงสิทธิที่ตนมี ก่อนแล่นไปตามความอยาก เมื่อเขาเกิดสำนึกรับรู้เกี่ยวกับสิทธิ และอยู่ในกรอบจำกัดของการใช้สิทธิตามชอบตามควร ไม่ยินดีละเมิดของรักของหวงของผู้อื่น จิตใจย่อมสงบสุข กับทั้งมีพละกำลังเหลือเฟือในการห้ามใจตนเอง แม้กระทั่งเรื่องต้องห้ามอันสุดห้ามใจสำหรับคนอื่น เขาก็เห็นเป็นเรื่องขี้ผงที่กลั้นใจอึดเดียว เรื่องต้องห้ามก็ผ่านหายอย่างง่ายดายปานฝันยั่วชั่วข้ามคืน
 
มีเพียงบางคน ที่ใช้เวลาเกือบทั้งชีวิตไปอย่างคุ้มค่า เพราะฝึกสติพิจารณาได้อย่างเท่าทัน ว่าสิ่งใดเป็นประโยชน์สูงสุดในขณะหนึ่งๆ และสิ่งใดสำคัญสูงสุดกับชีวิตทั้งชีวิต เขาไม่เสียดายสักวินาทีที่ผ่านไป เพราะเกือบทุกวินาทีมีให้กับความเพียรเพื่อได้สิ่งที่เป็นประโยชน์สูงสุดสำหรับขณะนั้นๆ ตลอดจนแบ่งเวลาไว้ดีแล้ว ให้กับสิ่งสำคัญสูงสุดที่ไม่อาจพลาดได้
 
มีเพียงบางคน ที่รู้เห็น เข้าใจ และประมาณตัวเองถูกอย่างทะลุปรุโปร่ง เพราะฝึกที่จะไม่เข้าข้างตนเอง กับทั้งสามารถตัดสินคนอื่นโดยปราศจากอคติส่วนตัว เมื่อใครสามารถเข้าใจตัวเองทะลุปรุโปร่งด้วยใจเป็นกลาง ก็ไม่มีสิ่งใดในโลก ที่เขาจะทำความเข้าใจให้ถูกต้องตรงจริงไม่ได้
 
มีเพียงบางคน ที่รู้จักความเป็นมาของตัวเอง เพราะเขาศึกษาโดยแยบคายแล้ว และเห็นว่าความมีความเป็นทั้งมวลล้วนเกิดจากเหตุผลทางการกระทำ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ไม่ใช่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ดลบันดาลตามอำเภอน้ำใจอยู่เบื้องหลัง เขาย่อมรู้ที่ไปของตัวเองโดยสืบจากปัจจุบันเป็นหลักตั้ง ไม่ใช่เพียงยืนเคว้งงงครึ่งๆกลางๆอยู่บนความคาบเกี่ยวระหว่างอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ในที่สุดจุดจบของเขา ย่อมเป็นจุดจบของทุกข์อย่างถาวรไปด้วย
 
เรื่องใหญ่ของมนุษย์
มีอยู่แค่เรื่องเดียว
คือเรื่องความไม่รู้
ว่าเรื่องใดน่ารู้
 
ดังตฤณ
คิดจากความว่าง 3  :smiley_confused1:
5  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / กล่องกระดาษของพ่อ เมื่อ: เมษายน 02, 2011, 01:26:45 am
มีพ่อลูกคู่หนึ่งอาศัยอยู่ที่ชายป่า พ่อมีอาชีพปลูกผักและเก็บไปขายในเมือง ส่วนลูกชายอายุ 10 ขวบมีหน้าที่สำคัญคือ ไปโรงเรียนและตั้งใจศึกษาหาความรู้

ลูกชายของคนปลูกผักเป็นเด็กเรียนดีมีมารยาท เป็นที่รักใคร่ของครูบาอาจารย์และผู้ใหญ่ที่พบเห็น แต่มาในระยะหลัง ผู้เป็นพ่อสังเกตเห็นว่า ลูกมักจะกลับมาบ้าน ด้วยใบหน้าที่บึ้งตึง เหมือนมีเรื่องขุ่น มัวในใจ จึงเรียกเข้ามาคุยด้วยในเย็นวันหนึ่ง

" ลูกรัก ระยะหลังมานี้ พ่อรู้สึกว่า ลูกไม่ค่อย มีความสุขนัก หน้าตาของลูกบึ้งตึงไม่ชวนมอง โดยเฉพาะเวลาที่กลับจากโรงเรียน มีอะไรเกิดขึ้นกับลูก บอกความจริงกับพ่อมา เถิด "

ลูกชาย ไม่คิดปิดบังพ่อของเขาอยู่แล้ว เพียงแต่ที่ผ่านมาเขาเห็นว่า พ่อเหนื่อยเพราะทำงาน หนัก จึงไม่อยากรบกวนให้ต้องมากังวลด้วยเรื่องของตนอีก แต่เมื่อพ่อเอ่ยปาก ถามมาเช่นนี้ เขาก็จำเป็นต้องพูดความจริงออกไป

" ที่ห้องของผมมีนักเรียน ย้ายมาใหม่ครับ เขาเป็นลูกคนมีเงิน แต่ชอบดูถูกคน และมักรังแกเพื่อนที่อ่อนแอกว่าเสมอ เมื่อเขาเห็นว่าผมสอบ ได้คะแนนดีและได้รับ คำชมจากครูบ่อยๆ เขาก็มักพูดจาถากถาง และคอยกลั่นแกล้งผม อยู่ตลอดเวลา " ลูกชายระบายให้พ่อของเขาฟังอย่างคับแค้นใจ

" แล้วลูกทำอย่างไรเมื่อโดน เขาแกล้ง " ผู้เป็นพ่อถามต่อ

" ผมพยายามไม่สนใจ แต่เขาก็ไม่ยอมลดละ ผมคิดว่าผมคงทนเขาไปได้อีกไม่นานหรอกครับพ่อ สักวันผมจะต่อยเขา เอาให้เลือดของเขาไหลออกมาล้างปากเสียๆ ของเขาบ้าง "

พูดจบ ผู้เป็นลูกก็ตกใจวูบขึ้นมาทันที เพราะนึกได้ว่าตนเองเผลอใช้คำพูดที่รุนแรงออกไป เขาเหลือบมองหน้าพ่อ คิดว่าพ่อจะต้องโกรธ มากแน่ๆ เพราะพ่อสอนเขาให้เป็นผู้ชายที่สุภาพบุรุษ ไม่ทำตัวเกกมะเหรก เกเร หาเรื่องชกต่อยกับใคร

ทว่า พ่อของเขากลับไม่ได้พูดหรือแสดงอารมณ์ใดๆ ออกมา ลูกชายชั่งใจดูท่าทีของพ่ออยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อว่า

" ผมรู้ว่าพ่อไม่ชอบให้ผมก้าวร้าว แต่ผมทนไม่ไหวแล้วครับ ผมอยากให้ไอ้คนที่ทำกับผมรู้จักความเจ็บปวดและอับอายบ้าง มันจะได้รู้ว่าคนอื่นรู้สึกอย่างไรเวลาที่ถูกกลั่นแกล้ง "

ผู้เป็นพ่อมองหน้าลูกชายแล้วยิ้มน้อยๆ เขาบอกแก่ลูกด้วยเรื่องที่ไม่เกี่ยวกันเลยว่า

" อีกสามวันจะเป็นวันเกิดครบสิบเอ็ดขวบของลูก ตัวพ่อเองก็ยากจน ไม่เคยให้ของขวัญอะไรลูกเลย แต่ปีนี้เป็นปีแรกที่พ่อจะให้ของขวัญแก่ลูก "

ลูกชายรู้สึกงุนงงที่จู่ๆ พ่อก็พูดเรื่องนี้ขึ้นมา อย่างไรก็ตามเขารู้สึกดีใจมาก และเฝ้านับวันรอให้วันเกิดในอีกสามวันมาถึงเร็วๆ

ครั้นเมื่อถึงวันเกิดของลูกชาย คนปลูกผักก็นำของขวัญมามอบให้แก่ลูกชายของเขาตามสัญญา เป็นกล่องกระดาษสีขาวและสีดำ ขนาดใหญ่ อย่างละ 1 กล่อง

" พ่อครับ ทำไมต้องให้ของขวัญแก่ผมตั้งสองชิ้นล่ะครับ ถึงผมจะอยากได้ของขวัญจากพ่อ แต่แค่ชิ้นเดียวก็น่าจะพอแล้ว" ลูกชายกล่าวด้วยความเกรงใจ ด้วยรู้ว่าพ่อขายผักแต่ละครั้งได้เงินไม่มากนัก

" ลูกรัก พ่อตั้งใจมอบของขวัญให้ลูกเช่นนี้เอง เพราะมันจำเป็นแก่ตัวลูกทั้งสองกล่อง จงรับไปจากพ่อเถิด "

ลูกชายก้มลงกราบเท้าพ่อและกล่าวคำขอบคุณอย่างซาบซึ้งใจ จากนั้นเขาจึงลงมือแกะเชือกที่ผูกกล่องกระดาษสีขาวออก แต่ก็พบว่า ในกล่องสีขาวนั้น ไม่มีอะไรอยู่เลย เขาหันไปมองหน้าพ่อเป็นเชิงคำถาม

" เปิดกล่องสีดำด้วยสิลูกรัก " พ่อของเขากล่าวแทนคำตอบ

ลูกชายรีบแกะเชือกที่ผูกกล่องสีดำออก แต่ในกล่องสีดำก็ไม่มีอะไรเลยเช่นเดียวกับกล่องสีขาว นอกจากรูขนาดใหญ่ที่ถูกเจาะเอาไว้ตรงก้นกล่องเท่านั้น

" พ่อครับ ไม่มีอะไรอยู่เลยนี่ครับ " ลูกชายบอกกับพ่อของเขา " พ่อลืมใส่ของลงไปหรือเปล่าครับ หรือเพราะว่ากล่องกระดาษสีดำก้นรั่ว ของที่พ่อใส่ไว้ก็เลยหล่นหายไปโดยที่พ่อไม่รู้ครับ "

ผู้เป็นพ่อยิ้มอย่างใจดี ก่อนจะเดินไปนั่งข้างๆ ลูกชายพร้อมกับบอกว่า

" พ่อคงให้ของขวัญแก่ลูกได้ แค่กล่องกระดาษสองใบนี้ แต่ของที่อยู่ข้างใน ลูกจะต้องเป็นผู้ใส่มันลงไปเอง กล่องกระดาษสีขาวเป็นกล่องแห่งความสุข ต่อไปนี้ เมื่อไรก็ตามที่ลูกได้พบกับสิ่งดีๆ หรือเรื่องที่ทำให้ลูกมีความสุข ขอให้ลูกเขียนมันลงไปในเศษกระดาษและนำมาใส่ไว้ในกล่องสีขาว ส่วนกล่องสีดำคือกล่องแห่งความทุกข์ ไม่ว่าอะไรที่ทำให้จิตใจของลูกเป็นทุกข์ มัวหมอง ให้ลูกเขียนและนำมาใส่ไว้ในกล่องสีดำ แล้ววันหนึ่ง เราจะมาเปิดกล่องทั้งสองใบนี้ดูด้วยกัน "

แม้จะไม่เข้าใจว่า ทำไมพ่อจะต้องให้ทำเช่นนี้ แต่ลูกชายก็ยอมทำตามคำขอของพ่อแต่โดยดี ทุกๆ วันเขาจะนำเศษกระดาษมากมายที่เขียนเรื่องราวดีๆ ในชีวิตหย่อนลงไปในกล่องสีขาว และเอาเศษกระดาษอีก มากมายที่เขียนเรื่อง ราวไม่ดีหย่อนลงไปกล่องสีดำ โดยผู้เป็นพ่อคอยเฝ้ามองการกระทำนี้อยู่เงียบๆ

สามเดือนผ่านไป เย็นวันหนึ่งลูกชายกลับมาจากโรงเรียนด้วยอารมณ์ที่พลุ่งพล่านยิ่งกว่าวันไหนๆ เขาโยนกระเป๋านักเรียนลงบนเก้าอี้ด้วยความกราดเกรี้ยว และทำท่าจะผลุนผลันออกจากบ้านไปอีกครั้ง แต่คนปลูกผักสังเกตเห็นก่อน เขาปราดเข้าไปยุดตัวลูกชายไว้และสอบถามว่าเกิดอะไรขึ้น

" ผมทน ไม่ไหวแล้วครับพ่อ ไอ้คนเลวคนนั้นมันดูถูกพวกเรา มันว่าพ่อเป็นแค่คนปลูกผักยากจน มันว่าเราสองคนเป็นคนชั้นต่ำไม่มีเกียรติ แล้วมันยังขโมยหนังสือเรียนของผมไปทิ้งในถังขยะด้วย ผมจะไปจัดการมัน จะทำให้มันเจ็บและจำไปจนตายเลยที่มันบังอาจมาดูถูกพ่อ "

คนปลูกผักไม่ได้โกรธตามลูกชาย เขาเพียงแต่ถามลูกว่า " วันนี้ลูกเขียนเรื่องสุข และทุกข์ใส่ในกล่องสีขาวและกล่องสีดำหรือยัง "

ลูกชายประกาศเสียงกร้าวทันทีว่า " ผมจะไปจัดการไอ้คนนั้นก่อน ให้มันรู้ว่าเราจะไม่ ยอมให้มันมาดูถูกเราได้อีก "

" ลูกต้องไปเขียนก่อน " พ่อบอกเสียงเรียบ " เพราะวันนี้เราจะเปิดกล่องนั้นออกดูด้วยกัน "

ลูกชายมองหน้าพ่ออย่างฉงน ไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อจะต้องให้เปิดกล่องพวกนั้นในเวลานี้ด้วย แต่เขาไม่ใช่เด็กดื้อ จึงยอมข่มอารมณ์โกรธ ลงชั่วคราวแล้วทำตาม ที่พ่อบอก

หลังจาก หย่อนกระดาษความสุข ความทุกข์ลงในกล่อง กระดาษสีขาวสีดำเรียบ ร้อยแล้ว ผู้เป็นพ่อจึงบอกให้ลูกชายยกกล่องกระดาษสีขาวมาวางไว้บนโต๊ะหน้าบ้าน

" โอ้โห แค่สามเดือนที่ผมใส่เศษกระดาษลงไป ผมไม่คิดเลยว่าจะทำให้กล่องสีขาวหนักได้ขนาดนี้ " ลูกชายอุทานอย่างคาด ไม่ถึง

ผู้เป็นพ่อยิ้ม และบอกว่า " ทีนี้ลูกไปยกกล่องสีดำมาวางตรงนี้ด้วยสิ "
"กล่องสีดำน่าจะหนักกว่านี้ อีกนะครับ เพราะว่าผมใส่เรื่องไม่ดีของคนที่ชอบแกล้งผมเอาไว้มากทีเดียว "

แต่ทันทีที่ลูกชายยก กล่องกระดาษสีดำขึ้นจากที่ตั้งเดิมของมัน เศษกระดาษมากมายที่เคยอัดแน่นอยู่ภายในก็ร่วงพรูออกมาจากก้นกล่อง บัดนี้ กล่องกระดาษสีดำก็เบาหวิวไร้น้ำหนัก เพราะไม่มีอะไรคง เหลืออยู่ในนั้น แล้ว

ลูกชาย หันไปมองหน้าพ่อ

" ผมลืมไปเสียสนิทเลยครับว่า กล่องใบนี้มีรูอยู่ด้วย เดี๋ยวผมจะเก็บเศษกระดาษพวกนี้ไปใส่กล่องใบใหม่นะครับ "

แต่ ผู้เป็นพ่อบอกว่า " เก็บไปทำไมล่ะลูก เมื่อมันร่วงออกมา จากกล่องแล้วมันก็ คือ ขยะ ใส่กลับเข้าไปไม่ได้อีก ลูกไปเอาไม้กวาด มากวาดมันทิ้งไปให้ หมดเถิด ต่อไปกล่องแห่งความทุกข์ของลูกจะได้ว่างเปล่า ไม่มีความขุ่นข้อง หมองใจเหลืออยู่อีก ในขณะที่กล่องแห่ง ความสุขของลูกจะ เต็มไปด้วยความสุข ตลอดเวลา "

" อันที่จริง เมื่อลูกบอกพ่อว่า ลูกทนคนที่กลั่นแกล้งทำร้ายลูกไม่ ไหวนั้น พ่อก็ไม่เห็นว่าทำไมลูกจะต้องทนเขาด้วย เพราะเรื่องนี้ไม่มีอะไรต้องทนเลย เพียงแค่ลูกไม่เก็บเอาสิ่งแย่ๆ ที่เขาทำกับลูกมาขังไว้กับตัวเอง ไม่ต้องไปทำความรู้จักมัน ความทุกข์นั้นก็ระรานหัวใจของลูกไม่ได้ ดูในกล่องสีขาวสิลูก ความสุขความภูมิใจของลูกตั้งมากมายก็อัดแน่นอยู่ในนั้น ทำไมลูกถึงมองข้ามไปละทิ้งความทุกข์ซึ่งไร้ประโยชน์กับชีวิตของลูก แล้วอยู่กับสิ่งที่ ทำให้ลูกเป็นสุขไม่ดีกว่าหรือ "

ลูกชาย มองหน้าพ่ออย่าง อัศจรรย์ใจ เขาเพิ่งเข้าใจความหมายของกล่องกระดาษสองใบนั้นอย่างแจ่มชัดในวันนี้เอง ความโกรธขึ้งที่มีต่อ เพื่อนคนนั้นค่อย ๆ จางหาย หัวใจผ่อนคลายไม่บีบรัดเหมือนเมื่อครู่ ความเปลี่ยนแปลงนี้ เกิดขึ้นได้ก็เพราะ กล่องแห่งความทุกข์ ของเขาว่างเปล่าแล้ว นั่นเอง :'(


บทสรุปของผู้แต่ง

ช่างน่าฉงนจริงๆ ที่คนเรามักจะจดจำเรื่องราวที่ทำให้ตนเองเจ็บปวดได้แม่นยำ และยาวนานกว่าความสุขอีกตั้งมากมายที่เราเคยรู้จัก สิ่งที่คนปลูกผักมอบให้เป็นของขวัญแก่ลูกชาย ไม่ใช่แค่กล่องกระดาษสีขาวหรือ สีดำ แต่เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตให้มีความสุข ด้วยการละทิ้งความทุกข์ แล้วทำความรู้จักกับความสุขที่มี ให้มากกว่าเดิม เพียงการให้ที่แสนจะธรรมดาครั้งเดียวนี้ก็ทำให้ลูกของเขารู้จักความสุขไปจนตลอดชีวิต

เราอาจจะเลี่ยงคนสกปรก ที่ชอบโยนขยะ และความโสโครกใส่หน้าบ้านเราไม่ได้ แต่เราก็เลือกที่จะไม่ก้มลงเก็บมันเข้ามาไว้ในบ้าน และกวาดมันทิ้งไปอย่างไม่แยแสได้ แน่นอนว่าการรับมือกับคนพวกนี้เป็นเรื่องน่าเบื่อหน่าย แต่ถ้าเราทำได้ต่อไป ความสกปรกก็จะหายไปจากหน้าบ้านของเราเอง โดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย ;)

ขอบคุณ นิทานดีๆ จากหนังสือด้วยรักบันดาล นิทานสีขาว เล่าเรื่องโดย ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ค่ะ
" สิ่งใดไม่เปลี่ยนแปลงไม่มี เป็นธรรมดาเช่นนั้นเอง "  :58:
6  ธรรมะสาระ / ห้อง_ด า ว น์ โ ห ล ด / ธรรมะสบายใจจริงๆนะ เมื่อ: มีนาคม 12, 2011, 01:40:29 am
ใครสนใจที่อยากจะได้ธรรมะดี ๆ ไปฟังก็ขอเชิญดาวน์โหลดฟรีเพื่อเก็บเอาไว้ฟังได้เลยครับ

ที่ลิงค์นี้ครับ http://www.4shared.com/dir/pQv4ozXs/4sh ... sapol.html

จากบทประพันธ์ของท่าน ปิยโสภณ(วัดพระรามเก้า กาญจนาภิเษก) มีหัวข้อธรรมะดังนี้

1.อภัยทาน
2.รักบริสุทธิ์
3.หลักใจ
4.ทางแห่งสันคิสุข
5.แทนคุณศาสนา
6.แผ่เมตตาให้ศัตรู
7.พุทธปณิธาน
8.พุทโธและโพธิ
9.เมตตา อภัย สันติ

ขอให้ได้ดวงตาเห็นธรรมทุกๆท่านที่ฟังธรรมะทุกท่านไม่ว่าจะเป็นธรรมะจากที่ไหนก็ตาม
 :welcome:
7  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / ทำไมต้องศึกษาธรรมะ เมื่อ: มีนาคม 12, 2011, 01:20:49 am
ความเข้าใจในการศึกษาธรรมะ
ก่อนอื่นอยากให้ผู้ที่สนใจและที่กำลังศึกษาธรรมะอยู่ได้เข้าใจว่าทำไมเราต้องศึกษาและทำความเข้าใจให้ในจิตเห็นตามความเป็นจริงในพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ธรรมะคืออะไร ธรรมะเป็นสิ่งที่อยู่รอบๆตัวเรานั่นแหละก็คือธรรมชาติไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตหรือไม่มีก็ตาม เพียงเราทำความเข้าใจและให้จิตเกิดเห็นความเป็นจริงในธรรมชาติว่ามันเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลาไม่คงที่อยู่ มีเกิดขึ้นและตั้งอยู่และดับไปทั้งสิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิต ซึ่งหลายๆคนคิดว่าธรรมะเป็นของพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์หรือเป็นของคนที่ละจากทางโลกออกมาแสวงหาความสงบ ซึ่งนั่นเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของคนที่ละออกมาเต็มๆตัวเพื่อจะดับทุกข์ที่อยู่ในใจของตัวเราเอง แต่สำหรับคนที่ยังมีภาระกิจที่ยังต้องรับผิดชอบหลายๆเรื่องในทางโลกไม่ว่าจะเป็นเรื่องครอบครัว,เรื่องการงานและอีกหลายๆเรื่องของแต่ละบุคคล จึงจำเป็นต้องศึกษาธรรมะเพื่อที่จะดำเนินชีวิตไปอย่างราบรื่นและมีความสุข จริงๆแล้วธรรมะมีมาก่อนที่พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาบนโลกมนุษย์นี้ เพียงแต่พระพุทธเจ้าได้ทรงค้นพบก็คือตรัสรู้นั่นเอง เหตุเป็นเพราะพระองค์บำเพ็ญบารมีมาตั้งแต่ชาติที่1-ชาติที่เป็นพระเวสสันดรรวมๆแล้วก็ประมาณ 500 กว่าชาติซึ่งแต่ละชาติพระองค์ได้บำเพ็ญบารมีมาทุกชาติ ไม่ว่าจะกำเนิดเป็นมนุษย์หรือสัตว์เดรัจฉานก็ตาม และถ้าใครได้ศึกษาประวัติของพระพุทธเจ้า 10 พระชาติสุดท้ายซึ่งพระองค์ได้บำเพ็ญบารมีขั้นสูงสุดซึ่งไม่มีมนุษย์คนไหนที่จะทำได้ แต่พระองค์ทำได้ก็เพราะพระองค์ได้สั่งสมบารมีมาเป็นเวลายาวนานถึง 4 อสงไขยกับอีก 1 แสนมหากับป์ ดังนั้นการที่พระองค์เสด็จอุบัติขึ้นมาในชาติที่ทรงเป็นเจ้าชายสิทธัตธะเพราะทรงมีพระทัยที่อยากจะหาทางดับทุกข์ให้กับสัตว์โลกทั้งหลายให้พ้นจากภัยในวัฎฎสงสาร( เกิด แก่ เจ็บ ตาย )นั่นก็คือการสละทรัพย์สมบัติทั้งหมด สละความสุขส่วนพระองค์เพื่อออกมาแสวงหาโมกขธรรมด้วยการถือครองเพศบรรพชิต ปฎิบัติธรรมอยู่ภายใต้ธรรมชาติทั้งหมดและสุดท้ายก็ทรงตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าและนำธรรมะมาเผยแผ่กับมนุษย์ที่ยังมีกิเลสอยู่เพราะถ้าได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้าก็จะทำให้กิเลสที่อยู่ในจิตใจนั้นลดน้อยลงไปจนเข้าสู่สภาวะธรรม(นิพพาน)เพราะฉะนั้นธรรมะจึงเป็นของธรรมชาติซึ่งเราทุกๆคนรวมทั้งสัตว์เดรัจฉานก็มาจากธรรมชาติด้วยกันทั้งหมด เพียงแต่พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้และเข้าใจธรรมชาติที่อยู่ในสรรพสิ่งในโลกนี้ จิตของพระองค์ก็เลยปล่อยวางเข้าสู่หลักธรรมที่เราเรียกว่านิพพานนั่นเอง
ทำไมเราต้องมาศึกษาธรรมะ   เพราะถ้าเราศึกษาธรรมะก็จะทำให้เราอยู่ในสังคมอย่างมีสติอยู่ตลอดเวลา ทำให้เราเข้าใจปัญหาที่จะรุมเร้าเข้ามาหาเราทุกๆวัน ลองคิดดูว่าที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นใคร ฐานะอะไรจะเด่นจะดังหรือคนทั่วไปทุกคนก็มีปัญหาด้วยกันทั้งนั้น ปัญหาก็คือตัวทุกข์และจะมีทุกข์อยู่ 2 อย่างก็คือ ทุกข์ทางกายและทุกข์ทางใจ ทุกข์ทางกายก็เช่นเป็นโรคนั้นโรคนี้ วิธีรักษาก็แค่ไปหาหมอให้หมอจัดยามาให้กินเดี๋ยวก็หาย แต่ถ้าเป็นทุกข์ทางจิตใจวิธีรักษาก็ไปเข้าวัด ทำบุญตักบาตร ฟังธรรม และถ้าจะให้ดีกว่านี้ก็ควรที่จะศึกษาธรรมให้เข้าใจลึกๆว่าพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมอะไรไว้ให้แก่สัตว์โลก  เพราะตัวกิเลสทั้งหลายได้ติดตามข้ามภพข้ามชาติมาตลอด ต้อง เวียน ว่าย ตาย เกิด กันมาไม่รู้จะกี่ร้อยกี่พันชาติ ในครั้งพุทธกาล พระองค์ทรงมีพระทัยที่แน่วแน่ว่าจะเที่ยวจาริกไปทุกหนทุกแห่งเพื่อโปรดสัตว์โลกทั้งหลายเพื่อการหลุดพ้นจากวัฎฎสงสารนี้ไม่ต้อง เวียน ว่าย ตาย เกิด อีก และคำสอนที่เป็นหัวใจของพระพุทธเจ้าก็คือ โอวาทปาฎิโมกข์ซึ่งมีอยู่ 3 ข้อนั่นก็คือ 1.ละเว้นการกระทำชั่ว 2.ทำกุศลให้ถึงพร้อม 3.ทำจิตใจให้บริสุทธิ์ ผ่องใส และวิธีที่จะทำให้เราหลุดพ้นได้ก็คือการฝึกจิตให้เห็นตามความเป็นจริงของธรรมชาติว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่บนโลกนี้มีความไม่เที่ยงก็คือไม่แน่นอน เช่น มีเกิด-มีตาย, มีทุกข์-มีสุข, มีสูง-มีต่ำ, มีมาก-มีน้อย, มีแพ้-มีชนะ, มีรวย-มีจน, มีดี-มีชั่ว, มีสรรเสริญ-มีนินทา และอีกหลายๆอย่าง เพราะถ้าจิตของเราเข้าใจธรรมชาติจริงๆจิตเราก็จะปล่อยวางไม่ไปยึดติดกับสิ่งใดซึ่งนั่นก็จะทำให้เราไม่เกิดทุกข์เพราะจิตของเราเห็นตามความเป็นจริงว่าถ้าเราไปยึดก็จะทำให้เกิดทุกข์ และทุกข์ตัวนี้แหละก็จะเป็นตัวที่สร้างภพสร้างชาติใหม่ให้กับเราในโลกหน้า แต่การที่จะให้จิตเห็นตามความเป็นจริงได้นั้นก็ต้องอาศัยความเพียรที่จะศึกษาพระธรรมของพระพุทธเจ้าให้ลึกซึ้งถึงแก่นธรรม และก็นำมาปฎิบัติให้เกิดผล แต่จะเร็วหรือช้านั้นก็ขึ้นอยู่กับความเพียรของเราเท่านั้น ส่วนใหญ่จะเข้าใจว่าธรรมะก็แค่สอนให้เราเป็นคนดีมีเมตตา,กรุณาต่อสัตว์และคนทั้งหลาย ทำความดีไม่ทำให้ผู้อื่นเดื่อดร้อนก็เพียงพอแล้วเท่านั้น แต่นั่นเป็นเพียงเครื่องช่วยส่งพาให้จิตใจเราอ่อนโยนมากขึ้น คิดถึงใจเขาใจเราด้วยความรู้สึกจริงๆว่าทุกๆสรรพสิ่งในโลกนี้ล้วนอยากจะมีแต่สุขไม่อยากจะมีทุกข์ด้วยกันทั้งนั้น แต่เป็นเพียงความสุขแค่ชั่วคราวเท่านั้นยังไม่ใช่การหลุดพ้นจากสังสารวัฎนี้ แต่ถ้าใครมีจิตแบบนี้อยู่แล้วเป็นนิสัยถ้าได้ศึกษาพระธรรมพระพุทธเจ้าก็จะเข้าถึงได้โดยง่าย เพราะคนที่เข้าถึงธรรมของพระพุทธเจ้าพื้นฐานจะต้องเป็นคนที่มีศีลและมีพรหมวิหารสี่อยู่บ้างเพียงแต่ยังไม่เห็นอริยสัจสี่เท่านั้น ( ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ) ความหมายรวมๆแล้วก็คือเมื่อเราเกิดทุกข์ก็ให้ใช้สติหาดูว่าทุกข์ที่เราเป็นอยู่นั้นเกิดขึ้นมาจากไหน ถ้ารู้ทุกข์ว่าเกิดจากที่ไหนก็ให้ดับที่ตรงนั้น เพียงแค่เราเข้าใจในสรรพสิ่งทั้งหลายว่ามันก็เป็นของมันแบบนี้เป็นธรรมดาไม่เห็นจะต้องไปยึดมั่นถือมั่นไว้เลยยึ่งยึดก็ยิ่งทุกข์ เพราะความสุขที่แท้จริงคือการที่เราไม่ไปยึดติดกับสิ่งใดๆในโลกนั่นเอง การทำจิตให้บริสุทธิ์ไม่ปรุงแต่งความรู้สึกทั้งหลายที่มากระทบทาง ตา หู จมูก ลิ้น กายใจ แค่รับรู้ว่าสิ่งนี้คืออะไรเท่านั้นไม่ต้องไปปรุงแต่งต่อว่า อยาก,โกรธ,โมโห,อิจฉา,ชอบหรือไม่ชอบ,รักหรือไม่รัก,สวยหรือไม่สวย เพราะถ้าเราปรุงแต่งต่อก็จะทำให้เราเกิดอารมณ์ที่บอกมาเมื่อกี้และชักพาให้เราได้ทำบาปกรรมได้โดยไม่รู้ตัวเพราะกิเลสครอบงำจิตใจอยู่ ถ้าคนไหนไม่ศึกษาธรรมะก็จะปล่อยไปตามกระแสของอารมณ์กิเลสได้โดยง่ายกระทำบาปอกุศลได้ทั้งหมด แต่ถ้าคนไหนศึกษาธรรมะมาบ้างก็จะมีสติควบคุมจิตใจเราไม่ให้กิเลสมาครอบงำได้โดยง่าย พอเรามีสติก็จะเกิดรู้ขึนมาว่าเรารู้สึกอย่างไรและก็จะมีปัญญาเห็นต่อไปว่าเราต้องไม่ทำบาปอกุศล และถ้าใครฝึกใช้สติได้แบบนี้บ่อยๆเข้าต่อไปจิตก็จะเกิดการเรียนรู้ว่าต้องจัดการอย่างไรเมื่อมีสิ่งยั่วเข้ามากระทบทางอินทรียสังวร ( ตา หู จมูก ลิ้น กายใจ ) และจะทำให้จิตเราเข้ากระแสของภาวะนิพพานทำกรรมฐานเข้าถึงสมาธิฌานได้โดยง่าย ก็เพราะเรายังต้องเวียน ว่าย ตาย เกิดอีกและยังเจอปัญหาเข้ามาทุกๆวันเราจึงต้องศึกษาพระธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้าให้ถึงแก่นธรรม เพราะธรรมะช่วยแก้ไขการดำเนินชีวิตของเราในสังคมให้เดินถูกทาง แต่ไม่ได้หมายถึงว่าพอศึกษาธรรมะแล้วก็จะต้องเข้าใจเลย มันต้องมีการปฎิบัติด้วยและการปฎิบัติในที่นี้ไม่ได้หมายถึงว่าจะต้องไปนั่งสมาธิหรือทำกรรมฐานเลยนะ เพราะการฝึกจิตให้เห็นตามความเป็นจริงนั้นต้องอาศัยปัจจัยภายนอกมากระทบและเมื่อมากระทบเราก็แค่ตามรู้จิตของเราว่าตอนนี้เป็นอย่างไรและเมื่อรู้แล้วว่าเป็นอย่างไรก็ไม่ปรุงแต่งให้เกิดอารมณ์ความรู้สึก(กิเลส) ครั้งแรกๆอาจจะทำยากแต่ถ้าเรามีความเพียรมากเราก็ทำได้แต่อาจจะใช้เวลาพอสมควร เช่นมีคนมาว่าเราทั้งๆที่เราก็อยู่ของเราดีๆไม่ได้ไปว่าก่อนแต่เขามาว่าเราถ้าคนที่ศึกษาครั้งแรกก็อาจจะทำสีหน้าโกรธไม่พอใจแต่ไม่ด่าหรือว่าตอบหรือทำร้ายร่างกาย นั่นแหละคุณมีความเพียรที่จะชนะกิเลสโทสะได้แล้ว 1 ครั้งและถ้าคุณทำแบบนี้บ่อยๆเข้าก็จะเกิดการรู้ของจิตว่าจะจัดการอย่างไรต่อไป เช่น จิตอาจจะมองลึกเข้าไปว่าที่เขามาด่าเราก็อาจเป็นเพราะกรรมเก่าของเราที่จะต้องมาชดใช้เพราะมีคนตั้งหลายคนที่อยู่รอบๆข้างเขาแต่เขาไม่คิดจะว่าแต่กลับมาว่าเราคนเดียว และถ้าจิตสภาวะธรรมเกิดขึ้นก็จะแผ่เมตตาให้เขาแทนที่เราจะรู้สึกโกรธเหมือนครั้งแรกกลับต้องการแผ่เมตตาให้เขาในจิตเราเพราะต่อไปเขาคนนั้นที่ว่าเราสักวันไม่ชาตินี้ก็ชาติหน้าเขาก็จะต้องเจอแบบนี้เหมือนกัน และถ้าลึกไปอีกจิตก็จะพัฒนาต่อไปว่า ที่เขามาว่าเราก็เพราะเขาไม่ได้ศึกษาธรรมะเหมือนเราก็เลยไม่มีสติรู้ว่ากำลังสร้างกรรมใหม่อยู่ เราไม่ควรจะไปโกรธหรือว่าตอบเพราะถ้าเราว่าเขาตอบก็เท่ากับว่าเขากับเราก็ไม่แตกต่างกันทั้งๆที่เราศึกษาธรรมะรู้ธรรมะมาบ้างแล้ว แต่เขาสิไม่ได้ศึกษาไม่รู้เลยในเรื่องธรรมะ ก็เป็นธรรมดาที่เขาจะแสดงออกแบบนี้ นอกจากเราจะไม่โกรธแล้วเราก็ยังมีจิตเมตตาที่จะช่วยให้เขาได้พ้นทุกข์จากตรงนี้ด้วยการบอกเรื่องราวและข้อดีของธรรมะให้เขาฟัง พอเขาได้ฟังธรรมะแล้วจิตใจก็อาจจะดีขึ้นมีมุมมองใหม่ๆที่ดีๆตามมาในจิตใจของเขาเองและนั่นก็คือคุณได้ชนะใจจากกิเลสโทสะได้แล้วและยังเข้าไปชนะกิเลสที่อยู่ในใจของคนอื่นอีกด้วย อานิสงส์ของการฝึกจิตแบบนี้มีมากมายมหาศาลเลยซึ่งเห็นได้ชัดจากตอนนี้และเดี๋ยวนี้และจิตตัวนี้จะตามข้ามภพข้ามชาติติดไปตลอดจนกว่าจะนิพพาน และนี่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมเราจึงต้องมาศึกษาธรรมะ เพราะถ้าเราไม่ศึกษาไม่เริ่มปฎิบัติเราก็จะต้องเป็นทุกข์ตกอยู่ในสังสารวัฎนี้อีกไม่รู้กี่ภพกี่ชาติกัน ถามตัวเราเองว่าเรายังยินดีที่จะเกิดมาอีกไหม ถ้าเราไม่อยากจะเกิดมาอีกเราก็อย่าไปหลงยึดติดสิ่งใดๆในโลกนี้เพราะว่ามันไม่ใช่ของเรา เราเพียงแค่มาอาศัยธรรมชาติเป็นตัวตนแล้วสุดท้ายก็ต้องคืนตัวตนให้กับธรรมชาติต่อไปตามเดิม แต่สิ่งที่จะติดตามไปกับเรานั่นก็คือจิตของเราถ้าจิตที่ไม่ผ่องใสมีความทุกข์เศร้าหมองจิตนั้นก็จะพาเราไปยังที่ๆไม่ดีไม่มีความสุขทั้งกายและใจ แต่ถ้าจิตผ่องใสจิตก็จะพาเราไปที่ที่มีแต่ความสุขน่ารื่นรมย์ เพราะฉะนั้นเพื่อการหลุดพ้นเราทุกคนที่เกิดมาเป็นมนุษย์มีโอกาสได้ฟังพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าก็ขอให้จงฟังเถิดอย่าให้เสียชาติที่ได้เกิดมาในอัตภาพมนุษย์เพราะถ้าเราเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานก็หมดโอกาสที่จะฟังธรรมของพระพุทธเจ้าต้องเวียนว่ายอยู่ในสังสารวัฎนี้ไปอีกไม่รู้กี่ร้อยกี่พันชาติ ฟังไปๆถึงจะไม่เข้าใจก็ขอให้ฟังก่อน อย่างน้อยถ้าได้ฟังแล้วจิตของเราก็จะเริ่มมีการคิดเพียงแต่แต่อาจจะยังไม่เข้าใจเท่านั้น เพราะฉะนั้นขอให้ฟังด้วยความตั้งใจก่อนแต่อย่าไปคิดว่ามันต้องรู้ต้องเข้าใจเดี๋ยวนั้นทันที เพราะถ้าเราได้ฟังบ่อยจิตของเราก็จะสอนของมันไปเอง เกิดการเรียนรู้ไปเอง เพราะธรรมให้สติกับเราไม่ให้เราหลงเพลินไปอยู่ในโลกของกิเลสซึ่งมีแต่ความทุกข์ ธรรมะสอนให้เรามองดูตัวเราเองมากกว่าการมองดูคนอื่น เพราะการมองดูตัวเองนั้นจะเกิดการปรับปรุงตัวเราเองไม่ให้สร้างกรรมต่อไปให้กับตัวเองและคนอื่น

***คนที่พิมพ์นี้ก็ศึกษาธรรมะอยู่แต่ยังไม่ได้บรรลุ แต่เพียงกำลังปฎิบัติตามธรรมที่ได้ศึกษามาและก็ทำได้บางอย่างจนนิสัยบางอย่างที่ไม่ดีถูกธรรมะเข้าแทนที่จนกลายเป็นคนที่จัดการกับความทุกข์ได้แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ได้หมายถึงว่าจะทำได้เลยเพราะเราต้องมีความเพียรเอาชนะกิเลสที่ครอบงำจิตใจออกไปแล้วเอาธรรมะเข้ามาแทนที่ เช่นนิสัยที่เคยเป็นคนโกรธและโมโหรุนแรงไม่ยอมใครถ้าไม่ผิดแต่พอได้ศึกษาธรรมะจิตก็เปลี่ยนความคิดใหม่ในทางที่ดีขึ้นกลายเป็นคนที่โกรธและโมโหยากไม่ว่าจะถูกหรือผิดก็ตาม แค่พยายามตามรู้จิตของตัวเองว่าเป็นอย่างไรเพื่อที่จะไม่ปล่อยไปตามอารมย์ของกิเลสที่มายั่ยุและตัวเองก็มีความศรัทธาและเชื่อในคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เพราะธรรมะทำให้เราได้มีสติทุกครั้งก่อนที่เราจะตกให้กิเลสครอบงำจิตของเรา ถ้าใครอ่านแล้วไม่ว่าท่านจะรู้สึกอย่างไรก็ตามแต่อย่างน้อยท่านก็ได้สนใจบ้างในเรื่องของธรรมะแล้ว ขอให้อานิสงส์จากการสนใจในธรรมของท่านจงส่งผลให้ท่านเป็นผู้ที่มีจิตหลุดพ้นจากกิเลสทั้งหลายเข้าถึงสภาวะธรรมแห่งนิพพานด้วยเทอญ***
กลัวตาย กลัวอด กลัวโดนด่า กลัวไม่สวย กลัวไม่หล่อ  กลัวทุกข์ กลัวนินทา ฯลฯ ยังไม่สู้เท่ากับ กลัวบาป กลัวกรรม
    คิดสักนิดก่อนจะทำ  มีเพียงสติเท่านั้นที่ช่วยเราได้  เราต้องมีสติเป็นเพื่อนอยู่ตลอดเวลา
                                                                                                                   
สพฺพานาลํ  อภินิเวสาย  แปลว่า  ทุกอย่างไม่ควรยึดถือ
  สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ แปลว่า  การให้ธรรมทาน    ชนะการให้ทั้งปวง
สุโข ปุญฺญสฺส อุจฺจโย แปลว่า  การสั่งสมบุญ นำสุขมาให้
อันตัวเราเกิดมาทำไมหนอ     หรือมาก่อบาปกรรมนำสงสาร
เสวยทุกข์สุขห่างหายใจร้าวราน    ติดกับมารเพราะตัวอวิชชา
หยุดเถิดเจ้าจิตเอ๋ยไม่เคยนิ่ง     คอยวุ่นวิ่งตามกิเลสตัวตัณหา
ควรสงบระงับด้วยวิปัสสนา    หันหน้ามาค้นหาพระสัทธรรม
[/size][/color]
 :s_good:
8  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / กำหนดการฟังธรรม เมื่อ: มีนาคม 12, 2011, 01:04:47 am
กำหนดการจัดงานแสดงธรรม-ปฏิบัติธรรมเป็นธรรมทาน  ครั้งที่ ๑๙

เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล  แด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

จัดโดย  มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ  ร่วมกับ  ชมรมกัลยาณธรรม

อาทิตย์ที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๕๔ เวลา ๐๘.๐๐-๑๖.๓๐ น.

 

กำหนดการ

๐๕.๐๐ น.        เริ่มเปิดให้บริการลงทะเบียนและบริการอาหารเช้า

๐๘.๓๐ น.       พิธีเปิดงานโดยอธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ 
                     ดร.สาธิต พุทธชัยยงค์

๐๘.๔๕ น.       พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก วัดสุนันทวนาราม อ. ไทรโยค จ.กาญจนบุรี
                     แสดงพระธรรมเทศนาเรื่อง  “บารมีธรรมนำชีวิต”

๑๐.๑๐ น.        เจริญสติ ๑๐ นาที และ ถวายสังฆทาน

๑๐.๓๐ น.        ดร.สนอง วรอุไร  บรรยายธรรมเรื่อง “พ้นทุกข์แบบฆราวาส”

๑๑.๔๐ น.        เจริญสติ ๑๐ นาที และมอบของที่ระลึก

๑๒.๐๐ น.       พักรับประทานอาหารกลางวัน (มีบริการทุกท่าน)

๑๓.๑๐ น.        อ.ธีรยุทธ เวชเจริญยิ่ง  บรรยายธรรมเรื่อง “ชีวิตจริง ไม่ใช่ของเล่น”

๑๔.๓๐ น.       เจริญสติ ๑๐ นาทีและมอบของที่ระลึก

๑๔.๔๐ น.       พระเดชพระคุณ พระราชภาวนาวิกรม (หลวงพ่อเลี่ยม ฐิตธมฺโม)
                     วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี แสดงธรรมเรื่อง  “อารักขกรรมฐาน”

๑๖.๐๐ น.        เจริญสติ ๑๐ นาที

๑๖.๑๐ น.        ประธานชมรมกัลยาณธรรม กล่าวอนุโมทนา

๑๖.๒๐ น.       หลวงพ่อเลี่ยม เมตตาให้พร และปิดงาน

     :welcome:

ชมภาพและรายละเอียดที่เว็บ http://www.kanlayanatam.com/ ครับ
หน้า: [1]