นิทานชาดก กุกกุฏชาดก เรื่อง พญาไก่ป่าในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงปรารภภิกษุผู้กระสันจะสึกรูปหนึ่ง ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิ์สัตว์เกิดเป็นพญาไก่ป่า มีไก่เป็นบริวารหลายร้อยตัว อาศัยอยู่ในป่าแห่งหนึ่ง มีนางแมวตัวหนึ่งอาศัยอยู่ในที่ไม่ไกลจากที่อยู่ของไก่ป่านั้น มันเที่ยวใช้อุบายล่อลวงจับไก่ป่ากินเป็นอาหารเกือบหมด พญาไก่ป่าทราบว่าบริวารถูกนางแมวจับกินไปเกือบหมดก็ไม่ไปใกล้ที่อยู่ของมัน
@@@@
หลายวันต่อมา เมื่อไม่เห็นไก่ตัวใดไปใกล้ที่อยู่ของตน นางแมวจึงต้องดั้นด้นมาหาไก่เสียเอง มันเดินย่องเข้าไปใต้คอนไม้ที่พญาไก่ป่าจับอยู่ พร้อมกับพูดขึ้นว่า
"พ่อไก่น้อยสีแดง ผู้มีขนสวยงาม เจ้าลงมาจากกิ่งไม้เถิด เราจะยอมเป็นภรรยาท่าน"
พญาไก่ป่ารู้ทันเล่ห์เหลี่ยมของมันจึงตอบไปว่า "นางแมวเอ๋ย เจ้าเป็นสัตว์ ๔ เท้าที่สวยงาม ส่วนเราเป็นสัตว์ ๒ เท้า แมวกับไก่อยู่ร่วมกันไม่ได้ดอก เชิญท่านไปหาผู้อื่นเป็นสามีเถิด"
@@@@
นางแมวไม่ลดละความพยายามยังพูดออดอ้อนว่า "พ่อไก่น้อย ฉันจะเป็นภรรยาผู้สวยงาม ร้องเสียงไพเราะเพื่อเจ้า เจ้าจะรู้ว่าฉันเป็นภรรยาสาวพรหมจรรย์ที่สวยงาม ร้องเสียงไพเราะเพื่อเจ้า เจ้าจะรู้ว่าฉันเป็นภรรยาสาวพรหมจรรย์ที่สวยงามและมีความสุขที่สุด"
พญาไก่ป่าจึงพูดขู่นางแมวไปว่า "นางแมวเอ๋ย เจ้ากินซากศพ ดื่มเลือด กินไก่บริวารของเราแล้ว จงไปเสียเถอะ"
นางแมวเมื่อรู้ว่าพญาไก่ไม่หลงกล ก็รีบวิ่งหนีกลับไปอย่างผู้ผิดหวังและไม่กลับไปหากินที่นั่นอีกเลย
@@@@
พระพุทธองค์เมื่อตรัสอดีตนิทานจบ ได้ตรัสพระคาถาว่า
"ผู้ใดรู้ไม่เท่าทันเหตุที่เกิดขึ้นโดยฉับพลัน ผู้นั้นจะตกอยู่ในอำนาจของศัตรู และจะเดือดร้อนภายหลัง ส่วนผู้ใดรู้เท่าทันเหตุที่เกิดขึ้นโดยฉับพลัน ผู้นั้นจะพ้นจาการเบียดเบียนของศัตรู เหมือนไก่พ้นจากนางแมวฉะนั้น"
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า : ผู้มีปัญญารู้เท่าทันเหตุการณ์ย่อมสามารถรู้รักษาตัวรอดได้ที่มา : หนังสือนิทานชาดก โดย พระมหาสุนทร สุนฺทรธฺมโม (เสนาซุย)
ขอบคุณเว็บไซต์ :
http://www.dhammathai.org/chadoknt/chadoknt11.php
อรรถกถา กุกกุฏชาดก ว่าด้วย ผลของการไม่เชื่อง่าย
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภภิกษุผู้กระสันจะสึกรูปหนึ่ง ตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า สุจิตฺตปตฺตจฺฉาทน ดังนี้
ความย่อว่า พระศาสดาตรัสถามภิกษุนั้นว่า เหตุไฉน.? เธอจึงกระสันอยากสึก.
เมื่อเธอทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เห็นหญิงคนหนึ่งผู้ประดับประดาตกแต่งตัวแล้ว จึงกระสันอยากสึกด้วยอำนาจกิเลสดังนี้.
แล้วตรัสว่า ธรรมดาผู้หญิงลวงให้ชายลุ่มหลงแล้วให้ถึงความพินาศ ในเวลาชายตกอยู่ในอำนาจของตน เป็นเหมือนแมวตัวเหลวไหล แล้วได้ทรงนิ่ง.
@@@@@@
เมื่อถูกภิกษุนั้นทูลอ้อนวอน จึงทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนครพาราณสี พระโพธิสัตว์เกิดในกำเนิดไก่ในป่า มีไก่หลายร้อยตัวเป็นบริวารอยู่ในป่า. ฝ่ายนางแมวตัวหนึ่ง ก็อาศัยอยู่ในที่ไม่ไกลพระโพธิสัตว์นั้น มันใช้อุบายลวงกินไก่ที่เหลือ เว้นแต่ไก่โพธิสัตว์. พระโพธิสัตว์ไม่ไปสู่ป่าชัฏของมัน. มันคิดว่า ไก่ตัวนี้อวดดีเหลือเกิน ไม่รู้ว่าเราเป็นผู้โอ้อวด และเป็นผู้ฉลาดในอุบาย เราควรจะเล้าโลมไก่ตัวนี้ว่า จักเป็นภรรยาของมัน แล้วกินในเวลามันตกอยู่ในอำนาจของตน มันจึงไปยังควงไม้ที่ไก่นั้นเกาะอยู่
@@@@@@
เมื่อขอร้องไก่นั้นด้วยวาจาที่มีภาษิตสรรเสริญนำหน้า จึงได้กล่าวคาถาที่ ๑ ว่า :-
ดูก่อนพ่อนกน้อยสีแดง ผู้ปกคลุมด้วยขนที่สวยงาม เจ้าจงลงมาจากกิ่งไม้เถิด เราจะเป็นภรรยาของท่านเปล่าๆ.
บรรดาบทเหล่านั้น
บทว่า สุจิตฺตปตฺตจฺฉาทน ความว่า ผู้มีเครื่องห่อหุ้มที่ทำด้วยขนอันสวยงาม.
บทว่า มุธา ความว่า เราจะเป็นภรรยาของท่าน โดยปราศจากมูลค่า คือโดยไม่รับเอาอะไรเลย.
@@@@@@
พระโพธิสัตว์ได้ฟังคำนั้นแล้วคิดว่า แมวตัวนี้กัดกินญาติของเราหมดไปแล้ว บัดนี้ มันประสงค์จะล่อลวงกินเรา เราจักขับส่งมันไปแล้วกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า :-
เจ้าเป็นสัตว์ ๔ เท้าที่สวยงาม ส่วนฉันเป็นสัตว์ ๒ เท้า เนื้อกับนกจะร่วมกันไม่ได้ในอารมณ์ เป็นที่รื่นรมย์ใจ เจ้าจงไปแสวงหาผู้อื่นเป็นสามีเถิด.
พึงทราบวินิจฉัยในคาถานั้นต่อไป พระโพธิสัตว์กล่าวว่า มิคี หมายเอาแมว. ด้วยบทว่า อสํยุตฺตา พระโพธิสัตว์แสดงว่า แมวกับไก่ร่วมกันไม่ได้ สัมพันธ์กันไม่ได้เพื่อเป็นผัวเมียกัน สัตว์ทั้ง ๒ เหล่านั้นไม่มีความสัมพันธ์เช่นนี้.
@@@@@@
นางแมวนั้นได้ฟังคำนั้นแล้ว ลำดับนั้นจึงคิดว่า ไก่ตัวนี้โอ้อวดเหลือเกิน เราจักใช้อุบายอย่างใดอย่างหนึ่งลวงกินมันให้ได้ แล้วได้กล่าวคาถาที่ ๓ ว่า :-
ฉันจักเป็นภรรยาสาวผู้สวยงาม ร้องไพเราะเพื่อคุณ คุณจะพบฉันผู้เป็นพรหมจารินีที่สวยงาม ด้วยการเสวยอารมณ์อย่างดี คือสุขเวทนา.
พึงทราบวินิจฉัยในคาถานั้น
ด้วยบทว่า โกมาริกา นางแมวกล่าวว่า ฉันไม่รู้จักชายอื่นตลอดเวลานี้ ฉันจักเป็นภรรยาสาวของคุณ,
บทว่า มญฺชุกา ปิยภาณินี ความว่า เราจักเป็นผู้มีถ้อยคำไพเราะ พูดคำน่ารักเป็นปกติต่อคุณทีเดียว.
บทว่า วินฺท มํ ความว่า คุณจะกลับได้ฉัน.
บทว่า อริเยน เวเทน ความว่า ด้วยการกลับได้ที่ดี.
นางแมวพูดว่า เพราะว่าฉันเองก่อนแต่นี้ไม่รู้จักสัมผัสตัวผู้ ถึงคุณก็ยังไม่รู้จักการสัมผัสตัวเมีย ฉะนั้น คุณจะได้ฉันผู้เป็นพรหมจารินีตามปกติด้วยการได้ที่ไม่มีโทษ คุณต้องการฉัน ถ้าไม่เชื่อถ้อยคำของฉัน ก็ให้ตีกลองประกาศในนครพาราณสีชั่ว ๑๒ โยชน์ว่า นางแมวนี้เป็นทาสของฉัน คุณจงรับฉันให้เป็นทาสของตนเถิด.
@@@@@@
พระโพธิสัตว์ได้ยินคำนั้นแล้ว ถัดนั้นไปก็คิดว่า ควรที่เราจะขู่แมวตัวนี้ให้หนีไปเสีย แล้วจึงกล่าวคาถาที่ ๔ ว่า :-
ดูก่อนเจ้าผู้กินซากศพ ผู้ดื่มโลหิต ผู้เป็นโจรปล้นไก่ เจ้าไม่ต้องการให้ฉันเป็นผัว ด้วยการเสวยอารมณ์ที่ดี คือสุขเวทนา.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า น ตวํ อริเยน ความว่า พระโพธิสัตว์กล่าวว่า เจ้าไม่ประสงค์ให้ข้าเป็นผัว ด้วยลาภที่ประเสริฐ คือการอยู่ประพฤติเหมือนพรหม แต่เจ้าต้องการลวงกินฉัน. ดูก่อนเจ้าผู้ลามก เจ้าจงฉิบหาย ดังนี้แล้ว ให้แมวนั้นหนีไปแล้ว.
ส่วนแมวนั้นหนีไปแล้ว ไม่อาจแม้เพื่อจะมองดูอีก
@@@@@@
เพราะฉะนั้น พระศาสดาจึงได้ตรัสอภิสัมพุทธคาถาเหล่านี้ว่า :-
หญิง ๔ คนเห็นนรชนผู้ประเสริฐ แม้อย่างนี้แล้ว ชักนำด้วยวาจาอ่อนหวาน เหมือนนางแมวชักนำไก่ ฉะนั้น.
ก็ผู้ใดรู้ไม่เท่าทันเหตุที่เกิดขึ้นโดยฉับพลัน ผู้นั้นจะตกอยู่ในอำนาจของศัตรู และจะเดือดร้อนภายหลัง.
ส่วนผู้ใดรู้ทันเหตุที่เกิดขึ้นโดยฉับพลัน ผู้นั้นจะพ้นจากการเบียดเบียนของศัตรู เหมือนไก่พ้นจากนางแมว ฉะนั้น.
คาถาเหล่านี้เป็นพระคาถาของท่านผู้รู้ยิ่งแล้ว คือคาถาของท่านผู้ตรัสรู้แล้ว.
@@@@@@
บรรดาบทเหล่านั้น
บทว่า จตุรา คือผู้ประกอบหญิงจำนวน ๔ คน.
บทว่า นารี ได้แก่ หญิงทั้งหลาย.
บทว่า เนนฺติ ความว่า นำเข้าไปสู่อำนาจของตน.
บทว่า วิลารี วิย ความว่า นางแมวนั้นพยายามชักนำไก่นั้น ฉันใด หญิงเหล่าอื่นก็ชักนำภิกษุนั้น ฉันนั้นเหมือนกัน. บทว่า อุปฺปติตํ อตฺถํ ความว่า เหตุการณ์บางอย่างนั่นเอง ที่เกิดขึ้นแล้ว.
บทว่า น พุชฺฌติ ความว่า ไม่รู้ตามสภาพความจริง และจะเดือดร้อนภายหลัง.
บทว่า กุกฺกุโฏว มีเนื้อความว่า ภิกษุนั้นพ้นจากการเบียดเบียนของศัตรู เหมือนไก่ตัวที่ถึงพร้อมด้วยความรู้ พ้นจากแมวฉะนั้น.
พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประกาศสัจธรรม ประมวลชาดกไว้ ในที่สุดแห่งสัจจะ ภิกษุผู้กระสันจะสึก ตั้งอยู่แล้วในโสดาปัตติผล ก็พระยาไก่ในครั้งนั้น ได้แก่ เราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถากุกกุฏชาดกที่ ๘ที่มา :
http://www.84000.org/tipitaka/atita100/jataka.php?i=270886อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎกได้ที่ :
http://www.84000.org/tipitaka/atita100/v.php?B=27&A=4006&Z=4024