ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
  • สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน
แสดงกระทู้
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
    Messages   Topics Attachments  

  Messages - สาวิตรี
หน้า: 1 2 [3] 4
81  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: ฝึกอานาปานสติ แล้วไม่หายใจ เมื่อ: กุมภาพันธ์ 13, 2011, 07:31:20 am
อยากทราบวิธีการฝึกนี้ เรียนมาจากไหน ครับบอกได้หรือไม่คะ ?
วิธีขั้นตอน ตอนที่กำหนดลมหายใจ เข้า ออก ในระหว่างที่ไม่มีบริกรรมนั้น ทำอย่างไรบ้างคะ ?

สนใจคะ

 :smiley_confused1:
82  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: ตรุษจีน กับคำอธิษฐาน ขอพร จ้า..2554 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 03, 2011, 02:48:05 pm
10 อย่างที่ต้องทำในวันตรุษจีน

คนส่วนมากรู้จัก "ตรุษจีน"ว่าเป็นวันรับ "อั่งเปา" แต่จริงๆ แล้วตรุษจีน หรือวันขึ้นปีใหม่จีน คนจีนก็มีกิจกรรมคล้ายๆ กับคนไทยกระทำในวันปีใหม่ คือเป็นวันพบปะญาติมิตร ไหว้พระ อวยพรผู้ใหญ่ ส่วนอั่งเปานั้นเป็นเพียงน้ำจิ้มเล็กๆ ที่สร้างความสุขความตื่นเต้นให้กับเด็กน้อย

ผู้เฒ่าแซ่เอี้ย วัย 71 ปี เล่าให้ฟังอย่างอารมณ์ดีว่า ตรุษจีนคือ "วันชิวอิก" วันแรกของปี จะเริ่มต้นเมื่อหลังเที่ยงคืนของ "วันซาจั๊บ" ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของปี เรียกอีกอย่างว่า "วันถือ" เพราะถือเป็นวันเริ่มต้นปีใหม่ ทุกคนจะพูดแต่สิ่งดีๆ สิ่งที่เป็นมงคล

ทั้งนี้ กิจที่คนจีนจะต้องกระทำในเทศกาลตรุษจีนจะเริ่มตั้งแต่ "วันจ่าย" ซึ่งเป็นวันจ่ายตลาดเตรียมข้าวของสำหรับไหว้ในวันรุ่งขึ้น รวมทั้งเป็นวันจ่ายโบนัสให้ลูกจ้าง

1.ไหว้เจ้า ไหว้บรรพบุรุษ และไหว้ผีไม่มีญาติ
 
วันตรุษจีน ไหว้เจ้า

วันซาจั๊บ ช่วงเช้าหลังจากไหว้เจ้าในบ้าน คือ "ตีจูเอี๊ย" ไหว้บรรพบุรุษแล้ว ในตอนเที่ยงจึงไหว้ผีไม่มีญาติ ซึ่งของไหว้จะมีทั้งของคาว-หวาน รวมทั้งเป็ด-ไก่ มากหรือน้อยแล้วแต่ฐานะของผู้ไหว้ และมีเครื่องกระป๋อง ข้าวสาร เกลือ เพื่อให้ผีไม่มีญาติพกไปด้วย นอกจากนี้ยังต้องจุดขี้ไต้ 2 ชิ้นไว้ด้วย เมื่อไหว้เสร็จจะจุดประทัด จากนั้นจะโปรยข้าวสารผสมเกลือ ขับไล่สิ่งที่ไม่ดีให้หมดไป

2.รวมญาติกินเกี๊ยว
 
 

ความสำคัญอีก ประการของตรุษจีน คือเป็นวัน รวมญาติ โดยทุกคนจะเดินทางมาร่วมโต๊ะกินเกี๊ยวในวันซาจั๊บมื้อสุดท้ายก่อนขึ้นปีใหม่ และที่ต้องเป็น "เกี๊ยว" ก็เพราะลักษณะของเกี๊ยวที่เหมือนกับ "เงิน" ของจีน ให้ความหมายว่า ให้มั่งมีเงินทอง

3.กินเจมื้อเช้า คือมื้อแรกของปี

ส่วนในวันชิวอิก คนจีนจะกินเจมื้อแรกของปี เชื่อกันว่าจะได้บุญเหมือนกับกินเจตลอดทั้งปี

4.ทำพิธีรับ "ไช่ซิงเอี้ย"

"ไช่ซิงเอี้ย" เป็นเทพพิทักษ์ทรัพย์ หรือเทพเจ้าแห่งโชคลาภ ส่วนใหญ่จะทำพิธีระหว่างหลังเที่ยงคืนของวันซาจั๊บจนถึงก่อนตี 1

5.ห้ามกวาดบ้าน

ก่อนตรุษจีน จะมีการทำความสะอาดบ้าน ปัดกวาดหยากไย่ครั้งใหญ่ เมื่อถึงวันปีใหม่จะไม่กวาดบ้านจนถึงวันชิวสี่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นวันแรกของการเริ่มต้นทำงาน เพราะถือว่าจะกวาดเอาสิ่งที่เป็นมงคลทิ้งไป แต่ถ้าบ้านใครสกปรกจนทนไม่ไหว ก็จะกวาดเข้าคือ กวาดจากหน้าบ้านเข้าไปในบ้าน

6. ติด "ตุ๊ยเลี้ยง" หรือคำอวยพรปีใหม่

เมื่อก่อนคนจีน ที่พอมีความรู้จะเขียน "ตุ๊ยเลี้ยง" เอง โดยใช้หมึกดำหรือสีทองเขียนคำอวยพรลงบนกระดาษสีแดง ถ้าไม่มีความรู้ก็จะไปจ้างมืออาชีพเขียนให้ ซึ่งแหล่งใหญ่ก็คือที่เยาวราช

คำอวยพรที่ เขียนจะประกอบด้วยตัวอักษร 7 ตัว เขียนเป็นคำกลอน โดยมากจะอวยพรให้ทำมาค้าขึ้น ให้มั่งมีเงินทอง ติดตามสองข้างประตูบ้าน และมีอีกแผ่นสำหรับติดทางขวางตรงกลางทางเข้า-ออก เขียนคำว่า "ชุก ยิบ เผ่ง อัง" แปลว่า เข้า-ออกโดยปลอดภัย รวมทั้งติดภาพเด็กผู้หญิง-เด็กผู้ชาย ที่เรียกว่า "หนี่อ่วย" ซึ่งเป็นภาพมงคลของจีน ถือเป็นงานศิลปะที่สำคัญอีกอย่างนอกเหนือจากการตัดกระดาษ มักติดที่ประตูหน้าบ้าน

7.ใส่เสื้อผ้าใหม่สีสันสดใส

8.ส้ม 4 ผล อวยพรผู้ใหญ่
 
วันตรุษจีน ไหว้เจ้า

วันชิวอิกทุกคน จะนำส้ม 4 ผล ไปกราบผู้ใหญ่ขอพร เจ้าบ้านเองนอกจากจะเตรียมเมล็ดแตงโมย้อมสีแดงไว้ 1 พาน และลูกสมอจีนไว้รับแขกแล้ว เมื่อมีผู้มาอวยพร จะรับส้มขึ้นมา 2 ผล และนำส้มในบ้านที่เตรียมไว้วางคืนลง 2 ผล

9.รับอั่งเปา
 
ตรุษจีน อั่งเปา
 

10.ไหว้เจ้าเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต
83  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เคยรู้สึกไหมว่า เหมือนกับอนาคตมันถูกกำหนดเอาไว้ก่อนแล้ว เมื่อ: มกราคม 30, 2011, 11:44:18 am
เคยรู้สึกไหมว่า เหมือนกับอนาคตมันถูกกำหนดเอาไว้ก่อนแล้ว

    เคยรู้สึกไหมว่า เหมือนกับอนาคตมันถูกกำหนดเอาไว้ก่อนแล้ว
    แล้วปัจจุบันค่อยๆวิ่งเข้าไปหา

    อย่างเรื่องบังเอิญประจวบเหมาะต่างๆ
    มันบังเอิญได้อย่างไม่น่าเชื่อ

    คือมันไม่ใช่ว่า พอเราทำแบบนี้ปุ๊ป ผลเลยออกมาเป็นแบบนี้
    แต่เพราะผลมันถูกดำเนินล่วงหน้าไว้ก่อนแล้ว
    แล้วพอเราทำสิ่งต่างๆของเรา
    เหมือนเรื่องมันมาประจวบเหมาะกัน
    เกิดเป็นความบังเอิญ??

    ราวกับว่า อนาคตมันถูกกำหนดไว้ก่อน แล้วปัจจุบันเป็นตัววิ่งไปหาอีกที

    ไม่รู้นะ แค่ความคิดเห็นนึงนะ ใครเคยรู้สึกอะไรประมาณนี้ไหม

    จากคุณ : อาณาจักรสีเขียว
84  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: ลำนำวิปัสสนา เมื่อ: มกราคม 30, 2011, 11:39:04 am
ได้อะไร ในการไปวิปัสสนา







1.สิ่งที่ข้าพเจ้าได้รับจากการไปวิปัสสนา

ในทันทีที่ข้าพเจ้าได้เข้าสู่บริเวณ
ศูนย์ปฏิบัติธรรมสุวรรณา จ.ขอนแก่น
ข้าพเจ้ารู้สึกได้ทันทีว่า

เหมือนได้มาอยู่ในอีกโลกๆ หนึ่ง
ซึ่งไม่ใช่โลกมนุษย์ในปัจจุบัน

เพราะบรรยากาศเต็มไปด้วยความ ร่มรื่น สงบเย็น
ธรรมบริกรให้การต้อนรับ
ด้วยการยกมือไหว้อย่างนอบน้อม สวยงาม
พร้อมกล่าวทักทายต้อนรับด้วยด้วยมิตรไมตรี
ด้วยรอยยิ้มอันเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักความเมตตา
ต่อผู้อื่นด้วยความบริสุทธิ์ใจ

เมื่อวันแรกผ่านพ้นไป
ยิ่งทำให้ข้าพเจ้า รู้สึกราวกับว่า ได้มาอยู่ ในดินแดนแห่งพรหมโลก

ตลอดระยะเวลา 10 วัน
ทั้งอาจารย์ผู้ฝึกสอน ธรรมบริกร
และผู้เข้าฝึกอบรมปฏิบัติธรรมทุกคน ล้วนอยู่ในอาการสงบเงียบ
ไม่ได้ยินเสียงพูด เสียงคุย เสียงหัวเราะ เสียงร้องไห้
ของผู้ปฏิบัติแม้แต่คนเดียว

ทุกคนล้วนตั้งมั่นในความสงบ
มีสติ สัมปชัญญะ มีอุเบกขา
และยึดมั่นในศีลทั้ง 5 ข้อ เป็นอย่างดี

นับว่าเป็นความโชคดี
และมหาอานิสงค์อันประเสริฐยิ่งของข้าพเจ้า
หาสิ่งใดมาเปรียบปานมิได้เลย

แม้จะเปรียบว่า
การได้สร้างมหาเจดีย์ทองคำมาหลายชาติ
อันเป็นมหาอานิสงค์อันยิ่งใหญ่ฉันใด

ยังไม่อาจเปรียบได้กับอานิสงค์
จากการได้มาปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานในครั้งนี้ได้เลย

เพราะทำให้ข้าพเจ้าได้รู้ ได้เข้าใจ ได้สัมผัส
กฎความจริงของธรรมชาติอันยิ่งใหญ่
ด้วยประสบการณ์จริงล้วนๆ ด้วยตนเอง

มิใช่เพียงได้ยิน หรือได้เรียนรู้จากตำรามา
แต่นี่เป็นความรู้ที่เกิดจากการได้สัมผัสความจริง ล้วนๆ ด้วยตนเอง

จึงเป็นความรู้ที่ก่อเกิดปัญญา
อันจะนำไปสู่การหลุดพ้นจากกิเลส ตัณหา
หลุดพ้นจากความทุกข์ ทั้งหลายทั้งปวง
หลุดพ้นจากวัฏฏสงสาร
(ความทุกข์ จากการเวียนว่ายตายเกิดครั้งแล้วครั้งเล่าไม่มีที่สิ้นสุด)

บรรลุธรรมอันประเสริฐ เข้าสู่ความสุขอันเป็นนิรันดร์
สู่ดินแดนแห่งพระนิพพาน
ดินแดนอัน พระพุทธเจ้าทั้งหลาย พระปัจเจกพุทธเจ้า
และพระอรหันต์ทั้งหลายได้เข้าถึงแล้ว

และรอคอยสรรพสัตว์ทั้งหลายหลุดพ้นจากความทุกข์
และเข้าสู่มหาอมตนิพพาน ด้วยความรัก ความเมตตา สงสาร
มิอาจหาสิ่งใดมาทดแทนได้เลย

ในอดีต นับตั้งแต่จำความได้
เรื่อยมาจนถึงก่อนเข้าอบรมวิปัสสนา
ข้าพเจ้าพยายามดิ้นรน
ไขว่คว้าหาความสุขความเพลิดเพลิน
ความปิติยินดี สิ่งที่ชอบที่ถูกใจ
และพยายามเสือกไส ผลักดัน
ไม่รับเอาสิ่งที่เป็นความทุกข์ทั้งหลายออกไปให้ได้มากที่สุด
เท่าที่ความสามารถในขณะนั้นๆ พึงกระทำได้

แต่จนแล้วจนเล่า
ก็ไม่เห็นความทุกข์หดหายไปจากตัวเราเลย
ตรงข้ามยิ่งทวีความรุนรนแรง แตกแขนง
แยกออกเป็นสาขาความทุกข์อย่างมากมายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

สำหรับความสุขก็มิเคยได้พบความสุขที่แท้จริงเลย

มีแต่ความอยากความกระหายในสิ่งที่ชอบใจไม่มีที่สิ้นสุด
และเมื่อได้สิ่งที่ต้องการมาแล้วความสุขก็มิได้จีรังยั่งยืน
รู้สึกเบื่อหน่ายอยากจะผลักหนีออกไป
อยากได้สิ่งใหม่ๆที่ดีกว่าเดิมอีก

ซึ่งล้วนแฝงด้วยความทุกข์ที่จะตามมาในภายหลัง
ซึ่งไม่เห็นมีความสุข ความชอบใจสิ่งใดเลยที่เป็นนิรันดร์
ล้วนแล้วแต่แฝงไว้ด้วยความทุกข์ทั้งสิ้น

เมื่อข้าพเจ้าได้เข้ามาสู่ดินแดนแห่งการประพฤติพรหมจรรย์
ดินแดนแห่งการปฏิบัติตามแนวคำสอนของพระพุทธเจ้า
จึงได้พบสัจธรรมอันยิ่งใหญ่ ได้พบกฎธรรมชาติอันยิ่งใหญ่
พบกฎของไตรลักษณ์(กฎความจริงตามธรรมชาติอันประเสริฐ 3 ประการ)
อันได้แก่

อนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา

อนิจจัง คือความไม่เที่ยงของสรรพสิ่งทั้งปวง
สิ่งใดก็ตามเมื่อมีเหตุปัจจัยให้เกิดขึ้น
เมื่อมีเหตุปัจจัยอย่างหนึ่งอย่างใดเปลี่ยนแปลงและดับไป
สิ่งนั้นย่อมเปลี่ยนแปลงและดับไปเป็นธรรมดา

ดังเช่น ร่างกายของมนุษย์ และสัตว์ทั้งหลาย
ล้วนประกอบปรุงแต่งด้วย ด้วยธาตุดิน น้ำ ลม และไฟ
- ธาตุดินก็ได้แก่ เนื้อหนัง เอ็น กระดูก
ขน เล็บ ฟัน ตับ ไต ไส้ พุง เป็นต้น
- ธาตุน้ำ ได้แก่ น้ำเลือด น้ำหนอง
น้ำมูก น้ำตา น้ำเหลือง น้ำอสุจิ เป็นต้น
- ธาตุลม ได้แก่ ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก
ลมตีขึ้นข้างบน ลมตีลงด้านล่าง เป็นต้น
- ธาตุไฟ ได้แก่ อุณหภูมิภายในร่างกาย ความอบอุ่น
ความร้อน ในร่างกาย เป็นต้น

ธาตุทั้งสี่นี้จะปรุงแต่งรวมตัวกัน ในสภาวะที่เหมาะสม
เกิดเป็นร่างกายของมนุษย์แลสัตว์
เป็นแขน ขา หู ตา จมูก ลิ้น ผิวกาย
และเมื่อมีธาตุรู้ คือจิตเข้ามาผสมโรง
รับรู้ความรู้สึกต่างๆ ขึ้น จึงเกิดเป็นสิ่งมีชีวิต
ที่เราสมมุติว่า เป็น มนุษย์ เทวดาเป็นสัตว์
เป็นหมู หมา เป็ด ไก่ ฯลฯ

ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ เทวดา สัตว์เดรัจฉาน เปรต อสูรกาย
หรือสัตว์นรก ล้วนแต่อนิจจัง
เมื่อร่างกายก่อเกิดขึ้นชั่วระยะหนึ่ง ก็จะตั้งอยู่ระยะหนึ่ง
แล้วก็ค่อยๆ เสื่อมสลาย และดับไปในที่สุด
ไม่มีสรรพสัตว์ใดๆ คงสภาพอยู่อย่างนิรันดร์
ย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ทั้งหมดทั้งสิ้น

มนุษย์ก็เช่นกัน เมื่อมีเกิด ก็ย่อมมี แก่ เจ็บ และในที่สุดก็ต้องตาย
แล้วก็เกิดใหม่ตามกฎธรรมชาติ หมุนวนเป็นลูกโซ่ ไม่มีที่สิ้นสุด
พระพุทธองค์เรียกว่า "วัฏฏสงสาร"

ทุกขัง คือสิ่งทั้งหลายทั้งปวงทนอยู่ในสภาพเดิมมิได้
ไม่ว่ามนุษย์แลสัตว์ ย่อมมีการเปลี่ยนแปลง

หากยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตน เป็นของๆตน
แต่แล้ววันหนึ่งมันก็ต้องเปลี่ยนแปลง เสื่อมสลาย หรือดับไป
เช่น เมื่ออายุมากขึ้นใบหน้าเหี่ยวย่นก็เกิดความเสียใจ
เมื่อใดที่สีผมเปลี่ยนจากสีดำเป็นสีขาว ก็เกิดความเศร้าสลดใจ
เมื่อฟันมันโยกคลอนก็ทุกข์เพราะเจ็บปวด ฯลฯ
ทุกอย่างทนอยู่สภาพเดิมมิได้
เราต้องเข้าใจ และตระหนักในสิ่งดังกล่าว

อนัตตา คือความไม่มีตัว ไม่มีตน ไม่มีแก่นสาร
ของสรรพสิ่งทั้งปวง ดังที่กล่าวมาแล้ว
คือ ร่างกายของมนุษย์แลสัตว์ ล้วนไม่ใช่ตัวตน ไม่มีแก่นสาร

เพราะประกอบด้วยธาตุต่างๆ มารวมตัวกันจึงเกิดเป็นสิ่งมีชีวิต
ซึ่งเรามาสมมติเอาเองว่า นี่คือมนุษย์ นี่คือสัตว์ นี่คือผู้หญิง นี่คือผู้ชาย
ครั้นมาพิจารณาดู ธาตุต่างๆ ที่ประกอบกันขึ้นเป็นร่างกายบ้าง
เช่นธาตุดิน ก็ประกอบด้วยอนุภาคเล็กๆ อีกจำนวนมาก
เช่นฝุ่นละออง เหล็ก แคลเซี่ยม วิตามิน ไขมัน อื่นๆอีกมากมาย
ธาตุอื่นๆก็ล้วนแต่ประกอบขึ้นด้วยอนูเล็กๆอยู่จำนวนมาก เช่นกัน
จึงไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่ตัวเรา ตัวเขาหรือตัวใคร ของใครทั้งสิ้น
ล้วนแต่เป็น อนูเล็กๆ พลุกพล่าน เกิดดับๆๆ อยู่ตลอดเวลา

มันเป็นกฎธรรมชาติ เป็นสัจธรรม เกิดขึ้นเอง มีเอง ในธรรมชาติ
มิได้มีผู้ใดเป็นคนสร้าง หรือเป็นผู้วางกฎความจริงนี้ไว้
พระพุทธเจ้า ก็มิใช่ผู้ตั้ง ผู้บัญญัติกฎของไตรลักษณ์นี้ขึ้นแต่อย่างใด
เป็นแต่เพียงพระองค์เป็นผู้ค้นพบกฎความจริงดังกล่าว

มาตีแผ่ให้มนุษย์ เทวดา สรรพสัตว์อื่นๆ
ได้รู้ได้เข้าใจในกฎความจริงอันนี้เท่านั้น
เมื่อกฎของความเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
มันมีอยู่อย่างนี้ มันเป็นอย่างนี้
ใครจะดัดแปลง แก้ไข เปลี่ยนแปลง ไม่ได้
หากผู้ใด บุคคลใด หลงเข้าไปยึดมั่นถือมั่น
ว่ามันเป็นตัว เป็นตน เป็นเราเป็นเขา เป็นของเราหรือของเขาเมื่อใด
บุคคลผู้นั้นย่อมมีความทุกข์อยู่ตลอดเวลา
เวียนว่ายตายเกิดในภพแล้วภพเล่า
พบกับความทุกข์ตลอดเวลาไม่มีที่สิ้นสุด

ตรงข้ามหากผู้ใด บุคคลใด สัตว์เหล่าใด
เห็นความจริงและเห็นโทษของความยึดมั่นถือมั่น
ในสิ่งที่ไม่ใช่ตัวตนแล้ว ย่อมคลายความยึดมั่นถือมั่นที่เป็นอนุสัย
เป็นอาสวะกิเลศที่นอนเนื่องในจิตไร้สำนึก
หรือที่เรียกว่าสัญชาติญาณนั้น

ให้ค่อยๆหลุดลอก จางหายไป
จนกิเลศทั้งหลายทั้งปวงหมดสิ้นจาก ทั้งจิตไร้สำนึก จิตใต้สำนึก
รวมทั้ง จิตสำนึก แล้ว

เขาย่อมหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งหลายทั้งปวง
หลุดพ้นจากวัฏฏสงสาร บรรลุมรรคผลนิพพาน
ไม่เวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป

และมีกฎธรรมชาติอีกอย่างหนึ่ง
ที่ข้าพเจ้าไม่เคยรู้เคยเห็น
จากประสบการณ์ในอดีตมาก่อนเข้าร่วมวิปัสสนาในครั้งนี้

นั่นคือ
การกำจัดกิเลส ด้วยอุเบกขา
กิเลส ของมนุษย์ มีทั้งกิเลสอย่างหยาบ อย่างกลาง และอย่างละเอียด

กิเลสอย่างหยาบ สามารถกำจัดด้วยศีล
การรักษาศีล เช่นศีล 5 ก็จะสามารถกำจัดการกระทำบาปอกุศลต่างๆ
เช่น การฆ่าสัตว์ การลักทรัพย์ การพูดปด การประพฤติผิดในกาม
การเสพสิ่งเสพติด เป็นต้น
ศีลยิ่งรักษาได้มากข้อเพียงใด
ยิ่งทำให้กิเลสอย่างหยาบหลุดล่วงไปได้มากเพียงนั้น
ผู้รักษาศีลอยู่เป็นนิจ ย่อมเป็นผู้ไม่เสื่อม
ย่อมพบแต่ความสุข ความเจริญยิ่งๆขึ้นไป

กิเลสอย่างกลาง กำจัดด้วยสมาธิ
เมื่อจิตที่เป็นสมาธิตั้งมั่น มีความสงบนิ่งอยู่ไม่ซัดส่าย
ไม่คิดปรุงแต่งต่อกิเลสทั้งหลาย ย่อมกำจัดกิเลสอย่างกลางได้

และ จะข่ม กดไม่ให้อาสวะกิเลสที่นอนเนื่องในอนุสัย
ในจิตไร้สำนึกบางส่วนไม่ให้ก่อความทุกข์ได้

เช่นเมื่อจิตเป็นสมาธิตั้งมั่น มีอุเบกขาเป็นอารมณ์
ไม่มีอารมณ์อื่นใดเข้ามากวน ไม่มีความรู้สึกสุข ทุกข์
วางเฉยเป็นกลางๆอยู่

จิตที่เป็นอุเบกขานี้ย่อมกำจัด ความรักใคร่ในกาม
ความง่วงเหงาหาวนอน ความพยาบาท
ความลังเลสงสัยในพระรัตนตรัย เป็นต้น
แต่เมื่อใดที่ออกจากสมาธิ
อาสวะกิเลสเหล่านี้ก็โผล่ขึ้นมาเล่นงานได้

กิเลสอย่างละเอียด เช่นความยึดมั่นถือมั่นร่างกายและจิตใจว่า
เป็นตัวตน เป็นตัวเรา เป็นของเรา ของเขา
ความกลัว ความรู้สึกสุข
อวิชชาหรือความไม่รู้ในความเป็นจริงของธรรมชาติ ฯลฯ
ลำพังศีล และสมาธิ ไม่สามารถที่จะกำจัดออกได้

เนื่องจากเป็นอาสวะกิเลสที่ฝังแน่น ภายใต้จิตไร้สำนึก
ที่แต่ละคนสะสมมาตั้งแต่อดีต
ไม่รู้กี่แสนกี่ล้านภพ-ชาติมาแล้ว
จึงยากที่จะกำจัดออกได้โดยง่าย

ตัวอย่างเช่น เมื่อมีผู้มาด่าเรา ตัวเราจะรู้สึกโกรธขึ้นโดยไม่รู้สึกตัว
และจะเกิดปฏิกริยาทางร่างกายโต้ตอบ
เช่นตัวสั่น หัวใจเต้นเร็ว ปวดตึงตามใบหน้า เป็นต้น

ความโกรธ เกิดขึ้นโดยสัญชาตญาณภายใต้จิตไร้สำนึก
จิตใต้สำนึกยังไม่รับรู้เลย
ต่อมาจิตใต้สำนึกจึงปรุงแต่งเป็นความต่อต้านขึ้น
เช่น ต้องตอบโต้ด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง หรือหลายๆวิธี เป็นต้น

หรืออีกตัวอย่างหนึ่ง เช่น เมื่อตอนที่เรานอนหลับ
ถ้าร่างกายรู้สึกร้อนในขณะหลับ จิตไร้สำนึกจะสั่งให้ถอดเสื้อออก
หรือยันผ้าห่มออกไปจากร่างกาย หรือเวลามียุงมากัด
จิตไร้สำนึกจะสั่งให้ปัดยุง หรือตบยุง หรือเกาบริเวณที่ถูกกัดนั้น
จนเป็นรอยผื่นแดง

เมื่อรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาจึงรู้ว่า เสื้อหรือผ้าห่มหล่นไปกองอยู่ข้างเตียง
หรือมีรอยผื่นแดงและคันบริเวณที่ถูกยุงกัด
ทั้งๆที่ในขณะหลับอยู่นั้นเราไม่รู้สึกตัวเลยว่าได้ถอดเสื้อ
หรือยันผ้าห่มออกไป หรือเกา

เพราะจิตสำนึกมันหลับอยู่
ต่อเมื่อตื่นนั่นแหละจิตสำนึกมันจึงจะทำงานรับรู้ต่อไป
จะเห็นได้ว่ากิเลสที่เกิดภายใต้จิตไร้สำนึกนี้
ยากต่อการกำจัดออกไปได้
จึงต้องใช้ปัญญาที่เกิดจากการได้สำผัสจริงๆ ด้วยตนเอง
จึงจะกำจัดได้

เช่น เมื่อยังเด็กเรายังไม่รู้ว่า โทษของกระแสไฟฟ้ามันเป็นอย่างไร
ก็เล่นซุกซน เอาไม้ไปเสียบ เอามือไปแหย่ปลั๊กไฟ
จนเกิดไฟฟ้าช็อต รู้สึกเจ็บปวด
จิตไร้สำนึกจะสั่งให้รีบเอามือออกจากปลั๊กไฟทันที

และต่อมาความจดจำอย่างฝังใจจะบังเกิดขึ้น ปัญญาจึงเกิดขึ้น
เราจะไม่กล้าเอามือไปแหย่ให้ไฟช็อตอีกเลย
ตราบเท่าที่ยังมีสติจำความได้
จึงเป็นปัญญาที่เกิดจากประสบการณ์จริงๆ ได้สัมผัสด้วยตัวเองจริงๆ

เช่นเดียวกัน เมื่อจิตมีสมาธิตั้งมั่น
ก็จะเห็นปรากฏการณ์ต่างๆ ของขันธ์ ทั้ง 5
คือ รูป (ร่างกาย)
เวทนา (ความรู้สึกทุกข์ สุขหรือเฉยๆ)
สัญญา (ความจำได้หมายรู้)
สังขาร(ความปรุงแต่งต่างๆ)
วิญญาณ(ความรับรู้อารมณ์ต่างๆ)

เมื่อเห็นแล้วก็วิปัสสนาหรือพิจารณาอย่างแยบคาย ให้เห็นโดยละเอียด
เห็นความไม่เที่ยงของสังขาร เกิดดับๆๆ
เดี๋ยวเจ็บ เดี๋ยวอึดอัด แน่นตึง มึนชาตัวสั่น ตรงนั้นตรงนี้อยู่ตลอดเวลา
ร่างกายทุกส่วนล้วนเกิดดับๆๆ เปลี่ยนแปลง
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ตลอดเวลา
เมื่อเห็นดังนี้ ปัญญาจึงเกิด จะค่อยๆคลายความยึดมั่นถือมั่นลงไป
จนกระทั่งหมดไปในที่สุด

และเมื่อพิจารณาไปเรื่อยๆ จะเห็นว่า
เมื่อเราเกิดความกลัว โกรธ พยาบาท หรือไม่ชอบใจเกิดขึ้น
ลมหายใจจะแรง ถี่ รู้สึกเจ็บปวด อึดอัด แน่นตึง ตัวสั่น
ตามส่วนต่างๆของร่างกาย
และเมื่อสังเกตดูด้วยใจที่เป็นกลาง(อุเบกขา)
ไม่ปรุงแต่งตอบโต้ปฏิกริยาเหล่านั้น
ความเจ็บปวด แน่นตึง อาการต่างๆจะตั้งอยู่ระยะหนึ่ง
และค่อยๆดับไปในที่สุด
สักพักก็จะเกิดขึ้นที่จุดเดิมหรือจุดอื่นๆ อีก
ไม่เหมือนเดิม และค่อยๆดับไป เกิดครั้งแล้วครั้งเล่า

เมื่อเราเฝ้าดูอาการต่างๆที่เกิดขึ้นตามร่างกาย(เวทนา) ไปเรื่อยๆ
ด้วยจิตที่ตั้งมั่นเป็นอุเบกขา
ไม่ต่อต้าน หรือยินดี ในความทุกข์
หรือความสุขที่เกิดขึ้นนั้นๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า

จนในที่สุดเวทนา ความรู้สึกต่างๆ จะหายไป
ไม่มีความเจ็บปวด ความอึดอัดแน่นตึงหายไป

มีความรู้สึกเบาสงบ เย็นสบาย เกิดปิติปราโมทย์ขึ้น
อย่างที่ไม่เคยประสบมาก่อนในชีวิต ปัญญาจึงเกิดขึ้น

เมื่อมีกิเลสเกิดขึ้น อาการทางร่างกายจะปรากฏเป็นความเจ็บปวด
ความอึดอัด แน่นตึง ตัวสั่น หรือเย็นสบาย
และหากเฝ้าดูด้วยจิตที่เป็นกลาง(อุเบกขา)
กิเลสที่เกิดขึ้นนั้นๆ ก็จะค่อยๆหลุดออกไป ระลอกแล้วระลอกเล่า
ไม่อาจกล่าวได้ว่ากี่ชั่วโมง กี่วัน กี่เดือน หรือกี่ปี กิเลสจึงจะหมด
ขึ้นอยู่กับความเพียรปฏิบัติ
และความแน่นหนาของกิเลสในแต่ละบุคคล

ดังนั้น เมื่อใดก็ตามที่เรารู้สึกเจ็บปวด หรือแน่นตึง มึนชา หรือตัวสั่น
ในขณะที่จิตมีสมาธิตั้งมั่นอยู่ ก็แสดงว่าอาสวะกิเลส
อันได้แก่ ความกลัว ความโกรธ ความพยาบาท ความหลง ฯลฯ
ที่ตกตะกอนนอนเนื่องอยู่ในจิตไร้สำนึก

ได้ถูกเขย่าให้หลุดลอยขึ้นมาเหนือผิว
และหากเราเพียงแต่คอยเฝ้าสังเกตดูเฉยๆ
ด้วยใจที่เป็นกลาง (อุเบกขา)
อาการต่างๆที่เกิดขึ้นทางร่างกาย ก็จะค่อยๆดับไป

นั่นแสดงว่า อาสวะกิเลสได้หลุดออกไปจากจิตเราแล้ว 1 ครั้ง
และเมื่ออาการต่างๆเกิดขึ้นอีก
ก็เพียงแต่เฝ้าดูอีกด้วยใจที่เป็นกลาง เฉยๆ
ไม่ปรุงแต่ง ชอบหรือไม่ชอบ จนกระทั่งดับไป
เกิดแล้วดับๆๆๆ ครั้งแล้ว ครั้งเล่า
กิเลสที่นอนเนื่องตกตะกอนอยู่ก็จะค่อยๆถูกกำจัดออกไป

หากเฝ้าปฏิบัติวิปัสสนาไปเรื่อยๆ โดยไม่ลดละความเพียร
ในที่สุดกิเลสที่นอนเนื่องตกตะกอนอยู่
ก็จะค่อยๆถูกกำจัดออกไปอย่างสิ้นเชิง

เช่นเดียวกัน เมื่อใดที่เรามีความรู้สึกสุข ปิติยินดี เบาสบายกาย
กิเลสในทางบวกอันได้แก่ ความรักใคร่ พอใจ ชอบใจ
ก็จะหลุดลอยขึ้นมาเหนือผิว
หากเพียงแต่เฝ้าดูอาการด้วยใจที่เป็นกลาง
ไม่ปรุงแต่งว่าชอบใจ พอใจ
อาการนั้นๆก็จะค่อยสงบลง และหายไป

ก็แสดงว่ากิเลสในทางบวกก็จะถูกกำจัดออกไป เช่นกัน
ความสุขทั้งหลายก็เป็นกิเลส ซึ่งจะก่อความทุกข์ตามมาเช่นกัน

ผู้ที่หวังหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งหลายทั้งปวง
จำเป็นต้องละกิเลสทั้งความทุกข์
และความสุขให้หมดสิ้นไปอย่างสิ้นเชิงจึงจะหลุดพ้นได้

ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ เป็นความรู้ที่เกิดจากประสบการณ์จริงด้วยตนเอง
และความรู้ที่ได้จากการได้ยินได้ฟังมา
และจากการพินิจพิจารณาอย่างแยบคาย
และมีบางส่วนที่ไม่อาจจะอธิบายเป็นคำพูด หรือตัวหนังสือได้
เพราะธรรมชาติเป็นสิ่งที่ลึกซึ้งละเอียดอ่อน

บางครั้งก็อยู่เหนือเหตุเหนือผลที่มนุษย์จะพึงหามาอธิบายได้
จึงมิอาจหาสิ่งใดมาเปรียบเทียบได้เลย

นับเป็นอานิสงค์อันยิ่งใหญ่ ประเสริฐยิ่ง
ยิ่งกว่าการได้สร้างมหาเจดีย์ทองคำ
ครั้งแล้วครั้งเล่า ชาติแล้วชาติเล่า

มิเพียงแต่ข้าพเจ้าเองที่จะได้รับอานิสงส์นี้
ท่านที่มีส่วนเกี่ยวข้อง
เช่นท่าน มงคล กริชติทายาวุธ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส
ผู้บริหารฝ่าย ฝ่ายวินัยและสวัสดิการ คุณอนุสิทธิ์ ชมวงศ์
ผู้จัดการศูนย์ปฏิบัติการนิติกรรมฯหนองคาย
ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกๆท่าน ตลอดจนชาวกรุงไทยทุกคน
จะต้องได้รับอานิสงค์นี้เช่นกันไม่มากก็น้อย

สรุปสิ่งที่ข้าพเจ้าได้รับจากการเข้าไปวิปัสสนา

1. ได้ประพฤติพรหมจรรย์
อันได้แก่การรักษาศีล สมาธิ และปัญญา ซึ่งเป็นหนทางแห่งการพ้นทุกข์
2. ได้รู้ เข้าใจ ในความเป็นจริงของกฎธรรมชาติ อันได้แก่ กฎไตรลักษณ์ และการประหารกิเลสด้วยอุเบกขา
3. มีความรัก ความเมตตา ความปรารถนาดีต่อผู้อื่น สัตว์อื่น อย่างหาประมาณมิได้
4. เป็นที่รักและเคารพต่อสุจริตชนทั้งหลาย สรรพสัตว์ทั้งหลาย
5. ความทุกข์ทั้งปวงจะค่อยๆจางหายไป ความสงบสุขทั้งกายและใจจะเข้ามาแทนที่
6. ความมีสติ มีสมาธิ และอุเบกขา ต่อการประกอบกิจใดๆ ทั้งหน้าที่การงาน ครอบครัว และในชีวิตประจำวันจะมีมากขึ้น
7. หลุดพ้นจากอบายภูมิ อันได้แก่ ภูมิของสัตว์เดรัจฉาน เปรต อสูรกาย และสัตว์นรก
8. ผู้ประพฤติดีประพฤติชอบ ย่อมได้รับความคุ้มครองจากพระรัตนตรัย เทวดา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายทั้งปวง
9. ได้อานิสงค์อันยิ่งใหญ่ และประเสริฐยิ่งกว่า การได้สร้างเจดีย์ทองคำมาแล้วหลายภพหลายชาติ

2. สิ่งที่ธนาคารจะได้รับจากการให้พนักงานไปเข้าวิปัสสนา

1. ธนาคารฯ จะมีบุคคลากรที่เต็มเปี่ยมไปด้วย ความรัก ความเมตตา
ความเสียสละ และให้อภัยต่อผู้อื่น เพิ่มขึ้น
2. ธนาคารจะไม่เกิดความเสียหายทั้งชื่อเสียง และทรัพย์สิน
จากผู้ผ่านการปฏิบัติวิปัสสนานี้ เพราะผู้ที่ผ่านการฝึกปฏิบัติในแนวนี้
ย่อมเป็นผู้ที่ยึดมั่นใน ศีล สมาธิ และปัญญา
ย่อมไม่เบียดเบียน รังแกผู้อื่น ไม่ทุจริตต่อหน้าที่
ย่อมเป็นผู้ที่เปี่ยมล้นด้วยความปรารถนาดีต่อตนเอง ต่อผู้อื่น และต่อองค์กร
3. ผู้ผ่านการปฏิบัติธรรมตามแนวนี้ ย่อมตระหนักถึงผู้มีพระคุณ
อันได้แก่องค์กร ลูกค้า ตลอดจนเพื่อนร่วมงานทุกคน
ย่อมประพฤติปฏิบัติตนในอันที่จะก่อประโยชน์ต่อองค์กร ต่อลูกค้า
และเพื่อนพนักงาน ทั้งต่อหน้าแลลับหลัง
ไม่ว่าจะเป็นทางตรงหรือทางอ้อม
เช่น พนักงานผู้ที่ผ่านการวิปัสสนาย่อมพยายามเพิ่มประสิทธิภาพ
ในการปฏิบัติงานให้ดียิ่งขึ้นไป โดยไม่เรียกร้องหรือหวังสิ่งตอบแทน
4. ความขัดแย้งของบุคลากร จะลดลง ความสมัครสมานสามัคคีจะเข้ามาแทนที่
ทำให้องค์กรขับเคลื่อนไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะผู้ที่ผ่านการฝึกอบรมแนวนี้
(วิปัสสนาสากล ในแนวทางของท่านอาจารย์โกเอ็นก้า)
จะไม่สร้างความตึงเครียดภายในองค์กร จะไม่เอารัดเอาเปรียบ
โกรธ อาฆาตต่อเพื่อนร่วมงาน มีแต่ความเสียสละและให้อภัย
และปรารถนาดีต่อผู้อื่น

ทั้งหมดที่กล่าวมานี้
ล้วนเป็นความจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ค้นพบ
และตรัสสั่งสอนไว้ เป็นกฎความจริงทางธรรมชาติ
ที่ไม่มีผู้ใดตั้งขึ้น บัญญัติขึ้น มันเป็นเอง มีขึ้นเองตามธรรมชาติ
เป็นปัจจัตตัง ผู้ประพฤติปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธองค์แล้ว ย่อมรู้เอง
เห็นเอง
ผู้ไม่ปฏิบัติจะเห็นธรรมะได้อย่างไร เปรียบเสมือนมีคนมาบอกว่า
ส้มลูกนี้หวานนะ หากเราไม่ลองชิมดูจะทราบได้อย่างไรว่ามันหวาน
มันอาจจะเปรี้ยว ขื่นขม หรือเป็นอย่างอื่นก็ได้
ต่อเมื่อเราได้ชิมแล้วจึงรู้ว่า โอ้ส้มลูกนี้หวานจริงหนอ
หรือโอ้ นี่เราถูกหลอก มันเปรี้ยวต่างหาก อย่างนี้เป็นต้น
เฉกเช่นเดียวกับธรรมะที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอน
พระองค์ได้ทดลองปฏิบัติ ได้รับรสของธรรมะแล้ว
จึงได้ตรัสสั่งสอนเวไนยสัตว์ทั้งหลาย
เพื่อให้หลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง
ผู้ใดประพฤติปฏิบัติจนถึงที่สุดแล้ว
ย่อมถึงจุดหมายปลายทางอย่างแน่นอน
ผู้ที่รู้แล้วแต่ไม่ยอมทดลองปฏิบัติเลย ย่อมไม่เห็นสัจจธรรม
จะบรรลุถึงจุดหมายปลายทางได้อย่างไร

ข้าพเจ้า เป็นเพียงผู้หนึ่งซึ่งศรัทธาในคำสอนของพระพุทธองค์
แม้จะได้เพียรปฏิบัติมาบ้างแล้วหลายปี แต่ยังไม่มีวี่แววที่จะเกิดปัญญา
เห็นความจริงของธรรมชาติด้วยประสบการณ์จริง
แม้จะรู้ว่าร่างกายมันเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ก็เพียงได้อ่านได้ยินได้ฟังมาเท่านั้น

แต่เมื่อได้มีโอกาสมาปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน
ตามแนวทางของท่านอาจารย์โกเอ็นก้าแล้ว
รู้สึกตรงกับจริตของตนเอง
จิตมีสมาธิ ตั้งมั่น และมีอุเบกขาเร็วกว่าที่เคยปฏิบัติมา
อีกทั้งได้สัมผัสความเป็นอนิจจังของสังขาร
ด้วยประสบการณ์จริงข้าพเจ้าจึงแน่ใจแล้วว่า
แนวทางนี้เป็นแนวทางที่ถูกต้อง
เป็นแนวทางที่ข้าพเจ้าพึงยึดถือปฏิบัติต่อไป
จนกว่า ขันธ์ 5 จะแตกสลายไป
และเห็นว่าจะเป็นประโยชน์ต่อเพื่อนมนุษย์ทั้งหลาย
จึงได้แสดงความคิดเห็นมาค่อนข้างยาวนี้เพื่อเป็นธรรมทาน
ขอเพื่อนชาวธนาคารกรุงไทยทั้ง-หลาย
มนุษย์ทั้งหลาย สรรพสัตว์ทั้งหลาย จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด
ขอให้พ้นจากความทุกข์ทั้งหลายทั้งปวง
ขอให้อย่าได้มีความลำบากกาย ลำบากใจเลย
ขออย่าได้มีเวรมีภัยต่อกัน และกันเลย
ขออย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย
ขอให้มีโอกาสได้ข้ามพ้นวัฏฏสงสาร เทอญ...

_/_ _/_ _/_ _/_ _/_ _/_ _/_

http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=mahatep
85  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: ลำนำวิปัสสนา เมื่อ: มกราคม 30, 2011, 11:35:33 am


สิ่งที่ผู้ปฏิบัติพึงระวัง...พระอาจารย์สายัณห์ ติกขปัญโญ

วิปัสสนูปกิเลส ๑๐ หมายถึง อุปกิเลสแห่งวิปัสสนา เป็นธรรมารมณ์ที่เกิดแก่ผู้ได้วิปัสสนาอ่อนๆ (ตรุณวิปัสสนา) สภาพน่าชื่นชมแต่ที่แท้เป็นโทษเครื่องเศร้าหมองแห่งวิปัสสนา ทำให้เข้าใจผิดว่าตนบรรลุมรรคผลแล้ว เป็นเหตุขัดขวางไม่ให้ก้าวหน้าต่อไปในวิปัสสนาญาณ มี ๑๐ อย่าง คือ…

* โอภาส หมายถึง แสงสว่าง(ที่ปรากฏเป็นธรรมารมณ์ในใจ)
* ญาณ หมายถึง ความหยั่งรู้
* ปีติ หมายถึง ความอิ่มใจ
* ปัสสัทธิ หมายถึง ความสงบเย็น
* สุข หมายถึง ความสุขสบายใจ
* อธิโมกข์ หมายถึง ความน้อมใจเชื่อ ศรัทธาแก่กล้า ความปลงใจ
* ปัคคาหะ หมายถึง ความเพียรที่พอดี
* อุปัฏฐาน หมายถึง สติแก่กล้า สติชัด
* อุเบกขา หมายถึง ความมีจิตเป็นกลาง
* นิกันติ หมายถึง ความพอใจ ติดใจ

วิ ปัสสนูปกิเลสทั้งสิบนี้ เป็นภาวะที่น่าชื่นชมอย่างยิ่ง และไม่เคยเกิดมี ไม่เคยประสบมาก่อน จึงชวนให้ผู้ปฏิบัติเข้าใจผิด คิดว่าตนบรรลุมรรคผลแล้ว หรือหลงยึดเอาคิดว่าสิ่งเหล่านี้เป็นทางที่ถูก ถ้าหลงไปตามนั้นก็เป็นอันพลาดจากทาง เป็นอันปฏิบัติผิดไป คิดว่าตัวเองดีกว่าคนอื่น ทำให้พลาดจากทางวิปัสสนา แล้วก็จะทิ้งกรรมฐานเดิมเสีย นั่งชื่นชมอุปกิเลสของวิปัสสนาอยู่นั่นเอง

เมื่อ ผู้ปฏิบัติกำหนดรูปนามขันธ์ห้าเป็นอารมณ์ จนเริ่มมองเห็นความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป แห่งสังขารทั้งหลาย จิตก็จะเริ่มเข้าสู่วิปัสสนาญาณอย่างอ่อน (ตรุณวิปัสสนา) ในช่วงนี้วิปัสสนูปกิเลสก็จะเกิดขึ้น
ดัง นั้น จึงควรตั้งสติ คือ การกำหนด มีสัมปะชัญญะ คือการทำความรู้ตัวให้ทั่วพร้อม พิจารณาด้วยปัญญาว่า สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ เป็นของไม่เที่ยง มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดาเกิดขึ้นได้เพราะมีเหตุปัจจัยปรุงแต่ง ถ้าเราเข้าไปยึดมั่นถือมั่นในสภาวะธรรมเหล่านี้
ก็ จะทำให้เราเกิดความหลงความยึดมั่นถือมั่นในวิปัสสนาญาณที่ตนปฏิบัติอยู่ เกิดความเข้าใจผิด คิดว่าเราดีแล้ว ได้บรรลุคุณธรรมอันวิเศษแล้ว ซึ่งความยึดมั่นถือมั่นในวิปัสสนูปกิเลสนั้น ท่านได้แบ่งออกเป็น ๓ อย่างด้วยกัน คือ

* ทิฏฐิคาหะ หมายถึง ยึดถือด้วยทิฏฐิ เช่น ยึดถือด้วยเห็นว่า “โอภาสเกิดขึ้นแก่เราแล้ว” เป็นต้น
* มานคาหะ หมายถึง ยึดถือด้วยมานะ เช่น ยึดถืออยู่ว่า “โอภาสน่าพึงพอใจได้เกิดขึ้นแล้ว จึงยึดสภาวะธรรมนี้เป็นตัวเป็นตนขึ้นมาด้วย” เป็นต้น
* ตัณหาคาหะ หมายถึง ยึดถือด้วยตัณหา(อยาก) เช่น ชื่นชมโอภาสอยู่ด้วยความอยาก จึงเกิดความชื่นชมยินดี เป็นต้น

เรื่องของจิตนั้น เป็นเรื่องละเอียดอ่อน จึงขอฝากให้ผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลายพึ่งระวัง ในสภาวะธรรมที่เกิดขึ้น ด้วยความมีสติ ทำความรู้ตัวให้ทั่วพร้อมอยู่ตลอดเวลา เฝ้าดู ตามรู้ ตามเห็น จดจ่อ และปล่อยวาง ในทุกสภาวะที่เกิด
การปฏิบัติธรรมนั้น  เราปฏิบัติเพื่อปล่อย เพื่อวาง เพื่อละจากอัตตาตัวตน เพื่อความเป็นอิสระจากการ ยึดมั่นถือมั่น ใน ความสุข-ทุกข์ทั้งหลายทั้งปวง ถ้าเราเข้าใจและทำได้เช่นนี้ ก็จะทำให้เรามีธรรมเป็นเครื่องอยู่ มีธรรมเป็นเครื่องอาศัย ใจเราก็จะแจ่มใส เบิกบาน ร่มเย็นอยู่เป็นปกติทุกเมื่อเชื่อวันอย่างแน่นอนโดยไม่ต้องสงสัย

ขอความเจริญในธรรม จงมีแก่ผู้ประพฤติปฏิบัติยิ่ง ๆ ขึ้นไป…สาธุ
86  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ลำนำวิปัสสนา เมื่อ: มกราคม 30, 2011, 11:34:46 am

ลำนำวิปัสสนา



เดี๋ยวฟุ้งซ่านงุ่นง่านเดี๋ยวง่วงเหงา
เดี๋ยวซึมเซาสงบเดี๋ยวสงสัย
เดี๋ยวโกรธเกลียดเดือดดาลรำคาญใจ
เดี๋ยวยึดไว้ท้อถอยเดี๋ยวปล่อยวาง

เดี๋ยวปวดหัวตัวร้อนนอนเป็นไข้
เดี๋ยวห่วงใยคิดถึงเดี๋ยวอ้างว้าง
เดี๋ยวอวดดีมีมานะไม่ละวาง
เดี๋ยวยิ้มกว้างร้องไห้ไม่พูดจา

เดี๋ยวปวดเข่าคันขาชาไปทั่ว
เดี๋ยวเบาตัวท้องจุกทุกข์หนักหนา
เดี๋ยวซู๊กสุข..เฉ๊ยเฉยเดี๋ยวเย็นชา
นี่กูบ้า..หรือเปล่า..ไม่เข้าใจ



...คืออารมณ์วิปัสสนาปรากฏแจ้ง
“ทุกข์”แสดงให้กำหนดเป็นบทใหญ่
“อนิจจา”เกิดขึ้นแล้วดับไป
“อนัตตา”มิใช่ใครบันดาล

ยืน.เดิน.นั่ง.กิน.ถ่าย ฯลฯ..ให้รู้เห็น
ความเพียรเด่น, สติมา, ปัญญาผสาน
ไม่เผลอ,เพ่ง..เร่งศึกษาอานาปานฯ
“วิปัสสนาญาณ”เกิดที่นี่...เดี๋ยวนี้เอยฯ

ชินวงส์

จากหนังสือสุขง่ายๆแค่ปลายจมูก
87  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 30 คำคมจากธรรมะโมบาย เมื่อ: มกราคม 30, 2011, 11:31:53 am
30 คำคมจากธรรมะโมบาย




โดย ว.วชิรเมธี จาก เว็บ wimuttayaram.org




1. หนึ่งครั้งที่แม่ตบลงไปบนหน้าลูก อาจก่อให้เกิดความสั่นสะเทือนลึกลงไปสุดใจของลูก ทั้งชีวิต

หนึ่งอ้อมกอดที่แม่บรรจงหยิบยื่นให้ลูก อาจก่อให้เกิดความพันผูกข้ามกาลเวลา

ทุกๆปฏิสัมพันธ์เป็นได้ทั้งบาดแผลและดอกไม้สำหรับลูก



2. คนใกล้ชิดเป็นศัตรู แม้กำแพง 7 ชั้น ก็ป้องกันไม่ได้

ศัตรูที่มาจากภายนอก ต่อให้ยกมาถึง 9 ทัพ เราก็มองเห็นและเตรียมตัวทัน

แต่ศัตรูที่มาจากคนในด้วยกัน คือศัตรูที่อันตรายที่สุด เพราะเรามักมองไม่เห็น และไหวตัวไม่ทัน



3. เวลาเรือเอียง เรามักจะมองเห็นและแก้ไขได้ทันท่วงที

แต่ความลำเอียงในใจคน มักถูกปกปิดอย่างมิดชิด และแสดงออกอย่างแยบยล

กว่าจะรู้ว่าคนที่เรารัก มากด้วยความลำเอียง บางครั้งมันก็สายเกินไป



4. ไม่มีแรงใดเสมอด้วย แรงกรรม

แรงฟ้า มนุษย์แก้ได้ด้วยสายล่อฟ้า

แรงน้ำ มนุษย์แก้ด้วยการเปลี่ยนเส้นทางหรือสร้างกำแพงกั้นน้ำ

แรงพายุ มนุษย์แก้ได้ด้วยการปลูกป่า

แต่แรงกรรม มีแต่ต้องก้มหน้ารับโดยส่วนเดียว


5. อยู่คนเดียว จงระวังความคิด

อยู่กับมิตร จงระวังวาจา

อยู่กับมารดาบิดา จงระวังการปฏิบัติตน

ถ้าคิดไม่ระวัง จะกลายเป็นคิดฟุ้งซ่าน

ถ้าพูดไม่ระวัง มิตรจะเข้าใจผิด

ถ้าปฏิบัติไม่ดีต่อมารดาบิดา จะเป็นการสร้างบาปให้ตนเอง








6. ทำบาตรแตก ถ้วยแตก ชามแตก แก้วแตก ยังดีกว่า ทำให้คนแตกกัน

เนื่องเพราะวัตถุที่แตกแล้ว สามารถประสานให้ดีดังเดิมได้อย่างง่ายดาย

แต่ถ้าคนแตกสามัคคีกันเป็นฝักฝ่ายแล้ว บางทีทั้งชีวิตก็ไม่สามารถสนิทสนมกันได้อีก



7. สิ่งที่เราให้คนอื่น แท้จริงแล้วคือของที่เราฝากให้แก่ตนเองในวันข้างหน้า

เช่น วันนี้ เราด่าเขา วันข้างหน้า เราจะถูกเขาด่า

วันนี้ เราโกงเขา วันข้างหน้า เราจะถูกเขาโกง

วันนี้ เราเนรคุณเขา วันข้างหน้า เราจะถูกเขาเนรคุณ



8. ความดีที่ทำไว้ในหมู่คนพาล ถึงมากมายมหาศาล ก็สูญเปล่า

การทำสิ่งดีๆให้แก่คนที่ไม่เห็นคุณค่า ก็ไม่ต่างอะไรกับการเทน้ำลงกองทราย

ถึงเทอย่างไร ก็ซึมหายหมด

ดังนั้นจะทำดีกับใคร ควรใช้ปัญญาคิดให้รอบคอบ



9. การมีความสุขที่ก่อความทุกข์ให้คนอื่นนั้น ไม่ใช่ความสุขที่แท้

มันเป็นได้แค่ความสุขจากการเกาขอบแผลที่กำลังคัน ยิ่งเกาดูเหมือนยิ่งสุข

แต่แท้ที่จริงมันคือความทุกข์ที่แฝงมาอย่างแนบเนียน



10. ดูข่าวการเมือง ยิ่งดูยิ่งวุ่นวาย ยิ่งดูยิ่งฟุ้งซ่าน

แต่หากกลับมาดูใจของตนอย่างมีสติ รู้เท่าทันทุกเรื่องที่คิด ทุกจิตที่ทำ ทุกคำที่พูด

ทุกครั้งที่เคลื่อนไหว ความทุกข์มากมายจะดับลง ดูจิตวันละนิดจิตแจ่มใส








11. น้ำขุ่น ที่ใส่สารส้มลงไป น้ำที่ขุ่นนั้น ก็ใสได้เหมือนกัน

ใจขุ่น หากใส่สารแห่งความรู้สึกตัวลงไป ไม่นานเท่าไร ใจนั้นก็แจ่มกระจ่าง

น้ำขุ่น แก้ได้ฉันใด ใจขุ่น ก็แก้ได้ฉันนั้น



12. คนที่ทำงานผิดพลาดแล้วป่าวประกาศว่า เป็นความผิดของคนอื่น

คือคนที่มีแต่จะผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ส่วนคนที่ทำงานผิดพลาดแล้วลุกขึ้นมายอมรับอย่างองอาจเปิดเผย

คือคนที่ไม่มีโอกาสผิดพลาดซ้ำอีกเลยในชีวิต



13. ความไม่ประมาทเป็นทางแห่งความไม่ตาย ความประมาทเป็นทางแห่งความตาย

ผู้ไม่ประมาท ไม่มีวันตาย ผู้ประมาท ไม่ต่างอะไรกับคนที่ตายแล้ว

กวีบทนี้ทำให้พระเจ้าอโศก เปลี่ยนจากกษัตริย์ที่ดุร้ายมาเป็นชาวพุทธชั้นนำ



14. คนไทยไปงานศพแทบทุกเย็น โดยไม่เคยรู้สักนิดว่า วันหนึ่งตัวเราจะเป็นศพ

ดังนั้นเราควรฝึกไปงานศพตัวเองทุกวัน ด้วยการบอกกับตัวเองว่า ความตายอยู่ใกล้แค่ปลายจมูก



15. อยากโชคดี ไม่ใช่ไปหาวิธีลอดท้องช้าง

แต่อยากโชคดี เริ่มกันที่การมีสติปัญญาในการดำเนินชีวิตประจำวัน

ขอเพียงมีปัญญา โชคดีก็ไหลเข้ามาไม่ขาดสาย

แต่ถ้าไร้ปัญญา โชคร้ายจะไหลเข้ามาเหมือนห่าฝน








16. อ่านหนังสือเล่มนอกมากมาย อาจทำให้รู้จักใครทั่วทั้งโลก

แต่ไม่รู้วิธีดับทุกข์ในใจตัวเอง

ส่วนการอ่านหนังสือเล่มใน แม้ทำให้ไม่รู้จักใครอย่างกว้างขวาง

แต่นำไปสู่การรู้จักตนอย่างลึกซึ้ง ดับทุกข์ได้อย่างเด็ดขาด



17. ในตัวเรามีทั้ง 3 ฤดู

เมื่อความโกรธ เข้าครอบงำจิต ใจร้อนเป็นไฟดั่งฤดูร้อน

เมื่อใดความโลภ เข้าครอบงำอยากได้ จิตใจก็เพลิดเพลินเหมือนฤดูฝนเย็นฉ่ำ

เมื่อใดความหลง เข้าครอบงำจิตใจ ก็มืดมนไหวสะท้านเหมือนเดินอยู่กลางฤดูหนาว



18. แม้ประตูคุก ปิดล็อกอย่างแน่นหนา แต่คนพาลมากมาย ทยอยสู่ที่คุมขัง

ความเลวร้ายประดาในชีวิตเรา ไม่ได้เกิดจากมือที่มองไม่เห็นดลบันดาลให้เป็นไป

แต่เกิดจากตัวเรา พาตัวเข้าไปแส่หาด้วยความขลาดเขลาเบาปัญญาทั้งสิ้น



19. ชีวิตแสนสั้นอยู่กันไม่นานก็ลาจาก

ชีวิตเหมือนน้ำค้างสดใสในยามเช้า พอยามสายก็หายไป

ชีวิตเหมือนพยับแดด มองไกลๆเหมือนมีตัวตนน่าสนใจ

แต่พอเข้าไปใกล้ กลับมีแต่ความว่างเปล่า



20. นิ้วทั้ง 5 ไม่เท่ากันฉันใด ความสามารถของแต่ละคนมีไม่เท่ากันฉันนั้น

ธรรมชาติต้องการสอนให้เราอยู่ร่วมกันอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัย

บางสิ่งที่เขาขาด เราอาจมี บางสิ่งที่เขาดี เราอาจด้อย

เราเกิดมาเพื่อเติมเต็มกันและกัน








21. ในใจเรา มีทั้งตัวสร้าง และตัวเสื่อม

ตัวสร้างคือธรรมะ ตัวเสื่อมคือกิเลส

เวลาอยากทำอะไรดีๆ นั่นคือบทบาทของตัวสร้าง

แต่ในขณะที่เราอยากทำดี กลับรู้สึกว่าไม่ควรจะทำ นั่นคือบทบาทของตัวเสื่อม



22. วิกฤตมี เพื่อพิสูจน์ปัญญา ปัญหามี เพื่อพิสูจน์ความสามารถ

สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิตเราล้วนมีความหมาย ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นมาอย่างว่างเปล่า

ถ้าใช้ปัญญาพิจารณาอย่างลึกซึ้ง จะเห็นคุณค่าของทุกสิ่งที่เข้ามาในชีวิต



23. น้ำที่ไหลแรงที่สุด คือน้ำใจ น้ำใจที่ปรารถนาจะช่วยคน

ทำให้คนจำนวนมากข้ามน้ำข้ามทะเลไปช่วยเพื่อนมนุษย์ที่ตกยากได้อย่างไม่กลัวเหนื่อยล้า

พรมแดนของประเทศก็ไม่สามารถขัดขวางน้ำใจคน



24. ไฟจากเตาเผาไหม้ มีแค่บางเวลา แต่ไฟกิเลสเผาไหม้ อยู่ในใจตลอดเวลา

ไฟที่ร้ายแรงที่สุด จึงเป็นไฟแห่งกิเลส

กล้องที่ส่องได้ไกลที่สุดคือ กล้องปัญญา ที่ส่องทะลุทะลวงไปถึงอดีต ปัจจุบัน และ อนาคต








25. นัยอันลึกล้ำของคำว่า ‘ขอบคุณ’

ขอบคุณความไม่มี ที่ทำให้รู้วิธีลุกขึ้นสู้

ขอบคุณความยากจน ที่ทำให้เป็นคนมุมานะ

ขอบคุณความล้มเหลว ที่ทำให้เกิดความเชี่ยวชาญ



26. คนที่ปล่อยตัวปล่อยใจให้ตกเป็นทาสของความโกรธ

ต่อให้นอนบนเตียงราคาแพงลิบลิ่ว ปูด้วยพรมขนสัตว์ที่มีลวดลายบุปผชาติประดับไปทั้งผืน

ก็ไม่อาจทำให้หลับตาลงอย่างเป็นสุขได้เลยตลอดรัตติกาลอันยาวนาน



27. นัยอันลึกล้ำของคำว่า ‘ขอบคุณ’

ขอบคุณความผิดพลาด ที่ทำให้ฉลาดยิ่งกว่าเดิม

ขอบคุณความริษยา ที่ทำให้กล้าสร้างสรรค์สิ่งใหม่

ขอบคุณคำวิพากษ์วิจารณ์ ที่ทำให้ผลิบานอย่างไร้ข้อตำหนิ



28. แก้วที่คว่ำอยู่กลางสายฝน ต่อให้ฝนตกกระหน่ำทั้งคืน ก็ไม่อาจเต็มไปด้วยน้ำ

คนที่ไม่ยอมเปิดใจเรียนรู้ ต่อให้คลุกคลีอยู่กับนักปราชญ์ทั้งคืน ก็ยังคงโง่เท่าเดิม



29. นัยอันลึกล้ำของคำว่า ‘ขอบคุณ’

ขอบคุณความไม่รู้ ที่ทำให้รู้จักครูที่ชื่อประสบการณ์

ขอบคุณความผิดหวัง ที่ทำให้ตั้งสติเพื่อลุกขึ้นใหม่

ขอบคุณศัตรูที่แกร่งกล้า ที่ทำให้รู้ว่าเรายังไม่ใช่มืออาชีพ



30. อยู่ให้คนเขารัก จากไปให้คนเขาอาลัย ล่วงลับไปให้คนเอ่ยอ้างถึง

อยู่ให้คนรัก คืออยู่อย่างผู้ให้

จากไปให้คนอาลัย คือก่อนจากสร้างสรรค์แต่สิ่งมีคุณค่า

ล่วงลับไปให้คนระลึกถึง คือเวลามีชีวิตทำแต่คุณงามความดีจนเป็นที่จดจำ
88  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / Re: ถามธรรมะวิธีจัดการเรื่อง " กิ๊ก " เมื่อ: มกราคม 21, 2011, 02:58:50 pm
กิ๊กออนไลน์ ไม่เสียหายจริงหรือ (MomyPedia)

โดย : ส.นพมณี

          โลก ไซเบอร์ทำให้คนเรามี "กิ๊ก" ได้ง่ายขึ้น ไปฟังประสบการณ์ของคนที่เคยมีกิ๊กออนไลน์กันดีกว่าว่า ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อความสงบของชีวิตครอบครัวได้เพียงใด

          ยุคของโลกสื่อสารไร้พรมแดน ความรู้สึกดี ๆ ที่คนสองคนมีให้กันจนถึงขั้นกลายเป็น "กิ๊ก" นั้น เกิดขึ้นได้ง่าย ๆ อย่างไร้พรมแดนเช่นกัน ไม่เว้นแม้แต่คนที่มีครอบครัว แล้วหากเหตุการณ์นั้นบังเกิดขึ้นจริง จะผิดไหม... ลองฟังคำให้การของหญิงผู้ไม่ประสงค์ออกนามรายหนึ่ง ซึ่งยินดีเผยเรื่องราวและความรู้สึก

          ด้วยวัย 30 ปลาย ๆ มีชีวิตครอบครัวมาแล้ว 15 ปี เธอเพิ่งรู้จักการแชทใน msn เมื่อ 6 เดือนที่แล้วนี่เอง และติดใจเข้าขั้นคลั่งไคล้
 
          "แรก ที่ลองเข้าไปเล่นนั้นไม่ได้คิดอยากจะมีเพื่อนใหม่ กลับรู้สึกว่ามันไร้สาระ และเสียเวลาดูแลครอบครัวด้วยซ้ำ แต่ มันเริ่มต้นจากว่าเห็นลูกหลานเล่นแล้วหัวเราะสนุกสนานกัน จึงสอบถามและต้องการควบคุมพวกเขาให้เล่นอยู่ในขอบเขต เพราะเคยได้ทราบข่าวว่า มีเด็ก ๆ วัยรุ่นพลาดท่าถึงขนาดเสียสาว หรือกลายเป็นคนติดยาจากการแชท ก็ห่วง และที่สำคัญ พอเรารู้เรื่องไปกับเขาเด็ก ๆ ก็ให้ความไว้วางใจดิฉันด้วย เพราะเวลาที่เขาเล่นกัน ถูกอีกฝ่ายหนึ่งถามโน่นถามนี่ ไม่รู้จะตอบยังไงดี ก็จะหันมาถามดิฉัน ดิฉันก็แนะนำให้ไม่บอกความจริง เช่น เราเป็นใคร มาจากไหน เบอร์โทรอะไร"

          "แล้วดิฉันก็ได้เห็นว่าคนที่เข้ามาคุยดี ๆ ก็มีนะคะ ไม่พูดคุยส่อไปในทางลามกอนาจาร แต่กลับแนะนำ เตือนให้ระวังพวกโรคจิตซึ่งจะเข้ามาหลายรูปแบบ...ก็ให้ความรู้สึกดี ๆ จนเกิดมิตรภาพให้กัน อย่างน้อยก็เหมือนมีเพื่อนดี ๆ ที่คอยห่วงใยเราเพิ่มขึ้น จนในที่สุดก็นึกสนุก อยากเล่นแชทซะเอง"

          "ดิฉันเลือกเวลาแชทเฉพาะตอนสามีไม่อยู่บ้าน หรือเข้านอนแล้ว แต่ก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะทำผิดต่อครอบครัวนะ เพียงเพราะการคุยออนไลน์ สร้างความสนุกสนานให้เรายิ้มคนเดียวได้ ประสบการณ์ ที่มีในชีวิตก็พอทำให้ทราบได้ว่า คนที่เราพูดคุยด้วยนั้นเป็นคนดีหรือไม่ จากการหลอกถามไปถามมา เช่น บอกว่าเราทำงานต้อยต่ำเหลือเกิน เป็นเด็กเสิร์ฟบ้าง ขายของแผงลอยบ้าง แต่เขาไม่รังเกียจ กลับให้กำลังใจ ให้สู้ชีวิต บางคนถ้าคุยกันสนิทแล้ว ก็ถามถึงรูปร่างหน้าตากันบ้าง บางทีก็นัดเจอ แต่พอไปเจอดิฉันก็อ้างว่าเป็นน้องเป็นพี่มาแทนคนที่เค้าคุยด้วยซึ่งไม่ว่าง ฝากขนม ฝากของมาให้ ระหว่างที่พูดคุยกันนั้นก็คอยสังเกตอุปนิสัยที่แท้จริง ซึ่งดิฉันเป็นคนมีความมั่นใจในตัวเองสูง และมีประสบการณ์ชีวิตพอสมควร ก็ดูไม่ยากหรอกค่ะว่าคนที่เราแชทด้วยนั้นเป็นคนยังไง"

          "แต่ ดิฉันไม่เคยบอกความจริงว่ามีครอบครัวแล้ว ดิฉันยอมรับว่าการใช้ชีวิตครอบครัวมานาน ทำให้ความมีชีวิตชีวาจืดจางลงไป การแชท ได้เจอเพื่อนใน msn ทำให้ดิฉันรู้สึกกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งหนึ่ง ดูแลตัวเองมากขึ้น แต่งตัวเก่งขึ้น อารมณ์ดีขึ้น คุยกันคนที่ไม่เคยเห็น หน้ากันช่วยให้เราผ่อนคลาย เพราะรู้สึกเหมือนกับว่าอย่างน้อยเรายังมีเพื่อนที่คอยให้คำปรึกษา ไม่ได้ผจญกับปัญหาที่มีอยู่เพียงลำพัง หลายครั้งการแช็ตกับคนที่คุยกันถูกคอ มีเรื่องสนุกสนานมาล้อเล่นและเล่าสู่กันฟังได้...ก็ช่วยให้เราอารมณ์ดีขึ้น ในขณะมีปัญหารุมเร้าเข้ามาหลาย ๆ ด้าน ช่วยให้เราคลายเครียดจากงานประจำ ปัญหาทั่ว ๆ ไปในชีวิตประจำวัน รวมทั้งปัญหาจุกจิกในครอบครัว ก็ทำให้เรามองข้ามไปได้"

          "กับคนคนนี้ พอคุยกันมาระยะหนึ่ง ก็มีการส่งรูปถ่ายให้กันและกันดู และบังเอิญที่หน้าตา รูปร่างเขาตรงใจดึงดูดให้เราอ่อนไหวอยากเจอ อีกอย่างก็อยากลองบริหารเสน่ห์ความเป็นหญิงที่ละเลยมานาน ว่ายังมีเหลืออยู่บ้างหรือเปล่า ซึ่งสามีเราอาจมองไม่เห็นแล้ว แต่ในเมื่อมีคนมองเห็นก็ทำให้เราปันใจได้เหมือนกัน เคยนัดพบกันค่ะ แต่แอบดูว่าใช่คนที่ส่งมาตามรูปถ่ายมั้ย ระมัดระวังตัวอย่างมาก ไม่นัดเจอกันในที่ล่อแหลม อย่างมากแค่นัดทานข้าวกันธรรมดาเท่านั้น เราไม่ได้ทำอะไรผิดศีลธรรม มันเป็นแค่ความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่บางครั้งสามีมองข้ามไปเนื่องจากใช้ชีวิตร่วมกันมานาน หน้าที่แม่บ้าน ดิฉันก็ยังทำให้เขาสม่ำเสมอ แล้วคิดว่าหากเป็นเขาก็คงเช่นเดียวกัน คงไม่บอกว่ามีภรรยาแล้ว ดิฉันจึงคิดว่าปิดบังคงดีที่สุด บอกให้เกิดความระแวงทำไม"

          "ที่ ผ่านมาสามีดิฉันไม่เคยสงสัยเพราะคิดว่าเล่นเกมออนไลน์...ถือเป็นโชคดีที่ สามีเป็นคนสุขุม ใจเย็น และไว้ใจกันมาตลอด เพราะดิฉันไม่เคยมีความประพฤติส่อไปในทางไม่ดีให้เขาเห็น แต่ดิฉันคิดว่าอย่างไรก็คงต้องระวัง ไม่ควรทำให้ครอบครัวแตกแยก ถ้าเล่น msn แล้วมีผลทำให้ต้องเลิกกับครอบครัว นั่นเป็นเรื่องของคนเล่นที่ยังควบคุมตัวเองไม่ได้ เพราะการแชทบางทีมันก็ทำให้เราเคลิ้มไปว่ายังปฏิบัติต่อครอบครัวอย่างถูก ทำนองคลองธรรม คล้ายกับการกินขนมจานโปรด พอถึงเวลาก็อยากจะกิน เช่นเดียวกับเมื่อถึงเวลาเดิม หากไม่ได้แช็ตได้พูดคุยกันก็เหมือนขาดอะไรไปอย่าง การเอาเวลาไปนั่งแช็ตก็อาจทำให้ครอบครัวสูญเสียความอบอุ่นในช่วงเวลานั้นไป ได้เหมือนกัน"

          ฟังอย่างนี้แล้ว...จะแชทให้ครอบครัวต้องเจอความเสี่ยงไปทำไม...ว่ามั้ยคะ
89  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ทิฏฐิธรรม เมื่อ: มกราคม 21, 2011, 02:54:39 pm
ทิฏฐิธรรม



ทิฏฐิธรรมทั้งหลาย ของเจ้าทิฏฐิใด เป็นธรรมที่บุคคลนั้น กำหนดแล้ว ที่ปัจจัยปรุงแต่งกระทำไว้ในเบื้องหน้า ไม่ขาวสะอาด มีอยู่และบุคคลนั้นเป็นผู้อาศัยอานิสงส์ที่เห็นอยู่ในตนและอาศัยสันติที่ กำเริบที่อาศัยกันเกิดขึ้น เขาพึงยกตนหรือข่มผู้อื่น.

ความถือมั่นด้วยทิฏฐิ ย่อมไม่เป็นอาการที่ก้าวล่วงโดยง่ายเลย การถึงความตกลงในธรรมทั้งหลายแล้วถือมั่น ก็ไม่เป็นอาการที่ก้าวล่วงโดยง่ายเพราะฉะนั้น ในความถือมั่นเหล่านั้น นรชนย่อมสละธรรมบ้าง ยึดถือธรรมบ้าง.

ทิฏฐิ ที่กำหนดเพื่อเกิดในภพน้อยและภพใหญ่ ย่อมไม่มีแก่บุคคลผู้มีปัญญาในที่ไหนๆ ในโลก เพราะบุคคลผู้มีปัญญาละมารยาและมานะได้แล้ว เป็นผู้ไม่มีกิเลสเครื่องเข้าถึง จะพึงไปด้วยกิเลสอะไรเล่า.

บุคคลผู้มีกิเลสเครื่องเข้าถึง ย่อมเข้าถึงวาทะติเตียนในธรรมทั้งหลายใครๆ จะพึงกล่าวติเตียนบุคคลผู้ไม่มีกิเลสเครื่องเข้าถึงด้วยกิเลสอะไรอย่างไร เล่า เพราะทิฏฐิถือว่ามีตน ทิฏฐิถือว่าไม่มีตน ย่อมไม่มีแก่บุคคลผู้ไม่มีกิเลสเครื่องเข้าถึงนั้น บุคคลผู้ไม่มีกิเลสเครื่องเข้าถึง สลัดเสียแล้วซึ่งทิฏฐิทั้งปวงในโลกนี้นี่แหละ.

เราย่อมเห็นนรชนผู้หมดจด ว่าเป็นผู้ไม่มีโรคเป็นอย่างยิ่ง ความหมดจดดีย่อมมีแก่นรชนเพราะความเห็น บุคคลเมื่อรู้เฉพาะอย่างนี้ รู้แล้วว่าความเห็นนี้เป็นเยี่ยม ดังนี้ ย่อมเชื่อว่า ความเห็นนั้นเป็นญาณบุคคลนั้นชื่อว่าเป็นผู้พิจารณาเห็นความหมดจด.

หากว่า ความหมดจดย่อมมีแก่นรชนด้วยความเห็น หรือว่านรชนนั้นย่อมละทุกข์ได้ด้วยญาณ(ปัญญา)ไซร้ นรชนนั้นผู้ยังมีอุปธิ ย่อมหมดจดได้ด้วย มรรคอื่น เพราะทิฏฐิย่อมบอกนรชนนั้นว่า เป็นผู้พูดอย่างนั้น.

พราหมณ์ไม่กล่าวความหมดจดในอารมณ์ที่เห็น ในอารมณ์ที่ได้ยิน ศีลและวัตร หรืออารมณ์ที่ทราบ โดยมรรคอื่น พราหมณ์นั้นผู้ไม่เข้าไปติดในบุญและบาป ละเสียซึ่งตน เรียกว่าเป็นผู้ไม่ทำเพิ่มเติมอยู่ในโลกนี้.

บุคคลใดลอยบาปทั้งปวงเสียแล้ว ปราศจากมลทิน มีจิตตั้งมั่น(วิปัสสนา)ด้วยดี มีตนตั้งอยู่แล้ว บุคคลนั้นเรียกว่า เป็นผู้สำเร็จกิจเพราะล่วงสงสารได้แล้ว อันตัณหาทิฏฐิไม่อาศัย เป็นผู้คงที่ เรียกว่าเป็นพราหมณ์.

สมณพราหมณ์เหล่านั้น ละต้น อาศัยหลัง ไปตามความแสวงหาย่อมไม่ข้ามกิเลสเครื่องเกี่ยวข้องได้ สมณพราหมณ์เหล่านั้น ย่อมจับถือย่อมละ เหมือนลิงจับและละกิ่งไม้เบื้องหน้า ฉะนั้น.

ชันตุชนสมาทานวัตรทั้งหลายเอง เป็นผู้ข้องในสัญญา ย่อมดำเนินผิดๆถูกๆ ส่วนบุคคลผู้มีความรู้ รู้ธรรมด้วยความรู้ทั้งหลาย เป็นผู้มีปัญญากว้างขวางดุจแผ่นดิน ย่อมไม่ดำเนินผิดๆ ถูกๆ.

บุคคลผู้มีปัญญากว้างขวางดังแผ่นดินนั้น เป็นผู้กำจัดเสนาในธรรมทั้งปวง คือ ในรูปที่เห็น เสียงที่ได้ยิน หรืออารมณ์ที่ทราบอย่างใดอย่างหนึ่ง ใครๆ ในโลกนี้พึงกำหนดซึ่งบุคคลนั้นนั่นแหละ ผู้เห็นผู้ประพฤติเปิดเผยด้วยกิเลสอะไรเล่า.

สัตบุรุษทั้งหลาย ย่อมไม่กำหนด ย่อมไม่ทำตัณหาและทิฏฐิไว้ในเบื้องหน้า สัตบุรุษเหล่านั้น ย่อมไม่กล่าวว่า เป็นความหมดจดส่วนเดียวสัตบุรุษเหล่านั้นละกิเลสเป็นเครื่องถือมั่น ผูกพัน ร้อยรัดแล้ว ไม่ทำความหวังในที่ไหนๆ ในโลก.

-------------------ที่นี่ดอทคอม
90  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / มหาธรรมสมาทานสูตร เมื่อ: มกราคม 21, 2011, 02:52:00 pm
มหาธรรมสมาทานสูตร
 
 
"...ท่านทั้งหลาย! ก็ธรรมสมาทาน ที่มีทุกข์ในปัจจุบัน และมีทุกข์เป็น
วิบากต่อไป เป็นไฉน?
ท่านทั้งหลาย! บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นคนฆ่าสัตว์ พร้อมด้วยทุกข์
บ้าง พร้อมด้วยโทมนัสบ้าง ย่อมเสวยทุกข์ โทมนัส เพราะปาณาติบาต
เป็นปัจจัย

เป็นคนถือเอาทรัพย์ที่เขามิได้ให้.....
เป็นคนประพฤติผิดในกาม.....
เป็นคนพูดเท็จ.....
เป็นคนมีวาจาส่อเสียด.....
เป็นคนมีวาจาหยาบ.....
เป็นคนพูดจาเพ้อเจ้อ.....
เป็นคนมีอภิชฌามาก.....
เป็นคนมีจิตพยาบาท.....
เป็นคนมีความเห็นผิด พร้อมด้วยทุกข์บ้าง พร้อมด้วยโทมนัสบ้าง
ย่อมเสวยทุกข์โทมนัส เพราะมิจฉาทิฏฐิเป็นปัจจัย เบื้องหน้าแต่ตาย
เพราะกายแตก เขาย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก

ท่านทั้งหลาย! ธรรมสมาทานนี้ เรากล่าวว่า มีทุกข์ในปัจจุบัน
และมีทุกข์เป็นวิบากต่อไป
ท่านทั้งหลาย! ก็ธรรมสมาทานที่มีสุขในปัจจุบัน แต่มีทุกข์เป็น
วิบากต่อไป เป็นไฉน?
ท่านทั้งหลาย! บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นคนฆ่าสัตว์ พร้อมด้วย
สุขบ้าง พร้อมด้วยโสมนัสบ้าง ย่อมเสวยสุข โสมนัส เพราะปาณา-
ติบาตเป็นปัจจัย

เป็นคนถือเอาทรัพย์ที่เขามิได้ให้.....
เป็นคนประพฤติผิดในกาม.....
เป็นคนพูดเท็จ.....
เป็นคนมีวาจาส่อเสียด.....
เป็นคนมีวาจาหยาบ.....
เป็นคนพูดจาเพ้อเจ้อ.....
เป็นคนมีอภิชฌามาก.....
เป็นคนมีจิตพยาบาท.....
เป็นคนมีความเห็นผิด พร้อมด้วยสุขบ้าง พร้อมด้วยโสมนัสบ้าง
ย่อมเสวยทุกข์โทมนัส เพราะมิจฉาทิฏฐิเป็นปัจจัย เบื้องหน้าแต่
ตายเพราะกายแตก เขาย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก
ท่านทั้งหลาย! ก็ธรรมสมาทานนี้ เรากล่าวว่า มีสุขในปัจจุบัน
แต่มีทุกข์เป็นวิบากต่อไป

ท่านทั้งหลาย! ก็ธรรมสมาทาน ที่มีทุกข์ในปัจจุบันแต่มีสุขเป็น
วิบากต่อไป เป็นไฉน?
ท่านทั้งหลาย! บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นคนเว้นขาดจากปาณา
ติบาต พร้อมด้วยทุกข์บ้าง พร้อมด้วยโทมนัสบ้าง ย่อมเสวยทุกข์
โทมนัส เพราะการเว้นจากปาณาติบาตเป็นปัจจัย

เป็นคนเว้นขาดจากอทินนาทาน.....
เป็นคนเว้นขาดจากการประพฤติผิดในกาม.....
เป็นคนเว้นขาดจากการพูดเท็จ.....
เป็นคนเว้นขาดจากการพูดส่อเสียด.....
เป็นคนเว้นขาดจากการพูดคำหยาบ.....
เป็นคนเว้นขาดจากการพูดเพ้อเจ้อ.....
เป็นคนไม่มีอภิชฌามาก.....
เป็นคนมีจิตไม่พยาบาท.....
เป็นคนที่มีความเห็นชอบ พร้อมด้วยสุขบ้าง พร้อมด้วยโสมนัสบ้าง
ย่อมเสวยสุขโสมนัส เพราะสัมมาทิฏฐิเป็นปัจจัย เบื้องหน้าแต่ตาย
เพราะกายแตก เขาย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์

ท่านทั้งหลาย! ธรรมสมาทานนี้ เรากล่าวว่า มีสุขในปัจจุบันและ
มีสุขเป็นวิบากต่อไป
ท่านทั้งหลาย! ธรรมสมาทานมี ๔ อย่าง อย่างนี้แล...ฯ"

~มหาธรรมสมาทานสูตร ๑๒/๔๖๗~
ขอนอบน้อมแด่คุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์
91  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / กลอนธรรมะ เพื่อคลาย อุปาทาน เมื่อ: มกราคม 21, 2011, 02:51:18 pm
ขอพวกเราทั้งหลายจำไว้เถิด
ว่าการเกิดนี้ลำบากยากนักหนา
ครั้นคนเราได้กำเนิดเกิดขึ้นมา
ก็กลับพากันถึงซึ่งความตาย

(หลวงวิจิตรวาทการ)

ต้องเวียนเกิดเวียนตายตามบุญบาป
เมื่อไรทราบธรรมแท้ไม่แปรผัน
ไม่ต้องเกิดไม่ต้องตายสบายครัน
มีเท่านั้นใครหาพบจบกันเอย

(ท่านพุทธทาสภิกขุ)

กายนี้ท่านเปรียบดั่งท่อนไม้
ครั้นดับไปสมมติว่าเป็นผี
เครื่องเปื่อยเน่าสะสมถมปฐพี
เหมือนกันทั้งผู้ดีและเข็ญใจ

(เจ้าพระยาคลัง หน)

อันรูปรสกลิ่นเสียงนั้นเพียงหลอก
ไม่จริงดอกอวิชชาพาให้หลง
อย่าลืมนะร่างกายไม่เที่ยงตรง
ไม่ยืนยงทรงอยู่คู่ฟ้าเอย

(จากหนังสือเก่าโบราณ)

กลางทะเลอวกาศที่เวิ้งว้าง
สรรพสิ่งได้ถูกสร้างแปลงไว้
จากดินน้ำลมและไฟ
ก่อเกิดเป็นสิ่งใหม่เรื่อยมา

เมื่อถึงคราวแตกดับ
สรรพสิ่งก็หมุนกลับไปหา
ธรรมชาติเดิมแท้นั้นอีกครา
เวียนกลับไปกลับมาอยู่อย่างนั้น

(สมภาร พรหมทา)

     

    เป็นมนุษย์ หรือ เป็นคน

    *
      เป็นมนุษย์ เป็นได้ เพราะใจสูง
      เหมือนหนึ่งยูง มีดี ที่แววขน
      ถ้าใจต่ำ เป็นได้ แต่เพียงคน
      ย่อมเสียที ที่ตน ได้เกิดมา
    *
      ใจสะอาด ใจสว่าง ใจสงบ
      ถ้ามีครบ ควรเรียก มนุสสา
      เพราะทำถูก พูดถูก ทุกเวลา
      เปรมปรีดา คืนวัน ศุขสันติ์จริง
    *
      ใจสกปรก มืดมัว และร้อนเร่า
      ใครมีเข้า ควรเรียก ว่าผีสิง
      เพราะพูดผิด ทำผิด จิตประวิง
      แต่ในสิ่ง นำตัว กลั้วอบาย
    *
      คิดดูเถิด ถ้าใคร ไม่อยากตก
      จงรีบยก ใจตน รีบขวนขวาย
      ให้ใจสูง เสียได้ ก่อนตัวตาย
      ก็สมหมาย ที่เกิดมา อย่าเชือน เอยฯ

    นกไม่เห็นฟ้า ปลาไม่เห็นน้ำ

    *
      หมู่นกจ้อง มองเท่าไร ไม่เห็นฟ้า
      ถึงฝูงปลา ก็ไม่เห็น น้ำเย็นใส
      ไส้เดือนมอง ไม่เห็นดิน ที่กินไป
      หนอนก็ไม่ มองเห็นคูต ที่ดูดกิน;
    *
      คนทั่วไป ก็ไม่ มองเห็นโลก
      ต้องทุกข์โศก หงุดหงิด อยู่นิจสิน
      ส่วนชาวพุทธ ประยุกต์ธรรม ตามระบิล
      เห็นหมดสิ้น ทุกสิ่ง ตามจริงเอย ฯ

    ความสุข

    *
      ความเอ๋ย ความสุข
      ใครๆทุก คนชอบเจ้า เฝ้าวิ่งหา
      "แกก็สุข ฉันก็สุข ทุกเวลา"
      แต่ดูหน้า ตาแห้ง ยังแคลงใจ
    *
      ถ้าเราเผา ตัวตัณหา ก็น่าจะสุข
      ถ้ามันเผา เราก็ "สุก" หรือเกรียมได้
      เขาว่าสุข สุขเน้อ! อย่าเห่อไป
      มันสุขเย็น หรือสุกไหม้ ให้แน่เอย ฯ

    ศึกษากันเท่าไร?

    *
      โลกยุคนี้ มีศึกษา กันท่าไหน
      ยุวชน รุ่นใหม่ ได้คลุ้มคลั่ง
      บ้างติดยา เสพติด เป็นติดตัง
      บ้างก็ฝัง หัวสุม ลุ่มหลงกาม
    *
      บ้างดูหมิ่น พ่อแม่ ไม่มีคุณ
      บ้างก็เห็น เรื่องบุญ เป็นเรื่องพล่าม
      บ้างลุ่มหลง love free เป็นดีงาม
      บ้างประณาม ศาสนา ว่าบ้าบอ
    *
      บ้างไปเป็น ฮิปปี้ มีหลายชนิด
      บ้างทวงอิส- ระพ้น จนเหลือขอ
      บ้างที่มี ดีกรีมาก โฮกฮากพอ
      โลกเราหนอ ให้ศึกษา กันเท่าไร ฯ

    อาจารย์ไก่

    *
      ถ้าคนเรา เปรียบกับไก่ ดูให้ดี
      มันไม่มี นอนไม่หลับ ไม่ปวดหัว
      ไม่มีโรค ประสาท ประจำตัว
      โรคจิตไม่ มากลั้ว กับไก่น้อย
    *
      คนในโลก กินยา เป็นตันๆ
      พวกไก่มัน ไม่ต้องกิน สักเท่าก้อย
      หลับสนิท จิตสบาย ร้อยทั้งร้อย
      รู้สึกน้อย แห่งน้ำใจ อายไก่เวย
    *
      ได้เป็นคน หรือจึงได้ นอนไม่หลับ
      ควรจะนับ ว่าเป็นบาป หรือบุญเหวย
      มีธรรมะ กันเสียนะ อย่าละเลย
      อยู่เสบย ไม่ละอาย แก่ไก่มัน

    ภัยร้ายของนักเรียน

    * เป็นนักเรียน เพียรศึกษา อย่าริรัก

         ถูกศรปัก เรียนไม่ได้ ดั่งใจหมาย
       สมาธิจะ หักเหี้ยน เตียนมลาย
       ถึงเรียนได้ ก็ไม่ดี เพราะผีกวน

    * แต่เตือนกัน สักเท่าไร ก็ไม่เชื่อ

         มันแรงเหลือ รักร้าย หลายกระสวน
       หลอกพ่อแม่ มากมาย หลายกระบวน
       หน้าขาวนวล ใจหยาบดำ ซ้ำละลาย

    * การเล่าเรียน เบื่อหน่าย คล้ายจะบ้า

         ใช้เงินอย่าง เทน้ำเทท่า น่าใจหาย
       ไม่เท่าไร ใจกระด้าง สิ้นยางอาย
       หญิงหรือชาย เรียนไม่ดี สิ่งนี้เอง

    * มีสัจจะ ทมะ และขันตี

         กตัญญู กตเวที อย่าโฉงเฉง
       รักพ่อแม่ พวกพ้อง ต้องยำเกรง
       เรียนให้เก่ง ให้ยิ้มแปล้ แก่ทุกคน ฯ

     

    ยิ่งเจริญยิ่งบ้า?

    * ถ้าพูดว่า "ยิ่งเจริญ คือยิ่งบ้า"
      ดูจะหา คนเชื่อ ได้ยากยิ่ง
      เพราะต่างชอบ ความเจริญ ที่เกินจริง
      เจริญอย่าง ผีสิง ยิ่งชอบกัน
    * โลกเจริญ เกินขนาด ธรรมชาติแหลก
      เกิดของแปลก แปลงโลก ให้โศกศัลย์
      ทำมนุษย์ ให้เป็นสัตว์ พิเศษพลัน
      คือฆ่ากัน ทั้งบนดิน และใต้ดิน
    * ยิ่งเจริญ ยิ่งดุเดือด ด้วยเลือดอาบ
      ยิ่งฉลาด ยิ่งมีบาป กว่ายุคหิน
      สร้างปัญหา ยุ่งยาก มากระบิล
      โลกทั้งสิ้น สุมความบ้า ว่าความเจริญ ฯ

    โลกคือเครื่องลองและโรงละคร

    *
      โลกนี้คือ เครื่องลอง ของมารร้าย
      ไว้สอบไล่ ว่าใคร ยังหลงใหล
      ว่าใครบ้า ใครเขลา เฝ้าจมใน
      หล่มโลกใหญ่ ติดตัง ทั้งชั่วดี!
    *
      โลกนี้ ที่แท้คือ โรงละคร
      ไม่ต้องสอน แสดงถูก ทุกวิถี
      ออกโรงกัน จริงจัง ทั้งตาปี
      ตามท่วงที อวิชชา ลากพาไป!

    โลกเปรียบศาลาให้อาศัย

    *
      โลกนี้เปรียบ ศาลา ให้อาศัย
      ประเดี๋ยวใจ ผ่อนพัก แล้วจักผัน
      ทางที่ดี เมื่อพราก ไปจากมัน
      ควรสร้างสรร ส่งเสริม เพิ่มคะแนน
    *
      เมื่อเราได้ เกิดมา ในอาโลก
      ได้พ้นโศก พ้นภัย สบายแสน
      จึงควรสร้าง สิ่งชอบ ไว้ตอบแทน
      ให้เป็นแดน ดื่มสุข ขึ้นทุกกาล
    *
      คุณความดี ของท่าน กาลก่อนก่อน
      ที่ท่านสอน ไว้ประจักษ์ เป็นหลักฐาน
      เราเกิดมา อาศัย ได้สำราญ
      ควรหรือผ่าน พ้นไป ไม่คำนึง ฯ

    โลกนี้พัฒนา

    *
      โลกฮึดฮัด พัฒนา บูชาโป๊
      เพราะเผลอโง่ ทีละนิด คิดไม่เห็น
      ไม่มีใคร ตำหนิใคร เพราะใจเป็น
      ในเชิงเช่น เดียวกัน ไม่ทันรู้
    *
      รัฐบาลไหน ในโลก สับโขกมัน
      ดูจะชอบ เหมือนกัน ทำไก๋อยู่
      พวกนักบวช แอบหา ภาพมาดู
      คุณครูรู้ พรางศิลปโป๊ โย้ได้ไกล
    *
      ความก้าวหน้า ทางเนื้อหนัง อย่างนี้เอง
      ครั้นพัฒนา จบเพลง ไม่ไปไหน
      บูชาโป๊ ถึงทูนหัว มั่วกันไป
      โลกยุคใหม่ ต้องไม่โง่ หยุดโป๊ที ฯ

    ความรักของอวิชชา

    *
      มีชายหนึ่ง ลิงหนึ่ง อยู่ด้วยกัน
      คนก็รัก ลิงนั้น เป็นหนักหนา
      ลิงก็รัก คนจัด เต็มอัตรา
      ทั้งสองรา รักกัน นั้นเกินดู
    *
      มาวันหนึ่ง คนนั้น นอนหลับไป
      แมลงวัน มาไต่ ที่กกหู
      ลิงคิดว่า ไอ้นี่ยวน กวนเพื่อนกู
      จะต้องบู๊ ให้มันตาย อ้ายอัปรีย์
    *
      ฉวยดุ้นไม้ มาเงื้อ ขึ้นสองมือ
      ฟาดลงไป เต็มตื้อ แมลงวันหนี
      ฝ่ายเพื่อนรัก ดิ้นชัก ไปหลายที
      ดูเถิดนี่ ความรัก ของอวิชชา ฯ
92  เรื่องทั่วไป / IT สาระประโยชน์ชาวธรรม / 100 คำสั่งบนแป้นคีย์บอร์ด เมื่อ: มกราคม 21, 2011, 02:46:25 pm


เพื่อนๆ คงใช้เม้าส์ในการกด เพื่อเลือกฟังก์ชั่นต่างบนจอคอมจนเคยชินกันแล้วใช่มะจนบางคนนั้นอาจลืม หรือไม่เคยรู้เลยด้วยซ้ำว่าแป้นคีย์บอร์ด ที่เดี๋ยวนี้เราไว้ใช้แค่พิมพ์นั้นสามารถสั่งการใช้งานของคอมพิวเตอร์ได้ เหมือนกัน งั้นเราลองมาทบทวนความทรงจำ ในการใช้คำสั่งบนคีย์บอร์ดกันดีกว่า...

100 คำสั่งบนแป้นคีย์บอร์ดเตือนคำทรงจำ....

CTRL+C --คัดลอก

CTRL+X --ตัด/ย้าย

CTRL+V --วาง (ใช้คู่กับคำสั่งคัดลอก/ตัด)

CTRL+Z --ยกเลิกการทำงานครั้งล่าสุด

DELETE --ลบโดยไปพักที่ถังขยะ

SHIFT+DELETE --ลบโดยไม่ต้องพักที่ถังขยะ

CTRL กดค้างไว้+คลิกเลือกไฟล์ --เป็นการเลือกแบบเฉพาะเจาะจง

CTRL+SHIFT กดค้างไว้ แล้วคลิกที่ไฟล์แรก และไฟล์สุดท้าย --จะเป็นการเลือกตั้งแต่
ไฟล์แรกถึงไฟล์สุดท้ายทั้งหมด

F2 --เปลี่ยนชื่อแฟ้ม

CTRL+RIGHT ARROW --ไปยังคำต่อไป (ด้านขวามือ)

CTRL+LEFT ARROW --ไปยังคำก่อนหน้า (ด้านซ้ายมือ)

CTRL+DOWN ARROW --ไปยังย่อหน้าต่อไป (ลงล่าง)

CTRL+UP ARROW --ไปยังย่อหน้าต่อไป (ขึ้นบน)

CTRL+SHIFT --ทำ Highlight ทั้งบรรทัด

SHIFT+ปุ่มลูกศร --ทำ Highlight เฉพาะส่วนที่เลือก

CTRL+A --เลือกทั้งหมด

F3 --ค้นหา

ALT+ENTER --ดู properties

ALT+F4 --ปิดโปรแกรมที่ใช้งานในปัจจุบัน

ALT+SPACEBAR --เปิด shortcut menu ของหน้าจอที่ใช้งานอยู่

CTRL+F4 --ปิดโปรแกรมที่ใช้อยู่ทั้งหมด

ALT+TAB --สลับหน้าจอระหว่างโปรแกรมที่ 1 ไปโปรแกรมที่ 2 3 4

ALT+ESC (Cycle through items in the order that they had been opened)

F6 key (Cycle through the screen elements in a window or on the desktop)

F4 --แสดงรายการใน Address bar

SHIFT+F10 --เหมือนการคลิกขวาที่เม้าส์

CTRL+ESC --เหมือนการคลิกที่ปุ่ม Start

ALT+Underlined letter in a menu name (Display the corresponding menu)

Underlined letter in a command name on an open menu (Perform the
corresponding command)

F10 key (Activate the menu bar in the active program)

RIGHT ARROW --เปิดเมนูถัดไปทางขวาหรือเปิดเมนูย่อยทางขวา

LEFT ARROW --เปิดเมนูถัดไปทางซ้ายหรือเปิดเมนูย่อยทางซ้าย

F5 key --รีเฟรชหน้าจอปัจจุบัน

BACKSPACE --แสดงโฟลเดอร์ที่อยู่เหนือขึ้นไป 1 ระดับ

ESC --ยกเลิก

SHIFT เมื่อใส่แผ่น CD-ROM --หยุดยั้งการเปิดแผ่นแบบอัตโนมัติ

Dialog Box Keyboard Shortcuts /เกี่ยวกับไดอะล็อก

CTRL+TAB --ไปในแถบต่อไป

CTRL+SHIFT+TAB --ไปในแถบก่อนหน้า

TAB --เลื่อนไปยังส่วนต่อไป

SHIFT+TAB --เลื่อนไปยังส่วนก่อนหน้า

ALT+Underlined letter (Perform the corresponding command or select
the corresponding option)

ENTER --ตกลง

SPACEBAR --เลือก/ไม่เลือกใน check box

Arrow keys (Select a button if the active option is a group of option buttons)

F1 key --Help

F4 key --แสดงรายการที่ active อยู่

BACKSPACE --แสดงโฟลเดอร์ที่อยู่เหนือขึ้นไป 1 ระดับ

Microsoft Natural Keyboard Shortcuts /ทั่วไป ๆ

Windows Logo --แสดง/ซ่อน Start menu

Windows Logo+BREAK --แสดง System Properties

Windows Logo+D --แสดงหน้าจอ desktop

Windows Logo+M --ย่อหน้าต่างงานทั้หมด

Windows Logo+SHIFT+M --โชว์หน้าต่างงานที่เราย่อไว้ (ยกเลิกการย่อหน้าต่าง)

Windows Logo+E --เปิด My computer

Windows Logo+F,CTRL+Windows Logo+F --ค้นหา

Windows Logo+F1 --Help

Windows Logo+ L --ล็อค keyboard

Windows Logo+R --Run

Windows Logo+U --Utility Manager

เราหวังว่าคำสั่งบนคีย์บอร์ดเหล่านี้จะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆ บ้างนะค่ะ
เผื่อว่าวันไหนเม้าส์ของเพื่อนๆ ใช้งานไม่ได้
93  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / มิจฉาสมาธิ กับ สัมมาสมาธิ ต่างกันอย่างไรคะ เมื่อ: มกราคม 19, 2011, 06:22:23 pm
ได้ยินเรื่อง สมาธิมาก็หลายครั้ง และ คำนี้ก็มักจะถูกหยิบยกขึ้นมาพูดให้ได้ยินหลายครั้ง
บางทีชวนเพื่อนปฏิบัติ กรรมฐาน ก็เจออีกกลุ่มว่า ของเธอเป็น มิจฉาสมาธิ ของฉันเป็น สัมมาสมาธิ

ครั้นจะต่อวาจากันว่าเป็น มิจฉา กับ สัมมา นั้นมีหลักการวัดอย่างไร ก็มาพิจารณาภูมิธรรมตนเองว่ายัง
ไม่แน่น ดังนั้นจึงมาฝากความหวัง ที่บอร์ด โดยเฉพาะลุงปุ้ม หรือ คุณธรรมธวัช ช่วยตอบให้หน่อยคะ

มิจฉาสมาธิ กับ สัมมาสมาธิ ต่างกันอย่างไรคะ

 :c017: :c017: :c017:
94  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / นำอานิสงส์การสร้างพระพุทธรูปมาฝากกันค่า... เมื่อ: มกราคม 19, 2011, 06:15:54 pm


นำอานิสงส์การสร้างพระพุทธรูปมาฝากกันค่า... :)

อานิสงส์สร้างพระพุทธรูป

เอาภาพมาให้ดูค่ะ องค์สีทององค์แรก ได้ถวายวัดร่ำเปิง ไปพร้อมกับผ้าป่าร่วมสร้างอุโบสถที่เพิ่งทอดไปเมื่อหลังปีใหม่ค่ะ อิอิ

คติ ความเชื่อของพุทธศาสนิกชน เชื่อว่า อานิสงส์สร้างพระ ได้ชื่อว่า เจริญกรรมฐาน ข้อพุทธานุสติ และเป็นการบูชาพระรัตนตรัย สร้างบุญกุศลที่มั่นคงถาวรชั่วนิจนิรันดร์กาล ทั้งแก่ตนและแก่บุคคลผู้ร่วมอนุโมทนา สร้างความเจริญรุ่งเรืองให้แผ่ไพศาลไปได้ไกล ได้ร่วมกิจกรรมอันจักนำประโยชน์สุขสู่ตนและสู่สังคม ฯลฯ นอกจากนี้พระสงฆ์ทั้งในอดีตและปัจจุบัน แสดงธรรมเทศน์เกี่ยวกับกับอานิสงส์สร้างพระ เช่น

๑.หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ วัดสะแก จ.พระนครศรีอยุธยา แสดงธรรมไว้ว่า สร้างพระ ๑ องค์ ได้อานิสงส์ ๕ กัป ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ สร้างด้วยอะไรก็ตาม หมายความว่า บุญกุศลจะตามหนุนส่งท่านไปทุกภพทุกชาตินานถึง ๕ กัป

๒.หลวงพ่อพระราช พรหมยาน หรือ หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี กล่าวว่า "การสร้างสมเด็จองค์ปฐมทำได้ยาก คือว่าเป็นพระพุทธเจ้าองค์ต้นพระพุทธเจ้าทั้งหมด การสร้างองค์ปฐมนี้ ท่านเปลี่ยนบัญชีใหม่ โดยใช้บัญชีสีทอง เป็นทองคำล้วนทั้งเล่ม จดบันทึก (เป็นอีกเล่มหนึ่งจากที่จดธรรมดา) ก็แสดงว่าคนที่จะสร้างพระพุทธเจ้าองค์ปฐมได้นี้ ต้องเป็นคนมีบุญมาก และไปนิพพานได้เร็วมาก"

๓.หลวงพ่อขอม วัดไผ่โรงวัว จ.สุพรรณบุรี เคยแสดงธรรมไว้ว่า ผู้ใดสร้างรูปพระพุทธเจ้า จะเป็นองค์เล็กเท่าต้นคาก็ดี ใหญ่กว่าต้นคาก็ดี ผู้นั้นจะได้เป็นพรหม เป็นอินทร์ หมื่นชาติแสนชาติ ถ้าเป็นมนุษย์ จะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิหมื่นชาติ แสนชาติ จะไม่เป็นผู้ตกต่ำเลย ตราบจนกว่าเข้าสู่นิพพาน

๔.พระครูพัฒนกิจจานุ รักษ์ หรือ ครูบาชัยยะวงศาพัฒนา วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม จ.ลำพูน เคยแสดงธรรมไว้ว่า การสร้างพระ เปรียบได้กับธนาคารบุญ ซึ่งจะเกิดบุญกุศลกับผู้ที่มีส่วนในการสร้าง โดยบุญกุศลนั้นจะเกิดขึ้นทุกครั้งที่มีผู้มากราบไหว้ สักการบูชาเท่ากับจำนวนคน และจำนวนครั้ง

๕.พระธรรมสิงหบุราจารย์ หรือ หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม วัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี เคยแสดงธรรมไว้ว่า การที่ผู้สร้างพระพุทธรูปเกิดศรัทธา จนถึงสละเงินออกมาสร้างพระพุทธรูปได้ และออกมาทำทานในงานฉลองพระพุทธรูปได้ ชื่อว่าเป็นผู้มี "ความเห็นตรง เห็นถูกแท้" เพราะเป็นบุญของตนเอง ไม่ใช่บุญของใครเลย ผู้สร้างพระพุทธรูป ชื่อว่าเป็นผู้ไม่ประมาท ชื่อว่าเป็นผู้เตรียมตัวก่อนตาย

ที่มา
http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y10136100/Y10136100.html
95  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: การไม่เชื่อเรื่องอภินิหาร ปาฏิหาร ภูตผีปีศาจ เทวดา ผิดไหม บาปไหม เมื่อ: มกราคม 19, 2011, 12:25:27 pm
ก็ไม่คิดว่า จะเป็นเรื่องที่จะเสียหาย นะคะ
แต่สุดท้าย ก็คงต้องเพิ่มพูน ศรัทธา ในพระรัตนตรัยด้วยนะคะ จึงจักปฏิบัติภาวนาได้ก้าวหน้า คะ

 :smiley_confused1:
96  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สลด “ครูพละ” กระหน่ำยิง “นร.ม.3” ดับสยองคาโรงเรียน ก่อนลั่นไกฆ่าตัวตายตาม เมื่อ: มกราคม 18, 2011, 11:27:58 am
สลด “ครูพละ” กระหน่ำยิง “นร.ม.3” ดับสยองคาโรงเรียน ก่อนลั่นไกฆ่าตัวตายตาม เซ่นรักต้องห้าม   

วันนี้  18 ม.ค.ผู้สื่อข่าวรายงานว่า    เมื่อวันที่ 17 ม.ค. ที่ผ่านมา พ.ต.ท.สุรศักดิ์ นามประเสริฐ สวส.สภ.ชัยบาดาล จ.ลพบุรี รับแจ้งมีเหตุยิงกันภายในโรงเรียนเขายายกะตา หมู่ 2 ต.ชัยนารายณ์ อ.ชัยบาดาล มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ จึงรุดไปตรวจสอบพร้อม พ.ต.อ.พรชัย พวงทอง ผกก. พ.ต.ท.ไพฑูรย์ ลายประดิษฐ์ รอง ผกก.สส. พ.ต.ต.นนทวรณ์ ศรีอินทร์ สวป. และนายมานะ อัครบัณฑิต ผอ.เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลพบุรี เขต 2 และเจ้าหน้าที่กู้ภัยพงไล้ 16 ลำนารายณ์ จุดเกิดเหตุอยู่บริเวณที่จอดรถ หลังอาคารเรียนไม้ 2 ชั้น เจ้าหน้าที่ต้องปิดกั้นพื้นที่ กันไม่ให้ครูและเด็กนักเรียนที่มามุงดู เหยียบย่ำทำลายหลักฐานในที่เกิดเหตุโดยไม่รู้ตัว

หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบ พบภาพสลดใจเป็นร่างไร้วิญญาณของ น.ส.ฟ้า (นามสมมุติ) อายุ 16 ปี นร.ชั้น ม.3 โรงเรียนดังกล่าว มีบ้านพักอยู่ใน อ.ชัยบาดาล นอนจมกองเลือดอยู่บนพื้นข้างรถจยย.ป้ายแดง โดยสวมชุดนักเรียน แต่ท่อนบนสวมเสื้อกันหนาวทับไว้อีกชั้น มีบาดแผลถูกกระหน่ำยิงด้วยปืนขนาด .38 เข้าที่ขมับซ้ายทะลุขวา 1 นัด ต้นแขนขวา 1 นัด ข้อมือขวา 1 นัด หน้าอกขวา 1 นัด และชายโครงขวา 1 นัด รวม 5 นัด นอกจากนี้ ยังมีผู้บาดเจ็บสาหัสอีก 1 ราย ถูกบรรดาครูช่วยกันนำส่งรพ.ชัยบาดาล ไปแล้ว คือนายบุญธรรม  บุญชื่น อายุ 49 ปี ครูสอนวิชาพละศึกษา โรงเรียนเดียวกัน อยู่บ้านเลขที่ 57 หมู่ 7 ต.โพธิ์ตรุ อ.เมือง จ.ลพบุรี ถูกยิงด้วยปืนขนาดเดียวกัน เข้าที่ขมับขวาทะลุซ้าย 1 นัด แพทย์พยายามยื้อชีวิต แต่ไม่สำเร็จ เสียชีวิตในเวลาต่อมา


จากการตรวจสอบในที่เกิดเหตุ พบปืนยี่ห้อโคลท์ ขนาด .38 ซุปเปอร์  ปลอกกระสุนปืน 9 ปลอก และหัวกระสุนปืน อีก 5 หัว ตกอยู่ ตำรวจจึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน ตำรวจสอบสวนเบื้องต้นทราบว่า น.ส.ฟ้า เป็นนักเรียนหน้าตาดี อาศัยอยู่กับยาย เพราะพ่อแม่ไปทำงานในจังหวัดอื่น ส่วน “ครูบุญธรรม” เพิ่งย้ายมาสอนที่โรงเรียนแห่งนี้ เมื่อช่วงเปิดเทอมที่ผ่านมา โดยก่อนเกิดเหตุขณะที่นักเรียนคนอื่นๆ กำลังเรียนหนังสืออยู่ในห้องตามปกติ จู่ๆ ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นหลายนัด จนตกอกตกใจกันทั้งครูและนักเรียน บรรดาคุณครูจึงวิ่งตามเสียงปืนมา จนพบ น.ส.ฟ้า นอนเสียชีวิตอยู่ ส่วนครูบุญธรรมยังนอนหายใจรวยระริน จึงรีบช่วยกันนำตัวส่งรพ. และแจ้งตำรวจ

เบื้องต้นตำรวจสืบสวนสอบสวนในทางลึก พบว่าสาเหตุน่าจะมาจากเรื่องชู้สาว ซึ่งทั้งคู่น่าจะมีความสัมพันธ์กันเกินกว่าครู และนักเรียน โดยเมื่อวันที่ 30 ธ.ค.53 ซึ่งเป็นช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ น.ส.ฟ้าได้หายตัวไปจากบ้านพัก คุณยายไล่สอบถามจากเพื่อนๆ ทราบว่า ครูบุญธรรมเพิ่งซื้อรถเก๋งคันใหม่ และชวน น.ส.ฟ้า ไปเที่ยวด้วยกัน คุณยายจึงไปแจ้งความเป็นหลักฐานไว้ที่โรงพัก ต่อมาเมื่อวันที่ 3 ม.ค.ที่ผ่านมา ครูบุญธรรมพา น.ส.ฟ้า กลับมาส่งที่บ้าน และได้พูดคุยเจรจากับคุณยายของ น.ส.ฟ้า เรื่องที่พาหลานสาวหายไป ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง คุณยายจึงเรียกค่าเสียหายเป็นเงินสด 4 แสนบาท โดยครูบุญธรรมนัดตกลงกันอีกครั้ง หลังเลิกเรียนในวันที่ 17 ม.ค.นี้

ทั้งนี้จากการประมวลเหตุการณ์ทั้งหมด ตำรวจเชื่อว่า ก่อนเกิดเหตุครูบุญธรรมน่าจะเรียก น.ส.ฟ้า มาพูดจาตกลงเรื่องปัญหาความรักต้องห้ามกัน โดยเฉพาะประเด็นเรื่องเงินค่าเสียหาย 4 แสนบาท ที่ครูบุญธรรมอาจยังหาไม่ได้ ซึ่งต้องไปพูดคุยกับคุณยายของ น.ส.ฟ้า หลังเลิกเรียนแล้ว แต่ครูบุญธรรมตกลงกับ น.ส.ฟ้า ไม่ได้ ทำให้เครียดหนักที่หาทางออกร่วมกันไม่ได้ สุดท้ายตัดสินใจใช้ปืนที่พกเตรียมมา กระหน่ำยิงลูกศิษย์สาวจนเสียชีวิต ก่อนจะใช้ปืนกระบอกเดียวกันยิงตัวตายตาม เพราะสำนึกผิดหรือกลัวความผิด และปิดชีวิตรักต้องห้าม อย่างไรก็ดี ตำรวจจะสอบสวนหาสาเหตุที่แน่ชัดอีกครั้ง

ที่มาข่าว
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=419&contentID=116076
97  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / Re: จิตปภัสสร เป็นเช่นไร เมื่อ: มกราคม 17, 2011, 02:06:49 pm
อ้างถึง
จริงอยู่ จิตจะมีสีอย่างหนึ่งมีสีเขียวเป็นต้น หรือจะเป็นสีทองก็ตาม จะอย่างใดอย่างหนึ่ง ท่านก็เรียกว่าปภัสสร เพราะเป็นจิตบริสุทธิ์. แม้จิตนี้ชื่อว่าบริสุทธิ์ เพราะปราศจากอุปกิเลส เหตุนั้น จึงชื่อว่าปภัสสร.

อรรถกถาส่วนนี้ ก็น่าสนใจ คะเพราะชี้แจงไว้ว่า จิตที่ผุดผ่อง ไม่มีสี แต่จิตไม่ผุดผ่อง มีสี

เรื่องสีจิต เคยฟังจากพระอาจารย์ หลายครั้งคะ

 :17: :17: :17:
98  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: ต่อไปนี้คุณผู้ชายที่ชอบ "ไข่แล้วทิ้ง" ผิดกฏหมาย คร้า..... เมื่อ: มกราคม 15, 2011, 02:50:18 pm
อ้างถึง
1.ผู้ชายและผู้หญิงต้องรับผิดชอบ ร่วมกัน แต่ต้องดูบริบทความเหมาะสมของแต่ละครอบครัว

2.ควรมุ่งเน้นมาตรการป้องกัน ด้วยการสร้างความรู้ความเข้าใจ เรื่องเพศศึกษาบทบาทความสัมพันธ์ของหญิงชาย

3. ควรเอาโทษผู้ชายทั้งทางแพ่งและอาญา  เช่น การจ่ายค่าเลี้ยงดู และพ่อแม่ของทั้งสองฝ่ายต้องมีส่วนร่วมรับผิดชอบในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วย และต้องกำหนดโทษแก่ผู้ชายที่ไม่รับผิดชอบให้มีโทษเท่ากับผู้หญิงที่ถูกจับ กรณีลักลอบทำแท้ง และควรมีกระบวนการพิสูจน์บุตรให้ชัดเจนก่อนนำไปสู่ ความรับผิดชอบทางกฎหมาย

4.ควรมีมาตรการที่แตกต่างกันระหว่างพ่อวัยเยาว์กับพ่อปกติ  โดยพ่อวัยเยาว์ใช้มาตรการทางสังคมที่ให้พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายมาร่วมแก้ไขปัญหา ส่วนพ่อที่ไม่ได้เป็นพ่อวัยเยาว์ หากปฏิเสธไม่รับผิดชอบ  และตรวจพิสูจน์แน่ชัดแล้วว่าเป็นบุตร  ควรถูกดำเนินการตามมาตรการทางกฎหมาย

5. ควรใช้มาตรการทางกฎหมายที่มีอยู่แล้วให้มีความเข้มงวดและมีประสิทธิภาพมาก ขึ้น เช่น กฎหมายรับรองบุตรที่เกิดจากผู้หญิงที่ไม่ได้สมรสกัน และ

6.บริบทอื่นๆที่ควรพิจารณาอย่างรอบคอบลึกซึ้ง

ที่จริงก็น่าจะมีผลการสำรวจมาแล้ว จึงสามารถสรุปได้ดังนี้ ก็สนับสนุนคะ เพราะไม่อยากเห็นเด็กถูกทำแ้ท้งกันอีกคะ

 ???
99  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / นิทานเซน : อารามที่งดงามที่สุด เมื่อ: มกราคม 13, 2011, 01:43:31 pm
นิทานเซน : อารามที่งดงามที่สุด



ในการแสดงธรรมครั้งหนึ่ง องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เทศนาถึงเรื่องราวหนึ่งไว้ว่า...
       
       มีกษัตริย์อยู่พระองค์หนึ่ง ต้องการที่จะบูรณะซ่อมแซมอารามแห่งหนึ่งในเมืองหลวง ดังนั้นจึงส่งคนไปเสาะหาช่างฝีมือที่มีความสามารถอย่างแท้จริง เพื่อที่จะมาซ่อมแซมอารามหลังนี้ให้งดงามอลังการที่สุด
       
       ปรากฏว่าได้เสาะหาพบกลุ่มคนที่มีคุณสมบัติในการรับงานนี้ 2 กลุ่ม กลุ่มแรกประกอบด้วยช่างฝีมือและจิตรกรที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองหลวง ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งคือพระสงฆ์เพียงไม่กี่รูป
       
       เนื่องจากกษัตริย์ทรงไม่แน่พระทัยว่าคนงานกลุ่มใดมีฝีมือสูงเยี่ยม กว่ากัน ดังนั้นจึงทรงมอบโอกาสให้ทั้งสองฝ่ายทำการแข่งขันประลองฝีมือ ด้วยการให้ทั้งสองกลุ่มทดลองไปบูรณะอาราม 2 หลังที่ตั้งอยู่ตรงข้ามกัน โดยแบ่งกันไปซ่อมแซมอารามกลุ่มละหลัง จากนั้นในอีก 3 วันข้างหน้า จะเสด็จไปตรวจสอบผลการซ่อมแซมด้วยพระองค์เอง
       
       ในการซ่อมแซมอารามครั้งนี้ ช่างฝีมือและจิตรกรเอกแจ้งความประสงค์ต่อกษัตริย์ เพื่อเบิกเอาสีสำหรับทาตกแต่ง รวมทั้งอุปกรณ์เพื่อทำงานฝีมือต่างๆ มากมาย ส่วนทางด้านพระนักบวชกลับขอเพียงผ้าขี้ริ้วและถังใส่น้ำสะอาดเท่านั้น
       
       สามวันผ่านไป กษัตริย์ได้เดินทางมาตรวจสอบฝีมือการซ่อมแซมวัดของคนงานทั้งสองกลุ่ม พบว่าอารามที่ซ่อมแซมโดยช่างฝีมือและจิตรกรนั้นถูกประดับตกแต่งอย่างวิจิตร บรรจง ระบายสีสันสอดสลับละลานตา กษัตริย์เห็นดังนั้นจึงพอพระทัยเป็นอันมาก และพยักหน้ายอมรับนับถือในฝีมือของช่างทั้งสอง
       
       จากนั้นกษัตริย์ทรงหันหลังไปทอดพระเนตรอารามอีกหลังหนึ่ง ซึ่งซ่อมแซมโดยเหล่าพระ ผลงานที่ปรากฏทำให้พระองค์ตะลึงงัน อารามที่เหล่าพระช่วยกันซ่อนแซมนั้นไร้ซึ่งสีสันฉาบทา เพียงแต่ ผนัง พื้น โต๊ะ เก้าอี้ บานหน้าต่าง และส่วนอื่นๆ ของอารามแห่งนี้ถูกเช็ดถูจนสะอาดสะอ้าน สะอาดเสียจนสิ่งของทั้งหลายในวัดต่างปรากฏสีสันที่แท้จริงในตัวเองออกมา อีกทั้งยังผ่านการขัดถูจนมันเงาดั่งกระจกจนสะท้อนสีสันของสิ่งอื่นๆ ออกมาพร้อมกัน ไม่ว่าจะเป็นสีของก้อนเมฆ หรือเงาของต้นไม้ที่พัดไหวอยู่ในสายลม กระทั่งสีสันของอารามที่ตั้งอยู่ตรงกันข้ามก็กลายมาเป็นส่วนประกอบหนึ่งใน เงาสะท้อน ที่ขับเน้นให้อารามหลังนี้งดงามเพิ่มขึ้น ส่วนอารามหลังนี้ ก็เพียงแต่ตั้งอยู่อย่างสงบเพื่อรองรับทุกสิ่งทั้งมวลที่กล่าวมา
       
       กษัตริย์ทรงพอพระทัยและซาบซึ้งในการซ่อมแซมอารามหลังนี้ยิ่งนัก ส่วนผลแพ้ชนะแม้มิได้กล่าวออกมา แต่ผู้คนล้วนทราบแน่แก่ใจ
       

ภาพจาก www.eastartwork.com
       
        ปัญญาเซน
       จิตใจของคนเราก็เป็นเช่นดังอารามหลังหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องอาศัยสิ่งอื่นใดภายนอกมาประดับตกแต่งให้งดงาม ขอเพียงชำระจิตใจให้สะอาดหมดจด เพื่อเปิดโอกาสให้ความงดงามที่อยู่ภายในนั้นได้ปรากฏออกมา
         
100  กรรมฐาน มัชฌิมา / กิจกรรมของ สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน / Re: อวยพรส่งท้ายปีเก่า 2553 และ ต้อนรับปีใหม่ 2554 กันเถอะคร้า.... เมื่อ: ธันวาคม 29, 2010, 06:11:15 pm




101  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: 2013 ระบบสุริยะวิปริต อวสานโลก? ( เรื่องข่าวแบบนี้ชอบอ่านไหมคร้า.. ) เมื่อ: ธันวาคม 28, 2010, 04:29:42 pm
อ่าน ๆ ก็มึน เหมือนกันคะ ไม่ทราบว่าข้อมูล ทางวิทยาศาสตร์ มีอะไรเป็นเครื่องวัดได้เป็นอย่างนั้นคะ

เช่นกล่าวว่า พระอาทิตย์จะเปลี่ยนแกน ทุก 111 ปี มีบันทึกกันไว้อย่างไร หรือ แค่เป็นการคาดคำนวณ

ตอนนี้ บรรดาผู้มีความรู้ทั้งหลาย พยายามปล่อยเรื่องที่โลกถูกทำลายออกกันมามากจริง ๆ คะ ต้องการ

ให้เกิดภาวะ อะไรในจิตใจของคนทุกคน

   อะไรมันจะเกิด ก็ต้องเกิด อะไรมันจะดับ ก็ต้องดับ ทุกสิ่งเป็นปัจจัยที่เนื่องซึ่งกันและกัน ไม่ใช่หรือคะ

ขอบคุณ เจ๊หมวย ที่โพสต์ให้อ่านคะ

  :08:
102  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / Re: แฟนบอกเลิกเพราะมีลูกแล้ว เมื่อ: ธันวาคม 28, 2010, 04:18:42 pm
กระจกสองด้านคะ ปัญหาอย่างนี้ ต้องดูกระจกสองด้านด้วย

  1. ต้องสำรวจที่ตัวเราด้วยนะคะ ว่าตัวเรานั้นมีข้อบกพร่อง ที่ตรงไหนบ้าง

      รวม ๆ 3 อย่างคะ

       1. รูป เช่นอ้วนขึ้นหรือป่าว แก่ลงจากเดิมมากหรือไม่ สุขภาพถดถอย เป็นต้นคะ

       2. นิสัย ดีด้วยหรือป่าว บางทีเรา ขี้งอน ขี้บ่น ขี้จุ๊ เป็นต้น

       3. ทำบุญบ้างหรือป่าว คือ บุญเก่าหมดแ้ล้ว ไม่มีบุญส่งเสริมอีก

  2. ต้องสำรวจที่ตัวผู้ชาย ว่าเขาเป็นอย่างไร

       1. อายุน้อยกว่าเรา ไม่ยอมรับคนแก่ กว่าต่อหน้าสังคม เป็นต้น

       2. เขากำลังมีคนใหม่ เป็นต้น

       3. ลูกของเราอายุเท่าไหร่ เป็นเด็กผู้ขายใช่หรือป่าวคะ เป็นต้น

  ต้องวิเคราะห์ หลายอย่างคะ

  :smiley_confused1:

103  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / มีหลักฐาน หรือป่าวคะ ว่าผู้สวด คาถาโพชฌงค์แล้ว หายป่วย นอกจากพระอรหันต์... เมื่อ: ธันวาคม 17, 2010, 11:05:45 am
คือสงสัยเวลาไปถามพระคุณเจ้า ที่วัดท่านบอกให้สวดโพชฌงค์ เดี๋ยวก็หายป่วย

แต่มองท่านเอง ก็ป่วยอย่างมาก ท่านยังต้องไป โรงพยาบาลฉันยาเลย ทำให้อดสงสัยไม่ได้..ว่า

บทโพชฌงค์ นี้มีใครเคยสวดแล้วหายป่วยได้จริง อยากให้ท่านผู้รู้ทั้งหลายช่วยแสดง

หลักฐาน ข้อมูล อ้างอิงประกอบ ได้หรือป่าวคะ

ว่า ปุุุถุชน อย่างพวกเรานั้นก็สามารถ สวดบทโพงฌงค์ แล้วหายป่วยได้

มีหลักฐาน หรือป่าวคะ ว่าผู้สวด คาถาโพชฌงค์แล้ว หายป่วย นอกจากพระอรหันต์...

 :25: :25: :25:
104  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / โจรเดี๋ยวนี้ ขโมยแม้แต่ มาตรน้ำ ( เชิญดูสิคะ ) เมื่อ: ธันวาคม 13, 2010, 12:26:56 pm
โจรมิเตอร์ป่วนหนักเมืองรถม้า

โจรมิเตอร์ป่วนหนักเมืองรถม้า ตร.เข้มร้านของเก่า-ต้องแจงที่มามาตรน้ำ

ลำปาง - พ.ต.อ.พิทักษ์ นาสมวาส ผกก.สภ.เมืองลำปาง เปิดเผยว่า ขณะนี้มีหนังสือร้องเรียนที่ชาวบ้านบรรยายถึงความเดือดร้อนที่กำลังได้รับ มาที่สภ.เมืองลำปางจำนวนมากคือกรณีถูกคนร้ายลักขโมยมิเตอร์น้ำ หรือมาตรวัดน้ำ จากบ้านเรือนทำให้ผู้เสียหายต้องไปติดต่อกับสำนักงานประปา เพื่อขอติดตั้งมาตรน้ำอันใหม่ เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอีกถึง 800 บาท เป็นการซ้ำเติมประชาชนที่ลำบากอยู่แล้วต้องมาเสียเงินเสียทอง

พ.ต.อ. พิทักษ์ กล่าวว่า หลังเกิดเหตุตนได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ออกตรวจสอบร้านรับซื้อของเก่าภายใน ตัวเมืองลำปางที่มีอยู่กว่า 20 ร้าน ว่ามีการรับซื้อมิเตอร์น้ำ สายไฟฟ้าที่เป็นม้วนขนาดใหญ่ หรือหัวนอต ที่ถูกถอดออกจากเสาไฟฟ้าแรงสูงเอาไว้หรือไม่ หากรับซื้อไว้เจ้าของร้านต้องนำสมุดควบคุมบัญชีการซื้อขาย มาแสดงให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบด้วย หากร้านใดไม่มี หรือไม่ให้ความร่วมมือ ก็จะดำเนินคดีโดยการเปรียบเทียบปรับ วงเงินครั้งละ 1,000-2,000 บาท ไม่มีการละเว้นอย่างเด็ดขาด เพราะถือว่าไม่ให้ความร่วมมือในการจัดระเบียบสังคม และหากร้านใดกระทำความผิดซ้ำซ้อนต่อเนื่อง ก็จะต้องตรวจจับอย่างต่อเนื่อง และเปรียบเทียบปรับเพิ่มขึ้นไปอีก

ผกก.สภ.เมืองลำปาง กล่าวต่อไปว่า ในส่วนของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ออกปฏิบัติหน้าที่เข้าตรวจค้นร้านค้าหรือบ้าน เรือนประชาชน จะต้องแสดงกิริยามารยาทอย่างสุภาพไม่พูดจาข่มขู่คุกคาม ทำงานอย่างตรงไปตรงมา และหากพบว่าปล่อยปละละเลยไม่ดำเนินการกับเจ้าของร้าน หากตนตรวจพบทีหลัง ตำรวจชุดนั้นต้องเจอโทษสถานหนัก

ที่มา

http://lampangnhanews.board.ob.tc/-View.php?N=16

ข่าวสดรายวัน
วันที่ 04 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
105  กรรมฐาน มัชฌิมา / ธรรมะสัญจร / ร่วมปฏิบัติธรรม ที่วัดสังฆทาน เมื่อ: ธันวาคม 08, 2010, 10:38:30 am




106  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / “ พ่อของฉัน ” เมื่อ: ธันวาคม 04, 2010, 11:27:39 am
พ่อของฉัน
แบ่งปัน

  “  พ่อของฉัน  ”

 

                        ถ้าจะให้พูดถึงผู้ให้กำเนิดในที่นี้ ทุกคนคงทราบกันดีอยู่แล้ว ว่านั้นคือ พ่อและแม่ผู้ที่ให้ทั้งชีวิต ไม่ว่าจะเป็น ความรัก เฝ้าฟูมฟัก ถนุถนอม คอยพร่ำสอนให้เราเป็นคนดี  เป็นดั่งร่มโพธิ์ร่มไทรให้กับลูก ๆ ท่านเปรียบเสมือนพระในใจของลูก ไม่ว่าทุกข์หรือสุขท่านคอยอยู่เคียงข้างเราเสมอ  คอยห่วงใยเราไม่เคยห่าง  โดยไม่หวังผลตอบแทนใด ๆ

                        ถ้าจะให้ลำดับความสำคัญของท่านทั้งสอง เราคงหาสิ่งใดมาเปรียบเทียบไม่ได้ เพราะว่าท่านทั้งสองคนมีบทบาทความสำคัญเท่า ๆ กัน ถ้ายังงั้นฉันจะขอพูดถึงบทบาทของพ่อฉันแล้วกันนะค่ะ  สมัยก่อนฐานะทางบ้านฉันค่อนข้างยากจน ข้าวสารแทบจะไม่มีกรอกหม้อก็ว่าได้ พ่อของฉันนั้นหน้าตาเป็นอย่างไรฉันก็ไม่สามารถจะอธิบายได้ เพราะว่าความทรงจำของฉันกับพ่อนั้นแทบจะไม่มีเลย  อีกทั้งยังไม่เคยได้ทดแทนบุญคุณของท่านเลย  ถ้าแม่และพี่ ๆ ไม่เล่าให้ฉันฟัง ฉันก็คงจะไม่รู้ เพราะว่าพ่อจากฉันไปตั้งแต่ฉันอายุได้ 5 ขวบ ส่วนน้องสาวของฉันอายุเพียง 2 ขวบเท่านั้น ครอบครัวของฉันมีพี่น้องด้วยกันทั้งหมด 6 คน แม่และพี่  เล่าให้ฉันฟังว่าพ่อของฉัน จากไปด้วยโรคมะเร็งลำไส้  เนื่องจากที่พ่อต้องอดทนทำงานทุกอย่าง เพื่อแลกกับข้าวสารมาจุนเจือครอบครัว จนลืมดูแลสุขภาพของตัวเอง อดบ้างอิ่มบ้างต้องรับจ้างทำงานทุกอย่าง  ที่พอจะทำได้เพื่อแลกกับการที่ลูกทุกคนไม่อด  โดยไม่คำนึงถึงตัวเองว่าจะลำบากสักแค่ไหน  งานหลักของพ่อคือรับจ้างเลี้ยงวัวให้กับนายตำรวจคนหนึ่ง  แต่ในช่วงนั้นพ่อบ่นว่าเจ็บปวดท้องอยู่บ่อย ๆ  แต่ก็อดทนไว้เพราะไม่อยากให้แม่และพวกเราเป็นห่วง เพราะถ้าพ่อเป็นอะไรไปคงจะลำบากมากกว่านี้ รูปร่างพ่อไม่ค่อยอ้วนหนักเพราะทำงานหนัก ร่างกายผ่ายผอม ระหว่างนั้น พี่ทั้ง 4 คน เริ่มจะรู้เรื่องกันบ้างแล้ว  พ่อก็คอยพร่ำสอนให้พวกเราเป็นคนนดี  ห้ามลักเล็กขโมยน้อย  ห้ามพูดปด  ให้เคารพผู้ใหญ่ไปลามาไหว้  รู้จักรักและสามัคคีกันให้เอาใจใส่ซึ่งกันและกัน  ด้วยความที่พ่อมีลูกมาก อย่างที่เขาว่า “ มีลูกมากมักยากจน ”  แต่พ่อก็ไม่เคยบ่นเลยกับการที่มีลูกหลายคน แต่ยิ่งทำให้พ่อมีความสุขกับลูกๆ ในสมัยนั้นการจะเรียนหนังสือก็ยากลำบาก พ่อเลยตัดสินใจ พาพี่ชายทั้งสองคนไปบวชเรียนเพื่อหาวิชาความรู้  ใจจริงแล้วพ่อไม่อยากให้ลูก ๆ แยกจากกันเลย  แต่พ่อบอกว่าถ้าไม่ทำอย่างนี้ก็จะไม่มีความรู้ติดตัว  ส่วนพี่สาวทั้งสองคนพ่อก็ไปร้องขอกรมประชาสงเคราะห์คนยากไร้ที่ตัวจังหวัด เพื่อให้พี่สาวไปเรียนที่นั้น แต่ยังไม่ได้ดำเนินการอะไร  พ่อก็ล้มเจ็บลงก่อนแล้วก็ทรุดลง  ผลที่ออกมาคือพ่อเป็นมะเร็งลำไส้ระยะสุดท้ายแล้ว  ไม่สามารถที่จะรักษาได้นอกจากผ่าตัดเท่านั้น  มีสิ่งหนึ่งที่ฉันพอจะจำได้คือ  แม่ร้องไห้หนักมากร้องทุกวันทุกคืนด้วยความที่กลัวว่าพ่อจะจากไป แต่ในขณะนั้นอาการของพ่อหนักมากและค่าใช้จ่ายก็สูง ประกอบกับที่เราไม่มีเงินกันเลย  แต่ก็โชคดีที่นายอำเภอยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ  เพราะเห็นว่าฐานะทางครอบครัวของพ่อลำบาก โดยขอเป็นผู้ดูแลค่าใช้จ่ายในการรักษาทั้งหมด  ช่วงนั้นเป็นช่วงวิกฤตสุด ๆ  พวกเราหวั่นใจกลัวว่าพ่อจะจากไป  จากนั้นนายอำเภอก็ทำเรื่องส่งตัวพ่อไปผ่าตัดที่โรงพยาบาลที่จังหวัดพิจิตร  ก่อนที่จะถูกส่งตัวไปพ่อขอกลับมาเจอลูก ๆ ก่อนพ่อต่อสู้กับความเจ็บปวดเพื่ออยู่กับลูกๆ แต่พ่อก็ไม่เคยแสดงความเจ็บปวดให้แม่กับลูก ๆ ได้เห็นเลย  ก่อนพ่อไปพ่อบอกกับลูก ๆ  ว่า  “ เป็นพี่น้องกันต้องรักและสามัคคีกัน  อย่าทิ้งกันพ่อพูดกับแม่ว่าไม่ว่าจะลำบากสักแค่ไหนก็อย่าให้ลูกกับใครนะและ พยายามให้ลูกได้เรียนหนังสือกันทุกคน ” นั้นคือคำขอสุดท้ายของพ่อ  ซึ่งอยู่กับลูกๆได้แค่ 3 วัน เขาก็มารับตัวพ่อไปผ่าตัดที่โรงพยาบาลจังหวัดพิจิตร  ตอนนั้นพ่อนอนรอรับการผ่าตัดแต่ก็ไม่ทัน  แล้วพ่อก็จากไปอย่างสงบ  งานศพของพ่อถูกจัดอย่างเรียบ ๆ คนมาร่วมงานของพ่อเยอะมากเพราะว่าพ่อเป็นคนดี  ชอบช่วยเหลือคนโดยไม่หวังผลตอบแทน  มีหลายคนร่วมเป็นเจ้าภาพในการจัดงานให้พ่อ  ตลอดจนถึงวันเผาทุกคนร้องไห้หนักมาก  นั้นคือสิ่งที่ฉันจำได้  หลังจากงานศพพ่อผ่านไปไม่ถึงเดือนแม่ก็รับบทบาทแทนพ่อ  พี่ชายทั้งสองก็บวชเรียน  ส่วนพี่สาว  2  คน  ก็ได้เข้าโรงเรียนศึกษาสงเคราะห์ที่ตัวจังหวัดอย่างที่พ่อหวัง  ส่วนฉันนายอำเภอก็มาขอไปเป็นลูกบุญธรรม  ซึ่งตอนนั้นแม่อยากให้ลูกได้สบายจนลืมคิดถึงคำที่พ่อขอไว้จึงให้ไป  แต่ก็ไปอยู่กับเขาได้เพียง  2  วัน  แม่ก็ไปรับกลับและบอกกับเขาว่า “ ขอลูกให้ฉันคืนเถอะ ” พร้อมกับร้องไห้ แต่เขาไม่ให้  แม่บอกว่า   “ พ่อเขามาเข้าฝันฉันว่าอย่าให้ลูกกับใครไป ”  เขาก็เลยคืนลูกให้และบอกว่าถ้าเกิดมาช้ากว่านี้ ก็คงไม่ได้เจอเพราะฉันจะไปอยู่กรุงเทพ ฯ แล้ว   แม่ดีใจมากที่ได้ฉันคืนมาและรู้สึกโมโหตัวเองมากที่ทำผิดต่อพ่อ  ต่อจากนั้นแม่ก็พาฉันไปสมัครเรียนพร้อมกันกับน้อง  คนอื่น ๆ  เขาซื้อหนังสือเรียน  แต่ฉันกับน้องต้องยืมเรียนแต่ฉันไม่เคยอายเลย  และตั้งใจเรียนให้แม่ได้ภูมิใจ  พอถึงวันพ่อ แม่ก็ไปเป็นพ่อแทน  เพื่อน ๆ  ต่างพากันหัวเราะเยาะที่ฉันไม่มีพ่อ  แต่ฉันไม่เคยสนใจเพราะคิดว่าแม่กับพ่อก็มีความหมายเหมือน ๆ  กัน  แทบจะไม่มีใครเป็นที่หนึ่งหรือที่สองด้วยซ้ำไป

                        ปัจจุบันนี้แม่ของฉันที่เปรียบเสมือนพ่อไม่ได้ทำงานหนักเหมือนแต่ก่อนแล้ว  พวกเราทุกคนได้เรียนจนจบ  ถึงแม้จะลำบากขนาดไหน  อาจจะไม่ได้จบสูงมากนัก แต่พวกเราก็ดีใจที่ทำตามคำขอของพ่อ  ที่อยากให้พวกเราได้เรียนหนังสือ  และพวกเราก็ดูแลแม่เป็นอย่างดี  อาจจะไม่ได้ร่ำรวยยมากมาย  แต่พวกเราก็รักและภูมิใจในตัวของแม่ เสมือนว่าพ่อของเราอยู่กับเราตลอดเวลา  ในวันที่ฉันรับประกาศนียบัตรแม่และพี่ปลาบปลื้มใจมาก  มันอาจจะเป็นความภูมิใจเล็ก ๆ  แต่เราทุกคนก็มีความสุข   จนทำให้ฉันคิดถึงพ่อมาก  ๆ อยากให้พ่อมาร่วมแสดงความดีใจนั้น เลยเขียนบทกลอนนี้ขึ้นมาเพื่อ  “   พ่อของฉัน  ”  และร่ำลึกนึกถึงท่านอยู่เสมอ ๆ  ไม่เคยลืมพระคุณของท่านเลย

 

                        ความสำเร็จของฉันที่เรียนจบ                                   อยากพานพบคนที่ฉันนั้นเฝ้าหา

                        อยากจะรู้ว่าท่านอยู่แห่งใดนา                                   อนิจจาท่านไม่อยู่ร่วมดีใจ

                        พ่อของฉันจากไปไม่มีกลับ                                       ไปเลยลับไม่รู้ไปอยู่ไหน

                        โอ้พ่อจ๋าลูกคิดถึงแทบขาดใจ                                     พ่ออยู่ไหนโปรดรับรู้ว่าลูกรอ

                        อยากให้ลูกทุกคนที่ได้อ่าน                                        โปรดสงสารคนนี้ที่ขาดพ่อ

                        อยากให้รู้ว่ามันเจ็บเกินจะรอ                                    ปวดใจหนอที่เฝ้ารอพ่อกลับคืน

                        จงทำดีเท่าที่จะทำได้                                                   อย่าได้ให้ท่านเอ่ยและร้องขอ

                        โปรดให้เถอะความรักอย่ารีรอ                  ให้เพียงพอกับพระคุณ
107  กรรมฐาน มัชฌิมา / กิจกรรมของ สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน / การปฏิบัติธรรมที่ศาลากรรมฐาน วัดแก่งขนุน ในวันอาทิตย์ที่ 28 พฤศจิกายน 2553 เมื่อ: ธันวาคม 01, 2010, 06:17:38 pm
คุณปอง พระอาจารย์ (ตุ้ยนุ้ยกว่า) นะจ๊ะ

อนุโมทนากับการนัดรวมปฏิบัติ ธรรม ด้วยคะ
  :25:
108  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: จำแนกปลอม จำแนกจริง จำแนกอย่างไร ? เมื่อ: พฤศจิกายน 30, 2010, 10:33:25 am
ต้องทดสอบ ปฏิบัติ ดูก่อน ได้คะ เพราะธรรมะ นั้นไม่ต้องเสียทรัพย์

  ปฏิบัติภาวนานั้น ไม่ต้องใช้ เงินก่อน น่าจะไม่เหมืนอน้ำผึ้งคะ
 :25:
109  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / โรงงานชำแหละงู คะ เมื่อ: พฤศจิกายน 25, 2010, 11:21:57 am







110  กรรมฐาน มัชฌิมา / กิจกรรมของ สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน / Re: ประกาศ อนุโมทนา บุญกุศลเรื่อง กิจกรรมการเผยแผ่เว็บ www.madchima.org เมื่อ: พฤศจิกายน 12, 2010, 11:57:48 am
ติดตาม ที่บ้าน จะฟัง RDN ช่วงเวลา 19.00 - 20.30 น. คะ หนูชอบคะ

เป็นกำลังใจให้ทีมงาน จัดทำต่อไปนะคะ
 :58:
111  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / นำข้อธรรม ดี ๆ มาฝากทุกคนคะ เมื่อ: พฤศจิกายน 10, 2010, 11:08:15 am

คนส่วนใหญ่ไม่มีปัญหาเรื่องการได้ยิน...แต่มักมีปัญหาการฟังให้เข้าใจ
คนส่วนใหญ่ไม่มีปัญหาเรื่องการเรียน...แต่มักมีปัญหาเรื่องการรู้ให้จริง
คนส่วนใหญ่ไม่มีปัญหาเรื่องการเปล่งเสียง...แต่มักมีปัญหาเรื่องการพูดให้ เข้าหูคน


๐ ธรรมแท้ ๆ ! เป็นกลาง ๆ ..
ใคร ? ปล่อยวางได้..ก็.."สบาย"

๐ ธรรมแท้ ๆ ! ไม่มี..สู้!..ไม่มี..หนี!
เพียงแต่..ดู-รู้-ตรง "ปัจจุบัน" นี้
แล้วก็..ปล่อยไป..เท่านั้นเอง!

๐ น้ำไม่ไหล! ขังไว้..ย่อม..เน่า ฉันใด!
จิตที่..รู้เรื่องอะไร ? แล้วไม่ยอมปล่อย
ย่อม "ทุกข์" ฉันนั้น..


Fwd mail
112  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / Re: ลูกบอกว่าไม่รักแต่ขอเงินบ่อยๆและมากๆทำไงดี เมื่อ: พฤศจิกายน 06, 2010, 12:14:18 pm
ก็ถ้าบอกไม่รัก จากปากแล้ว ขอเงิน ก็ไม่ต้องให้ก็ได้นี่คะ

ลูกบอกไม่รัก เพราะอะไรหรือคะ ....

ต้องมีเรื่อง เกริ่นให้ฟัง สักหน่อย นะคะ สั้นๆ แบบนี้ เหมือนบ่นมากกว่าคะ ....

เพราะ ถ้าบอกไม่รัก อย่างแถวบ้านหนู ก็มี แม่ หย่า กับพ่อ แล้วไปแต่งงานงานใหม่ ...ลูกไม่เอาด้วยกับพ่อใหม่

ก็ออกจากบ้านไปอยู่กับ พ่อเก่า และก็หันหลัง ให้กับแม่... เป็นต้น

อ่านแล้วอย่างนี้ ยังตอบอะไรไม่ได้มากหรอก คะ เพราะเล่าเรื่องมาหน่อย

ว่าแต่ ป้าหมวย ทราบรายละเอียด ก็ลงต่อด้วยนะคะ

 :13:
113  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / Re: แนะนำให้อ่านบทความในหน้าหนึ่ง "ศาสนาเสื่อม หรือ คนเสื่อม" เมื่อ: พฤศจิกายน 04, 2010, 12:37:35 pm
ช่วงนี้ในหน้าบทความ มีการอัพเดท ติดต่อกันมาสามวันแล้ว เมื่อก่อนไม่ค่อยมีอัพเดท คะ

อาจจะเป็นเพราะทีมงานไม่มีเวลาว่างมาทำ คิดว่าผู้อัพเดท น่าจะเป็นพระอาจารย์ คะ

 :25:
114  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / นิพพานอยู่แล้ว เมื่อ: ตุลาคม 27, 2010, 07:49:14 pm
นิพพานอยู่แล้ว
:


    โดย... หลวงพ่อโพธิ์ศรีสุริยะ เขมรโต วัดร่มโพธิธรรม จังหวัดเลย

    ไม่ใช่การคอยติด การคอยหลุดอยู่แล้ว นั่นแหละ “ไม่อยู่แล้ว” มันก็ไม่ของมันเอง ไม่วุ่นวายไปเอง ไม่ยุ่งของมันไปเอง ไม่หลงจริง ไม่หลงเท็จไปเสียเอง ก็คือไม่อยู่แล้ว จะใช่ ไม่ใช่ ตัดทิ้งไปเลย ไม่ต้องไปค้นหา อะไร เป็นอะไร ก็ตัดทิ้งไปเลย ไม่ต้องไปถามหา มันก็ไม่เป็นเหตุ เป็นผลของมันอีก จบเลย ไม่ใช่เป็นการคอยติด คอยหลุดอะไร ไม่ใช่ จบเลย ไม่ต้องไปคอยปรับปรุง คอยเปลี่ยนแปลง ไปแก้ไขแบบไหน อย่างไร ไม่ต้อง เพราะฉะนั้นที่มีกายธาตุ จิตธาตุ มีแบบไม่ยึดติดอยู่แล้ว ไม่ใช่สิ่งยึดติดอยู่แล้ว มันไม่ยึด มันไม่ติด อยู่แล้ว



    ธรรมชาติที่มันไม่ยึดอยู่แล้ว ก็สมดุลโดยธรรมชาติของมัน ไม่ไปมัวคอยหลง คอยต่อ คอยเสริม ไปเพิ่มอะไรให้มันยุ่งไปเสียเอง มันก็ไม่อยู่แล้วทั้งหมด มันไม่ใช่การยึดติดอยู่แล้ว ถึงจะมี ถึงจะเป็น มันก็เป็นแบบไม่ยึด ไม่ติดอยู่แล้ว อนิจจังอยู่แล้ว ไม่ใช่การยึดติดอยู่แล้ว มันไม่ใช่ที่ความสาละวนเข้าไปคอยเพิ่ม หรือไปคอยลด-คอยเพิ่ม มันเป็นความหลงสาละวน หรือว่าหลง หลงสาละวนไปเอง



    ไม่รู้ว่าตรงต่อไม่ตลอด ตรงต่อความเป็นจริงว่า “ไม่อยู่แล้ว” จริงๆ ไม่ต้องไปคอยติด ไม่ต้องไปคอยหลุด ซ้อนลงไปอีก ไม่ต้อง ไม่ต้องมัวไปผูก ไปแก้ ซ้อนลงไปอีก เข้าไปคอยผูก คอยแก้ ยิ่งเป็นเงื่อน เป็นปม เป็นแง่ เป็นมุม เป็นเหตุ เป็นผล ไปหน้าเรื่อยบานปลาย ไปหน้าเรื่อย เหมือนว่าไปคอยเริ่ม สร้างเหตุเป็นเสียเอง จริงๆ ไม่ๆ อยู่แล้ว ว่าง อยู่แล้ว “ไม่” อยู่แล้ว ไม่ใช่ตรงที่อะไรอยู่แล้ว ไม่อยู่แล้ว ว่างอยู่แล้ว ก็ปล่อยเลย ตัดทิ้งไปเลย ไม่ต้องไปคอยห่วง คอยติด คอยหลุดอะไร คอยติด คอยหลุดอย่างไร ไม่ต้องไปคอยห่วง ตัดทิ้งไปเลย ไม่ต้องห่วง มันก็ตรงต่อที่มันไม่ของมันอยู่แล้วจริงๆ



    “ไม่อยู่แล้ว” นิพพานอยู่แล้ว ไม่ยึดอยู่แล้ว ไม่ใช่การยึดติดอยู่แล้ว “ไม่อยู่แล้ว” นิพพานอยู่แล้ว ไม่ใช่อะไรอยู่แล้วไง นิพพานไม่ใช่อะไร ก็ไม่ใช่อะไรอยู่แล้ว ไม่ห่วง แม้กระทั่งปัญญา ไม่ห่วง แม้กระทั่งความเข้าใจ ไม่ห่วง แม้กระทั่งการรู้ ไม่ไปคอยผูก ไม่ไปคอยแก้ ไม่ไปคอยเพิ่ม ไม่ไปคอยลด ให้มันยุ่งไปเสียเอง นี้ไม่ห่วง ไม่เกี่ยวเข้าใจ ไม่เข้าใจ ตัดไปเลย คือไม่อยู่แล้วจริงๆ ว่างอยู่แล้วเอง ไม่ไปคอยเพิ่ม ไม่ไปคอยลดอะไร ไม่พยายามหลุดจากอะไร อะไรหลุดจากอะไร ทุกอย่างคือการไม่ยึดติดอยู่แล้ว จะเอาอะไรไปหลุดจากอะไร ยิ่งไปคอยยึดติด ยิ่งไม่ใช่ใหญ่ ติดก็ไม่ต้องติด หลุดก็ไม่ต้องหลุด ตรงที่สุด ตรงต่อความไม่ยึดติดที่สุด ตรงต่ออนิจจังอยู่แล้วที่สุด ตรงต่อไม่อยู่แล้ว ตรงต่อนิพพานอยู่แล้วที่สุด



    ทุกอย่างไม่ต้องไปคอยหลุดอีก “มันไม่ยึดอยู่แล้ว” มันไม่ต้องไปคอยหลุดอีกทุกอย่าง จะตรงต่อนิพพานอยู่แล้วที่สุด เราคอยไปหลุด ก็หลงขึ้นมาอีก หลงไปคอย หลงเป็นตัณหา หลงๆๆ หลงดิ้นรนไปเสียเอง เพราะฉะนั้นไม่ต้องพูดเลยว่าไปทำอะไรมัน ไปทำจิตแบบไหนนี้ไม่เกี่ยวเลย เข้าไปทำมัน เหมือนกับเด็กเล่นอยู่นั้นแหละ เล่นจิต เล่นวิญญาณ เล่นความรู้สึกนึกคิด เล่นอารมณ์ เล่นพฤติกรรมอยู่ มันก็เล่น เป็นของเล่น มันไม่เป็นการยึดติดอยู่แล้ว แล้วจะไปทำอะไร เหตุไปทำมันแบบไหน ทำเพื่ออะไร ทำตัวทำใจแบบไหน ทำเพื่ออะไร ทำเพื่อเป็นกรรมขึ้นมาอย่างนั้นหรือ



    ไอทำไปก็เป็นกรรมไป สร้างกรรมๆๆๆ ไอนี้ตัวใจไม่ต้องไปทำมันอีกแล้ว ใจตรงต่อความเป็นจริงเท่านั้น ไม่ใช่การยึดติดอยู่แล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ยึดติดอยู่แล้ว โดยสภาพมันเองทั้งหมด ห่วง ก็ไม่ห่วงเลยในการที่ไปทำมันแบบไหน ทั้งตัว และใจ ก็ไม่ต้องไปห่วงเลยไปทำมันอย่างไร คือไม่ ก็ไม่อยู่แล้ว คือไม่ต้อง ไม่ต้องไป ไม่ มันไม่อยู่แล้ว โดยความเป็นจริง มัน “ไม่อยู่แล้ว” ไม่ต้องไปคอยไม่ คือ ไม่อยู่แล้วนั่นเอง หรือว่า ว่างอยู่แล้ว นี่ๆ มัวไปคอยทำแบบนั้น แบบนี้อยู่ก็เป็นวิบากอย่างหนึ่ง การตรงต่อความเป็นจริงแล้ว ก็ยังหลงเข้าไปกระทำมันแบบนั้น แบบนี้อยู่ มันก็วิบากนั่นแหละ เป็นความลำบาก เป็นวิบาก โดยสั่งสมการตอกย้ำมา คอยจะ คอยจ้องคอยตั้ง คอยอย่างนั้น อย่างนี้มาเรื่อยๆ กลายเป็นผลวิบากกรรมมา



    หลอน คอยจะอยู่เรื่อย คอยต้องอยู่เรื่อย มันหลอน วิบากหลอน ตีกลับ ไปคอยจะ ไปคอยต้องกับมันมากๆ มันก็เลยตีกลับ เลยกลายมาเป็น วิบากหลอน คอยจะอย่างนั้นอยู่เรื่อย คอยต้องอย่างนั้น คอยตั้งอย่างนั้นอยู่เรื่อย ทั้งๆ ที่ตรง การตรงต่อความเป็นจริงแล้ว ยังหลงจะ หลงต้องอยู่ ไอ “ไม่อยู่แล้วจริงๆ” ก็ไม่จริงๆ ไม่อยู่แล้ว ไม่ใช่การคอยติด ไม่ใช่การคอนหลุดอยู่แล้ว มันไม่อยู่แล้ว ไม่ใช่อะไรอยู่แล้ว ไม่เป็นทั้งกิเลส ไม่เป็นทั้งธรรมะ ไม่เป็นอะไรอยู่แล้ว ไม่อยู่แล้ว นิพพานอยู่แล้ว ไม่มามัวมาเห็นมันๆ ไม่มามัวห่วงดูมัน เห็นมันอยู่ ไม่ห่วง



    “ไม่อยู่แล้วๆ” มันตัดหมด โมหะในการเห็น โมหะในการรู้ โมหะในการเข้าใจ อะไร มันตัดหมด ก็มันไม่อยู่แล้ว มันไม่คอยอะไรเข้าใจอะไรอีกแล้ว ไม่ต้องเอาอะไรมาคอย ใช่ ไม่ใช่ อะไรกับอะไรอยู่แล้ว ไม่ ไม่มีมาค้นหาความเป็นจริงที่ไหนอีกต่อไปแล้ว ก็ไม่อยู่แล้วไง “ไม่อยู่แล้ว” ว่างอยู่แล้ว มันไม่มาคอยค้นหาความเป็นจริง อะไรจริง อะไรไม่จริง ไม่ต้องมาคอยเอ๊ะ คอยอ๊ะ คอยสงสัย คอยลังเลกับอะไร ก็ไม่อยู่แล้วไง มันไม่ใช่ต้องแบบไหนอยู่แล้ว มันไม่ต้องอยู่แล้ว มันก็ไม่มีอะไรมาคอยทำความเข้าใจ อะไรจะมาคอยรู้ เข้าใจอะไรอยู่ ไม่ ตัดหมด “อวิชชา” “วิชชา” ตัดหมดทั้ง อวิชชา วิชชา



    ไม่มีวิชชา อวิชชา, มีวิชชา อวิชชา มันตัดหมด ไม่อะไรอยู่แล้ว ไม่ใช่อะไรอยู่แล้ว อะไรแจ้งอะไรๆ อะไรเข้าใจในอะไร ไม่อยู่แล้วไม่มามัวคาวิชชาอยู่ ไม่มามัวคาความเข้าใจอยู่ นั่นแหละ ว่างอยู่แล้ว ก็ไม่ต้องดำเนินตัวไหนอีก ไม่ต้องคอยทำจิตอย่างไรอีก ไม่ต้อง ไปทำรู้ ทำเห็น ทำเข้าใจมัน ไม่ต้อง ไม่อยู่แล้วไง



    จริงๆ ก็ไม่อยู่แล้ว ไม่มีอะไรอยู่แล้ว มันก็จบ ไม่มามัวห่วง อะไรเข้าใจอะไร ไม่อย่างนั้นไปติดปัญญา ติดวิชชา-ติดปัญญา นั่นแหละไม่เป็นการคอยหลีก คอยหลบอยู่แล้ว อะไรต้องคอยติดอะไร อะไรต้องคอยหลุดอะไร ไม่ ไม่อยู่แล้ว................สาธุ......................
115  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / เวลาพ่อแม่ ทำบุญ เราได้บุญหรือป่าวคะ เมื่อ: ตุลาคม 27, 2010, 07:38:24 pm
ได้ยินว่า บุญ นี้สามารถ อุทิศส่งให้กันได้

ถ้าอย่างนั้น สมมุติ ถ้า พ่อ แม่ ของ หนู ทำบุญ แล้วอุทิศให้หนู ๆ ก็ตั้งได้รับส่วนบุญด้วยใช่ไหมคะ

ในทางกลับกัน พ่อ แม่ หนู ไม่ค่อยทำบุญ แต่ หนูชอบทำบุญ หนู อุทิศบุญนี้ให้พ่อแม่ ๆ ก็ไ้ด้รับบุญใช่ไหมคะ

ที่นี้ถ้า พ่อ แม่ เป็นผู้ทำสิ่งที่เรียกว่า บาป แล้วเราอุทิศส่วนบุญให้ พ่อแม่ยังจะได้รับ อีกหรือป่าวคะ

ทำไม บุญ จึงอุทิศให้กันได้ คะ


บาป นี้ อุทิศให้กันได้หรือป่าวคะ

 :25: :c017:
116  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: การทำน้ำมนต์ ปลุกเสก วัตถุมงคล ในสมัยพระพุทธเจ้า มีจริงหรือป่าว เมื่อ: ตุลาคม 22, 2010, 09:53:39 am
อ่านเสร็จ แล้วอยากสวดบ้างคะ

อนุโมทนากับเรื่องนี้
 :25: :25:
117  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: อานาปานสติ ปฏิสัมภิทามรรค เพื่อการภาวนา เมื่อ: ตุลาคม 22, 2010, 09:37:55 am
สนใจหนังสือ คะ ต้องทำอย่างไรคะ

 :25: :25:
118  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / Re: มีผู้หญิงที่เป็นพระอรหันต์ บ้างไหมคะ ในปัจจุบัน เมื่อ: ตุลาคม 14, 2010, 02:21:59 pm
อนุโมทนาคะ ที่ให้กำลังใจ

 :25: :25:
119  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / รณรงค์ อ่านกระทู้เก่า กันนะคะ วันนี้ เมื่อ: ตุลาคม 14, 2010, 02:18:16 pm
เนื่องด้วยขณะนี้ เรา เห็นว่า กระทู้มีมาก เพื่อน ๆ สมาชิกใหม่ และ เก่า คาดว่ายังอ่านกระทู้กันยังไม่หมด

เลยบางท่าน บางคนก็เลยไม่ได้มองเห็น คุณค่าของพระกรรมฐาน วันนี้คุณ Nagnjang ได้เป็นคนแรกมาช่วย

รื้อกระทู้เก่า ให้อ่าน เรา ก็เลยได้ทราบว่า มีเรื่องที่พระอาจารย์แนะนำในช่วงแรก ๆ นั้นมีมากทีเดียว

ซึ่งมีกระทู้ที่ตอบโจทก์ ได้เลยไม่ต้องถาม


     
120  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / Re: ความเมตตา ทำไมจึงเป็นเหตุให้พัฒนาเป็นความโกรธได้คะ เมื่อ: ตุลาคม 14, 2010, 01:54:59 pm
เพราะไม่ได้ค่อยอ่านเรื่อง เก่า ๆ เลยไม่รู้ว่าเรื่อง ดี ๆ ยังมีอยู่มากในเว็บบอร์ด

 :25: :25:
หน้า: 1 2 [3] 4