คุณฟ้าใสตั้งกระทู้ไว้สองห้อง(สอบถามปัญหาชีวิตและสนธนาธรรม) เป็นเรื่องเดียวกัน แต่ต่างกัน
ในรายละเอียด ผมขอแยกแยะพร้อมสรุปประเด็นเพื่อสะดวกในการสนธนา แบบนี้ครับ
๑. คุณฟ้าใสได้รู้จัก อุบาสกท่านหนึ่ง อ้างตัวเป็นศิษย์วัดพลับ แต่แนวการปฏิบัติที่คุณฟ้าใสได้ฟังจากอุบาสกคนนั้น คุณฟ้าใสคิดว่าไม่ใช่แนวของหลวงปู่สุก ซ้ำร้ายยังหาแนวปฏิบัติเองอีก และจากการสังเกตการพูดและสิ่งแวดล้อม คุณฟ้าใสคิดว่าเขาไม่ให้เกียรติครูบาอาจารย์ในสายกรรมฐานมัชฌิมาเลย
๒. คุณฟ้าใสโกรธเพื่อน ที่ไปให้ความสนใจกับอุบาสกท่านนั้น ไปสนใจเหล็กไหล โดยไม่ยอมมาหาพระอาจารย์สนธยาที่วัดแก่งขนุน และคิดว่าเพื่อนของคุณฟ้าใสหลงผิด
๓. คุณฟ้าใสเคารพและศรัทธาหลวงปู่สุก และคณาจารย์ในสายนี้มาก โดยเฉพาะพระอาจารย์สนธยา
ความเห็นในประเด็นข้อ ๑.คุณฟ้าใสครับ ไม่อยากให้ด่วนสรุปอะไรลงไปในเวลานี้ ที่สำคัญการตัดสินคนคนหนึ่งในทางพุทธศาสนาแล้ว ต้องดูที่จิตครับ คุณฟ้าใสต้องมี เจโตปริยญาณ และทิพยจักษุญาณ ครับ ถึงจะทราบว่าจิตของใครผ่องใสหรือบริสุทธิ์ระดับไหน การกระทำหรือคำพูดที่แสดงออกมาเป็นเพียงจริต นิสัย และวาสนาเท่านั้น
แต่ความจริงที่คุณฟ้าใสเห็นอยู่ต่อหน้าต่อตานั้น เป็นเหตุให้คิดในแง่ลบ หากผมอยู่ในเหตุการณ์เดียวกันกับคุณฟ้าใส ผมคงคิดแบบนั้นเหมือนกัน
โลกคือละครโรงใหญ่ หากทำตัวเป็นผู้แสดง คุณจะมองไม่เห็นตัวเองเลย อยากให้คุณฟ้าใสทำตัวเป็นผู้ดูละครบ้าง ถอยตัวเองออกมาเป็นคนดู จะเข้าใจในสถานกรณ์ต่างๆและเห็นตัวเองได้ชัดขึ้น
กรรมฐานมัชฌิมา สืบทอดมาจากพระราหุล พระพุทธเจ้าได้แต่งตั้งพระราหุลเป็นเอตทัคคะในทางผู้ใคร่ในการศึกษา อยากให้คุณฟ้าใสลองศึกษาหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าให้เข้าใจก่อน
มรรคมีองค์แปดที่อยู่ในอริยสัจ ๔ นั้น เป็นหนทางของการดับทุกข์ที่พระพุทธเจ้าทรงกำหนดไว้แล้ว
หากผู้ใดปฏิบัติตามมรรคมีองค์แปด ถือว่าผู้นั้นทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว
ความเห็นผมคือ หากใครปฏิบัติตามมรรคมีองค์แปดแล้ว ถือว่าคนนั้นปฏิบัติโดยชอบแล้วระดับหนึ่ง
ในเบื้องต้นเราเอามรรคมีองค์แปด ไปวัดคนได้นะครับ แต่ต้องใช้เวลาระยะหนึ่ง ต้องใจเย็นๆ
ความเห็นในประเด็นข้อ ๒.การที่คุณรู้สึกไม่พอใจ งอน จนถึงขั้นโกรธเพื่อนนั้น เหตุเกิดจากคุณตั้งแนวคิดว่า ต้องปฏิบัติตามแนวของหลวงปู่สุก หรือตามคณาจารย์ผู้สืบทอดกรรมฐานมัชฌิมาเท่านั้น การสนใจเรื่องเหล็กไหลเป็นสิ่งที่ไม่ควร
แต่คุณลืมไปว่า ความชอบ ความศรัทธา เป็นเรื่องของจริต นิสัย วาสนา ของแต่ละคน เราไม่สามารถทำให้คนอื่นคิดเหมือนเราได้ทุกเรื่อง
ผมไม่อยากเห็นคุณฟ้าใสโกรธเพื่อน ผมได้โพสต์บทความเรื่อง เหตุสมควร ไม่มีในโลก ไว้ในห้องนี้ ดูได้ตามลิงค์นี้เลยครับ
เหตุสมควรโกรธ...ไม่มีในโลกhttp://www.madchima.org/forum/index.php?topic=248.0พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า
“สัตว์ทั้งหลายที่เราเห็นกันด้วยตา นับแต่มด ยุง กบ เขียด แมว สุนัข
วัว ควาย มนุษย์ อย่างน้อยชาติหนึ่งเคยเป็นพ่อแม่พี่น้องกันในวัฏสงสารที่ยืดยาว ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาเคยรักกันเกลียดกันมาอย่างนี้จนทุกวันนี้ และต่อไปอีกหลายภพหลายชาติ ตราบเท่าที่ยังไม่บรรลุมรรคผลนิพพาน”เมื่อเป็นเช่นนี้ เราไม่ควรประมาท ทำใจให้สงบน้อมเข้ามาสู่ตน พิจารณาดูว่า มีใครบ้างที่เราอาฆาตพยาบาท ถ้ามีรีบให้อภัยอโหสิกรรมเสียแต่บัดนี้ อย่างน้อย ก็ชาตินี้ ก่อนตายจะได้ไม่ต้องเป็นคู่เวรคู่กรรมกันอีกต่อไป
คำว่า”หลงผิด” ที่คุณกล่าวถึงนั้น น่าจะหมายถึง “มิจฉาทิฐิ” อย่าไปกังวลกับคำนี้เลยครับ เนื่องจากคนที่มีสัมมาทิฐิสมบูรณ์ต้องเป็นพระอรหันต์เท่านั้น (รู้แจ้งแทงตลอดอริยสัจ) คนธรรมดาอย่างเรายังมีมิจฉาทิฐิอยู่เยอะครับความเห็นในประเด็นข้อ ๓.ความเคารพและศรัทธาในครูบาอาจารย์เป็นสิ่งที่ควรชื่นชม หากจะพูดไปไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เป็นเรื่องของบุญสัมพันธ์ ทั้งสองฝ่ายต้องเคยทำบุญร่วมกันมาก่อน หากคุณฟ้าใสคิดว่ามีความศรัทธาในพระอาจารย์สายนี้มาก ขอแนะนำให้เจริญสังฆานุสสติครับ จะช่วยเพิ่มสมาธิได้
ข้อคิดส่งท้ายคุณฟ้าใส สงสัยไหมว่า คำว่า “วาสนา” ที่ผมเอ่ยถึง มันหมายความว่าอะไร
ภาษาไทยนำมาใช้ในความหมายที่ว่า “อำนาจบุญเก่า”
แต่ในทางธรรมไม่ได้หมายความเช่นนั้น ในบาลีหมายถึง
“กริยาอาการต่างๆที่กระทำซ้ำๆจนเคยชินเป็นนิสัย”
ขอยกตัวอย่างในสมัยพุทธกาล พระสารีบุตรอัครสาวกเบื้องขวา
ได้รับนิมนต์ไปฉันท์ภัตตราหารพร้อมพระพุทธเจ้าและพระเถระอื่นๆ
ตามคำเชิญของอุบาสกท่านหนึ่ง ระหว่างทางเข้าบ้านของอุบาสกท่านนั้น
จะมีร่องน้ำเป็นระยะๆไป ทุกร่องน้ำจะมีสะพานเล็กๆเอาไว้เดินข้าม
พระพุทธเจ้าและพระเถระท่านอื่นๆได้ใช้สะพานเดินข้ามร่องน้ำไปตามปรกติแต่พระสารีบุตรหาได้เดินข้ามไปตามปรกติไม่ พระสารีบุตรใช้วิธีกระโดดข้ามร่องน้ำ
เจ้าของบ้านเห็นเข้าก็คิดในใจว่า พระเถระท่านนี้ช่างไม่สำรวมเสียเลย เราจักไม่ถวายผ้าให้พระเถระท่านนี้ เจ้าของบ้านเตรียมผ้าไว้ ๓ ผืนเพื่อถวายพระสารีบุตร พอพระสารีบุตรกระโดดข้ามร่องน้ำแรก ก็คิดในใจว่าเราจะถวายผ้าแค่ ๒ ผืน พอกระโดดข้ามร่องน้ำที่สอง ก็คิดอีกว่าเราจะถวายแค่ผืนเดียว
พอถึงร้องน้ำที่สาม เจ้าของบ้านก็คิดว่า หากพระสารีบุตรกระโดดข้ามร่องน้ำนี้อีก ก็จะไม่ถวายผ้าให้เลย แต่ปรากฏว่าพระสารีบุตรไม่กระโดดข้าม กลับเดินข้ามไปตามปรกติ
เจ้าของบ้านเกิดความสงสัยเป็นอย่างมาก อยากรู้ว่าทำไมไม่กระโดดข้าม จนได้โอกาสถามพระสารีบุตร
พระสารีบุตรตอบว่า “หากกระโดดข้ามรองน้ำที่สาม ก็จะไม่ได้รับผ้าเลย” พอเจ้าของบ้านได้ยินเท่านั้นเอง ก็ก้มลงกราบขอขมาพระสารีบุตร และได้ถวายผ้าทั้ง ๓ ผืนให้พระสารีบุตรคุณฟ้าใสครับ นิสัยชอบกระโดดของพระสารีบุตรนั้น ติดมาจากชาติก่อนๆที่เคยเป็นลิง
ชอบกระโดดจนเป็นนิสัย เลยติดมาในสมัยนั้น นิสัยชอบกระโดดนี้ เรียกว่า “วาสนา”ครับ
กล่าวกันว่า ระดับอรหันตสาวกไม่สามารถละวาสนาได้ มีแต่พระพุทธเจ้าเท่านั้นที่ละวาสนาได้
พระสารีบุตรยิ่งใหญ่ขนาดไหน คุณทราบไหมว่า พระพุทธเจ้าเคยตรัสสรรเสริญไว้ว่าอย่างไร
พระพุทธเจ้าตรัสว่า “มีสารีบุตรอยู่ทิศใด เหมือนมีพระพุทธเจ้าอยู่ทิศนั้น”
พระสารีบุตรยิ่งใหญ่ขนาดนั้น ยังละวาสนาไม่ได้เลย คนธรรมดาอย่างเราๆไม่ต้องพูดถึง
ฉะนั้น ถ้าเห็นใครแสดงกริยาอาการที่ขัดหูขัดตาเรา ก็อย่าไปใส่ใจนะครับ
วาสนามันละกันไม่ได้ คุณฟ้าใสเคยเห็นพระอรหันต์กินหมากไหมครับ
“สงสัยให้รู้ว่าสงสัย”