ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ตำนานการประสูติของพระพุทธเจ้า : มารดาแห่งโพธิสัตว์ "ยืนคลอดโพธิสัตว์"  (อ่าน 1024 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28469
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


ตำนานการประสูติของพระพุทธเจ้า

ปลายเดือนนี้ มีวันสำคัญของโลกคือ วันวิสาขบูชา ซึ่งเป็นวันประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานของพระพุทธเจ้า เพื่อให้เข้ากับบรรยากาศของวันสำคัญทางศาสนาเช่นนี้ เราจะมาว่ากันด้วยเรื่องที่มาที่ไปของตำนานการประสูติของพระพุทธเจ้าในคัมภีร์ของพุทธมหายาน ที่ว่ากันว่าพระองค์ประสูติออกมาจากพระปรัศว์ (สีข้าง) ของพระมารดา ซึ่งแตกต่างไปจากความเชื่อของชาวพุทธนิกายเถรวาท ที่ชาวไทยส่วนใหญ่คุ้นเคยกัน วันนี้คอลัมน์ไทยรัฐซันเดย์สเปเชียลโดยทีมงานนิตยสารต่วย’ตูน จึงขอพาแฟนานุแฟนไปดูตำนานเรื่องนี้กันครับ

เรื่องการประสูติของพุทธเจ้านั้นก็มีหลากหลายสำนวน จะขอยกมากล่าวกันสักหน่อย เป็นข้อมูลพื้นฐานเริ่มจากคัมภีร์ที่ทางเถรวาทเชื่อถือว่าเก่าแก่ที่สุด และเชื่อกันว่าพระพุทธเจ้าทรงตรัสเล่าเอง ซึ่งก็คือ พระไตรปิฎกนั่นเอง ในคัมภีร์กล่าวถึงการประสูติไว้ว่า

“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ! ข้อนี้ ข้าพระองค์ได้ฟังมาเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้จําเอามาแต่ที่เฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคเจ้า ว่า
    “ดูก่อน อานนท์! หญิงอื่นๆย่อมนั่งคลอดบ้าง นอนคลอดบ้าง ส่วนมารดาแห่งโพธิสัตว์ หาเป็นอย่างนั้นไม่, มารดาแห่งโพธิสัตว์ย่อมยืนคลอดโพธิสัตว์” ดังนี้.”
    (อัจฉริยอัพภูตธัมมสูตร อุปริ. ม.๑๔/๒๕๑/๓๗๒-๓-๔-๕-๖-๗.)


ภาพการประสูติตามตำนานฝ่ายเถรวาท.


จากความข้างต้น พระไตรปิฎกบาลีได้ให้ข้อมูลไว้ว่า พระมารดาของพระพุทธเจ้าทรงคลอดด้วยท่ายืน ด้วยเหตุนี้น่าจะเป็นต้นเค้าให้ คัมภีร์รุ่นต่อๆมาและส่งผลให้งานพุทธศิลป์ทั้งหลายให้ภาพพุทธประวัติตอนนี้เป็นท่ายืน แต่ในตอนนี้ยังไม่มีการคลอดออกมาจากพระปรัศว์แต่อย่างใด และน่าจะยังไม่มีความเชื่อเช่นนี้ในสมัยอินเดียโบราณ เพราะหลักฐานทางศิลปกรรมในช่วงนี้ไม่พบภาพพุทธประวัติตอนประสูติ แม้แต่ท่ายืนคลอดของพระนางสิริมหามายาก็ตาม แต่กล่าวกันว่า ท่าทางของนางยักษิณีเหนี่ยวกิ่งไม้ในสมัยนี้เป็นต้นแบบใ ห้ท่ายืนคลอดของพระนางสิริมหามายาในสมัยต่อมาครับ

ต่อมาเรามาดูคัมภีร์ของฝ่ายมหายานกันบ้างครับ นั่นคือ คัมภีร์มหากาพย์พุทธจริต คัมภีร์ลลิตวิสตระและคัมภีร์มหาวัสตุอวทาน อันเป็นกลุ่มคัมภีร์ที่แต่งขึ้นในช่วงพุทธศตวรรษที่ 6-9 อันเป็น สมัยที่ต่อมาจากสมัยอินเดียโบราณ คัมภีร์กลุ่มนี้ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า พระโพธิสัตว์ทรงประสูติออกมาทางพระปรัศว์ของพระมารดา

    @@@@@@

    “ครั้งนั้น ไม้มะเดื่อต้นนั้น ได้น้อมลงมาคำนับ ด้วยอานุภาพของพระโพธิสัตว์ พระนางมายาเทวีจึงเหยียดพระหัตถ์ขวา ปรากฏเหมือนสายฟ้าอันอยู่ในพื้นอากาศยึดกิ่งมะเดื่อแหงนมองอากาศที่มีน้ำฉ่ำทรงประทับยืนอย่างชดช้อย ครั้นแล้วนางอัปสร 60 แสนจากสวรรค์ชั้นกามาพจรเข้าไปเฝ้าทำการรับใช้ในที่ใกล้ๆพระนางเทวีในครั้งนั้น พระโพธิสัตว์อยู่ในพระครรภ์พระมารดาประกอบด้วยฤทธิปราติหารยเห็นปานนี้
    ครั้นครบ 10 เดือนล่วงไปแล้ว พระองค์ก็เสด็จออกจากพระปรัศว์ (สีข้าง) เบื้องขวาของพระมารดา ทรงมีสมฤติสัมปรชานะไม่เปรอะเปื้อนด้วยครรภ์มลทิน (สิ่งสกปรกในครรภ์) ไม่เหมือนคนอื่นบางคนที่เขาพูดถึงครรภ์มลทินของคนอื่น”

    (ลลิตวิสตระ อัธยายที่ 7 แสง มนวิทูร : แปล)

     “ในวนอุทยานอันงดงามนั้น พระมเหสีของพระราชาทรง ทราบพระประสูติกาลจึงเสด็จเข้าไปสู่พระแท่นบรรทมที่ประดับด้วยเพดาน (หลังคา) โดยมีนางสนมนับพันเฝ้าปรนนิบัติรับใช้จากนั้นขณะที่ดาวนักษัตรชื่อปุษยะ กำลังเปล่งประกาย พระกุมารก็ได้ประสูติจากพระปรัศว์ของพระเทวีผู้ทรงมีพระจริยวัตรอันบริสุทธิ์พระองค์นั้น เพื่อประโยชน์แก่ชาวโลก โดยไม่มีความเจ็บปวดและไม่มีโรคภัย”
     (มหากาพย์พุทธจริต สรรคที่ 1 สำเนียง เลื่อมใส : แปล)


ภาพโลกปุรุษะ สะท้อนแนวคิดเรื่องปุรุษะในฤคเวท.


    “...พระนางทรงเหน็ดเหนื่อยพระวรกาย จึงใช้พระพาหาเหนี่ยวกิ่งไม้ เหยียดร่างพอสบายในขณะที่จะให้กำเนิดพระกุมารผู้ทรงยศ......พระโพธิสัตว์ผู้มีสติสัมปชัญญะบริบูรณ์ทรงเคลื่อนออกทางพระปรัศว์เบื้องขวา โดยไม่ทำให้พระมารดาเจ็บปวดเลย...”
    (มหาวัสตุอวทาน สำเนียง เลื่อมใส : แปล)

จะเห็นว่ามหากาพย์พุทธจริตจะมีความแปลกอยู่อย่างหนึ่งคือ พระนางมายาไม่ได้ยืนคลอด กลับคลอดบนพระแท่นแทน แต่จุดสำคัญของคัมภีร์กลุ่มนี้คือ นับเป็นครั้งแรกที่ระบุว่า พระโพธิสัตว์ประสูติออกมาทางพระปรัศว์ ซึ่งพ้องกับงานพุทธศิลป์ในช่วงเวลาเดียวกันนี้ อย่างเช่น ศิลปะคันธาระ และศิลปะมถุรา ที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า พระพุทธเจ้านั้นทรงประสูติออกมาทางพระปรัศว์ ทำให้เชื่อได้ว่า คัมภีร์กลุ่มนี้มีผลต่องานช่างเป็นอย่างสูง และก็คงจะเป็นแบบอย่างในการเขียนพุทธประวัติรุ่นหลังต่อมาอีกด้วย ทั้งของฝ่ายมหายานเองและฝ่ายเถรวาท

@@@@@@

เป็นเรื่องที่น่าสนใจว่า นอกจากหลักฐานที่เป็นคัมภีร์พุทธแล้ว ยังพบมีบันทึกของบาทหลวงในศาสนาคริสต์ที่เล่าถึงเรื่องราวการประสูติของพระพุทธเจ้าด้วย ซึ่งมีอายุราวพุทธศตวรรษที่ 9 เก่าแก่ใกล้เคียงกับกลุ่มคัมภีร์พุทธมหายานข้างต้นเลยทีเดียว

บันทึกนี้มีชื่อว่า “Against Jovinianus” เขียนโดยนักบุญเยโรม (Jerome) มีความตอนหนึ่ง กล่าวถึงการประสูติของพระพุทธเจ้าไว้ว่า

     “ท่านผู้สถาปนาศาสนาผู้นี้ (พระพุทธเจ้า) ได้ประสูติออกมาจากสีข้างของหญิงพรหมจรรย์”
      (Against Jovinianus 1.42)

จะเห็นว่านักบุญท่านก็ยังมีความสับสนอยู่เหมือนกันอย่างเรื่องมารดาผู้บริสุทธิ์นั้น ท่านคงจะสับสนกับเรื่องพระแม่มารีหรืออย่างไรไม่ทราบ หรือท่านอาจฟังมาผิด เพราะคัมภีร์พุทธบรรยายว่าพระโพธิสัตว์ประสูติออกมาอย่างบริสุทธิ์สะอาดหมดจด ไม่ใช่พระมารดาเป็นหญิงพรหมจรรย์ แต่บันทึกนี้ก็นับว่า น่าสนใจทีเดียวที่นักบวชในศาสนาคริสต์ให้ความสนใจในเรื่องราวของศาสนาพุทธในยุคต้นๆนี้ด้วย


ภาพสลักพุทธประวัติตอนประสูติ.


อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีการบรรยายถึงตำนานการคลอดอันมหัศจรรย์เช่นนี้ ยังมีผู้ที่มีตัวตนในความคิดของชาวอินเดียที่ประสูติออกมาจากพระปรัศว์อยู่อีกคน ซึ่งท่านอยู่มาก่อนพุทธกาลซะอีกครับ

ซึ่งเมื่อพูดถึงการประสูติอย่างพิสดารมหัศจรรย์แล้ว ก็คงหนีไม่พ้นเหล่าทวยเทพทั้งหลายแล้วล่ะครับ ซึ่งเทพที่มีตำนานการกำเนิดที่หลากหลายที่สุดองค์หนึ่งก็คือ “พระอินทร์” นั่นเอง การกำเนิดของพระอินทร์ถูกบรรยายไว้หลายแบบ ทั้งแบบมีพ่อมีแม่ บ้างก็บอกว่าเกิดจากแม่โค หลังๆถึงขนาดว่าเกิดมาจากปากของปุรุษะเลยก็มี

   @@@@@@

    “พระจันทร์ได้กำเนิดขึ้นมาจากหทัยของพระองค์ จากพระเนตรของพระองค์ พระอาทิตย์จึงได้ถือกำเนิดขึ้น พระอินทร์และพระอัคนีได้ประสูติออกมาจากพระโอษฐ์ของพระองค์ และพระวายุได้มาจากลมหายใจของพระองค์”
    (ฤคเวท 10.90.13)

และมีการกล่าวถึงการกำเนิดอันแปลกประหลาดอยู่ตอนหนึ่งว่า พระองค์ประสูติออกมาทางพระปรัศว์ของพระมารดา ความตอนนี้ถูกกล่าวไว้ในคัมภีร์ฤคเวท อันมีความเก่าแก่มากที่สุดในบรรดาคัมภีร์ทางศาสนาของอินเดีย แน่นอนว่ามีมาก่อนพุทธศาสนาจะกำเนิดเกิดขึ้น ในคัมภีร์ฤคเวท มณฑลที่ 4 สูกตะที่ 18 มันตระที่ 1-3 ระบุความตอนหนึ่งว่า

นางยักษิณีเหนี่ยวกิ่งไม้ จากสถูปสาญจี ประเทศอินเดีย.


      “นี่คือเส้นทางอันเก่าแก่และเป็นที่ยอมรับ โดยเหล่าทวยเทพผู้ได้กำเนิดขึ้นมาด้วยเหตุนี้ ผู้หนึ่งอาจกำเนิดขึ้นมาแม้ในขณะที่เขามีกำลังอันมหาศาล อย่าได้ปล่อยเขา มิเช่นนั้น เขาจะสังหารมารดาของตน
       นี่มิใช่ทางที่ข้าจะออกมา มันยากที่จะผ่านได้ การออกมาทางพระปรัศว์ซึ่งข้าจะทำ หลายสิ่งยังไม่เสร็จสิ้น ข้าจะต้องทำให้สำเร็จ ข้าต้องต่อสู่กับสิ่งหนึ่งและปัญหาอื่นๆ
       ท่านได้มองลงบนพระมารดาที่กำลังจะสิ้นลม คำพูดของข้าบัดนี้ได้ถอนไปเสียแล้ว ข้าเดินไปตามเส้นทางนั้น สู่ที่พำนักของพระตวัษฏา พระอินทร์ทรงดื่มน้ำโสมนับร้อยที่ได้รับการคั้นแล้วจากหินบด”

จากประโยคข้างต้นจะเห็นได้ว่า ชาวอินเดียนั้นรู้จักตำนานการกำเนิดเช่นนี้มาก่อนแล้วตั้งแต่สมัยพระเวท ซึ่งมีอายุก่อนพุทธกาลราว 2,000-1,500 ปี และการกำเนิดอย่างอัศจรรย์เช่นนี้ ยังพบได้ในตำนานของสังคมอารยันอื่นๆ เช่น กรีกที่ว่าเทพีอธีนาประสูติออกมาจากเศียรของเทพซุสหรือเทพไดโอนิซุสที่ประสูติออกมาจากอูรุ (ต้นขา) ของเทพซุสนั่นเองครับ


พระอินทร์.


การเกิดจากพระปรัศว์จึงไม่ใช่ของใหม่ที่คิดขึ้นมาเพื่อใช้กับพระพุทธเจ้าโดยเฉพาะ หากแต่เป็นเพราะการคลอดเช่นนี้ ถูกประดิษฐ์ขึ้นเพื่อเสริมสร้างความอัศจรรย์สำหรับบุคคลสำคัญอย่างทวยเทพต่างๆ และส่งผลให้พระสงฆ์ในสมัยหลัง ผู้รจนาคัมภีร์พุทธประวัตินำตำนานเรื่องนี้ มาประกอบเข้ากับเรื่องราวของพระพุทธเจ้าอันเป็นบุคคลสำคัญที่สุดของพุทธศาสนา เพื่อเสริมสร้างให้พระพุทธเจ้ามีสถานภาพเหนือล้ำขึ้นไปกว่าคนธรรมดา หรืออาจจะตีความได้ว่าเป็นการกลืนความเชื่อเดิมของพราหมณ์ให้เข้ามารวมกับศาสนาพุทธอาจจะเป็นไปได้

จึงอาจกล่าวได้ว่า ตำนานการกำเนิดจากพระปรัศว์เป็นที่รู้จักกันมาก่อนเกิดพุทธศาสนาแล้ว เมื่อพุทธศาสนาเจริญขึ้นจึงนำความอัศจรรย์นี้มาเสริมให้กับตำนานพุทธประวัตินั่นเองครับ.


รูปสลักการประสูติจากพระปรัศว์ ศิลปะคันธาระ.


โดย : กฤษณ์ บุญช่วย ,ทีมงาน นิตยสาร ต่วย'ตูน
https://www.thairath.co.th/content/1273696#cxrecs_s
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 09, 2018, 06:27:31 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

sinsae

  • พอพึ่งพาได้
  • ***
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 277
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
บันทึกการเข้า