ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ชีวิตของมนุษย์ทั้งหลาย มีประมาณน้อย เล็กน้อย รวดเร็ว มีทุกข์มาก มีความคับแค้นมาก  (อ่าน 349 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28446
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
.



ชีวิตเป็นของน้อย

สัตว์ทั้งหลายที่เกิดมาในโลกใบนี้ ล้วนต้องบ่ายหน้าไปสู่ความตายด้วยกันทั้งหมด อุปมาเหมือนพระอาทิตย์ที่ขึ้นจากขอบฟ้า ก็บ่ายหน้าที่จะอัสดง ทุกๆ ชีวิตก็เช่นเดียวกัน ไม่มีใครที่จะสามารถรอดพ้นจากอำนาจของมัจจุราชไปได้ดังพุทธวจนะที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ ในขุททกนิกายว่า

    อชฺเชว กิจฺจมาตปฺปํ
    โก ชญฺญา มรณํ สุเว
    น หิ โน สงฺครนฺเตน
    มหาเสเนน มาจฺจุนา.

    ความเพียรเป็นเครื่องยังกิเลสให้
    เร่าร้อน บุคคลพึงกระทำในวันนี้ ใครจะพึงรู้ว่า
    ความตายจักมีในวันพรุ่ง เพราะว่าความผัด
    เพี้ยนต่อมัจจุราช ที่มีเสนามารใหญ่ ย่อมไม่มีฯ


พุทธดำรัสนี้ พระพุทธองค์ทรงชี้ให้พุทธบริษัทสี่ ให้รีบสั่งสมบุญกุศลกันให้เต็มที่ ให้ใช้วันเวลาที่ผ่านไปอย่างมีคุณค่าด้วยการปรารภความเพียร เพราะความตายไม่มีนิมิต ไม่สามารถที่จะกำหนดวันเวลาและสถานที่ตายได้ เราปรารถนาจะตายตอนเช้าตอนเย็นเองก็ไม่ได้ เพราะในอดีตชาติที่ผ่านมา เราเคยประมาทพลาดพลั้งไปกระทำความชั่วอะไรไว้บ้าง เราเองก็ไม่สามารถระลึกชาติย้อนกลับไปดูความผิดพลาดของเราได้

ดังนั้นในขณะที่เรายังมีลมหายใจอยู่นี้ จึงไม่ควรประมาท อย่าปล่อยให้วันเวลาผ่านไปอย่างไร้ค่า ให้รีบขวนขวายในการสั่งสมบุญกุศลกันให้เต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นการทำทาน รักษาศีล หรือเจริญภาวนา ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่นี้เราสามารถที่จะออกแบบชีวิตของเราได้ เมื่อละโลกไปแล้วเราไม่สามารถที่เรียกร้องอะไรได้ ยิ่งอายุของมนุษย์ในยุคนี้แล้วสั้นนิดเดียวแค่ ๗๕ ปีเท่านั้น เดี๋ยวก็วันเดียวก็คืน

@@@@@@@

อดีตชาติของพระบรมโพธิสัตว์สมัยที่ท่านยังสร้างบารมีอยู่ ท่านเป็นศาสดามีชื่อว่า อรกะ ท่านได้สั่งสอนลูกศิษย์ อุปมาชีวิตเป็นของน้อย เอาไว้ว่า

     ๑. หยาดน้ำค้างบนยอดหญ้า เมื่ออาทิตย์ขึ้นมาย่อมแห้งหายไปได้เร็ว ไม่ตั้งอยู่นาน แม้ฉันใด ชีวิตมนุษย์ทั้งหลาย เปรียบเหมือนหยาดน้ำค้าง ฉันนั้นเหมือนกัน

     ๒. เมื่อฝนตกหนัก หนาเม็ด ฟองน้ำย่อมแตกเร็ว ตั้งอยู่ไม่นาน แม้ฉันใด ชีวิตของมนุษย์ทั้งหลาย เปรียบเหมือนฟองน้ำ ฉันนั้นเหมือนกัน

     ๓. รอยไม้ที่ขีดลงไปในน้ำ ย่อมกลับเข้าหากันเร็ว ไม่ตั้งอยู่นาน แม้ฉันใด ชีวิตของมนุษย์ทั้งหลาย เปรียบเหมือนรอยไม้ที่ขีดลงไปในน้ำ ฉันนั้นเหมือนกัน

    ๔. แม่น้ำไหลลงจากภูเขา ไหลไปไกลกระแสเชี่ยวพัดไปซึ่งสิ่งที่พอจะพัดไปได้ ไม่มีระยะเวลาหรือชั่วครู่ที่มันจะหยุด แต่ที่แท้แม่น้ำมีแต่ใหลเรื่อยไปถ่ายเดียว แม้ฉันใด ชีวิตของมนุษย์ทั้งหลาย เปรียบเหมือนแม่น้ำที่ไหลลงจากภูเขา ฉันนั้นเหมือนกัน

    ๕. บุรุษมีกำลัง อมก้อนเขฬะไว้ที่ปลายลิ้นแล้วพึงถ่มไปโดยง่ายดาย แม้ฉันใด ชีวิตของมนุษย์ทั้งหลาย เปรียบเหมือนก้อนเขฬะ ฉันนั้นเหมือนกัน

    ๖. ชิ้นเนื้อที่ใส่ไว้ในกระทะเหล็ก ไฟ เผาตลอดทั้งวัน ย่อมจะย่อยยับไปรวดเร็ว ไม่ตั้งอยู่นาน แม้ฉันใด ชีวิตของมนุษย์ทั้งหลาย เปรียบเหมือนชิ้นเนื้อ ฉันนั้นเหมือนกัน

    ๗. แม่โคที่จะถูกเชือด ที่เขานำไปสู่ที่ฆ่าย่อมก้าวเท้าเดินไปใกล้ที่ฆ่า ใกล้ความตาย แม้ฉันใด ชีวิตของมนุษย์ทั้งหลาย เปรียบเหมือนแม่โคที่จะถูกเชือด ฉันนั้นเหมือนกัน

อายุของมนุษย์ในยุคนี้สั้นนิดเดียว เมื่อเทียบกับยุคสมัยของมนุษย์ที่มีอายุยืนถึงหมื่นปี แสนปี ล้านปี จะยกตัวอย่างอายุมนุษย์กับอายุของชาวสวรรค์ชั้นดาวดึงส์


@@@@@@@

ในครั้งสมัยพุทธกาลมีเทพบุตรองค์หนึ่ง ชื่อว่ามาลาภารี บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ออกจากวิมานไปพร้อมกับนางอัปสรพันหนึ่ง เข้าไปยังสวน นางเทพธิดาแบ่งกันออกเป็น ๒ กลุ่ม  กลุ่มละ ๕๐๐ องค์ กลุ่มหนึ่งขึ้นบนต้นไม้ เลือกเก็บดอกไม้โยนมาให้เทพธิดา อีกกลุ่มหนึ่ง ๕๐๐ องค์ที่อยู่ข้างล่าง เพื่อเก็บเอาดอกไม้ไปประดับมาลาภารีเทพบุตร มีเทพธิดาองค์หนึ่ง ได้จุติบนกิ่งไม้มาปฏิสนธิในเรือนตระกูลหนึ่ง ในกรุงสาวัตถี

เมื่อนางเจริญเติบโตขึ้นก็ระลึกชาติได้ว่า เราเป็นภริยาของมาลาภารีเทพบุตร อยู่ที่สวรรค์ ชั้นดาวดึงส์ พอนางอายุได้ ๑๖ ปี ก็แต่งงานไปอยู่กับตระกูลสามี เมื่อนางได้กระทำบุญอะไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นการถวายสลากภัต ปักขิกภัต  และวัสสาวาสิกภัต นางก็จะพูดว่า บุญที่ข้าพเจ้ากระทำในครั้งนี้ ขอจงส่งผลให้ได้ไปบังเกิดบนสวรรค์อยู่ร่วมกับสามีด้วยเถิด นางกระทำบุญอะไรก็ตาม ก็จะอธิษฐานจิตอย่างนี้ นางอยู่ร่วมกับสามีที่โลกมนุษย์มีลูกด้วยกันถึง ๔ คน

มีอยู่วันหนึ่ง นางได้ล้มป่วยด้วยโรคบางอย่าง เมื่อละโลกแล้ว นางก็ได้ไปบังเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ไปอยู่ร่วมกับมาลาภารีเทพบุตรตามเดิม สมความปรารถนาที่นางได้ตั้งจิตอธิษฐานไว้ในครั้งที่เป็นมนุษย์

เมื่อมาลาภารีเทพบุตรเห็นเข้า ก็ถามนางว่า  “เธอหายหน้าไปไหนมา ตั้งแต่เช้า” เทพธิดาก็ตอบว่า “ดิฉันจุติลงไปเกิดยังโลกมนุษย์” เทพบุตรฟังแล้วก็สงสัยเป็นอย่างยิ่ง ใคร่อยากรู้ จึง
 
ถามว่า “ที่เธอพูดมานี้ จริงหรือ" เทพธิดาก็ตอบว่า “เป็นความจริง” เทพบุตรอยากรู้ความเป็นอยู่ของมนุษย์ ก็ถามต่อว่า “อายุมนุษย์ตอนนี้เท่าไร” เทพธิดาก็ตอบว่า “แค่ ๑๐๐ ปีเอง”

เทพบุตรอยากรู้อีกจึงถามต่อว่า “พวกมนุษย์มีอายุกันแค่นี้ ได้ทำบุญกันบ้างหรือไม่  หรือมัวแต่ประมาทกันอยู่” เทพธิดาก็ตอบว่า  “พวกมนุษย์ประมาทกันเนืองนิตย์ เหมือนกับตนเองมีอายุตั้งอสงไขย จะไม่แก่ไม่ตายกัน”

@@@@@@@

อายุมนุษย์ในยุคครั้งพุทธกาล ๑๐๐ ปี ก็แค่หนึ่งวันหนึ่งคืนของชาวสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เท่านั้น อายุชาวสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ๑,๐๐๐ ปีทิพย์  ก็ ๓ โกฏิ ๖ ล้านปี เมื่อเทียบภพมนุษย์ก็ได้ ๓๖  ล้านปี ๑ โกฏิก็ ๑๐ ล้านปี

แต่อายุของมนุษย์ในขณะนี้โดยเฉลี่ยแค่ ๗๕ ปีเท่านั้น คิดแล้วก็สั้นนิดเดียว นึกแล้วใจหาย ถ้ามัวแต่ประมาท หลงใหล เพลิดเพลินไปกับอำนาจของกิเลส และมัวแต่หลงใหลกันไปกับเทคโนโลยีใหม่ๆ หลงลืมไปกับการทำมาหากิน  ปล่อยให้ชีวิตผ่านไปในแต่ละวันอย่างไร้ค่า เกิดมาในชาตินี้ชีวิตก็สูญเปล่า

เพราะการได้อัตภาพความเป็นมนุษย์เป็นสิ่งที่ได้โดยยากอย่างยิ่ง แต่ชีวิตของบุคคลบางคนที่เกิดมาแล้วเห็นคุณค่าชีวิตของตนเอง จึงดำเนินชีวิตให้ผ่านพ้นไปในแต่ละวันด้วยความไม่ประมาท หาทรัพย์มาได้ก็เอามาสร้างบุญบารมีให้ยิ่งๆ ขึ้นไป และใช้จ่ายในการดำรงชีวิตหล่อเลี้ยงสังขารตนเอง นี้แหละคือชีวิตที่งดงามของบัณฑิตนักปราชญ์ ผู้ดำเนินชีวิตด้วยความไม่ประมาท

บุคคลมีชีวิตอยู่วันเดียว แต่ได้สร้างบุญกุศล ก็ดีกว่าบุคคลที่เกิดมามีอายุถึง ๑๐๐ ปี แต่ไม่ได้สร้างความดีอะไรไว้เลย ส่วนคนที่ประมาท ไม่ได้สร้างบุญกุศลไว้ ได้แต่กระทำความชั่ว เมื่อละโลกไป ก็ต้องไปเสวยทุกข์อยู่ในอบายภูมิอย่างยาวนาน ชีวิตหลังความตาย เป็นชีวิตที่ยาวนาน เมื่อไปเสวยสุขก็เสวยสุขอยู่อย่างยาวนาน






Thank to :-
website : https://kalyanamitra.org/th/article_detail.php?i=19128
บทความประจำวัน > กัลยาณมิตร > ชีวิตเป็นของน้อย | วันที่ 21 กพ. พ.ศ.2563
Photo : https://www.pinterest.ca/pin/762375043200686803/
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 08, 2024, 10:58:05 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28446
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
.



อรกสูตร : ว่าด้วยครูชื่ออรกะ

[๗๔] ภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาแล้ว มีครูชื่ออรกะ เป็นเจ้าลัทธิผู้ปราศจากความกำหนัดในกามทั้งหลาย มีสาวกหลายร้อยคน ได้แสดงธรรมแก่สาวกอย่างนี้ว่า

    “พราหมณ์ ชีวิตของมนุษย์ทั้งหลายมีประมาณน้อย เล็กน้อย รวดเร็ว มีทุกข์มากมีความคับแค้นมาก บุคคลพึงรู้ด้วยปัญญา พึงทำกุศล พึงประพฤติพรหมจรรย์ไม่มีหรอก สัตว์ที่เกิดมาแล้วจะไม่ตาย

     พราหมณ์ หยาดน้ำค้างที่ยอดหญ้า เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้น ก็เหือดแห้งไปอย่างรวดเร็ว อยู่ได้ไม่นาน แม้ฉันใด ชีวิตของมนุษย์ทั้งหลายที่เปรียบด้วยหยาดน้ำค้าง ก็ฉันนั้นเหมือนกัน เป็นของเล็กน้อย รวดเร็ว มีทุกข์มาก มีความคับแค้นมาก บุคคลพึงรู้ด้วยปัญญา พึงทำกุศล พึงประพฤติพรหมจรรย์ ไม่มีหรอก สัตว์ที่เกิดมาแล้วจะไม่ตาย

     พราหมณ์ เมื่อฝนเม็ดใหญ่ตก ฟองน้ำย่อมแตกหายไปอย่างรวดเร็ว คงอยู่ได้ไม่นาน แม้ฉันใด ชีวิตของมนุษย์ทั้งหลายที่เปรียบด้วยฟองน้ำ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน เป็นของเล็กน้อย รวดเร็ว มีทุกข์มาก มีความคับแค้นมาก บุคคลพึงรู้ด้วยปัญญา พึงทำกุศล พึงประพฤติพรหมจรรย์ ไม่มีหรอก สัตว์ที่เกิดมาแล้วจะไม่ตาย

     พราหมณ์ รอยขีดในน้ำย่อมขาดหายไปอย่างรวดเร็ว คงอยู่ได้ไม่นาน แม้ฉันใด ชีวิตของมนุษย์ทั้งหลายที่เปรียบด้วยรอยขีดในน้ำ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน เป็นของเล็กน้อย รวดเร็ว ฯลฯ ไม่มีหรอก สัตว์ที่เกิดมาแล้วจะไม่ตาย

     พราหมณ์ แม่น้ำที่ไหลมาจากภูเขา มาจากที่ไกล มีกระแสเชี่ยว พัดสิ่งที่พาไปได้ ไม่มีขณะ เวลา หรือชั่วครู่ที่มันจะหยุด โดยที่แท้ แม่น้ำนั้นย่อมไหลบ่าเรื่อยไป แม้ฉันใด ชีวิตของมนุษย์ทั้งหลายที่เปรียบด้วยแม่น้ำที่ไหลมาจากภูเขา ก็ฉันนั้นเหมือนกัน เป็นของเล็กน้อย รวดเร็ว ฯลฯ ไม่มีหรอก สัตว์ที่เกิดมาแล้วจะไม่ตาย

     พราหมณ์ บุรุษผู้มีกำลังอมก้อนเขฬะไว้ที่ปลายลิ้นแล้ว พึงถ่มทิ้งไปโดยไม่ยากนัก แม้ฉันใด ชีวิตของมนุษย์ทั้งหลายที่เปรียบด้วยก้อนเขฬะ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน เป็นของเล็กน้อย รวดเร็ว ฯลฯ ไม่มีหรอก สัตว์ที่เกิดมาแล้วจะไม่ตาย

     พราหมณ์ ชิ้นเนื้อที่เขาใส่ไว้ในกระทะเหล็กที่ถูกเผาไฟตลอดทั้งวัน ย่อมหดหาย ไปอย่างรวดเร็ว คงอยู่ได้ไม่นาน แม้ฉันใด ชีวิตของมนุษย์ทั้งหลายที่เปรียบด้วยชิ้นเนื้อ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน เป็นของเล็กน้อย รวดเร็ว ฯลฯ ไม่มีหรอก สัตว์ที่เกิดมาแล้วจะไม่ตาย

     พราหมณ์ แม่โคที่จะถูกฆ่า ถูกเขานำไปสู่ที่ฆ่า ยกเท้าขึ้นคราวใด ก็ยิ่งใกล้ถูกฆ่า ใกล้ตายเข้าไปคราวนั้น แม้ฉันใด ชีวิตของมนุษย์ทั้งหลายที่เปรียบด้วยแม่โคที่จะถูกฆ่า ก็ฉันนั้นเหมือนกัน เป็นของเล็กน้อย รวดเร็ว ฯลฯ ไม่มีหรอก สัตว์ที่เกิดมาแล้วจะไม่ตาย

     @@@@@@@

     ภิกษุทั้งหลาย สมัยนั้น มนุษย์ทั้งหลายได้มีอายุประมาณ ๖๐,๐๐๐ ปี เด็กหญิงมีอายุ ๕๐๐ ปี จึงมีสามีได้ สมัยนั้น มนุษย์ทั้งหลายมีอาพาธเพียง ๖ อย่างเท่านั้น คือ หนาว ร้อน หิว กระหาย ปวดอุจจาระ ปวดปัสสาวะ
     ภิกษุทั้งหลายเมื่อมนุษย์ทั้งหลายมีอายุยืนอย่างนี้ ดำรงอยู่ได้นานอย่างนี้ และมีอาพาธน้อยอย่างนี้ ไฉนครูอรกะนั้น ยังแสดงธรรมแก่สาวกทั้งหลายอย่างนี้ว่า
    “พราหมณ์ ชีวิตของมนุษย์ มีประมาณน้อย เล็กน้อย รวดเร็ว มีทุกข์มาก มีความคับแค้นมากบุคคลพึงรู้ด้วยปัญญา พึงทำกุศล พึงประพฤติพรหมจรรย์ ไม่มีหรอก สัตว์ที่เกิดมาแล้วจะไม่ตาย”

     ภิกษุทั้งหลาย ปัจจุบันนี้ เมื่อจะกล่าวถึงชีวิตนั้นให้ถูกต้อง พึงกล่าวว่า “ชีวิตของมนุษย์ทั้งหลายมีประมาณน้อย เล็กน้อย รวดเร็ว มีทุกข์มาก มีความคับแค้นมาก บุคคลพึงรู้ด้วยปัญญา พึงทำกุศล พึงประพฤติพรหมจรรย์ ไม่มีหรอกสัตว์ที่เกิดมาแล้วจะไม่ตาย”


     @@@@@@@

     ภิกษุทั้งหลาย ปัจจุบันนี้ ผู้มีอายุยืนจะอยู่ได้ ๑๐๐ ปี น้อยกว่านั้นก็มี มากกว่านั้นก็มี
     - ส่วนคนที่อยู่ได้ถึง ๑๐๐ ปี จะอยู่ได้ ๓๐๐ ฤดูเท่านั้น คือ ฤดูหนาว ๑๐๐ ฤดูร้อน ๑๐๐ ฤดูฝน ๑๐๐
     - คนที่อยู่ได้ถึง ๓๐๐ ฤดู จะอยู่ได้ถึง ๑,๒๐๐ เดือน คือ ฤดูหนาว ๔๐๐ ฤดูร้อน ๔๐๐ ฤดูฝน ๔๐๐
     - คนที่อยู่ได้ถึง ๑,๒๐๐ เดือน จะอยู่ได้ถึง ๒,๔๐๐ กึ่งเดือน คือ ฤดูหนาว ๘๐๐ กึ่งเดือน ฤดูร้อน ๘๐๐ กึ่งเดือน ฤดูฝน ๘๐๐ กึ่งเดือน
     - คนที่อยู่ได้ถึง ๒,๔๐๐ กึ่งเดือน จะอยู่ได้ถึง ๓๖,๐๐๐ ราตรี คือ ฤดูหนาว ๑๒,๐๐๐ ราตรี ฤดูร้อน ๑๒,๐๐๐ ราตรี ฤดูฝน๑๒,๐๐๐ ราตรี
     - คนที่อยู่ได้ถึง ๓๖,๐๐๐ ราตรี จะบริโภคอาหารได้ ๗๒,๐๐๐ มื้อ คือ ฤดูหนาว ๒๔,๐๐๐ มื้อ ฤดูร้อน ๒๔,๐๐๐ มื้อ ฤดูฝน ๒๔,๐๐๐ มื้อ นับรวมถึงการดื่มนมมารดาและเหตุที่ทำให้ไม่ได้บริโภคอาหาร

     ในข้อนั้น เหตุที่ทำให้ไม่ได้บริโภคอาหาร มีดังนี้
     - คนโกรธก็ไม่บริโภคอาหาร
     - คนมีทุกข์ก็ไม่บริโภคอาหาร
     - คนเจ็บไข้ก็ไม่บริโภคอาหาร
     - คนรักษาอุโบสถก็ไม่บริโภคอาหาร และ
     - คนหาอาหารไม่ได้ก็ไม่บริโภคอาหาร

     ภิกษุทั้งหลาย เราได้กำหนดอายุ กำหนดประมาณอายุ กำหนดฤดู กำหนดปีกำหนดเดือน กำหนดกึ่งเดือน กำหนดราตรี กำหนดวัน กำหนดอาหาร และกำหนดอันตรายแห่งการบริโภคอาหารของมนุษย์ผู้มีอายุ ๑๐๐ ปี ด้วประการฉะนี้แล
 
     @@@@@@@

     ภิกษุทั้งหลาย กิจใดที่ศาสดาผู้แสวงหาประโยชน์เกื้อกูล ผู้อนุเคราะห์ อาศัยความอนุเคราะห์พึงทำแก่สาวกทั้งหลาย กิจนั้น เราได้ทำแล้วแก่เธอทั้งหลาย
     ภิกษุทั้งหลาย นั่นโคนไม้ นั่นเรือนว่าง(๑-) เธอทั้งหลายจงเพ่ง(๒-) อย่าประมาท อย่าเป็นผู้มีวิปปฏิสาร (ความร้อนใจ) ในภายหลังเลย นี้เป็นอนุสาสนีของเราเพื่อเธอทั้งหลาย


                                                      อรกสูตรที่ ๑๐ จบ



เชิงอรรถ :-

(๑-) คำว่า นั่นโคนไม้ นั่นเรือนว่าง นี้ พระผู้มีพระภาคตรัสบอกเสนาสนะ หรือสถานที่ที่สงัดปราศจากคน เหมาะแก่การบำเพ็ญความเพียรแก่ภิกษุ ประหนึ่งว่า ทรงมอบมรดก (องฺ.ปญฺจก.อ. ๓/๗๓/๓๖)
(๒-) เพ่ง ในที่นี้หมายถึงเจริญสมถกัมมัฏฐานโดยเพ่งอารมณ์กัมมัฏฐาน ๓๘ ประการ และเจริญวิปัสสนากัมมัฏฐานโดยเพ่งขันธ์ ๕ อายตนะ ๑๒ เป็นต้นว่า เป็นสภาวะไม่เที่ยง (องฺ.ปญฺจก.อ. ๓/๗๓/๓๖)





ขอขอบคุณ :-
ที่มา : พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๓ ,พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๕ [ฉบับมหาจุฬาฯ] อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต , ๑๐. อรกสูตร ว่าด้วยครูชื่ออรกะ , โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๒๓ หน้า : ๑๖๗-๑๗๐}
website : https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=23&siri=71
Photo : https://www.pinterest.ca/pin/1046172188425954374/
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28446
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
.



๔. เรื่องนางปติปูชิกา [๓๖]   
           


ข้อความเบื้องต้น     
         
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในกรุงสาวัตถี ทรงปรารภหญิงชื่อปติปูชิกา ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "ปุปฺผานิ เหว" เป็นต้น. เรื่องตั้งขึ้นในดาวดึงสเทวโลก.

เทพธิดาจุติแล้วเกิดในกรุงสาวัตถี   
           
ได้ยินว่า เทพบุตรนามว่ามาลาภารี ในดาวดึงสเทวโลกนั้น มีนางอัปสรพันหนึ่งแวดล้อมแล้ว เข้าไปสู่สวน. เทพธิดา ๕๐๐ ขึ้นสู่ต้นไม้ ยังดอกไม้ให้ตกอยู่. เทพธิดา ๕๐๐ เก็บเอาดอกไม้ที่เทพธิดาเหล่านั้นให้ตกแล้ว ประดับเทพบุตร. บรรดาเทพธิดาเหล่านั้น เทพธิดาองค์หนึ่ง จุติบนกิ่งไม้นั่นแล. สรีระดับไป ดุจเปลวประทีป นางถือปฏิสนธิในเรือนแห่งตระกูลหนึ่ง ในกรุงสาวัตถี

ในเวลาที่นางเกิดแล้ว เป็นหญิงระลึกชาติได้ ระลึกอยู่ว่า "เราเป็นภริยาของมาลาภารีเทพบุตร" ถึงความเจริญ กระทำการบูชาด้วยของหอมและดอกไม้เป็นต้น ปรารถนาการเกิดเฉพาะในสำนักสามี. นางแม้ไปสู่ตระกูลอื่น ในเวลามีอายุ ๑๖ ปี ถวายสลากภัต ปักขิกภัต และวัสสาวาสิกภัตเป็นต้นแล้ว ย่อมกล่าวว่า "ส่วนแห่งบุญนี้ จงเป็นปัจจัยเพื่อประโยชน์แก่อันบังเกิดในสำนักสามีของเรา."

จุติจากมนุษยโลกแล้วไปเกิดในสวรรค์
   
         
ลำดับนั้น ภิกษุทั้งหลายทราบว่า "นางนี้ ลุกขึ้นเสร็จสรรพแล้ว ย่อมปรารถนาสามีเท่านั้น" จึงขนานนามของนางว่า "ปติปูชิกา."

แม้นางปติปูชิกานั้น ย่อมปฏิบัติโรงฉัน เข้าไปตั้งน้ำฉัน ปูอาสนะเป็นนิตย์. มนุษย์แม้พวกอื่นใคร่เพื่อจะถวายสลากภัตเป็นต้น นำมามอบให้ด้วยคำว่า "แม่ ท่านจงจัดแจงภัตเหล่านี้ แก่ภิกษุสงฆ์."

แม้นางเดินไปเดินมาอยู่โดยทำนองนั้น ได้กุศลธรรม ๕๖ ทุกย่างเท้า. นางตั้งครรภ์แล้ว. นางก็คลอดบุตร โดยกาลอันล่วงไป ๑๐ เดือน. ในกาลที่บุตรนั้นเดินได้ นางได้บุตรแม้อื่นๆ รวม ๔ คน.

ในวันหนึ่ง นางถวายทาน ทำการบูชา ฟังธรรม รักษาสิกขาบท ในเวลาเป็นที่สุดแห่งวัน ก็ทำกาละด้วยโรคชนิดใดชนิดหนึ่ง ซึ่งบังเกิดขึ้นในขณะนั้น แล้วบังเกิดในสำนักสามีเดิมของตน.

@@@@@@@

อายุของมนุษย์ประมาณ ๑๐๐ ปี       
       
ฝ่ายนางเทพธิดานอกนี้ กำลังประดับอยู่นั่นเอง ตลอดกาลเท่านี้. เทพบุตรเห็นนางนั้น กล่าวว่า "เธอหายหน้าไปตั้งแต่เช้า, เธอไปไหนมา.?"
      เทพธิดา. ดิฉันจุติค่ะ นาย.
      เทพบุตร. เธอพูดอะไร.?
      เทพธิดา. ข้อนั้นเป็นอย่างนี้ นาย.
      เทพบุตร. เธอเกิดแล้วในที่ไหน.?
      เทพธิดา. เกิดในเรือนแห่งตระกูล ในกรุงสาวัตถี.
      เทพบุตร. เธอดำรงอยู่ในกรุงสาวัตถีนั้นสิ้นกาลเท่าไร.?
      เทพธิดา. ข้าแต่นาย ดิฉันออกจากท้องมารดา โดยกาลอันล่วงไป ๑๐ เดือน ในเวลาอายุ ๑๖ ปี ไปสู่ตระกูลสามี คลอดบุตร ๔ คน ทำบุญมีทานเป็นต้น ปรารถนาถึงนาย มาบังเกิดแล้วในสำนักของนายตามเดิม.

      เทพบุตร. อายุของมนุษย์มีประมาณเท่าไร.?
      เทพธิดา. ประมาณ ๑๐๐ ปี.
      เทพบุตร. เท่านั้นเองหรือ.?
      เทพธิดา. ค่ะ นาย.
      เทพบุตร. พวกมนุษย์ถือเอาอายุประมาณเท่านี้เกิดแล้ว เป็นผู้ประมาทเหมือนหลับ ยังกาลให้ล่วงไปหรือ.? หรือทำบุญมีทานเป็นต้น.?
      เทพธิดา. พูดอะไร นาย, พวกมนุษย์ประมาทเป็นนิตย์ ประหนึ่งถือเอาอายุตั้งอสงไขยเกิดแล้ว ประหนึ่งว่าไม่แก่ไม่ตาย.
      ความสังเวชเป็นอันมาก ได้เกิดขึ้นแก่มาลาภารีเทพบุตรว่า "ทราบว่า พวกมนุษย์ถือเอาอายุประมาณ ๑๐๐ ปีเกิดแล้ว ประมาท นอนหลับอยู่, เมื่อไรหนอ.? จึงจักพ้นจากทุกข์ได้."

__________________________________________________
๑- อภิ. สํ. เล่ม ๓๔/หน้า ๑๖. ได้แก่ อภิ. สํ. เล่ม ๓๔/ข้อ ๔๖-๕๑

@@@@@@@

๑๐๐ ปีของมนุษย์เท่า ๑ วันในสวรรค์    
         
ก็ ๑๐๐ ปีของพวกเรา เป็นคืนหนึ่งวันหนึ่งของพวกเทพเจ้าชั้นดาวดึงส์, ๓๐ ราตรีโดยราตรีนั้น เป็นเดือนหนึ่ง, กำหนดด้วย ๑๒ เดือนโดยเดือนนั้น เป็นปีหนึ่ง, ๑,๐๐๐ ปีทิพย์ โดยปีนั้น เป็นประมาณอายุของเทพเจ้าชั้นดาวดึงส์, ๑,๐๐๐ ปีทิพย์นั้น โดยการนับในมนุษย์เป็น ๓ โกฏิ ๖ ล้านปี.

เพราะฉะนั้น แม้วันเดียวของเทพบุตรนั้น ก็ยังไม่ล่วงไป ได้เป็นกาลเช่นครู่เดียวเท่านั้น. ขึ้นชื่อว่าความประมาทของสัตว์ผู้มีอายุน้อยอย่างนี้ ไม่ควรอย่างยิ่งแล.

ในวันรุ่งขึ้น พวกภิกษุเข้าไปสู่บ้าน เห็นโรงฉันยังไม่ได้จัด อาสนะยังไม่ได้ปู น้ำฉันยังไม่ได้ตั้งไว้ จึงกล่าวว่า "นางปติปูชิกาไปไหน.?"

ชาวบ้าน. ท่านผู้เจริญ พระผู้เป็นเจ้าทั้งหลายจักเห็นนาง ณ ที่ไหน.? วันวานนี้ เมื่อพระผู้เป็นเจ้าฉันแล้ว (กลับ) ไป, นางตายในตอนเย็น.

ภิกษุปุถุชนฟังคำนั้นแล้ว ระลึกถึงอุปการะของนางนั่น ไม่อาจจะกลั้นน้ำตาไว้ได้, ธรรมสังเวชได้เกิดแก่พระขีณาสพ. ภิกษุเหล่านั้นทำภัตกิจแล้ว ไปวิหาร ถวายบังคมพระศาสดา ทูลถามว่า
    "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อุบาสิกาชื่อปติปูชิกา ลุกขึ้นเสร็จสรรพแล้ว ทำบุญมีประการต่างๆ ปรารถนาถึงสามีเท่านั้น, บัดนี้ นางตายแล้ว (ไป) เกิด ณ ที่ไหน.?"

     พระศาสดา. ภิกษุทั้งหลาย นางเกิดในสำนักสามีของตนนั่นแหละ.
     ภิกษุ. ในสำนักสามี ไม่มี พระเจ้าข้า.
     พระศาสดา. ภิกษุทั้งหลาย นางปรารถนาถึงสามีนั่น ก็หามิได้, มาลาภารีเทพบุตร ในดาวดึงสพิภพ เป็นสามีของนาง, นางเคลื่อนจากที่ประดับดอกไม้ของสามีนั้นแล้ว ไปบังเกิดในสำนักสามีนั้นนั่นแลอีก.
     ภิกษุ. ได้ยินว่า อย่างนั้นหรือ.? พระเจ้าข้า.
     พระศาสดา. อย่างนั้น ภิกษุทั้งหลาย.
     ภิกษุ น่าสังเวช.! ชีวิตของสัตว์ทั้งหลายน้อย (จริง) พระเจ้าข้า เช้าตรู่ นางอังคาสพวกข้าพระองค์ ตอนเย็น ตายด้วยพยาธิที่เกิดขึ้น.
     พระศาสดา. อย่างนั้น ภิกษุทั้งหลาย ชื่อว่าชีวิตของสัตว์ทั้งหลายน้อย (จริง), เหตุนั้นแล มัจจุผู้กระทำซึ่งที่สุด ยังสัตว์เหล่านี้ซึ่งไม่อิ่ม ด้วยวัตถุกามและกิเลสกามนั่นแล ให้เป็นไปในอำนาจของตนแล้ว ย่อมพาเอาสัตว์ที่คร่ำครวญ ร่ำไรไป"

     ดังนี้แล้ว ตรัสพระคาถานี้ว่า :-

     ๔. ปุปฺผานิ เหว ปจินนฺตํ พฺยาสตฺตมนสํ นรํ
         อติตฺตํเยว กาเมสุ อนฺตโก กุรุเต วสํ ฯ

         มัจจุ ผู้ทำซึ่งที่สุด กระทำนระผู้มีใจข้องในอารมณ์ต่างๆ
         เลือกเก็บดอกไม้อยู่เทียว ผู้ไม่อิ่มในกามทั้งหลายนั่นแล สู่อำนาจ.

@@@@@@@

แก้อรรถ 
           
บรรดาบทเหล่านั้น บาทพระคาถาว่า ปุปฺผานิ เหว ปจินนฺตํ ความว่า ผู้มัวเลือกเก็บดอกไม้ คือกามคุณทั้งหลาย อันเนื่องด้วยอัตภาพ และเนื่องด้วยเครื่องอุปกรณ์อยู่ เหมือนนายมาลาการเลือกเก็บดอกไม้ต่างชนิดอยู่ในสวนดอกไม้ฉะนั้น.

บาทพระคาถาว่า พฺยาสตฺตมนสํ นรํ ความว่า ผู้มีจิตซ่านไปโดยอาการต่างๆ ในอารมณ์อันยังไม่ถึงแล้ว ด้วยสามารถแห่งความปรารถนาในอารมณ์ที่ถึงแล้ว ด้วยสามารถแห่งความยินดี.

บาทพระคาถาว่า อติตฺตํเยว กาเมสุ ความว่า ผู้ไม่อิ่มในวัตถุกามและกิเลสกามทั้งหลายนั่นแล ด้วยการแสวงหาบ้าง ด้วยการได้เฉพาะบ้าง ด้วยการใช้สอยบ้าง ด้วยการเก็บไว้บ้าง.

บาทพระคาถาว่า อนฺตโก กุรุเต วสํ ความว่า มัจจุผู้ทำซึ่งที่สุด กล่าวคือมรณะ พานระผู้คร่ำครวญ ร่ำไร ไปอยู่ ให้ถึงอำนาจของตน.

ในเวลาจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น, เทศนามีประโยชน์แก่มหาชน ดังนี้แล.


                                                เรื่องนางปติปูชิกา จบ.     
       




ขอขอบคุณ :-
ที่มา : อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท ปุปผวรรคที่ ๔ , หน้าต่างที่ ๔ / ๑๒.
URL : https://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=14&p=4
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎกได้ที่ :-
https://84000.org/tipitaka/attha/m_siri.php?B=25&siri=13
Photo : https://www.pinterest.ca/pin/26458716558574830/
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 09, 2024, 05:55:38 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ