ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
หน้า: [1] 2 3 ... 10
 1 
 เมื่อ: วันนี้ เวลา 01:43:18 am 
เริ่มโดย todaytimepost11 - กระทู้ล่าสุด โดย todaytimepost11
ที่นอนยางพาราแท้ ผลิตจากน้ำยางธรรมชาติ 100% ที่นอนสำหรับคนปวดหลัง มีความยืดหยุ่นสูง นอนแล้วไม่ยุบไม่ยวบ ลดแรงสั่นสะเทือนเวลาพลิกตัว สามารถรองรับสรีระและน้ำหนักตัวได้ดี ช่วยให้นอนสบาย ช่วยลดอาการปวดหลัง ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายที่นอนยางพารา เราผลิตและจำหน่ายที่นอนยางพาราอัดแน่น หลากหลายขนาด ตั้งแต่ ที่นอนขนาด 3 ฟุต ขนาด 90 x 198 x 24.5 ซม. 3.5 ฟุต ขนาด 105 x 198 x 24.5 ซม. 5 ฟุต ขนาด 150 x 198 x 24.5 ซม. 6 ฟุต ขนาด 180 x 198 x 24.5 ซม  ช่วยระบายอากาศได้ดี ทั้งยังไม่กักเก็บฝุ่นและความชื้น รองรับน้ำหนักและรองรับสรีระได้ดี ช่วยให้นอนหลับสบาย ไม่ร้อน และยังไม่เป็นที่สะสมของฝุ่นและเชื้อโรค

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่

คุณ กราฟ

Tel: 099-236-6645

Bedisupreme.com

1364-68 ถ.สุขุมวิท ใกล้ซอย76 (ฝั่งเดียวกับอิมพีเรียลสำโรง)

สมุทรปราการ 10270

Tel: 0866004332

Line ID:  @bedisupreme


E-mail: info@bedisupreme.com 

https://www.ที่นอนยางพารา.net

https://www.xn--72c5aga0awj9e3bcb0a1w.net

Keyword::   ที่นอนยางพารา




 2 
 เมื่อ: เมษายน 30, 2024, 06:30:37 pm 
เริ่มโดย todaytimepost11 - กระทู้ล่าสุด โดย todaytimepost11
ขออนุญาต อัพเดทกระทู้

 3 
 เมื่อ: เมษายน 30, 2024, 04:08:34 pm 
เริ่มโดย todaytimepost11 - กระทู้ล่าสุด โดย todaytimepost11
ขออนุญาต อัพเดทกระทู้

 4 
 เมื่อ: เมษายน 30, 2024, 01:27:59 pm 
เริ่มโดย todaytimepost11 - กระทู้ล่าสุด โดย todaytimepost11
ขออนุญาต อัพเดทกระทู้

 5 
 เมื่อ: เมษายน 30, 2024, 11:29:00 am 
เริ่มโดย aventure1 - กระทู้ล่าสุด โดย aventure1
ดันกระทู้ 

 6 
 เมื่อ: เมษายน 30, 2024, 09:58:37 am 
เริ่มโดย todaytimepost11 - กระทู้ล่าสุด โดย todaytimepost11
ขออนุญาต อัพเดทกระทู้

 7 
 เมื่อ: เมษายน 30, 2024, 08:17:40 am 
เริ่มโดย aventure1 - กระทู้ล่าสุด โดย aventure1
ดันกระทู้ 

 8 
 เมื่อ: เมษายน 30, 2024, 06:10:39 am 
เริ่มโดย raponsan - กระทู้ล่าสุด โดย raponsan
.



พระพุธ : เทพเจ้าแห่งความเฉลียวฉลาดในอินเดีย แต่เป็นเทพเจ้าแห่งวาจาและการพาณิชย์ในไทย

“พระพุธ” ไม่เพียงเป็นเทพเจ้าประจำดาวพุธ และเทพผู้ครองวันพุธแต่เพียงเท่านั้น แต่ตามความเชื่อของพ่อพราหมณ์ในอินเดียนั้น ท่านยังเป็นเทพเจ้าแห่งความเฉลียวฉลาดอีกด้วย

ตามปรัมปราคติของพวกพราหมณ์-ฮินดู เล่าว่า “พระพุธ” ทรงเป็นผู้บุตรของพระโสมะ ซึ่งก็คือ “พระจันทร์” (แน่นอนว่า พระจันทร์ของพวกพราหมณ์เป็นผู้ชาย) กับนางตารา แต่บางตำราก็ว่า พระพุธเป็นบุตรของนางโรหิณี ซึ่งเป็นพระชายาองค์โปรด ในบรรดาชายาทั้ง 27 องค์ของพระจันทร์ต่างหาก

แต่ตำนานที่ว่าเป็นบุตรของนางตารานั้น มีเนื้อหาที่น่าจับใจกว่ามาก เพราะมีรายละเอียดในท้องเรื่องว่า นางตารานั้นไม่ใช่ชายาของพระจันทร์มาแต่เดิม มเหสีของพระพฤหัสบดี เป็นพระจันทร์ท่านไปฉุดคร่าเอาเมียของดาวครูอย่าง พระพฤหัสบดีมาเฉยๆ เสียอย่างนั้น และเมื่อเกิดเรื่องดังนั้นแล้ว พระพฤหัสบดีก็ไปขอเมียคืนจากพระจันทร์อย่างสุภาพชน

แต่พระจันทร์ได้ประกอบพิธีราชสูยะ (คืองานเถลิงราชย์พระราชา ให้เป็นใหญ่เหนือราชาทั้งปวง) ไปก่อนหน้านั้นแล้ว จึงมีฤทธิ์มากขึ้นกว่าแต่ก่อน

แน่นอนว่า พระจันทร์ย่อมไม่ยอมคืนให้ เรื่องราวจึงกลายเป็นมหากาพย์ที่ใหญ่โตขึ้นกว่าจะเป็นแค่เรื่องในมุ้งของเทวดาเพียงสองสามองค์ จนถึงขนาดเทพเจ้าผู้เป็นใหญ่อย่างพระพรหมต้องออกหน้ามาไกล่เกลี่ยให้ พระจันทร์ก็ยังดื้อ ไม่ยอมคืนนางตาราให้กับพระพฤหัสบดี คราวนี้จึงได้เกิดสงครามของเหล่าเทพเจ้าขึ้นในระดับมหากาพย์

“พระศุกร์” ซึ่งทรงหมั่นหนังหน้ากับพระพฤหัสบดี ด้วยท่านเป็นพระครูของเจ้าแห่งอสูร อย่างท้าวพลีสูร (ในขณะที่พระพฤหัสบดีเปรียบได้กับปุโรหิตของเหล่าเทวดา) ตามปรัมปราคติพราหมณ์ ก็ย่อมเข้าข้างพระจันทร์ เช่นเดียวกับบรรดาสานุศิษย์ของพระศุกร์ ไม่ว่าจะเป็น อสูร แทตย์ และทานพ (สองชนิดหลังนี่ที่จริงแล้วทั้งคู่ต่างก็เป็นอสูรประเภทหนึ่งนั่นเอง)


@@@@@@@

ในขณะเดียวกันบรรดาเทวดา ที่นำโดยราชาแห่งเทพอย่าง “พระอินทร์” ก็ย่อมต้องเข้าข้างพระพฤหัสบดี ดังนั้น จึงเกิดเป็นสงครามสวรรค์ครั้งยิ่งใหญ่ รบกันไปรบกันมา โดยไม่ทราบความเสียหาย เพราะไม่มีนักข่าวสำนักไหนรายงาน พระพรหมท่านก็ทรงห้ามทัพได้สำเร็จ สุดท้ายพระจันทร์ก็ทรงต้องจำยอมคืนนางตารา กลับสู่อ้อมอกของพระพฤหัสบดีท่านแต่โดยดี

แต่ปรากฏว่าคืนไม่คืนเปล่า พระจันทร์ยังได้ทรงมอบของแถมให้กับพระพฤหัสบดี คือลูกน้อยๆ ในท้องของนางตาราด้วย แน่นอนว่า เจ้าหนูน้อยคนนั้นชื่อว่า “พระพุธ” ไม่อย่างนั้นผมคงไม่บอกไว้ตั้งแต่ต้นว่า พระพุธเป็นผู้บุตรของพระจันทร์

แต่ก็ไม่มีตำนานฉบับไหนระบุไว้ว่า ระหว่างพระพฤหัสบดี นางตารา และพระพุธ จะมีปัญหาภายในครอบครัวใดๆ อันเกิดแต่สงครามชิงนางครั้งนั้นหรอกนะครับ แถมพระพฤหัสบดีท่านยังใจดีกับเด็กน้อยพระพุธ เพราะนอกจากจะยอมเลี้ยงดูแล้ว ยังสั่งสอนศิลปวิทยาการต่างๆ ให้จนหมดไส้หมดพุง (ย้ำอีกทีว่า พระพฤสบดีนั้นเป็นดาวครู) จนเมื่ออายุครบ 30 ปีพระพุธก็จดจำศาสตร์ได้ทุกแขนง แล้วกลายเป็นเทพเจ้าแห่งความฉลาดปราดเปรื่องไปนั่นเอง

ปรัมปราคติเกี่ยวกับพระพุธ (ที่หาอ่านได้ยากเย็น) ยังมีที่สำคัญอยู่อีกเรื่องหนึ่งก็คือ เรื่องของนางอิลา ซึ่งอันที่จริงแล้วนางงามนางนี้ เดิมทีนั้นเป็นผู้ชาย เรื่องของเรื่องก็คือ มีกษัตริย์อยู่องค์หนึ่งชื่อ “ท้าวอิลราช” ได้เสด็จประพาสป่า แล้วหลงเข้าไปในดินแดนลับแลของพระอิศวร ซึ่งขณะนั้นกำลังหยอกเย้ากับพระแม่อุมา ด้วยการจำแลงพระวรกายเป็นหญิงอยู่ แต่ด้วยพลังเวทย์อันรุนแรงของพระองค์ ทำให้อะไรต่อมิอะไรในดินแดนนั้นก็กลายเป็นหญิงไปทั้งหมดด้วย แน่นอนว่า ท้าวอิลราช และคณะผู้ติดตามก็ไม่รอด

เมื่อคณะของท้าวอิลราชกลายเป็นผู้หญิงกันยกชุดก็ตกใจเป็นอย่างมาก จึงพากันไปเข้าเฝ้าพระอิศวร แต่พระอิศวรกริ้วหนัก (คงเพราะพวกท้าวอิลราชไปขัดพระเกษมสำราญ) จึงไม่แก้คำสาปให้ แต่ยังดีที่พระแม่อุมามีจิตเมตตา จึงผ่อนผันโทษให้ โดยให้เป็นชาย 1 เดือน หญิง 1 เดือนสลับกันไป ขณะที่เป็นชายก็ให้ลืมเรื่องราวตอนเป็นหญิง ส่วนในขณะที่เป็นหญิงก็ลืมเรื่องขณะที่เป็นชายเสียให้สิ้น ที่สำคัญคือเมื่อเป็นหญิงจะมีความงามเป็นเลิศ และมีชื่อว่า “นางอิลา”




พระพุธจะเข้ามามีบทบาทในท้องเรื่องก็ตอนต่อจากนี้แหละครับ เพราะต่อมาพวกนางอิลาได้หลงทาง (อีกแล้ว) ไปยังบริเวณที่พระพุธบำเพ็ญตบะอยู่ เมื่อพระพุธได้พบนางอิลาก็ตะลึงในความงามจนถึงขึ้นตบะแตก และสุดท้ายก็ได้นางอิลาเป็นเมีย จนที่สุดนางอิลาก็มีโอรสพระองค์น้อยๆ ให้กับพระพุธ

แน่นอนที่พระพุธย่อมทรงทราบดีว่า นางอิลา เป็นผู้ชายคือ ท้าวอิลราช มาก่อน ต่อมาพระพุธจึงทรงรวบรวมสมัครพรรคพวกไม่ว่าฤๅษีชีพราหมณ์ มาร่วมกันประกอบพิธีอัศวเมธ เพื่อล้างบาปให้กับนางอิลา

“พิธีอัศวเมธ” คือการปล่อยม้าสำคัญ โดยมีกองทัพเดินทางตามไปหนึ่งปี ถ้าม้าตัวนั้นเข้าไปในอาณาเขตของดินแดนใด ผู้ครองแคว้นต้องแสดงความเคารพ ไม่อย่างนั้นก็ต้องเปิดศึกสงครามกับกองทัพที่ตามหลังม้ามา เมื่อครบหนึ่งปีก็ต้อนม้ากลับเมือง แล้วฆ่าเจ้าม้าตัวนั้นเพื่อบูชายัญ (ดังนั้น ผมจึงไม่แน่ใจว่านี่เป็นการล้างบาป หรือทำบาปเพิ่ม?)

แปลกดีที่พระอิศวรกลับปลื้มปีติกับการที่พระพุธประกอบพิธีนี้เสียอย่างจงหนัก จนถึงขนาดถอนคำสาปให้นางอิลา กลับเป็นท้าวอิลราชตามเดิมมันเสียอย่างนั้น เอาเป็นว่าอย่าไปเดาพระทัยของเทพเจ้ากันเลยครับ ก็แค่ใจมนุษย์ก็เดากันไม่ค่อยจะออกแล้ว

แต่เรื่องของพระพุธที่คนไทยรู้จักกันมากที่สุดคงไม่ใช่ทั้งสองเรื่องที่ผมเล่ามาข้างต้น เพราะส่วนใหญ่แล้วจะรู้จักกันในฐานะเทพนพเคราะห์ (คือเทพเจ้าประจำดวงดาวสำคัญทั้งเก้า) ซึ่งสัมพันธ์อยู่กับเรื่องโหราศาสตร์มากกว่า


@@@@@@@

ตำราโหราศาสตร์ทั้งหลาย ที่ก็แต่งกันขึ้นมาในอุษาคเนย์ แถมเผลอๆ ก็มีที่มาจากในประเทศไทยเองนี่แหละ ระบุว่า พระอิศวรสร้าง ‘พระพุธ’ ขึ้นมาจากช้าง 17 ตัว (ไม่รู้ว่าเป็นตัว หรือเป็นเชือก เพราะตำราไม่ได้ระบุว่าเป็นช้างที่ผ่านการฝึกมาหรือยัง? เพราะช้างป่านับเป็นตัว ส่วนช้างฝึกนับเป็นเชือก) เอามาป่น แล้วปะพรมน้ำมนต์จนเกิดเป็นเทพบุตรคือ “พระพุธ” ที่มีพระวรกายสีเขียวมรกตขึ้นมา

ความตรงนี้ต่างจากปรัมปราคติของพราหมณ์อินเดียที่ว่า พระพุธ ทรงได้ชื่อว่า “ศยามานฺคะ” เพราะมีพระวรกายสีดำ แถมนี่ยังไม่ใช่ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวของพระพุธในไทย กับอินเดียอีกด้วยนะครับ

เพราะตามคติไทยจะเชื่อว่าพระพุธนั้นทรง “ช้าง” เป็นพาหนะ แถมยังทรง “ขอสับช้าง” เอาไว้ในพระหัตถ์ข้างหนึ่งเสมอด้วย (ซึ่งก็ไม่แปลกอะไรนัก เมื่อคำนึงถึงการที่ถูกพระอิศวรปลุกเสกขึ้นมาจากช้างแทบจะยกโขลง) แต่พระพุธในอินเดียจะทรงกริช, คทา และดาบ โดยมีราชสีห์เป็นพาหนะ

ในตำราโหราศาสตร์ของไทยยังถือด้วยว่า พระพุธเป็นเทพเจ้าแห่งวาจา และการพาณิชย์ นี่ก็ต่างไปจากอินเดียที่ถือว่าพระองค์เป็นเทพแห่งความเฉลียวฉลาดอย่างที่ผมบอกไว้ตั้งแต่ในย่อหน้าแรกของข้อเขียนชิ้นนี้ต่างหาก

เอาเข้าจริงแล้ว ถึงภูมิภาคอุษาคเนย์ และไทยเราจะอิมพอร์ตเทพเจ้าและปรัมปราคติต่างๆ จากอินเดียเข้ามามาก แต่ก็มีการปรับเปลี่ยนตามความเชื่อ หรือคตินิยมของเราเองอยู่บ่อยครั้ง จนแตกต่างไปจากความเชื่อดั้งเดิมของชมพูทวีป

เรื่องราวของอะไรที่เรียกว่า “พระพุธ” ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งในนั้น •


 


ขอขอบคุณ :-
ที่มา : มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 26 เมษายน - 2 พฤษภาคม 2567
คอลัมน์ : On History
ผู้เขียน : ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ
เผยแพร่ : วันอาทิตย์ที่ 28 เมษายน พ.ศ.2567
URL : https://www.matichonweekly.com/column/article_763791

 9 
 เมื่อ: เมษายน 30, 2024, 06:01:28 am 
เริ่มโดย raponsan - กระทู้ล่าสุด โดย raponsan
.



ผู้วิเศษเด็ก : เรื่องที่สังคมต้องระวังและไตร่ตรอง

ช่วงนี้มีประเด็นในสื่อสังคมออนไลน์ เรื่องเด็กที่เกี่ยวพันกับพุทธศาสนา คือกรณี “น้องไนซ์ นิรมิตเทวาจุติ” อายุแปดขวบ ซึ่งมีกลุ่มคนเชื่อว่าน้องไนซ์เป็น “องค์เพชรภัทรนาคานาคราช” ผู้บรรลุธรรมในชั้นอนาคามีลงมาเกิด โดยได้รับพุทธบัญชา และมีเทคนิคพิเศษที่เรียกว่าการ “เชื่อมจิต” จากอาจารย์น้องไนซ์ไปยังสาวกโดยตรง มีผู้ติดตามและไปเข้าร่วมเวิร์กช็อปเป็นอันมาก

พอเกิดเหตุเช่นนี้จึงมีผู้วิจารณ์ ไม่ว่าจากฝั่งพระและฆราวาสทั้งในแง่ตัวคำสอน เช่นที่บอกว่าเป็นอนาคามีแล้วนั้น ตามหลักพุทธศาสนาจะไม่กลับลงมาเกิดอีกแล้ว หรือการเชื่อมจิตว่า ไม่มีในหลักคำสอนของพุทธศาสนา เป็นต้น

อันที่จริงที่เป็นเหตุดราม่าก็เพราะน้องไนซ์มิได้ถูกพูดถึงในแง่อาจารย์สอนธรรมธรรมดาๆ แต่ยังมีมิติของความเป็น “ผู้วิเศษ” เช่น เรื่องการเชื่อมจิต ซึ่งผมเข้าใจว่าเป็นการถ่ายทอดประสบการณ์ทางธรรมเพียงแค่เอานิ้วมือไปแตะที่หน้าผากเท่านั้น รวมทั้งเรื่องเล่าที่ฝั่งคุณแม่ของน้องเล่าถึงนิมิตต่างๆ ที่น้องจะเกิดมา

ทั้งยังมีภาพที่ดูขัดกับขนบวัฒนธรรมไทยๆ เช่น ภาพผู้ใหญ่ก้มกราบเด็ก ภาพน้องไนซ์เอาน้ำราดหัวผู้มาขอพร หรือเล่นสนุกโดยใช้เท้าเหยียบลงบนตัวผู้เข้าร่วมกิจกรรม เป็นต้น รวมถึงลักษณะวิธีพูดที่ชวนให้สงสัยว่ากำลังถูกผู้ปกครองชี้นำอยู่ตลอดเวลา แม้ว่าน้องไนซ์อาจแสดงท่าทีที่ไม่เหมาะสมเองไปบ้าง

ผู้ที่เข้ามาโต้แย้งอย่างเผ็ดร้อนก็มีคุณแพรรี่หรืออดีตพระมหาไพรวัลย์ ซึ่งวางตนเองในฐานะผู้พิทักษ์คำสอนที่ถูกต้องของพุทธศาสนา และทำให้เรื่องนี้ยิ่งขยายวงไปสู่สื่อที่กว้างขึ้น

พอเกิดมีกรณีน้องไนซ์ อีกฝั่งพากันยกเด็กอีกคนที่มีบุคลิกท่าทีตรงกันข้าม คือ “น้องใบบุญ” อายุหกขวบ มาเป็นตัวอย่างแย้ง น้องใบบุญมีชื่อเสียงจากติ๊กต็อกด้วยความเป็นเด็กที่พูดถึงธรรมมะ แสดงความอยากบวชเพื่อเข้าถึงนิพพาน มีบุคลิกนิ่งสงบ อ่อนน้อม

ยิ่งเมื่อพาน้องไปสัมภาษณ์ในรายการดังถึงประเด็นผู้วิเศษและการให้ผู้ใหญ่กราบไหว้ น้องใบบุญก็ปฏิเสธทั้งหมด ยิ่งขับเน้นความตรงกันข้ามกันกับเด็กอีกคนมากขึ้น

@@@@@@@

เรื่องความถูกต้องของคำสอนทางศาสนาและความเชื่อนั้น ผมแสดงจุดยืนไว้หลายครั้งแล้วว่าเป็นสิทธิที่จะเชื่อ ภายใต้ขอบเขตของกฎหมายและการไม่ละเมิดสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น และก็เป็นสิทธิที่จะโต้แย้งเช่นเดียวกันโดยไม่มีอำนาจเหนือกว่าไม่ว่าจากรัฐหรือองค์กรใดเข้าไปจัดการ กระนั้นเรื่องนี้ก็ซับซ้อนกว่านั้น เพราะมีประเด็นเรื่อง “เด็ก” เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย

กรณีข้างต้น ถ้าพูดตรงๆ ผมเห็นว่าเป็นความ “ประสาทแดก” (ขออนุญาตใช้คำนี้นะครับ เพราะไม่เห็นว่าคำไหนจะตรงกว่านี้แล้ว) ของผู้ใหญ่ ที่ไปจับเอาเด็กสองคนมาให้เป็นคู่เทียบคู่ขัดแย้งกันภายใต้ของความขัดแย้งของผู้ใหญ่ ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องไม่ควรทำโดยแท้ และยังมีบางประเด็นที่ผมเห็นว่าสังคมควรเอาใจใส่และไตร่ตรองยิ่งกว่านี้อีก ซึ่งจะได้อภิปรายต่อไป

กรณี “ผู้วิเศษเด็ก” นี้ไม่ใช่กรณีแรกนะครับ ถ้าเอากรณีในเมืองไทยที่ดังหน่อย ย้อนไปในอดีตครูบาบุญชุ่มเองก็เคยเป็นผู้วิเศษเด็กเช่นกัน จนได้รับฉายา “เณรน้อยต๋นบุญ” หรือ “เณรน้อยหมอยาคน” ที่เชื่อว่ามีอิทธิปาฏิหาริย์สามารถรักษาโรคภัยให้ผู้คนได้ แม้เหรียญรูปสามเณรของท่านเป็นที่นิยมมากในวงการพระเครื่อง

ยังมีกรณีสองฝาแฝดก๊อดอาร์มี่ ผู้นำกะเหรี่ยงคริสต์ ซึ่งเชื่อว่าเป็นผู้วิเศษเช่นกันจนสามารถขึ้นมาเป็นผู้นำกองทัพกะเหรี่ยงเมื่อมีอายุเพียงสิบปี และเป็นทีรู้จักจากกรณีพากำลังเข้าบุกยึดโรงพยาบาลราชบุรี ยังไม่นับกรณีย่อยๆ อีกมากมาย

หากมองไปนอกเมืองไทย ผู้วิเศษเด็กที่โด่งดังและยังดำรงอยู่ คือกุมารีแห่งเนปาลที่ถือว่าเป็นเทพกันยาผู้มอบพรแด่ราชสำนัก แม้เมื่อไม่มีราชวงศ์เนปาลแล้ว ทางการยังคงต้องการกุมารี ทั้งในแง่พรแห่งรัฐบาลและในแง่สิ่งสำคัญทางวัฒนธรรม และกรณี “ตุลกุ” (Tulku) หรือการกลับชาติมาเกิดใหม่ของคุรุทางจิตวิญญาณในทิเบต หรือพระอาจารย์ระดับสูง

กรณีแรกนั้น เขาจะใช้เด็กหญิงจากบางตระกูลที่ถูกเลือก เชื่อกันว่าเธอเป็นกุมารีหรือเทพกันยาในร่างมนุษย์ และจะถูกเคารพกราบไหว้ไปจนกว่าจะมีประจำเดือนจึงจะหมดจากภาวะกุมารี จากนั้นเธอจะไม่ได้รับการกราบไหว้อีกต่อไป




กุมารีหลายคนมีชีวิตที่ยากลำบากเพราะไม่ได้รับการศึกษาตั้งแต่เยาว์วัย หรือเมื่อพ้นสภาพก็ไม่มีคนกล้าที่จะแต่งงานด้วย เป็นกรณีศึกษาที่นักสิทธิเด็กวิพากษ์วิจารณ์ไม่น้อย แต่ที่ยังดำรงอยู่นอกเหนือจากเรื่องความเชื่อของคนท้องถิ่น ก็เป็นเรื่องสินค้าทางวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวนั่นแหละครับ ยูทูบเบอร์และสื่อไทยยังนิยมตามรอยกุมารี เพราะว่ามันไม่เพียงเป็นวัฒนธรรมท้องถิ่น แต่มัน “แปลก” ด้วยนี่แหละ

การที่ผู้ใหญ่กราบไหว้เด็กนี่ราวกับเป็นอะไรที่ขัดกับค่านิยมของเราสุดสุดไปเลย ดูเหมือนเราจะสอนให้คนไหว้กันด้วย วัยวุฒิเป็นหลัก รองมาคือคุณวุฒิ แต่ในขณะเดียวกันเราก็เป็นสังคมที่กราบไหว้อะไรก็ได้ง่ายมาก ขอให้มีคุณวิเศษไว้ก่อน

ความย้อนแยงกลายเป็นลักษณะเด่นของสังคมไทยที่ไม่อาจก้าวไปสู่สังคมที่คิดแบบวิทยาศาสตร์/สมัยใหม่ หรือติดจมอยู่กับอนุรักษนิยม/ความเชื่อไปทั้งหมด เพราะเรานั้น “ก้ำกึ่ง” เสียทุกเรื่องครับ เป็นช่วงเวลาที่คนสองช่วงวัยที่ถือค่านิยม ความคิด ความเชื่อต่างกันดำรงอยู่ไปพร้อมๆ กัน มองในแง่ดีคือเป็นช่วงเวลาใกล้เปลี่ยนผ่าน แต่เราจะเปลี่ยนผ่านไปสู่อะไรและโดยปราศจากความรุนแรงหรือไม่ ผมก็ไม่ทราบ

กรณีของตุลกุ ซึ่งหมายถึง “นิรมาณกาย” อันเป็นวัฒนธรรมพุทธศาสนา “ของทิเบต” โดยเฉพาะ แม้ว่าพุทธศาสนาจะเชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด แต่ในอินเดียและในที่อื่นๆ ไม่เคยมีธรรมเนียมหรือความเชื่อว่าครูบาอาจารย์ที่บรรลุธรรมในระดับสูงจะสามารถกลับมาเกิดใหม่อีกครั้งเพื่อทำภารกิจต่อไป

คุรุท่านนั้นจะถูกสรรหาตั้งแต่ยังเป็นเด็กด้วยวิธีการเฉพาะ และเมื่อค้นพบแล้ว จะได้รับการปฏิบัติด้วยความเคารพอย่างสูง มีสถานภาพเหนือเด็กทั่วๆ ไป และมักถูกพรากจากพ่อแม่เพื่อนำไปศึกษาเล่าเรียนในอาราม บางท่านเป็นเพียงเจ้าอาวาสในวัดเล็กๆ บางท่านเป็นถึงประมุขนิกายซึ่งมีอำนาจมากทั้งทางโลกทางธรรม จึงกลายเป็นประเด็นทางการเมือง-ศาสนาที่ร้อนแรงอย่างยิ่ง

เรื่องนี้มีรายละเอียดเยอะและในปัจจุบันถูกวิพากษ์วิจารณ์เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อวัฒนธรรมนี้ไปสู่โลกตะวันตก ไว้ผมจะเล่าให้ฟังยาวๆ ครับ

@@@@@@@

กลับมาที่เรื่องน้องสองคนในบ้านเรา แม้ว่าน้องใบบุญจะมิได้อ้างตนเองว่าเป็นผู้วิเศษทั้งทางตรงหรือทางอ้อมหรือโดยคนใกล้ชิด แต่การเป็นผู้วิเศษนั้นไม่จำเป็นต้องอ้างก่อนถึงจะเป็นได้ หากมีคุณลักษณะบางอย่างโดยเฉพาะคุณลักษณะที่ขัดแย้งกันเอง ย่อมจะถูกมองว่าเป็นผู้วิเศษโดยสังคมได้ไม่ยาก เช่น เป็นเด็กแต่สนใจธรรม เป็นเด็กแต่รู้ธรรมระดับสูงโดยไม่มีคนสอน อันนี้ก็พอจะเริ่มมีความ “วิเศษ” ขึ้นมาแม้จะไม่ตั้งใจก็ตาม

ผมเจออีกเคสที่น่าเป็นห่วง คือเด็กที่เป็น “คนทรง” อย่างจีนครับ ทราบกันว่าคนทรงอย่างจีนนั้นจะต้องแสดงอิทธิฤทธิ์โดยการทำสิ่งหวาดเสียวต่างๆ เช่น ลุยไฟ ปีนบันไดมีด ใช้เหล็กแหลมแทงร่างกายหรือลุยกระเบื้อง อันนี้ไม่เพียงเป็นเรื่องผลทางจิตวิทยาแต่ยังเป็นเรื่องสวัสดิภาพและอันตรายที่จะเกิดขึ้นด้วย

กระนั้น ไม่ว่าจะแบบไหน จะโลดโพนโจนทะยานแบบน้องไนซ์หรือจะเรียบๆ เย็นๆ อย่างน้องใบบุญ เด็กต้องได้รับการปกป้อง มีสิทธิที่จะเติบโตโดยไม่ถูกรบกวน มีชีวิตอย่างเด็ก ซึ่งเรียกร้องการมี “ความเป็นส่วนตัว” ตามสมควร

ด้วยเหตุนี้ พ่อแม่หรือครูบาอาจารย์จะต้องไม่เอาเด็กไปสร้าง “คอนเทนต์” โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวงกว้าง แม้ว่าคอนเทนต์นั้นจะเป็นเรื่องธรรมะธัมโมหรือดีงาม เพราะเราต้องไม่ลืมว่าเด็กยังปราศจากวิจารณญาณ ถึงพ่อแม่จะอ้างว่าได้ขออนุญาตเขาแล้วก็ตาม

เมื่อเราจับเด็กโยนลงไปในโลกออนไลน์กับผู้คนมากมายที่เราไม่รู้จักหน้าค่าตา โลกออนไลน์นั้นเร็วและไร้ความปรานี เด็กอาจกลายเป็นประเด็นขัดแย้ง มีผู้แสดงความเห็นที่หลากหลายทั้งดีและไม่ดีหรือถึงขั้นเลวร้าย เราจึงควรปกป้องเขาจากการเผชิญสิ่งเหล่านั้น ยิ่งหากเอาไปเป็นประเด็นขัดแย้งระหว่างกันบนสื่อก็ยิ่งเลวร้ายเข้าไปอีก

อีกประการหนึ่ง เราไม่มีทางรู้เลยว่าเมื่อเขาโตขึ้น สิ่งที่ทิ้งไว้เป็น “ดิจิทัลฟรุตปรินต์” จะทำให้เขารู้สึกอย่างไร กระทบต่อตัวตนของเขาที่เปลี่ยนไปแล้วหรือไม่ เพราะเมื่อโตเขาก็อาจไม่อยากเป็นสิ่งที่เคยเป็นตอนเด็กก็ได้ หรือถึงขั้นอับอาย

ดังนั้น เรื่องนี้จึงอยากให้ผู้เกี่ยวข้องและสังคมระวังไหว คือรวดเร็วในการตอบสนอง และไตร่ตรองให้ดีครับ •





ขอขอบคุณ :-
ที่มา : มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 26 เมษายน - 2 พฤษภาคม 2567
คอลัมน์ : ผี-พราหมณ์-พุทธ
ผู้เขียน : คมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง
เผยแพร่ : วันอาทิตย์ที่ 28 เมษายน พ.ศ.2567
URL : https://www.matichonweekly.com/column/article_763679

 10 
 เมื่อ: เมษายน 29, 2024, 09:50:56 pm 
เริ่มโดย aventure1 - กระทู้ล่าสุด โดย aventure1
ดันกระทู้ 

หน้า: [1] 2 3 ... 10