ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: วิปัสสนาบนหน้าข่าว : วิสาขปุณณมี มรรควิถีแห่งปัญญารู้แจ้ง  (อ่าน 1016 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออนไลน์ ออนไลน์
  • กระทู้: 28455
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


วิปัสสนาบนหน้าข่าว : วิสาขปุณณมี มรรควิถีแห่งปัญญารู้แจ้ง
เรื่อง มนสิกุล โอวาทเภสัชช์ /ภาพ ทวีชัย จันทะวงค์ / หมู่บ้านพลัม

"ความรัก คือพลังงานอันแสนวิเศษที่ไหลเวียนอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยความทุกข์ยาก ผู้คนต่างยุ่งวุ่นวายในการแข่งขันเพื่อพบกับความสำเร็จหรือความล้มเหลว เราจึงค่อยๆ สูญเสียธรรมชาติที่งดงามของความรักไป พระพุทธเจ้าประสูติเช่นผู้ตื่นรู้ที่เปี่ยมด้วยความกรุณาอันไร้ขอบเขต  การเฉลิมฉลองวันวิสาขบูชา เป็นโอกาสที่เราจะได้ใกล้ชิดกันและกันมากยิ่งขึ้น เพื่อให้เมล็ดพันธุ์แห่งความรักและความเบิกบานในใจเราได้เบ่งบานอย่างงดงาม  เราพนมมือเป็นรูปดอกบัว ตั้งจิตอธิษฐานให้แสงแห่งความสงบจากพระพุทธองค์ฉายกระจ่างไปทั่วทั้ง ๑๐ ทิศ" ติช นัท ฮันห์
 
และแล้ว ภิกษุณีเจิงคอม ภิกษุฟับดัง พร้อมด้วยคณะพระธรรมาจารย์กว่า ๒๐ รูป ซึ่งเป็นสานุศิษย์พระอาจารย์ติช นัท ฮันห์ พระมหาเถระแห่งพระพุทธศาสนามหายาน นิกายเซน ก็จาริกธรรมในเอเชียมาถึงเมืองไทยโดยสวัสดิภาพเมื่อวันที่ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๕๘ โดยมีการแถลงข่าวขึ้นที่ชั้น ๒ อาคารผู้โดยสารอากาศยานส่วนบุคคล ท่าอากาศยานดอนเมือง กรุงเทพฯ เกี่ยวกับกิจกรรมการภาวนาครั้งนี้ในชื่อว่า "เราดั่งกายเดียวกัน" (We inter-are) โดยเริ่มต้นที่ประเทศญี่ปุ่น ๒ สัปดาห์ ประเทศอินโดนีเซีย ๒ สัปดาห์ไปแล้ว และจะพำนักในประเทศไทยราว ๔ สัปดาห์

 
 :25: :25: :25: :25:

ภิกษุณีเจิงคอม พระธรรมาจารย์ผู้มีอาวุโสสูงสุดของหมู่บ้านพลัม ประเทศฝรั่งเศส กล่าวถึงสุขภาพของพระอาจารย์ติช นัท ฮันห์ ที่ไม่ได้มานำภาวนาในครั้งนี้ว่า ขณะนี้หลวงปู่ได้ออกจากโรงพยาบาลมาสักระยะหนึ่งแล้ว ตอนนี้ท่านพำนักอยู่ที่กระท่อมของท่าน ท่ามกลางคณะนักบวชทั้งหลายที่ได้ดูแลท่าน หลวงปู่ขอส่งคำกล่าวทักทาย และคำขอบคุณเป็นอย่างยิ่งที่ทุกท่านได้ส่งความสุข และได้เกื้อกูลในเวลาที่ท่านอาพาธมาตลอด
 
"เมื่อ ๖ เดือนที่แล้ว หลวงปู่เกิดอาการเส้นเลือดใหญ่ในสมองส่วนกลางแตก ใครๆ ก็คิดว่าหลวงปู่คงไม่มีทางที่จะรอดชีวิตมาได้ นักการแพทย์ผู้เชี่ยวชาญระบบประสาทวิทยาหลายๆ ท่านก็คาดการณ์ว่า ท่านคงจะอยู่ได้เพียง ๓ วันเท่านั้น หลวงปู่อยู่ในภาวะโคม่าในช่วงนั้น แล้วก็เป็นเรื่องที่น่าพิศวงมากที่ถึงแม้ท่านอยู่ในอาการโคม่า  ท่านก็ไม่ต้องใช้เครื่องหายใจ ไม่ต้องใช้เครื่องออกซิเจน  ท่านหายใจด้วยตัวของท่านเอง
 
 ans1 ans1 ans1 ans1

"สามวันหลังจากท่านเส้นเลือดในสมองแตก บรรดาแพทย์ทั้งหลายก็คิดว่า ท่านจะสิ้นชีวิต แต่ท่านก็อยู่ต่อไปจนถึง ๑๐ วัน หลังจากสิบวันไปแล้ว หลายท่านก็ยังคาดคะเนว่า ท่านอาจจะเสียชีวิตภายในสองสามชั่วโมง  เพราะบรรดาคณะแพทย์เหล่านั้น ทางทีมเอกซเรย์การวินิจฉัยทางการแพทย์ต่างเป็นไปในทิศทางเดียวกัน แต่เมื่อเรามองไปที่หลวงปู่ในชั่วขณะนั้น ท่านดูโอเคมาก ท่านสามารถที่จะเปิดตาขึ้นมาข้างหนึ่ง หลับข้างหนึ่ง เวลาที่มีลูกศิษย์จากประเทศไทย อินเดียไปเยี่ยมท่าน ท่านสามารถที่จะลืมตา และแสดงความประหลาดใจ แสดงความชื่นชมได้
 
"แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านประสาทวิทยาที่ดูแลหลวงปู่ ที่เก่งที่สุดในโรงพยาบาลกล่าวว่า ไม่ต้องคิดไปในแง่บวกมากนัก เพราะหลวงปู่อาจจะเสียชีวิตในสองสามชั่วโมงนี้ หรือเมื่อไหร่ก็ได้ แต่เราก็บอกว่า แต่เวลาดูหลวงปู่ ก็จะเห็นว่า มีลูกศิษย์ลูกหา และผู้ปฏิบัติที่ปฏิบัติตามท่านเป็นล้านๆ คน ที่กำลังช่วยส่งพลังให้ท่าน และพลังเหล่านี้ กลับไปที่ไหน...เส้นเสือดในสมองของหลวงปู่แตกนั้น มันอยู่ในส่วนลึก ซึ่งไม่สามารถผ่าตัดได้ แต่เราเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า พลังจากพระโพธิสัตว์เป็นล้านๆ คนที่ได้เกื้อกูล ส่งพลังให้กับหลวงปู่ และพลังเหล่านี้ก็คงจะสื่อสาร แผ่ซ่านวิ่งเข้าไปอยู่ในตัวหลวงปู่ ที่เข้าไปเยียวยาส่วนนั้นส่วนนี้ ในสมองของท่าน แล้วหลวงแม่ก็บอกแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเช่นนั้น  ฝ่ายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก็ยิ้ม..."

 

นอกจากนี้ภิกษุณีเจิงคอมยังกล่าวถึงความคืบหน้าของสุขภาพหลวงปู่โดยกล่าวว่า สุขภาพของหลวงปู่ดีขึ้นเป็นลำดับ ด้วยพลังที่ส่งจากลูกศิษย์หลายล้านคนจากทั่วทุกมุมโลก ได้ช่วยเยียวยาให้หลวงปู่อาการดีขึ้น ขณะนี้ท่านสามารถฉันอาหารได้เอง ฝึกยืน ฝึกเดิน เป็นลำดับ และสิ่งที่ภิกษุณีเจิงคอมเล่าถึงสภาวะหลวงปู่ในปัจจุบัน ก็คือความหมายของการภาวนาในครั้งนี้ "เราดั่งกันและกัน" ที่เป็นจริงได้ และเป็นจริงแล้ว
 
"อีกไม่นาน พวกเราจะได้พบหลวงปู่อีกครั้ง เรายังได้รายงานการจาริกธรรมในแต่ละวันให้หลวงปู่ทราบ หลวงปู่ปีติมาก มีรอยยิ้มที่เบิกบาน และเช่นเดียวกับการเดินทางมาถึงเมืองไทยในครั้งนี้ หลวงปู่ก็จะได้รับทราบและเราเชื่อว่า หลวงปู่จะอยู่กับเรา ณ ที่นี้ และยิ้มเบิกบานไปกับเราเช่นเดียวกัน"

 
 st12 st12 st12 st12

ภิกษุฟับดัง กล่าวถึงหัวใจของการภาวนา 'เราดั่งกันและกัน' เพิ่มเติมว่า 'We inter- are' หมายถึงความทุกข์และความสุขเป็นดั่งกันและกัน มันเป็นสิ่งที่เชื่อมโยงกัน เหมือนกับว่า ถ้าไม่มีโคลนตมก็ไม่มีดอกบัว ถ้าไม่มีขยะก็ไม่มีดอกไม้
 
"ปัญญารู้แจ้งเกี่ยวกับการเป็นดั่งกันและกัน ทำให้เราตระหนักรู้ว่า เมื่อเรามีความทุกข์ เราก็จะมีความสุข เมื่อเรามีขยะ เราก็จะมีดอกไม้ เมื่อเราเห็นเช่นนี้ เราจะเห็นความทุกข์ และเข้าใจที่มาของความทุกข์เหล่านั้น เวลาที่เรามีความทุกข์เราก็สามารถที่จะฝึกสติ และนำใจกลับมาสู่กายของเราได้เพื่อมองอย่างลึกซึ้งเข้าไปในความทุกข์ของเรา ถ้าเราไม่ทำเช่นนั้น เราก็จะสืบเนื่องความทุกข์ของเราต่อไป วันแล้ววันเล่า แต่ถ้าเราหันมามอง เมื่อเราเห็นเหตุแห่งทุกข์ เห็นรากของความทุกข์ เราก็สามารถแปรเปลี่ยนความทุกข์นั้นได้ ความทุกข์นั้นก็จะยุติลง การยุติของความทุกข์ นั่นก็คือ ความสุข นั่นเอง นี่คือ อริยสัจข้อที่ ๓ การดับทุกข์"
 
และนี่คือหัวใจของการภาวนากันในครั้งนี้ตลอด ๑ เดือน โดยอาศัยอริมรรคมีองค์ ๘ เป็นหนทางในการแปรเปลี่ยนความทุกข์เป็นความสุขในใจเรา


ขอบคุณบทความและภาพจาก
http://www.komchadluek.net/detail/20150601/207205.html
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ