ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
  • สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน
แสดงกระทู้
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
    Messages   Topics Attachments  

  Messages - suchin_tum
หน้า: 1 ... 6 7 [8] 9 10
281  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / กัมมัฏฐาน คือ งานสร้างฐานความดี เมื่อ: ตุลาคม 29, 2011, 06:24:23 pm
มีเสียงวิตกวิจารย์ ถึงครูบาอาจารย์ ด้วยรูปแบบต่างๆ กันสรุปว่าเป็นเสียงปีติ 5 อันผัดผัน โต่งข้างสุขทุกข์ก็มาก โต่งข้างประคองไว้ก็มี ได้คะแนนเท่ากัน คือความเห็นนั้นเป็นอนัตตา เป็นศูนย์คือไม่ได้อะไร เดี๋ยวถึงเวลาท่านก็ออกมา..... ย้อนไปดูกันหน่อย ตอนที่พระอาจารย์ท่านอยู่เราทําตามที่ท่านบอกหรือเปล่า และตอนที่ท่านไม่อยู่ เรายังคงไว้ซึ่งคําสอนของท่านหรือเปล่า(ตอบไม่ได้) เอาไปทํากันหรือเปล่า สร้างงานของความดีกันหรือยัง เริ่มหรือยัง...กัมมัฏฐาน ฐานของความดี มีแต่จิตเท่านั้นที่เดินทางอย่างอื่น เรื่องอื่นคือติดในสมมุติ เรื่องศิล สมาธิ ปัญญา ไปวิมุติ.....อย่ามัวติดวิจิกิจฉาลังเล ติดไม่วางถือตัวหลงสักกายหลงตัว...จะเสียเวลาไม่ได้ไปเที่ยวนี้นะจ๊ะ.....ก่อนที่พระตถาคตจะเสด็จดับขันธ์ ท่านทรงตรัสว่า"ถึงตอนที่พระตถาคตไม่อยู่ พระธรรมก็คือตัวแทนของพระศาสดา แทนเราตถาคต"ฉะนั้น ศิล สมาธิ ปัญญา คือทางเดิน คือมรรค อย่างอื่น ไม่ใช่มรรค ความคิดไม่ใช่มรรค เชื่อความคิดติดความเห็น อาจจะขวางกั้นคุณธรรมที่อาจมีได้ เป็นได้ อย่าปิดกั้นความดีของตัวเอง ให้เชื่อมั่นในพระรัตนตรัย ที่มั่นคง อํานาจพระพุทธานุสติของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหนุนเราจวบถึง พอศอห้าพัน...อย่ามัวหลงไหลไปในกระแสโลก คือภพสาม ความสุข ความทุกข์ ความเฉยๆ เฉยนี้อย่าเข้าใจว่าเก่ง เพราะเตรียมที่จะเป็นสุขกับเป็นทุกข์...ส่วนผู้ที่ได้ปฏิบัติอยู่แล้วก็ดีอยู่แล้ว เพราะได้เข้าปีติ ได้ล้างสังขต ฟอกธาตุ ล้างธาตุ กันไป ทําต่อเนื่องทุกวันนะ เบาบางเอง เห็นเอง กระบวนการ ธาตุล้างธาตุ ก็จะดําเนินไปตามระบบของเค้าเอง  เราแค่ทําเป็นก็เป็นพอ เดียวได้เอง ได้อะไร คนที่ปฏิบัติอยู่แล้วคงพอเข้าใจ ระบบของ ศิลสมาธิ ปัญญาในที่นี้ พูดถึงเฉพาะศิษย์กรรมฐาน มัชฌิมา แบบลําดับ เท่านั้นนะ กรรมฐานอื่นเราไม่ไปกล่าวล่วง เราทราบจุดมุ่งหมายของเราก็เพียงพอ สําหรับผู้ที่สนใจมาใหม่ ขอเชิญไปขึ้นกรรมฐานที่วัดราชสิทธาราม ที่คณะ 5 ได้กราบ บูรพาจารย์พระอาจารย์กรรมฐานยุคตันกรุงรัตนโกสินทร์ ท่านคือ สมเด็จพระสังฆราช สุก ไก่เถื่อน" เวทาสากุ กุสาทาเว ทายะสาตะ ตะสายะทา สาสาทิกุ กุทิสาสา กุตะกุภู ภูกุตะกุ"แล้วจะรู้เองว่าได้อะไร เกาะธรรมยังดีกว่าเกาะกิเลส เกาะธรรมได้เห็นกิเลสนอนตาย..ไปไว ได้ทํา ไปช้า ยังไม่ได้ทํา-ความดี ไม่มีขาย ต้องทํา ทําแล้วรู้ได้ด้วยตัวเอง ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิติ-ทําให้ได้ถึงที่สุด"ไม่ตาย ไม่เกิด" เช่นสิ่งสองสิ่ง ความสงสัยกับความสงบระงับ อย่างไหนดีกว่า รู้กับไม่รู้อย่างไหนดีกว่า มีกับไม่มีอย่างไหนดีกว่า ไม่เอากับเอาอย่างไหนดีกว่า ใบไม้ทั้งป่ากับใบไม้กํามือ อย่างไหนมากกว่า มีความเห็นกับหมดสงสัยอย่างไหนสงบระงับ ตอบตัวเองได้ตามกระแสจริต......ขอให้ถึงความสุขกันทุกรูป-ทุกนาม อย่าลืมฟอกธาตุล้างธาตุกันเน้อ...
                        ศิษย์ธัมมะวังโสอาโลโก
282  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / การกําหนดอิริยาบท ไม่ทิ้งกายหลงกาย เมื่อ: ตุลาคม 05, 2011, 11:40:39 am
การกําหนดรู้ ในชีวิตประจําวันจิตเพลิดเพลิน อยู่ในปีติในส่วนนามกาย และติด นิกันติ ในวิปัสนูปกิเลส ...การกําหนดอย่างนี้ ดับกิเลสได้ชั่วคราว เป็นครั้งๆคราวๆไป ที่ว่าสุขคือเพลินอยู่ในลมความคิด เพลินอยู่ในปีติ และผ่านไปจากหมวดกายไม่ได้ ก็คือ ที่จะพ้นข้ามเวทนา สุขทุกข์ คงไม่ผ่าน เพราะติดอยู่ในกาย ขั้นจิต ขั้นธรรม ไม่ต้องไปนึกถึง เพราะเรื่องจะผ่านขั้นกายยังทําไม่ได้เลย ติดอยู่แค่อิริยาปทบรรพ เป็นหนึ่งในหมวด กายานุปัสนาสติปัฏฐาน คือหลงอยู่ในกาย....อย่าไปเรียกว่าเป็นสติปัฏฐาน4 นะเดี๋ยวจะหลงต้องมาเกิด และสุขทุกข์ก็ไม่ดับ ยังมีให้เห็นทุกวันอยู่แล้ว ปฏิบัติหวังเอามรรคผล พระพุทธองค์ บอกไว้อย่าให้เกิน7ปี.....ใครทํามาเกินนี้ให้ถอย รีบเปลี่ยนกรรมฐาน....เชื่อพระพุทธเจ้าใหม..พระพุทธองค์ว่าไว้พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง บางพวกว่าสายสมาธิทําให้ติดสุข ก่อนจะทิ้งสุขมันต้องรู้จักสุขก่อน สมาบัติแปดคือการเรียนรู้นามสุข คือนามกายและคือ องค์ประกอบแห่ง ปฏิสัมภิทามรรค องค์ฌานคือการเรียนรู้รูปกาย....การฝึกกรรมฐานแบบเข้าปีติ5 ก็เพื่อ ถึงกาย และจิตนั่นคือฌานและสมาบัติ(ได้เรียนความถือ-ความปล่อย)หรือรป-นาม เรียกได้หลายอย่าง รูปนามกายจิตก็คือปีติ5อันเดียวกัน....ติดสุขสมาธิ ก็เพื่อนําถึงสุขพระนิพพาน....เพราะพระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง หรือใครจะคัดค้านพระธรรมคําสอน...ไม่ต้องกลัวติด พระอาจารย์กรรมฐาน ท่านมีอุบาย คือกรรมฐานต่อเนื่องให้อีก เรื่องติดไม่มี...คําว่าติดสุขคงเป็นคําคม ของผู้ทําไม่ได้และถูกใช้มานานสืบทอดกันมา.........อย่าลืมไปขึ้นกรรมฐานที่คณะ5 วัดราชสิทธารามได้กราบบารมีสมเด็จพระสังฆราช สุก ไก่เถื่อน.....ขอให้โชคดีมีปราโมทย์กันทุกรูปทุกนาม..
283  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / การทําให้เกิดมรรค -ผลแค่...พระโสดาบัน อย่าเพิ่งคิดว่าเป็นเรื่องง่าย. เมื่อ: กันยายน 03, 2011, 10:25:36 pm
:035:การปฏิบัติบูชาเป็นเรื่องของการละกิเลส หรือล้างปีติ ฟอกธาตุ เพื่อทําลายความหลงอยู่ในสุข-ทุกข์-ไม่สุขไม่ทุกข์ คือภพ 3 ด้วยการรู้ได้ตามครูผู้สอน ไม่ใช่รู้เอง เพราะรู้เองเป็นกิเลส รู้แล้วก็ไม่ได้เป็นอย่างที่คิด...ไม่ได้อะไร...หากทําไม่ถูก กิเลสก็ไม่ได้ตายจริง วันต่อไปก็ยังเห็นว่าความทุกข์ยังมีให้เห็น เกิดมาแล้วเสียเวลาต้องมาเกิดอีก อย่าเพิ่งไปฝันว่าจะเป็นพระใหญ่ แค่พระโสดาบันยังทําไม่ได้เค้าเรียกฝันเฟื่อง(หลงอยู่ในปีติ)บอกได้เลยว่า หากใครเป็นแบบนี้ อุปจาร ก็ยังไม่ได้รู้ไว้ด้วย การรู้ปริยัติมาก บางทีมันทําให้ฟุ้ง การคาดคะเนคือวิจิกิจฉา ทําให้มีปลิโพธิความกังวล ไม่สามารถรวมปีติ องค์5 ได้ บาทฐานของอุปจาร ฌาน ก็จึงไม่เกิด หรือบางคร้งเกิด ก็ไม่รู้เพราะไม่มีครูบาอาจารย์ผู้บอกว่าได้ไม่ได้ใช่ไม่ใช่ จําพวกที่สองคือพวกที่เข้าปีติได้คือเข้าฌานโลกียะได้ แต่ออกฌานไม่เป็นก็ฟุ้งเพราะออกไม่เป็น เพราะเรียนไม่มีตํารา ได้แค่พรหม ต้องออกฌานได้ด้วย การออกฌานออกเพื่อลงอุปจาร จึงพิจราณาธรรมได้...สําหรับผู้ออกฌานได้แล้วที่ไม่รู้ก็มีอีก แต่ไปติิดอยู่ห้อง 8 เนวนาสัญญายตนะ ห้องนี้พิจราณาธรรมไม่ได้ เข้าออกสมาบัติได้อย่างเดียว ต้องถอยหลังลงมาที่ห้องไหน และวิธีถอยทําอย่างไร และถอยมาแค่ไหน ที่ฐานจิตอดวงอุปจารอยู่ตรงไหน จึงต้องมีครูบาผู้สอน ในกรรมฐาน มัชฌิมา แบบลําดับ นั้นมีจริงฐานจิตทุกฐานเป็นเรื่องที่ใช้มาตั้งแต่พระพุทธองค์ ไม่งมงาย
ครูผู้สืบทอดปัจจุบันยังมีอยู่ สําหรับผู้ที่ได้สมาบัติแปดติดอยู่ในห้องนี้ พระพุทธองค์จงต้องไปโปรดพรหม เพราะมันเงียบสุขแต่ไม่ใช่ทาง ยังเหลือจิต ครูผู้สอนจึงให้ถอยห้องไม่มีรูปนี้ลงมา ให้มีรูปแล้ว ครูบาก็พาเข้าห้อง วิปัสสนา....ห้อง1วิสุทธิ7 ทําได้ 3 ข้อเป็นสัมมาสมาธิจริงไม่โลภแล้ว ต้องการแค่พระธรรมหยิบมือเพื่อให้องค์ วิสุทธิ7 สมบูรณ์เข้าพระโสดาบัน...เป็นผลของมรรค  เรื่องจริงของจริงครูผู้รู้วิชชาและรู้ตําราพระกรรมฐานยังมีอยู่......กรรมฐาน มัชฌิมา แบบลําดับ มีตําราพระกรรมฐาน มีครูบาผู้บอกพระกรรมฐานเป็นเหมือน มีแสงไฟฉายนําทางอยากเรียนมีตํารา มีครูบา ควรไปขึ้นกรรมฐานที่วัดราชสิทธาราม ได้พบได้กราบสมเด็จพระสังฆราช สุก ไก่เถื่อน ด้วยเป็นนิมิตหมายที่ดี มามืดไปมืด มีครูบาพาไปสว่าง
                                  หลงทางเสียเวลา หลงอวิชชาเสียอนาคต...จากมนุษย์เองจ้า
                                                                         ศิษย์ธัมมวังโสอาโลโก

color]
284  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ปลุกขวัญกําลังใจ..กลอนแปด เมื่อ: สิงหาคม 19, 2011, 08:35:24 pm
ตั้งพุทโธ ใส่ในฐาน ใต้สะดือ-จุดนั้นคือ ตํ่ากว่าสะดือ สองนิ้วนั้น-ฐานธาตุดิน ศึกษารูป ใส่บริกรรม-พุทโธนั้น ถ้านับด้วย เป็นการดี-พุทโธ1 พุทโธ2 พุทโธ3-เพิ่มวิตก ปนวิจารย์ คิดอ่านนี้-มีสุขทุกข์ เพราะกลัวผิด ตรวจถ้วนถี่-เข้าปีติ ตามแบบที่ สร้างอารมณ์-ได้ธาตุไฟ มาอีกองค์ บ่งสุขทุกข์-กลัวนับผิด เช็คให้ถูก ตรวจด้วยญาณ-ตรวจสอบดี จิตพอใจ ได้ธาตนํ้า-ยินดีนํา ความเพลิดเพลิน เข้าธาตุลม-นับชํานาญ นับได้มาก จิตเป็นหนึ่ง-ได้ซาบซึ้ง ในเด็ดเดี่ยว จิตทํางาน-ธาตอากาศ เขายอดเดียว เอกัคคตานั้น-ธรรมปีติสั่น แผ่ซ่านขึ้น แผ่ซ่านลง-ทํากรรมฐาน ให้หยุดคิด ไม่มีอะไร-ตามครูไป อย่าตามใจ ผิดประสงค์-จุดมุ่งหมาย คือนิพพาน ตามจํานงค์-ธรรมปีติส่ง ให้พ้นข้ามได้ อย่าตามใจตัว......เริ่มรักษา โรคที่กาย ให้หายก่อน-แล้วจึงย้อน ตามครูบา รักษาใจ-กรรมฐาน มัชฌิมา ปฏิบัติได้-โรคทางกาย และจิตใจ ต้องหายดี-ไม่มาเกิด คือแพคเกต เป็นเรื่องอื่น -จิตชื่นมื่น อายตนะ มีราศี-ปล่อยโลกไป ตามทวาร ไม่ใยดี-ทั้งสิบที่ ทวารสิบ โลกไหลไป-มีครูบา พาปล่อยธาต คืนธรรมชาติ-ฟังเสียงธาตุ มีครูบา นําจิตให้-พระราหุลโลวาทสูตร มีในใจ-อ่านก็ได้ ศาสตร์ภายใน ไม่ธรรมดา-ฟังเสียงดิน เหลือแต่ดิน ไม่มีสังขาร-ฟังเสียงนํ้า เหลือแต่นํ้า ไม่มีปรุงแต่ง-ฟังเสียงลม เหลือแต่ลม ไม่มีแสดง-ฟังเสียงไฟ ไม่ปรุงแต่ง แข่งธาตุเอย-ฟังเสียงอากาศ ก็เงียบๆ ดูเฉยๆ-ราหุลโลวาทสูตร เปรย พระพุทธแสดง-ลงนาภี เสกพุทคุณ สมถะแรง-ดึงรัศมีแสง ขยายกสิณ ยกอนุโลม-วางที่หทัย ช่องหัวใจ ใกล้ธาตุที่5-ไม่มีมานะ บริกรรมเสกไป จนเต็มหัวใจ-นําปิดที่ตา นําปิดที่หู ข้างขวาข้างซ้าย-และอีกมากมาย มันบอกไม่ได้ เฉพาะศิษย์มัชฌิมา -ลมที่ดับไซร้ ระบายออกได้ ต้องเอียงหูดู-สอนสูตรต่างๆ อยู่ในคัมภีย์ พระกรรมฐาน-จงตั้งใจเถิด เพื่อนศิษย์ทั้งหลาย มีครูบานํา-สอนในระหว่างนั่ง ไม่มีตํารา ครูบาเดินญาณ......โชคดีทุกท่านทุกคนเทอญ
285  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ฐานธาตุดิน องค์วิตก แห่งการบรรลุคุณธรรม เมื่อ: สิงหาคม 17, 2011, 07:42:59 pm
  บริเวณจุดนี้อยู่ตํ่ากว่าสะดือ สองนิ้วมือ ชื่อเต็มเรียกว่าฐานธาตุขุททกาปีติธรรมเจ้า หรือ ธาตุดิน ส่วนรอยต่อที่ติดกันระหว่าง สะดือทารกกับสะดือแม่ตรงนั้นเรียกว่า นาภี หรือสะดือ เป็นจุดชุมนุมธาตุ และสัมปยุตธาตุ เป็นที่รวมนิสัยทุกภพชาติที่เราเิดมา พูดถึงฐานธาตุดินหากเราเจิญพระกรรมฐาน หากเราบริกรรมพุทโธใส่ไปในฐานนี้ มีฐานนี้ไว้เป็นอาภรณ์รองรับพุทโธ คําบริกรรมพุทโธก็จะไม่หายไปกับอากาศ โดยไม่มีฐานรองรับ พุทโธ ก็สลายเปล่าไป ที่ฐานธาตุดินหรือขุททกาปีติ เป็นฐานที่มีอานุภาพมาก ทําให้ได้ความวิตก ความตรึกหรือตัวสติก็ได้ ยิ่งทําตรงฐานนี้ไปนานๆ ยิ่งเหมือนมีแรงกด เหมือนเอานิ้วมือกดไว้เลย จับแน่นเลยแบบนั้น ผู้ที่เริ่มต้นฝึกต่างก็มาจากจริตที่ต่างกัน เมื่อมาทําที่ฐานนี้ ก็จะได้จริตใหม่ คือวิตกจริต จริตนี้มีคุณเอนกอนันต์ เป็นองค์แห่งการบรรลุคุณธรรมด้วย เป็นองค์แยกแยะ ตรึก และไตร่ตรอง องค์แรก ซึ่งฐานต่อไปก็จะมีธาตุไฟคือ วิจารณ์ เพิ่มขึ้นอีกองค์หนึ่ง สององค์นี้เป็นการเรียนรู้รูปในห้องปีติห้า ถ้าจะให้ดีให้ไปขึ้นกรรมฐานที่คณะ 5 วัดราชสิทธารามอย่างเป้นการเป็นงาน ควรไปให้ครูบาอาจารย์ตั้งธาตุตั้งธรรมให้ก่อน จะเจริญงอกงาม กรรมฐานฟู และยังได้กราบสักการะ สมเด็จพระสังฆราช สุก ไก่เถื่อน ท่านคือ ปรมาจารย์กรรมฐาน มัชฌิมา แบบลําดับ การขึ้นกรรมฐานทําให้ได้อารมณ์พุทธานุสสติ ระหว่างศิษย์กับครูบาอาจารย์ ช่วงนี้พระอาจารย์ของข้าพเจ้าทางสระบุรี ท่านไม่ได้รับขึ้น ติดเข้าพรรษา ท่านปลีกวิเวก...ในห้องพระปีติ 5ท่านให้ฝึกในฐานนี้ก่อนทุกคน ตั้งรูปที่ฐานธาตุดิน ธาตุไฟ สองฐาน เเละต่อถ้าก้าวหน้าก็เรียนรู้เรื่องนาม มีวิปัสสนาในรูปอยู่สององค์ คือธาตุนํ้า ธาตุลม และวิปัสสนานอกรูป เพราะไม่มีรูปเป็นอรูป อีกหนึ่งองค์ ก็คือธาตุอากาศ ธาตุหลังทั้งสาม จัดเป็นนาม และเป็นวิปัสสนาด้วย วิปัสสนาก็คือธาตุปล่อยวางจิต สามธาตุนี้เป็นธาตุสุขทั้งหมด เป็นธาตุปล่อยวางเป็นธาตุวิปัสสนาในปีติห้า ธาตุวิปัสสนาที่เป็นนามทั้งสาม คือ นํ้า ลม อากาศ เป็นเป็นธาตุอารมณ์ คือไม่มีรูป แต่ได้อาศัยองค์วิตก วิจารย์ ที่ได้จากการตั้งธาตุดิน ธาตุไฟมาก่อนแล้ว จึงมีแรงกดเหมือนนิ้วมือกดไว้เมื่อเลื่อนฐานธาตุ และวิตกวิจารนั้นยังสามารถ หยั่งเห็นอารมณ์พระลักษณะ ในฐานธาตุต่างๆได้อีกนําไปแจ้งอารมณ์ได้ นั่นคืออานุภาพของฐานธาตุดิน(พระขุททกาปีติธรรมเจ้า) ปีติห้าถ้าได้ศึกษาจะทําให้ไม่หลงตัวหลงตน ผู้ฝึกกรรมฐาน มัชฌิมา แบบลําดับ ไม่ต้องกลัวว่าจะติดสมาธิ เพราะการได้เรียนพระลักษณะพระปีติ 5 ก็เหมือนได้เรียนรู้ทั้งความยึดถือ ความอยาก ไม่อยาก เรียนในรูป และได้เรียนธาตุที่เป็นวิปัสสนาที่เป็นความปล่อยวางหรือธาตุสุขอีกสามองค์ ส่วนวิปัสสนาที่เป็นการยกอารมณ์ในตอนภาวนาก็มีอยู่แล้วทั้ง 5 ปีติ   คือทางมรรค เพราะกรรมฐาน มัชฌิมา แบบลําดับ สอนมรรคสมถะก็มีวิปัสสนาก็มาก รู้แล้วมันก็วางของมันเองเห็นแล้ว รู้แล้วปล่อยหมด ปล่อยฟืนปล่อยไฟ ให้ไปลองดู อย่าเอาจิตปรามาศพระกรรมฐานที่ยังไม่เคยทํา อย่าเอาความคิดมาวัด ใช้ความคิดไม่พ้นอวิชชาความคิดสร้างกรรมได้อาจปิดกั้นทําให้ไม่ถึงคุณธรรม อย่าลืมไปขึ้นกรรมฐานที่คณะ 5 วัดราชสิทธารามนะครับ ขอให้ทุกท่านโชคดี.
286  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / การแยกทุกข์ออกจากสุข ให้เหลือเฉพาะสุุขคงทําได้ยาก แต่มีตัวอย่าง ท่านที่สําเร็จ เมื่อ: สิงหาคม 01, 2011, 10:01:05 am
พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ดังนี้ ...ดูก่อนอานนท์เราตถาคตจักแสดงในข้ออันเป็นที่สุดแต่โดยย่อๆ พอให้เข้าใจง่าย ที่สุดก็คือ จิตต์ กับ ตัณหา จิตต์นั้นจําแนกออกไปเรียกว่ากองกุศล คือกองสุข ตัณหานั้นจําแนกออกไปเรียกว่ากองอกุศล คือ กองทุกข์ ต้นเง่าเค้ามูลแห่งทุกข์นั้น ก็คือจิตต์และตัณหานี้เอง จิตต์เป็นผู้คิดให้ได้เป็นสุขมีขึ้น ส่วนตัณหานั้นก็ได้เกิดตามเห็นตาม (จิตต์มีความสุขมากขึ้นเท่าใด ตัณหานั้นก็ได้เกิดทุกข์ตามมากขึ้นเท่านั้น)....ดูก่อนอานนท์ แต่เบื้องต้นเมื่อเราตถาคตยังไม่รู้แจ้ง ว่าสุขและทุกข์ติดอยู่ด้วยกัน เราก็ถือเอากุศลจิตต์อันเดียวหมายจักให้เป็นสุขอยู่ทุกเมื่อ ส่วนทุกข์จักไม่ให้มีมา ก็ตั้งหน้าบําเพ็ญกุศลจิตต์เรื่อยไป เมื่อได้สุขเท่าได ทุกข์ก็พลอยเกิดมีเท่านั้น ครั้นภายหลังเราพิจราณาด้วยญาณจักษุปัญญาและเห็นแจ้งชัดว่า สุขและทุกข์ติดอยู่ด้วยกัน ครั้นรู้แจ้งแล้วก็ตรึกตรองหาอุบายที่จะกําจัดสุขและทุกข์ ให้พรากจากกันนั้นแสนยากแสนลําบากเหลือกําลังจนสิ้นปัญญาหาทางไปมามิได้ (เราตถาคตจวางเสียซึ่งสุขคืนให้แก่ทุกข์ ก็คือวางใจไว้ให้แก่ตัณหา ครั้นเราวางใจไว้ให้แก่ตัณหาแล้วความสุขในพระนิพพานก็เลยเข้ามารับเราให้ถึงพระนิพพานดิบ)เมื่อวางใจได้จึงเป็นอัพยากฤต เป็นองค์พระอรหัง คือได้เข้าไปตั้งในพระนิพพานด้วยอาการดังนี้..คิริมานนทสูตร.
287  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / เหตุและผลในการอธิฐานและการเลื่อนฐานจิตในพระกรรมฐาน เมื่อ: กรกฎาคม 31, 2011, 10:59:46 am
บางท่านที่ยังไม่ใช่ ศิาย์พระกรรมฐานอาจมีข้อสงสัยมาก ว่าทําไมจึงมีการอธิฐานมากจัง และการเลื่อนฐานขึ้น ๆ ลง ด้วยมากจัง ตรงนี้ขออธิบายไว้หน่อยว่าทุกอย่างมีเหตุและผล และผลนั้นเริมจากเหตุดี และตําราพระกรรมฐานนั้นมิได้มาเขียนขึ้นใหม่ตํารานั้นมีมาใช้มาแล้วตั้งแต่ยังไม่เกิด คําว่า พ.ศ. เรื่องการเดินจิตเลื่อนจิต อุปมา เหมือนนักกีฬาออกกําลังกาย เล่นกีฬาประเภทหนึ่งต้องการไปแข่งเพื่อชนะ ต้องมีการฟิตซ้อมเป็นอย่างดี อีกกตัวอย่าง ก็เหมือนการเรียนประถมมัธยม ตั้งใจเรียนเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัย ครูที่สอนก็ต้องมี แบบเรียน ตํารา วิชชา ที่จะสอนเรา และมีอุบายมากมายที่จะให้เราสําเร็จ เพื่อให้เด็กนักเรียนสอบได้ที่ดีๆ จึงต้องมีการทบทวน เข้มงวด ในวิชชาการ ให้เด็กนักเรียนมีความชํานาญ มีวสี คือความชํานาญแคล่วคล่อง ว่องไว จนกระทั่ง เด็กนักเรียน ที่ได้ถูกฝึกฝน เก่ง และไม่กลัวอุปสรรค อะไร มีใจตั้งมั่น ในการเรียน การสอบ การแข่งขัน ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ มีเหตุและผล มีที่มาและมีทางไป ในพระกรรมฐาน จึงต้องมีวสี ในการอธิฐาน ฝึกฝน เหมือนดั่งการเรียน วิชชาโลกทั่วไป แม้กระทั่งเรื่องการประกอบอาชีพก็เช่นกัน ก็ต้องมีความชํานาญ และมี วสี ประสบการณ์ เรื่องพระกรรมฐาน ครูบาอาจารย์ ก็ได้นําแบบแผน ท่านก็สืบทอดมาจาก ตําราของเดิม เรื่องการเดินจิตเรื่องการอธิฐานเป็นต้นแบบเดิมทั้งหมด เพื่อผู้ศึกษาที่มีความตั้งใจปฏิบัติ ได้เรียนรู้ และปล่อยวาง ได้ชัดเจนจริง ตามแบบที่ครูบาอาจารย์ มุ่งหมายให้ผู้ปฏิบัติมีความสําเร็จตามที่อธิฐานต้องการ นักกีฬาฟิตซ้อมก็เพื่อชนะในการแข่งขัน จิตก็เช่นกัน จิตก็ต้องออกกําลังกาย เพื่อความรู้และปล่อยวาง เพื่อความสําเร็จในวิชชา จิตที่ตกเป็นทาสของความคิดก็คือตกเป็นทาสของกิเลสนั่นเอง ความคิดกับปัญญาคนละอันกัน ในที่นี้กล่าวถึงปัญญาญาณในภาวนามัย หากใช้ความคิดก็คงไม่พ้นโลกียะ ความคิดเป็นเหมือนดั่งลมพัด พัดไปเรื่อยๆ ถ้าลมหยุดพัดก็ลมหยุด ลมดับ ดับลม ดับรู้บรรดาพระอริยะทั้งหลาย ชอบบอกใบ้เอาไว้ ความคิดของมนุษย์ผู้ปฏิบัติ กับคําว่าปัญญา ที่พระอริยะเทศนา คนละอันกันอย่าได้ไปกล่าวให้เป็นอันเดียวกัน ไปยึดถือว่าความคิดของเราคือปัญญานั่นเป็นปัญญามันไม่ใช่ ถูกกิเลสอุปทานจิตหรอกให้ติดอยู่ในโลก.....เก็บมา..จํามาเล่าฝากกัน ขอให้ทุกท่านโชคดีมีความสําเร็จ..กันทุกคน.
288  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / พระตถาคต..แสดงไว้..อย่าอาลัยสุข. เมื่อ: กรกฎาคม 30, 2011, 08:34:13 pm
:banghead:พระพุทธเจ้าทรงตรัสเทศนาต่อพระอานนท์ว่า บุคคลผู้ปรารถนาพระนิพพาน แต่ยังวางใจไม่ได้ ยังอาลัยถึงความสุขอยู่ คิดว่าพระนิพพานอยู่ในที่นั้นที่นี้ จะเอาจิตต์แห่งตนไปเป็นสุขใจที่แห่งนั้น ครั้นจักปล่อยวางใจเสีย ก็กลัวว่าจะไม่มีอันใดนําไปให้เป็นสุขเหตุนั้น จึงมิได้พ้นนิพพานพรหม ดูก่อนอานนท์ เราตถาคตแแสดงว่าให้ปลงใจให้ปลงใจนั้น เราชี้ข้อสําคัญเอาที่สุดมาแสดง เพื่อให้รู้ให้เข้าใจได้ง่าย การวางใจปลงนั้นคือ วางสุข วางทุกข์ วางบาป บุญ คุณ โทษ วางโลภ วางโกรธ หลง วางลาภ ยศ นินทา สรรเสริญ หมดทั้งสิ้น
    ทําเหมือนดังไม่มีหัวใจ จึงชื่อว่าทําใจให้เหมือนแผ่นดิน(วางจิตให้เป็นดัง ธาตุ เข้ากับธรรมชาติ ดิน ไฟ นํ้า ลม อากาศ ภาวนาเสมอด้วยธาตุทั้งห้า มีอยู่ในมหาราหุโลวาทสูตร) ถ้ายังทํามิได้ อย่าหวังว่าจักได้โดยโลกุตตรนิพพานเลย ถ้าทําตัวให้เหมือนแผ่นดินได้ในกาลใด พึงหวังเถิดซึ่งโลกุตตรนิพพาน คงได้คงถึงในกาลนั้นโดยมิต้องสงสัย พระนิพพานเป็นของได้ด้วยยากยิ่งนัก แสนคนจักได้แต่ละคนก็ทั้งยาก ดูก่อนอานนท์ ผู้มิได้ทําอริยมรรคปฏิปทาให้เต็มที่ ยังเป็นปุถุชนหนาไปด้วยกิเลส หาปัญญามิได้ และจักวางใจให้เหมือนแผ่นดินนั้นไม่อาจทําได้เลย
   เหตุที่เขาวางใจมิได้ เขายังถือใจอยู่ว่าเป็นของๆตัวแท้จึงต้องทรมารทนทุกข์อยู่ในโลก เวียนว่ายตายเกิด ๆ เล่า ๆ ไม่มีที่สินสุด ฯ ดูก่อนอานนท์ ผู้ที่วางใจทําตัวให้เป็นเหมือนแผ่นดินได้นั้นมีแต่บุคคลผู้เป็นนักปราชญ์และเป็นสัตบุรุษจําพวกเดียวเท่านั้น เพราะท่านไม่ถือตนถือตัว(เช่นผู้ที่เจริญอยู่ในมรรคแปด ผู้ที่ได้สัมมาสมาธิแล้ว สัมมาสมาธิองค์นี้ห้ามหายเพราะสัมมาสมาธินั้น เบาแล้วซึ่ง นิวรณ์ทั้งห้าประการ คือกามฉันทะ ความคับแ้น ความท้อแท้ ความฟุ้งซ่าน และความลังเล มีจิตต์ ตั้งมั่น ที่จักประกอบกุศลทั้งปวง ทั้งวิชชา และจรณะ)
    จาก...คิริมานันทสูตร
289  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / พระอริยะในโลงแก้ว ไม่ใหม้ไม่เน่าเปื่อย ใช้กรรมฐานอะไร. เมื่อ: พฤษภาคม 09, 2011, 10:37:36 am
      เคยสงสัยบ้างใหม ว่า กรรมฐาน มัชฌิมา แบบลําดับ จึงสรรเสริญ พระขุททกาปีติธรรมเจ้า ห้องแรก ธาตุดิน เป็นอย่างยิ่ง ก็เพราะมีอานุภาพมากมาย และเป็นห้อง พระพุทธคุณพุทธานุสสติ
       ควรไปกราบ ความดี ของพระปฏิบัติดี ทั้งหลาย ที่ในโลงแก้ว ร่างกายสังขารไม่เน่าเปื่อย บางองค์ก็ไม่ใหม้ ท่านมิได้ไปไหน ก็รอช่วยเหลือ ผู้ปฏิบัติที่ไปขอพรจากท่าน ช่วยเหลือผู้ที่มีทุกร้อน ที่ไปกราบขอบารมี
     ส่วนใหญ่ท่าน สําเร็จ กรรมฐาน ปฐวีกสิณ สามารถ ทําดินให้เป็นไฟ ทําไฟให้เป็นดิน ก็เลยไม่ใหม้ เพราะไฟไม่ใหม้ดิน เพราะดินนั้นเย็น  และดินเป็นธาตุที่ แข็ง มั่นคง ทําให้ร่างกายของท่านทั้งหลายไม่เน่าเปื่อย เมื่อท่านปลุกเสกวัตถุมงคล จึงแข็ง แน่น กันลูกปืน อุดลูกปืน ก็ลองเอาปืนไปยิงใส่ดินดูซิ ยิงดินเข้ามั๊ย สัมผัสดินนิดหน่อยก็กระเด็น กระดอน ไป นักเลงหัวไม้สมัยก่อนชอบมีพกของดีท่านติดตัว
      เคยได้ยินพระอาจารย์พูดว่า พระในโลงแก้วที่ไม่เน่าเปื่อย เผาไม่ใหม้ ประเทศเรามีมาก สระบุรีมี 13 รูป นครนายกมี 8 รูป กรุงเทพมี 30 กว่า ลพบุรี(พระอาจารย์กําลังดําเนินงานอยู่) รายละเอียด...ให้พิมพ์ชื่อ หาได้ในเว็บค้นหา หรือถามครูบาอาจารย์ ที่ท่านเคยพาไปกราบมา
     หลวงพ่อตาบ วัดมะขามเรียง ผิวเนื้อท่านแปลสภาพเป็นเนื้อไม้ ท่านสําเร็จปฐวีกสิณ
           หลวงพ่อผัน วัดแปดอาร์ หนองแค สระบุรี เนื้อท่านเป็นหินสีขาว องนี้ยังไม่ได้ไปกราบ
   พระ 2ท่านนี้ ท่านชอบปลุกเสกวัตถุมงคลร่วมกัน ตอนที่ท่านมีชิวิตอยู่
    ต่อไปเป็นรายชือท่านทั้งหลาย(มอบให้นักแสวงบุญขอบารมีท่าน)
  -หลวงพ่อตาบ วัดมะขามเรียง อยุธยา
 -หลวงพ่อผัน วัดแปดอาร์ หนองแค สระบุรี
 -หลวงพ่อผินะ วัดสนมลาว หินกอง สระบุรี(ทรงอยู่ท่านั่งสมาธิ)ดับขันธ์ท่านี้
 -หลวงพ่อชื่น วัดเขาหัวนา นํ้าตกกระอาง บ้านนา นครนายก ได้ใหว้พระพุทธชินราช ใหญ่ที่สุดในโลกด้วย ท่านนั่งอยู่บนภูเขา
 -หลวงปู่สนธิ์ วัดเขาคอก อยู่ข้าง ร.ร.เตรียมทหาร บ้านนา นครนายก
 -หลวงปู่สี วัดเขาชะโงก อยู่ใน ร.ร.นายร้อยพระจุลจอมเกล้า นครนายก ที่นี่มีพระพุทธฉาย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วย มีพระพุทธบาท บนยอดเขาด้วย และมีท่านกรมหลวงชุมพรด้วย ทางเข้ามีศาลเจ้าพ่อขุนด่าน นครนายก ท่านเป็นนักรบ สู้กับพวกขอม
 -หลวงพ่อแดง(ร่างเป็นหิน) วัดท่าแห นครนายก
 -หลวงพ่อ...(จําชื่อไม่ได้ พระทางวัดเทพศิรินทร์) ในมณฑบ วัด วังกระโจม หน้าวิทยาลัยเทคนิคนครนายก
 -กราบพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต   วัดถํ้าสาริกา นครนายก ทางเข้าไปทางนํ้าตก สาริกา นครนายก มีหินก้อนใหญ่และมีซอกลึก ที่ท่านเข้าไปปฏิบัติ กันฝนได้ เป็นหน้าผา และมีนั่งร้าน อยู่บนต้นไม้หน้าผา ท่านทําแคร่กางมุ้งแขวนกลด อยู่บนต้นไม้หน้าผา มีคนเถ้าคนแก่ห้ามไม่ให้ท่านขึ้นไป แต่ท่านจะขึ้น บอกว่าพระขึ้นไปไม่ได้ลงมาซักองค์ แต่พอรุ่งเช้า ชาวบ้านมาเฝ้าดู ท่านก็ลงมาบิณฑบาตร ที่นี่มีวิหารพระบรมสารีริกธาตุมากมาย แน่นไปหมด มีท่านผู้ใจบุญ นามสกุลดัง มาสร้างรูปเหมือนท่ายืนของท่านองค์ใหญ่มาก หลวงตามหาบัวท่านมาเทศน์ธรรมมะสัญจรที่นี่ด้วย
    ผู้ปฏิบัติธรรมควรกราบขอบารมี กราบความดี ของพระปฏิบัติ เพราะท่านคือ สาวก ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ของเรา และท่านๆทั้งหลายเช่นกัน
   -รายละเอียดหาเอาในเว็บนะครับ พิมพ์ชื่อค้นหา ผมทําแผนที่ไม่เป็น หาให้ได้เท่านี้.
290  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / พระกรรมฐานนั้นมี 2 ภาค. เมื่อ: พฤษภาคม 07, 2011, 04:48:17 pm
      พระกรรมฐานมี 2 ภาค
  1.พระกรรมฐานภาคปริยัติ คือเรียนรู้ตามคัมภีร์ ได้แก่ คัมภีร์วิสุทธิมรรค คัมภีร์มูลกรรมฐาน.
  2.พระกรรมฐานภาคปฏิบัติ คือพระกรรมฐาน มัชฌิมาแบบลําดับ สืบทอดมาโดยการประพฤติปฏิบัติ และทรงจําสืบๆต่อกันมา ไม่ขาดสาย เพื่อป้องกันอุปทานจิต และทางเดินของจิตเสีย.
         เมื่อเรียนปฏิบัติจบตามขั้นตอนแล้ว จึงเรียนพระกรรมฐานภาคปริยัติ คือการอ่าน พระคัมภีร์วิสุทธิมรรค คัมภีร์มูลกรรมฐาน เพื่อนําความรู้ทางจิต ออกมาเป็นคําพูด เพื่อทําความเข้าใจ ได้อย่างถูกต้อง และอธิบายให้ได้ใจความ.
      ตัวอย่าง เช่นพระคัมภีร์บาลีมูลกัจจายน์ เป็นคัมภีเรียนหลักไวยากรณ์บาลี เล่มเเรกของพระพุทธศาสนา คัมภีร์นี้เขียนด้วยอักษรขอม บาลีขั้นต้นการศึกษาบาลีมูลกัจจายน์ ซึ่งมีรายละเอียดพอสังเขป ดังนี้
   มาติกา ๖๗๓ สูตร
  -ต้องท่องจําหลักไวยากรณ์ ศัพท์ในคัมภีร์มูลกัจจายน์ทั้งหมด ๘ กัณฑ์ ดังนี้.
   สนธิกัณฑ์ ๕๑ สูตร
   นามกัณฑ์ ๒๑๙ สูตร
   การกกัณฑ์ ๔๕ สูตร
   สมาสกัณฑ์ ๒๘ สูตร
      ตัทธฺิตกัณฑ์ ๖๒ สูตร
      อาขยาตกัณฑ์ ๑๑๘ สูตร
      กิพพิธาน ๑๐๐ สูตร
      อุณาทิกัณฑ์ ๕๐ สูตร
 
 และยังมีคัมภีร์เสริม เช่น คัมภีร์โยชนามูลกัจจายน์ เป็นคัมภีร์อธิบายหลักการ เพื่อให้เข้าใจในการศึกษา คัมภีร์คัมภีร์มูลกัจจายน์ ได้ง่ายขึ้น เพื่อให้เกิดความเข้าใจได้ง่ายขึ้น เข้าใจขึ้น มากขึ้น
  -คัมภีร์บาลีมูลกัจจายน์ เป็นคัมภีร์เล่มแรกในพระพุทธศาสนา รจนาไว้โดย พระมหากัจจายน์เถรเจ้า เอตทัคคะผู้เป็นเลิศในทาง ขยายความย่อความให้พิศดารได้
    ในสมัยก่อนต้องมีเรียนการแปลคัมภีร์ด้วย และมีการสอบด้วย พระปฏิบัติก็จะศึกษาคัมภีร์ และมาสอบแปลคัมภีร์โดย สอบกับพระหลวง สนามสอบกลาง เช่น สอบสนามหลวง.
 แบ่งออกเป็นสามบั้น สามตอน คือ บั้นต้น บั้นกลาง บั้นปลาย ส่วนรายละเอียด ชื่อคัมภีร์ที่ต้องสอบแปลก็มี เช่น
  -หัดแปลปาฏิโมกข์
  -คัมภีร์ธรรมบท
  -คัมภีร์มงคลทีปนี
  -คัมภีร์สมันตปาสาทิกา
  -คัมภีร์พระวิสุทธิมรรค
  -คัมภีร์พระอภิธรรม
(การสอบ สอบว่าปากเปล่าโดยส่วนใหญ่)
   ที่มาจากบรมครูแห่งยุครัตนโกสินทร์ ครูบาอาจารย์ กรรมฐาน มัชฌิมา แบบลําดับ วัดราชสิทธาราม(วัดพลับ)...ศูนย์กลางกรรมฐานมัชฌิมา แบบลําดับ ประจํายุครัตนโกสินทร์.
291  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / การกําหนดนับ คู่สั้น-คู่ยาว(องค์วิตก-วิจาร)ห้อง 4 อานาปานสติ เมื่อ: พฤษภาคม 07, 2011, 10:40:27 am
   เริ่มคู่สั้นก่อน ถ้าเช็ค วิตก-วิจาร ชํานาญและคล่องแคล่ว ไม่ผิดเพี้ยนแล้ว ให้เริ่มที่คู่ยาวต่อ(กรรมฐานห้ามเปลียนเองนะ) ต้องครูบาอาจารย์สั่งให้เปลี่ยนเท่านั้น กรรมฐาน มัชฌิมา แบบลําดับ เน้นความเคารพ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และครูผู้สอน ศิษย์กรรมฐานต้องเคร่งครัด ห้องพุทธานุสสติ จะสําเร็จมีกําลังมาก เน้นความตั้งตรง ไม่โลเล โงนเงน
    ( ดูเป็นคู่ทีละ 2 บรรทัด) คือ ลมเข้า 1 บรรทัด-ลมออก 1 บรรทัด นับสั้นมี 5 คู่-นับยาวมี 9 คู่
    เข้า 1  1  2  3  4  5
       ออก  5  4  3  2  1  1
              2  1  2  3  4  5
              5  4  3  2  1  2
              3  1  2  3  4  5
              5  4  3  2  1  3
              4  1  2  3  4  5
              5  4  3  2  1  4
              5  1  2  3  4  5
              5  4  3  2  1  5(จบ 5คู่สั้น)
1  1  2  3  4  5  6  7  8  9
9  8  7  6  5  4  3  2  1  1
2  1  2  3  4  5  6  7  8  9
9  8  7  6  5  4  3  2  1  2
3  1  2  3  4  5  6  7  8  9
9  8  7  6  5  4  3  2  1  3
4  1  2  3  4  5  6  7  8  9
9  8  7  6  5  4  3  2  1  4
5  1  2  3  4  5  6  7  8  9
9  8  7  6  5  4  3  2  1  5
6  1  2  3  4  5  6  7  8  9
9  8  7  6  5  4  3  2  1  6
7  1  2  3  4  5  6  7  8  9
9  8  7  6  5  4  3  2  1  7
8  1  2  3  4  5  6  7  8  9
9  8  7  6  5  4  3  2  1  8
9  1  2  3  4  5  6  7  8  9
9  8  7  6  5  4  3  2  1  9(จบคู่ยาว 9 คู่)
    ตอนฝึก ใช้ปากกาเคมี สีแดง เขียนใส่ กระดาษขาว แปะข้างฝาตรงหน้าไว้เลย กันนับผิด ถ้านับคล่องแล้วไม่ต้องลืมตา เพราะมีงานอื่น เช่นต้องตรวจลม เข้าถูกใหม ออกถูกใหม  คู่นับ ว่าผิดคู่กันหรือเปล่า เข้าออกถูกกับคู่นับแล้ว ลมเข้าสุดใหม ออกสุดใหม (เป็นการซ้อม อารมฌ์ วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา แบบขั้นฝึก (ให้อารมฌ์เป็น 1 เหมือนภูเขาที่มียอดเดียว) ห้ามผิดขอบอก และอย่าลืมแจ้งอารมณ์ มันเป็นยังไงก็ต้องแจ้งครูบาอาจารย์ ให้มีสติอยู่กับการนับถูก ลมถูก ลมสุด ฐานกระทบต่าง ว่าไปให้ถูกทั้ง 4 ขั้น ในห้องนี้ ห้ามแอบนั่งเฉย ไม่ได้นับ ไม่ได้ตรวจลม เสียกาล(จะเสียเวลา)เพราะผิดทาง ไม่ใช่ทางมรรค ป่่วยการลําบากเสียเปล่า ต้องมีวิตก -วิจาร ขอให้ผ่านทุกท่าน ตั้งใจ ทําไปๆๆๆๆๆๆ.
      จากคําสอนครูบาอาจารย์-พระอาจารย์กรรมฐานของข้าพเจ้า
  อาการถ้าผิด หงุดหงิด เกิดเวทนา ไม่สบายใจ นับให้คล่องซะก่อนแล้วทําก็ได้

         
292  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ความหมายคําว่า"สัมปยุต"ใน พระกรรมฐาน มัชฌิมา แบบลําดับ เมื่อ: พฤษภาคม 07, 2011, 09:31:08 am
  สัมปยุุต คือ การรวมพลังจิตเข้ากับกาย เพื่อให้กายและจิต เกิดสภาวะความสงบ มีการทําอยู่ 2 แบบ ตามนี้.
 1.สัมปยุตธรรม คือการที่จิตนึกองค์ธรรมแล้วอธิฐาน เข้ากับกายจิต และระลึกถึงผลบุญกุศลจนใจแช่มชื่น แล้วอธิฐานไว้ในฐานจิต.
 2.สัมปยุตธาตุ คือการที่จุดรวมศูนย์ได้แล้ว ในที่นี้หมายถึง"พุทโธ"ประสานกับฐานจิต และจิตที่เป็นศูนย์จิต เข้าไปตรวจดูธาตุธรรมในฐานจิต
  การสัมปยุตทั้ง 2 แบบ นั้น จัดเป็นวิปัสสนา
   -แบบที่ 1 สงเคราะห์ใน จิตตานุปัสสนา โดยตรง
   -แบบที่  2 สงเคราะห์ใน กายานุปัสสนา โดยตรง
                คําสอนของครูบาอาจารย์-พระอาจารย์กรรมฐานของข้าพเจ้า.
293  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ลําดับแห่ง 7 ชาติ สลับ "อนุโลมญาณ" ย่อมเข้าถึงขั้นตอน ของสติดังนี้ เมื่อ: พฤษภาคม 03, 2011, 07:16:33 pm
  ลําดับแห่งอนุโลมญาณ
  1.โคตะระภูจิต(โคตรภูจิต) จิตเหนี่ยวนําพระนิพพานเป็นอารมณ์
  2.มัคคะจิต(มรรคจิต) จิตน้อมนําปฏิบัติเข้าสู่หนทางแห่งพระนิพพาน
  3.ชะวะนะจิต(ชวนจิต) จิตเข้าชวนะ 7 สลับไปสลับมา
  4.ผะละจิต(ผลจิต)
  5.ภวังคะจิต(ภวังคจิต)
  6.มโนทะวาราวัชชะนะจิต(มโนทวาราวัชชนจิต)
  7.ปัจจะเวกขะณะญาณ(ปัจจเวกขณญาณ) ญาณกําหนดทบทวน ลักษณะดังนี้ 1.มรรค 2.ผล 3.กิเลสที่ละได้แล้ว 4.กิเลสที่ยังเหลืออยู่ 5.นิพพาน
 ดังนั้น ท่านผู้มีการเจริญ สติปัฏฐาน 4 ย่อมเข้า ถึงความรู้ มรรค ความรู้ผล และ ความรู้ นิพพาน ดังนี้
    -รู้มรรค ได้แก่ รู้มรรค 4 มี 1.โสดาปัตติมรรค 2.สกิทาคามิมรรค 3.อะนาคามิมรรค 4.อรหัตตะมรรค.
    -รู้ผล ได้แก่ รู้ผลทั้ง 4 มี 1.โสดาปัตติผล 2.สกิทาคามิผล 3.อะนาคามิผล 4.อรหัตตะผล
    -รู้นิพพาน คือ รู้นิพพาน ทั้ง 3 มี 1อะนิมิตตะนิพพาน 2.อัปปะณิหิตะนิพพาน 3.สุญญะตะนิพพาน
 ทั้ง 3 รู้นี้ เรียกรวมๆ ว่า โลกุตรธรรม 9 อันมี(มรรค 4 - ผล 4 - นิพพาน 1)
                       จากหนังสือ....ที่ระลึก "วันอุปสมบท" ของครูบาอาจารย์

294  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / เมื่อจิตของเธอสงบเป็นสมาธิ เธอจะเห็นทุกอย่างตามความเป็นจริง เมื่อ: พฤษภาคม 02, 2011, 06:30:53 pm
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สั่งสอนไว้ให้ทําสมาธิ และเมื่อจิตของเธอสงบก็จะเห็นทุกอย่างตามความเป็นจริง เมื่อฝึกสมาธิ สติ ก็เริ่มเกิด สมาธิ ก็เริ่มเกิด วิปัสสนาญาณ ก็เริ่มเกิด มีได้ เป็นได้ ตามลําดับ.... ตามองค์โพชฌงค์ 7
   โพชฌงค์ 7 มีดังนี้
   1.สติสัมโพชฌงค์ คือ สติ ระลึก ตามรู้ รู้ตัว เป็นไปในภายในจิต สมบูรณ์ด้วย กาย เวทนา จิต
   2.ธัมมะวิจยะสัมโพชฌงค์ คือ การพิจราณา ธรรมเป็นเครื่องนําออก จากกิเลสาสวะ ด้วยสติ ปัญญา สัมมาทิฏฐิ อันสมบูรณ์  แล้วด้วย กาย เวทนา จิต
   3.วิริยะสัมโพชฌงค์ คือ ความเพียรอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสมบูรณ์มาจาก กาย เวทนา และ จิต
   4.ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์  คือ ความสงบระงับ ( อันเนื่องเข้าสู่การบรรลุธรรมขั้นต้น )
   5.ปิติสัมโพชฌงค์ คือ ความยินดี อันเกิดแต่ การเข้าสู๋ ( การบรรลุธรรมขั้นกลาง )
   6.สมาธิสัมโพชฌงค์ คือ สมาธิ อันเป็นอัปปนาสมาธิ เพราะการเข้าสู่ ( การบรรลุธรรมขั้นสูง )
   7.อุเบกขาสัมโพชฌงค์ คือ (การเข้าสู่ นิโรธ สัญญาเวทยิตนิโรธ ขั้นสูงสุด )
เมื่อโพชฌงค์ทั้ง 7 จะเจริญบริบูรณ์ ด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดด้วยประการนั้น
                 เรื่องโพชฌงค์ 7 จากคําสอน-ตําราครูบาอาจารย์(ในหนังสือวันอุปสมบท)
   
295  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / เมื่อผลการปฏิบัติเกิดที่ใจ ศิษย์ส่วนใหญ่จึงต้องการพบแต่ตัวครูผู้สอนกรรมฐานของตน เมื่อ: เมษายน 30, 2011, 10:58:55 am
       บรรดาลูกศิษย์ทุกคน ที่ได้ฝึกแล้ว ย่อมตอบตัวเองได้ ว่าทําไมต้องอาราธนาให้ท่านมาสอน ก็เพราะทุกคนเมื่อ ปฏิบัติแล้วมีความสุข ทําได้ เดินจิตได้ ตามที่พระอาจารย์สอน ทําได้จริง เพราะผลของความสุขนั้นมีจริง จึงอยู่ที่ตัวลูกศิษย์ของพระอาจารย์ทุกคน คือได้ปฏิบัติกรรมฐานนี้แล้วมีความสุข ตรงนั้น จิตนั้น มันเห็นความจริง ประจักษ์ที่ใจเป็น ปัจจัตตัง ชาตินี้มันไม่ให้ใครมาสอนแทนได้หรอก จิตมันไม่หนีแล้ว ให้อมพระมาพูด มันก็ไม่ไป....ถึงแม้พระอาจารย์ไล่ให้ตายมันก็ไม่หนี ไปที่อื่น
        เรื่องอุปสรรค ไม่มี จะสอนที่ไหน ให้อาราธนาพระอาจารย์มาได้ ลูกศิษย์ที่รอก็ครบหน้าทุกที ไม่เห็นจะเกี่ยวกับสถานที่ เรื่องสถานที่ ไม่จําเป็น วัดกันที่ใจ อันนี้สําคัญที่สุด ท่านสอนจริง เราปฏิบัติได้จริง ปฏิบัติแล้วมีความสุข มีครูบาอาจารย์ชี้แนะอยู่ทุกระยะ อันนี้เป็นสิ่งที่ลูกศิษย์ทุกคนตั้งตารอ เรื่องสถานที่มันเป็นเรื่องสังขาร  "องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสไว้ มีแต่คําว่า โน่นโคนไม้ โน่นเรือนว่าง หาวิเวกเอาตามลําพัง ตั้งกายตรงดํารงค์สติเฉพาะหน้า" ไม่มีคําว่า"วัด" เลยซักคํา พระตถาคต มีแต่ไล่เข้าป่่า แต่ล้วนบรรลุพระอรหันต์ทั้งสิ้น
    แม้พระอาจารย์จะสอนที่ไหน เราทุกคนก็จะไป ไม่ว่าจะเป็น ที่บ้าน ที่โรงเรียน ในวัด ในป่าช้า หรือตามป่่า ขอให้มีพระอาจารย์ ของเรามานั่งสอน เราไปได้หมด เราต้องการแต่พระธรรมของครูบาอาจารย์เราองค์เดียวเท่านั้น เรื่องสถานที่ หรือรูปแบบ ยกออกไปเลย ไม่ใช่อุปสรรค หลับตาแล้วก็ไม่เห็นอะไรหรอก มีเสียงพระอาจารย์ ลําดับจิตให้เป็นใช้ได้
  ศิษย์กรรมฐาน มัชฌิมา แบบลําดับ ปฏิบัติแล้ว มีแต่สรรเสริญครูบาอาจารย์ ไม่เป็นอย่างอื่นไปได้
                              นัยยะนี้....ปรารพจากผู้ฝึกและปฏิบัติ. 
296  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: "จิตล้วนๆ"ที่มา...รวมรูป-นาม(สมถะ+วิปัสสนา) ล๊อคเสป็ค ยิง. เมื่อ: เมษายน 23, 2011, 09:48:19 am
  เจตนาเพื่อเสริมกําลังใจ ไม่ยืนยันอะไร เป็นธรรมมะทั่วไป อย่าไปยึดถือว่าสําคัญ หรือไม่สําคัญ ปล่อยวาง ของแท้ก็มีที่ครูบาอาจารย์เท่านั้น ปล่อยวิตก วิจาร ในโลกนี้ไม่มีอะไรน่ายึดถือครับ.
297  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: ในโลกนี้ มีใครไม่มีุทุกข์ บ้างครับ เมื่อ: เมษายน 22, 2011, 10:44:59 am
มีทุกข์กันทุกคน ไม่มีใครไม่มี-จะให้หมดทุกข์จริง ต้อง พระกรรมฐานเท่านั้น หมดจรดแน่ และหมดจริง...จนถึงไม่เห็น-ขอบเขตุความทุกข์ไม่มีที่สิ้นสุด มันเป็นของมันอย่างนั้น.....พระกรรมฐานเท่านั้นที่แก้ ดิน นํ้า ลม ไฟ ไม่ให้กําเริบ...ที่นี่ไม่สับสน ที่นี่ไม่วุ่นวาย ที่นี่เรียงร้อยไว้ให้พึงศึกษา ไปตามลําดับ ....
298  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / "จิตล้วนๆ"ที่มา...รวมรูป-นาม(สมถะ+วิปัสสนา) ล๊อคเสป็ค ยิง. เมื่อ: เมษายน 22, 2011, 10:28:15 am
    (จิต-ในที่นี้แปลว่าการปรุงแต่งในอารมณ์ที่มนุษย์มีทั้งหมดเกิดจากรูป-นามผสมกันแล้ว) การปรุงแต่งของมนุษย์ ในอารมณ์ทั้งหลายใช้พื้นฐานมีทั้งรูป-นาม ใช้ทั้งขันธ์5ใช้เป็นอยู่แล้วในชีวีตประจําวัน ในขันธ์ทั้ง5นั้น มีทั้งธาตุ สมถะ-วิปัสสนาคือรูปเละนาม ก็คือ ดิน ไฟ นํ้า ลม อากาศ ธาตุตั้งมั่นคือรูปคือสมถะด้วย (ธาตุดิน) ส่วนที่เหลือเป็นนามทั้งหมดได้แก่ธาตุสุข-ทุกข์(ตั้งแต่ ไฟ นํ้า ลม อากาศ เป็นธาตุวิปัสสนาด้วย) เมื่อรูป-นาม มีผัสสะก็รวมกันเป็นตัวเรา จึงเกิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ได้ เกิดทุกข์ เกิดสุข พระจึงบอกว่า กรรมฐานมีอยู่ที่ตัว ไม่ต้องไปหาที่ไหน อย่าส่งจิตออกไปนอกตัวเดี๋ยวจะเห็นได้ช้า
  นิมิต 3 ประการ คือวิธีตั้งธาตุ สมถะธาตุดิน ส่วนวิธีการนําจิต เดินจิต พูดกับจิต คุยกับจิต เพื่อทําให้จิตเกิดความพอใจเหล่านั้น เพื่อต้องการยกอารมณ์ เข้าสู่ ธาตุสุข และธาตุทุกข์ ยกธาตุทั้ง 5ก็คือยกทั้งขันธ์5 (ต้องการยกทั้งธาตุสมถะ-และ ธาตุวิปัสสนาคือธาตรูปและนามในขันธ์5 ยกกรรมฐานทั้งสองส่วน คือส่วน สมถะ ส่วนวิปัสสนา ดิน ไฟ นํ้า ลม อากาศ อยู่ในกายมนุษย์นี่แหละ ยังไม่ได้ออกจากรูปกายนามกายนี้เลย) ในทางกรรมฐาน ชั้นเชิงลีลาที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ออกแบบ(modle)ไว้นั้น ช่างแสนหวานแยบคาย สุดที่จะพรรณนา
  วิธีการนําจิต ในไฟล์เสียงของพระอาจารย์ ก็คือจุดประสงค์ทั้งหมดที่มีข้างบน กรรมฐาน มัชฌิมา แบบลําดับ นั้นมีทั้ง สมถะ-วิปัสสนา ในกรรมฐานทุกห้อง ผู้ที่พูดถึงตรงนี้บ่อยก็กลัวไม่ได้พระ จงอยู่ที่นี่ท่านจะได้ทั้งหมดที่มีในพระพุทธศาสนา...ผมมั่นใจว่าพระอาจารย์ของเราสอนได้
  "คําว่าจิตล้วนๆ"เป็นการยกวิปัสสนา เพื่อทําให้จิต ยกธาตุสุข-ทุกข์ทั้ง4ขึ้นมาตอบรับ ก่อนยกวิปัสสนานั้นต้องใช้นิมิตทั้ง 3 ประการตั้งธาตุดินให้แข็งแรงก่อน เพื่อมีกําลังเห็นได้ เข้าสู่ปีติทั้ง 5(คือรูปกาย) สู่ยุคลทั้ง6(นามกาย)......ส่วนธาตุสุขต่างๆที่เจตนายกขึ้นมานั้น ธาตุสุขมีหน้าที่ผสาน รูปกาย และ นามกาย เข้าด้วยกัน จนเป็น 1 เดียว เข้าสู่กายสุข-จิตสุข(เป็นจิตล้วนๆจริงแล้วคราวนี้คือห้อง 3)
   ถึงตอนนี้ ใครสั่งสมภูมิธรรมมาอย่างอ่อน.......ก็บรรลุพระอรหันต์(แบบสุขวิปัสสก) ท่านเหล่านี้ได้แต่ลักษณะ ไม่ได้รัศมี ก็เลยไม่ได้ตาทิพย์ บรรลุแค่ธาตดิน ขึ้นไม่ถึงธาตุไฟ
   ผู้ที่ได้ลมร้อนลมลุกขึ้นของธาตุไฟ หมุนลมดับได้พักเดียว มีวิตก-วิจาร บรรลุเลย พระธาตุไฟ ปฐมฌาน เตวิชโช ได้วิปัสสนาญาณที่ปฐมฌาน(ปราศจากปีติ5-ยุคล6)
      ผู้ที่ยังไม่บรรลุต้องหมุนอานาปานสติ กันต่อ บางองค์อาจบรรลุที่ฌานลม(ฌาน4)ได้วิปัสสนาญาณที่นั่นก็ ได้อภิญญา6
      ส่วนผู้ที่ยังไม่บรรลุ ก็ออกธาตุ อากาศ(ฌาน5)อากาสานัญจายตนะ ไปธาตุวิญญาณ วิญญานัญจาญตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวะนาสัญญายตนะ.........หากจิตยังไม่ด่วนเอากสิน ครูบาอาจารย์บอกว่า เก็บได้ทั้งวิชชา 8 หลังสมาบัติแปด มีวิชชานวหรคุณด้วย แล้วจึงขึ้น ปฐมฌานโลกกุตระได้พระโสดาบัน แต่มีปฏิสัมภิทา4 ติดไปด้วย
     ในห้องสมาบัติ 8.....ถ้าใครใจร้อน ไปเอาสีแสงเลย ก็ได้วิปัสสนาญาณในห้องที่คาอยู่...บางองค์อาจได้ 5-6-7-8 นั้นได้ไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับ โลภ ไม่โลภ พวกกลัวไม่ได้เห็นเอาเลยก็ได้น้อย ได้แค่นั้น
  บางคนมีคุณธรรมมีธาตุมาแล้วก็ควรเอาไปด้วย ให้หมด ......เพราะนั่นคือ อิทธิเจโต1000- อิทธิคุณ108-อิทธิฤทธิ์10....อย่าใจร้อนในการศึกษาพระกรรมฐาน เพราะบางคนก็ไม่รู้ว่ามีอะไรแอบซ่อนอยู่ควรเอาไปให้หมด ในการศึกษา ครูบาอาจารย์ท่านสอนหมด ไม่เก็บเอาไว้หรอก
  ขอเพียงอย่าใจร้อน ว่าเป็นขั้นๆไป ....อยู่ที่นี่ 3ปีไม่หนี....ได้ทุกคน ศรัทธา พุทธานุสสติ ระลึกอยู่ในคุณ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และครูบาอาจารย์ผู้สอน สูิ่งเหล่านี้ กําลังใจและบารมีของจริง บารมีคือ กําลังใจสามารถสร้างเองได้เหมือนเรากินกาแฟ ทําไมกินทุกวันได้ แสดงว่าการปรุงแต่งสร้างได้ อยู่ที่การปรับลม ปรับความคิดของเรานั่นเองครับ ว่าเรา จะเอา จะทํา ไม่เอา ไม่ทํา แล้วแต่ความได้ลม การปรับลมปรับความคิด ธรรมเหล่านี้อาศัยกันเกิด ถ้าศึกษาจริง ต้องรู้สําเร็จทุกคน...อยู่ที่เรานั่งลง และเปิดไฟล์เสียงครูบาอาจารย์ขึ้นมาหรือยัง  วันที่ 1พฤษภา มาให้ครูบาอาจารย์ตั้งธาตุตั้งธรรม ว่าเป็นขั้นๆไป โอกาสมีเท่ากันทุกคน.....คําสอนครูบาอาจารย์ :043: :043: :043:   
299  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / ผู้เริ่มต้นฝึกกรรมฐาน มัชฌิมา แบบลําดับ ที่ว่ายาก ควรปักเวกอารมณ์ก่อนตามนี้ เมื่อ: เมษายน 21, 2011, 10:19:45 am
ให้ดูเรื่องเหล่านี้ก่อน เอาเป็นตอนๆ อย่าเอาทุกอย่างมารวมกัน พระพุทธเจ้า สอนให้แยก เหลือใบไม้กําเดียว ที่จะทําในขณะเดี๋ยวนั้น(ปัจจุบัน)คืองานที่จะทําจริงๆ  อย่าไปเอาป่าไม้มาทั้งหมดทั้งป่าเอามาแล้วไม่ได้ใช้ทุกอย่าง ทําให้ฟุ้งซ่าน เอาแบบนี้นะ ว่าเป็นตอนๆ
     1.วันที่ 1 พฤษภา มาให้พระอาจารย์ตั้งธาตุ ตั้งธรรมให้ก่อน
     2.รับวิธีการ ตอนฝึกเอง เปิดเสียงเฉพาะเสียงไฟน์ที่ใช้ เช่น พระขุททกาปีติธาตุดิน เป็นต้น ใช้เสียงนําฝึกตาม ยังท่องไม่ได้เดียวจะเครียด ถ้าคล่องควรใช้ปากเปล่า ท่องห้องแรกได้ ก็ได้หมด มีเปลี่ยนบ้างก็ไม่มาก
    3.ความอยาก(เอาออกก่อน)อยากรู้ อยากสําเร็จ ทิ้งไปก่อน อยู่แต่งานที่จะฟัง ที่จะเริ่มท่อง
    4.อารมณ์เปรียบเทียบ กรรมฐานยากง่าย ยกเลิกไปก่อน
    5.จงตั้งใจเฉพาะหน้ากรรมฐานที่จะปฏิบัติ เรื่องกรรมฐานอื่นคือ สัญญา ต้องไม่มี
    6.ความท้อถอย ต้องมีทุกคน อย่าไปมอง (ผมเองก็มี อาจจะมีมากกว่าคุณด้วย)
    7.ปฏิบัติ อยากมาก ทุกข์มากเป็นเงาตามตัว ถ้าวางใจลงในเรื่องอยาก ทุกข์เห็นน้อย แล้วปฏิบัติได้
    8.การปฏิบัติไม่มีอะไร นั่งลง แล้วเปิดเสียง ทําใจตาม ก็เสร็จสิ้น
    9.ยากวันเริ่ม วันหลัง เบาๆๆๆๆๆๆๆๆ-ต่อไป ชํานาญ เสียงระฆังตอนตีดัง แล้วเสียงก็ค่อยเบาๆๆๆๆ
    10.ผู้ที่คิดว่าทําไม่ได้คือยังไม่เริ่มนั่งลงก็มี แต่คิดก่อน
    11.เสียงของครูบาอาจารย์ในไฟน์นั้น ประมาณ 30 นาที ฝึกวันละแค่นี้
    12.อย่าลืมมาตั้งธาตุ ตั้งธรรม.
            ........จากผู้ฝึกเช่นเดียวกัน อย่าไปเชื่อความคิดกิเลส
     
300  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / การฝึกทรงสมาธิ-สําหรับกรรมฐานสองส่วน-ควรสร้างนิมิตนอกในให้เกิดขึ้น เมื่อ: เมษายน 21, 2011, 09:28:13 am
ขอยกคําพูดของครูบาอาจารย์มาให้อ่านนะ
 "ผมจะลําดับให้ท่านฟังตามหัวข้อธรรมดังนี้ ช่วงที่1 เป็นช่วงตั้งแต่พบท่าน ช่วงนี้ท่านได้สอน กรรมฐานให้ 1 กอง ว่าด้วยเรื่อง อานาปานสติ โดยให้สติกําหนดลมหายใจ ทั้ง 3 ฐาน แบ่งการนับเป็น 2 ชุด คือเริ่มใหม่ให้นับ 1-5 และชุด 2 เมื่อเริ่มชํานาญ ให้นับ 1-10 (3 ฐานที่ท่านสอนมีดังนี้ ) 1.ฐานจมูก 2.ฐานหน้าอก 3.ฐานเหนือสะดือ 2 นิ้ว โดยการฝึกไม่ใช่แค่เฉพาะตอนนั่ง สามารถฝึกได้ทุกเวลา ทุกสถานที่ โดยมีหลักง่ายๆว่า นึกได้เมื่อไหร่ ให้ทําทันที ลืมไปก็ช่างมัน ช่วงแรกที่ฝึกยากมาก เพราะเราเคยทํางาน มันก็ทํางานอยู่ จะมัวมานั่งนึกถึงลมหายใจ ระหว่างที่ทํางานอยู่มันก็เป็นเรื่องยาก ช่วงที่ฝึกช่วงนี้นอนละเมอเลย นอนละเมอเป็นลมหายใจเข้า-และลมหายใจออก 3 ฐานเลยครับ" นั่นเป็นคําพูดของพระอาจารย์ในหนังสือ
   (ควรสร้างนิมิตภายนอก)สําหรับผู้ที่เข้าสะกดพระลักษณะ พระรัศมีแล้ว ควรเริ่มสร้างนิมิต เป็นลมขึ้นลง เพราะทําลมได้แล้ว 1.ฐานที่มหาศูนย์หน้าผาก 2.ฐานที่ใต้สะดือ 2นิ้ว. คําบริกรรมใช้"พุทโธ 1 สถิตย์ในฐานจิตที่1"นั่นก็ 10 พยางค์แล้ว ถ้าเลขนับมากเป็นสองหลัก ก็จะเป็น 11 พยางค์(ของอานาปานสติมีกี่พยางค์บอกใบ้แล้วนะ) เมื่อเริ่มบริกรรมลมก็วิ่ง ขึ้นลงแล้ว จับนิมิตนอกไม่ต้องหลับตา จับลมขึ้นลมที่กายก่อนฐานให้ถูก หรือคล้ายถูกก็โอเค ถ้าเก่งแล้ว ก็ย้ายนิมิตออกไป เป็นที่ ปลั๊กไฟบนผนัง หนังสือ ปากกา เป็นต้น
 ขณะหลับตาเราทําวิปัสสนาวิชาโลกอุดร 7ฐาน ตอนลืมตาถ้าเก่งแล้วก็ให้ลองทั้งสมถะ-วิปัสสนา จับนิมิตปลั๊กไฟที่ว่าไว้ด้วย เรียกว่าการฝึกทรง ไม่ให้มันว่างมาก ว่างก็จับทําเลย
  ต้องฝึกท่องปากเปล่า"คําบริกรรมปัจเวกทั้งหมด"ไม่ควรใช้เสียงเทป หรือโทรศัพท์ ควรเลี่ยงนิสัยติดสุขจะทําให้เรา ไม่มีความกระตือรือล้น ลงทุนเหนื่อยกันอีกชาติหนึ่ง ครูบาอาจารย์บอกแล้ว ต้องทําพระอนาคามีให้ได้เป็นอย่างตํ่า เกิดบําเพ็ญต่อที่ชั้นพรหมพระอนาคามีมี 5 ชั้น ไม่ต้องมามนุษย์เทวโลกอีก
     .......คําสอนครูบาอาจารย์ และธรรม....
  ผู้เริ่มต้น ควรมาให้ครูบาอาจารย์ตั้งธาตุ ตั้งธรรมให้ก่อน เมื่อกลับไปทําจะทําได้ มาวันที่ 1 พฤษภาคมนี้ แผนที่อยู่ที่เรื่องการพบกลุ่มกรรมฐาน...โชคดีทุกท่าน
301  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ภัยภายนอก สิ่งที่ผู้แสวงหาที่ฝึกควรใช้วิจารณญาณ. เมื่อ: เมษายน 19, 2011, 02:14:46 pm
ต้องดูเอาเอง หากต้องการผลแห่งความสําเร็จจริง(แบบหวังผล)
 1.สํานักนั้นๆไม่มีแบบแผน วีธีการ คํายืนยัน หรือแนวทางที่ชัดเจน.
 2.ให้แต่นั่งหลับตากําหนด ไม่ได้มีอะไรรับรองเรา วิธีที่ให้ฝึกก็จําๆมา บางทีให้ทําเองแบบตามใจ
 3.สอนกรรมฐานไม่เป็นแต่อยากสอน อิงไว้เพื่อตักลาภสักการะ
 4.ฆาราวาสก็เปิดสํานักมาก ที่ต้องเสียค่าเเรกเข้าทั้งหลาย บางทีก็มีการขายของด้วยขายโน่นขายนี่
 5.ผู้ปฏิบัติพึงแยกเอา เพื่อไม่เสียเวลา และเสียค่าใช้จ่ายมาก
 6.แต่ละที่อย่าให้เกิน 7 ปี ถ้ารู้ตัวว่าไม่บรรลุควรเปลี่ยนกรรมฐาน.
 7.จงอธิฐานขอพบพระพุทธศาสนาไว้ เผื่อ เสียท่า ต้องตายซะก่อน
       .....ก็สุดแล้วแต่ความเห็นแยกแยะกันเอาเองตามปัญญาพื้นฐานที่เรามี.
302  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: ทำไมแจ้งกรรมฐาน ในกระทู้ไม่ได้ครับ เมื่อ: เมษายน 18, 2011, 10:26:00 am
ถ้าเป็นที่นี่ต้องแจ้ง ว่าตัวเราเองได้อะไร ได้สภาวะ ได้ลักษณะในปีติต่างๆ เป็นอย่างไร ห้องปีติสอบลักษณะอารมณ์  ห้องรัศมีต้องแจ้ง รูป แจ้งสี แจ้งนิมิต ประโยชน์ที่ได้ เพื่อกันหลงและกันความยึดถือในเหตุปัจจัย ประโยชน์สําคัญ คือได้เลื่อนลําดับจิต และเกิดความเคารพในครูบาอาจารย์เพิ่มขึ้นโดยลําดับ ถ้าก้าวหน้า ครูบาอาจารย์ก็เลื่อนห้องจิตต่อไปให้ และบอกวิธีปฏิบัติในห้องใหม่ เลื่อนแบบนี้ไปเรื่อย การแจ้งกรรมฐาน ก็ทางอีเมล หรือโทรศัพท์ ถ้ามาวันที่1พฤษภานี้ก็ได้ วิธี...เข้าแจ้ง เข้ากราบครูบาอาจารย์ด้วยความเคารพ ถวายดอกไม้กับท่าน แล้วแจ้งอารมณ์-หรือแจ้งนิมิต แล้วแต่ว่าใครอยู่ห้องใด(แจ้งด้วยเสียงเบากับท่านไม่ต้องให้ผู้อื่นได้ยิน) .....ถ้าแจ้งในบอร์ดผู้อื่นรู้จะยึดถือเอาไปเป็นอุปทานจิต ก็คือทําให้ผู้อื่น ดีใจ เสียใจ เกิดมานะสังโยชน์ได้ อาจน้อยใจว่า ทําไมเราทําไม่ได้ ก็ต้องกันด้วย เราได้แล้วก็อย่าไปสร้างกรรมกับผู้อื่น และการคุยการอวด ก็คือยังไม่ได้อะไร ก็ให้สํารวมไว้......เป็นธรรมเนียม ในพระกรรมฐานมัชฌิมา แบบลําดับ ทุกยุคทุกสมัยก็สืบทอดกันมาแบบนี้ ไม่ใช่มาเริ่มทําตอนนี้อย่าเข้าใจผิด....ผู้ที่ได้แจ้งกรรมฐาน ขอให้ท่านก้าวหน้า และประสบความสําเร็จกันทุกท่านทุกคนเทอญ. :035: :035: :035: :043: :043: :043:
303  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / มูลเหตุแห่งความสําเร็จทั้งปวง เมื่อ: เมษายน 17, 2011, 07:28:04 am
      องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสแสดงไว้ว่า "ภิกษุทั้งหลาย จงยังสมาธิให้เกิด ชนผู้มีจิตเป็นสมาธิแล้ว ย่อมรู้ตามจริง"
    "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราย่อมกล่าวการตั้งอยู่ในอรหัตผลด้วยการไปครั้งแรกนั้นหามิได้ แต่การตั้งอยู่ในอรหัตผลนั้นย่อมมีได้ (ด้วยการศึกษาโดยลําดับ) ด้วยการทําโดยลําดับ ด้วยความปฏิบัติโดยลําดับ"
304  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / Re: ลําดับพระกรรมฐาน(เพิ่มเติม) เมื่อ: เมษายน 16, 2011, 10:51:03 am
       ควรอ่านหัวข้อในบอร์ด เกี่ยวกับหลวงปู่ เรื่อง....รูปฌาน และ อรูปฌาน ที่คุณ ทินกร โพร์สไว้ ควบคู่ไปด้วยจะดี เพราะเป็น กรรมฐาน มัชฌิมา แบบลําดับ ของจริงทั้งหมดครับ.
305  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / ผู้ที่ชอบสติปัฏฐานควรมาเรียนธาตุวิตกก่อน..แล้วค่อยไปกําหนดรู้แบบสุขวิปัสสกจะมีผล เมื่อ: เมษายน 16, 2011, 07:46:16 am
  มาเรียนธาตุวิตก คือธาตุดิน ให้พุทโธ เกิดที่หน้าผาก-หรือพุทโธเกิดที่ท้อง.....ทําให้ได้ทุกอิริยาบท ยืน เดิน นั่ง นอน ครูบาอาจารย์ นับ 1-10 เข้าสมาธิ...นับ1-10 ออกสมาธิ ไม่ว่า ยืน เดิน นั่ง นอน ต้องเข้าสมาธิและออกสมาธิได้ทุกขณะจิต(ตั้งจิต-ปล่อยจิตได้ทุกตอน)นั่นเรียกว่า ทรงอุปจารสมาธิ หรือผู้ที่ได้ฌานก็ทรงฌาน.....นี่คือฝึกสําเร็จ ไม่เว้น แม้ขณะพูด-คุย เรียกง่ายว่าทุกอิริยาบทที่มนุษย์มี จะต้องมีวสีนับ1-10 ต้องการเข้านับ1-10 ต้องการออก.........แล้วถึงตอนนั้นถ้าใครจะเอาไปเจริญ สติปัฏฐาน4 อิริยาบท หรือเจริญกายานุปัสสนา เจริญอสุภะ ก็สามารถทําได้ ในทุกอิริยาบท เช่นกัน ถ้าฝึกแนวนี้ก่อน ผลที่อยากได้พระน่าจะมีได้ เป็นได้ เพราะจิตมีกําลัง ตัดกิเลสแล้วทําแบบนี้หมดทุกข์แน่.........แต่ผู้ที่เริ่มฝึกสติปัฏฐาน4เลยแบบไม่ได้ทรงสมถะ ในอิริยาบท ยืนเดินนั่งนอน จิตไม่มีกําลังแตกไตรลักษณ์ได้ คงหมดทุกข์ยาก.....สมาธิขั้นฝึกแต่ตอนต้นนั่นขั้นฝึก(ต้องนั่งหลับตาก่อน) ฝึกได้แล้ว จะไปเดิน เหิน เหยียดแขน เหวี่ยงขา ต้องเข้า-ออกได้ทุกขณะจิต แบบนี้ไม่จําต้องไปนั่งหลับตา.....พระอาจารย์สอนมาใครอยากทราบเพิ่ม.หรืออยากรู้เรื่องการทรงฌาน หรือปล่อยฌานในอิริยาบท ก็ต้องถามเอา .....ครั้งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน พระองค์เดินฌานกี่เที่ยว เข้าฌาน4 ออกสมาบัติ8 ถอยจาก ฌาน8-กลับมาฌาน1...เดินจากฌาน1 ขึ้นไปฌาน4 ออกจากฌาน4...ยังไม่ทันจะขึ้นฌาน5 ท่านเสด็จดับขันธ์ในระหว่าง ความว่าง ตรงกลางระหว่างฌาน4 จะขึ้นฌาน5นั่นเป็นลีลาที่พระตถาคตของเราได้แสดงไว้...การฝึกไปพร้อมกันทั้ง 2 อย่างตั้งแต่เริ่มต้น คงไม่มีผลดี ก็คือ หากนั่งฝึก แล้วเจริญทั้งสติและอิริยาบทด้วยนั้นคงทําได้ยาก  ถ้าทิ้งคําบริกรรมแล้วไปเจริญอย่างอื่น จิตลอย จิตสลาย พาให้จิตฟุ้งซ่าน เพราะปล่อยปัคคาหนิมิต และไม่เกิดผลอะไร เพราะสภาวะนั้นๆ คงไม่มีแรงพอไป สัมปยุตธาตุ สัมปยุตธรรม อะไรได้ เรียกง่ายๆว่า ไม่เกิดผลเลย  ...ยังไงก็ต้องตั้งสมาธิก่อนถ้าจะเอาผลด้วย ก็ต้องให้ได้ลักษณะ รัศมีก่อน อย่างนี้มีผล เพราะจิตที่จะทําวิปัสสนาได้ให้มีผลต้องเป็นจิตระดับไหน ก็คือที่บอกนี้แหละ ...
306  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / เรื่อง"หมากัดเต่า" เมื่อ: เมษายน 15, 2011, 03:21:24 pm
       ขณะที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จบิณฑบาตร กับเหล่าพระสาวกนั้น พระองค์ทรงให้พระสาวกทั้งหลาย ลองพิจราณาดู สุนัขตัวหนึ่งกําลังกัดเต่า...แล้วพระตถาคตจึงกล่าววาจาถามเหล่าพระสาวก ว่าทําอะไรเต่าได้ใหม แล้วเพราะเหตุใดจึงทําอะไรมิได้ เหล่าพระสาวกจึงตอบพระพุทธองค์ว่า "เพราะเต่า หดหัว หดหาง หดขาทั้ง4 ดึงเข้าไปซุกแอบ ไว้ในรูกระดอง ปิดหมดทั้ง 6 รูกระดองพระเจ้าข้า" พระตถาคตจึงแสดงธรรม แก่เหล่าพระสาวกทั้งหลาย...ย่อสรุปลงว่า
"รูกระดองของเต่า เปรียบเหมือน อายตนะทั้ง 6 คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เมื่อเราปิดรูทวาร ทั้ง 6 รูแล้ว บรรดากิเลส อาสวะทั้งหลายก็หมด หนทางที่จะหามีช่อง พระสาวกทั้งหลายจงอย่าให้ กิเลสได้ช่อง"เรื่องเล่าพระเทศน์ได้สดับรับฟังมาตามทีวีจ้า.
307  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: คนส่วนใหญ่ มักจะหวังบรรลุธรรม จากการ "ฟัง" เมื่อ: เมษายน 15, 2011, 08:53:48 am
เรื่อง ฟังธรรมแล้วบรรลุ ในคราวที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เทศน์ พระสาวกฟัง พระสาวกเหล่านั้นส่วนใหญ่ได้ ฌาน-สมาบัติ8 แล้ว ทั้งนั้น จิตจึงสามารถ แตกกองพระไตรลักษณ์ปหานกิเลสขาดขณะฟังธรรมได้
     แต่โอกาสที่คนธรรมดาที่จะฟังธรรมแล้วบรรลุธรรม นั้นคงยากมาก คงได้แค่ความ สุขใจ แต่ไม่ได้บรรลุ เพราะไปหลงว่าฟังธรรมบรรลุตามหนังสือพุทธประวัติ ที่พระสาวกได้บรรลุกัน ไปยึดถือพอใจตามเค้าว่า แล้วเอามาเป็นเรา.
308  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / อธิฐานเข้าสาวกภูมิ กับรอยพระพุทธบาท รอยพระพุทธฉาย เมื่อ: เมษายน 15, 2011, 08:30:36 am
    สถานที่ที่เกี่ยวพันกับ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า(องค์ที่4) สําหรับผู้ที่อยาก อธิฐานบารมี เพื่อขอเข้าสาวกภูมิ ตามคําบอกเล่าของครูบาอาจารย์
      รอยพระพุทธบาท มี 5 รอยดังนี้
   1.รอยพระพุทธบาท วัดพระพุทธบาท จ.สระบุรี
   2.รอยพระพุทธบาท เขาวงพระจันทร์ จ.ลพบุรี(ท่านมาโปรดฤาษี)
   3.พระพุทธบาทสี่รอย วัดพระพุทธบาทสี่ี่รอย อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่
   4.รอยพระพุทธบาท(คู่) รอยยืนอยู่ในนํ้าทะเล เกาะแก้วพิสดาร จ.ภูเก็ต
   5.รอยที่5(อยู่ในประเทศศรีลังกา)
       (อนึ่งรอยพระพุทธของพระพุทธองค์ ทั้ง5 รอยที่ว่านี้ มีบันทึกในหนังสือมนต์พิธีบาลี)
             รอยพระพุทธฉาย มี 2 รอยดังนี้
   1.รอยพระพุทธฉาย วัดพระพุทธฉาย จ.สระบุรี
   2.รอยพระพุทธฉาย วัดเขาชะโงก จ.นครนายก(วัดตั้งอยู่ภายใน โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า)
       ลงรูปไม่เป็น ลงแผนที่ไม่เป็น ได้แค่นี้ อยากทราบเพิ่มถามที่พระอาจารย์ครับ
.
       
309  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / ลําดับพระกรรมฐาน เมื่อ: เมษายน 15, 2011, 01:42:34 am
        ลําดับขั้นตอนในกรรมฐาน มัชฌิมา แบบลําดับ.
  เริ่มต้นสมถะ
 1.ห้องพระปีติห้า   2.ห้องพระยุคลหก  3.ห้องพระสุขสมาธิ
 ...พระกรรมฐาน สามห้องแรกนี้ ใช้ฝึกตั้งสมาธิ จนถึงสําเร็จอุปจารสมาธิเต็มขั้น 
    ขึ้น(รูปกรรมฐาน)
 4.ห้องอานาปานสติ ๙ จุด
 5.ห้องกายคตาสติกรรมฐาน
 6.ห้องกสิณ ๑๐
 7.ห้องอสุภะ ๑๐
 8.ห้องปัญจมฌาน
...จากข้อที่ 4-8 นั้นเป็น (รูปกรรมฐาน)
  ขึ้น(อรูปกรรมฐาน)
 9.ห้องอนุสสติ ๗
 10.ห้องอัปปมัญญา(พรหมวิหาร)
 11.ห้องอาหาเรปฏิกูลสัญญา
 12.ห้องจตุธาตุววัฏฐาน
 13.ห้องอรูปฌาน
...จากข้อที่ 9-13 นั้นเป็น (อรูปกรรมฐาน)
            (จบส่วนสมถะ)
 ส่วนวิปัสสนา...ในกรรมฐาน มัชฌิมานั้นมีทั้งหมด 9 ห้อง.
 1.ห้องวิสุทธิ ๗
 2.ห้องพระไตรลักษณาญาณ ๓
 3.ห้องพระอนุวิปัสสนา ๓
 4.ห้องพระวิโมกข์ ๓
 5.ห้องพระอนุวิปัสสนาวิโมกข์ ๓
 6.ห้องพระวิปัสสนาญาณ ๑๐
 7.ห้องพระโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ
 8.ห้องสังโยชน์ ๑๐
 9.ห้องออกบัวบานพรหมวิหาร.
            (จบ...สมถะ-วิปัสสนา-จบกรรมฐาน มัชฌิมา แบบลําดับ)....จากคําสอน-ตําราบูรพาจารย์.
310  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ชักชวนผู้ที่เคยสวดมนต์เป็นประจํา มาเริ่มทําสมาธิในปีใหม่ไทย(เริ่มที่วันดีที่สุด) เมื่อ: เมษายน 13, 2011, 03:50:34 pm
              การสวดมนต์  คือการบริกรรมวิตก วิตกในมนต์ กลัวผิด ตอนเริ่มสวดมีจิตตั้งมั่น เมื่อรู้ว่าสวดไม่ผิด จิตพอใจ จิตปล่อย (เพราะเคยฝึก ตั้งจิต ปล่อยจิตมาแล้ว)  เมื่อจิตปล่อย แต่ก็ยังให้จิตบริกรรมวิตกอยู่ เมื่อมนต์ยังสวดไม่จบ บางท่านหลับตาสวดด้วย เพราะสวดนาน หลายบท แต่จํามนต์ได้หมด (และอาจเคยสัมผัส ลักษณะธาตุปีติ พื้นฐานมาแล้วหลายธาตุ)......เช่น ความมึนตึงเวียนหัว ความร้อน ความเย็น ...ขณะสวดมนต์ หัวนิ้วโป้ ชนกัน ธาตุเดินคือหมุนเวียน-คนที่นั่งสมาธิมือก็ต้องทับกัน หัวนิ้วโป้ชนเช่นเดียวกัน ท่านอาจจะเข้าสู่ปีติแบบไม่รู้ตัวมาบ้างแล้ว เมื่อมาฝึกสมาธิ  จึงทําได้ไว สิ่งที่มาจัดแต่งบ้าง...1บริกรรมเป็นจังหวะจะโคน(อาจใช้ พุทโธ1 พุทโธ2แบบนับ ปรับจังหวะเสียงการบริกรรมให้ห่างกําลังดี)......2.ตั้งจุดที่ใต้สะดือ 2นิ้วขึ้นมา.....3.อุเบกขา การปล่อยอารมณ์ได้มาจากที่เคยสวดมนต์มีแล้ว เอามาใช้ได้เลย ส่วนการหลับตา เคยทําแล้วตอนสวดมนต์ อย่างท่านที่จํามนต์ได้แต่ต้องสวดยาว เพราะมีหลายบท พวกนี้จะไปไวมาก เพราะงานตอนที่หันมาฝึกสมาธินั้น มีน้อยกว่าเดิม แค่มาปรับ และ เปลี่ยนงานวิธีนิดหน่อย :character0029: :character0029: :character0029: :035: :035: :035:.
311  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ขณะบรรจงเก็บดอกไม้ถวายพระสังฆราช(สุก)มีธรรมบทหนึ่ง พรึ่บขึ้นมา เมื่อ: เมษายน 11, 2011, 12:13:57 pm
ความร้อนในใจคือธาตุขวางใจมิให้ไปดี ....ต้นเหตุเลยมันเกิดมาจากความวิตก(ธาตุดิน)วิตกโน่นกังวลนี่ ไฟ (ธาตุไฟ)ก็ตามตูดมาเลยมีสุข มีทุกข์ร้อนๆ ให้ครุ่นคิด วิจารย์ ความรู้มาเต็มเลย แต่หัก คือหาที่ลงหาข้อสรุปไม่ได้ เพราะใจยังหาธาตุนํ้า คือความยินดี ความยอมรับความจริงไม่เจอ (ธาตุนํ้า)เป็นธาตุเย็น ความเย็น ใครมีธาตุนี้มาก ยอมรับฟังคนอื่นได้มาก ไม่ขวาง แต่จะเชื่อไม่เชื่ออีกเรื่อง อยู่ที่ญาณของใครของมัน เป็นธาตุยอมรับฟังครูอาจารย์ด้วย ธาตุวิเศษ ส่วนธาตุลมก็กําลัง เล่าอยู่ พัดลมอยู่นี่ (ธาตุลม)ความคิด ถ้าไม่มีลมพัด เล่าไม่ได้ ถ้าลมหยุดพัด ความคิดหยุดลมก็หยุด ก็ถึง(ธาตุอากาศ) เพราะอากาศมันต้องนิ่ง ว่างอย่างเดียว .....ปีติ5มี5ธาตุ...วันหนึ่งคิดกี่เรื่อง คิดกี่รอบ มัวมันในดิน นํ้า ลม ไฟ ว่ายในภพ 3...นรก สวรรค์ ทั้งวัน...เกี่ยวกับกรรมฐานโดยตรง เพราะเดินจิต กันทั้งวัน เก่งด้วย..แต่ไม่รู้ตัว.....พระชอบพูดว่า...กรรมฐานมันอยู่ที่ตัว.....แต่เป็นแบบโลก โลกียะ กรรมฐานที่มีภพปน จึงต้องมาเรียนรู้เป็นขั้นๆ ขอเรียงไว้แบบของครูอาจารย์ ในกรรมฐาน ธาตุไฟดับธาตุดิน ธาตุนํ้าดับธาตุไฟ ธาตุลมดับธาตุนํ้า ธาตุอากาศดับธาตุลม...ที่กล่าวมาคือจุดประสงค์ของการทําสมาธิ-ส่วนกรรมฐาน มัชฌิมา แบบลําดับ คือเครื่องคืออุบายที่จะทําให้เราออกจากทุกข์ตรงนั้นได้....เสร็จแล้วครูจะสอนทําความเข้าใจให้ รู้ เป็นสมถะ เมื่อครูสอนให้รู้แล้ว เราปล่อย ก็เป็น วิปัสสนา เมื่อเวลาที่จิตมันเข้าใจแล้วมันไม่เอาไว้หรอก ปล่อยหมด อันนั้นเป็นพื้นฐานที่มนุษย์ที่มาเกิดบนโลกนี้ มีทุนอยู่ เป็นของเดิม เกิดมาก็นําติดตัวมา พูดถึงเรื่อง อารมณ์รู้ กับอารมณ์ไม่อยากรู้ มีทุกคน แต่ที่ต้องทํากรรมฐานก็เพราะ อยากหมดทุก ปรุงแต่มากหาทางออกไม่ได้มันก็ทุก ก็มาเรียนวิธีปล่อยกัน ที่นี่แหละ ครูอาจารย์ท่านสอนได้หมด แต่ถ้าจะเอา ต้องจัดสันตัวเอง และอยู่ หรือปฏิบัติไปตามอุบาย วิธีของครู .....ผู้ที่ลังเลสงสัย คือลมยังแรง ดินยังแรง ไฟยังแรง หาความยอมรับที่ธาตุนํ้า ยังไม่เจอ....ผู้ที่อยากฝึกธาตุนํ้า ทําได้โดย ไปสละ ทําทาน ทานมีตั้งหลายวิธี แล้วเมื่อมาฝึกกรรมฐาน มันง่าย เพราะได้การยอมรับความจริงมาบ้าง เมื่อ วิตก ทุกข์ สุข เบาลง เพราะถูก การยอมรับความจริงทําลาย นํ้าทําลายดินไฟได้ จิตเริ่มเย็น และพร้อม ที่จะประกอบ กุศลกรรมทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็น ศิล สมาธิ ปัญญา นั่นคือจิตที่เคยอยู่ฟากกุศล และสามารถ น้อมพาตนเข้ามาสู่เส้นทาง ที่จะออกไปกัน เพราะที่นี่ไม่เหงา ที่นี่มิสับสน ที่นี่มี ครูบาอาจารย์นําหน้าเรา เดินตามครูไม่ผิดหรอก.....ออกหน้าครูเดินแซงครูไม่เอา หลงทางมันเสียเวลาต้องมาเกิด..ไม่ช้าไม่ไว ไปตามลําดับ.
312  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / "ชาวเมืองนี้เค้าเก่งเรื่องฐานจิต"กรรมฐาน มัชฌิมา แบบลําดับ เกิดแต่คราวพุทธกาล เมื่อ: เมษายน 11, 2011, 09:52:43 am
ผมจําชือจริง ของเมืองนี้ไม่ได้นะ ใครรู้เอามาเสริมหน่อย เป็นเมืองที่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เลือกแสดง สติปัฏฐาน4 เทศนาสูตรนี้ให้ชาวเมืองนี้ได้ฟัง เพราะท่านเล็งเห็นโดย...ว่าเหตุพร้อม ชาวเมือง เต็มด้วย ศิลบริบูรณ์ สมาธิบริบูรณ์.......เมื่อพบหน้ากัน...เค้าถามกันว่า...ท่านเอาจิตไว้ฐานไหน...แสดงว่า..เค้ารู้เรื่องฐานจิต...ขนาดพบกันเค้าไม่มีเรื่องสัพเพเหระ...เข้าเรื่องจิตเลย ฐานจิตเลย สมัยที่ผมเป็นเด็กนักเรียนประถม ครูใหญ่ เล่าพุทธประวัติทุกเช้า "ท่านเอาจิตไว้ฐานไหน"ผมจําคํานี้ได้ ประติบประต่อ แล้ว รู้สึกเคยอ่านพบตามหนังสืออีกครั้งหนึ่งว่ามันเหมือนคําของครูใหญ่"ท่านเอาจิตไว้ฐานไหน" เพราะเรื่องการเดินจิต เรื่องการสลับฐานจิต เลื่อนฐาน ขยับฐาน เข้าวัด-ออกวัด อนุโลม-ปฏิโลม นั้น.....ต้องมีเฉพาะ..กรรมฐาน มัชฌิมา แบบลําดับ เท่านั้น พุทธกาล-อยุธยา(รุ่งเรืองเรืองมากเรื่องกรรมฐานนี้)แล้วก็มาถึง สมเด็จพระสังฆราช(สุก)ไก่เถื่อนบรมครูแห่งยุค รัตนโกสินทร์ มาหย่อนตอนแบ่งสงฆ์ 2ฝ่าย ช่วงรัชกาลที่4 เอาพระพม่าเข้ามาสอน ตั้งเป็นธรรมยุท...ช่วงรัชกาลที่1-2-3 พระจับตังค์ได้ทั้งหมด มีพระบรรลุธรรมมาก เนื่องด้วยสมัยนั้นได้เรียนของแท้กัน และมีกรรมฐานเดียว เจ้าแผ่นดินท่านตั้งพระบอกกรรมฐาน ใครไม่มีใบตราตั้งห้ามสอน..ผลดีเรื่องการปฏิบัติ จึงบรรลุคุณธรรมกันมาก เพราะได้เรียนของแท้กัน ก็สุดแล้วแต่บุญแล้วแต่วาสนา...จงตั้งอธิฐานเอาเอง.
[/i]
313  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: ผลการปฏิบัติ วัดที่ความตั้งตรง ในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไม่เชื่อตัวไม่เชื่อใคร เมื่อ: เมษายน 10, 2011, 08:13:53 pm
สายของเราครูบาอาจารย์ ไม่ได้สั่งให้ดับปีติ แบบสายป่า แต่สอนให้เข้าถึงปีติ รู้ปีติ และละปีติ คือ เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ในปีติทั้งหลายแล้ว ก็คงไม่เอามันไว้แน่ เรียนตามปีติ ยุคล สุข เน้นการเข้าถึง แล้วจิตปล่อยของมันเอง หากเราเข้าถึงสุขต่างๆได้มาก หรือทั้งหมด ก็คือเข้าถึงกิเลสตัวพ่อ ครูบาอาจารย์ บอกไว้ว่า ต้องหาทุกข์ในสุขให้เจอ ...หาในโลกไม่เจอหรอก ต้องในภาวนาอย่างเดียว ...สายเราไม่ใช้การกําหนดรู้ ถ้าข้างในไม่เห็น ข้างนอกก็ต้องไม่มี ไม่ต้องไปกําหนดรู้ เอาของจริงให้ได้ คือในภาวนา ของจริงต้องได้จากข้างใน...ถ้าสติอารมณ์ในภาวนาข้างในมันโอเค....ข้างนอกมันก็ต้องโอเคตามไปด้วย คือไม่มี ไม่เห็น ตามลําดับไป ยิ่งทํายิ่งไม่เห็น ยิ่งทํายิ่งไม่ถามใคร เกิดศรัทธาตั้งตรงต่อ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างเดียว ...นั่นแหละปฏิเวธ ของจริง...ปรึกษาเพื่อน ก็ได้ของเพื่อน เพื่อนยังไม่ได้บรรลุ จิตมันจะเอาแต่ของแท้คือของครูบาอาจารย์พระกรรมฐานเท่านั้น ของคนอื่น บางทีมันรู้ว่าของหรอก ปฏิเวธธรรมที่ ได้จากของจริง ส่วนใหญ่จะฟังแต่อุบายของจริง จิตที่มันเห็นปฏิเวธ บ้างแล้ว....มันไม่ยอมเสียเวลาหรอก. อ่านได้...เอาไว้ประกอบศรัทธา...ของจริงคือพระอาจารย์กรรมฐานของเรา นั่นที่เราตาม พระธรรมอยู่ที่ตัว พระพุทธเจ้า...สร้างไว้มีให้มาก ในพระนาม พุทโธ..สถิตย์ที่กายที่ใจของเราตรงนั้นเอาไปได้
[/i]
314  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ผลการปฏิบัติ วัดที่ความตั้งตรง ในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไม่เชื่อตัวไม่เชื่อใคร เมื่อ: เมษายน 10, 2011, 07:39:45 pm
ความตั้งใจที่มี ต่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นเรื่องที่ควรส่งเสริมให้มีเกิดขึ้นที่ใจเจ้าของ เป็นอย่างยิ่ง เพราะนั่นคือบารมี....บารมีคือ ความตั้งใจ กําลังใจ ที่จะทํา ที่จะปฏิบัติ นั่นคือบารมี ของจริงที่จะทําให้เราสําเร็จได้
    และอีกอย่างคือความตั้งมั่น ตามอุบาย คําสอน ของครูบาอาจารย์ ความเห็นทั้งหลายของเรา ยังไม่ใช่ของแท้ หยุดสําเร็จทุกอย่าง  ถึงมันจะเห็นเราก็ไม่เอากับมัน พูดถึงการปรุงแต่ง ที่เป็นความเห็น หรือสังขารทั้งหลายแหร่ เป็นการฝึกแบบไม่มีความเห็นไปตั้งแต่เริ่มแรก ความเห็น ก็คือ ความหงุดหงิดรําคาญใจ ทั้งหลายทั้งปวง เป็นสังโยชน์ด้วย ผู้ปฏิบัติทุกคนต้องมีปฏิเวธ สามารถเช็ค ความหงุดหงิดได้ ในความเห็นที่เป็นทุกข์ เป็นสุขทั้งหมดที่มีในโลก ว่ายังเห็นมากเท่าใด ผลปฎิบัติตรงนี้เป็นตัววัด สิ่งที่ได้ของใจเจ้าของ คงไม่ต้องเอามาถามกัน เพราะเป็นปัจจัตตัง ....หากการฝึกของแต่ละคนดับข้างในมาดิบดี ในโลกก็ต้องเบา ไม่ต้องพูด คือดูจิตตัวเองรู้ ว่าหงุดหงิด ไม่หงุดหงิด อย่างไร
  ในภาษาของครูบาอาจารย์ ท่านว่าไว้ ว่า ใครนั่งทุกข์ ใครนอนทุกข์ ใครเดินทุกข์ มีน้อย มีมากแค่ไหนรู้เอง เห็นเอง ว่า ภาวนาจริง ภาวนาไม่จริง สรุปลงให้ไปดับมาจากข้างใน  ข้างในยึดถือมาก ในโลกก็ยังไม่เบา ข้างในอยู่กับงาน 3 อย่างได้ดี ข้างนอกก็ดี เบาไปด้วยตามกัน ว่าไปตามปีติ .....ใครภาวนาดี สติดี อุเบกขาดี ก็ได้อุเบกขาออกมาใช้ในโลกด้วย เบาด้วย
315  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / การเดินทางของคําบริกรรม"พุทโธ"เหมาะสมกระทัดรัด เมื่อ: เมษายน 10, 2011, 08:14:07 am
"พุทโธ"ไม่มีคําใดเข้ากับเสียงหัวใจเท่ากับคํานี้ "พุทโธ"คือพระนามขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรามี พระพุธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสังฆเจ้า ไปกับเราตลอดที่มี คําว่า พุทโธ อยู่ "พุทโธ เหมาะสมกระทัดรัด
     1.พูด"พุทโธ"ที่ตาในลงใส่ ปัคคาห(จุด)สมาธินิมิตฐานจิตเครื่องหมาย เคลื่อนลงใส่ ให้แม่นยํา...เราก็ประคองคําพุทโธ1 วิ่งใส่ลงไป...พนอคําว่าพุทโธ1 วาดใส่ลงไป ใส่แล้ววิ่งกลับขึ้นมา หยุด ตรงตาในหรือหว่างคิ้ว เพื่อรอลงไปพร้อมกับการบริกรรมพุทโธ2....พุทโธ3..พุทโธ4..พุทโธเหมาะสมกระทัดรัด ให้เห็นฐานจิตด้วย.
    2.ได้สร้างจิต(ความคิด) ที่ใส่ลงไปที่ฐาน ที่ใต้สะดือ 2 นิ้ว(ธาตุดินพุทธคุณ)....พุทโธเหมาะสมกระทัดรัด ให้เห็นฐานจิตด้วย.
    3.จิตสร้างพุทโธ วิ่งลงไปที่ฐานจิต แล้ววิ่งกลับขึ้นมา ที่ตาในหว่างคิ้ว เพื่อพร้อมวิ่งลงไปรอบใหม่....พุทโธเหมาะสมกระทัดรัด ให้เห็นฐานจิตด้วย.
    4.สร้างพุทโธ 1 ครั้ง วิ่งลงไปได้-วิ่งขึ้นมาได้ เกิดความพอใจ....พุทโธเหมาะสมกระทัดรัด เห็นฐานจิตด้วย.
    5.ใส่พุทโธ เพลินขึ้น-เพลินลง เป็นเส้นตรง ได้ไม่หลง การขึ้นลง.....พุทโธเหมาะสมกระทัดรัด เห็นฐานจิตด้วย.
    6.กายหนักเป็นหินบ้าง-กายร้อนเกิดเวทนาบ้าง-กายเย็น-กายขยาย-กายด้บเงียบ-กายสงบช่วงหนึ่ง เราก็ยังวิ่ง ขึ้นลงอยู่กับคําบริกรรม ฐานจิต อุเบกขา ก็ดํารงค์อยู่ใน.....พุทโธเหมาะสมกระทัดรัด เห็นฐานจิตด้วย
    7.หูดับไม่ได้ยิน ได้ยินหัวใจเต้นเป็นเสียงพุทโธ ปากก็ต้องท่องพุทโธวิ่งขึ้น-วิ่งลงอยู่อย่าขาดบริกรรมพุทโธ......พุทโธเหมาะสมกระทัดรัด เห็นฐานจิตด้วย
    8.บริกรรมพุทโธ อัดจนตัวพองลูกโป่ง ลมอั้น ก็ไม่เป็นไร วิ่งขึ้นลง ด้วยพุทโธ .....พุทโธเหมาะสมกระทัดรัด เห็นฐานจิตด้วย
    9.บางครั้งลมวิ่งมีนํ้าหนักมาก ก็ยังวิ่งลงวิ่งขึ้นอยู่กับงาน พุทโธยังเป็นเหมือนครู.....พุทโธเหมาะสมกระทัดรัด เห็นฐานจิตด้วย
     10บางครั้งมีสีวิ่งขึ้นมาด้วย วิ่งลงไปด้วยในคราวหนึ่ง เราก็ยังจับพุทโธอยู่ ......พุทโธเหมาะสมกระทัดรัด เห็นฐานจิตด้วย
    11.บางคราวพุทโธเข้ากับเสียงหัวใจ พอดี เรายังพอใจที่จะพูดพุทโธ และวิ่งขึ้น-วิ่งลงอยู่....พุทโธเหมาะสมกระทัดรัด เห็นฐานจิตด้วย
    12.บางคราวนั่งเฉย เสียงหัวใจ บริกรรมพุทโธให้ พุทโธปากเราลืมบริกรรม ก็คว้าใหม่ เพราะพุทโธเหมาะสมกระทัดรัดไม่มีที่สิ้นสุด เห็นลมวิ่ง ขึ้นลงอยู่ ไม่มีที่สิ้นสุด เห็นฐานจิตอยู่ไม่มีที่สิ้นสุด เห็นอุเบกขาอยู่ไม่มีที่สิ้นสุด เห็นความได้แรงลมขึ้นลงอยู่ไม่มีที่สิ้นสุด พลังมี แรงกายแรงใจมี และมี พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คู่ไปตลอดสายการงานที่ใจ เจ้าของคือเรา ไม่ทิ้งงาน ไม่หนีงาน จิตควรแก่การงานพร้อมหมุนลม หมุนนิมิต จิตตั้งมั่นทํางาน พร้อมเจริญทุกกรรมฐานที่ครูบาอาจารย์มอบให้เราทํา
       อย่าลืมส่งอารมณ์ แจ้งอารมณ์ ครูบาอาจารย์ กันด้วย นะอย่าลืม ความก้าวหน้าจะมีได้ เป็นได้ ต้องแจ้งอารมณ์ :08:
316  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / ไขข้อข้องใจ"คําว่า ปัคคาหนิมิต" เมื่อ: เมษายน 07, 2011, 11:14:52 am
ปัคคาหนิมิต กับปัคคาหะในวิปัสสนูปกิเลส 10 คนละความหมายกันนะ.......ในกรรมฐาน มัชฌิมา แบบลําดับ ใช้บริกรรมพุทโธ เรียกว่า บริกรรมนิมิต  และให้กําหนดจิต ดังนี้
     1.สมาธินิมิต คือ เครื่องหมายสําหรับตั้งสมาธิ ให้ตั้งที่ใต้นาภี คือ สะดือ สองนิ้วมือ เป็นที่ชุมนุมธาตุ และสัมปยุตธาตุ บริกรรมในที่นี้จะเกิดกําลังมาก อันห้องพุทธคุณ หรือห้องพุทธานุสสติ อยู่ใต้นาภี สองนิ้วมือ
     2.ปัคคาหนิมิต คือ การยกจิตไปสู่สมาธินิมิต คือที่ใต้นาภี สองนิ้วมือ จิต(ในที่นี้) ได้แก่ การคิด การนึก คิดคิด นึกนึก คือการรับรู้อารมณ์ หรือ สติ
     3.อุเบกขานิมิต คือ การวางเฉยในอารมณ์ จิตไม่ซัดส่ายไปในอารมณ์ ที่เป็น อดีต ที่เป็นอนาคต ให้มีจิตที่อยู่ในอารมณ์ปัจจุบัน
    ถ้ากําหนดไปให้ได้พร้อมกันทั้ง 3 ประการ แล้วนั้น จิตก็จะไม่โดนเรื่อง นิวรธรรม ใดๆมาครอบงํา
              ผู้ฝึกควรเรียนจาก ก ไก่ เริ่มต้นไป ตามลําดับ
   เรื่อง อุคคหนิมิต ผู้ที่จะมีได้ คือพระโสดาบัน เท่านั้น ส่วน ปฏิภาคนิมิต ก็คงต้องได้พระมากกว่านี้ ใครที่ตั้งเป้าหมายไว้ ก็ต้องเริ่ม จาก 1 2 3 ด้านบนก่อน
    จากคําสอนตําราบูรพาจารย์
317  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัย 16 ประการ เมื่อ: เมษายน 06, 2011, 10:34:17 am
ลองอ่านดูทั้งสามกาล
  ความสงสัยในอดีต 5
     1.ในอดีตกาลเราเคยเกิดมาแล้วหรือ
     2.ในอดีตกาลเรามิเคยเกิดมาเลยหรือ
     3.ในอดีตกาลเราเคยเกิดเป็นอะไรหนอ
     4.ในอดีตกาลเราเคยเกิดเป็นอย่างไร
     5.ในอดีตกาลเราเกิดเป็นอะไร
   ความสงสัยไปในอนาคต 5
     1.ในอนาคตเราจะเกิดอีกใหม
     2.ในอนาคตเราจะไม่เกิดอีก
     3.ในอนาคตเราจะเกิดเป็นอะไรหรือ
     4.ในอนาคตเราจักเกิดเป็นอย่างไร
     5.ในอนาคตเราจักเกิดเป็นอะไร
ความสงสัยในปัจจุบัน 6
     1.บัดนี้เรากําลังเป็นหรือ
     2.บัดนี้เรามิได้เป็นหรือ
     3.บัดนี้เราเป็นอะไรหนอ
     4.บัดนี้เราเป็นอย่างไรหนอ
     5.เรามาจากไหนหนอ
     6.เรา(ตายแล้ว)จะไปไหนหนอ
           ลองไปฝึก
   -ตรงหน้าพระพุทธ องใหญ่ๆ
   -ตรงหน้ารูปองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
       มนต์เสน่ห์ในพระพุทธศาสนา ศรัทธาจะเพิ่มทวีคูณ ความสงสัยจะเบา ความเลื่อมใสจะมาก ทิ้งรูปแบบ ไปแบบวิเวก(ผู้เดียว)น่าจะสัมผัสไออนูแห่งพระพุทธองค์ได้บ้าง สุดแล้วแต่ ว่าใครทําอุบายไว้ในใจแยบคายเท่าใด
318  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ผู้ที่ไม่รู้อะไร เรื่องภาวนา อาจไปได้ไวกว่าผู้ที่รู้ เมื่อ: เมษายน 05, 2011, 04:05:30 pm
เพราะ
  1.ความฟุ้งซ่านน้อย
  2.เมื่อจิตเอาเพียงแค่งานที่ฝึก ก็เหมือนถือของที่หนักไว้น้อยกว่า
  3.เพราะไม่รู้อะไรจิต จึงไม่มีสัญญาที่รู้ๆมารบกวน
  4.แค่เชื่อในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็เพียงพอ
  5.เข้าสู่สมาธิ ได้ไวโดยไม่รู้ตัว
  6.ความรู้มากๆเป็นของหนัก
  7.แค่จับงานในสมาธิ (งาน3อย่าง)ให้ถูกก็เพียงต่อการเข้าถึง
  8.ปล่อยอุเบกขาเป็น
  9.บริกรรมเป็น
  10.วางจุด(ปัคคะหะ)เป็น
  11.มีครูบาอาจารย์ที่เป็นกัลยาณมิตร
 
 
319  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: อำนาจจิต อิทธิฤทธิ์ มีจริงหรือไม่ ? เมื่อ: เมษายน 05, 2011, 11:30:56 am
เรื่องฤทธิ์เราชอบ เพราะเรื่องฤทธิ์นําพาให้เรา ได้มาพบครูบาอาจารย์ของเรา....เราจึงได้มาต่อบารมี ใน ศิล สมาธิ ปัญญา...และเราเชื่อ...รวมทั้งเชื่อครูบาอาจารย์ของเรา เราไม่ค่อยเชื่อความคิดของตัวเองเท่าไร เราต้องการความเป็นที่สุดในเรื่องการปฏิบัติ...ขอมีครูบาอาจารย์ไปตลอดสาย(เป็นจิตดวงเดียว)
320  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: เวลานั่ั่งภาวนาไปแล้ว เห็นแสงสว่างที่กลางกระหม่อม เป็นแสงสีขาว ติด ๆ ดับ ๆ เมื่อ: เมษายน 05, 2011, 10:59:41 am
ผมเองก็ไม่เคยมีประสพการณ์ในเรื่อง นิมิตอันเป็นภาพในจิต มีแต่ปีติในกายที่เกิดมองเห็นได้ง่ายมากกว่า

 :s_good:
ขอให้กําลังใจ ทุกท่าน ที่มาสู่เส้นทางนี้แล้ว ก็ยังดีกว่าเรื่องอื่น
    ผมก็ยังไม่ได้อะไรทั้งนั้น ทุกสิ่งต้องค่อยเป็น ค่อยไป เรื่องที่นํามา ก็มาจาก ที่ต่างๆ ฟังพระบ้าง ที่อื่นบ้าง จับต้นชนปลาย ก็ยังไม่ใช่ของจริง เพราะยังมีอุปทานมาก อย่าได้ยึดถืออะไรว่าไช่ หรือไม่ใช่อะไร ของแท้ควรฟังเอาจาก ผู้เป็นเนื้อนาบุญ
        แต่อย่างไรก็อย่าทิ้ง ฐานจิตที่1 คือฐานธาตุดิน ที่ใต้สะดือ 2 นิ้ว
  เพราะคือความมั่นคง คือทําให้มีวิตก วิตกทําให้แยกแยะองค์ปีติในขั้นอื่น ได้
  อย่าลืมแจ้งอารมณ์ต่อครูบาอาจารย์
หน้า: 1 ... 6 7 [8] 9 10