ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ตัวตนที่สูงกว่า (Higher Self)  (อ่าน 587 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28446
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
ตัวตนที่สูงกว่า (Higher Self)
« เมื่อ: กันยายน 13, 2023, 06:51:02 am »
0

 :25: :25: :25:

ตัวตนที่สูงกว่า (Higher Self)



ตัวตนที่สูงกว่า (Higher Self) คือ ปรมาตมัน หรือ บรมอัตตา

บรมอัตตาในศาสนาพุทธ คือ การเข้าถึงธรรมกาย (กายแก้ว, กายเพชร) อันเป็นกายที่แท้จริงและสูงสุดของสัตว์โลก เป็นกายที่เที่ยงแท้ถาวร เป็นอสังขตธาตุ อสังขตธรรม เป็นวิราคธาตุ วิราคธรรม เป็นกายที่ใช้เข้านิพพาน เป็นกายอมตะ ไม่ตาย เป็นกายนิจจัง สุขัง อัตตา ที่แท้จริง

โย ธมฺมํ ปสฺสติ โส มํ ปสฺสติ
คำแปล : ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา (คัมภีร์บาลีมังคลัตถทีปนี)

धर्मकायपरिनिष्पत्तितो मां भिक्षवो द्रक्षयथ ।
คำแปล : ภิกษุทั้งหลาย พึงเห็นเราโดยการเข้าถึงธรรมกาย (คัมภีร์สันสกฤตอัษฏสาหัสริกา)

無後邊身常身法身金剛之身。
คำแปล : ตถาคต คือ ธรรมกาย มีกายที่ไร้ขอบเขต เป็นกายเพชร [กายแก้ว] (คัมภีร์จีนมหาปรินิรวาณสูตร)

(ส่วนบรมอัตตาในศาสนาพราหมณ์ คือ การกลับเข้าไปรวมกับพรหม อันเป็นตัวตนดั้งเดิมที่เที่ยงแท้ถาวร เป็นหนึ่งและอมตะ)

พวกฝรั่งลัทธินิวเอจ (New Age) เอาคำว่า Higher Self (ปรมาตมัน, บรมอัตตา) นี้มาจากศาสนาในอินเดีย แต่คนไทยบางกลุ่มชอบไปศึกษาเรื่อง Higher Self จากตำราฝรั่งที่ยังเข้าใจผิดๆ ถูกๆ ซึ่งคนไทยเรามีตำราต้นฉบับและถูกต้องกว่าอยู่ในมือแท้ๆ (หลวงพ่อสดเทศน์สอนเรื่องธรรมกายไว้อย่างสมบูรณ์แบบมาก) สงสัยภาษาบาลี-สันสกฤตที่เราใช้กันในชีวิตประจำวันมันดูไม่อินเตอร์เหมือนภาษาอังกฤษ

พจนานุกรมภาษาสันสกฤต คำว่า "परमात्मन्" (Paramātman) หมายถึง "higher self" (ตัวตนที่สูงกว่า)

@@@@@@@

กลุ่มลัทธินิวเอจใช้ Quartz (ควอตซ์) หินกระตุ้นจิตวิญญาณเป็นนิมิตนำทางเพื่อเข้าถึง Higher Self (ปรมาตมัน, บรมอัตตา)

ซึ่งเขาอธิบายไว้ว่า ควอตซ์ใสนั้นมีคุณสมบัติสั่นสะเทือนและสะท้อนแสงได้ หากนำมาใช้ในการทำสมาธิก็จะสามารถเปลี่ยนร่างกายของเราให้เป็นช่องทางแห่งแสงสว่างและนำผู้ทำสมาธิเข้าสู่ศูนย์กลาง (กาย) ของตนเองได้ เป็นเหตุให้ผู้ทำสมาธินั้นจะพบกับความสัมพันธ์ในการที่จะเข้าไปสู่ตัวตนที่สูงกว่า ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ขั้นสูงสุด

สายปฏิบัติธรรมสัมมาอะระหังของพุทธเถรวาทในไทย ได้นำควอตซ์ (ดวงแก้วใส, แก้วจุยเจีย) มาใช้ในการนั่งสมาธินานเกือบร้อยปีแล้ว ในขณะที่ฝรั่งเพิ่งจะมาศึกษาอย่างจริงจังเมื่อไม่กี่สิบปี ถือได้ว่าชาวไทยเรานำฝรั่งในองค์ความรู้เรื่องจิตวิญญาณไปมาก ซึ่งควอตซ์ที่ถูกนำมาใช้ในการปฏิบัตินี้จะมีลักษณะเป็นดวงกลมใสดุจเพชรเม็ดลูกที่เจียระไนแล้ว เมื่อนำมาใช้ในการนึกนิมิตทำสมาธิจึงเป็นอาโลกกสิณหรือโอภาสกสิณ (กสิณแสงสว่าง) หนึ่งในสมถภูมิ ๔๐ ใช้เส้นทางแห่งสมถยานิกเป็นฐานในการบรรลุเป็นพระอรหันต์ฉฬภิญโญ (พระอรหันต์ที่มีอานุภาพครบทั้งอภิญญา ๖)

ในทางวิชชาธรรมกายนั้น แต่ละกายในกายต่างก็มีความคิดเป็นของแต่ละกายเอง ไม่ใช่ว่ากายเนื้อคิดอย่างไร กายละเอียดจะคิดเหมือนกายเนื้อ ยกตัวอย่างกายที่ใกล้กันที่สุดก็คือ "กายฝัน"

โดยกายฝัน (กายมนุษย์ละเอียด) กับกายเนื้อ (กายมนุษย์หยาบ) ต่างก็มีความคิดที่ไม่เหมือนกัน ซึ่งเราสามารถพูดคุยปรึกษากับกายฝันของเราได้ถ้าเข้าถึง

@@@@@@@

วิชชาธรรมกายหรือวิชชา ๑๘ กายนี้ ถูกต้องตามหลักสติปัฎฐาน ๔ ที่ว่าไว้ว่า

"กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม"

สอดคล้องกับหลักการทางวิทยาศาสตร์ สาขาจิตวิทยา ยกตัวอย่างทฤษฎีของฟรอยด์ (Sigmund Freud) นักจิตวิทยาที่มีชื่อเสียงในทฤษฎีจิตวิเคราะห์ที่ว่าไว้ว่า จิตมนุษย์เราเหมือนก้อนน้ำแข็งส่วนที่ลอยน้ำที่มีอยู่เพียง ๗ เปอร์เซ็นต์ คือ "จิตสำนึก" หรือ "Conscious"

และน้ำแข็งส่วนที่จมซ่อนอยู่ใต้น้ำที่มีมากถึง ๙๓ เปอร์เซ็นต์นั้น เรียกว่า "จิตใต้สำนึก" หรือ "Subconscious" ซึ่งเป็นแหล่งของปัญญาและความคิดสร้างสรรค์ ฯลฯ โดยจิตใต้สำนึกนี้แหละ คือ กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม หรือ ๑๘ กาย

หลวงพ่อสดได้อธิบายไว้ว่า กายของเรานี้มีซ้อนลงไปมากถึง ๑๘ กาย เป็นกายหลัก และแต่ละกายหลักยังมีกายละเอียดซ้อนลงไปอีกมากมายนับไม่ถ้วน เป็นกายในกาย แล้วในแต่ละกายของกายในกายต่างมีจิต มีเวทนา มีธรรม ซ้อนลงไปเป็นชั้นๆๆ เข้าหลักที่ว่า "จิตมนุษย์ยากแท้หยั่งถึง" เพราะอะไร เพราะมันซับซ้อนอย่างนี้

ถ้าพูดอย่างนักจิตวิทยาก็คือการขุดลึกลงไปในจิตใต้สำนึกนั่นเอง โดยความรู้ทางวิทยาศาสตร์รู้เพียงแค่ว่า มีจิตใต้สำนึกเท่านั้น แต่ยังไม่สามารถอธิบายได้ว่า ในจิตใต้สำนึกนี้มีลักษณะเป็นอย่างไร ทำงานอย่างไร เกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันอย่างไร ฯลฯ

กายในกายที่ซ้อนลงไปนี้ ต่างก็มีจิตใจเป็นของตัวเอง หลวงพ่อสดอธิบายไว้ว่า ในกายมนุษย์ซ้อนลงไปก็คือกายมนุษย์ละเอียด (กายฝัน) ซึ่งกายฝันนี้ก็คือ "จิตใต้สำนึก" โดยกายฝันนี้รูปร่างหน้าตาก็เหมือนคนๆ นั้น แต่มีจิตใจ เวทนา และธรรม เป็นเอกเทศเป็นของตนเอง กล่าวง่ายๆ คือ มีความคิดเป็นของตนเอง

@@@@@@@

ท่านเคยเป็นไหมว่า เวลาท่านนอนหลับและฝัน ท่านฝันว่าท่านกำลังนอนและฝันลึกลงไปอีก ท่านเคยสังเกตบ้างไหม นี่คือความเป็นเอกเทศที่เป็นเอกภาพของกายและใจของเรา แล้วในกายฝันก็ยังมีกายซ้อนลงไปอีกมากมาย

โดยหลังจากที่กายมนุษย์ได้หลับแล้ว กายมนุษย์ละเอียด (กายฝัน) จะทำหน้าที่ให้เราตรึกระลึกอย่างนี้ คือ ระหว่างที่เรามีอาการเคลิ้มกำลังจะหลับนั้น เราจะรู้สึกว่าตัวเราเริ่มเบาและสบาย นั่นหมายความว่าเริ่มปล่อยวางใจ เราจะสังเกตได้ว่าการที่เราปล่อยวางใจ กายจะเบาและตัวก็เบา กายและตัวเราเบาตอนไหน มันเบาตอนที่เรามีอาการเคลิ้มและกำลังจะหลับ พอเคลิ้มหนักเข้าๆ เราก็แทบจะไม่รู้ตัว มือเท้าก็แทบจะจำไม่ได้ แทบจำไม่ได้ว่าเรานอนตะแคง นอนหงาย หรือนอนคว่ำ จนในที่สุดแล้วเราก็หลับไป ช่วงที่เรากำลังจะหลับนั้น เหมือนวูบเดียว ความจดความจำทั้งหมดจะหายไปในวูบหนึ่งที่เรียกว่าการเข้าไปสู่การหลับ

เมื่อหลับแล้วกายมนุษย์นี้ก็จะขาดความรู้สึก อายตนะ ๖ ภายนอกก็จะถูกหยุด เช่น ยุงมากัดเราก็จะไม่รู้ตัว เสียงทีวี เสียงวิทยุที่เราเปิดไว้เราก็ไม่ได้ยิน ตาก็มองไม่เห็น และอายตนะ ๖ ภายในก็เกิดขึ้น คือ กายฝัน (กายมนุษย์ละเอียด) เพราะฉะนั้นกายฝันทำหน้าที่ฝัน และถ้าเกิดคนเคยฝันก็จะรู้ว่าความฝันนั้นบางครั้งเรากลัว บางครั้งเราดีใจ บางครั้งเราเศร้าใจ เสียใจถึงขนาดร้องไห้ซะจนตื่นก็ยังมี หรือกลัวตกใจสุดก็มี นั่นคือกายฝันที่ทำหน้าที่

เมื่อเรานอนพอแล้วเราจะค่อยๆ รู้สึกตัวกลับมา ครั้งแรกที่เรารู้สึกตัวนั้น เราจะรู้สึกตัวไม่ทั้งตัว แล้วเราจะรู้สึกตัวมากขึ้นเป็นลำดับ จนในที่สุดเราจะลืมตาได้

และในเวลาฝันกายมนุษย์ละเอียดจะออกไปในที่ต่างๆ อันนี้บางทีอาจทำให้สงสัยได้ว่า ถ้ากายออกไปเสียแล้ว มิเป็นการถอดกายหรือ? และเหตุใดกายมนุษย์ผู้เป็นเจ้าของจึงยังไม่ตาย? ข้อนี้เป็นเพราะอายตนะที่ละเอียดระหว่างกายมนุษย์หยาบกับกายมนุษย์ละเอียดยังเนื่องกันอยู่ มิได้ขาดออกจากกัน ฉะนั้นไม่ว่ากายมนุษย์ละเอียดจะไปยังที่ใด ก็สามารถกลับคืนมาสู่กายมนุษย์หยาบได้รวดเร็วเช่นเดียวกับการที่เราส่งใจคิดไปในที่ต่างๆ นั่นเอง

ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่มีศาสตร์ใดๆ ในโลกนี้สามารถอธิบายได้นอกจากวิชชาธรรมกายของพระพุทธศาสนา

@@@@@@@

โปรดตรองดูว่า ที่ท่านฝึกและเรียนรู้ขณะนี้ เป็นการเรียนรู้แค่กายมนุษย์เท่านั้นหรือไม่? กายฝันและกายละเอียดลึกๆ ลงไปอีกมากมายภายในตัวท่าน ท่านเคยฝึกให้หรือเปล่า? ท่านฝึกเจริญสติให้กับกายของท่าน แล้วกายละเอียดของท่าน ท่านเคยฝึกให้หรือเปล่า นี่ ! มันละเอียดปราณีตอย่างนี้

ขอย้ำว่า เรื่องจิตวิญญาณนั้น ต้องปฏิบัติธรรมเท่านั้น วิทยาศาสตร์ไม่ว่าจะสาขาไหน เขาไม่ถนัดในเรื่องนี้

วิชชาธรรมกายมีคำสอนครอบคลุมทั้งหมด ใครอยากจะเรียนประเด็นไหน วิชชา ๓ วิชชา ๘ อภิญญา ๖ ก็มีให้เรียนให้ปฏิบัติ จัดเป็นอนุสาสนีปาฏิหาริย์ที่กลั่นออกมาจากพระไตรปิฎกเลยทีเดียว

การฝึกสมาธิเพื่อเข้าถึงกายในกาย ตัวตนที่สูงกว่า หรือจิตใต้สำนึก ไม่ต้องเสียเงินเสียทองไปกับค่าเรียนคอร์สออนไลน์พลังจิตใต้สำนึกสั่งจิตจงรวยๆ อะไรทั้งสิ้น ขอแค่ฝึกนั่งสมาธิเข้ากลางของกลางอยู่กับตนเองที่บ้านหรือที่วัดก็พอ เพียรปฏิบัติประจำทุกวันอย่าให้ขาดรับรองได้ประสบทุกคน เพราะวิชชา ๑๘ กายนี้ในตำราการฝึกสมาธิของหลวงพ่อสดวัดปากน้ำ จัดเป็นเพียงแค่ระดับอนุบาลเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องเข้าถึงยากอะไร เพราะวิชชาธรรมกายชั้นสูงขึ้นไปนั้นจะยากกว่านี้มาก เนื่องจากจะเน้นไปที่อาสวักขยญาณเผากิเลสอาสวะอย่างเต็มที่

@@@@@@@

กายมนุษย์ละเอียด (กายฝัน)

กายฝันเป็นกายที่อยู่ลึกเข้าไปจากกายมนุษย์หยาบ ๑ กาย ตามแกนกาย ๑๘ กาย (แกนตั้ง) การเข้าไปเห็นหรือรับรู้เรื่องกายฝันไม่ใช่เรื่องง่าย แต่มนุษย์ทั่วไปก็ยังพอสัมผัสกับกายฝันได้ในเวลาเรานอนหลับแล้วฝันไป กายฝันออกไปทำหน้าที่รับรู้เรื่องราวต่างๆ บางส่วนรับรู้มาถึงกายมนุษย์หยาบ ส่วนที่พอจำได้นั้นก็คือการฝันของกายมนุษย์หยาบนั่นเอง หากกายฝัน ฝันเข้าไปบ้างก็จะไปถึงกายทิพย์หยาบ คือ กายข้างในของเราฝันเข้าไปเป็นชั้นๆ อย่างที่หลวงพ่อวัดปากน้ำท่านว่าไว้ว่า "ฝันในฝัน" ซึ่งเราพอจะได้ยินกันมาบ้าง แต่ผู้ที่เดินวิชชา ๑๘ กาย สามารถเห็นกายฝันในเวลาใดก็ได้

"กายฝัน" มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า "กายมนุษย์ละเอียด" แต่ยังมีชื่อเรียกอื่นอีก คือ กายไปเกิดมาเกิด กายผี วิญญาณ สุดแต่สถานการณ์

กายฝันเวลามาเกิดนั้น มีบรรยายไว้ในหนังสือมรรคผลพิสดาร ๒ ของหลวงพ่อวัดปากน้ำว่า เป็นกายสูง ๘ ศอก (๔ เมตร) เข้ามาอยู่ในศูนย์กลางกายของบิดาก่อน มาอยู่นานเท่าใดไม่มีกำหนดเวลาแน่ชัด บังคับให้บิดาไปประกอบธาตุธรรม (ร่วมประเวณี) กับมารดา ตอนนี้เกิดการประสมธาตุธรรมของบิดามารดาและบุตร กายฝันออกจากศูนย์ของบิดาเข้าสู่ศูนย์ของมารดา แล้วเริ่มสร้างกายมนุษย์หยาบในมดลูกของมารดา แล้วเจริญวัยขึ้น

ส่วนเวลาไปเกิด คือ กายมนุษย์หยาบกำลังจะตาย กายฝันลอยขึ้นๆ ลงๆ อยู่ตรงฐานที่ ๗ กับฐานที่ ๖ หลังจากนั้นก็หลุดมาสู่ฐานที่ ๕ ฐานที่ ๔ ฐานที่ ๓ พอถึงฐานที่ ๓ ตาของกายมนุษย์หยาบจะเหลือกกลับเหมือนเป็นการสั่งลา แล้วออกไปฐานที่ ๒ และฐานที่ ๑ แล้วก็หลุดไปหาที่เกิดใหม่

ถึงตอนนี้เรามักได้ยินอยู่เสมอว่า คนไปดี (สุคติ) เท่าเขาโค ไปไม่ดี (ทุคติ) เท่าขนโค สุดแต่เราจะระลึกถึงคุณความดีหรือความไม่ดีที่เราทำไว้ได้แค่ไหน เห็นได้ชัดว่าคนส่วนใหญ่นึกได้แต่สิ่งไม่ดี ทั้งๆ ที่หลายท่านทำคุณงามความดีไว้ไม่น้อย ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น เป็นเพราะบาปกรรมมีกำลังแรงกว่า? หรือเวลาใกล้ตายมีทุกขเวทนาแรงกล้าเหลือเกิน? ใจเลยพลอยกระสับกระส่ายไปด้วย การใส่สายสวนต่างๆ ท่อช่วยหายใจ เข็มแทงน้ำเกลือ มีส่วนเพิ่มทุกขเวทนาแก่กายมนุษย์หยาบของเราก่อนเราจะตายหรือไม่? เพราะถึงตอนนั้นเราก็สื่อสารกับใครๆ ไม่ได้แล้วว่าเราเจ็บขนาดไหน

@@@@@@@

เมื่อใดกายมนุษย์ “เห็นธรรม” กายฝันก็เห็นธรรมด้วย แต่ถ้าเมื่อใดกายมนุษย์ทำบาป กายฝันก็ตกนรกแทน

กายมนุษย์ตาย กายฝันรับภาระแทนกายมนุษย์ทุกข้อหา กายมนุษย์ที่ไม่มีธรรมเป็นเกาะเป็นหลัก กายฝันรับเคราะห์กรรมทุกสถาน

นี่คือความเกี่ยวข้องกันระหว่างกายมนุษย์ (หยาบ) กับกายฝัน (กายมนุษย์ละเอียด)

จงจำไว้ว่า กายทุกกายเกื้อกูลกัน กายหยาบเป็นฐานให้กายละเอียด และกายละเอียดก็ต้องดูแลช่วยเหลือกายหยาบ หากกายหยาบมีอันเป็นไป จะกระทบกระเทือนกายละเอียดทันที

ในปัจจุบันนี้ แม้วิทยาการจะก้าวรุดหน้าไปมาก มนุษย์สามารถรู้เรื่องราวเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ รอบตัวได้มากมาย แต่ก็ยังมีอีกหลายสิ่งที่เป็นปริศนาในใจของมนุษย์ เป็นต้นว่า “ความฝัน” แม้เราทุกคนจะเคยฝันกันมาแล้วทั้งนั้น แต่เราก็ยังมีคำถามเรื่องความฝันอยู่มากมาย

ที่ผ่านมามีทฤษฎีจำนวนหนึ่งพยายามอธิบายเกี่ยวกับเรื่องความฝัน แต่ก็ยังไม่ชัดเจน สำหรับหลวงพ่อสดท่านกล่าวถึงความฝันไว้ว่า

"กายมนุษย์นี่แหละเวลานอนหลับฝันไปก็ได้ พอฝันออกไปอีกกายหนึ่ง เขาเรียกว่า กายมนุษย์ละเอียด นี่รู้จักกันทุกคนเชียวกายนี้ เพราะเคยนอนฝันทุกคน รูปพรรณสัณฐานเป็นอย่างไร เป็นเหมือนมนุษย์คนนี้แหละ คนที่ฝันนี่แหละ”




หลวงพ่อสดท่านกล่าวว่า เราจะรู้จักพบปะเจอะเจอกับกายละเอียดได้ เมื่อเราทำสมาธิและสามารถทำใจให้หยุดนิ่งได้ถูกส่วน พอจิตดำเนินเข้าสู่เส้นทางสายกลาง ณ ศูนย์กลางกายฐานที่ 7 ก็จะเข้าไปถึงกายมนุษย์ละเอียด และรู้ว่ากายมนุษย์ละเอียดนี้เองที่ฝันออกไป ถ้าเราเจอกายมนุษย์ละเอียดแล้ว จะใช้ให้ไปที่ไหนก็ได้ เช่น ให้ฝันไปเมืองเพชร ไปอรัญประเทศ ไปพระธาตุพนม ไปเชียงใหม่ ปรากฏว่าเพียงแค่นาทีเดียวกายละเอียดก็ไปถึงสถานที่ต่างๆ เหล่านี้แล้วกลับมาเล่าให้ฟังได้ ฝันแบบนี้ไม่เหมือนนอนหลับฝัน ดังที่หลวงพ่อสดท่านกล่าวว่า

“ฝันทั้งๆ ที่ตื่น ไม่ใช่ฝันหลับๆ ฝันอย่างนี้ประเดี๋ยวเดียวได้หลายเรื่อง ถ้าหลับฝันนานนักกว่าจะได้สักเรื่องหนึ่ง ถ้าเราเข้าถึงกายมนุษย์ละเอียด เราก็ฉลาดกว่าคนชั้นหนึ่ง เพราะมนุษย์รู้เรื่องหยาบๆ เราเข้าถึงกายมนุษย์ละเอียด เราจึงรู้เรื่องได้ละเอียดกว่า เรื่องลี้ลับอะไรเรารู้หมด เราไปตรวจดูได้หมดทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืน ฝันไปเรื่อย ตรวจดูทุกๆ คน ถ้าฝันตื่นๆ ได้อย่างนี้สนุกแน่”

เคยมีกรณีหนึ่ง เด็กเล็กๆ ยังดูดนมเจี๊ยบๆ พ่อแม่อุ้มมาพบผู้รู้ที่ได้วิชชาธรรมกาย ผู้รู้คนนั้นบอกว่าได้คุยกับกายฝันของเด็ก เขาไม่ได้ตัวเล็กอย่างที่เราเห็น เขาบอกผู้รู้แม้กระทั่งสาเหตุที่เขามาเกิด

อีกเรื่อง คือ กายฝันของพ่อแม่ที่แก่แล้วของผู้รู้บางคน ก็เคยออกมาปรากฏแก่ผู้มีรู้ญาณบางท่าน ซึ่งสวยงามหนุ่มสาวกว่ากายมนุษย์หยาบที่เราเห็นมากนัก และแสดงรัศมีให้ดู พร้อมกับบอกว่าเขามาเป็นพ่อเป็นแม่ให้ผู้รู้คนนั้นเชียวนะ

โดยตรงนี้ขออธิบายง่ายๆ ว่า กายมนุษย์หยาบยังเป็นเด็กเล็ก แต่เวลามาคุยกับเราเขาใช้กายฝันที่มีรูปร่างโตเป็นผู้ใหญ่แล้วมาคุย หรือกายมนุษย์หยาบที่แก่ชรามากแล้วเริ่มพูดไม่รู้เรื่องรู้ราว แต่ก็เอากายฝันที่สวยงามมาคุยกับเราได้

เห็นได้ว่าวิชชาธรรมกายของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่หลวงพ่อสดค้นพบ ที่เรากำลังเรียนรู้กัน ยังมีความละเอียดลึกซึ้งอีกมากมายมหาศาลยิ่งนัก ซึ่งนอกจากจะเป็นหนทางอันประเสริฐสุดที่ช่วยให้มนุษยชาติหลุดพ้นจากความทุกข์ได้แล้ว ยังสามารถไขปริศนาต่างๆ ในใจของชาวโลกได้อีกมากมาย

ทุกค่ำคืนล้วนมีผู้คนมากมายกำลังตกอยู่ในห้วงแห่งความฝัน แต่ก็มีกลุ่มคนอีกส่วนหนึ่งที่กำลังพากเพียรทำสมาธิเพื่อที่จะ “ฝันในฝัน” ตามรอยหลวงพ่อสด

(เทศนาหลวงพ่อสด) "กาเย กายานุปสฺสี เห็นกายในกาย เห็นเหมือนอะไร เห็นเหมือนนอนฝันอย่างนั้นซี เห็นจริงๆ อย่างนั้น ตากายมนุษย์นี่เห็นหรือ ตากายฝันมันก็เห็นละซี จะไปเอาตากายมนุษย์นี่เห็นได้อย่างไรล่ะ ตากายมนุษย์นี่มันหยาบนี่ อ้ายที่เห็นได้นั่นมันตากายมนุษย์ละเอียดนี่ มันก็เห็นกายโด่ๆ อย่างนั้น"

@@@@@@@

พระทิเบตบรรลุธรรมกาย

พระเทพญาณมงคล (เสริมชัย ชยมงฺคโล) ท่านกล่าวว่า พระทิเบตเขาสามารถเข้าถึงธรรมกายได้ โดยเขาทำวิชชาไปจนถึงเหตุสุด แต่ไปต่อไม่ได้ แต่ก็ทำได้และทำกันมาเนิ่นนาน กล่าวคือ เขาทำสืบทอดกันมานานแล้วตั้งแต่ครั้งโบราณกาล แต่ไม่ได้เป็นหลักวิชชาที่บริบูรณ์เหมือนอย่างหลวงพ่อสด

หลวงป๋าเสริมชัยจึงไปสอนและแก้วิชชาให้เขา เขาปีติมากจนน้ำตาซึม ที่วิชชาก้าวหน้าอย่างรวดเร็วและเห็นได้อย่างถูกต้องบริสุทธิ์สมบูรณ์

ดังนั้น พระทิเบตเองท่านก็เข้าถึงธรรมกายเป็นเหมือนกัน แล้วยิ่งได้หลวงป๋าเสริมชัยไปชี้ทาง เขาก็ยิ่งก้าวหน้าในธรรมมากยิ่งขึ้น

@@@@@@@

พระญี่ปุ่นบรรลุธรรมกาย

พระราชพรหมเถร (วีระ คณุตฺตโม) ครั้งยังเป็นพระวีระ ท่านได้เขียนเล่าเรื่องเมื่อภิกษุญี่ปุ่นบรรลุธรรมไว้ว่า เมื่อคณะสมณทูตญี่ปุ่นซึ่งมาเยี่ยมสำนักวัดปากน้ำ หลังจากได้เดินทางกลับจากประชุมพุทธศาสนิกสัมพันธ์ ณ ประเทศอินเดียกับดูการสังคายนา ณ ประเทศพม่า สมณฑูตคณะนี้มีท่านสังฆราชตาคาชินาเป็นประธาน

หลังจากการเยี่ยมคำนับท่านเจ้าคุณพ่อเมื่อ ๑๖ มิถุนายน ๒๔๙๗ เวลา ๑๘.๐๐ น. ข้าพเจ้าได้รับการเชื้อเชิญจากภิกษุญี่ปุ่นรูปหนึ่งซึ่งเป็นผู้สนใจในวิชาสมถวิปัสสนาตามแบบของสำนักเรานี้ ขอให้ไปพบกับท่าน เพื่อสนทนาแลกเปลี่ยนความรู้กันที่โรงแรมชิโตเซะ ถนนนเรศ

ข้าพเจ้าได้รับเชิญให้เข้าพบท่านสังฆราชกับคณะ เรื่องโดยมากที่สนทนากันมีสารสำคัญเกี่ยวกับวิชาเจริญสมถวิปัสสนา ในระหว่างการสนทนานั้น ท่านเลขานุการของพระสังฆราชเป็นผู้มีความสนใจเป็นพิเศษถึงกับหาสมุดมาจดบันทึกข้อความ ท่านผู้นี้ได้ถามถึงจุดที่ตั้งของจิตขณะเจริญสมาธิตามแบบของวัดปากน้ำ

เป็นที่สนใจแก่สังฆราชญี่ปุ่น ถึงกับกล่าวว่าวิธีของวัดปากน้ำนี้ดีมาก และจะได้ใช้แบบของวัดเรานี้ในกาลต่อไป กับได้ชี้แจงให้คณะของเราทราบว่า วิธีของนิกายโซโตนั้น ได้กำหนดที่ตั้งของจิตที่บริเวณหน้าผากหรือดั้งจมูก ซึ่งต่างกว่าแบบของวัดเรา

ต่อจากนั้นคณะสมณทูตได้ขอให้ข้าพเจ้าอธิบายถึงวิธีดำเนินการปฏิบัติการเจริญสมถวิปัสสนา ซึ่งข้าพเจ้าได้ชี้แจงให้พอเป็นสังเขป ตามแบบของท่านเจ้าคุณพ่อ

ในระหว่างการสนทนาโต้ตอบ ท่านเลขานุการของพระสังฆราชได้แสดงความจำนงใคร่จะทราบว่า บิดาของท่านซึ่งได้ถึงแก่กรรมไปนานแล้ว บัดนี้อยู่ ณ ที่ใด ดังนั้นข้าพเจ้าจึงชักชวนให้คณะสมณทูตทั้งหมดทดลองทำการเจริญสมถวิปัสสนาตามแบบของวัดเราดูบ้าง

คณะสมณทูตมีความยินดีจะปฏิบัติตามคำเชื้อเชิญ จึงพากันเข้าไปสู่ห้องสงัดห้องหนึ่ง แล้วเริ่มเจริญสมถวิปัสสนาธรรมกันทันทีข้าพเจ้าได้กำหนดให้เขาปฏิบัติโดยนั่งขัดสมาธิแล้วหลับตาเจริญสมถวิปัสสนาธรรม กับได้ชี้แจงวิธีการแก่คณะสมณทูตโดยลำดับไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านเลขานุการพระสังฆราช ซึ่งต้องการทราบว่าบิดาของท่านล่วงลับไปแล้วอยู่ ณ ที่ใดนั้น ข้าพเจ้าได้แจ้งวิธีสอบสวนหาที่อยู่ของท่านให้ทราบโดยละเอียดเป็นพิเศษ

การนั่งภาวนาเจริญสมถวิปัสสนาธรรมได้ดำเนินไปจนถึงขั้นสุดท้าย ท่านเลขานุการพระสังฆราชกลับลืมตาขึ้น เบ้าตาทั้งสองของท่านเต็มเปี่ยมไปด้วยน้ำตา พร้อมกับได้พึมพำด้วยความตื้นตันใจว่า

“ตั้งแต่ข้าพเจ้าเกิดมาจนถึงบัดนี้ ไม่เคยได้พบความสุขใดยิ่งไปกว่าที่ได้เข้าถึงพระนิพพานท่ามกลางพุทธสาวก ดังที่ได้ประสบมาเมื่อสักครู่นี้เลย”

• เกร็ดความรู้ •

ที่ประเทศญี่ปุ่น มีวัดปากน้ำญี่ปุ่น โดยพระวีระกับสมเด็จช่วงท่านได้ไปสร้างเอาไว้ โดยจัดเป็นวัดไทยแห่งแรกในประเทศญี่ปุ่นเลยทีเดียว

@@@@@@@

ไม่ควรตั้งจิตไว้ที่หน้าผาก

พระเทพญาณมงคล (เสริมชัย ชยมงฺคโล)

     "มีไฟอยู่ตรงหน้าผาก ตรงนี้ล่ะถูกบ้างไม่ถูกบ้าง เป็นคติของพวกพวกฤๅษีชีไพร ทำสมาธิไว้ที่หน้าผาก เขาถือว่าตาอยู่ตรงนี้ มีอีกตาหนึ่งอยู่ที่หน้าผาก แต่ว่าเอาล่ะไม่ต้องไปคิดมาก จะอยู่ตรงไหนก็ช่าง ถ้าเอาใจหยุดอยู่ที่ศูนย์กลางกาย แสงสว่างจะออกจากศูนย์กลางกาย ธมฺโม ปทีโป ธรรมเป็นเหมือนแสงสว่างหรือแสงสว่าง คือ ธรรม
     ดวงไฟกลางหน้าผากอย่าไปสนใจ อยู่กลางหน้าผากมันผิดเรื่องผิดราว พวกฤๅษีชีไพรจึงไม่ถึงนิพพานซะที เพราะไปอยู่ที่หน้าผาก"

คัมภีร์อานาปานสมฤติสูตร (อานาปานสติสูตร) 安般守意經
จีน : 息中具有四大。而心在中
ไทย : ใจควรถูกกําหนดไว้ตรงกลางกายในขณะหายใจ

ภาพด้านล่าง คือ การเข้าถึง ๑๘ กายในตำราของหลวงพ่อสดวัดปากน้ำ เริ่มจากกายมนุษย์หยาบเข้าถึงดวงธัมมานุปัสสนา ดวงศีล ดวงสมาธิ ดวงปัญญา ดวงวิมุตติ ดวงวิมุตติญาณทัสสนะ จนเข้าถึงกายมนุษย์ละเอียด (กายฝัน) และเข้ากลางของกลางต่อไปไม่ออกนอกถึงกายทิพย์ กายพรหม ไปจนถึงกายธรรมพระอรหัตละเอียด




ตนเป็นที่พึ่งของตน

หลวงพ่อสด วัดปากน้ำภาษีเจริญ

คนส่วนใหญ่จะต้องเคยได้ยินสุภาษิตนี้ และมักจะคิดว่าตนเข้าใจความหมายถูกต้อง ถ่องแท้ เป็นคำง่ายๆ แปลง่ายๆ ตรงตัว ใครๆ ก็เข้าใจความหมาย แต่ในทางธรรมนั้น สุภาษิตบทนี้มีความหมายล้ำลึกยิ่งนัก ล้ำลึกอย่างไร หลวงพ่อสดอธิบายขยายความไว้ดังนี้

"...อะไรเป็นตน ตนคืออะไร นามรูปัง อนัตตา ก็แปลกันว่านามและรูปไม่ใช่ตัวตน ถ้ากระนั้น อะไรเล่าจะเป็นตน ซึ่งจะทำให้เป็นที่พึ่งแก่ตน รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เรียกว่าขันธ์ ๕ เมื่อย่อเข้า เรียกอย่างสั้นก็เรียกว่า นามรูป โดยเอากองรูปคงไว้ ก็คือขันธ์ ๕ นั่นเอง เมื่อขันธ์ ๕ ไม่ใช่ตน จึงต้องถามว่าอะไรเล่าเป็นตน ถ้าค้นหาตนไม่พบ ก็ไม่รู้ที่ว่าจะทำอะไรให้เป็นที่พึ่งแก่อะไร พระพุทธวจนะ ที่มีอยู่ว่า อัตตาหิ อัตตโน นาโถ จะมิได้มีทางออกหรือ ย่อมเป็นไปไม่ได้

พระพุทธองค์ทรงสอนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา และเน้นสอนทางอนัตตา ก็เพื่อให้เห็นอัตตา เอาเอง ฉะนั้นเมื่อมีเรื่องอนัตตากับอัตตา ยันกันอยู่ จึงต้องคิดค้นต่อไป ธรรมของพระพุทธองค์จะขัดกันเองไม่ได้ เพื่อที่จะไม่ให้ขัดแย้งกัน จึงต้องแบ่งอัตตาออกเป็น ๒ อย่าง คือ อัตตาสมติกับอัตตาแท้ อัตตาสมมติ ได้แก่ กายมนุษย์ กายทิพย์ กายพรหม กายอรูปพรหม เพราะกายเหล่านี้ ยังมีเกิดมีตาย เป็นกายส่วนโลกีย์ ยังมีกายอีกกายหนึ่งซึ่งเป็นกายโลกุตระ คือ ธรรมกาย ธรรมกายนี้แหละเป็นอัตตาแท้หรือตนแท้

ที่ว่าตนเป็นที่พึ่งแก่ตนนั้นก็คือ เพ่งยึดอาศัยกันดำเนินเข้าไปเป็นชั้นๆ คือ เพ่งกายมนุษย์ส่งให้ถึงกายทิพย์ เพ่งกายทิพย์ส่งให้ถึงกายรูปพรหม เพ่งกายรูปพรหมส่งให้ถึงกายอรูปพรหม เพ่งกายอรูปพรหมส่งให้ถึงกายธรรมหรือธรรมกาย กายคือตนอาศัยพึ่งกันเป็นชั้นๆ เข้าไปเช่นนี้จึงได้ชื่อว่า ตนเป็นที่พึ่งแก่ตน..."

@@@@@@@

โอวาทหลวงพ่อสด วัดปากน้ำภาษีเจริญ

"เกิดเป็นพระพุทธเจ้าจริงๆ น่ะ เกิดที่ต้นไม้ศรีมหาโพธิ์ เกิดขึ้นในกายพระสิทธัตถราชกุมาร ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างมนุษย์สามัญธรรมดานี้ มนุษย์สามัญธรรมดานี้มีพ่อมีแม่เป็นแดนเกิด ลูกอาศัยพ่อเป็นเหตุและอาศัยแม่จึงเกิดขึ้นได้ ถ้าไม่เป็นเช่นนั้นเกิดไม่ได้ แต่พระสิทธัตถราชกุมารอยู่ใต้ควงไม้ศรีมหาโพธิ์ทีเดียว ทำพระพุทธเจ้าให้เกิดในกายพระสิทธัตถราชกุมารได้" (รธ. ๗๒๒)

"ธรรมกายเท่านั้นเป็นพระพุทธเจ้าได้ พระองค์ทรงรับสั่งด้วยพระองค์เองว่า ธมฺมกาโย อหํ อิติปิ เราตถาคตคือธรรมกาย ธรรมกายนั้นเป็นพระพุทธเจ้า เป็นพระตถาคตแท้ๆ ไม่ใช่อื่น" (รธ. ๓๘๑)

• เกร็ดความรู้ •

ความอุบัติขึ้นของพระพุทธเจ้านั้นเป็นสอง คือ "รูปกายอุบัติ" และ "ธรรมกายอุบัติ"





Thank to : https://sites.google.com/site/theholydhammacity/ตวตนทสงกวา-higher-self
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ