ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: พระพุทธรูปศิลาสามองค์ เชิงฐานปทุมวดีเจดีย์ คือ พระอมิตาภะพุทธเจ้า.?  (อ่าน 565 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28446
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
.



พระพุทธรูปศิลาสามองค์ เชิงฐานปทุมวดีเจดีย์ คือ พระอมิตาภะพุทธเจ้า.?

เคยสังเกตกันบ้างหรือไม่คะ เมื่อท่านได้ไปชม “สุวรรณเจดีย์” หรืออีกชื่อคือ “ปทุมวดีเจดีย์” ทรงปราสาทสี่เหลี่ยมซ้อนชั้นแบบพีระมิด ด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือของวัดพระธาตุหริภุญชัย

เจดีย์ก่ออิฐที่เคยมีพระพุทธรูปประทับยืนในซุ้มจระนำ 60 องค์ แต่ปัจจุบันสูญหายไปเกือบหมดแล้ว เจดีย์ที่มีหน้าตาคล้ายกับเจดีย์กู่กุฏิ (สุวรรณจังโกฏ) วัดจามเทวี แต่ขนาดย่อมกว่า

แล้วท่านเคยสงสัยไหม ว่าใครเอาพระพุทธรูปสามองค์มานั่งตากแดดตากลมที่ฐานเขียงชั้นล่างสุดด้านทิศใต้ของเจดีย์องค์นี้

พระพุทธรูปทั้งสาม มองเผินๆ แล้ว มักไม่มีใครให้ความสำคัญ ดูไม่น่าสนใจเอาเสียเลย เนื่องจากถูกพอกทับใหม่ด้วยปูนซีเมนต์ มีร่องรอยของความพยายามที่จะแปลงโฉม “พระหินสมัยหริภุญไชย” ที่ครั้งหนึ่งเคยไว้หนวดถมึงทึง หน้าตาทรงพลัง ถูกจับเขียนคิ้วเขียนตา เขียนขอบปาก เสริมดั้ง แต่งคางใหม่

ผลลัพธ์คือความขัดหูขัดตา เนื่องจากโครงสร้างเดิมดูบึกบึน เป็นหินแกรนิตเนื้อแกร่งสีแดงคล้ายผสมศิลาแลงซ่อนอยู่ด้านใน แต่มาถูกแปลงให้เป็นศิลปะยอง ดูอมยิ้มพริ้มเพราอ่อนหวาน

เราสามารถรับรู้ว่าพระพุทธรูปทั้งหมดได้รับการซ่อมแซม เนื่องจากมีการเขียนจารึกใหม่ที่ฐานพระทั้งสามองค์เป็นอักษรธัมม์ล้านนา ด้วยภาษายองกำกับไว้

@@@@@@@

พระหินองค์ใหญ่สององค์ขนาดใกล้เคียงกัน จัดวางไว้ที่มุมฐานเขียงของเจดีย์ปทุมวดีทั้งสองมุม เขียนข้อความเหมือนกันว่า

“เจ้าคุณพระราชสุธี เจ้าอาวาสวัดพระธาตุหริภุญชัยวรมหาวิหาร และเจ้าน้อยประพันธ์ กาญจนกามล เป็นผู้ปฏิสังขรณ์ โดยอาราธนาพระครูญาณมงคล วัดเหมืองง่า และภิกษุอีก 50 รูปมาบำเพ็ญปริวาสกรรม ณ วัดดอนแก้ว ปฏิสังขรณ์เสร็จเมื่อ 31 ธันวาคม 2478”

ส่วนองค์กลาง ขนาดย่อมสุดเขียนคำจารึกที่ฐานว่าซ่อมหลังจากสององค์แรก 5 ปี

“เจ้าคุณพระวิมลญาณมุนี อดีตเจ้าคณะจังหวัดลำพูนเป็นผู้ปฏิสังขรณ์ โดยอาราธนาพระครูญาณมงคล วัดเหมืองง่า และภิกษุอีก 25 รูป บำเพ็ญบริวาสกรรม ณ วัดดอนแก้ว ปฏิสังขรณ์สำเร็จและฉลองเมื่อ 29 ธันวาคม 2483”




กล่าวโดยสรุปได้ว่า พระพุทธรูปสมัยหริภุญไชยทั้งสามองค์นี้ ถูกบูรณะฉาบปูนใหม่ที่ผิวด้านนอกในช่วงไม่เกิน 80-90 ปีที่ผ่านมานี้เอง จากจารึกทำให้เรารู้ว่าเดิมพระทั้งสามองค์เคยประดิษฐาน ณ วัดดอนแก้ว

น่าหดหู่ใจทีเดียว ที่ปัจจุบันวัดดอนแก้วกลายสภาพเป็นโรงเรียนบ้านเวียงยอง ไม่เหลือเค้าแห่งความเป็นวัดที่ยิ่งใหญ่เก่าแก่มากตั้งแต่สมัยหริภุญไชยอีกเลย

ส่วนในแวดวงนักวิชาการด้านโบราณคดีก็มักจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า พระพุทธรูปทั้งสามองค์นี้สะท้อนถึงการรับอิทธิพลพุทธศิลปะอินเดียแบบคุปตะของช่างชาวหริภุญไชย (เพิ่มขึ้นมาอีกสกุลช่างหนึ่ง ว่างั้น)

บ้างว่าท่านั่งของพระหินสามองค์ คือท่านั่งขัดสมาธิเพชร หรือวัชรอาสนะ กับการครองจีวรห่มคลุมเรียบไม่มีชายสังฆาฏิบนบ่าทั้งสองข้าง สองคุณลักษณะนี้ คือต้นแบบของการทำพระพิมพ์รุ่น “พระคง” (ซึ่งต่างจากพระรอด ที่เห็นรอยจีวรพาดห่มเฉียง) ทำให้บางท่านเรียกพระสามองค์ว่า “แม่พระคง”

บทความชิ้นนี้ ดิฉันจะชี้ชวนให้ท่านพิจารณาประเด็น “ท่านั่งขัดสมาธิเพชร” กับการทำปาง “สมาธิ” ว่าสองสิ่งนี้สะท้อนถึงอะไร และเราเคยพบสองสิ่งนี้อยู่ด้วยกันในศิลปะสกุลช่างไหนมาก่อนแล้วบ้างไหม?




นั่งขัดสมาธิเพชรทำไมไม่ “มารวิชัย”.?

พระพุทธรูปทั้งสามองค์นี้ หากเรามองแบบแยกส่วน ว่าการครองจีวรเรียบเหมือนรับอิทธิพลมาจากศิลปะอินเดียสมัยคุปตะ นั่นก็คือเรื่องหนึ่ง กับท่านั่งขัดสมาธิเพชรแลเห็นฝ่าพระบาทสองข้าง มีชายผ้าทิพย์ ก็รับอิทธิพลจากศิลปะปาละของอินเดียซึ่งมีคุปตะเป็นแม่แบบ นั่นก็แยกเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

หากเรามองแค่ จุดนี้รับอิทธิพลจากสกุลช่างโน้น จุดนั้นคล้ายกับพุทธศิลป์สกุลช่างนี้ วิชาประวัติศาสตร์ศิลปะก็แทบไม่มีความหมายอันใดเลย ตราบที่เราไม่สามารถอธิบายถึงปูมหลังแห่ง “การรับอิทธิพล” เอางานพุทธศิลป์สกุลช่างใดสกุลช่างหนึ่งมาใช้ ว่าผู้รับรับมาด้วยเหตุผลใด คงไม่ใช่แค่สวย แค่พึงใจ

หากเราไม่พิจารณาให้รอบด้าน องค์ความรู้ก็จะหยุดอยู่แค่ อ้อ! พระทั้งสามองค์นี้คือภาพสะท้อนของอิทธิพลศิลปะอินเดียแบบคุปตะในนครหริภุญไชย อันเป็นอีกรูปแบบหนึ่งที่เพิ่มขึ้นมาเท่านั้นเอง นอกเหนือไปจากการที่หริภุญไชยมีการรับรูปแบบพุทธศิลป์มาจากทวารวดีภาคกลาง ทวารวดีภาคอีสาน จามปา ขอม พุกาม ลังกา ที่แท้แล้วก็ยังมีอิทธิพลจากคุปตะด้วยอีกสายสกุลหนึ่ง

ดิฉันอยากให้ทุกท่านช่วยพิเคราะห์ให้ลึกลงไปอีกชั้นว่า แม้คุปตะจะนิยมการครองจีวรเรียบเน้นรอยขีดพระศอเป็นปล้องๆ ล้อกับขอบจีวรห่มคลุม รวมทั้งการที่คุปตะนิยมท่านั่งขัดสมาธิเพชรแลเห็นชายผ้าทิพย์ อันเป็นรูปแบบเดียวกันกับพระหินสามองค์ของหริภุญไชยนี้

ทว่า อัตลักษณ์ของพระพุทธรูปคุปตะกว่า 99.99 เปอร์เซ็นต์ เขาเน้นการทำปางแสดงธรรมมิใช่หรือ?

@@@@@@@

ส่วนพุทธศิลป์ที่นิยมทำปางสมาธิ ก็คือสกุลช่างอินเดียใต้สมัยอมราวดี กับสกุลช่างลังกา ครั้นมาดูท่านั่งของสายเถรวาทสองกลุ่มนี้ กลับพบว่านิยมนั่งขัดสมาธิราบแบบหลวมๆ ไม่ใช่ขัดสมาธิเพชร เป็นงั้นไปเสียอีก

ครั้นหันไปมองพุทธศิลป์อินเดียยุคปาละ ต่อเนื่องมายังสมัยพุกามในพม่า ก็หนักไปทางนั่งสมาธิเพชรมชายผ้าทิพย์ แต่เน้นปางมาวิชัยเข้าอีก เหลียวไปแลกลุ่มทวารวดีภาคกลาง ภาคตะวันออกแถบปราจีน สระมรกต ทำปางสมาธิก็จริง แต่กลับนั่งขัดสมาธิราบแบบหลวมๆ ตามอิทธิพลสายเถรวาทจากอมราวดีเข้าจนได้

มองไปทางไหนก็พบแต่ทางตัน แล้วพระสามองค์นี้ไปรับเอารูปแบบพิเศษมาจากไหนกันหนอ ประมาณว่าท่อนบนทำปางสมาธิ แบบที่นิยมในกลุ่มเถรวาท ในขณะที่ท่อนล่างกลับนั่งขัดสมาธิเพชร ตามความนิยมในกลุ่มอินเดียเหนือสายมหายาน

เหลียวไปมองเพื่อนบ้านไม่ใกล้ไม่ไกล แล้วจะพบคำตอบในศิลปะที่เรียกว่าสกุลช่างศรีวิชัย หรือชวา ณ ศาสนสถานบุโรพุทธโธ ในประเทศอินโดนีเซีย เราได้พบพระพุทธรูปกลุ่มหนึ่ง “นั่งขัดสมาธิเพชร ทำปางสมาธิ” รูปแบบเดียวกันเปี๊ยบเลยกับพระหินสามองค์ที่เราว้าวุ่นอยู่กับการหาหมวดหมู่ให้ไม่ลงตัวสักที

@@@@@@@

พระพุทธรูปที่บุโรพุทโธ มีชื่อเรียกโดยรวมว่า “พระธยานิพุทธเจ้า” ตามความเชื่อของชาวพุทธมหายานสายวัชรยาน ว่ามีพระพุทธเจ้าอยู่ 5 พระองค์ เป็นบุคลาธิษฐานของขันธ์ทั้ง 5 และพระตถาคตก็สถิตประจำทิศทั้ง 5 ดังนี้

ทิศตะวันออก เรียก พระอักโษภยะ แสดงออกด้วยการทำปางมารวิชัย (ภูมิสปรศมุทรา)
ทิศใต้ เรียกพระรัตนสัมภวะ ทำปางประทานพร (วรมุทรา)
ทิศตะวันตก เรียกพระอมิตาภะ ทำปางสมาธิ (ธยานมุทรา)
ทิศเหนือ เรียกพระอโมฆสิทธะ (สิทธิ) ทำปางประทานอภัย (อภัยมุทรา)

ทิศเบื้องบนสุด เหนือทิศทั้งสี่ ที่เป็นองค์ประธานของพระธยานิพุทธทั้งหมด มีชื่อว่า “พระไวโรจนะ” ทำปางแสดงธรรม (ธรรมจักรมุทรา) อันเป็นปางยอดฮิตของสมัยคุปตะ แต่ในอินเดียไม่ได้มากำหนดเรียกชื่อให้เป็น 1 ในพระธยานิพุทธเจ้าแต่อย่างใด

พระธยานิพุทธเจ้าทุกองค์ ทุกทิศ ทุกปางนั่งขัดสมาธิเพชรเหมือนกันหมด อันเป็นรูปแบบที่ศิลปะชวาได้รับอิทธิพลมาจากอินเดียเหนือสมัยคุปตะ แต่แนวคิดเรื่องพระธยานิพุทธเจ้านั้น ไม่ปรากฏว่ามีแพร่หลายในสมัยคุปตะแต่อย่างใด เริ่มมีในสมัยปาละ และกระจายไปยังทิเบต เนปาล จีน ตลอดจนชวาอย่างเข้มข้น

ถ้าเช่นนั้นก็แสดงว่า พระหินสามองค์ที่ฐานปทุมวดีเจดีย์ ซึ่งนั่งขัดสมาธิเพชร ปางสมาธิเช่นเดียวกับพระทางทิศตะวันตกของบุโรพุทโธ ก็คือ “พระอมิตาภะพุทธเจ้า” หนึ่งใน 5 ของ “พระธยานิพุทธเจ้า” ตามความเชื่อของพุทธมหายานด้วยหรือไม่ เช่นไร?




พระอมิตาภะกับนิกายสุขาวดี

นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ศิลปะที่กล่าวเน้นย้ำถึงแนวคิดที่ว่า พระพุทธศาสนาในดินแดนสยามช่วงพุทธศตวรรษที่ 11-15 นั้นมีหลายนิกาย หนึ่งในนั้นมี “นิกายสุขาวดี” ด้วย ก็คือท่านศาสตราจารย์ ดร.พิริยะ ไกรฤกษ์

นิกายสุขาวดีคืออะไร เป็นนิกายย่อยในสายพุทธมหายาน ที่แยกออกไปจากวัชรยานที่นับถือ “พระธยานิพุทธทั้ง 5” ด้วยการเน้นความเคารพศรัทธาที่มีต่อ “พระอมิตาภะ” อย่างสูงสุดเพียงองค์เดียว

นิกายนี้มีความเชื่อว่า พระอมิตาภะเป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง สถิต ณ พุทธเกษตร (ดินแดน) ที่เรียกว่า สุขาวดี อยู่ทางทิศตะวันตกจากโลกของเราไปไกลโพ้น

โดยทางประติมานวิทยา ชาวพุทธที่นับถือนิกายนี้ในยุคทวารวดี นิยมทำพระพุทธรูปปางหลักๆ ที่เห็นได้ชัดคือ “พระพุทธเจ้าประทับเหนือพนัสบดี” แสดงออกด้วยการหักนิ้วพระหัตถ์สองข้าง คล้ายเสด็จลงมาจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ หรือล่องลอยลงจากห้วงนภากาศ คือดินแดนสุขาวดี เพื่อมาโปรดสัตว์โลก

นั่นคือ ปางยอดฮิตที่พบมากในพุทธศิลป์สมัยทวารวดีซึ่งกระจายอยู่ทั่วทุกภูมิภาค ทำให้เชื่อได้ว่าสมัยเมื่อพันกว่าปีก่อน นิกายสุขาวดีเป็นที่นิยมอย่างสูงของผู้คนในแถบลุ่มเจ้าพระยา ท่าจีน โดยได้รับอิทธิพลจากจีนสมัยราชวงศ์ถัง

@@@@@@@

ทว่า การศึกษาเรื่องรูปแบบ “พระอมิตาภะในท่านั่งขัดสมาธิเพชร ปางสมาธิ” อันเป็นอีกมิติหนึ่งของการช่วยตอกย้ำเรื่องนิกาย “สุขาวดี” ที่คู่ขนานไปกับ รูปเคารพพระพุทธเจ้าประทับเหนือพนัสบดี นั้น เข้าใจว่ายังไม่มีผู้ศึกษากันมากนัก

โชคดีแท้เทียว ที่เรามาพบพระพุทธรูปหินสามองค์ขนาดใหญ่พอสมควรในงานพุทธศิลป์หริภุญไชย ที่ดูเผินๆ จากภายนอกแล้ว ละม้ายว่าน่าจะมีความสัมพันธ์กับสายอินเดียคุปตะเท่านั้น แต่เอาเข้าจริงแล้ว ท่านั่งกับการทำปาง กลับไปสอดคล้องกับแนวคิดเรื่อง “พระอมิตาภะ” ที่บุโรพุทโธของชวา อย่างน่าขบคิด

ฉบับหน้ามาชวนครุ่นคำนึงกันต่อ ว่าลำพังแค่ท่านั่งขัดสมาธิเพชรกับการทำปางสมาธิ จำเป็นต้องหมายถึงพระอมิตาภะเสมอไปด้วยล่ะหรือ

ถ้าเช่นนั้นแล้ว เราจะใช้ตรรกะเดียวกันนี้ได้หรือไม่ว่า พระสิงห์ 1 ที่นั่งขัดสมาธิเพชร ทำปางมารวิชัย ทั่วล้านนาก็ต้องเป็น “พระอักโษภยะ” (พระธยานิพุทธเจ้าประจำทิศตะวันออก ตามอย่างแนวคิดของบุโรพุทโธ) หมดทุกองค์ด้วยหรือเปล่า? สัปดาห์หน้ามาว่ากันต่อ •


 




ขอขอบคุณ :-
ที่มา : มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 15 - 21 กันยายน 2566
คอลัมน์ : ปริศนาโบราณคดี
ผู้เขียน   : เพ็ญสุภา สุขคตะ
เผยแพร่ : วันอาทิตย์ที่ 17 กันยายน พ.ศ.2566
website : https://www.matichonweekly.com/column/article_712709
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ