ความหมายของ “ข้าวสัตตุก้อน สัตตุผง
พระพรหมคุณาภรณ์(ป.อ.ปยุตโต) ได้ให้ความหมายไว้ว่า
สัตตุ ข้าวคั่วผง, ขนมผง ขนมแห้งที่ไม่บูด เช่น ขนมที่เรียกว่า จันอับและขนมปัง เป็นต้น
สัตตุผง สัตตุก้อน ข้าวตู เสบียงเดินทางที่ ๒ พ่อค้า คือ ตปุสสะ กับภัลลิกะ ถวายแด่พระพุทธเจ้า ขณะที่ประทับอยู่ใต้ต้นราชายตนะ
ท่าน เสฐียรพงษ์ วรรณปก ราชบัณฑิต ให้ความหมายไว้ว่า
‘สัตตุผง’ นั้นบาลีเรียกว่า “มันถะ” คือข้าวตากที่ตำละเอียด
ส่วน ‘สัตตุก้อน’ บาลีเรียกว่า “มธุบิณฑิกะ” คือข้าวตากที่ผสมน้ำผึ้งแล้วปั้นเป็นก้อนๆ
พระไตรปิฎก ฉบับธรรมทาน ในพระวินัย สิกขาบทวิภังค์ ได้กำหนดความหมายไว้ว่า
ที่ชื่อว่า
สัตตุผง ได้แก่ ของกินอย่างใดอย่างหนึ่งที่เขาจัดเตรียมไว้เพื่อต้องการเป็นเสบียง.
---------------------------------------------------
สูตร ข้าวตู ขนมไทย ยอดนิยม
ข้าวตู
ส่วนประกอบ 1.ข้าวสุกตากแห้ง 3 ถ้วยตวง
2. มะพร้าวทึนทึกขูดฝอย 3/4 ถ้วยตวง
3. มะพร้าวขูด 1/2 กิโลกรัม
4. น้ำตาลมะพร้าว 1 ถ้วยตวง
5. น้ำตาลทราย 1/4 ถ้วยตวง
6. เทียนอบ
7. ดอกมะลิ
8. แม่พิมพ์ วิธีทำ1.นำข้าวสุกที่ตากแห้งไปคั่วให้ เหลืองกรอบ หรือจะใช้ข้าวตังที่เป็นเศษๆ มาคั่วก็ได้ พอเย็นนำไปบดหรือโขลกให้ละเอียด แล้วร่อนโดยใช้ตะแกรง
2.คั้นกะทิโดยใช้น้ำลอยดอกมะลิ คั้นให้ได้ประมาณ 3 ถ้วยตวง แล้วเอาน้ำตาลมะพร้าว น้ำตาลทรายละลายในน้ำกะทิ กรองให้สะอาด
3.นำไปใส่หม้อหรือกระทะทอง ยกขึ้นตั้งไฟ พอเดือดใส่มะพร้าวทึนทึกลงกวนให้เข้ากัน กวนจนกะทิงวดเกือบแห้งจึงใส่ข้าวคั่วลง แล้วกวนต่อจนแห้งเป็นก้อน (อย่าใช้ไฟแรง) พอเย็นจึงใช้พิมพ์กดเป็นรูปต่างๆ
4.ถ้าไม่มีพิมพ์ก็ใช้วิธีปั้นเป็น ก้อนกลมรีก็ได้ เสร็จแล้วนำใส่ขวดโหล อบด้วยควันเทียน และดอกมะลิ
http://flash-mini.com/thaidessert/ขนมประเภทกวนและนึ่ง/ข้าวตู.html
--------------------------------------------
พ่อค้าชื่อตปุสสะและภัลลิกะ
เอตทัคคะในทางผู้ถึงสรณะก่อน
ตปุสสะเป็นพ่อค้าที่ มาจากอุกกลชนบทคู่กับ ภัลลิกะ ซึ่งเป็นน้องชาย ท่านเป็นบุตรของกฏุมพี ในอสิตัญชนนคร
ครั้นล่วง ๗ วัน พระผู้มีพระภาคทรงออกจากสมาธินั้น แล้วเสด็จจากควงไม้มุจจลินท์ เข้าไปยังต้นไม้ราชายตนะ แล้วประทับนั่งด้วยบัลลังก์เดียว เสวยวิมุตติสุข ณ ควงไม้ราชายตนะ ตลอด ๗ วัน
ในสัปดาห์ที่ ๘ ประทับนั่งใต้ต้นเกด สมัยนั้น พาณิชทั้งสองเดินทางจากอุกกลชนบท จะไปยังมัชฌิมประเทศ ด้วยเกวียน ๕๐๐ เล่ม
เทวดาผู้เป็นญาติสาโลหิตของตนในชาติก่อน ซึ่งเคยเป็นมารดาของพาณิชทั้งสองได้เกิดเป็นเทวดาอยู่ในที่แถวนั้น ในอัตภาพ ติดต่อกัน ๕ อัตภาพ (ชาติ)
นางคิดว่า บัดนี้พระพุทธเจ้าควรที่จะได้รับพระกระยาหาร เพราะต่อแต่นี้ไปพระองค์ปราศจากพระกระยาหารจะไม่สามารถทรงพระชนม์ชีพอยู่ได้ อนึ่ง บุตรของเราทั้งสองนี้ก็ไปตามสถานที่นี้ วันนี้บุตรทั้งสองนั้นควรได้ถวายบิณฑบาตแด่พระพุทธเจ้าดังนี้แล้ว จึงได้ทำให้โคที่เทียมเกวียนทั้ง ๕๐๐ เล่ม หยุดไม่เดินไป พวกเขาต่างพูดว่า นี่อะไรกัน อะไรกันนี้ จึงพากันตรวจดูนิมิตต่างๆ ทีนั้น
เทพยดานั้นทราบว่าเขาทั้งสองลำบาก จึงเข้าสิงในร่างของบุรุษคนหนึ่งแล้วกล่าวว่า เพราะเหตุไร พวกท่านจึงต้องลำบาก ไม่มียักษ์อื่นกลั่นแกล้ง ไม่มีภูตผีกลั่นแกล้ง ไม่มีนาคกลั่นแกล้งพวกท่านดอก แต่เราเป็นมารดาของพวกท่านในอัตภาพ (ชาติ) ที่ ๕ บังเกิดเป็นภุมเทวดาอยู่ในที่นี้
ดูกรท่านผู้นิรทุกข์ พระผู้มีพระภาคพระองค์นี้แรกตรัสรู้ ประทับอยู่ ณ ควงไม้ราชายตนะ ท่านทั้งสองจงไปบูชาพระผู้มีพระภาคนั้น ด้วยสัตตุผงและสัตตุก้อนการบูชาของท่านทั้งสองนั้น จักเป็นไปเพื่อประโยชน์และความสุขแก่ท่านทั้งหลายตลอดกาลนาน
พาณิชทั้งสองได้เข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าขณะประทับอยู่ ณ ภายใต้ต้นไม้ราชายตนะ (ไม้เกด) ได้ทูลถวายเสบียงเดินทางคือ ข้าวสัตตุผง ข้าวสัตตุก้อน แด่พระพุทธเจ้า ตามคำบอกของเทวดา
ขณะนั้น พระผู้มีพระภาคได้ทรงปริวิตกว่า พระตถาคตทั้งหลาย ไม่รับวัตถุด้วยมือ เราจะพึงรับสัตตุผง และสัตตุก้อนด้วยอะไรหนอ ได้ทราบว่า บาตรใดของพระองค์ได้มีอยู่ในเวลาทรงประกอบความเพียร แต่บาตรนั้นได้หายไปเมื่อนางสุชาดามาถวายข้าวปายาส
เพราะเหตุนั้น พระองค์จึงได้ทรงมีพระรำพึงนี้ว่า บาตรของเราไม่มี ก็แลพระตถาคตทั้งหลายองค์ก่อนๆ ไม่ทรงรับด้วยพระหัตถ์เลย เราจะพึงรับข้าวสัตตุผงและข้าวสัตตุก้อนปรุงน้ำผึ้งด้วยอะไรเล่าหนอ ?
ลำดับนั้น ท้าวมหาราชทั้ง ๔ องค์ทรงทราบพระปริวิตกแห่งจิตของพระผู้มีพระภาค ด้วยใจของตนแล้ว เสด็จมาจาก ๔ ทิศ ทรงนำบาตรที่สำเร็จด้วยศิลา ๔ ใบ เข้าไปถวายพระผู้มีพระภาค กราบทูลว่า ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงรับสัตตุผงและสัตตุก้อนด้วยบาตรนี้ พระพุทธเจ้าข้า
พระผู้มีพระภาคทรงใช้บาตรสำเร็จด้วยศิลาอันใหม่เอี่ยมมีพรรณ (สี) คล้ายถั่วเขียว รับสัตตุผงและสัตตุก้อน แล้วเสวย
(ก็ท้าวมหาราชทั้ง ๔ ได้น้อมถวายบาตรแล้วด้วยแก้วอินทนิล มีพรรณเขียวเลื่อมประภัสสร ดังแสงปีกแมลงทับ ในตำหรับไสยศาสตร์ชื่อว่าแก้วมรกตก่อน พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงรับบาตรเหล่านั้น)
สองพาณิชได้แสดงตนเป็นอุบาสก ถึงพระพุทธเจ้ากับพระธรรมเป็นสรณะ นับเป็นปฐมอุบาสกผู้ถึงสรณะ ๒ ที่เรียกว่า เทฺววาจิก (ทเววาจิกะ) สองพาณิชนั้นครั้นประกาศความเป็นอุบาสกอย่างนั้นแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
ทีนี้ ตั้งแต่วันนี้ไป ข้าพระองค์พึงทำการอภิวาทและยืนรับใครเล่าพระเจ้าข้า ? พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงลูบพระเศียร พระเกศาติดพระหัตถ์ ๘ เส้น มีสีดุจแก้วอินทนิลแลปีกแมลงภู่ได้ประทานพระเกศาเหล่านั้นแก่เขาทั้งสอง ด้วยตรัสว่า ท่านจงรักษาผมเหล่านี้ไว้ สองพาณิชนั้น ได้พระเกศาธาตุราวกะได้อภิเษกด้วยอมตธรรมใส่ในผอบทองคำ รื่นเริงยินดีถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วอัญเชิญพระเกศธาตุไปยังเมือง ของตน ให้บรรจุพระเกศธาตุของพระพุทธเจ้าที่ยังมีพระชนม์ไว้ที่ประตูอสิตัญชนนคร ในวันอุโบสถก็มีรัศมีสีนิลเปล่งออกมาจากพระเจดีย์ เรื่องนี้เกิดขึ้นโดยทำนองนี้
ก็ในกาลต่อมา พระศาสดาประทับนั่งในพระเชตวัน เมื่อทรงสถาปนาอุบาสกทั้งหลายไว้ในตำแหน่งต่างๆ ตามลำดับ จึงทรงสถาปนาชนทั้งสองนี้ไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะเป็นเลิศกว่าอุบาสกทั้งหลาย ผู้ถึงสรณะก่อนแล ก็นายพาณิชสองคนนั้น ได้เป็นอุบาสกกล่าวอ้าง ๒ รัตนะ เป็นชุดแรกในพระพุทธศาสนา
๐ บุพกรรมในอดีตชาติ ได้ยินว่า พ่อค้าทั้งสองนี้ ครั้งพระพุทธเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระ ถือเอาปฏิสนธิในเรือนสกุล กรุงหังสวดี ต่อมา ได้ฟังธรรมเทศนาของพระศาสดา เห็นพระศาสดาทรงสถาปนาอุบาสกสองคนไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะเป็นเลิศกว่าพวก อุบาสกผู้ถึงสรณะเป็นคนแรก จึงกระทำกุศลให้ยิ่งยวดขึ้นไป ปรารถนาตำแหน่งนั้น.
เขาทั้งสองเวียนว่ายตายเกิดไปในเทวดาและมนุษย์สิ้นแสนกัป มาบังเกิดในเรือนกุฏุมพีในอสิตัญชนนคร ก่อนพระโพธิสัตว์ของเราทรงบรรลุพระสัพพัญญุตญาณ [อ้างอิง :: วินย. ๔/๕-๖ ; วินย. อ. ๓/๒๗-๒๘ ; อป.อ. ๘/๑/๑๕๘-๑๕๙ ; องฺ.อ. ๑/๒/๕๗-๕๙ ; พุทฺธ.อ. ๙/๒/๓๒ ; วินย.อ. ๔/๑/๒๖-๒๙ ; ปฐมสมโพธิกถา ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส หน้า ๑๗๙-๑๘๒]
คัดลอกมาจาก ::
สารานุกรม พระไตรปิฎกฉบับธรรมทาน
http://www.dharma-gateway.com/.............................................................