ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: 'สัมมาสติ' จาก..สมเด็จพระสังฆราช  (อ่าน 1380 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออนไลน์ ออนไลน์
  • กระทู้: 28452
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
'สัมมาสติ' จาก..สมเด็จพระสังฆราช
« เมื่อ: กันยายน 30, 2012, 12:24:15 pm »
0


'สัมมาสติ' จาก..สมเด็จพระสังฆราช
'เราทั้งหลายเป็นอะไรกัน' 'สัมมาสติ'จากสมเด็จพระสังฆราช : วิปัสสนาบนหน้าข่าว โดยมนสิกุล โอวาทเภสัชช์

      ในวันที่คนไทยกำลังมีความคิดแตกแยกเป็นหลายฝ่ายสถานการณ์ของชาวโลกก็ดุจเดียวกัน สงครามกลางเมืองเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ พร้อมๆ กับปัญหาระหว่างประเทศที่กำลังก่อตัวดั่งน้ำมันที่รอเพียงไม้ขีดไฟก้านเดียวโยนลงไปก็จะลุกโชนทันที ขณะที่ธรรมชาติก็กำลังแปรปรวนไม่ต่างจากอารมณ์ของมนุษย์ ราวกับจะบอกนัยว่า ถึงเวลาหรือยังที่เราควรจะกลับมาทบทวนตัวเองสักที และหาหนทางที่จะช่วยกันตัดไฟแต่ต้นลม...
   
      ในวโรกาสงานบำเพ็ญพระกุศลคล้ายวันประสูติเจริญพระชันษา ๙๙ ปี สมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (สุวฑฺฒโน เจริญ คชวัตร ป.ธ.๙) วัดบวรนิเวศวิหารกรุงเทพฯ วันที่๓ ตุลาคม ๒๕๕๕ ที่จะถึงนี้ ขอน้อมธรรมะจากท่านที่ปรากฏอยู่ในหนังสือ'๙๙คำถามเกี่ยวกับสมเด็จพระสังฆราช' บรรณาธิการโดยพระดร.อนิลมาน ธมฺมสากิโย, รองศาสตราจารย์สุเชาน์ พลอยชุม และสุภาภรณ์ อัษฎมงคล

      ซึ่งหนังสือเล่มนี้เป็นหนึ่งในหนังสือที่ระลึก ๔ เล่มที่สำนักเลขานุการสมเด็จพระสังฆราชได้อำนวยการจัดพิมพ์แจกในงานนี้สำหรับผู้ที่ไปลงนามถวายพระพรเจ้าประคุณสมเด็จฯ ที่วัดบวรนิเวศวิหารในวันที่๑-๗ ตุลาคม จึงขอน้อมนำคำถามของวันนี้และคำตอบเกี่ยวกับสถานการณ์บ้านเมืองในยามนั้นที่เจ้าประคุณสมเด็จฯ ได้ตรัสไว้เมื่อเกือบ ๔๐ ปีก่อนมาใคร่ครวญไปด้วยกัน
   
      คำถาม ขอแนวคิดการใช้ชีวิตและมุมมองวิธีคิดในการใช้ชีวิตเวลาต้องอยู่ในสถานการณ์ เมืองไทยไม่สงบสุข ในยุคสมัยบ้านเมืองไม่สงบสุขด้วยภัยร้ายรอบด้าน พุทธศาสนิกชนควรฝึกธรรมะข้อไหนเป็นพิเศษเพื่อให้จิตที่ยังไม่แข็งแรง ไม่มัวหมองเกินเหตุ ในขณะที่บ้านเมืองมีการแตกแยกความคิดสูงเป็นอย่างมาก...เราควรครองตนท่ามกลางความคิดที่แตกยากอย่างมากเช่นนี้..ด้วยธรรมะข้อใด
   
     คำตอบ สถานการณ์บ้านเมืองที่รู้สึกกันว่าไม่สงบแบ่งแยกฝักฝ่ายนั้นไม่ใช่เรื่องใหม่ในเมืองไทย เมื่อครั้งเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ ที่นิสิตนักศึกษาและประชาชนต่อต้านผู้ปกครองในครั้งนั้น เจ้าพระคุณสมเด็จฯ เคยออกแถลงการณ์ในนามคณะสงฆ์ไทย ทำเป็นใบปลิวให้ลูกศิษย์นำไปแจกในที่ชุมนุม เพื่อเตือนให้ผู้ชุมนุมมีสัมมาสติ ความว่า จากคณะสงฆ์ไทย"

   



      สัมมาสติ แปลว่า ความระลึกชอบ ...คือใช้ปัญญาระลึกโดยรอบคอบ ไม่ลุอำนาจหรือดึงดันไปด้วยอำนาจความโกรธหลง ซึ่งจะเป็นเหตุให้พบเหตุผลเป็นเครื่องแก้ไขเหตุการณ์ต่างๆ ทั้งที่เป็นส่วนตัวทั้งที่เป็นส่วนรวมได้ดียิ่ง ความพบเหตุผลที่ถูกต้องดังนี้และเป็นตัวปัญญา ซึ่งเป็นผลที่มุ่งหมายสำหรับแก้เหตุการณ์ทั้งหลาย
   
      สัมมาสติและปัญญาต่างก็ต้องอาศัยกันและกัน ในที่นี้ยกสัมมาสติขึ้นเป็นประธาน เพราะมุ่งหมายว่าเป็นข้อสำคัญในหน้าที่เตือนใจให้ใช้ปัญญาแทนที่จะใช้อารมณ์และกิเลสแก่กันและกัน ทุกๆ คนต่างก็มีปัญญาอยู่ด้วยกันแล้ว แต่อาจยังเผลอปัญญาไปบ้างเพราะขาดสัมมาสติเท่านั้น จะควรระลึกอย่างไรจึงจะเป็นสัมมาสติ และจะระลึกอย่างนั้นได้หรือ
   
       ขอแถลงข้อหลังก่อนว่าทุกคนระลึกให้เป็นสัมมาสติได้ เพราะเป็นเรื่องของจิตใจที่อาจน้อมจิตใจให้คิดไปได้ จึงขอแต่เพียงว่า ขอให้น้อมจิตใจคิดไปในทางสงบเท่านั้น โดยพยายามระงับดับจิตใจเร่าร้อนไม่สงบลงเสีย ดังจะลงแนะแนวคิดดูที่จะนำไปสู่สัมมาสติ

   



       ๑. เราทั้งหลายเป็นอะไรกัน ถ้าคิดด้วยความโกรธก็จะได้คำตอบว่า เป็นศัตรูกัน โกรธเกลียดกัน ซึ่งจะต้องเอาชนะกันให้ได้แม้ด้วยการใช้กำลังประหัตประหารกัน ถ้าคิดด้วยจิตใจที่สงบก็จะได้คำตอบว่า เราเป็นพี่น้องกัน ร่วมชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์เดียวกัน หรือแม้ร่วม เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกัน บรรพบุรุษสตรีของเราได้เสียสละทุกอย่างรักษาสถาบันต่าง ๆ ของชาติไทยไว้ให้แก่เรา

       เราทั้งหลายจึงเหมือนอยู่ในครอบครัวเดียวกัน ผู้ที่เป็นผู้ใหญ่ก็เป็นเหมือนเป็นพ่อเป็นแม่ เป็นตาเป็นยาย เป็นปู่ เป็นย่า เป็นน้า เป็นอา ผู้ที่เป็นเด็กกว่าก็เหมือนอย่างเป็นลูกเป็นหลาน ที่เป็นชั้นเดียวกันก็เป็นเหมือนอย่างเป็นพี่เป็นน้องกันทั้งนั้น ไม่ใช่ใครที่ไหน ความระลึกได้อย่างนี้จะทำให้จิตใจอ่อนโยนลง จะทำให้เกิดความคิดที่จะปรองดองกัน สมัครสมานกันขึ้น
   
      ๒. เราทั้งหลายกำลังจะทำอะไรให้แก่กัน ถ้าตอบด้วยความโกรธก็จะได้คำตอบว่าเราจะต้องไม่ยอมกันเด็ดขาด จะต้องบังคับเอาสิ่งที่เราต้องการ หรือไม่ยอมให้ทุกอย่างตามที่ได้รับการเรียกร้อง แม้ด้วยการใช้กำลัง แต่ถ้าคิดด้วยใจที่สงบ ก็จะมองเห็นว่า เราทั้งหลายต่างก็เป็นญาติกันทั้งหมด มิใช่ใครอื่นที่ไหน ควรที่ผ่อนปรนกัน สมมติว่าผ่อนความต้องการของตนบ้าง เหมือนอย่างว่าคนละครึ่งหนึ่ง ทุกฝ่ายต่างได้ต่างเสียด้วยกัน

       เพราะการที่ดึงดันเอาแต่ใจของตนฝ่ายเดียวนั้นยากที่จะตกลงกันได้ หลักของความสามัคคีประการหนึ่งก็คือ ความที่รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา หรือเอาใจเราไปใส่ใจเขา แต่จะต้องทำใจให้สงบเสียก่อนจึงจะเกิดความคิดผ่อนปรนประนีประนอมดังกล่าวได้
   
       ๓. เราทั้งหลายกำลังมุ่งอะไรเพื่ออะไร สิ่งที่มุ่งนั้นถ้าไม่ขัดกันก็ไม่เกิดปัญหาขัดแย้ง แต่ถ้าขัดกันก็เกิดปัญหาขัดแย้ง แต่ก็จะต้องมีจุดที่มุ่งหมายว่าเพื่ออะไร เมื่อมีจุดที่มุ่งหมายเป็นอันเดียวกัน เช่นเพื่อชาติ ก็น่าที่ทุกฝ่ายจะพากันเสียประโยชน์สุขส่วนตนเพื่อส่วนรวมคือชาติ
      อันหมายถึงประชาชนทั้งหมดพร้อมทั้งสถาบันทั้งหลายของชาติ ด้วยสันติวิธี พยายามหาทางปฏิบัติโดยสันติที่จะให้บรรลุถึงจุดมุ่งหมายทุกๆ คนย่อมรวมอยู่ในชาติ ต่างเป็นกำลังของชาติดังที่เรียกกันว่า พลเมือง จึงต้องรักษาตนเองไว้ให้ดีด้วยกัน


      การที่จะมาทำลายกันเองลงไป เท่ากับเป็นการทำลายกำลังของชาตินั้นเอง ทำให้ชาติอ่อนกำลังลง และเราทั้งหลายต่างก็มีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวผู้ทรงเป็นองค์ประมุขของชาติ ผู้ทรงดำรงอยู่ในทศพิธราชธรรมเป็นที่เคารพนับถืออย่างสูงสุด
      ปรากฏว่าพระองค์ทรงมีพระราชวิตกห่วงใยเป็นอันมาก ทรงมีพระมหากรุณาแผ่ไปอย่างยิ่ง เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่รุนแรงขึ้นเพียงใด ความทุกข์อย่างหนักก็ย่อมจะเกิดขึ้นในพระราชหฤทัยเพียงนั้น
 




      จึงน่าที่ทุกๆ ฝ่ายจะรำลึกถึงพระมหากรุณา และปฏิบัติอย่างผ่อนปรนแก้กันด้วยมุ่งประโยชน์แก่ประเทศชาติอันเป็นส่วนรวมเป็นที่ตั้ง และระลึกถึงพระศาสนาซึ่งสอนให้ใช้สัมมาสติ กล่าวไว้ว่า ทุกศาสนาย่อมสอนให้ใช้สัมมาสติทั้งนั้น
   
      แนวคิดทั้ง ๓ ประการนี้ เป็นแนวคิดที่ขอเสนอแนะแก่ทุก ๆ คน ทุก ๆ ฝ่าย ขอให้ทุกคนทุกฝ่ายพากันยับยั้ง คิดรำลึก ถึงจะต้องใช้เวลาสักหน่อย ก็ยังดีกว่าการทำอะไรลงไปด้วยความผลุนผลัน พอให้อารมณ์ที่ตึงเครียดผ่อนคลาย พอให้จิตใจสงบและคิดรำลึกตามแนวที่เสนอแนะ หรือแม้แนวอื่นที่จะนำไปสู่ความพบเหตุผลที่ดีกว่าย่อมจะได้สัมมาสติและปัญญา ในอันที่จะแก้ไขผ่อนปรนนำไปสู่วัตถุประสงค์ที่ต้องการร่วมกัน โดยสวัสดี
   
      และเมื่อไม่นานมานี้ในการประชุมสุดยอดพุทธศาสนิกแห่งโลกเมื่อวันที่ ๑ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๕  พระดร.เกียวเซ เอ็นซินโจ ประธานสุดยอดผู้นำชาวพุทธในนามของพุทธศาสนิกชน ๓๗๐ ล้านคนทั่วโลก ได้ทูลถวายตำแหน่งพระเกียรติยศเจ้าประคุณสมเด็จฯ ว่าทรงเป็น ผู้นำคณะสงฆ์สูงสุดแห่งโลกพระพุทธศาสนา (Supreme Holiness of World Buddhism) จากผู้นำชาวพุทธ ๓๒ ประเทศ ณ เมืองเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น
   
      หัวใจของการถวายตำแหน่งนี้ เพราะทุกท่านเห็นพ้องกันว่า
      เจ้าประคุณสมเด็จฯ"ทรงได้รับการเคารพอย่างสูงสุดและได้รับการไว้วางใจอย่างสุดซึ้งจากพุทธศาสนิกชนชาวไทยที่เต็มเปี่ยมด้วยศรัทธาว่าทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราชในดินแดนแห่งรอยยิ้ม ทรงเป็นผู้สอนพระธรรมคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้ทุกคนปฏิบัติธรรมตั้งอยู่ในพระปัญญาธรรมและพระกรุณาธรรม ทั้งทรงเป็นผู้นำราชอาณาจักรไทยไปสู่สันติภาพและความเจริญรุ่งเรือง นับเป็นแบบอย่างของสากลโลก"

   
      ขอเชิญร่วมงานบำเพ็ญพระกุศลคล้ายวันประสูติ เจริญพระชันษา๙๙ ปี และ นิทรรศการพระชันษา๑๐๐ ปี สดุดีพระสังฆบิดร สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก วันที่ ๑ - ๗ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๕ วัดบวรนิเวศวิหารโทรศัพท์ ๐-๒๒๘๑-๕๐๕๒



ขอบคุณภาพข่าวจาก
www.komchadluek.net/detail/20120930/141194/สัมมาสติจากสมเด็จพระสังฆราช.html#.UGfS-aDvolg
http://www.watpa.com/,http://wataz.org/
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ