ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: “ศรีลังกา” หยดน้ำตาแห่งมหาสมุทรอินเดีย  (อ่าน 1611 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28446
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


“ศรีลังกา” หยดน้ำตาแห่งมหาสมุทรอินเดีย

ถ้าศรีลังกาเป็นหยดน้ำตา คงเป็นหยดใหญ่กว่ามัลดีฟส์หลายเท่า ก็ดูขนาดประเทศสิ หยดของศรีลังกาเป็นหยดเบ้อเริ่ม แต่มัลดีฟส์เป็นฝอยกระจายพันกว่าหยด

        ”หยดน้ำตาแห่งมหาสมุทรอินเดีย”เป็นสิ่งที่ทุกคนเปรียบเปรยศรีลังกา
        ถ้าศรีลังกาเป็นหยดน้ำตา คงเป็นหยดใหญ่กว่ามัลดีฟส์หลายเท่า ก็ดูขนาดประเทศสิ หยดของศรีลังกาเป็นหยดเบ้อเริ่ม แต่มัลดีฟส์เป็นฝอยกระจายพันกว่าหยด


        อาจจะดูเก็บเนื้อเก็บตัว  แต่ต้องบอกว่าเสน่ห์ของศรีลังกานั้นรุนแรงไม่แพ้อินเดีย เนปาล และปากีสถาน ทั้งความเข้มขลัง ความคลาสสิค ความอลังการ และความสงบงามแห่งดินแดนพุทธศาสนา เติมแต่งคลุกเคล้าให้ศรีลังกากลายเป็นประเทศเจ้าเสน่ห์ไปในบัดดล

        จริงอยู่ที่หน้าตาของศรีลังกาวันนี้อาจเปลี่ยนไปบ้าง อาจจะมีสิ่งก่อสร้างทันสมัยผสมผสานกับวัฒนธรรมเก่าแก่  ทั้งหอนาฬิกาอายุกว่า  100 ปี  และสูงระฟ้าจึงอยู่ไม่ไกลกันนัก

        ที่นี่เคยเป็นฐานที่มั่นของเจ้าอาณานิคมตะวันตกทุกยุคทุกสมัย ไม่ว่าจะเป็นโปรตุเกสหรืออังกฤษ   โคลัมโบที่เห็นในวันนี้  จึงไม่เพียงเป็นเมืองหลวงที่มีการจัดวางผังไว้ดีเยี่ยม แต่ยังมีตะกอนและริ้วรอยแห่งอดีตเหลือทิ้งไว้จากผู้ล่า




       ก่อนจะเดินทางไปหาศรีลังกา หลายคนมักสงสัยในความปลอดภัย  ซึ่งต้องบอกว่าศรีลังกาในวันนี้แสนสงบและน่าเที่ยวเหลือเกิน  จริงอยู่ที่ก่อนนี้ศรีลังการ้อนระอุ  ยิ่งถ้าเป็นตามวัดหรือสถานที่สำคัญ ๆ ล่ะก็ ต้องเตรียมทหารไว้คุ้มกันอย่างหนาแน่น

        รอยร้าวระหว่างเชื้อชาติของชาวศรีลังกานั้นเกิดขึ้นมาเนิ่นนานกว่า 20 ปี  คงเป็นเพราะความหลากหลายของผู้คนนั่นเอง  ราว 70% เป็นชาวสิงหลซึ่งส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ ส่วนอีกประมาณ 20% เป็นชาวทมิฬที่ส่วนใหญ่อพยพมาจากทางตอนใต้ของประเทศอินเดีย  และนับถือศาสนาฮินดู และ มุสลิมประมาณ 7% ส่วนที่เหลือเพียงเล็กน้อยเป็นชาวคริสต์

        มาถึงเมืองหลวงของศรีลังกาอย่างโคลอมโบ ไม่ได้ไปเที่ยววัด คงเหมือนขาดอะไรไปอย่าง  อย่างที่รู้กันว่าไทยและศรีลังกานั้นมีความคล้ายคลึงกันมาก และเพราะความที่เป็นชาวพุทธด้วยกันนี่เอง หากจะย้อนไปมองอดีตกันแล้ว ก็แทบจะเรียกได้ว่าไทยและศรีลังกานั้นมีความสัมพันธ์แนบแน่นกันมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา




       วัดแรกที่น่าไปมากคือวัดคงคาราม  ที่นี่จะทำให้ทุกคนสัมผัสได้ว่า ศรัทธาของชาวศรีลังกานั้นยิ่งใหญ่ไม่แพ้ชาวพม่าและไทย ชาวศรีลังกานั้นทำบุญปฏิบัติธรรมเป็นกิจวัตร  นี่ถ้ามาเจอช่วงวันพระ จะเห็นชัดกว่านี้ เรียกว่าไม่ว่าจะมองไปทางไหน จะมีแต่คนนุ่งขาวห่มขาวเข้าวัดปฏิบัติธรรมกัน

        วัดคงคารามเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ  ที่นี่สงบ ขนาดเล็กเล็กและไม่อลังการงานสร้างเหมือนบ้านเรา รายรอบวัดคงคารามทำให้เชื่อว่า ชาวศรีลังกาสนิทแนบแน่นกับคนไทยในทางพุทธศาสนาเป็นอย่างดี เพราะมีคนไทยหลายคนนำพระพุทธรูปขนาดใหญ่ไปตั้งเรียงรายอยู่บนกำแพงวัดแห่งนี้มากมายหลายองค์ ซึ่งที่ฐานองค์พระมีชื่อคนไทยผู้สร้างพระไปถวาย สลักโชว์ไว้ให้เห็นเพียบ

        นอกจากวัดคงคารามแล้วยังมีวัดที่น่าไปอีก 2-3 แห่ง หนึ่งในนั้นคือ วัดกัลนิยาราชมหาวิหาร วัดใหญ่อยู่ใจกลางเมืองโคลัมโบ  ที่มีเจดีย์ทรงลังกาสีขาวขนาดใหญ่ตั้งอยู่อย่างโดดเด่น
        นอกจากวัดนี้จะมีต้นพระศรีมหาโพธิ์ขนาดใหญ่แล้ว คนมาวัดนี้ยังมาชมภาพเขียนแบบเฟรสโกที่อยู่ในวิหารอีกด้วย


         รวมถึงยังมีพิพิธภัณฑ์แห่งชาติ ที่เป็นเหมือนคลังของศรีลังกา เนื่องจากที่นี่มากมายไปด้วยโบราณวัตถุ  แถมยังเป็นมรดกเก่าแก่ชิ้นสำคัญของศรีลังกาอีกด้วย นั่น คือพระพุทธรูปองค์โต รูปหล่อสำริดของพระโพธิสัตว์ ไปจนถึงพวกข้าวของเครื่องใช้ในอดีต ภาพเขียน เครื่องแต่งกายไปจนถึงเครื่องดนตรี





        เที่ยววัดชมพิพิธภัณฑ์กันเสร็จแล้ว   ถ้าออกไปตระเวนชมเมือง คุณก็จะพบว่า โคลัมโบเป็นเมืองหลวงของศรีลังกาแบบอยู่กันหลวมๆ  ทุกวันนี้อาจจะกำลังเร่งพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว บางมุมแน่นไปด้วยตึกสูงระฟ้า หากแต่บางมุมยังคงฉายภาพให้เห็นความสงบงามแห่งดินแดนพุทธศาสนา นั่นทำให้ระหว่างการท่องเมืองโคลัมโบ คุณอาจเห็นภาพของสิ่งก่อสร้างทันสมัยอย่างตึกเวิล์ดเทรด ประเดี๋ยวเดียวกลับเจอวัฒนธรรมเก่าแก่ที่แทรกตัวอยู่ทุกหลืบมุมเมือง

        และความที่เคยเป็นประเทศในอาณานิคมของอังกฤษ ฮอลแลนด์และโปรตุเกส  ทำให้ยังมีอาคารเก่าแก่หลายแห่ง  โคลัมโบที่เห็นในวันนี้  จึงไม่เพียงเป็นเมืองหลวงที่มีการจัดวางผังไว้ดีเยี่ยม แต่ยังมีตะกอนและริ้วรอยแห่งอดีตเหลือทิ้งไว้จากผู้ล่า นอกจากสิ่งปลูกสร้าง สถาปัตยกรรมจากซีกโลกตะวันตกที่พบเจอ  ตามถนนหนทางในกลางกรุงโคลัมโบ ยังมีรูปปั้นบุคคลสำคัญมากหน้าหลายตาที่มักพบเห็นในยุโรป





      และมาถึงเมืองชาซีลอนทั้งที  ถ้าใครไม่ได้หอบชาซีลอนติดมือกลับภูมิลำเนาอาจจะเสียเที่ยวได้
      เป็นเรื่องง่ายดายมากที่จะหาร้านขายชาซีลอน  เรียกว่า ไม่ว่าจะเร่ไปมุมไหนของเมืองก็มีขายทั้งนั้น  แต่ถ้าอยากช้อปในห้าง ก็แวะไปที่ห้าง ODEL ที่พวกเซเลบของศรีลังกาเขาไปเดินกรีดกรายกัน  จะได้ดูทั้งคนและช้อปชาไปพร้อมๆกัน


     ศรีลังกาอยู่ไม่ไกลจากบ้านเราเท่าไหร่  นี่คืออีกประเทศหนึ่งของโลก ที่มีความเข้มแข็งของศรัทธาในพุทธศาสนา รอให้ทุกคนไปสัมผัส


ขอบคุณภาพข่าวจาก
www.komchadluek.net/nationzone/296/20130605/162/“ศรีลังกา”หยดน้ำตาแห่งมหาสมุทรอินเดีย.html#.Ua_alNj0YXF
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

kobyamkala

  • โยคาวจรผล
  • ******
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 2236
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: “ศรีลังกา” หยดน้ำตาแห่งมหาสมุทรอินเดีย
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: มิถุนายน 06, 2013, 09:39:40 am »
0
ศรีลังกา เป็นประเทศที่ ทมิฬ อยู่มีพวกโหดร้าย อยู่ 50 50
บันทึกการเข้า
แล้วลองแอบมาแย้มกะลา
เพื่อดูโลก เห็นแล้วตกใจโลกนี้กว้างใหญ่จริง ๆ