ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
  • สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน
แสดงกระทู้
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
  Messages   Topics   Attachments  

  Topics - raponsan
หน้า: [1] 2 3 ... 558
1  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / "แดนสุขาวดี" อยู่ที่ใดกันแน่.? เมื่อ: วันนี้ เวลา 07:23:52 am
.

ขอบคุณภาพจาก : https://www.blockdit.com/posts/619343f9fc6bab0cabb3dfcf


"แดนสุขาวดี" อยู่ที่ใดกันแน่.?

โดย สุดาพร เขียวงามดี , Sudaporn Khiewngamdee
นักศึกษาปริญญาโท สาขาวิชาภาษาสันสกฤต คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร

ขอบคุณที่มา : pdf.file แดนสุขาวดีอยู่ที่ใดกันแน่ | Damrong Journal, Vol 11, No.2, 2012
website : www.damrong-journal.su.ac.th/?page=view_article&article_id=32




 :25: :25: :25:

บทคัดย่อ : "แดนสุขาวดี" อยู่ที่ใดกันแน่.?

คนทั่วไปมักจะรู้จักแดนสุขาวดีในมุมมองที่ว่า เป็นสวรรค์ซึ่งเปี่ยมไปด้วยความสุขอย่างยิ่ง แต่ทว่าสุขาวดีมิได้มีชื่ออยู่ในบรรดาสวรรค์ทั้ง 6 ชั้นของพระไตรปิฎกเถรวาท เดิมทีเดียวชื่อ “สุขาวดี” ปรากฏอยู่ในพระสูตรฝ่ายมหายานในราวพุทธศตวรรษที่ 7 เป็นดินแดนอยู่ทางฝั่งตะวันตกนอกโลกของเราเป็นระยะทางหาที่สุดมิได้

ดินแดนสุขาวดีมีต้นกำเนิดมาพร้อมกับแนวคิดเรื่องของพระพุทธเจ้ามากมาย จนกระทั่งกลายเป็นนิกายสุขาวดีขึ้นในภายหลัง เหล่าสาวกต่างพากันสวดภาวนาต่อพระอมิตาภะเพื่อปรารถนาไปเกิดยังสุขาวดี ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางสูงสุดของพวกเขา ทุกวันนี้คำสอนเรื่องแดนสุขาวดีเป็นที่นิยมและแพร่หลายอย่างมากในประเทศญี่ปุ่นและจีน

Abstract : Where is the land of “Sukhāvatī”.?

Common people may know the Pure Land (Sukhāvatī) as a heaven which is full of a lot happiness. On the other hand, Sukhāvatī is not on the list of names of 6 heavens in Tripitaka in Theravāda Buddhism. In the early period, the name of “Sukhāvatī” appeared in Mahāyāna Sūtra during the seventh Buddhist Era. This land is in the west which is very far from earth.

“Sukhāvatī” was the origin together with the view point of many Buddhists until it became the Sukhāvatī School at later time. The disciples prayed to Amitābha Buddha, because they wished to be born in Sukhāvatī which is their highest aim. At present, the teaching about the Pure Land is the most popular and well-known teaching in Japan and China.




 st12 st12 st12

บทนำ : "แดนสุขาวดี" อยู่ที่ใดกันแน่.?

สุขาวตี (สตรีลิงค์) เป็นคำศัพท์เฉพาะ แปลว่า ดินแดนแห่งความสุขที่มาของคำศัพท์นี้ มาจาก สุข (นปุงสกลิงค์) แปลว่า ความสุข, ความพึงพอใจ(1-) นำมาลง วนฺตฺ, วตฺ ปัจจัยตัตธิต เป็นคำคุณศัพท์ แปลว่า ซึ่งมีความสุข, อันมีความสุข แล้วลง อี ปัจจัย เพื่อทำให้เป็นสตรีลิงค์(2-)

ดังนั้นคำว่า สุขาวตี(3-) จึงเป็นคำคุณศัพท์ประเภทตัทธิต (The Secondary Affixes) (4-) สตรีลิงค์ หมายถึง ที่ซึ่งทำให้มีความสุข สาเหตุที่ทำให้ “สุขาวตฺ” เป็นสตรีลิงค์ คือ มาจากคำเต็มของคำว่า สุขาวตี โลกธาตุ (สตรีลิงค์) หมายความถึง โลก-ธาตุ หรือสถานที่ที่ทำให้มีความสุข หรือความพอใจ จึงเป็นที่มาของคำว่า Pure Land, Land of Bliss หรือ ดินแดนแห่งความสุข

ในพระพุทธศาสนามหายาน คนส่วนใหญ่จะเข้าใจกันว่าสุขาวดีเป็นสวรรค์ชั้นหนึ่งซึ่งเป็นดินแดนแห่งความสุข ชื่อแดนสุขาวดีมักจะปรากฏอยู่ในนิยายหรือในภาพยนตร์จีนกำลังภายใน จนกลายเป็นแดนในฝันอันงดงามแห่งเทพนิยายไป แต่ชื่อสุขาวดีมิได้อยู่ในทำเนียบสวรรค์ของพระพุทธศาสนาเถรวาท

นวนิยายที่มีชื่อเสียงซึ่งได้กล่าวถึงแดนสุขาวดีจนทำให้ดินแดนนี้เป็นที่รู้จักกันดีของนักอ่าน ก็คือ นวนิยายอิงพุทธประวัติเรื่องกามนิต-วาสิฏฐี(5-) ภาคสอง คือ ภาคบนสวรรค์ ผู้แต่งได้นำเอาแนวคิดเรื่องสุขาวดีในพระสูตรมหายาน ซึ่งเป็นต้นแบบของสุขาวดี มาแต่งเป็นฉากและเสริมบทบาทให้กับตัวละคร ในเนื้อเรื่องกล่าวถึงตอนที่กามนิตและวาสิฏฐีได้สิ้นภพจากโลกมนุษย์ไปแล้ว ได้ไปบังเกิดยังสุขาวดีตามความปรารถนาของตน โดยกามนิตได้ไปอุบัติก่อนวาสิฏฐีตามไปอุบัติทีหลัง

ในนิยายเรื่องนี้ กล่าวพรรณนาถึงสุขาวดีว่า เป็นสวรรค์แดนตะวันตก ผู้ที่ไปเกิดจะมุ่งอยู่ในทิพยกามสุข เสวยกามาพจรสุขอยู่ที่นั่น เป็นเวลาหลายโกฏิปีจนกว่าจะสิ้นบุญ มีสภาพแวดล้อมต่างๆ ที่งดงามอย่างหาที่เปรียบมิได้ มีคงคาสวรรค์สายใหญ่โอบล้อมแดนสุขาวดี เพื่อบ่งบอกการสิ้นสุดเขตแดน ชาวสวรรค์สุขาวดีเกิดขึ้นมาจากดอกบัว กามนิตอยู่ในดอกบัวสีแดง วาสิฏฐีอยู่ในดอกบัวสีขาว(6-) ดอกบัวและดอกไม้บนสวรรค์สุขาวดีมีการเหี่ยวเฉาและเสื่อมไปตามกาลเวลาเหมือนดอกไม้บนโลก ชาวสวรรค์ก็มีเกิดมีตายเหมือนชาวมนุษย์

สวรรค์ชั้นสุขาวดีภูมิในนวนิยายเรื่องกามนิต-วาสิฏฐีนั้น ผู้แต่งน่าจะหมายถึงสวรรค์ชั้นที่ 6 คือ ปรนิมมิตวสวัตตีเทวภูมิ เพราะเป็นเทวโลกชั้นสูงสุดฝ่ายกามาพจ รอันเป็นที่สถิตอยู่แห่งเทพยดาทั้งหลายผู้เสวยกามคุณารมณ์ ทิพยสมบัติอันวิเศษและทิพยวิมานที่อลังการกว่าสวรรค์ชั้นอื่นๆ เป็นสวรรค์ชั้นบรมสุขที่สุด เพราะในคัมภีร์สุขาวตีวยูหสูตรของคติมหายานที่ผู้เขียนนิยายได้รับอิทธิพลมา ได้กล่าวว่า สรรพสัตว์ทั้งหลายในสุขาวดีโลก-ธาตุจะดำรงอยู่และเพรียบพร้อมทุกประการ เทียบเท่ากับเทวดาชั้นปรนิร-มิตวศวรตี

ผู้เขียนนำแนวคิดสุขาวดีในคติมหายานมาผสมกับแนวคิดของหลักธรรมเถรวาทที่ว่า ไม่ว่าจะเป็นเทวโลกหรือพรหมโลกก็มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปเป็นวัฏจักรเหมือนมนุษย์โลก แต่ต่างกันตรงที่ระยะเวลาของแต่ละโลกซึ่งยาวนานไม่เท่ากัน ผู้เขียนต้องการสื่อให้เห็นถึงสิ่งที่เลิศกว่าดินแดนสูงสุดอย่างพรหมโลก นั่นก็คือ แดนนิพพานที่ไม่มีภพ ไม่มีชาติ ไม่มีกาลอวสานแห่งจักรวาลและวงจรแห่งกรรม

ในขณะที่พระพุทธศาสนามหายานจะเน้นเรื่องของโลกธาตุและพุทธเกษตรต่างๆ ของพระพุทธเจ้ามากกว่าจะเน้นคำสอนเรื่องการเข้าถึงพระนิพพานอย่างถาวร สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า ผู้เขียนนวนิยายเรื่องนี้มีความเคารพและศรัทธาในหลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนาเถรวาทเป็นอย่างยิ่ง


(ยังมีต่อ..)







อ้างอิง :-

(1-) Gérard Huet, Lexique Sanskrit-français à l’usage de glossaire indianiste (Paris-Rocquencourt : inria.fr, 2004), 321.

(2-) Edward Delavan Perry, A Sanskrit Primer (New York : Columbia University press, 1936), 98.

(3-) จากการที่ผู้วิจัยได้สอบถามเกี่ยวกับคำว่า “สุขาวตี” ในเชิงภาษาศาสตร์นั้น ผศ.ดร.จิรพัฒน์ ประพันธ์วิทยา ได้ให้ความเห็นว่า คำว่า “สุข”(นปุงสกลิงค์) ลากเสียงยาวกลายเป็น “สุขา” ก่อนที่จะลงปัจจัยเป็นสุขาวตี น่าจะอนุโลมมาจากสูตรของปาณินิ สูตรที่ 6.3.119 (มเตา พหฺวโจ’ นชิรา ทีณามฺ) สระท้ายของคำที่มีมากกว่า 2 พยางค์จะทำเป็นเสียงยาว เมื่ออยู่หน้าปัจจัย มตฺ เมื่อเป็นชื่อแต่ไม่ใช่คำว่า อชิร เป็นต้น, ดู Sumitra M. Katre. Astādhyāyī of Pānini (Delhi : Motilal Banarsidass, 1989), 796.

ส่วนในความคิดเห็นของผู้วิจัย ผู้วิจัยคิดว่าน่าจะมาจากคำว่า สุขา (นามสตรีลิงค์) + วตฺ ปัจจัย ตามพจนานุกรมของ Gérard Huet ซึ่งคำว่า “สุขา” เป็นภาษาที่เขียนขึ้นในยุค Hybrid Sanskrit ต่างจากในยุคเริ่มแรกที่ใช้คำว่า “สุข”(นปุงสกลิงค์) เพียงอย่างเดียว

(4-) คำตัทธิตทำหน้าที่เป็นนามบ้าง เป็นคุณศัพท์บ้าง แจกรูปตามการันต์ของลิงค์นั้นๆ,ดู จำลอง สารพัดนึก, ไวยากรณ์สันสกฤตชั้นสูง, พิมพ์ครั้งที่ 2 (กรุงเทพฯ : มหาจุฬา-ลงกรณราชวิทยาลัย, 2548), 163.

(5-) นวนิยายเรื่องกามนิต-วาสิฏฐีเขียนขึ้นเป็นภาษาเยอรมันชื่อ Der Pilger Kamanita เมื่อปี ค.ศ. 1906 โดยคาร์ล อดอล์ฟ เจลเลอร์รูป (Karl Adolph Gjellerup) กวีและนักเขียนชาวเดนมาร์ก ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม ปี ค.ศ. 1917

ต่อมา John E. Logie นำมาแปลเป็นภาษาอังกฤษชื่อ The Pilgrim Kamanita และเป็นฉบับที่ เสฐียรโกเศศ-นาคะประทีปนำมาแปลเป็นภาษาไทยในปีค.ศ. 1930 ให้ชื่อว่า “กามนิต” มีภาพประกอบโดยอาจารย์ช่วง มูลพินิจ เนื้อหาแบ่งเป็นสองภาค คือ ภาคหนึ่ง บนดินมี 21 ตอน และภาคสอง บนสวรรค์ มี 24 ตอน รวมทั้งหมดมี 45 ตอน

หนังสือกามนิต ได้รับการยกย่องให้เป็นหนังสือดี 100 เล่มที่คนไทยควรอ่าน อ้างใน วิกิพีเดีย. กามนิต . [Online] accessed on 20 July 2011. Available from http://th.wikipedia.org/wiki/

(6-) ปกรณ์ กิจมโนมัย. กามนิ ต-วาสิ ฏฐี นวนิ ยายอิ งพระพุทธประวัติและหลักธรรม. (กรุงเทพฯ : ธรรมสาร, 2542), 43 – 48.
2  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / กรมธรณีตอบ เมล็ดข้าวในหินพระร่วง ชี้อายุเก่าแก่ 359-252 ล้านปี มากกว่าไดโนเสาร์ เมื่อ: พฤษภาคม 27, 2024, 06:21:57 am
.



กรมธรณี ตอบเอง เมล็ดข้าวในหินพระร่วง ชี้อายุเก่าแก่ 359-252 ล้านปี มากกว่าไดโนเสาร์

กรมธรณี ตอบเอง เมล็ดข้าวในหินพระร่วง ชี้อายุเก่าแก่ 359-252 ล้านปี มากกว่าไดโนเสาร์ เผย เป็นสิ่งมีชีวิตดึกดำบรรพ์ ตั้งแต่ยุคคาร์บอนิเฟอรัสตอนกลาง-ยุคเพอร์เมียน

26 พ.ค. 67 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรณีโลกโซเชียลมีการเผยแพร่ภาพก้อนหินประหลาด ลักษณะคล้ายมีฟอสซิลเมล็ดข้าวสารจำนวนมากฝังตัวอยู่ในหิน แต่เมื่อนำมาผ่าเจียระไนก็จะดูคล้ายเมล็ดข้าวสุกที่ฝังตัวอยู่ในหินสีดำ และสีน้ำตาล ผิวมันวาว ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นหินศักดิ์สิทธิ์หายาก เกิดจากอำนาจวาจาสิทธิ์ของพระร่วงแห่งกรุงสุโขทัย

ล่าสุดในเฟซบุ๊กแฟนเพจของกรมทรัพยากรธรณี โดยกองคุ้มครองซากดึกดำบรรพ์ ได้เปิดเผยและให้ข้อมูลว่า ก้อนหินที่ปรากฏในข่าวนั้น แท้จริงแล้วเป็นซากดึกดำบรรพ์สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง “ฟอแรมมินิเฟอรา” ที่สามารถมองเห็นโครงร่างขนาดเล็กภายในหินได้ด้วยตาเปล่า เป็นสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวที่สูญพันธุ์ไปแล้ว




เมื่อสิ้นสุดยุคเพอร์เมียน (ประมาณ 252 ล้านปีก่อน) จัดอยู่ในอันดับฟิวซูลินิดา มีชื่อเรียกโดยทั่วไปว่า “ฟิวซูลินิด” ส่วนใหญ่มีขนาดมากกว่า 2 มิลลิเมตร บางชนิดมีความยาวมากถึง 5 เซนติเมตรลักษณะรูปร่างเป็นทรงรี คล้ายเม็ดข้าวสาร ทำให้ถูกเรียกว่า “ข้าวสารหิน” หรือ “คตข้าวสาร” มักพบตามภูเขาหินปูนยุคเพอร์เมียน (ประมาณ 299-252 ล้านปี) กระจายตัวอยู่หลายแห่งทั่วประเทศไทย



โดยฟิวซูลินิดมีช่วงเวลาการกระจายตัว และอาศัยในมหาสมุทรโบราณทั่วโลก ตั้งแต่ยุคคาร์บอนิเฟอรัสตอนกลาง-ยุคเพอร์เมียน (ประมาณ 359-252 ล้านปี) หากจะระบุชนิดจำเป็นต้องทำแผ่นหินบาง แล้วนำมาศึกษาโครงสร้างภายในอย่างละเอียดภายใต้กล้องจุลทรรศน์




ขอบคุณ : https://www.khaosod.co.th/special-stories/news_8252822
26 พ.ค. 2567 - 14:57 น.
3  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / "กาแฟ" ไม่ควรกินคู่กับอาหารอะไรบ้าง ส่งผลต่อสุขภาพมากกว่าที่คิด เมื่อ: พฤษภาคม 27, 2024, 06:16:48 am
.



"กาแฟ" ไม่ควรกินคู่กับอาหารอะไรบ้าง ส่งผลต่อสุขภาพมากกว่าที่คิด

กาแฟ ถือเป็นหนึ่งในเครื่องดื่มยอดนิยมของโลก หลายคนนิยมดื่มกาแฟเพื่อเติมความสดชื่นในยามเช้าและเพิ่มพลังให้กับร่างกาย แม้ว่ากาแฟจะเข้ากันได้ดีกับอาหารหลายชนิด แต่ยังมีสามคู่หูที่ควรหลีกเลี่ยงการทานร่วมกัน เพื่อป้องกันผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ ดังที่นักโภชนาการเผยเคล็ดลับไว้ดังนี้

อาหารไม่ควรทานพร้อมกับกาแฟ

1. กาแฟกับเนื้อสัตว์

แม้จะเป็นกิจวัตรประจำวันของหลายคน แต่การดื่มกาแฟควบคู่กับการรับประทานเนื้อสัตว์ อาจไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุด เนื่องจากกาแฟมีสารแทนนิน (Tannins) ซึ่งสารชนิดนี้จะไปจับตัวกับแร่ธาตุต่างๆ ที่พบในเนื้อสัตว์ ส่งผลต่อการขับสังกะสีออกจากร่างกาย สังกะสีเป็นแร่ธาตุที่สำคัญต่อการทำงานของร่างกาย ดังนั้น ผู้เชี่ยวชาญจึงแนะนำให้เว้นระยะการดื่มกาแฟหลังรับประทานอาหารประเภทเนื้อสัตว์ที่มีปริมาณสังกะสีสูง อาทิ เนื้อแดง หอยนางรม สัตว์ปีก ถั่วต่างๆ รวมถึงกุ้ง เพราะอาหารเหล่านี้ไม่เข้ากันกับกาแฟ

เพื่อให้ปลอดภัย แนะนำให้เว้นระยะห่างระหว่างการดื่มกาแฟกับการทานเนื้อสัตว์ จะช่วยให้คุณดื่มด่ำกับรสชาติของกาแฟและได้รับประโยชน์จากเนื้อสัตว์อย่างเต็มที่

2. กาแฟกับผลิตภัณฑ์นม

กาแฟใส่นม ถือเป็นตัวเลือกเครื่องดื่มยอดนิยม หลายคนชื่นชอบการผสมผสานรสชาติขมกลมกล่อมของกาแฟเข้ากับนม ช่วยลดทอนความขม และทำให้รู้สึกอิ่มท้อง อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริงแล้ว การดื่มกาแฟควบคู่กับผลิตภัณฑ์นม ไม่ได้ส่งผลดีต่อสุขภาพ เนื่องจากกาแฟมีสารที่ส่งผลต่อการดูดซึมแคลเซียมของร่างกาย ส่งผลให้แคลเซียมถูกขับออกทางปัสสาวะ

นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงการดื่มกาแฟพร้อมกับผลิตภัณฑ์นมอื่นๆ เช่น ครีม ไอศกรีม ฯลฯ เพื่อสุขภาพที่ดี แนะนำให้แยกการดื่มกาแฟออกจากผลิตภัณฑ์นม จะช่วยให้ร่างกายได้รับประโยชน์จากแคลเซียมอย่างเต็มที่

3. กาแฟกับของทอด

หลายคนนิยมทานเฟรนช์ฟรายส์หรือฟาสต์ฟู้ดทอดคู่กับกาแฟ แต่แท้จริงแล้ว การจับคู่นี้ส่งผลเสียต่อสุขภาพ อาหารทอดมักอุดมไปด้วยไขมันไม่ดีและคอเลสเตอรอล เมื่อรับประทานร่วมกับกาแฟ อาจส่งผลให้ระดับคอเลสเตอรอลเลว (LDL) ในร่างกายพุ่งสูงขึ้น นอกจากนี้ การทานอาหารประเภทนี้ควบคู่กับกาแฟ ยังอาจทำให้รู้สึกอึดอัดแน่นท้อง

ทางเลือกที่ดีกว่า คือการดื่มกาแฟคู่กับผลไม้รสเปรี้ยว ไม่ว่าจะเป็นส้มหวาน มะนาว หรือผลไม้รสเปรี้ยวอื่นๆ อย่างเลม่อน ไลม์ องุ่น แอปริคอต กล้วย และสับปะรด ผลไม้เหล่านี้เข้ากันได้ดีกับกาแฟ ช่วยตัดรสขม แถมยังอุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ และสารต้านอนุมูลอิสระอีกด้วย

4. กาแฟกับไข่ต้ม

การทานกาแฟคู่กับไข่ต้ม อาจส่งผลต่อการดูดซึมธาตุเหล็กจากไข่ได้ เนื่องจากสารประกอบในกาแฟบางชนิด ไปทำปฏิกิริยากับสารกำมะถันในไข่ต้ม ส่งผลขัดขวางการดูดซึมธาตุเหล็ก แนะนำให้เปลี่ยนเป็นไข่ดาวหรือไข่เจียวแทน



Thank to : https://www.sanook.com/women/250041/
20 พ.ค. 67 (19:26 น.)
4  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ไข่ต้ม กับ กาแฟ ทำไมห้ามกินพร้อมกัน ส่งผลอย่างไร เมื่อ: พฤษภาคม 27, 2024, 06:10:17 am
.



ไข่ต้ม กับ กาแฟ ทำไมห้ามกินพร้อมกัน ส่งผลอย่างไร

”ไข่ต้ม Vs กาแฟ รู้หรือไม่ ทำไมห้ามกินของเหล่านี้พร้อมกัน ส่งผลอย่างไร มีเหตุผลอะไรมาหักล้างคำพูดนี้ พร้อมคำเฉลยที่ถูกต้อง ไปดูกัน

ไข่ต้ม กับ กาแฟ หลายคนสงสัยไหมค่ะว่า ทำไมห้ามกินพร้อมกัน ส่งผลอย่างไร แล้วหากกินพร้อมกันจริงๆ จะส่งผลเสีย หรือ ต้องระวังอะไรบ้าง มีคำตอบจากโรงพยาบาลบางปะกอก สมุทรปราการ ด้วยค่ะ


ไข่ต้ม + กาแฟ (เครื่องดื่มคาเฟอีน) อย่ากินคู่กัน

เพราะในกาแฟ ชา หรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน สารคาเฟอีนจะเข้าไปทำปฏิกิริยากับสารซัลเฟอร์ในไข่ต้ม ซึ่งจะเกิดการขัดขวางการดูซึมธาตุเหล็กของร่างกาย ทำให้ร่างกายได้รับธาตุเหล็กในปริมาณที่น้อยลง หากอยากกินไข่คู่กับกาแฟ ควรเลือกเป็นไข่ดาว หรือไข่เจียวแทน

หากใครชอบทานไข่ต้มพร้อมกับกาแฟ อาจลองทำตามคำแนะนำ ดังต่อไปนี้

    1. สังเกตการตอบสนองของร่างกาย : หากรู้สึกไม่สบายหลังจากทานไข่คู่กับกาแฟ ควรลองทานแยกกัน หรือปรับปริมาณอาหาร
    2. เลือกทานไข่ประเภทอื่น : ไข่ดาว ไข่เจียว หรือไข่ตุ๋น อาจส่งผลต่อการดูดซึมธาตุเหล็กน้อยกว่าไข่ต้ม
    3. ดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอ : การทานไข่และกาแฟอาจทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำ
    4. ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ : ซึ่งจะทำให้คุณได้รับสารอาหารครบถ้วนตามความต้องการของร่างกาย
    5. พักผ่อนให้เพียงพอ : ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ




สรุป : การเลือกกินอาหารที่ดีและมีประโยชน์ย่อมส่งผลให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง และยิ่งมีการเลือกอาหารเพื่อสุขภาพที่ใหม่สดสะอาดและทำกินเองย่อมส่งผลให้ได้รับอาหารที่ควบถ้วนมากกว่า และที่สำคัญควรเลี่ยงทานไข่ต้มกับกาแฟ แต่ให้กินเป็นไข่ดาว ไข่เจียวกับกาแฟแทนได้ค่ะ


 

ขอขอบคุณ : โรงพยาบาลบางปะกอก สมุทรปราการ ด้วยค่ะ
https://www.thainewsonline.co/lifestyle/variety/871287
26 พฤษภาคม 2567
5  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 10 คู่อาหาร ไม่ควรกินคู่กัน เมื่อ: พฤษภาคม 27, 2024, 05:59:23 am
.



10 คู่อาหาร ไม่ควรกินคู่กัน

ในอาหาร 1 มื้อ หลายคนคงอยากกินอาหารหลายอย่างพร้อมกัน แต่จะมีอาหารบางอย่างสามารถเป็นโทษต่อร่างกายได้หากจับคู่กินพร้อมกัน ซึ่งคู่อาหารที่ไม่ควรกินร่วมกันมีทั้งของหวาน เครื่องดื่ม และของคาว ถ้าอยากรู้ว่ามีคู่อาหารไหนบ้างแอดมินมีคำตอบมาให้ค่ะ

1. ทุเรียน + เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
เพราะในทุเรียนมีกำมะถันอยู่มาก ซึ่งกำมะถันเป็นสารที่ละลายได้ดีในแอลกอฮอล์ทำให้สารนี้เข้าสู่กระแสเลือดได้รวดเร็ว ทำให้เมาเร็วและก่อให้เกิดความผิดปกติต่อระบบการหายใจได้ นอกจากนี้การกินทุเรียนพร้อมกับแอลกอฮอล์ร่างกายจะได้รับพลังงานในปริมาณมากเกินไปทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นอย่างรวดเร็วส่งผลให้เกิดกระบวนการเผาผลาญเพื่อกำจัดของเสียเพิ่มมากขึ้น อาจทำให้เกิดอาการหน้าแดง ชา วิงเวียนและอาเจียน หากรักษาไม่ทันอาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้

2. ทุเรียน + น้ำอัดลม
เพราะน้ำอัดลมและทุเรียนเป็นอาหารที่มีรสชาติหวานจัดและมีปริมาณน้ำตาลสูงมาก เมื่อกินพร้อมกันจะทำให้ร่างกายได้รับน้ำตาลในปริมาณที่มากเกินไป ยิ่งในผู้ป่วยโรคเบาหวานอาจทำให้เกิดน้ำตาลในเลือดสูงและส่งผลเสียต่อร่างกายได้

3. น้ำผึ้ง + ชาร้อน/น้ำร้อน
เนื่องจากความร้อนจะเข้าไปทำลายวิตามินที่อยู่ในน้ำผึ้ง ดังนั้นหากต้องการดื่มชาน้ำผึ้งควรจะใช้ชาที่อยู่ในอุณหภูมิห้อง หรือน้ำที่มีอุณหภูมิที่ไม่สูงเกินไป

4. แอลกอฮอล์ + อาหารรสเผ็ด
การดื่มแอลกอฮอล์กับของเผ็ดๆ มักจะเป็นของคู่กันเสมอ แต่ความเป็นจริงแล้วแอลกอฮอล์และอาหารรสเผ็ดนั้นเป็นสารเร่งการไหลเวียนเลือด ซึ่งจะเป็นอันตรายอย่างมากโดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีความดันโลหิตสูง และเป็นภูมิแพ้ จะต้องระวังมากเป็นพิเศษ

5. กล้วย + เผือก
ในกล้วยและเผือกเป็นอาหารที่มีแป้งสูง ซึ่งการกินอาหารประเภทคาร์โบไฮเครตในปริมาณที่มากเกินไปอาจทำให้เกิดอาการท้องอืดได้ แต่ถ้ากินในปริมาณที่ไม่มากก็จะไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย

@@@@@@@

6. นม + ผัก/อาหารที่มีไฟเบอร์สูง
เส้นใย(ไฟเบอร์) หรือไฟเบอร์จากผักชนิดต่างๆ มีหน้าที่ดูดซับไขมัน ดังนั้นการดื่มนมพร้อมกับผักจะทำให้ใยอาหารจากผัก ผลไม้ หรืออาหารที่มีเส้นใย(ไฟเบอร์สูง) นั้นไปขัดขวางการดูดซึมแคลเซียมและแร่ธาตุของร่างกาย ควรดื่มนมให้ห่างจากมื้ออาหาร

7. ชา + ยา
ยาควรกินน้ำเปล่าจะดีที่สุด น้ำชนิดอื่นๆ อาจทำให้ประสิทธิภาพการดูดซึมยาลดลง

8. เนื้อหมู + ไอศกรีม
เนื่องจากหมูเป็นโปรตีนที่ย่อยได้ยาก ใช้เวลานาน เมื่อกินร่วมกับของเย็นๆ เช่น ไอศกรีม จะทำให้กระเพาะเย็นและทำได้ไม่ดีพอ การกินอาหารสองอย่างนี้พร้อมกัน จึงทำให้กระเพาะทำงานหนักขึ้นทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ไม่ดีพอ

10. ไข่ต้ม + กาแฟ (เครื่องดื่มคาเฟอีน)
เพราะในกาแฟ ชา หรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน สารคาเฟอีนจะเข้าไปทำปฏิกิริยากับสารซัลเฟอร์ในไข่ต้ม ซึ่งจะเกิดการขัดขวางการดูซึมธาตุเหล็กของร่างกาย ทำให้ร่างกายได้รับธาตุเหล็กในปริมาณที่น้อยลง หากอยากกินไข่คู่กับกาแฟ ควรเลือกเป็นไข่ดาว หรือไข่เจียวแทน

10. ข้าวสวย + ก๋วยเตี๋ยว
เนื่องด้วยอาหาร 2 ชนิดนี้มีปริมาณคาร์โบไอเดรตอยู่สูง เมื่อกินพร้อมกันร่างกายจึงต้องใช้วิตามิน B1 มาย่อยสารอาหารพวกนี้ แต่การที่วิตามิน B1 จะย่อยข้าวหรือบะหมี่พร้อมๆ กันนั้น อาจทำให้เกิดการย่อยไม่หมด ทำให้ร่างกายเกิดการอ่อนเพลีย ง่วงนอน หนังตาหย่อน และนอกจากนี้ ข้าวและเส้นเป็นแป้งที่จะเปลี่ยนเป็นน้ำตาลภายหลังอาจทำให้อ้วนได้อีกด้วย





Thank to : https://www.bpksamutprakan.com/care_blog/view/262
22 ก.ย. 2566
6  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / คนดีทำให้คนอื่นดีได้ สำคัญอยู่ที่ความเข้มแข็งของคนดี เมื่อ: พฤษภาคม 26, 2024, 08:18:00 am
.



คนดีทำให้คนอื่นดีได้ สำคัญอยู่ที่ความเข้มแข็งของคนดี

คนดีทำให้คนอื่นดีได้ หมายความว่า คนดีทำให้เกิดความดีในสังคม คนอื่นก็ดีไปด้วย ความเลวนั้นจะทำให้คนดีเป็นคนเลวก็ยาก แต่เป็นไปได้ ถ้าคนดีเข้มแข็งในความดี จะให้คนเลวมาทำให้คนดีเป็นคนเลวยาก สำคัญอยู่ที่ความเข้มแข็งของคนดี

พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระราชทานแก่คณะบุคคลต่างๆ ที่เข้าเฝ้าฯ ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดา วันที่ 4 ธันวาคม 2539





Thank to : https://www.dmcr.go.th/detailAll/24375/nws/182
25 มิ.ย. 2561
7  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / จงรักษาความดีไว้ อย่าให้จบลงได้ เมื่อ: พฤษภาคม 26, 2024, 08:13:49 am
.



จงรักษาความดีไว้ อย่าให้จบลงได้

ปาฐกถาฉบับเต็ม ประเทศไทยในความคิด ความคิดในประเทศไทย โดย เสกสรรค์ ประเสริฐกุล เป็นมุมมองจาก อดีตคณบดีคณะรัฐศาสตร์ มธ.

    + คำบรรยายใน waymagazine.org
    + คลิีปบรรยายใน youtube.com
    + BackpackJournalistTPBS

สังคมแบ่งได้หลายฝ่าย หลายน้ำหนักมุมมอง
    - โลกที่เราเห็น คือ โลกที่เราคิด
    - ฝ่ายอนุรักษ์นิยม กับ ฝ่ายก้าวหน้า
    - ฝ่ายคนดี กับ ฝ่ายคนไม่ดี
มีคนดีอยู่มากมาย ที่ความดีจบลงชั่วข้ามคืน แล้วนึกถึงถวัลย์ ดัชนี ชวนคิดเรื่อง "จูงควายมาถึงหนองน้ำ"

@@@@@@@

Quote : เสกสรรค์ ประเสริฐกุล

    ".. โลกที่เราเห็น คือ โลกที่เราคิด และเรามักจะมองไม่เห็น สิ่งที่ไม่ได้คิดเอาไว้แล้วล่วงหน้า ดังนั้น ประเด็นแรกที่สำคัญก็คือ มนุษย์เราโดยทั่วไปมักจะเห็นโลกได้จำกัด และเห็นโลกแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับฐานความคิดที่มีอยู่ในตัวเขา .."

    ".. เดินสวนกันไม่ได้ ถ้าไม่เดินตามกันไป ก็ต้องปะทะอย่างเดียว .."

    พึงระวังให้จงมาก
    - ความดี จบลงตรงที่ เริ่มบังคับ ให้คนอื่นเป็นคนดีด้วย
    - ความรู้ จบลงตรงที่ เริ่มบังคับ ให้คนอื่นเป็นคนรู้ด้วย
    - ความรัก จบลงตรงที่ เริ่มบังคับ ให้คนอื่นเป็นคนรักด้วย





Thank to : http://www.thaiall.com/ethics/good.htm
8  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ระบบอุปถัมภ์ ยกย่องคนรวย/คนมีตำแหน่ง เป็นสาเหตุของการทุจริต ในวงราชการไทย เมื่อ: พฤษภาคม 26, 2024, 07:58:12 am
.



ระบบอุปถัมภ์ ยกย่องคนรวย/คนมีตำแหน่ง เป็นสาเหตุของการทุจริต ในวงราชการไทย
คอลัมน์ น.ต.ประสงค์พูด โดย : น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ

ภาษิตสากลบทหนึ่งบอกว่า "อำนาจชวนให้โกงกิน ถ้าอำนาจล้นแผ่นดิน ก็จะโกงกินกันจนสิ้นชาติ" ยกภาษิตนี้มากล่าวนำก็เพื่อบอกไปยังผู้มีอำนาจ โดยเฉพาะอำนาจที่ได้มานั้นเป็นอำนาจที่ยึดมาใช้ตามใจชอบ จะได้สำนึกว่าการใช้อำนาจแบบนี้ชี้ชวนให้กระทำการทุจริตคดโกงได้ง่าย นำไปสู่ความสิ้นชาติในที่สุด

บ้านเมืองของเราในขณะนี้ ความทุจริตคดโกง ระบาดไปทั่วอย่างน่าเป็นห่วง โดยเฉพาะที่เกิดจากคนมีอำนาจหน้าที่ในการบริหารบ้านเมืองแทบทุกระดับ ยิ่งในระดับสูงด้วยแล้ว ยิ่งปรากฏให้เห็นมากขึ้นในเรื่องความฉ้อฉล คดโกง จากการใช้อำนาจอย่างลืมตัว เพื่อหาประโยชน์ส่วนตนและญาติ พี่น้องพรรคพวก

มีการปราบปรามพวกทุจริตให้เห็นเหมือนกันในบางเรื่องบางราว แต่ก็เป็นการปราบปรามคนอื่นที่ไม่ใช่พวกพ้อง หรือญาติพี่น้องหรือเพื่อนฝูงของตน เช่นในขณะนี้

อยากจะบอกว่า การทุจริตและประพฤติมิชอบดังกล่าวนี้ โดยเฉพาะในหน่วยงานของรัฐมีความสำคัญและเป็นปัญหาใหญ่ของสังคม ทั้งในเชิงปริมาณที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นในขณะนี้ เป็นปัญหาที่บั่นทอนการพัฒนาประเทศ และเป็นอุปสรรคในการสร้างความเจริญ ให้แก่สังคมและความผาสุกแก่ประชาชนเป็นอย่างยิ่ง เกิดขึ้นอย่างกว้างขวางและมีวิธีการและลักษณะที่ซับซ้อนมากขึ้น

@@@@@@@

การจัดซื้อจัดจ้าง การสมยอมระหว่างผู้มีอำนาจหน้าที่กับผู้รับจ้าง หรือช่วยเหลือพวกนายทุนที่ให้ประโยชน์ตน การรับสินบน รับเงินใต้โต๊ะ รับเงินทอน ตลอดจนเงินซื้อขายตำแหน่ง ระบาดเกิดขึ้นมากมายอย่างที่ได้ยินได้ฟังกันในขณะนี้

พฤติกรรมต่างๆเหล่านี้ เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้คนในบ้านเมืองเสื่อมความศรัทธา เชื่อถือ ต่อผู้มีอำนาจในการบริหารบ้านเมืองเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนอาจพูดได้ว่า เมื่อไรจะไปเสียที

ความรุนแรงที่มาจากความทุจริตดังกล่าว รับรู้กันไปทั่วโลกในขณะนี้ และถูกจัดอันดับประเทศที่มีการทุจริตสูงสุด อยู่ในอันดับต้นๆของประเทศต่างๆทั่วโลก

ถึงเวลาแล้วที่ทุกภาคส่วนของประชาชนต้องช่วยกัน การที่จะมองว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดานั้น ขอให้ระวังว่าจะสิ้นชาติในที่สุดด้วย เพราะปัญหาของความทุจริตคดโกง ดังกล่าว ไม่ต่างกับโรคร้ายที่กัดกร่อนและบ่อนทำลายประเทศชาติอยู่ตลอดเวลา

โดยเฉพาะความทุจริตในวงราชการไทยขณะนี้ มีที่มาจากสาเหตุสำคัญๆ ดังต่อไปนี้

@@@@@@@

1. ระบบอุปถัมภ์
ระบบอุปถัมภ์เกิดจาก
   1) ระบบอาวุโส และ
   2) ระบบบุญคุณ
ซึ่งมีความจุนเจือ ช่วยเหลือกัน มีความสัมพันธ์แบบผู้บังคับบัญชา ไม่ว่าจะมาจากนักการเมืองที่เข้ามาตามระบบที่กำหนดไว้ หรือมาจากการแต่งตั้ง ที่เข้ามาทำงานและมีความสัมพันธ์กับข้าราชการประจำ ทำให้เกิดความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันในลักษณะที่จะส่งผลต่อการเอื้อให้เกิดการทุจริตในวงราชการ อันนำไปสู่การใช้อำนาจหน้าที่ในตำแหน่ง เพื่อการแสวงหาผลประโยชน์ที่มิชอบด้วยกฎหมาย ให้แก่ตนเอง หรือพรรคพวก

นอกจากนี้ ระบบอุปถัมภ์ประกอบไปด้วย 3 ฝ่ายคือ
    1) นักการเมือง
    2) ข้าราชการ
    3) นักธุรกิจ
ที่ทำให้สามารถทำทุจริตได้ง่าย โดยทั้ง 3 ฝ่ายมาจับมือกันร่วมทุจริตคดโกง หรือที่เรียกว่า "ฮั้ว" กันเครือข่ายดังกล่าวนี้โยงใยกันอย่างแน่นหนา การปราบปรามต้องกระทำอย่างจริงจัง จึงจะได้ผล โดยเฉพาะการควบคุมบุคลากรที่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ และผู้มีอำนาจหน้าที่ที่ได้อำนาจมาจากการยึดอำนาจ

2. ค่านิยมของคนไทยที่นิยมยกย่องคนมีตำแหน่งหน้าที่ใหญ่โต หรือนิยมยกย่องคนรวย
ทำให้เกิดผล กระทบตามมาเสมอในเรื่องของ
    1) ความโลภ คือ การโกงกินกันทุกรูปแบบ
    2) ความมีโทสะ จากการมีคนไปเตือนสติ และ
    3) ความมีโมหะ คือ มัวเมาในอำนาจ ยึดติดในตำแหน่งหน้าที่ พยายามสร้างวาทกรรมคำพูดอย่างโน้นอย่างนี้ให้คนเชื่อ

ค่านิยมหลายภาคส่วนของสังคมขณะนี้ที่ยึดด้าน วัตถุมากขึ้น อวดความมีสถานะทางสังคม โดยไม่สนใจว่าสิ่งที่ตนได้มานั้นจะได้มาด้วยวิธีการใด เป็นค่านิยมที่ฝ่ายที่มีอำนาจทางการเมืองต้องการคนอย่างนี้มาใช้เพื่อหาผลประโยชน์ให้ตน


@@@@@@@

นอกจากนี้ สาเหตุที่เกิดจากความหละหลวมของระบบราชการบางแห่ง โดยเฉพาะในเรื่องของการควบคุมความประพฤติที่ทุจริต ในวงการราชการที่ไม่ใส่ใจหรือเอาใจใส่ในเรื่องดังกล่าว ก็เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดการทุจริตใน วงราชการได้เช่นเดียวกัน

อีกอย่างหนึ่งของการทุจริตเกิดขึ้นในวงราชการไทยขณะนี้ สาเหตุอีกอย่างหนึ่งมาจากความจำเป็นในการอยู่รอดของตนและครอบครัวที่ยากจน เนื่องจากเงินเดือนน้อยไม่พอใช้ นำมาซึ่งการขาดสติในการประพฤติปฏิบัติงานในหน้าที่ การจัดซื้อจัดจ้างในวงราชการไทยที่กระทำกันอย่างไม่โปร่งใสก็เช่นเดียวกัน ทำให้เกิดการทุจริต ไม่โปร่งใส ได้ง่าย

นี่คือเรื่องใหญ่ๆ ของการทุจริตในวงราชการไทยบ้านเราในขณะนี้ ซึ่งจะได้พูดให้ฟังถึงในเรื่องอื่นๆ ที่ยังเป็นปัจจัยสำคัญของการทุจริตในวงราชการไทย ที่ยังมีอีกมากในคราวหน้า

 

 
Thank to : www.anticorruption.in.th/2016/th/detail/1213/4/ความทุจริตในวงราชการไทย
โดย ACT | โพสเมื่อ Oct 30,2018 | ขอบคุณข้อมูลจาก แนวหน้า
9  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ทำไม “คนดี” จึงทุจริตคอร์รัปชัน.? เมื่อ: พฤษภาคม 26, 2024, 07:37:32 am
.



ทำไม “คนดี” จึงทุจริตคอร์รัปชัน.?

ออกตัวก่อนว่า ไม่ได้ต้องการทับถมหรือเสียดสีใครคนใดคนหนึ่ง แต่ต้องการชี้ให้เห็นอีกมุมมองหนึ่งของการทำสิ่งไม่ดี ซึ่งมุมมองนี้ไม่เกี่ยวกับว่า คุณนับถือศาสนาอะไร มุมมองนี้ไม่ต้องการบอกว่าคุณ “ควร” หรือ “ไม่ควร” มีพฤติกรรมอย่างไร แต่มุมมองนี้เน้นการอธิบายพฤติกรรมตามความเป็นจริงมากกว่า

สาขาวิชาที่ชื่อว่า “จริยธรรมพฤติกรรม”หรือ Behavioral Ethics พยายามตอบคำถามที่ค้างคาใจคนจำนวนมาก เช่น เหตุใดคนดีจึงทำความชั่ว หรือทำไมเรามองไม่ออกว่าคนนี้เป็นคนไม่ดี (ในขณะที่คนอื่นมองออก) เป็นต้น สาขาวิชานี้บอกว่า การตัดสินใจของมนุษย์ไม่มีมาตรฐานเสมอไป แต่ขึ้นอยู่กับสถานการณ์แวดล้อมภายนอกด้วย มีหลายปัจจัยดังต่อไปนี้ ที่ส่งผลให้ “คนดี” ซึ่งก็คือคนปกติแบบเราๆ ท่านๆ ทำสิ่งที่ไม่ดี เช่น ทุจริตคอร์รัปชัน


     @@@@@@@

    1. “การเชื่อฟังผู้มีอำนาจ” หรือ Obedience to Authority
     หลายคนไม่ต้องการทำสิ่งไม่ดี แต่มีหัวหน้างาน เจ้าของบริษัท ผู้มีอิทธิพล หรือ ไอ้โม่ง สั่งให้เขาทำ เวลาที่ผู้มีอำนาจสั่งให้เราทุจริต แม้ว่าในใจของเราจะรู้อยู่แล้วว่าเป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม แต่หลายๆ ครั้ง เราไม่สามารถปฏิเสธคำสั่งเหล่านั้นได้ ลองคิดดูว่าถ้าเจ้านายของคุณบอกให้คุณเอาเงินใต้โต๊ะไปให้ข้าราชการคนหนึ่ง เพื่อให้เขาอำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ คุณกล้าที่จะปฏิเสธไหม

     การปฏิเสธหมายความว่า ผลการประเมินประจำปีจะออกมาไม่ดี และในเกือบทุกกรณี คุณจะต้องหางานใหม่ หรือในกรณีที่คุณเป็นข้าราชการแล้วมีนักการเมืองสั่งให้คุณร่วมทุจริต ถ้าคุณไม่เชื่อฟัง คุณก็ต้องถูกย้ายหรือเตรียมหางานใหม่เช่นกัน

     ดังนั้น เมื่อมีผู้มีอำนาจสั่งให้เราทำอะไรที่ผิด เราก็มักจะทำตามและบอกกับตัวเองว่าไม่เป็นไร เราแค่ทำตามที่เขาสั่งมาเท่านั้น สรุปง่ายๆ คือการเชื่อฟังผู้มีอำนาจทำให้เรารู้สึกผิดน้อยลงนั่นเอง

    2. “อคติในการทำตามคนอื่น” หรือ Conformity Bias
     พฤติกรรมที่มีคนทำตามจำนวนมาก จะทำให้เรารู้สึกว่าเป็นการกระทำที่ยอมรับได้ซึ่งรวมถึงการทุจริตคอร์รัปชั่นด้วย ในประเทศไทย หลายคนเห็นว่าการทุจริต การโกง การติดสินบน หรือแม้กระทั่งการเอื้อประโยชน์ให้พวกพ้อง เป็นส่วนหนึ่งของสังคมหรือเป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งของคนไทย เด็กที่เกิดมาเห็นพ่อแม่ตัวเองติดสินบนเจ้าหน้าที่ของรัฐจนเป็นเรื่องปกติ พอโตขึ้นก็เห็นนักธุรกิจมีฐานะร่ำรวยเพราะพวกพ้อง เห็นข้าราชการและนักการเมืองมีตำแหน่งจากการโกง ฯลฯ

    3. “จับต้องได้สำคัญกว่าจับต้องไม่ได้”
    เกิดขึ้นเพราะคนเราเลือกที่จะให้คุณค่าแก่สิ่งที่จับต้องได้มากกว่าสิ่งที่จับต้องไม่ได้ ดังนั้น หากการตัดสินใจส่งผลไม่ดีต่อตัวเรา (และคนอื่น) อย่างไม่ชัดเจนคือ ไม่แน่ใจว่าจะกระทบใครและรุนแรงเท่าใด เราก็จะใช้เหตุผลนี้เป็นข้ออ้างในการทำผิดจริยธรรมได้ เวลาที่เราจะโกง เราอาจต้องชั่งน้ำหนักระหว่าง “ประโยชน์” และ “โทษ” ของการกระทำ แน่นอนว่าประโยชน์ของการโกงคือร่ำรวยเช่น รวยขึ้น 10 ล้านบาททันที ซึ่งเป็นสิ่งที่จับต้องได้ ในขณะที่โทษของการโกงคือ เข้าคุก (มีโอกาสถูกจับได้น้อยมาก) เวรกรรม (ไม่รู้ว่าเมื่อไร) ตกนรก (ไม่รู้ว่ามีจริงไหม) ดังนั้น จึงไม่แปลกใจว่าคนเราเลือกที่จะทำสิ่งไม่ดีได้อย่างสบายใจ

     @@@@@@@

ข้อคิดที่ได้จากปัจจัย “การเชื่อฟังผู้มีอำนาจ” คือ ในกรณีที่มีการกระทำผิด ผู้ที่มีอำนาจสูงกว่าควรต้องรับผิดชอบมากกว่า อย่างไรก็ตาม ผู้น้อยที่ทำตามคำสั่งก็ไม่สามารถปฏิเสธความรับผิดชอบได้ทั้งหมด เราจำเป็นต้องแสดงความกล้าหาญทางจริยธรรมด้วยการไม่ทำตามและออกมาจากตรงนั้น อย่าลืมนะครับว่าหลายครั้งผู้มีอำนาจสั่งแบบไม่มีหลักฐานเช่น ทางวาจา ดังนั้น ถ้าถูกจับได้ขึ้นมา เราต่างหากที่ต้องรับความผิดนั้นแต่เพียงผู้เดียว

สำหรับหน่วยงานราชการหรือองค์กรเอกชน ควรจัดให้มีกระบวนการอย่างเป็นทางการในการรับเรื่องร้องเรียนและคุ้มครอง “คนเป่านกหวีด (Whistle Blower)” หรือคนที่แจ้งเบาะแสกรณีพบการกระทำที่ไม่ชอบมาพากลในองค์กร เพราะถ้าไม่มีกระบวนการลักษณะนี้ ปัจจัย “การเชื่อฟังผู้มีอำนาจ” ก็จะยิ่งแก้ไขได้ยากขึ้น

สำหรับปัจจัย “อคติในการทำตามคนอื่น” นั้น เราควรใช้สถานการณ์ปัจจุบันให้เป็นโอกาส เป็นจุดเปลี่ยนของประเทศไทย ทุกฝ่ายทั้งราชการ เอกชน และประชาชน ต้องช่วยกันประชาสัมพันธ์ว่า การโกงไม่ใช่เรื่องปกติและการทุจริตคอร์รัปชันไม่ใช่วัฒนธรรมของคนไทยอีกต่อไป เราต้องตอกย้ำให้ทุกคนรู้ว่าคนไทยส่วนใหญ่ไม่โกง ไม่ทุจริต ไม่คอร์รัปชัน

ปัจจัยสุดท้ายคือ “จับต้องได้สำคัญกว่าจับต้องไม่ได้” สะท้อนถึงการให้การศึกษาแก่เด็กและเยาวชนไทย เราจำเป็นต้องสอนและแสดงให้พวกเขาเห็นว่า “โทษ” ของการทุจริตคอร์รัปชันนั้น รวดเร็ว รุนแรงและจับต้องได้

อย่างไรก็ตาม คนที่ทำผิด สำนึกผิดและได้รับโทษแล้ว สังคมก็ควรให้อภัยอย่างรวดเร็ว เพราะต่อให้เป็น “คนดี” ก็สามารถทำผิดได้เช่นกัน


     โดย ผศ. ดร. ยิ่งยศ เจียรวุฑฒิ
     ภาควิชาบริหารธุรกิจ วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล
     yingyot.chi@mahidol.ac.th





Thank to : https://www.bangkokbiznews.com/blogs/columnist/117273
By บทความพิเศษ | 31 ส.ค. 2017 เวลา 3:00 น.
10  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ว่าด้วย "สังฆทาน" โดย สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ.ปยุตฺโต) เมื่อ: พฤษภาคม 24, 2024, 10:14:45 am
.



ว่าด้วย "สังฆทาน" โดย สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ.ปยุตฺโต)

ผู้มีจิตศรัทธาประสงค์จะมาถวายสังฆทานและภัตตาหารที่วัด สามารถถวายได้ทุกวันก่อนพระฉันเช้าและฉันเพล ณ ญาณเวศก์ธรรมศาลา โดยพระจะนำสมาทานศีล รับถวายทาน สัมโมทนียกถา (แสดงธรรม) และอนุโมทนากถา (ให้พร) ตามลำดับ
    - ช่วงเช้า เวลาประมาณ ๐๖.๔๕ น.
    - ช่วงเพล เวลาประมาณ ๑๐.๔๕ น.

หากประสงค์ถวายหลังช่วงฉันภัตตาหาร สามารถถวายได้ ดังนี้
    - ช่วงเช้า  ทุกวัน เวลาประมาณ ๐๙.๐๐ น. - ๑๐.๓๐ น.
    - ช่วงบ่าย  โดยปกติไม่มีพระมารับสังฆทานเพราะติดกิจทางการศึกษาและงานเผยแผ่

ในวันเสาร์อาทิตย์ หรือวันสำคัญ อาจมีพระมารับสังฆทาน โดยไม่สามารถยืนยันล่วงหน้า และไม่สามารถนิมนต์พระตามคำขอของญาติโยมที่มาได้

หากญาติโยมต้องการถวายสังฆทานในช่วงที่ไม่มีพระมารับ สามารถนำไปวางถวาย ณ ที่ที่จัดไว้ ด้านข้างพระประธานในอาคารญาณเวศก์ธรรมศาลา (ปิดเวลา ๑๕.๐๐ น.)

คลิกเพื่ออ่านบทความ "ทบทวนเรื่องสังฆทาน" โดย สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ.ปยุตฺโต)

หมายเหตุ

    1. สาธุชนถวายสังฆทานในเวลาและสถานที่ที่กำหนด
    2. แนะนำให้นำสังฆทานไปวางจุดที่กำหนดไว้เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย
    3. พระภิกษุ ๑ รูป เป็นตัวแทนสงฆ์ แสดงธรรม ให้ศีล ให้พร กล่าวคำถวายสังฆทานร่วมกัน
    4. หากประสงค์จะถวายพระหลายรูป โปรดนิมนต์ล่วงหน้า
    5. สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อคุณญาณิศา โทร ๐๘๑-๖๙๔-๒๙๒๘ (ยกเว้นวันพฤหัสบดี)

คำถามที่ถามกันบ่อยๆ เกี่ยวกับการถวายสังฆทาน

    • ในการถวายสังฆทานนั้น อะไรควรถวาย? อะไรไม่ควรถวาย?
    • ถ้าจะถวายปัจจัยแก่พระ ควรทำอย่างไรจึงจะถูกต้อง?


 

ขอบคุณที่มา : https://www.watnyanaves.net/th/web_page/offering

.



"ทบทวนเรื่องสังฆทาน" โดย สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป. อ. ปยุตฺโต)

 :25: :25: :25:

สทฺธา พนฺธติ ปาเถยฺยํ สิริ โภคานมาสโย : ศรัทธาเอาเสบียงมามัดรวมไว้ สิริดึงดูดโภคสมบัติให้เนืองนองหลั่งไหลมา

ขออนุโมทนาญาติโยม ที่มีจิตศรัทธา ได้มาวัด ทําบุญเจริญกุศลกันมากท่าน หลายกิจกรรม บุญพิธีที่สาธุชนมาทำบ่อยที่สุด ก็คือ สังฆทาน ซึ่งเวลานี้ได้กลายเป็นกระแสนิยม

@@@@@@@

ก. ทำทาน อย่าเสียบุญ

เมื่อสาธุชนมาทําสังฆทาน พระในวัดก็ต้องออกมารับ ญาติโยมมาคณะหนึ่ง หรือแม้เพียงคนหนึ่ง พระก็ต้องออกมารับ ครั้งหนึ่ง บางทีญาติโยมมากันวันหนึ่งอาจถึง ๑๐ ราย ถ้ามีพระมากพอ ก็ฉลองศรัทธาโยมไป แต่เวลานี้ญาติโยมมาถวายสังฆทานบ่อย ขณะที่จํานวนพระลดน้อยลง

อีกทั้งงานวัดและศาสนกิจด้านอื่นที่เพิ่มขึ้นๆ เกินกําลังของพระ จนถึงจุดที่ต้องบอกญาติโยม

พระสงฆ์ในวัดญาณเวศกวัน ขณะนี้มีทั้งหมด ๑๓ รูป เป็นพระเก่า ๑๐ พระใหม่ ๓
    - ในพระเก่า ๑๐ นั้น ชราอายุ ๙๔ ปี ๑ รูป, มีอวัยวะหลายชิ้นชำรุด ๑ รูป ยังหนุ่มแต่อาพทธรุนแรงแทบ เกินไม่ได้ ๑ รูป, น้ําหนัก ลดสิบกิโลอยู่ในโรงพยาบาล ๑ รูป เหลือค่อนข้างปาก ๖ รูป
    - ส่วนพระใหม่ คือ พระนวกะ ๓ รูปนั้น เข้ามาเพื่อบวชเรียน และมีเวลาจํากัด ยิ่ง (ส่วนมากบวชรูปละ ๑ เดือน) กำลังต้องการฝึกศึกษาปฏิบัติกิจวัตรเต็มเวลา

เป็นอันว่า มีพระเท่าที่จะมารับญาติโยม ๖ รูป แต่ที่หนักก็คือ ทุกรูปนี้ต้องแบกงานวัดที่เพิ่มขึ้น พร้อมกับออกปฏิบัติศาสนกิจนอกวัด เฉพาะอย่างยิ่งไปบรรยายและสอนศีลธรรม ใน ร.ร. ต่างๆ

การศึกษาและเผยแผ่ธรรมนี้ เป็นศาสนกิจหลักตามพระพุทธโอวาท หลักธรรมวินัยบอกว่า ญาติโยมศรัทธา ก็คือมาช่วยหนุนให้พระสงฆ์มีกําลังไปทําศาสนกิจหลักนี่แหละ

ฉะนั้น จะต้องช่วยกันไม่ให้การพบโยมรับสังฆทาน กลายเป็นเหตุบั่นทอนศาสนกิจ แต่ตรงข้ามจะต้องให้สังฆทานและไม่ว่าทานใดๆ เป็นเครื่องช่วยหนุนให้พระมีเรี่ยวแรง และเวลาที่จะศึกษาและเผยแผ่ธรรมได้มากยิ่งขึ้น ให้ตรงตามพระพุทธประสงค์ให้จงได้ จึงจะเป็นบุญแท้ที่เต็มสมบูรณ์

@@@@@@@

ข. พระได้งาน โยมยิ่งได้บุญ

ถ้ารู้วิธี ทานต้องหนุนศีลภาวนาของโยม และหนุนศาสนกิจของพระ แน่นอน จะทําอย่างไร ก็พลิกใจนิดเดียว พอไปถูกแง่ ก็จะดีทั้งแก่พระศาสนาและแก่โยมศรัทธานั้นเอง

สาธุชนจํานวนมากไปถวายสังฆทานเพื่อให้พ้นเคราะห์ เวลานั้นคือ ใจตกชีวิตอ่อนแอ ก็จะให้บุญช่วย เวลาทําบุญจึงตั้งวางใจ แต่ให้ได้ผลบุญมาช่วยให้หายเคราะห์ ให้เบา หรือโล่งไปที ศรัทธาแบบนี้มีกําลังน้อย แล้วคนที่ใจอ่อนแอก็ไม่มั่นคง หวั่นไหวง่าย เป็นช่องให้เคราะห์ใหม่เข้ามาอีก

จึงต้องตั้งวางจิตให้ถูก จะทําอย่างไร ก็คือ เวลาถวายสังฆทานหรือ ทําบุญอะไร ก็มีสติระลึกนึกเห็นว่า ที่เราถวายทานนี้ๆ คือ เราช่วยให้พระสงฆ์และพระพุทธศาสนา มีกําลังทำศาสนกิจ ตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ เพื่อให้ชีวิต ดีสังคมร่มเย็น ประเทศชาติประชาชนเจริญงอกงาม มีสันติสุข

พอนึกอย่างนี้ ในใจจะเกิดมีพลังขึ้นมาทันที ทําให้ชีวิตเข้มแข็ง นี่คือที่เรียกว่า "สิริ" หรือ "ศรี" ไม่ใช่ศักดิ์ศรีผิดๆ แบบที่จะเอามาข่มหรือแข่งกัน แต่คือ ศักดิ์ศรีแท้ ที่รู้ตัวขึ้นว่า เรานี้มีพลังมีอํานาจ สามารถเกื้อหนุนโอบอุ้มผู้อื่นได้ นี่ก็คือ มีอานาจศักดิ์สิทธิ์อยู่ในตัว ที่พร้อมจะก้าวหน้าไป ตอนนี้ความอ่อนแอ ท้อแท้ระโหยโรยแรงหมดไป มีแต่ความเข้มแข็งและพลังความมั่นใจ พร้อมที่จะทําการทั้งหลายให้สําเร็จ คนจะพ้นเคราะห์ร้าย และมีโชคดีจริง ต้องตั้งวางจิตถึงขั้นนี้

นี่แหละเข้าพุทธภาษิต ที่ตั้งไว้เป็นหัวข้อข้างบน สทฺธา พนฺธติ ปาเถยฺยํ สิริ โภคานมาสโย ซึ่งแปลว่า "ศรัทธาเอาเสบียงมามัดรวมไว้ สิริดึงดูดโภคสมบัติให้เนืองนองหลั่งไหลมา"

คนไม่มีสิริก็ไม่มีแรงดึงเอาโชคมา จึงต้องรอแรงข้างนอกบันดาล ให้ได้โชคมาที่หนึ่งๆ ทำแล้วทำเล่า ฉะนั้นเมื่อ ศรัทธาพาเราไปถวายสังฆทาน ขากลับต้องให้ได้สิริมาด้วย จะได้ไม่ต้องรอพึ่งแต่พิธี

    วิธีปฏิบัติ

    1. ถวายสังฆทานแท้ ที่ไม่ต้องมีพิธี
    2. ถ้ายังต้องการแบบพิธี นานปีทำสักครั้ง
    3. ขยันหาบุญอื่นที่เหนือกว่าทาน
       (ทั้งหมดนี้ เวลาทำตั้งจิตวางเจตนาให้ถูก)

                                                          พระพรหมคุณาภรณ์ | ๒๑ เมษายน ๒๕๕๐
11  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เปิดผลสำรวจ สุสานโครงกระดูกมนุษย์ยุคหิน เป็นแหล่งโบราณคดียุคก่อน ปวศ.สำคัญของไทย เมื่อ: พฤษภาคม 24, 2024, 07:39:55 am
.



เปิดผลสำรวจ สุสานโครงกระดูกมนุษย์ยุคหิน กรมศิลป์ ชี้ เป็นแหล่งโบราณคดียุคก่อน ปวศ.สำคัญของไทย

เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม นายพนมบุตร จันทรโชติ อธิบดีกรมศิลปากร เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากมีการสำรวจพบชิ้นส่วนโครงกระดูกมนุษย์ภายในถ้ำเขาค้อม หมู่ที่ 10 ตำบลควนกาหลง อำเภอควนกาหลง จังหวัดสตูล จึงมอบหมายให้สำนักศิลปากรที่ 11 สงขลา ลงพื้นที่ตรวจสอบ ซึ่งได้รับรายงานว่าเจ้าหน้าที่สำนักศิลปากรที่ 11 สงขลา ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบแล้ว เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2567 พบว่า

ถ้ำเขาค้อมตั้งอยู่ทางทิศใต้ของเขาหินปูนลูกโดด ซึ่งตั้งอยู่บริเวณริมอ่างเก็บน้ำด้านหลังของวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีสตูล จากการสำรวจทางโบราณคดี พบหลักฐานที่สำคัญ ได้แก่ ชิ้นส่วนโครงกระดูกมนุษย์  ชิ้นส่วนภาชนะดินเผา ชิ้นส่วนกระดูกสัตว์ เปลือกหอยน้ำจืดและเปลือกหอยทะเล เป็นต้น




ผลจากการศึกษาวิเคราะห์โบราณวัตถุในเบื้องต้นกำหนดให้เขาค้อมเป็นแหล่งโบราณคดียุคก่อนประวัติศาสตร์ สมัยหินใหม่ กำหนดอายุราว 3,000 – 6,000 ปีมาแล้ว อ้างอิงผลจากการขุดค้นทางโบราณคดีที่แหล่งโบราณคดีเพิงผาปาโต๊ะโร๊ะ อำเภอควนโดน จังหวัดสตูล เมื่อปี พ.ศ.2553 ซึ่งพบโครงกระดูกยุคก่อนประวัติศาสตร์ กำหนดอายุทางวิทยาศาสตร์ราว 3,000 ปีมาแล้ว

ผลจากการดำเนินงานทางด้านโบราณคดีที่ผ่านมาพบแหล่งโบราณคดียุคก่อนประวัติศาสตร์เป็นจำนวนมาก แสดงให้เห็นพื้นที่จังหวัดสตูลเป็นที่อยู่อาศัยของชุมชนยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่สำคัญของประเทศไทย โดยสำรวจพบแหล่งโบราณคดีอย่างน้อย 46 แหล่ง ปัจจุบันอยู่ระหว่างการจัดทำข้อมูลเพื่อประกาศรายชื่อให้ครอบคลุมทั้งหมด

อธิบดีกรมศิลปากร กล่าวอีกว่า กรมศิลปากรขอขอบคุณหน่วยงานต่าง ๆ ที่ร่วมกันปกป้องคุ้มครองและพัฒนาแหล่งการเรียนรู้และท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม การค้นพบครั้งนี้ถือเป็นการค้นพบที่สำคัญซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาค้นคว้าทางโบราณคดีของกรมศิลปากรและการพัฒนางานวิชาการต่อไปในอนาคต




















ขอบคุณ : https://www.matichon.co.th/region/news_4590225
วันที่ 23 พฤษภาคม 2567 - 13:35 น.   
12  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ‘ล้มทฤษฎี’ กินไข่ไก่ ‘คอเลสเตอรอลสูง’ เมื่อ: พฤษภาคม 24, 2024, 07:10:59 am
.



‘ล้มทฤษฎี’ กินไข่ไก่ ‘คอเลสเตอรอลสูง’ | จักรกฤษณ์ สิริริน

กระทรวงเกษตรแห่งสหรัฐอเมริกา (United States Department of Agriculture : USDA) ได้ประกาศ “ถอดคอเลสเตอรอล” ออกจากสารอาหารที่ชาวอเมริกันต้องควบคุม หลังจากค้นพบว่า “คอเลสเตอรอล” จาก “ไข่ไก่” ไม่ว่าจะเป็น HDL LDL รวมถึงไตรกรีเซอไรด์ ที่ได้รับจาก “ไข่ไก่” ไม่สัมพันธ์กับปริมาณคอเลสเตอรอลในเลือด

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “กระทรวงเกษตรแห่งสหรัฐอเมริกา” หรือ USDA ได้เปิดผลวิจัยที่น่าสนใจ ซึ่งเกี่ยวข้องกับ “ไข่ไก่” เป็นผลจากการทดลองกับกลุ่มตัวอย่างจำนวน 3 กลุ่ม คือ ระหว่างกลุ่มคนที่ไม่รับประทานไข่ กลุ่มที่รับประทานไข่ต้ม และกลุ่มที่รับประทานไข่ดาว คนละ 1 ฟองต่อวัน โดยให้กลุ่มตัวอย่างทั้งหมด รับประทาน “เมนูไข่” ดังกล่าว ติดต่อกันประมาณ 2 เดือน

ผลการทดลองพบว่า กลุ่มตัวอย่างทั้ง 3 มีระดับ “คอเลสเตอรอล” ไม่ว่าจะเป็น HDL LDL รวมถึงไตรกรีเซอไรด์ “ไม่แตกต่างกัน” การทดลองนี้จึงพิสูจน์ให้เห็นว่า การรับประทาน “ไข่ไก่” ไม่มีความสัมพันธ์กับ “ระดับคอเลสเตอรอลในเลือด” แต่อย่างใด

ข้อมูลจากงานวิจัยดังกล่าว ได้เปรียบเทียบพลังงานที่ได้จาก “ไข่ไก่” แต่ละประเภท ที่พบว่า “ไข่ต้ม” 1 ฟอง ให้พลังงาน 75 กิโลแคลอรี “ไข่ดาว” 1 ฟอง ให้พลังงาน 150 กิโลแคลอรี และ “ไข่เจียว” 1 ฟอง ให้พลังงาน 250 กิโลแคลอรี

ดังนั้น ไข่ต้มจึงเป็น “เมนูไข่” ที่ให้พลังงานต่ำที่สุด ขณะเดียวกัน “ไข่ต้ม” มีสัดส่วนระหว่าง Omega-6 ต่อ Omega-3 ต่ำที่สุด ซึ่งถือว่าดีต่อสุขภาพ

สรุปผลการวิจัยของ USDA ที่พบว่า “ไข่ไก่” เป็นแหล่งของ Omega-3 ซึ่งมีคุณค่าเทียบเท่าหรือมากกว่าไขมันในปลาแซลมอน และปลาทะเล อุดมด้วยกรดไขมัน DHA (Docosahexaenoic Acid) และ EPA (Eicosapentaenoic Acid) โดยทั้ง DHA และ EPA มีความจำเป็นต่อการทำงานของสมอง สายตา หัวใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ระบบหลอดเลือด

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ไข่ไก่” ช่วยในด้านการทำงานของสมอง ผู้ที่บริโภค “ไข่ไก่” เป็นประจำ สมองจะตอบสนองต่อเรื่องต่างๆ ได้รวดเร็วขึ้นมากกว่า 25% เมื่อเทียบกับคนที่ไม่ได้บริโภค “ไข่ไก่”

นอกจากนี้ “ไข่ไก่” ยังช่วยป้องกัน “โรคสมาธิสั้น” ในเด็ก และยังช่วยลดความเสี่ยงการเป็น “โรคสมองเสื่อม” หรือ “อัลไซเมอร์” ในผู้สูงวัย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การกิน “ไข่ไก่” เป็นประจำ ยังมีส่วนช่วยป้องกัน “โรคหัวใจ” ได้อีกด้วย


@@@@@@@

สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมด ตรงกันข้ามกับคำสอน หรือสิ่งที่บอกเล่าต่อๆ กันมาเป็นเวลายาวนานว่า “ไม่ควรบริโภคไข่ไก่มาก” เพราะจะทำให้ “คอเลสเตอรอลสูง” ผลการวิจัยของ “กระทรวงเกษตรแห่งสหรัฐอเมริกา” ข้างต้น จึงเสมือนการ “ล้มทฤษฎี” กินไข่แล้ว “คอเลสเตอรอลสูง” ซึ่งเป็นความเชื่อผิดๆ ที่ส่งทอดกันมาหลายสิบปี ล้มความมั่นใจของผู้ที่เข้าใจคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับ “คอเลสเตอรอล” ใน “ไข่ไก่” ลงไปอย่างสิ้นเชิง

ทฤษฎีกินไข่แล้วคอเลสเตอรอลสูง เป็นความเชื่อที่ผิดมานาน เพราะคอเลสเตอรอลแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ
    1. คอเลสเตอรอล 75% ของร่างกาย ถูกสร้างขึ้นที่ตับ จากพลังงานส่วนเกินของร่างกาย
    2. คอเลสเตอรอล 25% ที่เหลือ ได้รับจากกินอาหารโดยตรง

ดังนั้น การลด ละ เลิก การกิน “ไข่ไก่” ไม่ได้ทำให้ “ระดับคอเลสเตอรอล” ต่ำลงแต่อย่างใด ไม่เช่นนั้น “กระทรวงเกษตรแห่งสหรัฐอเมริกา” คงไม่เฉลยบทพิสูจน์ให้เห็นกันว่า “ไข่ไก่” มีคุณค่าทางอาหารเต็มใบแค่ไหน เพราะ “ไข่ไก่” เป็น “แหล่งโปรตีนคุณภาพดี” ย่อยง่าย เด็กกินได้-ผู้ใหญ่กินดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้สูงวัยที่รับประทาน “ไข่ไก่” จะช่วยให้กล้ามเนื้อแข็งแรง และช่วยให้ได้รับวิตามิน+เกลือแร่ที่ร่างกายต้องการ

    - “ไข่ไก่” มี “ลูทีน” ที่ช่วยบำรุงสุขภาพดวงตา และสมอง ที่พบว่า มีความสัมพันธ์กัน คือดวงตาดี สมองจะดี ทำให้เรียนดี
    - “ไข่ไก่” เป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง อุดมด้วยสารอาหารที่ร่างกายต้องการอย่างครบถ้วน ไข่ไก่ 1 ฟองมีโปรตีน 7 กรัม ให้พลังงาน 75 กิโลแคลอรี
    - “ไข่ขาว” ประกอบด้วย Ovalbumin, Ovoglobulin และ Phosphoprotein ซึ่งสารทั้ง 3 ชนิดนี้เป็นองค์ประกอบของโปรตีนซึ่งอุดมไปด้วย “กรดอะมิโน 8 ชนิด” ที่จำเป็นต่อร่างกาย
    - “ไข่แดง” ประกอบไปด้วยโปรตีน ไขมัน วิตามิน และแร่ธาตุที่สำคัญ โดยไขมันที่มีอยู่มากใน “ไข่แดง” เป็นไขมันประเภทอิ่มตัว
    - “ไข่ไก่” 1 ฟอง มีวิตามิน-แร่ธาตุหลากหลาย อาทิ วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 5 วิตามินบี 6 วิตามินบี 12 วิตามินดี ไอโอดีน อิโนซิทอล แคลเซียม ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม เป็นต้น รวมถึง “โฟเลต” ที่ช่วยลดการเกิดโรคหลอดเลือด




โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “โคลีน” ใน “ไข่ไก่” นั้น เป็นส่วนประกอบสำคัญในสารที่เรียกว่า “เลซิติน” ที่มีสรรพคุณช่วยบำรุงสมอง และป้องกันภาวะความผิดปกติของระบบประสาท “โคลีน” มีผลโดยตรงต่อการเพิ่มประสิทธิภาพความจำ ความสามารถในการเรียนรู้ ช่วยชะลอการสูญเสียความทรงจำในผู้สูงอายุ หรือโรคสมองเสื่อม และอัลไซเมอร์ “โคลีน” ยังช่วยป้องกันไขมันอุดตันในเส้นเลือด และโรคหลอดเลือดหัวใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ช่วยชะลอความแก่

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ไข่ไก่” มี “ซิลิเนียม” สารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) ช่วยชะลอวัย และป้องกันอัลไซเมอร์ ใน “ไข่ไก่” 1 ฟอง มี “ซิลิเนียม” มากถึง 1 ใน 4 ของปริมาณที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันเลยทีเดียว

“โฟลิก” ใน “ไข่ไก่” ถูกใจเด็กทารกที่ยังไม่มีฟัน และผู้สูงอายุที่มีปัญหาเรื่องฟันเคี้ยวอาหารประเภทเนื้อสัตว์
“โฟลิก” เป็นสารป้องกันโลหิตจาง และเป็นสารที่จำเป็นสำหรับหญิงตั้งครรภ์ เพื่อการตั้งครรภ์ที่มีคุณภาพ

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ไข่ไก่” มีวิตามินบี 6 และบี 5 ช่วยคลายเครียด ควบคุมพลังงาน และรักษาระดับฮอร์โมนทางเพศ ช่วยให้พลังขับเคลื่อนทางเพศทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ กิน “ไข่ไก่” ทุกวัน วันละ 1 ฟอง เสริมพลังทางเพศ ชาร์จแบตเต็มทั้งแท่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ช่วยให้ไวต่อความรู้สึกทางเพศ

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เพศชายที่ต้องการเพิ่มพลังทางเพศ มักจะนิยมสั่งไข่ลวกกินทุกวัน วันละ 1 ฟอง เหมือนได้ยาโด๊ปราคาถูก หาซื้อง่าย และที่สำคัญก็คือ กิน “ไข่ไก่” ไม่ต้องกลัว “คอเลสเตอรอลสูง” ไม่มีอันตรายต่อหัวใจ และมีประโยชน์ในด้านการเสริมสมรรถภาพทางเพศอีกด้วย

นอกจากนี้ การรับประทาน “ไข่ไก่” เป็นประจำ ยังช่วยให้สเปิร์มแข็งแรงขึ้น เพราะไข่อุดมไปด้วยโปรตีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิตามินอี ที่ช่วยบำรุงรักษาเนื้อเยื่อลูกอัณฑะไม่ให้เสื่อมเร็ว รวมทั้งยังเพิ่มปริมาณอสุจิ และช่วยเสริมศักยภาพของภาวะเจริญพันธุ์อีกด้วย


@@@@@@@

งานวิจัยอีกชิ้นหนึ่งพบว่า “ไข่ไก่” จะช่วยส่งเสริมการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 HDL-Cholesterol, Insulin Sensitivity ไขมัน และกลูโคส เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น

กิน “ไข่ไก่” ช่วยให้อิ่มเร็ว หิวช้า ลดความอยากอาหาร ช่วยเรื่องการควบคุมน้ำหนัก

สมาคมโรคหัวใจแห่งสหรัฐอเมริกา (American Heart Association) เป็นอีกหน่วยงานหนึ่งซึ่งเปลี่ยนให้คำแนะนำในการกิน “ไข่ไก่” จากเดิมที่ห้ามไม่ให้บริโภค “ไข่ไก่” เกิน 3 ฟองต่อสัปดาห์ มาเป็นให้บริโภค “ไข่ไก่” วันละ 1 ฟอง

อย่างไรก็ดี ผู้ที่มีไขมันในเลือดสูง หรือผู้ที่จำเป็นต้องควบคุมไขมันในเลือด ยังไม่ควรรับประทานไข่มากกว่า 3 ฟองต่อสัปดาห์ ดังนั้น การเลือกรับประทาน “ไข่ไก่” แบบใหม่ จะทำให้ลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจขาดเลือด และทำให้สุขภาพดีครับ







ขอขอบคุณ :-
ที่มา : มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 3 - 9 กุมภาพันธ์ 2566
ผู้เขียน : ดร.จักรกฤษณ์ สิริริน
เผยแพร่ : วันอาทิตย์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2566
URL : https://www.matichonweekly.com/healthy/article_644584
13  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ความรู้จักพอเป็นยอดแห่งทรัพย์ : 'สุจริตกถา' โดย พระพรหมบัณฑิต เมื่อ: พฤษภาคม 23, 2024, 09:31:01 am
.



หิริโอตัปปะและศีล ๕ : หลักธรรมป้องกันการทุจริต
โดย พระพรหมบัณฑิต ศ.ดร. อธิการบดีมหาจุฬาฯ เทศน์ "สุจริตกถา"


กล่าวว่า มหาจุฬาฯ ร่วมกับสำนักงานการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ การจัดงานครั้งนี้เพื่อเป็นโอกาสสำคัญในการแสดงถึงความกตัญญูต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ทั้งสองพระองค์ทรงครองแผ่นดินโดยธรรม โดยมีพระปฐมบรมราชองค์การว่า

"เราจะครองแผ่นโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม" คำว่า "โดยธรรม" หมายถึง "สุจริตธรรม" พระพุทธเจ้าแสดงธรรมเรื่องสุจริตธรรมครั้งแรกให้พระเจ้าสุทโทธนะ มีหน้าที่ด้วยความสุจริต มี ๓ ประการ

    ๑. "ไม่บกพร่องต่อหน้าที่" ทำหน้าที่ตนเองให้ที่สุด ร้องให้สุดคำ รำให้สุดแขน ทำให้ดีที่สุด ทำอะไรอย่าให้บกพร่อง
    ๒. "ไม่ละเว้นต่อหน้าที่" ผู้เป็นบิดามารดาไม่ละทิ้งหน้าที่ในการสั่งสอนบุตรของตน เพราะถ้าบุตรเป็นโจร บิดามารดาย่อมมีส่วนโจรด้วยเพราะไม่สั่งสอนบุตร
    ๓. "ไม่ทุจริตต่อหน้าที่" ไม่ใช้หน้าที่ของตนในการทำการทุจริต รวมถึงทรัพย์สินเงินทอง ใช้อำนาจหน้าที่ในทางมิชอบ

พระพุทธเจ้าตรัสว่า "บุคคลไม่ควรประพฤติหน้าที่ให้ทุจริต" อาณาจักรหรือประเทศจะล้มสลายถ้ามีการทุจริต กล่าวว่า "สนิมเกิดแต่เหล็ก จะกัดกินเหล็ก" ซึ่งสภาพในสังคมไทยปัจจุบันมีการทุจริตจำนวนมากเป็นสนิทร้ายต่อประเทศ ลักษณะมือใครยาว สาวได้สาวเอา มีการแย่งอาหารกันกิน แย่งถิ่นกันอยู่ แย่งคู่กันพิศวาส แย่งอำนาจกันเป็นใหญ่

นำไปสู่การขาดความสามัคคีในประเทศชาติ เป็นการละเมิดศีล ๕ ในข้อที่ ๒ คือ ถือเอาสิ่งของจากเจ้าของท่านไม่ได้ให้ ควรงดเว้นด้วยวิรัติ ถือว่าเป็นการงดเว้น ต้องมีหิริ ความละอายแก่ใจ การส่งเสริมในเรื่องศีล ๕ ของมหาเถรสมาคม จึงเป็นการต่อต้านการทุจริตนั่นเอง

@@@@@@@

สมัยอดีตก็มีการทุจริต ทนันชาณิพราหมณ์มีการปล้นพระราชา ฉ้อราษฏร์บังหลวง อ้างพระราชาปล้นประชาชน อ้างว่าจะไปช่วยเหลือประชาชน แต่กลับเอาไปใช้ส่วนตัว อ้างว่าเอาเงินไปเลี้ยงบิดามารดา บุตร และ ณ สวนสัตว์แห่งหนึ่งมีการทุจริตต่อหน้าที่ ในการเลี้ยงเสือ ประชาชนมาดูเสือทำไมเสือไม่อ้วน เสือผอม ทำไมเสือผอมเป็นการตั้งคำถามของประชาชน เพราะอาหารเสือโดนเบียดบัง ผู้อำนวยการสวนสัตว์ส่งผู้ตรวจการ ๓ คน มาตรวจทุจริตทั้ง ๓ คน จึงมีโครงโลกนิติว่าด้วยว่า "เบิกทรัพย์วันละบาทซื้อมังสา" กล่าวว่า

    เบิกทรัพย์วันละบาทซื้อ มังสา
    นายหนึ่งเลี้ยงพยัคฆา ไป่อ้วน
    สองสามสี่นายมา กำกับ กันแฮ
    บังทรัพย์สี่ส่วนถ้วน บาทสิ้นเสือตาย

เสือ หมายถึง ประเทศชาติ รวมถึงประชาชนในชาติ ผู้นำรัฐ ข้าราชการ ต้องประพฤติสุจริตธรรม ประเทศถึงจะอยู่รอด การทุจริตทำมากมาย ไม่ว่าจะเป็นซื้อสิทธิ์ขายเสียง ก็ถือว่าเป็นการทุจริต สหประชาชาติจึงประกาศให้วันที่ ๙ ธันวาคมของทุกปี เป็นวันต่อต้านการทุจริตของโลก ประชาชนต้องไม่สนับสนุนการทุจริต

ธรรมะที่คุ้มครองโลก คือ "หิริและโอตัปปะ" เป็นธรรมะที่ให้มนุษย์ประเสริฐกว่าสัตว์ เป็นธรรมะฝ่ายขาวคุ้มครองโลก
    หิริ หมายถึง ความละอายต่อบาป ต่อความชั่วทั้งหลาย ไม่นำร่างกายไปเปื้อนกับความสกปรก
    คำว่า โอตตัปปะ หมายถึง ความเกรงกลัวต่อบาป เปรียบเหมือน ถ่านไฟ อย่าได้ไปเข้าใกล้มันร้อน
    เมื่อหิริโอตตัปปะมีอยู่โลกจะสามารถอยู่รอดและปลอดภัย

การงดเว้นการทุจริตก็ต่อเมื่อมีธรรมะ คือ "หิริและโอตตัปปะ" เป็นหลักธรรมป้องกันการทุจริต เพราะเมื่อละอายแก่ใจ ดังคำกล่าวว่า" อดอยากเยี่ยงอย่างเสือ" เหมือนนางขุตชุตรา เป็นนางสาวใช้ของพระนางสามวดี เบิกเงินไปซื้อดอกไม้ แต่ซื้อเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น เธอได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า ทำให้กลับตัวกลับใจ มีความหิริภายในใจ เธอพยามสร้างอริยทรัพย์ เป็นทรัพย์ภายใน "ความรู้จักพอเป็นยอดแห่งทรัพย์"


@@@@@@@

เศรษฐกิจพอเพียงขององค์ในหลวง ถือว่าเป็นการป้องกันการทุจริต คือ ให้เรารู้จักพอ เพียงพอ ประมาณตนเอง ในการบริหารชีวิต เพราะถ้าไม่พอก็เกิดความโลภ โอตัปปะเป็นความกลัว กลัวต่อการกฎหมายลงโทษอย่างมีประสิทธิภาพ กลัวต่อการตกนรก คนสมัยโบราณกลัวการทุจริต กลัวต่อผลบาปการทุจริต จึงยึด "ทำได้ดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว"

เราปฏิบัติสุจริตย่อมมีชีวิตที่มีความสุขในโลกนี้และโลกหน้า มีพราหมณ์คนหนึ่งสมัยพระเจ้าโกศล เขาทดลองว่า ถ้าประพฤติทุจริตจะเป็นอย่างไร.? ด้วยการหยิบเหรียญวันละ ๑ เหรียญ ทำเรื่อยๆ และหยิบเป็นกำมือ จนคนตะโกนว่าจับโจร พระราชาถามว่าทำไมถึงทำแบบนี้ พราหมณ์ตอบว่า เป็นการทดลองการประพฤติผิดว่าจะเป็นอย่างไร พราหมณ์จึงออกบวชในศาสนาของพระพุทธเจ้า

องค์ในหลวงของเรารักเป็นแบบอย่างที่ดีในการประพฤติสุจริตธรรม จะทำให้ประเทศของเรามีความ "มั่นคง มั่งคั่ง และสันติสุข" สืบไป





Thank to :-
image : https://www.pinterest.ca/
URL : https://www.mcu.ac.th/news/detail/12803
๑๐/๐๘/๒๐๑๖
14  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ขอเชิญนิสิตบัณฑิตศึกษาและประชาชนทั่วไป ร่วมปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ณ มจร.วังน้อย เมื่อ: พฤษภาคม 23, 2024, 08:45:35 am
.



มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ขอเชิญนิสิตบัณฑิตศึกษาและประชาชนทั่วไป ร่วมปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน มจร.วังน้อย พระนครศรีอยุธยา

ปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติ  ขอเชิญนิสิตบัณฑิตศึกษาและประชาชนทั่วไป ร่วมปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ครั้งที่ 10 รับจำนวน 150 รูป/คน เท่านั้น ระหว่างวันที่ 1-4 มิถุนายน  2567 เฉลิมพระเกียรติ วันคล้ายวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี

ณ อาคาร 72 ปี พระวิสุทธาธิบดี (หอฉันชั้น 4)สถาบันวิปัสสนาธุระ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยตำบลลำไทร อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

กรุณาอ่านก่อนสมัครทุกครั้ง https://shorturl.asia/xvZmo

สมัครเข้าร่วมโครงการ https://plan-vipassana.mcu.ac.th/vi/register.php?id=50

เข้าLINEกลุ่ม กด https://line.me/ti/g/Qdd1K_vA5

ทำบุญสนับสนุนโครงการ https://plan-vipassana.mcu.ac.th/vi/donate/register2.php

ส่วนวางแผนและพัฒนาการอบรม สถาบันวิปัสสนาธุระ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

รับเฉพาะผู้อยู่ร่วมโครงการได้เท่านั้น การสมัครแทนกันให้ถามความสมัครใจของผู้เข้าร่วมว่าสะดวกหรือเปล่า

ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ส่วนวางแผนและพัฒนาการอบรม สถาบันวิปัสสนาธุระ โทร: 035-802-737

พระมหาแสงตะวัน ขนฺติเมธี โทร 06-1935-9836 นายชรัณวัชร์ ลีวัฒนโชตเดชากุล โทร 0621070470

(จองห้องพักอาคาร ๙๒ ปีปัญญานันทะ โทร 0925052870)

https://plan-vipassana.mcu.ac.th/?p=6823











Thank to :  https://www.mcu.ac.th/news/detail/51673
23 พ.ค. 67 | ข่าวมหาวิทยาลัย
15  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / “Golden Boy” ประติมากรรมล้ำค่า อายุนับพันปี คือ “พระศิวะ” จริงหรือ? เมื่อ: พฤษภาคม 23, 2024, 08:34:16 am

 :25: :25: :25:

“Golden Boy” ประติมากรรมล้ำค่า อายุนับพันปี คือ “พระศิวะ” จริงหรือ?


Golden Boy ประติมากรรมสำริดที่ไทยเพิ่งได้รับคืนจากสหรัฐอเมริกา ปัจจุบันจัดแสดงที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร



 :96: :96: :96:

“Golden Boy” คือ“พระศิวะ” จริงหรือ.?

ในที่สุด Golden Boy และประติมากรรมสตรี โบราณวัตถุ 2 รายการที่มีอายุนับพันปี ก็เดินทางกลับสู่เมืองไทยเป็นที่เรียบร้อย ท่ามกลางความยินดีของคนไทยทั้งประเทศ พร้อมจัดแสดงในวันที่ 22 พฤษภาคม 2567 เป็นต้นไป ที่อาคารมหาสุรสิงหนาท พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร

เมื่อครั้ง Golden Boy จัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะเมโทรโพลิทัน นครนิวยอร์ก (The MET) สหรัฐอเมริกา คำอธิบายใต้ประติมากรรมชิ้นนี้ คือ “พระศิวะประทับยืน” ซึ่งในวันที่ 21 พฤษภาคม 2567 ที่มีพิธีรับมอบโบราณวัตถุ 2 รายการ คือ Golden Boy และประติมากรรมสตรี จาก The MET ณ พระที่นั่งอิศราวินิจฉัย พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร

จอห์น กาย (John Guy) ภัณฑารักษ์ แผนกศิลปะเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จาก The MET ที่ร่วมในพิธีรับมอบ ก็ได้ระบุว่า Golden Boy คือ “พระศิวะ”

เหตุผลดังกล่าวคืออะไร.?

เขากล่าวว่า ประติมากรรมสำริดกะไหล่ทองรูปพระศิวะในศาสนาฮินดูนี้ ถือเป็นผลงานชิ้นเอกชิ้นเดียวอย่างไม่ต้องสงสัย และเป็นหนึ่งในประติมากรรมทางศาสนาที่สำคัญที่สุดประเภทรูปเคารพ ที่ยังหลงเหลืออยู่ในแผ่นดินใหญ่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีสภาพการเก็บรักษาเกือบสมบูรณ์

ประติมากรรมสำริดรูปพระศิวะ ทำหน้าที่เป็นรูปเคารพทางศาสนาที่สำคัญในเทวสถาน ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 16-17 ซึ่งน่าจะหมายถึง “พระศิวะ” เทพในศาสนาพราหมณ์

“หากพิจารณาจากผ้านุ่งห่มแบบสมพตในภาษาเขมร หรือผ้านุ่งในภาษาไทย มีการตกแต่งรอยผูกที่ชายผ้าด้านหน้า และปมผ้าด้านหลังก็ตกแต่งอย่างสวยงาม สะท้อนเรือนร่างที่สวมใส่อยู่ เครื่องประดับ พาหุรัด กำไลข้อมือ กำไลข้อเท้า กรองคอ และ มงกุฎ เป็นส่วนสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงความศักดิ์สิทธิ์” ภัณฑารักษ์จาก The MET เผยถึงความงามของ Golden Boy

เขาบอกอีกว่า ประติมากรรม Golden Boy และประติมากรรมสตรี หล่อด้วยกระบวนการสูญขี้ผึ้ง (Lost Wax) โดยมีแกนเหล็กที่ยื่นออกมาจากส่วนมงกุฎถึงเท้า การตกแต่งในขั้นตอนสุดท้ายบนพื้นผิวสำริด ทำได้อย่างประณีตและละเอียด

เมื่อตรวจสอบพระพักตร์ของทั้งพระศิวะและสตรีนั่งชันเข่าโดยละเอียด พบว่า ทั้ง 2 องค์มีการตกแต่งด้วยการฝังแก้ว หินผลึก และโลหะที่แตกต่างกัน คือทองคำและเงิน พระเนตรของพระศิวะล้อมด้วยเงิน และพระเนตรดำอาจเคยมีหินคริสตัลฝังอยู่ หนวดและเคราก็มีร่องรอยการประดับตกแต่งด้วยการฝังวัตถุเช่นเดียวกัน

@@@@@@@

อย่างไรก็ดี แม้ The MET จะตีความว่าเป็น “ประติมากรรมพระศิวะ” แต่กรมศิลปากรก็ระบุว่า ท่าทางของพระหัตถ์ทั้งสองมีความแตกต่างจากประติมากรรมโดยทั่วไป ที่มักจะถือสัญลักษณ์ของพระศิวะ และไม่ปรากฏพระเนตรที่สามบนพระนลาฏ

แล้วบอกอีกว่า Golden Boy จึงอาจหมายถึงรูปบุคคลในสถานะเทพ หรืออาจมีความเป็นไปได้ว่า ถูกสร้างขึ้นด้วยจุดประสงค์ 2 อย่าง คือ เป็นรูปเคารพเพื่อบูชาในศาสนสถานประจำราชวงศ์ หรือเป็นรูปเคารพของบูรพกษัตริย์

อ่านเพิ่มเติม :-

    • ใครคือ “Golden Boy” ? รู้จักพระเจ้าชัยวรมันที่ 6 ต้นวงศ์มหิธรปุระแห่งพิมาย
    • รู้ได้อย่างไร “Golden Boy” เป็นของไทย ไม่ใช่เขมร?
    • น่าสงสัย!? ประติมากรรม “Golden Boy” เก่าแก่กว่ายุคพระเจ้าชัยวรมันที่ 6





ขอขอบคุณ :-
ผู้เขียน : กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม
เผยแพร่ : วันพุธที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ.2567
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรก : เมื่อ 22 พฤษภาคม 2567
URL : https://www.silpa-mag.com/history/article_132885
16  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ข้าวมธุปายาส (อาจ)เป็นเช่นไร.? | มาดู "มธุปายาส" ในพระไตรปิฎกและอรรถกถา เมื่อ: พฤษภาคม 22, 2024, 06:35:02 am
.



ข้าวมธุปายาส (อาจ)เป็นเช่นไร.? | มาดู "มธุปายาส" ในพระไตรปิฎกและอรรถกถา

บทความในคอลัมน์พินิจอินเดียฉบับนี้มีความพิเศษ เพราะมีนางสาวภัคจิรา ธรรมมานุธรรม นิสิตปริญญาตรี ชั้นปีที่ 4 คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมาเป็นนักเขียนรับเชิญร่วมกับผู้เขียนประจำ ด้วยมีจุดประสงค์ที่คณาจารย์ทีมอินเดีย จุฬาฯ ต้องการสนับสนุนการเผยแพร่ผลงานคุณภาพของนิสิตที่ตั้งใจศึกษาค้นคว้าเรื่องอินเดีย ให้ได้เป็นประโยชน์แก่สาธารณชน บทความมีเนื้อหาดังนี้

‘ข้าวมธุปายาส’ ปรากฏในพุทธประวัติตอนนางสุชาดาถวายอาหารมื้อสุดท้ายแด่พระโพธิสัตว์เจ้าชายสิทธัตถะ ก่อนที่พระองค์จะทรงตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ณ ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ในราตรีวัน 15 ค่ำ เดือนวิสาขะ เมื่อ 2500 กว่าปีที่แล้ว เป็นเรื่องที่น่าสงสัยใคร่ศึกษาให้รู้ว่า ลักษณะที่แท้จริงของข้าวมธุปายาสในพุทธประวัตินั้นเป็นเช่นไรกันแน่ บทความฉบับนี้เป็นอีกหนึ่งความพยายามที่จะค้นคว้าหาหลักฐานเท่าที่ปรากฏในคัมภีร์พุทธศาสนาฝ่ายภาษาบาลีมาแสดงเพื่อตอบคำถามดังกล่าว


@@@@@@@

มธุปายาส เป็นภาษาบาลีประกอบด้วยคำสองคำ กล่าวคือ
    ‘มธุ’ แปลว่า น้ำผึ้ง และ ‘ปายาส’ แปลว่า ข้าวหุงด้วยน้ำนม
    โดยคำว่า ปายาส มาจากคำว่า ‘ปยสฺ’ ที่แปลว่าน้ำนม
    โดยนัยนี้ มธุปายาส จึงแปลว่า ข้าวหุงด้วยน้ำนมใส่น้ำผึ้ง

พระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย มีข้อความตอนหนึ่งในพุทธวงศ์ ขุททกนิกาย ว่า

    “พระตถาคตจักประทับนั่งที่โคนต้นอชปาลนิโครธ ทรงรับข้าวปายาสในที่นั้นแล้ว เสด็จไปยังแม่น้ำเนรัญชรา พระชินเจ้าพระองค์นั้น จักเสวยข้าวปายาส ที่ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา แล้วเสด็จไปที่โคนต้นโพธิ์ ตามหนทางอันประเสริฐที่ตกแต่งไว้แล้ว...”

จะเห็นได้ว่าในพระไตรปิฎกบาลีใช้คำว่า ‘ปายาส’ แทนสิ่งที่พระตถาคตทรงรับและเสวยก่อนการตรัสรู้ที่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ในพระไตรปิฎกฉบับนี้ยังมีการใช้คำว่า ‘ปายาส’ อีกหลายแห่ง เช่น สคาถวรรค สังยุตตนิกาย, ชาดก ขุททกนิกาย, อปทาน ขุททกนิกาย

ส่วนคำว่า ‘มธุปายาส’ พบว่ามีใช้แห่งเดียวในเรื่องของพระโคสาลเถระ พบในเถรคาถา ขุททกนิกาย และมีการใช้คำว่า ‘สัปปิปายาส’ ซึ่งแปลว่า ปายาสใส่เนยใส ในหลายแห่ง เช่น สฬายตนวรรค สังยุตตนิกาย, ชาดก ขุททกนิกาย ในบางแห่งยังกล่าวถึงส่วนผสมด้วยว่า “ปรุงข้าวปายาส ด้วยเนยใส”(สปฺปินา ปายาโส)

จากการศึกษาพระไตรปิฎกบาลีทำให้เข้าใจได้ว่า ปายาสทั้งสามอย่าง นี้น่าจะเป็นอาหารชนิดเดียวกันและอาจจะเป็นอาหารอย่างเดียวกัน แต่มีส่วนผสมที่ต่างกัน โดยดูจากคำขยายข้างหน้าที่บอกส่วนผสมของปายาส กล่าวคือ

มธุปายาส คือ ปายาสที่ใส่น้ำผึ้ง สัปปิปายาส คือปายาสที่ใส่เนยใส การกล่าวถึงปายาสโดยไม่มีคำขยายข้างหน้านั้นอาจจะละคำที่แสดงส่วนประกอบไว้ก็เป็นได้

อย่างไรก็ตามเราก็ได้ทราบส่วนประกอบของปายาสว่ามีการเติมน้ำผึ้ง หรือเนยใส และอาจสันนิษฐานได้ว่า ปายาส เป็นอาหารชั้นดี ที่นิยมนำมาถวายแด่พระภิกษุ

@@@@@@@

ในอรรถกถาภาษาไทย ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย และอรรถกถาภาษาบาลีฉบับสยามรัฐ กล่าวเรื่องข้าวมธุปายาสในพุทธประวัติไว้ ในอวิทูเรนิทาน ในนิทานกถา ซึ่งเป็นส่วนต้นของคัมภีร์ชาตกัฏฐกถา หรืออรรถกถาของคัมภีร์ชาดก ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับข้าวมธุปายาสมากที่สุด มีเนื้อหาโดยสรุปว่า

นางสุชาดา ธิดาของกุฎุมพีในตำบลอุรุเวลาเสนานิคม ได้กระทำความปรารถนาที่ต้นไทรแห่งหนึ่งว่า ถ้าได้แต่งงานกับผู้ที่มีชาติตระกูลเสมอกันและได้บุตรคนแรกเป็นชาย จะทำพลีกรรมโดยบริจาคทรัพย์หนึ่งแสนให้ทุกปี ๆ ความปรารถนาของนางสำเร็จแล้ว

เมื่อพระมหาสัตว์กระทำทุกรกิริยาครบ 6 ปี ในวันเพ็ญเดือน 6 นางสุชาดาประสงค์จะทำพลีกรรม ก่อนหน้านั้นนางได้ปล่อยโคนม 1,000 ตัว ให้ท่องเที่ยวอยู่ในป่าชะเอม ให้โคนม 50 ตัว ดื่มน้ำนมของโคนม 1,000 ตัวนั้น แล้วให้โคนม 250 ตัว ดื่มน้ำนมของโคนม 500 ตัวนั้น นางปรารถนาน้ำนมข้นและมีโอชะจึงได้ให้โคหมุนเวียนดื่มน้ำนมจนกระทั่งเหลือโค 8 ตัว ดื่มน้ำนมของแม่โคนม 16 ตัวนั้น

ในเช้าตรู่วันวิสาขบูรณมี นางสุชาดาลุกขึ้นในเวลาใกล้รุ่งแห่งราตรี ให้รีดนมโคนม 8 ตัวนั้น ลูกโคทั้งหลายยังไม่ได้ไปถึงเต้านมเหล่านั้น แต่พอนำภาชนะใหม่เข้าไปใกล้เต้านมเท่านั้น ธารน้ำนมก็ไหลออกตามธรรมดาของตน

นางสุชาดาได้เห็นความอัศจรรย์นั้นจึงตักน้ำนมด้วยมือของตนเอง ใส่ลงในภาชนะใหม่แล้วก่อไฟด้วยมือของตนเอง เมื่อกำลังหุงข้าวปายาส ฟองใหญ่ ๆ ตั้งขึ้นไหลวนเป็นทักษิณาวัฏ แม้หยาดสักหยดหนึ่งก็ไม่หกออกภายนอก ควันไฟแม้มีประมาณน้อยก็ไม่ตั้งขึ้นจากเตา

สมัยนั้นท้าวจตุโลกบาลมาถือการอารักขาที่เตา ท้าวมหาพรหมกั้นฉัตร ท้าวสักกะนำดุ้นฟืนมาใส่ไฟให้ลุกโพลงอยู่ เทวดาทั้งหลายรวบรวมโอชะใส่เข้าไปในข้าวปายาสนั้น ด้วยเทวานุภาพของตน เหมือนบุคคลคั้นรวงผึ้งอันติดอยู่ที่ท่อนไม้ แล้วถือเอาแต่น้ำหวานฉะนั้น ในเวลาอื่น ๆ เทวดาทั้งหลายใส่โอชะในคำข้าว ก็แต่ว่าในวันตรัสรู้และวันปรินิพพาน ใส่โอชะในหม้อเลยทีเดียว

นางสุชาดาคิดจะใส่ข้าวปายาสในถาดทอง จึงให้คนใช้นำถาดทองมีค่าหนึ่งแสนออกมา ประสงค์จะใส่ข้าวปายาสในถาดทองนั้น จึงรำพึงถึงโภชนะที่สุกแล้ว ข้าวปายาสทั้งหมดก็กลิ้งไปประดิษฐานอยู่ในถาดเหมือนน้ำกลิ้งจากใบบัว ข้าวปายาสนั้นเต็มถาดหนึ่งพอดี

นางสุชาดาได้เดินไปยังโคนต้นไทร เปิดฝาเอาสุวรรณภิงคารใส่น้ำอันอบด้วยดอกไม้หอม เข้าไปยืนอยู่ใกล้ ๆ พระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์เหยียดพระหัตถ์ขวาออกรับ นางสุชาดาจึงวางถาดทองข้าวปายาสในพระหัตถ์ของพระมหาบุรุษ

ฝ่ายพระโพธิสัตว์เสด็จลุกขึ้นจากที่ประทับ ทรงทำประทักษิณต้นไม้ ถือถาดเสด็จไปยังฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ทรงวางถาดที่ฝั่ง เสด็จลงสรงสนานเสร็จแล้วทรงนั่ง ทรงนั่งผินพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก ทรงกระทำปั้นข้าว 49 ปั้น ประมาณเท่าจาวตาลสุกจาวหนึ่ง ๆ แล้วเสวยมธุปายาสมีน้ำน้อยทั้งหมด




ข้าวมธุปายาสนั้นได้เป็นอาหารอยู่ได้ตลอด 7 สัปดาห์ และยังมีปรากฏเรื่องข้าวมธุปายาสในพุทธประวัติอยู่ในพุทธวงศ์ ขุททกนิกาย โดยมีการใช้คำว่า “ข้าวปายาสที่ไม่แข้นแข็ง มีรสอร่อยอย่างยิ่ง” (ปายาส อนายาส ปรมมธุร)

จะเห็นได้ว่ามีการใช้ ปายาส และ มธุปายาส เมื่อกล่าวถึงสิ่งเดียวกัน และมีคำขยาย มธุปายาส ด้วยคำว่า มีน้ำน้อย (อปฺโปทกมธุปายาส) นอกจากมีการบอกลักษณะของข้าวมธุปายาสว่ามีน้ำน้อยแล้ว จากลักษณะของการเสวยที่ทรงกระทำปั้นข้าว และ “ข้าวปายาสทั้งหมดก็กลิ้งไปประดิษฐานอยู่ในถาดเหมือนน้ำกลิ้งจากใบบัว” อีกทั้งมีข้อความว่า “ข้าวปายาสที่ไม่แข้นแข็ง” จึงทำให้พอพิจารณาได้ว่าข้าวมธุปายาสไม่ใช่อาหารที่แข็งและเหลวนัก พอจะกลิ้งไปได้เหมือนน้ำกลิ้งจากใบบัว และยังได้ทราบอีกว่าข้าวมธุปายาสทำมาจากนมโคและในการปรุงต้องใช้ความร้อน

อรรถกถาฉบับดังกล่าวได้อธิบายคำว่า มธุปายาส ที่ปรากฏแห่งเดียวในพระไตรปิฎกบาลีในเรื่องของพระโคสาลเถระว่าเป็น “ข้าวปายาส ที่เขาหุงด้วยน้ำผึ้งและน้ำตาลกรวด” และปรากฏคำอธิบายเพิ่มเติมจากพระไตรปิฎกบาลีอีก เช่น “ข้าวปายาสที่ปรุงด้วยเนยใส น้ำผึ้ง และน้ำอ้อย” ในอรรถกถาเรื่องติตถชาดก และ “ข้าวมธุปายาสที่ปรุงด้วยเนยใสเป็นต้น” และ “ข้าวปายาสผสมด้วยสัปปิ” ในอรรถกถาเรื่องสันถวชาดก เป็นต้น จะเห็นได้ว่าคำว่า ปายาส และ สัปปิปายาส น่าจะหมายถึงสิ่งเดียวกัน ต่างกันเพียงแค่วิธีการเพิ่มคำขยายเท่านั้น

พบว่าข้าวปายาสที่กล่าวถึงในคัมภีร์ทั้งหลายมีลักษณะแตกต่างกัน 3 ลักษณะ กล่าวคือ ข้าวปายาสที่ไม่เหลว ข้าวปายาสที่เหลว และข้าวปายาสที่มีรสเปรี้ยว ซึ่งพบว่า กล่าวถึงข้าวปายาสที่ไม่เหลวมากที่สุด

ข้าวปายาสที่ไม่เหลวพบในอรรถกถาพระสุตตันตปิฎกดังนี้
    “ข้าวปายาสไม่มีน้ำ” (นิรุทกปายาส) ในมหาวรรค ทีฆนิกาย
    “ข้าวมธุปายาสมีน้ำน้อย” (อปฺโปทก มธุปายาส) ในคาถาธรรมบท ขุททกนิกาย
    “ข้าวปายาสมีน้ำน้อย” (อปฺโปทกปายาส) ในอุทาน ขุททกนิกาย
    “ก้อนข้าวปายาส” (ปายาสปิณฺฑ) ในชาดก ขุททกนิกาย

ข้าวปายาสที่เหลวพบในอรรถกถาพระสุตตันตปิฎก มีการใช้คำว่า
    “ข้าวปายาสเปียก” (กิลินฺนปายาส) ใน คาถาธรรมบท ขุททกนิกาย และ
    “เอามือกอบคูถ กินและดื่มมูตรเหมือนคดข้าวปายาส” ในเถรคาถา ขุททกนิกาย

ส่วนข้าวปายาสที่เปรี้ยวพบในอรรถกถาพระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค มีการใช้คำว่า
    “ข้าวปายาสเปรี้ยว” (อมฺพิลปายาส)

บางแห่งในอรรถกถามีคำอธิบายถึงส่วนผสมของข้าวปายาสอีก ดังนี้
    “ข้าวปายาสทำด้วยแป้ง” ในปาฏิกวรรค ทีฆนิกาย
    “ข้าวปายาสอย่างดี ปรุงด้วยเนยใสน้ำผึ้งและน้ำตาลกรวด” ในมหาวรรค ทีฆนิกาย
    “จัดแจงข้าวปายาสด้วยน้ำนมไม่ผสมน้ำ ด้วยข้าวสารแห่งข้าวสาลีที่ตนฉีกท้องข้าวสาลี ในที่นาประมาณ 8 กรีส จึงใส่น้ำผึ้ง เนยใส น้ำตาลกรวดเป็นต้นในข้าวปายาสนั้น” ในเถรคาถา ขุททกนิกาย
    “เนยใส น้ำผึ้ง น้ำตาลกรวด ข้าวสารและนมสด...นางเห็นสิ่งเหล่านั้นก็ดีใจว่า เราประสงค์จะถวายทาน และเราก็ได้ไทยธรรมนี้แล้ว ในวันที่สอง ก็จัดทานปรุงมธุปายาสน้ำน้อย” ในวิมานวัตถุ ขุททกนิกาย
    “ข้าวปายาสที่ปรุงด้วยของที่เจือด้วยเนยใสใหม่ น้ำผึ้งสุกและน้ำตาลกรวด” ในชาดก ขุททกนิกาย

@@@@@@@

ดังแสดงมานี้ จึงพอสรุปได้ว่าข้าวปายาสหรือที่นิยมเรียกว่ามธุปายาส จะประกอบด้วย ข้าว อาจจะเป็นข้าวสาลีหรือข้าวชนิดใด ไม่ได้ระบุไว้แน่ชัด และมี น้ำนม เนยใส น้ำตาลกรวด น้ำผึ้ง เตรียมขึ้นด้วยวิธีหุงต้ม มีลักษณะที่ไม่แข็งและไม่เหลวมาก สามารถที่จะปั้นเป็นก้อนได้

พระไตรปิฎกบาลีภาษาไทยฉบับอื่นพบว่า มีการแปลคำว่า ปายาส เป็น มธุปายาส เช่น ในพระไตรปิฎกภาษาไทยฉบับหลวง กรมการศาสนา พุทธศักราช 2521 และ พระไตรปิฎกภาษาไทยฉบับสังคายนาในพระบรมราชูปถัมภ์ พุทธศักราช 2530 เป็นต้น ในพุทธประวัติภาษาไทยก็กล่าวถึงสิ่งนี้ด้วยคำว่า ข้าวมธุปายาส นั่นเป็นเหตุที่ทำให้พุทธศาสนิกชนชาวไทยคุ้นเคยอาหารชนิดนี้ในชื่อว่า ข้าวมธุปายาส

ชาวพุทธในสังคมไทย มีประเพณีการกวนข้าวทิพย์ในช่วงวันวิสาขบูชา แล้วนิยมเรียกว่า ข้าวมธุปายาส ข้าวทิพย์มีส่วนผสมคือ ข้าว นม น้ำมันพืช น้ำผึ้ง น้ำอ้อย น้ำตาลกรวด น้ำตาลหม้อ ข้าวตอก ข้าวเม่า ถั่ว งา ลูกเดือย เมล็ดแตง เมล็ดบัว มะพร้าวแก่ มะพร้าวอ่อน ผลไม้สด ผลไม้แห้ง ผู้ที่กวนต้องเป็นสาวพรหมจารี นุ่งขาวห่มขาว ข้าวทิพย์มีรสหวาน มีสีน้ำตาล ลักษณะคล้ายกาละแม ลักษณะของข้าวทิพย์ดังกล่าวจึงแตกต่างจากข้าวมธุปายาสที่ปรากฏในพุทธประวัติ ข้าวทิพย์ไม่ได้เน้นรสของนมซึ่งเป็นส่วนผสมหลักของข้าวปายาส

ในหนังสือพุทธประวัติที่เขียนด้วยภาษาฮินดี ภาษาราชการที่ประเทศอินเดียใช้สื่อสารทั่วไปในปัจจุบันเมื่อกล่าวถึงอาหารที่พระพุทธเจ้าเสวยก่อนการตรัสรู้ จะใช้คำว่า ขีร ซึ่งเป็นขนมหวานชนิดหนึ่งที่ยังนิยมรับประทานทั่วไปในอินเดีย ทำจากข้าวหุงด้วยน้ำนม ใส่น้ำตาล ใส่เครื่องเทศและส่วนผสมอื่น ๆ มี กระวาน หญ้าฝรั่น อัลมอนด์ เม็ดมะม่วงหิมพานต์ เป็นต้น อาจใส่ ฆี(घी Ghee ) คือเนยใสด้วยก็ได้ เตรียมขึ้นโดยนำส่วนผสมทั้งหมดมาต้มแล้วกวนให้ข้นพอประมาณตามแต่ความต้องการ ลักษณะของขนมขีร คล้ายคลึงจนน่าเชื่อว่า ขีรและปายาส อาจเป็นอาหารชนิดเดียวกัน

หากถือตามนัยนี้ ก็อาจกล่าวได้ว่าข้าวมธุปายาสคือส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมอินเดียที่รักษาอัตลักษณ์มาอย่างยาวนานในการให้ความสำคัญแก่น้ำนม อาหารส่วนใหญ่ในอินเดียล้วนมีน้ำนมเป็นส่วนผสมสำคัญ จาก ‘ข้าวมธุปายาส’ หรือ ‘ปายาส’ อาหารในพุทธประวัติ สู่ ‘ขีร’ ขนมหวานที่เรียบง่ายแต่น่าเย้ายวน ผ่านกาลเวลาเนิ่นนานมากว่าสองพันปี ความหอมหวานของข้าวที่หุงด้วยน้ำนมยังไม่จืดจางหายไปจากแผ่นดินอินเดีย ดินแดนแห่งอารยธรรมเก่าแก่แห่งหนึ่งในโลก






Thank to : https://mgronline.com/daily/detail/9610000032227
เผยแพร่: 1 เม.ย. 2561 12:29 | โดย : อาจารย์กิตติพงศ์ บุญเกิด และนางสาวภัคจิรา ธรรมมานุธรรม สาขาวิชาภาษาเอเชียใต้ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
17  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เกร็ดน่ารู้เกี่ยวกับ ข้าวมธุปายาส หรือ ข้าวทิพย์ เมื่อ: พฤษภาคม 22, 2024, 05:46:04 am
.



เกร็ดน่ารู้เกี่ยวกับ ข้าวมธุปายาส หรือ ข้าวทิพย์



 :25: :25: :25:

การกวนข้าวสำมะปิ หรือ ข้าวทิพย์ หรือ ข้าวมธุปายาส

เป็นอีกประเพณีหนึ่งที่จะทำในงานประเพณีออกพรรษาตามความเชื่อของชาวอีสาน ซึ่งได้ปฏิบัติต่อเนื่องมาเป็นประจำทุกปี

ข้าวสำมะปิ หรือข้าวทิพย์ ในพุทธประวัติเรียกว่า ข้าวมธุปายาส เป็นข้าวทิพย์ที่นางสุชาดา บุตรีกฏุมพี ในสมัยพุทธกาล จัดปรุงขึ้นแล้วนำไปถวายพระมหาบุรุษก่อนที่จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งหลังจากพระองค์ได้เสวยข้าวมธุปายาสของนางสุชาดา ก็ได้ทรงบรรลุอภิสัมโพธิญาณในย่ำรุ่งของคืนนั้นเอง

เหตุนี้ ชาวบ้านจึงเชื่อว่าข้าวมธุปายาสเป็นอาหารทิพย์ช่วยให้สมองดี เกิดปัญญาแก่ผู้บริโภค



ที่มา : Tnews https://www.tnews.co.th/religion/420474/

 
จุดเด่นของข้าวมธุปายาส

จากประวัติความเป็นมาและกรรมวิธีในการหุงข้าวมธุปายาส ที่พรรณนามาทั้งหมดจึงสรุปมูลเหตะที่ชาวพุทธทั้งหลายกล่าวยกย่อง "มธุปายาส" ว่าเป็น "ข้าวทิพย์" ได้ 3 ประการคือ

   1. เป็นของที่มีรสอันโอชะล้ำเลิศและกระทำได้ยากผู้ที่จะสามารถปรุงขึ้นได้ ต้องอาศัยบารมี
   2. เป็นของที่ปรุงขึ้นถวายแด่ผู้มีบุญญาธิการ ผู้ควรสักการะบูชา ปรุงขึ้นเป็นการเฉพาะ เช่น เพื่อเป็นเครื่องสังเวยต่อเทพยดา เป็นต้น รวมความก็คือ ทั้งผู้ปรุงและผู้รับต่างต้องมีบุญบารมีมากจึงจะกระทำได้
   3. เป็นอาหารที่พระพุทธเจ้าทรงเสวยแล้วสามารถตรัสรู้บรรลุอนุตตรสัมโพธิญาณได้

ที่มาของข้าวทิพย์ หรือ ข้าวมธุปายาส ครั้งพุทธกาล

ข้าวทิพย์ หมายถึง อาหารวิเศษ สำหรับถวายเทวดา ทำจากอาหาร 108 อย่าง เช่น น้ำนมข้าว ข้าวสาลีเกษตรสาคู เผือก มัน นม เนย ผักผลไม้ มะพร้าว น้ำอ้อย ฯลฯ นำมาบดจนเป็นแป้ง ผสมในน้ำกะทิกรองเอาแต่น้ำ ใส่น้ำตาล แล้วนำมากวนบนไฟอ่อนๆ จึงเรียกว่า "ประเพณีกวนข้าวทิพย์”
 
ข้าวมธุปายาส เป็นข้าว ที่หุงด้วยน้ำนม อย่างดี ที่นางสุชาดา ธิดาของเศรษฐีหมู่บ้านเสนานิคม ได้นำ ไปบวงสรวงเทพยดาที่ใต้ต้นนิโครธ (ต้นไทรใหญ่) ในวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ได้พบพระพุทธองค์ ประทับอยู่ใต้ต้นนิโครธเข้าใจว่าเป็นเทพยดา จึงได้ข้าวมธุปายาสไปถวาย
 
เมื่อพระพุทธองค์ทรงเสวยเสร็จแล้ว แล้วนางได้กล่าวว่า
    "ขอให้พระองค์ จงประสพความสำเร็จ ในสิ่งที่พระองค์ ทรงประสงค์ เช่นเดียวกับที่ดิฉัน ได้ประสพความสำเร็จ ในสิ่งที่ดิฉัน ประสงค์แล้ว เถิดเจ้าข้า”
 
ดังนี้. พระองค์ทรงรับ บิณฑบาตนั้นแล้ว, ปั้นก้อนข้าวเป็น 49 ก้อน แล้วฉันจนหมด. อาหารมื้อนี้เอง เป็น อาหารมื้อก่อนการตรัสรู้ เป็นสมเด็จพระสัมมา สัมพุทธเจ้า.
 
โดยได้ทรงนำถาดทองที่ใส่ข้าวมธุปายาสนั้นไปลอยน้ำ และทรงอธิษฐานว่า ถ้าหากพระองค์จะได้ตรัสรู้ก็ขอให้ถาดทองนั้นลอยทวนน้ำขึ้นไป เมื่อพระองค์ทรงวางถาดลงในน้ำ ก็ปรากฏว่า ถาดทองลอยทวนน้ำขึ้นเหนือน้ำดังคำอธิฐาน ซึ่งพระองค์ทรงถือว่าภัตตาหารมื้อนั้นได้มีส่วนทำให้พระองค์ได้สำเร็จและตรัสรู้อริยสัจ 4 ได้

 

ที่มาภาพ : http://learn2learning.blogspot.com/2014/07/8.html


ประเพณีการกวน “ข้าวสำมะปิ” หรือกวนข้าวทิพย์ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11

การกวนข้าวสำมะปิในปัจจุบันนิยมทำกันในช่วงก่อนวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ซึ่งเป็นช่วงก่อนออกพรรษา โดยแต่ก่อนจะใช้วัดเป็นสถานที่กวนข้าวสำมะปิ เพราะว่าวัดเป็นศูนย์รวมจิตใจของพุทธศาสนิกชนชาวไทย

พิธีกวนข้าวทิพย์ จะเริ่มก่อนวันวิสาขบูชา วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 เริ่มต้นด้วยพิธีพราหมณ์ ตั้งบายศรีบวงสรวงเทพยดาเครื่องประกอบในการตั้งบายศรี มีไตรจีวร 1 ชุด และถาดใส่อาหารมีข้าว ไข่ ขนมต้มแดง ขนมต้มขาว และผลไม้ พราหมณ์สวดชุมนุมเทวดา
 
แล้วเริ่มพิธีกวนข้าวทิพย์ โดยการนำเอาข้าวที่ยังเป็นน้ำนม (ข้าวที่เพิ่งออกรวงใหม่ ที่เมล็ดยังเป็นแป้ง นำมาเอาเปลือกออก) สิ่งของเครื่องปรุงข้าวทิพย์ คือมงคล 9 สิ่ง ได้แก่ นม เนย ถั่ว งา น้ำอ้อย น้ำตาล น้ำผึ้ง และผลไม้ต่าง ๆ ใส่ร่วมกันลงไป แล้วกวนให้ข้าวสุกจนเหนียว
 
การประกอบพิธี

พิธีจะเริ่มประมาณ 4 โมงเย็นของวันขึ้น 14 ค่ำ เดือน 11 เริ่มด้วยพระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์
 
เด็กหญิงพรหมจารีรับศีล 8 เมื่อพระเจริญพระพุทธมนต์ถึงบทอิติปิโส เด็กหญิงจะลุกไปยังบริเวณพิธีกับผู้ชำนาญการ ส่วนคนอื่นจะเข้าไปไม่ได้ เด็กหญิงจะเป็นผู้เริ่มทำทุกอย่าง ตั้งแต่ก่อไฟ ยกกระทะขึ้นตั้งเตาไฟ แล้วเริ่มกวน กวนไปประมาณ 10 นาที ก็เป็นการเสร็จพิธีการ
 
หลังจากนั้นชาวบ้านจะช่วยกันกวนโดยผลัดกันตลอดคืน บางวัดเสร็จตี 3 ตี 4 จึงเป็นวันที่สนุกสนานของหนุ่มสาวอีกวันหนึ่ง เพราะจะช่วยกันมากวนข้าวทิพย์ มีการกระเซ้าเย้าแหย่กันเพื่อไม่ให้ง่วงนอน นับเป็นกำลังสำคัญในการกวน ส่วนคนแก่คนเฒ่าส่วนมากจะนอนค้างที่วัด วันรุ่งขึ้นเป็นวันพระมีการทำบุญตักบาตรเป็นการเอิกเกริกถวายข้าวทิพย์แด่พระภิกษุสงฆ์ และแจกจ่ายแบ่งปันกัน หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส อิ่มบุญกันทั่วหน้า เป็นอันเสร็จพิธี

แต่ปัจจุบันความเจริญได้เข้ามามีอิทธิพล ทำให้พิธีกรรมต่าง ๆ เหล่านี้หายไป ชาวบ้านได้ถือเอาความสะดวกเป็นหลัก








Thank to : https://www.trueplookpanya.com/dhamma/content/84809
Posted By มหัทธโน | 28 ก.ย. 63

แหล่งข้อมูล
- หนึ่งในประเพณีออกพรรษา กิน “ข้าวสำมะปิ” หรือ “ข้าวทิพย์” ช่วยให้สมองดี โดย ผู้จัดการออนไลน์
- ประเพณีกวนข้าวทิพย์ ข้าวมธุปายาส และการตักบาตรเทโวโรหณะ ในวันออกพรรษา
- พิธีกวนข้าวทิพย์เนื่องในวันออกพรรษา โดย ไทอีสาน
18  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / “คลาสภาษาอังกฤษ” สมัยรัชกาลที่ 5 เรียนกันอย่างไร.? เมื่อคนสอนพูดไทยไม่ได้ เมื่อ: พฤษภาคม 21, 2024, 06:29:53 am


บรรยากาศในห้องเรียนที่จัดการศึกษาวิทยาการสมัยใหม่ในสมัยรัชกาลที่ 5


“คลาสภาษาอังกฤษ” สมัยรัชกาลที่ 5 เรียนกันอย่างไร? เมื่อคนสอนพูดไทยไม่ได้ คนเรียนพูดอังกฤษไม่เป็น

หลายคนน่าจะพอคุ้นชื่อ แอนนา เลียวโนเวนส์ หรือ “แหม่มแอนนา” ครูสอนภาษาอังกฤษสมัยรัชกาลที่ 4 กันบ้าง ยุคนั้นผู้เรียนส่วนใหญ่คือเจ้าจอมและพระราชธิดาในพระองค์ พอมาถึงสมัยรัชกาลที่ 5 ด้วยโลกที่เปลี่ยนไปทำให้ทรงมีพระราชประสงค์ฝึกหัดคนเพื่อดูแลกิจการบ้านเมือง หนึ่งในนั้นคือต้องเรียนรู้ภาษาอังกฤษ จึงทรงตั้งโรงเรียนภาษาอังกฤษในพระบรมมหาราชวังขึ้น แล้ว คลาสภาษาอังกฤษ สมัยรัชกาลที่ 5 เรียนกันอย่างไร ในเมื่อคนสอนพูดไทยไม่ได้ ส่วนคนเรียนก็พูดอังกฤษไม่เป็น

ดร. อาวุธ ธีระเอก เล่าในหนังสือ “ภาษาเจ้า ภาษานาย การเมืองเบื้องหลังการศึกษาภาษาอังกฤษ สมัยรัชกาลที่ ๕” (สำนักพิมพ์มติชน) ตอนหนึ่งว่า

คลาสภาษาอังกฤษ สมัยรัชกาลที่ 5 เริ่มเมื่อราว พ.ศ. 2415 เมื่อ ฟรานซิส จอร์ช แพทเทอร์สัน ครูชาวอังกฤษเดินทางมาสยาม เพื่อเยี่ยมน้าชายคือ หลวงรัถยาภิบาลบัญชา (กัปตันเอม) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงโปรดเกล้าฯ ให้จ้างไว้เป็นครู และให้ตั้งโรงเรียนภาษาอังกฤษคู่กับโรงเรียนไทยที่มีอยู่เดิม

โรงเรียนภาษาอังกฤษนี้จัดสอนเจ้านายช่วงเช้า และสอนทหารมหาดเล็กช่วงบ่าย ตอนแรกก็คึกคัก มีนักเรียนมาเรียนกว่า 50 คน แต่ต่อมาส่วนใหญ่เลิกเรียนกลางคัน เจ้านายที่อายุมากหน่อยก็ออกไปทำราชการ ชั้นรองลงมาก็มักถึงเวลาผนวชเป็นสามเณร ส่วนทหารมหาดเล็กก็ต้องเรียนวิชาอื่นมาก จึงมาเรียนภาษาอังกฤษได้น้อยลง

ปีถัดมา นักเรียนจึงเหลือไม่ถึงครึ่ง และเริ่มลดลงเรื่อยๆ ซ้ำยังไม่มีนักเรียนใหม่มาเพิ่ม เมื่อถึงปีที่สามจึงเหลือเพียงนักเรียนเจ้านาย 5 พระองค์ และย้ายที่เรียนไปยัง “หอนิเพธพิทยา” ที่ประทับของสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช จากนั้นโรงเรียนก็เป็นอันเลิกไป เมื่อครูแพทเทอร์สันเดินทางกลับหลังครบสัญญา 3 ปี

@@@@@@@

คลาสภาษาอังกฤษ สมัยรัชกาลที่ 5 เรียนกันอย่างไร ในเมื่อต่างฝ่ายต่างพูดภาษาของอีกฝ่ายไม่เป็น

คำตอบคือ สมัยนั้น พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนเรศรวรฤทธิ์ เจ้านายชั้นผู้ใหญ่ที่ทรงทันเรียนภาษาอังกฤษกับ “แหม่มแอนนา” ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทำหน้าที่ล่าม พอแปลคำง่ายๆ ได้บ้าง คำศัพท์ที่เกินความรู้ก็ใช้พจนานุกรมที่เรียกว่า “หนังสืออภิธานศัพท์” เข้าช่วย

ผู้สอนใช้หนังสืออภิธานศัพท์ของหมอแมคฟาร์แลนด์ ที่แปลศัพท์ภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทย โดยชี้ให้นักเรียนดูความหมายในภาษาไทย ส่วนผู้เรียนใช้หนังสือ “สัพพะจะนะภาษาไทย” ของสังฆราชปัลเลกัวซ์ ตีพิมพ์ขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2397 (สมัยรัชกาลที่ 4) แปลคำภาษาไทยเป็นคำศัพท์ภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศส และภาษาละติน

ส่วนเนื้อหาและวิธีการสอน ผู้สอนสอนทั้งภาษาและเนื้อหาวิชาควบคู่กันไป โดยใช้หนังสือและแผนที่ฝรั่งเป็นหลัก วิชาเลขก็ใช้มาตราอังกฤษ ทั้งยังสอนให้รู้ความเป็นไปในต่างประเทศ และสถานการณ์บ้านเมืองต่างๆ เช่น เยอรมนีทำสงครามชนะฝรั่งเศส การเปลี่ยนระบอบการปกครองของฝรั่งเศสจากราชาธิปไตยเป็นประชาธิปไตย ฯลฯ

สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส หนึ่งในผู้ที่ทรงเล่าเรียนกับครูแพทเทอร์สัน เห็นว่าวิธีดังกล่าวไม่เพียงแต่ให้หัดแปลความ แต่ให้หัดพูด หัดอ่าน แนะให้เข้าใจความ เป็นประโยชน์ต่อพระองค์อย่างยิ่ง ทำให้ทรงใช้งานภาษาอังกฤษได้จริง

ตอนหลังเมื่อต่างฝ่ายต่างเรียนรู้ภาษาของกันและกันมากขึ้น การใช้พจนานุกรมช่วยในการสื่อสารระหว่างกันก็ลดน้อยลงไป


อ่านเพิ่มเติม :-

    • แหม่มแอนนา เล่าเรื่องเจ้าจอมในพระปิ่นเกล้าฯ ส่วนใหญ่เป็นหญิงลาว ชี้ สวย-ละมุนกว่าไทย
    • ไฉน “แหม่มแอนนา” ปลื้ม “พระองค์เจ้ายิ่งเยาวลักษณ์” พระราชธิดาผู้สิ้นชีพในคุกหลวง
    • “ฮาเร็ม” ของ “เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์” จากบันทึกแหม่มแอนนา จริงหรือที่สภาพ “น่าเวทนานัก”






ขอขอบคุณ :-
ผู้เขียน : กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม
เผยแพร่ : วันจันทร์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ.2567
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรก : เมื่อ 20 พฤษภาคม 2567
URL : https://www.silpa-mag.com/history/article_132784
อ้างอิง : ดร. อาวุธ ธีระเอก. ภาษาเจ้า ภาษานาย การเมืองเบื้องหลังการศึกษาภาษาอังกฤษ สมัยรัชกาลที่ ๕. กรุงเทพฯ :มติชน, 2560
19  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / “วัดสามพระยา” บางขุนพรหม สามพระยานี้มีใครบ้าง.? เมื่อ: พฤษภาคม 21, 2024, 06:15:58 am
.

พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ 3 องค์ที่วัดสามพระยา (ภาพ : ข่าวสดออนไลน์)


“วัดสามพระยา” บางขุนพรหม สามพระยานี้มีใครบ้าง.?

วัดสามพระยา ตั้งอยู่ย่าน “บางขุนพรหม” กรุงเทพมหานคร เป็นวัดที่ประดิษฐานพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ 3 องค์ ที่พุทธศาสนิกชนนิยมไปกราบไหว้ คือ หลวงพ่อพระพุทธเกสร หลวงพ่อพระนั่ง และหลวงพ่อพระนอน วัดนี้มีประวัติความเป็นมายาวนานนับร้อยปี สร้างโดยขุนนาง 3 พี่น้อง ที่มีตำแหน่งเป็น “พระยา” แล้ว 3 พระยาที่ว่านี้มีใครบ้าง?

วัดสามพระยาเดิมเป็นวัดราษฎร์ชื่อ “วัดขุนพรหม” ตั้งตามชื่อ ขุนพรหมรักษา (สารท) ตำแหน่งปลัดกรมทหารในขวา ขุนนางเชื้อสายมอญ ซึ่งเสียชีวิตด้วยไข้ป่าขณะรับราชการสร้างมณฑปพระพุทธบาท สระบุรี ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช

หลังขุนพรหมรักษาสิ้นไปแล้ว หลวงวิสูตรโยธามาตย (ตรุษ) ตำแหน่งในกรมพระตำรวจ ผู้เป็นพี่ชาย จึงยกบ้านและที่ดินของขุนพรหมรักษาสร้างเป็นวัด เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้น้องชาย ให้ชื่อว่า วัดขุนพรหม บริเวณที่ตั้งวัดนี้ภายหลังเรียกกันว่า บางขุนพรหม

@@@@@@@

เมื่อถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว วัดขุนพรหมอยู่ในสภาพชำรุดทรุดโทรม ลูกหลานของขุนพรหมรักษา ได้แก่
   - พระยาราชสุภาวดี (ขุนทอง) ตำแหน่งเจ้ากรมพระสุรัสวดีกลาง
   - พระยาราชนิกุล (ทองคำ) ตำแหน่งปลัดทูลฉลองกระทรวงมหาดไทย และ
   - พระยาเทพอรชุน (ทองห่อ) ตำแหน่งปลัดทูลฉลองกรมพระกลาโหม ได้ร่วมใจกันบูรณปฏิสังขรณ์วัดขุนพรหมขึ้นใหม่

เมื่อบูรณปฏิสังขรณ์เสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้ว ทั้งสามจึงพร้อมใจน้อมเกล้าฯ ถวายรัชกาลที่ 3 ซึ่งพระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ รับเป็นพระอารามหลวงชั้นตรีชนิดวรวิหาร และโปรดพระราชทานนามเป็นอนุสรณ์แก่ผู้บูรณปฏิสังขรณ์ คือ พระยาทั้ง 3 ท่าน ว่า “วัดสามพระยา”


อ่านเพิ่มเติม :-

   • ที่มาชื่อวัดชนะสงคราม และเรื่องเล่า “วังหน้าพระยาเสือ” ถวายเสื้อยันต์บูชาพระ
   • “พระแสงราวเทียน” ของ “วังหน้าพระยาเสือ” สมบัติชาติที่สูญหาย คืนสู่วัดมหาธาตุฯ
   • “วัดชัยชนะสงคราม” เจ้าพระยาบดินทรเดชา ขุนพลคู่พระทัยรัชกาลที่ 3 สร้างเพราะชนะสงครามอะไร






ขอขอบคุณ :-
ผู้เขียน : กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม
เผยแพร่ : วันจันทร์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ.2567
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรก : เมื่อ 20 พฤษภาคม 2567
URL : https://www.silpa-mag.com/history/article_132790

อ้างอิง :-
- ศันสนีย์ วีระศิลป์ชัย. ชื่อบ้านนามเมืองในกรุงเทพฯ. พิมพ์ครั้งที่ 7. กรุงเทพฯ : มติชน, 2551
- ข่าวสดออนไลน์. ขอพร “3 พระประธาน” มงคล-วัดสามพระยา.
20  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ฮือฮา โบสถ์วัดดังเมืองตรัง ทาสีธงชาติไทยทั้งหลัง สุดแปลก เจ้าอาวาสเผยเหตุผล เมื่อ: พฤษภาคม 21, 2024, 06:10:23 am
.



ฮือฮา โบสถ์วัดดังเมืองตรัง ทาสีธงชาติไทยทั้งหลัง สุดแปลก เจ้าอาวาสเผยเหตุผล

ฮือฮา โบสถ์วัดดังเมืองตรัง ทาสีธงชาติไทยทั้งหลัง สุดแปลก เจ้าอาวาสเผยเหตุผล เพื่อเตือนใจอนุชนรุ่นหลังได้รำลึกถึงบรรพบุรุษไทย ดึงคนเข้าวัด และเป็นโบสถ์เพียงแห่งเดียวใน จ.ตรัง

วันที่ 20 พ.ค.2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่วัดควนอินทนินงาม ริมถนนสายตรัง-ย่านตาขาว หมู่ที่ 1 ต.ทุ่งกระบือ อ.ย่านตาขาว จ.ตรัง พระครูปลัดเริงชัย สุภโร เจ้าอาวาสวัดควนอินทนินงาม ผุดไอเดียการทาสีโบสถ์ทั้งหลังด้วยสีธงชาติไทย ทั้งสีแดง สีขาวและสีน้ำเงิน สื่อความหมายถึงความรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

และเพื่อเตือนใจให้อนุชนรุ่นหลังได้รำลึกถึงบรรพบุรุษไทย เป็นการปลุกใจให้รักชาติ และยังสามารถดึงคนเข้าวัดด้วยความโดดเด่นที่ไม่เหมือนใคร ทำนักท่องเที่ยวที่ผ่านไป-มาบนถนนสายดังกล่าว ต่างรู้สึกประทับใจ และแวะเวียนเข้ามาถ่ายภาพโพสต์ลงโซเชียลและเพจต่างๆ กันอย่างต่อเนื่อง




สำหรับโบสถ์หลังนี้ สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 2555 มีขนาดความยาว 100 เมตร ความกว้าง 30 เมตร สูง 2 ชั้น ใช้เงินก่อสร้างไปแล้วกว่า 20 ล้านบาท แต่ก่อสร้างแล้วเสร็จไปประมาณ 50 % ยังไม่ได้ติดตั้งระบบไฟฟ้าและน้ำประปา เนื่องจากวัสดุก่อสร้างมีราคาแพงขึ้น

ภายในเป็นลานกิจกรรม สำหรับให้เยาวชนและประชาชน ได้ใช้ในการประกอบพิธีต่าง ๆ และมีพระประธานปางมารสะดุ้งองค์ใหญ่ที่สุดในภาคใต้ น้ำหนัก 80 ตัน ที่มีดวงตาเป็นนิลสีดำประดิษฐานอยู่ส่วนบริเวณรอบโบสถ์จะมีการสร้างน้ำตก ให้น้ำไหลเวียนได้รอบโบสถ์ เพื่อให้เป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจของชาวบ้านและนักท่องเที่ยวได้อีกทางหนึ่งด้วย






พร้อมกับการปลูกต้นไม้เพื่อให้ร่มเงาแก่คนและสัตว์ เช่น กระรอก กระแต นก และหมาแมว โดยผู้มีจิตศรัทธาสามารถร่วมบริจาคได้ที่ Fb วัดควนอินทนินงาม หรือที่พระครูปลัดเริงชัย หมายเลขโทรศัพท์ 085-8892403

ด้านพระครูปลัดเริงชัย สุภโร เจ้าอาวาสวัดควนอินทนินงาม กล่าวว่า ที่ตรังไม่มีวัดไหนมีโบสถ์สีธงชาติเต็มรูปแบบเหมือนของทางวัด ที่ตรังคงจะไม่มี ถ้ามีก็มีเฉพาะหลังคา ซึ่งของเราเป็นชั้นแบบสีธงชาติเลย ส่วนใครสนใจให้เปิดติดตามได้ในเน็ตซึ่งอาจจะขึ้นเบอร์วัด ส่วนหมายเลขโทรศัพท์ของอาตมาคือ 085-8892403





ขอบคุณ : https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_8242208
20 พ.ค. 2567 - 15:35 น
21  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / “งานวิสาขบูชาโลก ปี 67” ผู้นำศาสนาและพุทธศาสนิกชนจาก 73 ประเทศร่วมกิจกรรม เมื่อ: พฤษภาคม 20, 2024, 06:41:43 am
.



“งานวิสาขบูชาโลก ปี 67” ผู้นำศาสนาและพุทธศาสนิกชนจาก 73 ประเทศร่วมกิจกรรม

“งานวิสาขบูชาโลก ปี 67” ผู้นำศาสนาและพุทธศาสนิกชนจาก 73 ประเทศ กว่า 3,500 รูป/คน เดินทางเข้าร่วมกิจกรรมวิสาขบูชานานาชาติ วันสำคัญสากลของโลก ครั้งที่ 19

 “งานวิสาขบูชาโลก ปี 67”  รัฐบาลพร้อมจัด “งานวิสาขบูชาโลก ปี 67” จัดกิจกรรมวิสาขบูชานานาชาติ วันสำคัญสากลโลก ครั้งที่ 19 เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 72 พรรษา ระหว่างวันที่ 19-20 พฤษภาคม 2567

ล่าสุดวันนี้ 19 พฤษภาคม 2567 นายพิชิต ชื่นบาน รัฐมนตรีประจำสำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เป็นตัวแทนรัฐบาลไทยกล่าวต้อนรับผู้นำศาสนาและพุทธศาสนิกชนจาก 73 ประเทศ กว่า 3500 รูป/คน ซึ่งเดินทางมาเข้าร่วมกิจกรรมวิสาขบูชานานาชาติ วันสำคัญสากลของโลก ครั้งที่ 19 ที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา




นายพิชิตกล่าวว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับวันวิสาขบูชา ซึ่งเป็นวันสำคัญสากลของโลก พร้อมสนับสนุนในทุกๆด้านอย่างเต็มที่เพื่อให้การจัดงานในครั้งนี้ยิ่งใหญ่สมกับที่ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางพุทธศาสนาโลก โดยในปีนี้คณะสงฆ์ สมาคมสภาสากลวันวิสาขบูชาโลก มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหามกุฎราชวิทยาลัย และภาคีเครือข่าย

มีฉันทามติร่วมกันจัดงานวันวิสาขบูชาโลกเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 72 พรรษา ในวันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2567 ภายใต้หัวข้อ “พุทธวิถีสู่การสร้างความไว้วางใจ และความสามัคคี”

    จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่า งานนี้จะสร้างความร่วมมืออันดีระหว่างพุทธศาสนิกชนและองค์กรชาวพุทธ ตั้งแต่ระดับประเทศจนถึงระดับนานาชาติ.





Thank to : https://www.thansettakij.com/news/general-news/596444
ฐานเศรษฐกิจ | 19 พ.ค. 2567 | 16:40 น.
22  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / แห่สาธุ "องค์ท้าววิรูปักษ์" หนึ่งเดียวระยอง สูง 15 ม. สองมือถือ "สิ่งสำคัญ" มีมน เมื่อ: พฤษภาคม 20, 2024, 06:15:14 am
.



แห่สาธุ "องค์ท้าววิรูปักษ์" หนึ่งเดียวระยอง สูง 15 ม. สองมือถือ "สิ่งสำคัญ" มีมนต์ขลัง

ศูนย์รวมความศรัทธา องค์ท้าววิรูปักษ์ สูง 15 เมตร หนึ่งเดียวในจังหวัดระยอง ทำพิธีพุทธาภิเษกสุดยิ่งใหญ่

วันที่ 18 พฤษภาคม 2567 เมื่อเวลา 17.00 น. ที่วัดหนองตะแบก ต.ตาขัน อ.บ้านค่าย จ.ระยอง พระเกจิจากวัดต่างๆ ในจังหวัดระยอง รวมถึงพุทธสานิกชน ได้เดินทางมาร่วมพิธี เบิกเนตร องค์ท้าววิรูปักษ์ สูง 15 เมตร หนึ่งเดียวในจังหวัดระยอง

บริเวณปรัมพิธี มีการจัดเรียง พานผลไม้ พวงมาลัยเครื่องเซ่นไหว้จัดไว้อย่างสวยงาม ด้านหน้าพุทธสานิกชนจุดธูป พร้อมกับท่องบทกราบไหว้ไม่ขาดสาย เมื่อมองไปเบื้องหน้าปรากฏ องค์ท้าววิรูปักษ์ สูง 15เมตร มือซ้ายถือไม้เท้ามีพญานาคพัน มือขวาถือลูกแก้ว ช่วงองค์เศียรมีพญานาคแผ่ปกป้องรักษา ดูแล้วมีมนต์ขลัง เมื่อพิธีเริ่มขึ้น มีการจุดประทัดเสียงดัง พระสวดมนต์เริ่มพิธี

พระครูสุรภัทร โพธิคุน เจ้าอาวาสวัดหนองตะแบก ให้สัมภาษณ์ว่าที่มาที่ไปที่ทางวัดได้สร้างองค์ท้าววิรูปักษ์นั้น แรกเริ่มมีญาติโยมมาทำบุญแล้วพอกลับไป ได้ไปปรากฏนิมิตรว่าที่วัดมีพญานาคปกครองอยู่ เมื่อนำนิมิตรไปปรึกษาร่างทรงจึงแนะนำว่าต้องสร้างองค์ท้าววิรูปักษ์ไว้ที่วัด เพราะองค์ท้าววิรูปักษ์กับพญานาคคือสิ่งคู่กัน

สำหรับ องค์ท้าววิรูปักษ์ สูง 15 เมตร เมื่อตรวจสอบภายในพื้นที่จังหวัดระยอง พบว่ายังไม่เคยสร้างที่ไหนมาก่อน ทำให้ที่วัดหนองตะแบกเป็นองค์แรกและองค์เดียวในจังหวัดระยอง หากท่านใดมีโอกาสขอเชิญแวะเวียนไป ขอพรได้ที่วัดหนองตะแบก อ.บ้านค่าย จ.ระยอง



ชมภาพทั้งหมดได้ที : https://www.sanook.com/news/9387782/gallery/





Thank to : https://www.sanook.com/news/9387782/
Sanook! Regional : สนับสนุนเนื้อหา | 19 พ.ค. 67 (13:48 น.)
23  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ขอพรองค์พญาเพชรภัทรนาคราชอย่างไร ให้ปังพลิกชีวิต เมื่อ: พฤษภาคม 20, 2024, 06:11:09 am
.



ขอพรองค์พญาเพชรภัทรนาคราชอย่างไร ให้ปังพลิกชีวิต

พญานาคที่เป็นองค์นาคาธิบดี ที่ทรงมีฤทธานุภาพสูงส่งให้คุณกับมนุษย์ได้อย่างน่าอัศจรรย์ หากใครรู้จักวิธีบูชาและขอพรอย่างถูกต้อง

องค์นาคราชที่เป็นหนึ่งในกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด 1 ใน 9 พระองค์ จริงๆในเมืองบาดาลมีกษัตริย์หลายพระองค์มากกว่า 9 แต่ที่ยิ่งใหญ่จริงๆ ที่มีพระบารมีสูง ทรงมีอยู่ 9 พระองค์ นาคาธิบดีเพชรภัทรนาคานาคราชเจ้าคือในทางอิทธิฤทธิ์แล้วพระองค์เป็นรองผู้อาวุโสทั้ง 4 คือ

    - องค์ปู่ภุชงค์นาคราช เป็นนาคราชประจำกายพ่อศิวะ
    - องค์มุจลินนาคราชเป็นพญานาคราชของเจ้าชายสิทธัตถะ ในภัทรกัปนี้เป็นองค์ที่ 4
    - องค์ศรีสุทโธนาคราชเป็นพญานาคประจำพระวรกายของท้าวสักกะหรือพระอินทร์
    - องค์ศรีสัตตนาคราช ราชาแห่งฝั่งลาวที่สร้างไว้ที่นครพนมที่เราไปกราบไหว้กัน เท่านั้น

นอกจากนี้พระองค์ยังมีความพิเศษกว่านาคราชอื่นๆ อย่างไร คือ เป็นพญานาค 9 เศียร มีพระวรกายสีทองมีเกร็ดเป็นแก้วใสดุจเพชรอัญมณี ไม่มีศาสตราวุธใดๆทำอันตรายพระวรกายท่านได้ เป็นองค์มหาจักรพรรดิ 1ใน 9 ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งนาคพิภพ 14 ชั้นบาดาล พระองค์มีแก้วดวงจิต แก้วจันทกานต์มีรัศมีที่กว้างไกลมากกว่าผู้อื่น, พระองค์เป็นบุตรขององค์อนันตนาคราช เกิดในตระกูลวิรูปักษ์โขนาคราช(ตาคือท้าววิรูปักษ์โขนาคราช

ซึ่งท่านเป็นเทวดานะ เทวดาที่ปกครองนาคราชพิภพ), พระองค์จุติเป็น โอปาติกะเทพ อยู่ในภูมิเทวดา(คือการเกิดแบบบารมีสูงสุด) กำเนิดจากเพชรนพรัตน์สร้อยพระศอ ของพระศิวะ มีความสามารถเก่งฉกาจระดับต้นๆทั้งสวรรค์และเมืองบาดาลรูปงามเพียบพร้อม (เรียกภาษามนุษย์ก็ รูปหล่อพ่อรวย ตัวเองก็รวย แถมยังเก่งมากความสามารถและบารมี โอ้ยอะไรจะครบเครื่องปานนี้)

@@@@@@@

พระองค์มีชายาทั้งหมด 6 พระองค์ด้วยกันองค์แรกคือพระนางการะเกด ซึ่งเป็นลูกสาวขององค์พระราชทานมาให้เป็นพระชายา แต่อยู่กันได้เพียง 1 สัปดาห์เพราะ พระนาง ขอลาไป บำเพ็ญศีลบารมี ซึ่งท่านก็เห็นดีด้วย เพราะพระองค์ก็มีใจศรัทธาในศาสนาอยู่แล้ว

องค์ที่ 2 พระนางสิรินาเทวีได้พระราชทานจากองค์อัมรินทร์ อยู่กันได้เพียงวาระหนึ่งก็ขอลาไปจำศีลที่สระอโนดาต

องค์ที่ 3 ชื่อพระนางนิรารุจีเป็นนาคี(คือสามัญชน) เหตุได้มาพบเพราะนางกำลังจะโดนครุฑจับกินแต่องค์เพชรภัทรได้เข้าไปช่วยไว้พระนางจึงถวายตัวเป็นบาตรบริจาริกา

องค์ที่ 4 ครีภัตราเทวีเป็นนางรำหลวงที่ท้าวสักกะ ประทานส่งพระนางมาช่วยงานองค์เพชรภัทร และได้เป็นพระชายาในที่สุด

องค์ที่ 5 เป็นกินรี ที่อาศัยแถบริมโขง เหตุเกิดเพราะกำลังโดนครุฑจับกินและพระองค์ก็ไปช่วยไว้ได้อีกเช่นกัน (คนนี้แหละคือชนวนขอเรื่องวุ่น นางแอบร้ายนะ มีวางแผนไว้แล้ว หาจังหวะสบโอกาสให้เจอครุฑและให้พระองค์มาเจอและช่วยนาง)

องค์ที่ 6 พระนางอัญญารินทร์ธสินีมหาเทวี องค์นี้เป็นองค์สุดท้ายและเป็นองค์ที่ปู่เพชรภัทรนาคราชทรงรักมากที่สุด รักด้วยใจเสน่หาและมั่นคงอย่างแท้จริง และเป็นธิดาของปู่ภุชงค์และแม่ย่าศรีปรางตาล


@@@@@@@

เหตุการณ์ชุลมุนวุ่นวายเพราะ 4 หญิง 1 ชายย่อมเกิดปัญหาและทำให้พระนางอัญญารินทร์ต้องเสียชีวิต และด้วยองค์เพชรภัทรนาคราชทรงมีใจรัก ในพระนางอัญญารินทร์จึงไม่รักใครอีก ขอออกไปทรงบำเพ็ญเพียรบารมี 500 ปี จนสำเร็จเป็นพระโสดาบันและตามหาดวงจิตของพระนางจนทุกวันนี้(รายละเอียดอื่นๆแอดจะมาเล่าให้ฟังในภายหลัง)

ดูความมีเสน่ห์ต้องตาต้องใจท้วมท้นเหลือเกิน ใครบูชาดีๆก็ได้สิ่งนี้ไปด้วย ผู้ใหญ่ก็เมตตาเอ็นดู ให้นู้นให้นี่ ให้กระทั่งพระธิดาอันเป็นที่รักของตนเองเพื่อมาเป็นชายา(ดูเอาเถอะ) ความสามารถ ความเก่งกาจก็มากขนาดที่ครุฑยังแพ้ แสดงว่าด้านความแคล้วคลาดปลอดภัยได้อีกแล้วหนึ่ง เพราะพระวรกายท่านเป็นแก้วเป็นเพชร สิ่งที่ไม่ดีจะเข้ามาทำร้ายไม่ได้ ผู้ที่บูชาท่านก็เช่นกันจะได้พรด้านนี้ด้วย ขอพรท่านในเรื่องนี้คุณไสย หมู่มารไม่สามารถทำอันตรายท่านได้ เรื่องเงินทอง โชคทรัพย์สิน ขาดเรื่องนี้ได้ยังไง เนื่องด้วยท่านเป็นกษัตริย์แห่งนาคพิภพเจ้าแห่งสมบัติใต้บาดาลผู้ที่ขอพรจะได้พรด้านนี้ด้วย

เรามาดูกันถึงเรื่องจะขอพรอย่างไรองค์ปู่เพชรภัทรนาคราชโปรดคนนิสัยอย่างไรปฏิบัติอย่างไรและจะมอบพรตามคำอธิษฐานให้สำเร็จดั่งใจกับบุคคลที่ปฏิบัติเช่นนั้น

คือท่านชอบคนที่รักษาศีลข้อ 3 อย่างเคร่งครัดเพราะท่านมีกรรมทางด้านความรักมีใจรักมั่นคงกับพระนางอัญญารินทร์ ใครก็ตามที่มีกรรมเรื่องความรักและคนที่รักษาศีลข้อ 3 และหมั่นทำนุบำรุงรักษาพระพุทธศาสนา และบูชาขอพรองค์เพชรภัทรนาคราชด้วยจิตศรัทธา มีโอกาสที่จะสมหวังเรื่องความรักสูงมาก เรื่องรักที่ไม่ดีจะไม่เข้ามายุ่ง ได้พบแต่รักที่ดี และสมหวัง

นอกจากนี้ ก่อนที่จะไปไหว้ขอพรท่าน ให้เราถือศีลกินมังสวิรัติ 3 วันเป็นอย่างน้อยก่อนไป เพื่อเป็นการชำระล้าง รักษาจิตใจให้บริสุทธิ์ ท่านชอบบบบบ แล้วพรที่ขอจะสมดั่งประสงค์ เน้นย้ำเรื่องความรัก(ต้องไม่เกินบารมีบุญที่เคยสร้างมาในอดีตและตนเองต้องรักษาการปฏิบัติตามที่แอดได้บอกไปข้างต้นด้วยนะ ถ้าทำไม่ได้แนะนำ บูชาองค์อื่นเลย ไม่เช่นนั้นนอกจากไม่ได้สิ่งที่ขอแล้วยังอาจจะโดนโทษจากท่านด้วย






Thank to : https://www.sanook.com/horoscope/279731/
Horosociety199 : สนับสนุนเนื้อหา | 18 พ.ค. 67 , (07:00 น.)
24  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / แม่น้ำเสมอด้วยตัณหาไม่มี : นตฺถิ ตณฺหาสมา นที เมื่อ: พฤษภาคม 19, 2024, 08:15:48 am
.



แม่น้ำเสมอด้วยตัณหาไม่มี  : นตฺถิ ตณฺหาสมา นที
โดย สมเด็จพระญาณสังวร วัดบวรนิเวศวิหาร

พุทธศาสนสุภาษิตบทหนึ่ง กล่าวไว้แปลความว่า “แม่น้ำเสมอด้วยตัณหาไม่มี” คือ ไม่มีแม่น้ำใดที่จะกว้างใหญ่ไพศาลปราศจากขอบเขตเสมอด้วยตัณหา

    ตัณหา คือ ความดิ้นรนทะยานอยาก แบ่งออกเป็นสาม คือ
    กามตัณหา ความดิ้นรนทะยานอยากไปในสิ่งที่น่าใคร่ น่าปรารถนาพอใจทั้งหลาย
    ภวตัณหา ความดิ้นรนทะยานอยากมี อยากเป็น
    วิภวตัณหา ความดิ้นรนทะยานอยากไม่มี ไม่เป็น

แม้พิจารณาตัณหาทั้งสามประการแล้วย่อมจะเห็นว่าครอบคลุมไปกว้างใหญ่ไพศาลหาขอบเขตไม่ได้จริงๆ ไม่มีเพียงความอยากในสิ่งที่น่าใคร่น่าปรารถนาพอใจเท่านั้น ยังมีความอยากมีอยากเป็น และความอยากไม่มี ไม่เป็นอีกด้วย อันสิ่งที่น่าใคร่น่าปรารถนาพอใจนั้น มีอยู่เต็มไปทั้งโลกก็ว่าได้ ความดิ้นรนทะยานอยากในสิ่งที่น่าใคร่น่าปรารถนาน่าพอใจจึงเต็มไปทั้งโลกเช่นกัน

ดังนั้นจึงพึงเห็นได้ว่า แม้เพียงตัณหาอย่างเดียวคือกามตัณหา ก็มีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลยิ่งนักแล้ว เกินกว่าแม่น้ำใดๆ ทั้งหมดแล้ว เมื่อรวมภวตัณหาและวิภวตัณหาเข้าด้วย ก็ย่อมจะยิ่งกว้างใหญ่ไพศาลเกิน กว่าจะประมาณขอบเขตได้

@@@@@@@

พระพุทธภาษิตอีกบทหนึ่งกล่าวไว้ว่า “ความอยากละได้ยากในโลก” แม้พิจารณาก็ย่อมจะเห็นตามความจริงนี้ ความอยากในกามคือ สิ่งน่าใคร่น่าปรารถนาพอใจเป็นสิ่งละได้ยากแน่นอน แม้พิจารณาความรู้สึกในใจตนของแต่ละคนก็ย่อมจะเห็นจริง ไม่มีปุถุชนใดจะสามารถละความอยากในกามได้ ไม่ในเรื่องนั้นก็ในเรื่องนี้ ย่อมมีความอยากได้ด้วยกันทั้งสิ้น เมื่อเห็นว่าเป็นสิ่งน่าใคร่น่าปรารถนาน่าพอใจ ความอยากมีอยากเป็นก็เช่นกัน ไม่มีปุถุชนคนใดที่สามารถละความอยากมีอยากเป็นได้อย่างง่ายดาย

ทุกคนลองพิจารณาใจตนเองให้เห็นความอยากมีอยากเป็นในใจตน แล้วลองพยายามละความอยากมีอยากเป็นนั้นดู ก็ย่อมจะเห็นว่า เป็นสิ่งที่สามารถทำได้ยากยิ่ง และสำหรับคนส่วนใหญ่ก็ไม่สามารถทำได้ ทั้งยังไม่สามารถจะพยายามทำเสียอีกด้วย มีแต่เพลิดเพลินติดอยู่กับกามตัณหานั้น ความอยากไม่มีอยากไม่เป็นก็เช่นกัน ไม่มีปุถุชนใดสามารถละได้อย่างง่ายดาย

ความอยากมีอยากเป็น กับความอยากไม่มีไม่เป็นนั้น จะกล่าวว่าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันก็เกือบได้ เมื่ออยากมีสิ่งหนึ่ง ก็ย่อมอยากไม่มีอีกสิ่งหนึ่งที่ไม่ตรงกันไม่เหมือนกัน หรือเมื่อเป็นอย่างหนึ่งก็ย่อมอยากไม่เป็นอีกอย่างหนึ่ง  เหมือนเช่นอยากเป็นคนรวยก็ย่อมอยากไม่เป็นคนจน หรืออยากมีเงินก็ย่อมอยากไม่ไม่มีเงิน เป็นเช่นนี้นั่นเอง ความอยากทั้งสองนี้คือ ภวตัณหาและวิภวตัณหา จึงเรียกได้ว่าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน




แม้พิจารณาตัณหาทั้งสามอย่างละเอียดรอบคอบแล้ว ย่อมจะเห็นว่าเป็นความเกี่ยวเนื่องกันชนิดไม่อาจแยกออกจากกันได้ ทำลายข้อหนึ่งข้อใดได้พร้อมกันทุกข้อ ดังนั้น แม้เห็นโทษของตัณหา ก็ไม่เป็นการบกพร่องที่จะจับข้อหนึ่งข้อใดในใจตนขึ้นพิจารณาหาอุบายทำลายถอนรากถอนโคน ไม่จำเป็นต้องสับสนวุ่นวาย จับข้อนั้นขึ้นพิจารณาพุ่งตรงไปที่ตัณหาข้อหนึ่งข้อใดในสามประการดังกล่าวแล้วก็ได้

กามตัณหาความดิ้นรนทะยานอยากในสิ่งน่าใคร่น่าปรารถนาน่าพอใจ ก็คือ ภวตัณหาอยากมีอยากเป็นนั่นเอง คืออยากได้อยากมีของคนทั้งหลาย ก็ต้องเป็นไปในสิ่งที่น่าใคร่น่าปรารถนาพอใจ ขณะเดียวกันก็ไม่อยากได้ไม่อยากมีในสิ่งที่ไม่น่าใคร่ไม่น่าปรารถนาพอใจ ซึ่งกล่าวอีกอย่างก็กล่าวว่า อยากไม่ได้ไม่มีในสิ่งที่ไม่น่าใคร่ไม่น่าปรารถนาพอใจเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันดังนี้ เพราะฉะนั้น แม้จะทำลายตัณหาก็เพียงพิจารณาใจของตนให้เห็นชัดว่ามีความปรารถนาต้องการอย่างไร เพราะนั่นคือ กามตัณหาต้นสายของภวตัณหาและวิภวตัณหา พิจารณาให้เห็นแล้วก็ทำลายเสีย ดับเสีย

ทำไมจึงสมควรดับตัณหาแม้ตั้งปัญหานี้ขึ้น ก็อาจตอบได้ง่ายๆ ว่าเพราะตัณหาเป็นเหตุแห่งความดิ้นรนกระเสือกกระสนไปไม่รู้หยุด มีความเหน็ดเหนื่อยนักหนา ดับตัณหาเสียได้ก็จะหยุดความดิ้นรนได้ หายเหน็ดเหนื่อยทุกข์ยาก ได้คำตอบนี้แล้ว ผู้มาบริหารจิตควรตั้งคำถามต่อไป ว่าตนมีความต้องการอย่างไร กระเสือกกระสนไป ไม่รู้หยุดเพื่อสนองตัณหาเช่นนั้นหรือ หรือต้องการหยุดสงบอยู่อย่างสบายใจ ก็จะได้คำตอบที่ตรงกันทุกคน จะเกิดกำลังใจ เพียรดับตัณหาด้วยกันทุกคน






ขอขอบคุณ :-
ภาพ : https://www.pinterest.ca/
อ้างอิง : สมเด็จพระญาณสังวร. “พุทธศาสนสุภาษิต.” ศุภมิตร. มีนาคม – เมษายน ๒๕๓๒, หน้า ๒๗-๒๙
ที่มา : เฟซบุ้ค เล่าเรื่อง..วัดบวรฯ
https://www.facebook.com/100069144534492/posts/971387536602284/
25  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สามเณรกานต์กวินต์ วัย 8 ขวบ สอบผ่าน สามเณรผู้ทรงพระปาติโมกข์ ท่องจบใน 55 นาที เมื่อ: พฤษภาคม 19, 2024, 06:30:08 am
.



ชื่นชม สามเณรกานต์กวินต์ วัย 8 ขวบ สอบผ่าน สามเณรผู้ทรงพระปาติโมกข์ ท่องจบใน 55 นาที

เป็นที่ชื่นชมไม่น้อย กับเรื่องของ สามเณรกานต์กวินต์ ธานีวรรณ อายุ 8 ขวบ จากวัดนิคมผัง 16 จ.นครราชสีมา ที่ สอบผ่านเป็นสามเณรผู้ทรงพระปาติโมกข์ โครงการสามเณรทรงพระปาติโมกข์เฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษา พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว จัดโดยวัดตะโก ร่วมกับ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ

ซึ่ง สามเณรวัย 8 ขวบรูปนี้ สามารถสอบผ่าน ใช้เวลาในการสอบ 55 นาที ตั้งแต่เริ่มสอบเวลา 06.05 – 07.01 น. โดยมีคนเข้าไปชื่นชมจำนวนไม่น้อย














ขอบคุณ : https://www.matichon.co.th/education/religious-cultural/news_4580698
วันที่ 17 พฤษภาคม 2567 - 12:49 น.   
26  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ศน.จัดวิสาขบูชาอาเซียน กระชับสัมพันธ์ไทย-ลาว ด้วยมิติทางศาสนา เมื่อ: พฤษภาคม 19, 2024, 06:24:18 am
.



ศน.จัดวิสาขบูชาอาเซียน กระชับสัมพันธ์ไทย-ลาว ด้วยมิติทางศาสนา

เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม นายชัยพล  สุขเอี่ยม อธิบดีกรมการศาสนา เปิดเผยว่า กรมการศาสนา (ศน.) ร่วมกับสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัด และศูนย์กลางองค์การพุทธศาสนิกสัมพันธ์ลาว (อ.พ.ส.)จัดโครงการจัดงานสัปดาห์ “วิสาขบูชาอาเซียน เพื่อส่งเสริมสัมพันธไมตรีกับประเทศอาเซียน ในมิติพระพุทธศาสนา” จ.หนองคาย ประจำปี 2567 ระหว่างวันที่ 16-17 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ณ จ.หนองคาย และนครหลวงเวียงจันทน์ สปป.ลาว อย่างยิ่งใหญ่ในฐานะวันสำคัญสากลของโลก

ซึ่งจังหวัดหนองคายเป็นจังหวัดที่มีชายแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้านคือ สปป. ลาว และมีเครือข่ายพระพุทธศาสนาเข้มแข็ง ผู้นำศาสนาสมเด็จพระสังฆราช สปป.ลาว และเจ้าอาวาสวัดโพธิ์ชัย  ร่วมส่งเสริมสัมพันธไมตรีในมิติพุทธศาสนา ซึ่งการร่วมจัดวิสาขบูชากับพระและชาวลาวที่วัดพระธาตุหลวง เสียงจันทน์ เป็นโอกาสดี เพราะต่างก็เป็นประเทศที่ประชาชนส่วนใหญ่นับถือพระพุทธศาสนา จะมีการทำบุญตักบาตร ไหว้พระ ทอดผ้าป่าบำรุงพุทธศาสนา เวียนเทียนในฝั่งลาว

รวมทั้งกิจกรรมทัศนศึกษาแลกเปลี่ยนเรียนรู้สถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์และพระพุทธศาสนาของสปป.ลาว  ณ วัดพระธาตุหลวงเวียงจันทน์ วัดศรีเมือง และวัดองค์ตื้อมหาวิหาร ซึ่งเป็นที่เคารพสักการะของพุทธศานิกชนไทยที่ข้ามมากราบไหว้ด้วยความศรัทธา รวมถึงเยี่ยมชมตลาดวัฒนธรรมและผลิตภัณฑ์พื้นถิ่นของลาว ส่งเสริมการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทางวัฒนธรรม




“นอกจากทำบุญตักบาตรข้าวเหนียว รับฟังพระธรรมเทศนา ปฏิบัติธรรม เนื่องในเทศกาลวันวิสาขบูชา ประจำปี พ.ศ. 2567 ยังมีการประชุมแลกเปลี่ยนเรียนรู้จัดทำแผนการขับเคลื่อนงานและกิจกรรมด้านศาสนาของประเทศอาเซียน ร่วมกับศูนย์กลางองค์การพุทธศาสนิกสัมพันธ์ลาว ณ วัดพระธาตุหลวง  ซึ่งอยู่บนแนวคิดใช้ศาสนาเชื่อมความสัมพันธ์ ภายใต้โครงการศาสนิกสัมพันธ์ทางศาสนาของอาเซียน 

ซึ่งจะขับเคลื่อนในมิติหลากหลาย ทั้งกิจกรรมร่วมกันทางศาสนา การท่องเที่ยวเชิงศาสนาและวัฒธรรม  การส่งเสริมท่องเที่ยววัดโพธิ์ชัย ฝั่งไทย และข้ามไปวัดพระธาตุหลวง ลาว รวมถึงขยายผลกิจกรรมตักบาตรริมโขงให้เป็นที่นิยมมากขึ้นในกลุ่มนักท่องเที่ยว  ปัจจุบันมีหลายวัดในจังหวัดริมโขงจัดกิจกรรม อาทิ หนองคาย อุบลราชธานี อุดรธานี เลย“ นายชัยพล กล่าว






อธิบดีศน. กล่าวต่อว่า งานสัปดาห์วิสาขบูชาอาเซียนไทย-ลาว จะกระชับความสัมพันธ์ประชานสองประเทศที่เป็นบ้านพี่เมืองน้อง  เกิดการไปมาหาสู่กันโดยใช้มิติพุทธศาสนานำทาง การทำบุญตักบาตรในวันและเทศกาลสำคัญต่างๆ เกิดความร่วมมือระหว่างองค์กรทางศาสนาแน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น พระสงฆ์ไทย-ลาว มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกัน  เกิดงานและกิจกรรมแลกเปลี่ยนด้านศาสนาของอาเซียน ซึ่งมองว่า ภาคอีสานของไทยมีศักยภาพด้านวิปัสนากรรมฐาน ซึ่งเป็นแก่นของพระพุทธศาสนา จะเป็นพื้นที่สำคัญจัดกิจกรรมวิปัสนาครั้งใหญ่ภายในปีนี้






ขอบคุณ : https://www.matichon.co.th/education/religious-cultural/news_4581583
วันที่ 17 พฤษภาคม 2567 - 17:18 น.   
27  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / อานิสงส์ถวายข้าวมธุปายาส เมื่อ: พฤษภาคม 18, 2024, 08:21:49 am
.



อานิสงส์ถวายข้าวมธุปายาส
     
ร่างกายที่เราต้องใช้อยู่ทุกวัน ในการประกอบภารกิจการงาน มีความจำเป็นจะต้องชำระล้างให้สะอาดด้วยน้ำ ฉันใด  จิตใจก็เช่นกัน จำเป็นต้องชำระล้างให้สะอาดบริสุทธิ์ ด้วยการเจริญภาวนา ฉันนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงสั่งสอนให้พุทธบริษัทเจริญภาวนา อยู่ในหนทางสายกลาง  ให้เราเห็นความสำคัญของการฝึกฝนใจว่า ใจที่ผ่องใส ย่อมเป็นเหตุแห่งความสุข ใจที่ผ่องใสเป็นทางมาแห่งมหากุศล เป็นเครื่องนำสัตวโลกทั้งหลายไปสู่สุคติภูมิ และนำทุกชีวิตไปสู่เป้าหมายอันสูงสุด คือการบรรลุมรรคผลนิพพาน
     
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสไว้ในสุมนสูตรว่า   
    “ยถาปิ จนฺโท วิมโล    คจฺฉํ อากาสธาตุยา
     สพฺเพ ตารคเณ โลเก    อาภาย อติโรจติ ฯ     
     ดวงจันทร์ปราศจากมลทิน โคจรไปในอากาศ ย่อมสว่างกว่าหมู่ดาวทั้งหลาย ด้วยรัศมี ฉันใด บุคคลผู้สมบูรณ์ด้วยศีล มีศรัทธา ย่อมไพโรจน์กว่าผู้ตระหนี่ทั้งหลายในโลก ด้วยการให้ ฉันนั้น”
     
มนุษย์ทุกคนเกิดมาในโลกนี้ ต่างก็ปรารถนาความสุขและความสำเร็จในชีวิต อยากเป็นผู้พรั่งพร้อมด้วยทรัพย์สมบัติ รูปสมบัติ คุณสมบัติ สมบัติทั้ง ๓ นี้จะเกิดขึ้นได้ ต้องอาศัยบุญเป็นเครื่องหล่อเลี้ยง อย่างน้อยผู้นั้นต้องเริ่มต้นด้วยการให้ คือต้องสามารถเอาชนะความตระหนี่ที่มีอยู่ในใจให้ได้เสียก่อน เปรียบเสมือนดวงจันทร์ เมื่อพ้นจากเมฆหมอกมาได้ ย่อมปรากฏความสว่างไสว ใจที่หลุดพ้นจากกระแสแห่งความตระหนี่ ก็เช่นเดียวกัน จะใสสว่างเหมาะสมที่จะเป็นภาชนะรองรับบุญกุศล และสามารถดึงดูดมหาสมบัติที่จะบังเกิดขึ้นได้โดยง่าย 
     
ปกติของคนตระหนี่จะไม่ชอบให้ทาน เพราะเขากลัวความจน กลัวว่าทรัพย์ที่ให้ไปจะสูญเปล่า  แต่ผู้รู้กลับบอกว่า ยิ่งให้ก็จะยิ่งได้ เพราะการทำความดีใดๆ ที่จะไม่ส่งผลนั้น เป็นไม่มี หากเริ่มดำรงตนอยู่ในสถานะของผู้ให้ ใจของเราจะสูงขึ้น เป็นอิสระจากความตระหนี่ และจะขยายออกไปอย่างไม่มีประมาณ เมื่อถึงคราวที่บุญส่งผล ก็จะส่งผลเกินควรเกินคาด แม้ตัวเราก็จะอัศจรรย์ในตัวเอง

     
@@@@@@@

*ดังเช่นเรื่องของสามเณรอรหันต์ ที่ในอดีตชาติเคยยากจนมาก่อน แต่ด้วยอานิสงส์ที่ทำบุญชนิดทุ่มสุดใจ เพราะเห็นคุณค่าของบุญยิ่งชีวิต ทำให้บุญลิขิตได้มาเกิดเป็นลูกของมหาเศรษฐี

___________________   
*มก. เล่ม ๔๑ หน้า ๒๕๙

ในสมัยพุทธกาล พระสารีบุตรผู้เป็นอัครสาวกเบื้องขวาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านมีความกรุณามาโปรดมหาเสนพราหมณ์ เพราะปรารถนาจะให้อริยทรัพย์อันประเสริฐ ติดตัวเขาไปในสังสารวัฏ จึงไปบิณฑบาตหน้าบ้านของพราหมณ์บ่อยๆ พราหมณ์เห็นพระสารีบุตรแล้วคิดว่า “ทรัพย์สมบัติในบ้านของเราไม่มีเลย เครื่องไทยธรรม ที่พอจะใส่บาตรพระก็ไม่มี” จึงไม่กล้าออกมาพบพระเถระ ได้แต่หลบหน้าอยู่ในบ้าน
     
วันหนึ่ง พระเถระก็ได้ไปที่บ้านของพราหมณ์อีก เผอิญเช้าวันนั้น พราหมณ์ได้ข้าวปายาสมาถาดหนึ่งกับผ้าสาฎกเนื้อหยาบอีกผืนหนึ่ง พอท่านเห็นพระเถระบิณฑบาตผ่านมา ก็คิดว่า
    “ขณะนี้ไทยธรรมของเรามีพร้อม ศรัทธาของเราก็เต็มเปี่ยม เนื้อนาบุญอันบริสุทธิ์ก็อยู่ตรงหน้าแล้ว ฉะนั้นเราควรถวายทานแก่พระเถระในวันนี้แหละ” 
    จึงนิมนต์พระเถระให้รับบาตร แล้วน้อมถวายข้าวปายาสลงในบาตรของพระเถระ ด้วยความปีติเป็นอย่างยิ่ง
     
ขณะที่พราหมณ์ถวายข้าวไปได้ครึ่งหนึ่ง พระเถระก็ปิดบาตร พราหมณ์จึงกล่าวว่า “ขอท่านอย่าได้อนุเคราะห์กระผมเพียงแค่ชาตินี้เลย ท่านโปรดอนุเคราะห์กระผมในภพชาติเบื้องหน้าด้วยเถิด”  ว่าแล้วก็ถวายอาหารจนหมดถาด พร้อมกับผ้าสาฎกอีกหนึ่งผืน นับตั้งแต่วันนั้น พราหมณ์ก็ตามนึกถึงบุญใหญ่ที่ตนเองได้ทำแบบทุ่มสุดใจเรื่อยมา

     


ด้วยผลแห่งทานบารมีที่ได้ทำบุญถูกทักขิไณยบุคคล เมื่อละโลกไปแล้ว บุญก็ส่งผลให้พราหมณ์ไปเกิดในตระกูลอุปัฏฐากพระเถระ ในเมืองสาวัตถี  ในวันที่ท่านเกิด พวกญาติได้นิมนต์พระเถระมาฉันภัตตาหารที่บ้าน ทันทีที่เด็กน้อยได้เห็นพระเถระ ก็ระลึกชาติได้ว่า ที่ตนได้เกิดมาในตระกูลของมหาเศรษฐีผู้ใจบุญ ก็เพราะอาศัยพระเถระรูปนี้  วันนี้นับว่าเป็นบุญลาภอันประเสริฐที่จะได้ถวายทานแก่พระเถระอีก 
     
พอพวกญาติจะอุ้มเข้าไปหาพระเถระ เด็กน้อยจึงใช้นิ้วมือเกี่ยวผ้ากัมพลไว้ไม่ยอมปล่อย ญาติเห็นอาการนั้น จึงอุ้มเด็กเข้าไปหาพระเถระพร้อมผ้ากัมพล พอเข้าไปถึงเบื้องหน้าพระเถระ เด็กน้อยก็ปล่อยผ้าให้ตกลงแทบเท้าท่าน  พวกญาติจึงหยิบผ้าผืนนั้นขึ้นมาถวายพระเถระ แล้วพากันตั้งชื่อเด็กน้อยนั้นว่า “ติสสะ” เหมือนชื่อเดิมของพระเถระก่อนที่จะบวช
     
ต่อมาเมื่อติสสะอายุได้เพียง ๗ ปี บุญในตัวของเขาก็เต็มเปี่ยม เห็นทุกข์ภัย ในการเกิดบ่อยๆ จึงขอบวชเป็นสามเณรอยู่กับพระสารีบุตรเถระ  ฝ่ายบิดามารดาก็ไม่ได้ขัดข้องทั้งยังมีจิตยินดีและอนุโมทนา จึงพาไปหาพระสารีบุตรที่วัด 

พระเถระได้ถามเพื่อทดสอบกำลังใจว่า
    “การบรรพชาเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก เมื่อต้องการของร้อนก็ได้ของเย็น เมื่อต้องการของเย็นก็ได้ของร้อน เธอจะอดทนต่อความลำบากได้หรือ” 

ติสสะตอบด้วยความมั่นใจว่า
    “กระผมอดทนได้ และจะทำทุกอย่างตามที่พระอาจารย์สั่งสอน” พระเถระจึงรับเป็นอุปัชฌาย์บวชให้
     
เมื่อออกบวชแล้ว สามเณรได้เข้าไปบิณฑบาตในเมืองสาวัตถี ด้วยอานิสงส์ ที่เคยถวายทานแด่พระสารีบุตรเถระด้วยความเคารพ โดยไม่มีความตระหนี่ติดค้างอยู่ในใจ ทำให้ชาวเมืองเกิดความรักและศรัทธาในตัวสามเณรมาก จึงชักชวนกันมาถวายทานกันมากมาย

     
@@@@@@@

ในช่วงฤดูหนาว สามเณรได้เห็นเหล่าภิกษุนั่งผิงไฟด้วยความหนาวสั่น จึงได้นิมนต์ภิกษุทั้งพันรูปเข้าไปบิณฑบาตในเมือง แล้วแจ้งความประสงค์ว่า ต้องการผ้ากัมพลสำหรับพระภิกษุเพื่อห่มกันหนาว ขณะนั้น มีชายคนหนึ่งเห็นว่า การทำทานไม่มีประโยชน์ มีแต่จะทำให้ทรัพย์หมดไป เขาจึงเที่ยวป่าวประกาศ ห้ามชาวพระนครไม่ให้มาทำบุญ แต่ด้วยบุญกุศลที่สามเณรได้ทำไว้ดีแล้ว ทำให้ชาวเมืองที่ได้เห็นสามเณรและพระภิกษุจำนวนนับพันรูป เกิดความเลื่อมใสศรัทธาอย่างเปี่ยมล้น ต่างก็ช่วยกันบอกบุญรวบรวมผ้ากัมพลจนครบทั้งหนึ่งพันผืนมาถวายสามเณรได้อย่างอัศจรรย์
     
สามเณรติสสะจึงเป็นที่รักของหมู่พระภิกษุทั้งหลาย และถึงแม้จะมีลาภเกิดขึ้น มีบริวารห้อมล้อมมากมาย แต่สามเณรก็มิได้ยึดติดในสิ่งเหล่านั้น ท่านได้หาโอกาสไปบำเพ็ญเพียรภาวนาในป่าตามลำพัง ตั้งใจปฏิบัติจนบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ เข้าถึงความเต็มเปี่ยมของชีวิตตั้งแต่อายุยังน้อย
     
เราจะเห็นได้ว่า ชีวิตนี้เราลิขิตเอง เทวดาหรือพรหมไม่สามารถมาลิขิตแทนเราได้ เราปรารถนาจะให้ชีวิตเป็นเช่นไร ก็อยู่ที่เราจะเลือกเดินเอง วิสัยของนักปราชญ์บัณฑิตนั้น แม้จะพรั่งพร้อมไปด้วยทรัพย์สมบัติ รูปสมบัติ คุณสมบัติ ท่านก็ไม่ประมาท เพลิดเพลินอยู่เพียงแค่นั้น ยังคงมุ่งหวังจะทำกิเลสอาสวะให้หมดสิ้นไป เพื่อให้เข้าถึงความบริสุทธิ์ที่แท้จริง
     
พวกเรานักสร้างบารมีก็เช่นเดียวกัน ต้องตั้งมั่นในคุณความดี เพื่อสั่งสมบุญบารมีให้ยิ่งๆ ขึ้นไป อย่าได้ย่อท้อต่ออุปสรรค เพราะบุญที่เราทำ จะเป็นพลวปัจจัยเกื้อหนุนให้เราสร้างบารมีได้อย่างสะดวกสบาย เนื่องจากเรายังต้องสร้างบารมีกันเรื่อยไป สร้างกันเป็นทีมใหญ่จนกว่าจะถึงจุดหมายปลายทาง เพื่อช่วยเหลือทั้งตัวเองและมวลมนุษยชาติ ให้เข้าถึงความเต็มเปี่ยมของชีวิต คือให้เข้าถึงพระธรรมกายเหมือนๆ กัน เพราะฉะนั้นไม่ว่าเราจะอยู่ในอิริยาบถใด จะยืน เดิน นั่ง นอน ก็อย่าลืมนำใจมาไว้ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ซึ่งเป็นแหล่งแห่งบุญกุศล เอาบุญใสใสจากการทำใจให้หยุดนิ่ง  เป็นบุญพิเศษที่จะเป็นเหตุให้เราหลุดพ้นจากกิเลสอาสวะได้  ดังนั้นให้ทุกๆ ท่านตั้งใจหยุดนิ่งกันให้ดี ให้เห็นดวงธรรมชัดใสสว่าง เข้าถึงพระธรรมกายกันทุกคน
     




ขอขอบคุณ :-
ภาพจาก : https://www.pinterest.ca/
พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)
URL : https://buddha.dmc.tv/dhamma/11499
28  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / วิธีทำ “ข้าวมธุปายาส” แจกสูตร-ส่วนผสม รับวันวิสาขบูชา เมื่อ: พฤษภาคม 18, 2024, 07:31:45 am
.



วิธีทำ “ข้าวมธุปายาส” แจกสูตร-ส่วนผสม รับวันวิสาขบูชา

แจกสูตร พร้อมส่วนผสม “ข้าวมธุปายาส” หรือ “ข้าวทิพย์” รับวันวิสาขบูชา ตามความเชื่อที่ว่าหากใครได้ถวายเป็นพุทธบูชาจะนำพามาซึ่งความสุขสวัสดี

“ข้าวมธุปายาส” หรือที่คนไทยมักคุ้นหูกันว่า “ข้าวทิพย์” ถือเป็นอาหารในตำนานพระพุทธศาสนาที่เกี่ยวข้องกับวิสาขบูชา เนื่องจากก่อนที่พระพุทธเจ้าจะบรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ พระองค์ได้รับข้าวที่หุงด้วยน้ำผึ้ง น้ำอ้อย จากนางสุชาดาหลังพระองค์ตัดสินใจเดินทางสายกลางแทนการบำเพ็ญทุกรกิริยา

ด้วยเหตุนี้พุทธศาสนิกชนจึงนิยมทำบุญด้วย “ข้าวมธุปายาส” ในวันวิสาขบูชา และวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา



ข้าวมธุปายาส

โดยเชื่อว่าการได้ถวายเป็นพุทธบูชาจะนำพามาซึ่งความสุขและบุญกุศลมาให้แก่ตน มีอายุ วรรณะ สุขะ พละ มีอนามัยดี หรือมีสุขภาพดีและสมองปลอดโปร่ง

วันนี้ทีมข่าวพีพีทีวีจึงได้นำสูตรและเคล็ดลับการทำข้าวมธุปายาสมาฝากทุกคนกัน

ส่วนผสมข้าวมธุปายาส

    1. ข้าวสาร/ข้าวเหนียว
    2. ถั่วดำ/ถั่วแดง/ถั่วแปบ/ถั่วลิสง
    3. งาดำ/งาขาว/งาหอม
    4. น้ำตาลทราย/น้ำตาลปีบ
    5. น้ำอ้อย
    6. มะพร้าวแห้งสำหรับทำน้ำกะทิ
    7. น้ำเปล่า สำหรับคั้นกะทิ
    8. นมสด/นมกระป๋อง
    9. น้ำอ้อยสด
   10. น้ำตาลสด
   11. น้ำผึ้งแท้

วิธีทำข้าวมธุปายาส

    1. นำ ข้าวสาร/ข้าวเหนียว ลงไปแช่ให้พองตัว
    2. ขูด มะพร้าว ให้เพียงพอ แล้ว คั้นกะทิ เตรียมไว้
    3. นำ ถั่ว และ งา มาล้างให้สะอาด
    4. อุ่นกระทะร้อน หม้อ หรือเตาอั้งโล่
    5. นำ ข้าวสาร/ข้าวเหนียว ที่แช่จนพองตัวแล้วมาซาวน้ำให้สะเด็ด เสร็จนำไปนึ่งต่อจนสุก
    6. เมื่อกระทะร้อน ให้เท น้ำกะทิ ลงไป คนจนเดือดแล้วนำ น้ำอ้อย น้ำตาล น้ำผึ้ง และ นม เทลงไป
    7. เมื่อกวนจนน้ำตาล น้ำอ้อยละลายได้ที่แล้ว ให้นำ ข้าวสุก ลงไปคน เพื่อให้ข้าวและกะทิเข้ากันอย่างดี ต่อมาให้ใส่ ถั่ว งา ต่างๆ ลงไป กวนสลับกันไปมาเพื่อไม่ให้ไหม้ก้นกระทะ เพราะไม่เช่นนั้นข้าวมธุปายาสจะไม่อร่อยเท่าที่ควร
    8. กวนจนได้ที่แล้ว ให้เทลงไปใส่ในภาชนะที่เตรียมไว้ ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย


ข้าวมธุปายาส


คำกล่าวถวายข้าวมธุปายาส

โดยส่วนมากแล้วชาวบ้านในแต่ละชุมชนมักจะมารวมตัวกันประกอบพิธีทำข้าวมธุปายาส ซึ่งจะมีสาวพรหมจารีเป็นผู้กวนข้าว หรือมีคนผู้สูงวัยที่หมดประจำเดือนแล้วถือศีล เป็นผู้ช่วยอีกแรงหนึ่ง

อย่างไรก็ตามในการประกอบพิธีกรรม จะมีการกล่าวคำถวายข้าวมธุปายาสไปด้วย สามารถดูได้ที่ลิงก์นี้ (คลิก)

ทั้งนี้หากใครที่อยากทำข้าวมธุปายาสเองเพื่อนำไปทำบุญด้วยตัวเองก็สามารถทำได้ หรืออยากไปร่วมประกอบพิธีก็ทำได้เช่นเดียวกัน นอกจากนี้หากจะทำเพื่อนำไปกินเอง เป็นอาหารสุขภาพ ข้าวมธุปายาสนี้ก็ถือเป็นอาหารที่อุดมประโยชน์จากข้าว ธัญพืช ถั่ว และนม





ขอขอบคุณ :-
ข้อมูลจาก : กระทรวงวัฒนธรรม
URL : https://www.pptvhd36.com/news/ไลฟ์สไตล์/223817
โดย PPTV Online | เผยแพร่ 15 พ.ค. 2567 ,13:24 น.


 :25: :25:

การกล่าว คำถวาย ข้าวมธุปายาส

สมภารเจ้าอาวาสหรือปู่อาจารย์ เป็นผู้แทนศรัทธาประชาชนกล่าวคำถวาย ศรัทธาประชาชนที่มาร่วมถวายประณมมือตั้งปณิธานตามปรารถนา ปู่อาจารย์กล่าวเป็นคำร่าย ที่คนโบราณได้รจนาไว้ ดังต่อไปนี้

@@@@@@@

โย สันนิสินโน วรโพธิมูเล มารัง สะเสนัง มหันติ๋ง วิชะโย สัมโพธิมาคัจฉิวะ อนันตะญาโน โย โลกกุดตะโม ตัง ปะนะมามิ

พุทธัง ตัง ปะนะมามิ ธัมมัง ตัง ปะนะมามิ สังฆัง ตัง ปะนะมามิ คุณสาครันตัง นะมามิ ธัมมัง มุนิราชะเทสิตัง นะมามิ สังฆัง มุนิราชะสาวะกัง อะหัง วันทามิ สัพพะทา

สุณัณตุ โภนโต เทวทัสสะโน อนุโมทะนามิมัง เอกุนปัญญาสะวจัตตา ปิณฑานิ ยาวะ เทวะปริสายะ วิโนทยา มะยะ กาตานีติ

    สาธุ โอกาสะ  ข้าแต่สะหรี่สัพพัญญู
    พระพุทธเจ้า  ตนสร้างโพธิสมภาร
    มานานว่าได้สี่สูงขัย  ปลายแสนมหากัปป์
    จึงจักได้ตรัส  ผญาสัพพัญญู
    นั่งเหนือแท่นแก้ว  แทบเค้าไม้มหาโพธิรุกขา
    มีหมู่อะระหันตาสาวะกะเจ้าตั้งแปด  นั่งแวดล้อมเป็นบริวาร
    ดูรุ่งเรื่องงามเป็นมหามังคละอันประเสริฐ  ล้ำเลิศกว่านระและเทวา
    บุคคลผู้ใดมีศรัทธาสักการะบูชา  ด้วยข้าวน้ำโภชนาหาร
    แลข้าวตอกดอกไม้ทังมวล  ก็จึงจักได้พ้นจากทุกข์แล้วได้เถิงสุข
    อันมีในชั้นฟ้าและเมืองคน  มีเนรพานเจ้าเป็นยอด เที่ยงแท้ดีหลี
   
    บัดนี้หมายมี  สมณศรัทธาและมูลศรัทธา
    ผู้ข้าทั้งหลาย  ชุตนชุองค์ชุผู้ชุคน
    ก็ได้ตกแต่งพร้อมน้อมนำมา  ยังข้าว ๔๙ ก้อน
    และปานิยังน้ำกิน  เอามารูปนาตั้งไว้
    ในสมุขีกลางคลอง  ส่องหน้าแห่งองค์
    พระสัมมาสัมพุทธเจ้า  เพื่อสวะซวาง
    วางเวนเคนหื้อเป็นทาน  แก่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    จุ่งจักอว่ายหน้า  ปฏิคคาหกะรับเอา
    ยังข้าว ๔๙ ก้อน  และปานิยังน้ำกิน
    พยัญชนะของไขว่  ทั้งหลายมวลถ้วนฝูงนี้ แท้ดีหลี
    ด้วยผู้ข้าจักวางเวน  ตามพระบาลีว่า

    สารโอกาสะ มะยัมภันเต  อิมานิ ปถมัง
    โพธิบังงังกัง ทุติยัง  อะนิมิสสะกัง
    ตะติยัง จังกมะเสฏฐัง  จตุตถัง รัตนฆะรัง
    ปัญจะมัง อัชชะปาลัญจะ  ฉัฏฐมุจจลินกัญจะ สัตตะมัง ราชายะตะนัง

    เอกัสมิง ฐาเน เอเตสัตตเหยัตตกัง วโรพุทโธ วสิ
    เอกนปัญญาสะ นวจัตตาพิสะ สัพพะหิตัง

    ติรัตนพุทธะ จุฬะมณี สิงกุตตะระ บุปผาลาชา
    ติรัตนพุทธะ ธัมมะ สังฆะ

    มหาโพธิ จุฬะมณี สิงกุตตะระ สรีระธาตุ
    ศิริวิหาระ สัจจะคันธะ สมันตา คุตตะ
    สะยัง ภาชนัง ฐเปตวา มัณฑะเร ติรัตตะนัส

    ทุติยัมปิ... ฯลฯ ...
    สักกัจจัง เทมะ ปูเชมะ
   
    ตติยัมปิ สาธุโอกาส มะยังภันเต ... ฯลฯ ...
    สักกัจจัง เทมะ ปูเชมะ

อิทัง โน เอกูนะปัญญาสะ นวจัตตาฬีสะ สัมมาสัมพุทธัสสะ อยัง มหาปูชโก อนุกัมปัง อุปทายะ ทีฆะรัตตัง อัตถายะ หิตายะ สุขายะ ยาวะ นิพพานายะปัจจะโย โหตุ โน นิจจัง

@@@@@@@

เสร็จแล้วนำเอาข้าวมธุปายาส เข้าประเคนพระประธานเป็นเสร็จพิธี

ข้าวมธุปายาสนี้ เรียกว่าข้าวทิพย์ ประชาชนเชื่อกันว่าหากใครได้รับประธานจะมีอายุ วรรณะ สุขะ พละ มีอนามัยดี จึงนิยมแบ่งกันรับประทาน หากเด็กๆ ได้รับประธาน ก็จะทำให้ผิวพรรณน่ารัก มีสุขภาพดี สมองปลอดโปร่ง นิยมทำเป็นประเพณีตราบเท่าทุกวันนี้


 :96: :96: :96:

หมายเหตุ : ไม่ยืนยันความถูกต้อง ห้ามนำไปอ้างอิง ผู้รู้ช่วยตรวจสอบด้วย จักเป็นพระคุณยิ่ง





ขอบคุณที่มา : https://www2.m-culture.go.th/lampang/ewt_news.php?nid=2172&filename=index
29  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ประวัติ “ข้าวมธุปายาส” อาหารที่เกี่ยวข้องกับวันวิสาขบูชา เมื่อ: พฤษภาคม 18, 2024, 06:27:35 am
.



ประวัติ “ข้าวมธุปายาส” อาหารที่เกี่ยวข้องกับวันวิสาขบูชา

รู้ประวัติ “ข้าวมธุปายาส” อาหารที่นางสุชาดาถวายพระพุทธเจ้าก่อนตรัสรู้ แม้จะมีเรื่องแก้บนมาเกี่ยว แต่ได้กลายเป็นประเพณีสืบทอดมาถึงปัจจุบัน

อาหารหนึ่งชนิดที่เกี่ยวพันกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จนกลายเป็นประเพณีที่ผู้คนมักทำถวายในเทศกาลสำคัญ ที่เราอยากพามารู้จักในวันวิสาขบูชา ซึ่งตรงกับวันที่ 22 พฤษภาคม 2567 คือ “ข้าวมธุปายาส” แต่ทำไมถึงต้อง “ข้าวมธุปายาส” วันนี้ทีมข่าวพีพีทีวีจึงได้รวบรวมข้อมูลมาให้ทุกคนได้รู้กัน

@@@@@@@

ประวัติข้าวมธุปายาส

“ข้าวมธุปายาส” นั้นมีจุดเริ่มต้นมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล คือตอนที่พระพุทธเจ้าจะตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ในวันเดือนเพ็ญวิสาขะหรือวันเพ็ญเดือนหก

พระองค์ได้รับข้าวหุงด้วยน้ำผึ้ง น้ำอ้อย จากนางสุชาดา ภรรยาของคฤหบดีเมืองมคธนำมาถวายเพื่อการบูชาเทพยดา ณ ต้นโพธิพฤกษ์

โดยมีความเป็นมาเกิดขึ้นเมื่อครั้นวันหนึ่ง ภรรยาของคฤหบดีในเมืองราชคฤห์ ปรารถนาอยากได้บุตรชายไว้สืบสกุลสักคน เพราะแต่งงานหลายปีแล้วยังไม่มีบุตร เมื่อนางและภรรยาพากันไปอาบน้ำในแม่น้ำเนรัญชราได้เดินผ่านต้นศรีมหาโพธิพฤกษ์ ซึ่งเป็นต้นขนาดใหญ่แตกกิ่งก้านสาขากว้างร่มใบหนา ใต้ร่มมีทรายขาวสะอาด ประดุจเงินดูแล้วน่านั่งนอนใต้ต้นไม้มาก

นางจึงมีความคิดว่าต้นไม้นี้น่าจะมีเทพารักษ์สิงสถิตอยู่แน่นอน เมื่อคิดดังนั้นนางจึงเข้าไปกราบที่โคนต้นไม้ แล้วพูดว่า “ข้าแด่เทพเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์มีมหิทธิฤทธิ์ ผู้สิงสถิตอยู่ ณ ต้นไม้นี้ ดิฉันขอความกรุณาจากท่านช่วยดลบันดาลให้มีบุตรสักคนเถิด เพื่อจะให้เขาสืบสกุลต่อไป ข้าแต่เทวะหากท่านให้ดิฉันสมปรารถนาแล้ว ดิฉันจะนำเอาข้าวมธุปายาสมาแก้บนสังเวยท่านเป็นสัจกิริยา”

เมื่อนางอธิษฐานเสร็จ กลับไปอยู่กับสามีไม่นานก็ตั้งครรภ์  เมื่อครบกำหนดนางก็คลอดลูกเป็นผู้ชายมีลักษณะงดงามสมส่วนตามลักษณะผู้มีบุญ เมื่อคลอดลูกโดยสวัสดิภาพและมีความสมบูรณ์อย่างนี้ นางสุชาดารำลึกถึงคำอธิษฐานที่นางได้ขอกับเทพยดา จึงทำการหุงข้าวมธุปายาส ซึ่งประกอบด้วย ข้าว ถั่ว งา น้ำตาล น้ำผึ้ง มะพร้าว เป็นต้น ทำอย่างประณีตแล้วใส่ถาดทองประดับด้วยดอกไม้อย่างสวยงามเดินทางออกจากบ้านพร้อมด้วยทาสีมุ่งสู่ต้นโพธิพฤกษ์

ขณะนั้นพระพุทธเจ้ามีดำริว่าจะบำเพ็ญเพื่อการตรัสรู้ ณ ต้นโพธิพฤกษ์และประทับนั่งโคนต้นไม้หันพระพักตร์สู่ทิศตะวันออก นางสุชาดาและนางทาสีมาถึงได้พบพระพุทธเจ้าครั้งแรกเข้าใจว่าเป็นรุกขเทพเจ้าจำแลงเพศ เกิดความเลื่อมใสจึงน้อมถาดข้าวมธุปายาสเข้าไปถวายแก้สัจกิริยาท่านได้บนบานไว้ พระพุทธเจ้าจึงตรัสขอบคุณต่อนาง และบอกแก่นางว่าพระองค์ท่านมิได้เป็นเทพยดา แต่เป็นมนุษย์คือเป็นกษัตริย์แห่งเมืองกบิลพัสดุ์ออกผนวช เพื่อแสวงหาสัจธรรม นางสุชาดาทราบเรื่องแล้ว ก็กราบถวายบังคมลากลับบ้านเรือนของตน

หลังจากนั้นพระพุทธเจ้าทรงนำเอาข้าวจากถาดมาทรงทำเป็นก้อนๆ นับจำนวนได้ 49 ก้อน ให้เป็นเครื่องรำลึกถึงวันที่ทรงบำเพ็ญทุกกิริยา เสวยข้าวมธุปายาส 49 ก้อนนั้นหมดแล้ว ทรงนำถาดไปทรงอธิฐานในแม่น้ำเนรัญชรา และทรงอธิฐานว่าถ้าหากพระองค์จะได้ตรัสรู้ก็ขอให้ถาดทองนั้นลอยทวนน้ำขึ้นไป

เมื่อพระองค์ทรงวางถาดลงในน้ำ ก็ปรากฏว่า ถาดทองลอยทวนน้ำขึ้นเหนือน้ำดังคำอธิฐาน ซึ่งพระองค์ทรงถือว่าภัตตาหารมื้อนั้นได้มีส่วนทำให้พระองค์ตรัสรู้อริยสัจ 4 บรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ

ด้วยรำลึกถึงพระพุทธองค์และเหตุการณ์สำคัญนี้ พุทธศาสนิกชนจึงนิยมทำข้าวมธุปายาสในวันวิสาขบูชา เกิดเป็น “ประเพณีกวนข้าวมธุปายาส” หรือที่คนไทยนิยมเรียกกันคุ้นหูว่า “ประเพณีกวนข้าวทิพย์” โดยเชื่อกันว่าการได้ถวายเป็นพุทธบูชาจะนำความสุขสวัสดีและบุญกุศลแก่ตน



ข้าวมธุปายาส


“ข้าวมธุปายาส” ความหมายเดียวเรียกได้หลายชื่อ

ข้าวมธุปายาสมีชื่อหลายชื่อที่นิยมเรียกกัน แตกต่างกันในท้องถิ่นและประเทศต่างๆ ส่วนมากปรากฏชื่อคือ

    • ข้าวมธุปายาส - ข้าวหุง หรือกวนด้วยน้ำผึ้ง
    • ข้าวยาคู - ข้าวต้มที่ใส่เกลือและน้ำตาล ทำเป็นชนิดเค็มและชนิดหวาน
    • ข้าววิตู - ข้าวกวนด้วยน้ำอ้อย น้ำตาล ถั่วงา ทำเป็นผงและก้อน
    • ข้าวกระยาสารท - ข้าวกวนด้วย น้ำตาล น้ำอ้อย น้ำผึ้ง ถั่วงา แปะแซ ทำเป็นก้อน เป็นแผ่น นิยมมีในงานเทศกาลอุทิศส่วนกุศลแก่บรรพชนในประเพณีเดือน 10 ของภาคกลาง
    • ข้าวกระยาทิพย์/ข้าวทิพย์ - ข้าวที่กวนด้วยพิธีกรรม ใส่น้ำตาล น้ำอ้อย น้ำผึ้ง ถั่วงา น้ำนม ทำให้เป็นก้อนโดยให้หญิงพรหมจารีกวน ถือว่าเป็นข้าวศักดิสิทธิ์ ใครได้รับประทานย่อมจะหายจากโรคภัยไข้เจ็บและมีความสุขสวัสดีตลอดไป
    • ข้าวซอมต่อหลวง - ข้าวมธุปายาสของชาวไทยใหญ่ นิยมกวนข้าวนี้เมื่อเดือนยี่เหนือถวายพระพุทธในตอนเช้ามืด เรียกว่า “ต่างซอมต่อหลวง”
    • ข้าวพระเจ้าหลวง - การเรียกชื่อข้าวมธุปายาสของชาวภาคเหนือ นิยมถวายในคราวเทศกาลใหญ่ๆ เช่น เดือนยี่เป็ง เดือนสี่เป็ง เดือนแปดเป็ง เป็นต้น โดยมากจะกวนข้าวในรั้วราชวัตรและให้หญิงพรหมจารี หรือผู้หญิงที่หมดประจำเดือนแล้วถือศีลห้า ถึงศีลแปดเป็นผู้กวนในพิธีนั้น ถวายพระพุทธตอนเช้า เรียกว่าใส่บาตรข้าวพระเจ้าหลวง

@@@@@@@

ความสำคัญของการถวายข้าวมธุปายาส

การถวายข้าวมธุปายาส มีความสำคัญดังนี้

    • เป็นการปฏิบัติตามพุทธประเพณี
    • เป็นการบูชาพระเจ้าในวันเพ็ญเดือนยี่ เดือนสี่และวิสาขบูชา
    • เป็นการรำลึกถึงวันตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
    • เป็นการสร้างสามัคคีในกลุ่มชน เนื่องจากมีการประกอบพิธีกรรมด้วย
    • เป็นการเรียนรู้ในการทำขนมหรือข้าวมธุปายาส
    • เป็นการถวายผลิตผลที่คนในท้องถิ่นช่วยกันสร้างขึ้นมา
    • เป็นการอนุรักษ์ประเพณีและศิลปะที่บรรพบุรุษสร้างไว้ยืนยงอยู่ตลอดไป



รูปภาพพระ เนื่องในวันวิสาขบูชา


ข้าวมธุปายาสถวายเป็นพุทธบูชาได้เมื่อไร

ในประเทศไทยนอกเหนือจากวันวิสาขบูชาข้าวมธุปายาสยังนิยมถวายในงานเทศกาลสำคัญๆ หลายคราวด้วยกัน คือ
          1. ประพฤติยี่เป็ง
          2. ประเพณีเดือนสี่
          3. ประเพณีปอยหลวง

ทำไมต้องมีประเพณีข้าวมธุปายาส

ในงานประเพณีสำคัญๆ ชาวบ้านหลายชุมชนจะนิยมกวนข้าวมธุปายาสเพื่อสร้างเสริมศรัทธาแก่ประชาชนผู้มาร่วมงาน และทางวัดจะนิยมแจกจ่ายข้าวมธุปายาสแก่ประชาชนอย่างทั่วถึงกัน เพื่อสร้างความสุขสวัสดีและความสามัคคีให้เกิดในกลุ่มชนด้วย

ข้าวมธุปายาสจึงถือเป็นเครื่องระลึกถึงการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หนึ่งในเหตุการณ์สำคัญของวันวิสาขบูชา ด้วยเหตุนี้ในช่วงใกล้เทศกาลดังกล่าวจึงอยากชวนให้ทุกคนระลึกถึงไปพร้อมกัน






ขอขอบคุณ :-
ข้อมูลจาก : สำนักงานวัฒนธรรม จังหวัดลำปาง และ มหาลัยราชภัฏเทพสตรี
URL : https://www.pptvhd36.com/news/ไลฟ์สไตล์/223760
โดย PPTV Online | เผยแพร่ 15 พ.ค. 2567 ,10:24น.
30  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ส่งคืน “โกลเด้นบอย” สมบัติชาติ ถึงไทย 20 พ.ค. 67 หลังถูกลักลอบขายต่างประเทศ เมื่อ: พฤษภาคม 18, 2024, 06:08:11 am
.



ส่งคืน “โกลเด้นบอย” สมบัติชาติ ถึงไทย 20 พ.ค. 67 หลังถูกลักลอบขายต่างประเทศ

“โกลเด้นบอย” (Golden Boy) ประติมากรรมสัมฤทธิ์ อายุราว 900-1,000 ปี ในพิพิธภัณฑ์ฯ สหรัฐอเมริกา ส่งคืนถึงไทย วันจันทร์ที่ 20 พ.ค. นี้ ที่สนามบินสุวรรณภูมิ หลังทีมงานคนไทยใช้เวลาทวงคืนมายาวนาน พร้อมจัดแสดงไว้ในพิพิธภัณฑสถานพระนคร “กรมศิลปากร” เตรียมระดมผู้เชี่ยวชาญศึกษาเพิ่ม เพราะเป็นความรู้ใหม่ประวัติศาสตร์ไทย



นายพนมบุตร จันทรโชติ อธิบดีกรมศิลปากร กล่าวว่า “โกลเด้นบอย” (Golden Boy) และโบราณวัตถุอีก 1 ชิ้น ที่จัดแสดงอยู่ใน The Metropolitan Museum of Art หรือ The MET ประเทศสหรัฐอเมริกา จะส่งคืนให้ไทย วันจันทร์ที่ 20 พ.ค. 67 ณ สนามบินสุวรรณภูมิ และจะมีกระบวนการผ่านการตรวจสอบของกรมศุลกากร จากนั้นจะนำมาที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร กรุงเทพฯ



จากนั้นจะมีการแถลงข่าวในวันอังคารที่ 21 พ.ค. 67 ถึงความสำเร็จในการนำโบราณวัตถุชิ้นสำคัญกลับคืนมาจากต่างประเทศได้ และมีการให้ความรู้กับประชาชน หลังจากนั้น “โกลเด้นบอย” (Golden Boy) และโบราณวัตถุอีก 1 ชิ้น จะเปิดจัดแสดงที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร กรุงเทพฯ

โบราณวัตถุทั้ง 2 ชิ้น เมื่อสหรัฐฯ ส่งคืนมายังไทยแล้ว ยังต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมอีกหลายเรื่อง โดยเฉพาะ “โกลเด้นบอย” (Golden Boy) จะเป็นความรู้ใหม่ทางวิชาการของไทย จึงต้องศึกษาทั้งส่วนผสม กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในการหล่อและขึ้นรูปแบบโบราณ




ทั้งนี้ จากข้อมูลเดิมระบุว่า (Golden Boy) ประติมากรรมสัมฤทธิ์ มีอายุราว 900-1,000 ปี พิพิธภัณฑ์ฯ ในสหรัฐอเมริกา ที่ส่งคืนไทย ถือเป็นจิ๊กซอว์ประวัติศาสตร์สำคัญของ “พระเจ้าชัยวรมันที่ 6” เชื่อมโยงกับพื้นที่ราบสูงโคราช แต่การทวงคืนครั้งนี้เกือบจะหลุดมือ โชคดีที่นักโบราณคดีไทยไปเจอชุมชนที่ขุดค้นพบ ชี้รอยตำหนิสำคัญ ทำให้อเมริกายอมส่งคืนไทย ถือเป็นโบราณวัตถุสำคัญในการทวงคืนชิ้นอื่นๆ ที่ถูกขโมยไป

สอดคล้องกับข้อมูลที่ไทยรัฐออนไลน์ เคยสัมภาษณ์ ดร.ทนงศักดิ์ หาญวงษ์ นักวิชาการอิสระผู้เชี่ยวชาญด้านโบราณคดี หนึ่งในทีมติดตามทวงคืนวัตถุโบราณ กล่าวว่า โบราณวัตถุ 2 ชิ้น ที่ The Metropolitan Museum of Art หรือ The MET ประเทศสหรัฐอเมริกา ส่งคืนให้ไทย เกือบไม่ได้คืน เนื่องจากหาหลักฐานไปยืนยันไม่ได้ในช่วงแรก ขณะที่กัมพูชามีคณะทำงานทวงคืนที่ติดตามอยู่ตลอด เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงได้นำเสนอกับกรมศิลปากร และได้มอบหมายให้ลงพื้นที่ไปหาข้อมูลนำไปยืนยันกับสหรัฐอเมริกา




ประติมากรรมสัมฤทธิ์ที่รู้จักในชื่อ Golden Boy มีอายุราวพุทธศตวรรษที่ 16 หรือประมาณ 900-1,000 ปี มีความสูง 129 ซม. เป็นวัตถุโบราณชิ้นสำคัญที่กัมพูชาพยายามนำหลักฐานมายืนยันกับสหรัฐอเมริกา เพราะเป็นวัตถุโบราณที่มีความงดงาม แต่ไทยก็หาหลักฐานไปยืนยันจนพบว่าเคยมีการขุดค้นพบ Golden Boy อยู่ในปราสาทโบราณ กลางชุมชนบ้านยางโป่งสะเดา อ.ละหานทราย จ.บุรีรัมย์ ซึ่งชาวบ้านในพื้นที่เมื่อเห็นรูปภาพ ก็ระบุชัดเจนว่ามีครอบครัวหนึ่งในชุมชนเป็นผู้ขุดค้นพบเมื่อปี 2518




จากนั้นได้ขายประติมากรรมสัมฤทธิ์ Golden Boy ให้กับพ่อค้าวัตถุโบราณชาวต่างชาติ ราคา 1 ล้านบาท หลังขายได้ช่วงปี 2518 ทั้งหมู่บ้านจัดงานฉลองใหญ่ 3 วัน 3 คืน สิ่งนี้ทำให้มีพยานบุคคลในหมู่บ้านที่เกิดทันยุคนั้น ระบุได้ถึงการขายโบราณวัตถุดังกล่าว ดังนั้นเรื่องเล่านี้ทำให้คนในหมู่บ้านจำได้แม่น

                                           




Thank to : https://www.thairath.co.th/scoop/theissue/2786363
17 พ.ค. 2567 , 12:09 น. | สกู๊ปไทยรัฐ > THE ISSUE > ไทยรัฐออนไลน์
บทความโดย : ไทยรัฐออนไลน์ / ทีมข่าวเจาะประเด็น
31  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / อุตรดิตถ์จัดงานประเพณี "อัฏฐมีบูชา" ครั้งที่ 69 ที่วัดพระบรมธาตุทุ่งยั้ง เมื่อ: พฤษภาคม 18, 2024, 05:58:36 am
.



อุตรดิตถ์จัดงานประเพณี "อัฏฐมีบูชา" ครั้งที่ 69 ที่วัดพระบรมธาตุทุ่งยั้ง

จ.อุตรดิตถ์ จัดงานประเพณี "อัฏฐมีบูชา" หนึ่งเดียวในโลกแห่งแรกในไทย ครั้งที่ 69 เป็นประเพณีสำคัญของจังหวัด ที่จัดช่วงสัปดาห์วิสาขบูชา รวมระยะเวลา 9 วัน 9 คืน เพื่อน้อมรำลึกถึงองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ระหว่างวันที่ 22-30 พ.ค. 67

เมื่อเวลา 18.00 น. ของวันที่  16 พฤษภาคม 2567 ที่บริเวณวัดพระบรมธาตุทุ่งยั้ง หรือ วัดพระบรมธาตุ ต.ทุ่งยั้ง อ.ลับแล จ.อุตรดิตถ์ นายสหวิช อภิชัยวิศรุตกุล รอง ผวจ.อุตรดิตถ์ พร้อมด้วย นายสุรพันธ์ เจริญทรัพย์ วัฒนธรรมจังหวัดอุตรดิตถ์และนายนันทสิทธิ์ โพธิ์งาม รอง นายก อบจ.อุตรดิตถ์ ร่วมแถลงข่าว การจัดงานประเพณี “อัฏฐมีบูชา”

ซึ่งเป็นแห่งเดียวในโลกและแห่งแรกในประเทศไทย ต่อเนื่องมาปีนี้เป็นครั้งที่ 69 ที่พร้อมยกระดับให้มีความยิ่งใหญ่ ประจำปี 2567 เริ่มงานวันที่ 22-30 พฤษภาคมนี้ ให้ประชาชนมีส่วนร่วมทอผ้าห่มองค์พระบรมธาตุ สักการะหลวงพ่อพระประธานเฒ่า โดยมี หัวหน้าส่วนราชการและ ผู้นำท้องที่ ผู้นำท้องถิ่น ประชาชนชาวตำบลทุ่งยั้ง อ.ลับแล จ.อุตรดิตถ์ ร่วมงานดังกล่าว

นายสุรพันธ์ เจริญทรัพย์ วัฒนธรรมจังหวัดอุตรดิตถ์ กล่าวว่า สำหรับงานประเพณีอัฏฐมีบูชา เป็นงานประเพณีสำคัญของจังหวัดอุตรดิตถ์ ที่ปฏิบัติสืบทอดกันมาอย่างต่อเนื่อง ในช่วงสัปดาห์วิสาขบูชาและอัฏฐมีบูชา ซึ่งตรงกับ วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ถึงวันแรม 8 ค่ำ เดือน 6 รวมระยะเวลา 9 วัน 9 คืน เพื่อน้อมรำลึกถึงองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า สืบต่ออายุพระพุทธศาสนา และสืบสานประเพณีอัฏฐมีบูชาให้คงอยู่ รวมทั้งเป็นการส่งเสริมจิตสำนึกที่ดีของพุทธศาสนิกชนต่อพระพุทธศาสนา




นายสุรพันธ์ เจริญทรัพย์ วัฒนธรรมจังหวัดอุตรดิตถ์ กล่าวว่า วัดพระบรมธาตุทุ่งยั้ง หรือ วัดพระบรมธาตุ ตั้งอยู่ที่กลางเทศบาลตำบลทุ่งยั้ง ต.ทุ่งยั้ง อ.ลับแล จ.อุตรดิตถ์ เป็นวัดโบราณประดิษฐานพระมหาธาตุประจำเมืองทุ่งยั้ง เมืองโบราณตั้งแต่สมัยก่อนสุโขทัย ได้มีการจัดงานอัฏฐมีบูชา การถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระจำลอง ต่อเนื่องกันมาเป็นเวลานาน ตั้งแต่สมัยหลวงพ่อแน่นเป็นเจ้าอาวาส

หลังจากหลวงพ่อแน่นมรณภาพ มิได้มีการจัดงานนี้อีกเลย จวบจนราวปีพุทธศักราช 2502 พระครูสถิตพุทธคุณ เจ้าคณะตำบลทุ่งยั้งในสมัยนั้น ได้เห็นความสำคัญของวันอัฏฐมีบูชา ซึ่งเป็นประเพณีสำคัญที่ชาวเมืองทุ่งยั้งได้ถือปฏิบัติมาแต่โบราณ จึงได้ชักชวนคณะศรัทธา อุบาสก อุบาสิกา ริเริ่มฟื้นฟูประเพณีอัฏฐมีบูชา ของชาวตำบลทุ่งยั้ง อ.ลับแล เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน เพื่อน้อมรำลึกถึงองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงคุณอันประเสริฐต่อพระพุทธศาสนา

วัฒนธรรมจังหวัดอุตรดิตถ์ กล่าวต่อว่า ชาวบ้านทุ่งยั้งที่มีความรู้ในการจักสานพระพุทธเจ้าจำลอง จะร่วมกันสานองค์พระฯ ด้วยไม้ไผ่ ประทับในท่าสีหไสยาสน์ ขนาด 9 ศอก นุ่งห่มด้วยจีวร พร้อมบรรจุในโลงแก้ว และจัดสร้างเมรุมาศจำลอง โดยการใช้ไม้ไผ่ 6 ต้น นำมาเป็นโครงสร้าง ประดับตกแต่งด้วยกระดาษฉลุลายสวยงาม




จังหวัดอุตรดิตถ์ ขอเชิญนักท่องเที่ยว มาร่วมเที่ยวงานประเพณีอัฏฐมีบูชา ครั้งที่ 69 ซึ่งในปีนี้จัดยิ่งใหญ่กว่าทุกปี ภายในงาน เชิญร่วมทอผ้าห่มพระบรมธาตุ เชิญร่วมสรงน้ำพระบรมธาตุ ด้วยน้ำสรงพระราชทาน การเวียนเทียนวิสาขปุรณมี ฟังเทศน์ ปฏิบัติธรรม และชม ชิม ช็อป เลือกซื้อสินค้าพื้นบ้าน อาหารพื้นเมือง ผลิตภัณฑ์ของฝากของที่ระลึก ในตลาดวิถีชมชุนคนทุ่งยั้ง พร้อมชมการแสดงศิลปวัฒนธรรม การสาธิตอาหารและมรดกภูมิปัญญา การร้อยพวงดอกไม้ การร่วมบุญร่วมกุศลในพิธีห่มผ้าพระบรมธาตุ การถวายสลากภัต

ไฮไลต์สำคัญในพิธีเปิดงานในวันที่ 22 พฤษภาคม วันวิสาขบูชา ชมการรำถวายพระบรมธาตุ 999 คน และเวียนเทียนรอบพระบรมธาตุร่วมกัน พร้อมกับชมแสงสีเสียงมินิ “ตำนานเมืองทุ่งยั้งและเวียงเจ้าเงาะ” และในวันสุดท้ายของงานวันอัฐมีบูชา 30 พฤษภาคม เชิญชมขบวนแห่ทางศิลปวัฒนธรรม ขบวนเครื่องสักการะและขบวนเทิดพระเกียรติ จาก 9 อำเภอ ร่วมสรงน้ำและห่มผ้าพระบรมธาตุ

พร้อมกันนี้ ชมการแสดง แสง สี เสียง “พิธีถวายพระเพลิง พระบรมศพพระพุทธเจ้าจำลอง” รวมถึงเลือกซื้อเลือกหาทุเรียนหลงหลินลับแลมาทานได้ตลอดช่วงงาน ครั้งหนึ่งในชีวิตต้องไปร่วมงานบุญประเพณีที่ยิ่งใหญ่ หนึ่งเดียวในโลก งานประเพณีอัฐมีบูชาจังหวัดอุตรดิตถ์ ครั้งที่ 69 อย่าลืมพร้อมใจกันแต่งชุดขาว ไปร่วมงานประเพณีอัฐมีบูชา ในวันที่ 22-30 พฤษภาคม 2567 ที่วัดบรมธาตุทุ่งยั้ง ต.ทุ่งยั้ง อ.ลับแล จ.อุตรดิตถ์.







Thank to : https://www.thairath.co.th/news/local/localbusiness/2786396
17 พ.ค. 2567 ,14:30 น. | ข่าว > ทั่วไทย > เศรษฐกิจท้องถิ่น > ไทยรัฐออนไลน์
32  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 5 ที่ปฏิบัติธรรม เรียนรู้เจริญสติ สงบทั้งกาย วาจา ใจ เมื่อ: พฤษภาคม 17, 2024, 06:10:39 am
.



5 ที่ปฏิบัติธรรม เรียนรู้เจริญสติ สงบทั้งกาย วาจา ใจ

สติ คือ พื้นฐานของทุกสรรพสิ่ง นำมาซึ่งปัญญาอันแตกฉาน แม้เป็นนามธรรมที่ง่ายต่อการเข้าถึง แต่ก็กลายเป็นเรื่องยากสำหรับใครหลายคน

วิสาขบูชานี้ ถือเป็นวันพระใหญ่ที่สำคัญต่อชาวพุทธอย่างมาก คงจะดีไม่น้อยหากได้เจริญสติทำใจให้สงบ พร้อมสำหรับการใช้ชีวิตในวันข้างหน้า ที่เราก็ไม่รู้เลยว่าจะมีปัญหาดาหน้าเข้ามามากน้อยเพียงใด

เคยคิดไหมว่าทำไมเวลาคนมีปัญหาหรืออยากดึงสติ จะต้องไปบวช จนวัดกลายเป็นหลุมหลบภัยทางโลกที่คนมักจะไปมากที่สุด ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะบรรยากาศที่สงบเหมาะแก่การฝึกกำหนดรู้ ปัจจุบันนอกจากวัดแล้วยังมีสถานที่ปฏบัติธรรมที่สร้างขึ้นเฉพาะให้เราได้แสวงแสงแห่งธรรม ใครรู้สึกว่าช่วงนี้จิตฟุ้งซ่าน จดพิกัดพีพีทีวีเอามาฝากไว้เลย!





เช็กลิสต์ 8 ข้อเตรียมตัวก่อนไปปฏิบัติธรรม

   1. การแต่งกาย ผู้หญิง ควรใส่เสื้อสีขาว (ไม่รัดรูป คอไม่กว้าง) ผ้าถุงสีขาว ส่วนผู้ชาย ควรใส่เสื้อสีขาว กางเกงขายาวสีขาว
   2. ผ้าห่ม / ถุงนอน / เครื่องนอนส่วนตัว
   3. เครื่องใช้ส่วนตัวในห้องน้ำ (ผ้าเช็ดตัว สบู่ ยาสีฟัน แปรงสีฟัน ยาสระผม ฯลฯ)
   4. รองเท้าแตะ รองเท้าฟองน้ำ เพื่อสะดวกในการเดิน
   5. ไฟฉาย
   6. ยากันยุง
   7. ของใช้ส่วนตัวที่จำเป็น
   8. ปล่อยวางความเครียด เตรียมร่างกายให้แข็งแรง และจิตใจให้สงบพร้อมปฏิบัติธรรม

@@@@@@@

5 สถานที่ปฏิบัติธรรม รู้เท่าทันจิตที่เปลี่ยนแปลง



เสถียรธรรมสถาน


เสถียรธรรมสถาน บางเขน จ.กรุงเทพฯ และ หุบเขาโพธิสัตว์ จ.เพชรบุรี

    "ทำให้ทุกพื้นที่ของการภาวนาอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ เข้าใจธรรมชาติ อย่างรู้ ตื่น และเบิกบาน ผ่านวิถีชีวิตของหุบเขาโพธิสัตว์" แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต

ที่ เสถียรธรรมสถาน มีกิจกรรมการปฏิบัติธรรมมากมายให้เลือกตามความสนใจ ไม่ว่าจะมาเดี่ยวหรือกลุ่ม หรือครอบครัว แต่ที่แนะนำสำหรับคนที่เวลาน้อย เหมาะกับ กิจกรรม Spiritual Trip

เพื่อเติมเต็มกายใจ กับ 1 วันในเสถียรธรรมสถาน ด้วยการปฏิบัติภาวนากับวิถีชีวิตอันหลากหลายเพื่อการเดินทางสู่โลกภายในตนเอง เติมเต็มจิตวิญญาณให้สัมผัสถึงชีวิตที่สุขง่ายใช้น้อย เพียงรู้จักการมีสติในลมหายใจและการเคลื่อนไหว

และในวันวิสาขบูชา 22 พฤษภาคม 2567 ที่เสถียรธรรมสถาน หุบเขาโพธิสัตว์ จังหวัดเพชรบุรี ได้มีการจัดกิจกรรมทางศาสนาฏิบัติบูชาเพื่อน้อมถวามแด่ผู้มีพระภาคเจ้าอีกด้วย

เปิดทุกวันเวลา 9.00 น. – 16.00 น.
โทร : 02 519 1119 
Email : sdsweb.webmaster@gmail.com



วัดธารน้ำไหล หรือ สวนโมกขพลาราม


สวนโมกขพลาราม วัดธารน้ำไหล จ.สุราษฎร์ธานี

สวนโมกขพลาราม หรือชื่อเรียกทางการว่า “วัดธารน้ำไหล” ถือเป็นสถานปฏิบัติธรรมชั้นแนวหน้าของเมืองไทยเป็นแหล่งบ่มเพาะเรียนรู้พระพุทธศาสนา ที่มีผู้ศรัทธามากแห่งหนึ่ง ด้วยภายในอาณาบริเวณของสวนโมกข์ มีความร่มรื่น สงบ เหมาะสำหรับการปฏิบัติธรรม กล่อมเกลาจิตใจและศึกษาพระพุทธศาสนา

เปิดทุกวัน เวลา 08.00-17.00 น.
ที่อยู่ : วัดธารน้ำไหล 68/1 หมู่ 6 ต.เลม็ด อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี 84110
โทร : 0-7743-1597, 0-7743-1661-2
เว็บไซต์ : suanmokkh



วัดป่านานาชาติ


วัดป่านานาชาติ จ.อุบลราชธานี

วัดป่านานาชาติเป็นวัดสายวิปัสสนากรรมฐาน และยึดปฏิปทาพร้อมทั้งข้อวัตรปฏิบัติของหลวงปู่ชาเป็นหลัก เพราะฉะนั้นวัดป่านานาชาติเน้นการศึกษาและปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน แนะนำชีวิตบรรพชิตให้ชาวต่างชาติ ทั้งยังใช้ภาษาอังกฤษในการอบรมเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของวัดป่านานาชาติ การทำวัตรเช้าทำวัตรเย็นจึงแปลเป็นภาษาอังกฤษควบคู่กับภาษาบาลี

เปิดทุกวัน เวลา 06.00 - 18.00 น.
ที่อยู่ : บ้านบุ่งหวาย ตำบลบุ่งหวาย อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี
โทร : 089-9494559
เว็บไซต์ : www.watpahnanachat.org



สำนักวิปัสสนากรรมฐาน วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์


สำนักวิปัสสนากรรมฐาน วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ จ.กรุงเทพฯ

สถานปฎิบัติธรรมใจกลางกรุงเทพตั้งอยู่ในวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์ราชวรมหาวิหารที่เก่าแก่ สร้างตั้งแต่สมัยอยุธยา รอบด้วยสถานที่สำคัญ อาทิ วัดพระแก้ว สนามหลวง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร เดินทางสะดวก เป็นสถานที่ที่สัปปายะ เงียบสงบ เหมาะแก่การปฏิบัติธรรม (ปิดวาจา)

ศูนย์ปฎิบัติฯ สอนวิปัสสนากรรมฐานให้แก่ชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีความสนใจ นอกจากนี้ยังได้รับรางวัลการันตีเป็นสำนักปฎิบัติธรรมประจำจังหวัดดีเด่นพ.ศ. 2556 และ รางวัลศูนย์วิปัสสนาดีเด่นของกรุงเทพประจำปี 2566

ที่อยู่ : 3 ถนน ท่าพระจันทร์ แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร 10200
โทร : 022226011 หรือ 022236878
เว็บไซต์ : watmahathat.com



วัดร่ำเปิง จ.เชียงใหม่


วัดตโปทาราม (ร่ำเปิง) จ.เชียงใหม่

    “กินน้อย พูดน้อย นอนน้อย ปฏิบัติเยอะ” 

สถานที่ฝึกปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามแนวสติปัฏฐาน 4 สำหรับพระภิกษุ สามเณร และประชาชน ปัจจุบันมีชาวไทยและชาวต่างประเทศ สนใจมาปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานกันอย่างมากมาย นอกจากนี้วัดนี้เป็นแห่งแรกที่มีพระไตรปิฏกฉบับล้านนา อีกทั้งเป็นแหล่งรวบรวมที่มีพระไตรปิฏกฉบับภาษาต่าง ๆ มากที่สุดในโลก

วันเวลาติดต่อ

- ลงทะเบียนเข้าปฏิบัติธรรมที่สำนักงานแม่ชี (สำนักปฏิบัติธรรมฝ่ายหญิง) หรือสำนักสงฆ์ (สำนักปฏิบัติธรรมฝ่ายชาย) เวลา  7.00 น. ทุกวัน (ยกเว้น วันพระ)
- พิธีรับพระกรรมฐาน และรับศีล 8 เวลา 8:00 น. ของทุกวัน (ยกเว้นวันพระ)
- พิธีลาศีล 8 (กลับบ้าน) และรับศีล 5 เวลา 6:00 น. (หลังทำวัตรเช้า) ของทุกวัน

ที่อยู่ : วัดร่ำเปิง (ตโปทาราม) เลขที่ 1 หมู่ 5 ต. สุเทพ อ. เมือง จ. เชียงใหม่ 50200
เว็บไซต์ : https://www.watrampoeng.com/






ขอขอบคุณ :-
ที่มา : สารสนเทศท้องถิ่นอีสาน ณ อุบลราชธานี Mahathatu Temple Bangkok
URL : https://www.pptvhd36.com/news/ไลฟ์สไตล์/224001
โดย PPTV Online | เผยแพร่ 16 พ.ค. 2567 ,16:22 น.
33  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / รวม “3 หลักธรรมเกี่ยวกับวันวิสาขบูชา” คำสอนที่ชาวพุทธควรปฏิบัติ เมื่อ: พฤษภาคม 17, 2024, 05:40:01 am
.



รวม “3 หลักธรรมเกี่ยวกับวันวิสาขบูชา” คำสอนที่ชาวพุทธควรปฏิบัติ

“วันวิสาขบูชา” วันที่เกิดเหตุการณ์สำคัญกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึง 3 เหตุการณ์ และยังเกิดเป็นหลักธรรมคำสอนให้ชาวพุทธได้ยึดถือปฏิบัติกันมาอย่างยาวนาน

“วันวิสาขบูชา” ในปี 2567 นี้ ตรงกับวันพุธที่ 22 พฤษภาคม วันสำคัญทางพระพุทธศาสนาที่พุทธศาสนิกชนพึงระลึกถึงอยู่เสมอ เพราะได้เกิดเหตุการณ์สำคัญที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และนั่นทำให้เกิดเป็น “หลักธรรมคำสอน” ที่สำคัญ และสามารถนำมาเผยแผ่ต่อชาวพุทธ เพื่อเป็นแนวทางในการยึดถือปฏิบัติในการดำเนินชีวิตอย่างสงบสุข

มาศึกษาหลักธรรมเหล่านี้ กับ “3 หลักธรรม ในวันวิสาขบูชา”





3 หลักธรรมในวันวิสาขบูชา

1. ความกตัญญู ความกตัญญูหรือการรู้คุณคน มาคู่กับคำว่า “กตเวที” หมายถึง การตอบแทน การมีความกตัญญูกตเวที ส่งผลให้ครอบครัวมีความสุข และทำให้สังคมน่าอยู่มากขึ้น เพราะความกตัญญู ไม่จำเป็นต้องปฏิบัติต่อพ่อแม่อย่างเดียว แต่สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งกับคุณครูและศิษย์ นายจ้างกับลูกจ้าง เป็นต้น





2. อริยสัจ 4 คือ ความจริงอันประเสริฐ 4 ประการที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ในวันวิสาขบูชา ได้แก่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค

  • ทุกข์ คือ ปัญหาของชีวิต สภาวะที่ทนได้ยาก ทำให้เกิดความทุกข์ใจ ไม่ว่าจะเป็นการเกิด การแก่ เจ็บ และการตาย ล้วนเป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนต้องเผชิญ รวมถึงทุกข์ที่เกิดขึ้นจากการดำเนินชีวิตประจำวัน เช่น การพลัดพรากจากสิ่งที่เป็นที่รัก
  • สมุทัย คือ ต้นเหตุของปัญหา หรือสาเหตุของการเกิดทุกข์ ซึ่งส่วนใหญ่ของปัญหา เกิดจาก “ตัณหา” ได้แก่ ความอยากได้ อยากมี อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
  • นิโรธ คือ ความดับทุกข์ เป็นสภาพที่ความทุกข์หมดไป เพราะสามารถดับกิเลส ตัณหา อุปาทานออกไปได้
  • มรรค คือ หนทางที่นำไปสู่การดับทุกข์ เป็นการปฏิบัติเพื่อแก้ปัญหา มี 8 ประการ ได้แก่ สัมมาทิฏฐิ (ปัญญาอันเห็นชอบ) สัมมาสังกัปปะ (ความดำริชอบ) สัมมาวาจา (การเจรจาชอบ) สัมมากัมมันตะ (การงานชอบ) สัมมาอาชีวะ (การเลี้ยงชีพชอบ) สัมมาวายามะ (ความเพียรชอบ) สัมมาสติ (ความรำลึกชอบ) สัมมาสมาธิ (ความตั้งใจมั่นชอบ)
   
3. ความไม่ประมาท คือ การมีสติอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะทำ พูด หรือคิดอะไร ล้วนต้องใช้สติ เพราะสติ คือการระลึกได้ การระลึกได้อยู่เสมอจะทำให้เราใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท และความประมาทจะทำให้เกิดปัญหายุ่งยากตามมา





ขอขอบคุณ :-
ข้อมูล : สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดพัทลุง , มูลนิธิอุทธยานธรรม ,  มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
URL : https://www.pptvhd36.com/news/ไลฟ์สไตล์/223949/amp
โดย : PPTV ONLINE | 13:41 น. , 16 พ.ค. 2567
34  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ฮือฮาสองฝั่งโขง! ขุดพบพระประธานโบราณริมโขง เชื่อเป็น “พระเจ้าตนหลวง” เมื่อ: พฤษภาคม 17, 2024, 05:28:09 am
.



ฮือฮา..สองฝั่งโขง.! ขุดพบพระประธานโบราณริมโขง เชื่อเป็น “พระเจ้าตนหลวง”

โซเชียลฮือฮา! ขุดพบพระประธานโบราณขนาดใหญ่ริมแม่น้ำโขง ชาวลาวเชื่อเป็น “พระเจ้าตนหลวง” โปรดปวงชนให้อยู่เย็นเป็นสุข

จากกรณีชาวบ้านเมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว พบพระพุทธรูปเก่าแก่ หลายองค์ ที่ริมฝั่งแม่น้ำแม่โขง ตรงข้าม อ.เชียงแสน จ.เชียงราย ประเทศไทย เมื่อช่วงเดือน มี.ค.ที่ผ่านมานั้น ล่าสุดปรากฎว่ามีการค้นพบพระพุทธรูปขนาดใหญ่เพิ่มอีกองค์

โดยเฟซบุ๊ก “ขัตติยะบารมี ขัตติยะ” ได้โพสต์ภาพการค้นพบพระพุทธรูปขนาดใหญ่ พร้อมระบุว่า “กำลังกู้องค์พระเจ้าตนหลวงเพื่อนำขึ้นมาโปรดปวงชนมวลมนุษย์ให้อยู่เย็นเป็นสุข” นอกจากนั้นยังแสดงความเห็นอีกว่าพระพุทธรูปขนาดใหญ่เป็นองค์พระประธาน

อย่างไรก็ตามหลังจากโพสต์ดังกล่าว ได้มีผู้ใช้เฟซบุ๊กทั้งชาวลาวและชาวไทยเข้ามาแสดงความคิดเห็นจำนวนมาก โดยส่วนใหญ่พากันชื่นชมความสวยงามของพระพุทธรูปองค์ดังกล่าว










Thank to : https://www.pptvhd36.com/news/สังคม/224006
โดย PPTV Online | เผยแพร่ 16 พ.ค. 2567 ,19:14น.
35  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / กมฺมุนา วตฺตตีโลโก | “วัฏจักรแห่งชีวิต” มี 10 ขั้นตอน เมื่อ: พฤษภาคม 16, 2024, 07:09:06 am
.



กมฺมุนา วตฺตตีโลโก | “วัฏจักรแห่งชีวิต” มี 10 ขั้นตอน

การศึกษาว่าด้วย “วิทยาศาสตร์สุขภาพ” ไม่ว่าจะเป็นสายทางโลกหรือสายทางธรรมไม่ได้แตกต่างกันเท่าใด หากวิเคราะห์ดูแล้ววงจรชีวิตของคน หรือที่ว่าด้วย “ชีวิต” หนี “กฎแห่งธรรมชาติ” ไม่พ้น ในวงจรชีวิตภาษาธรรมะ เวลาที่เราไปวัด โดยเฉพาะงานศพ ตอนสวดพระอภิธรรมจะพบเห็นตาลปัตรของพระสงฆ์ 4 รูป ขึ้นสวดพระอภิธรรมว่า “ไปไม่กลับ หลับไม่ตื่น ฟื้นไม่มี หนีไม่พ้น” หรือจะเข้ากับ “ไตรลักษณ์” ที่ว่า “อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา”

แต่หากพิจารณาให้ถ่องแท้แล้ว “วัฏจักรแห่งชีวิต” มี 10 ขั้นตอน

1. เกิด : เป็นช่วงที่เด็กทารกอยู่ในครรภ์มารดา ช่วงเวลา 9 เดือน เมื่อครบกำหนดคลอดออกมาดูโลก ด้วยอวัยวะครบ 32 ประการ มีน้ำหนักตัวเฉลี่ย 2,500-3,500 กรัม

2. เด็ก : เป็นช่วงอายุ 0-12 ปี เป็นเด็กอ่อน มารดาโอบอุ้มเลี้ยงดู กระตุ้นพัฒนาการให้มีสติปัญญาอารมณ์เข้ากับสังคมได้ดี เข้าเรียนวัยก่อนอนุบาล อนุบาล ประถมศึกษา เรียนรู้กล่อมเกลาจากครูอาจารย์

3. หนุ่ม : เป็นช่วงอายุทีนเอจ (Teenage) อายุ 13-19 ปี เด็กเข้าเรียนชั้นมัธยมศึกษา ประมาณอายุ 17-18 ปี

4. รับปริญญา ประมาณอายุ 17-18 ปี เข้าเรียน “มหาวิทยาลัย” อีก 4-6 ปี ก็จะจบปริญญา ประมาณอายุ 21-24 ปี ได้รับความรู้ประสบการณ์จากอาจารย์มหาวิทยาลัย เพื่อนๆ

5. เข้าทำงาน หรือได้รับการศึกษาประสิทธิ์ประสาทปริญญาแล้ว ไปสมัครงานเข้าทำงาน ไม่ว่าจะทำธุรกิจที่บ้านเอง รับราชการ เป็นลูกจ้างร้านค้า รัฐวิสาหกิจ มีเงินเดือนหารายได้เป็นของตัวเอง

6. แต่งงาน : พอมีเงินมีหลักมีฐาน พอมีรายได้เข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ ก็จะพบคู่ คู่รัก คู่เพื่อน ช่วงวัย 25-35 ปี หากดวงสมพงศ์ก็จะเข้าประตูวิวาห์ตามกรอบวัฒนธรรมประเพณี มีหลักฐานของชีวิตตามที่พ่อแม่คาดหวังจากลูกทุกคนที่เป็นบัณฑิต มีครอบครัว เป็นหลักเป็นฐาน

7. เลี้ยงลูก : ครอบครัวที่อบอุ่นสมหวังคือการมี “ทายาท” ไว้สืบตระกูลเป็นชายก็ได้หญิงก็ดี เป็นลูกที่เกิดมาสมบูรณ์ครบทุกประการ เราทั้งสองที่เป็นคู่สามีภรรยาก็จะมีสถานะเป็น “คุณพ่อคุณแม่” ของลูกซึ่งจะเข้าวงจรที่เรา “จุติ” มาเกิดจากท้องพ่อ-แม่ของเรา และเลี้ยง “ลูก” ของเราให้เจริญเติบโต ฟูมฟักกล่อมเกลาเหมือนกับปู่ย่า ตายาย ที่คลอดและเลี้ยงเรามาอย่างน้อยก็ให้ดีเท่าหรือดีกว่าพ่อแม่ที่คลอด เลี้ยงเรามาพร้อมกับฐานะให้ “มั่นคง มีกิน มีใช้ ตามสมควร” เป็นรากฐานให้ลูก ช่วงนี้ก็จะอายุ 35-50 ปี

8. แก่ชรา : หากเรามีลูก 1-2 คน ท่านหากินอายุล่วงเข้า 50-60 ปีขึ้นไป เข้าสู่วัยทอง เข้าสู่วัยชรา หน้าที่นอกจากทำมาหากิน เราต้องดูแลสุขภาพกายและจิตของเรา เรื่องอาหารการกิน การออกกำลังกาย อารมณ์ เลี่ยงอบายมุขทั้งปวงด้วย ก็จะไม่ป่วยไข้และอายุยืนยาวในที่สุด

9. เจ็บป่วย : ด้วยอายุ 60 ปีขึ้นไป ถึง 70-80 ปี ดูแลสุขภาพ “3อ 3ลด” จากที่กล่าวแล้วควรจะต้องตรวจเช็กสุขภาพกายใจทุกปี ปีละอย่างน้อย 1-2 ครั้ง โดยเฉพาะการเกิดโรคไม่ติดต่อ คือเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคจิตประสาท โรคมะเร็ง อุบัติเหตุ เพราะเราสามารถจะป้องกันได้ด้วย “3อ 3ลด” แต่ด้วยเรื่องสังขารหนีไม่พ้น เรื่อง “การเจ็บป่วย” ด้วยวัยอันควรตามฐานะย่อมต้องเกิดแต่กว่าจะเกิดก็ขอให้อายุมากกว่า 80 ปีขึ้นไป และจะเข้าสู่บันไดข้อที่…

10. ตาย : ซึ่งเป็นบันไดขั้นสุดท้ายที่ทุกคนต้องถึงหลักชัยในชีวิตของทุกๆ คน พึงจะต้องถึงแน่ๆ แต่ขอให้จบชีวิตด้วย “ความสุขที่ได้บังเกิด อย่างมีคุณภาพชีวิตที่ดี”




    ⦁ “วิถีทางแห่งชีวิต” ทางธรรมะ กล่าวว่า “ยงฺกิญฺจิ สมุทยธมฺมํ สพฺพนฺตํ นิโรธธมฺมํ สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดเป็นธรรมดา สิ่งนั้นล้วนดับไปเป็นธรรมดา”

    ⦁ เราเกิดมาจากไหนใครไม่รู้ จะไปสู่แห่งไหนใครไม่เห็น จะตายเช้าหรือสาย บ่ายหรือเย็น ไม่มีเว้นทุกคนจนปัญญา แต่ว่าชีวิตที่เกิดมาจะเป็น “คนหรือมนุษย์”

    ⦁ “คน” เป็นสัตว์โลกชนิดหนึ่ง ซึ่งมีความเป็นอยู่เหมือนสัตว์ทั้งหลาย คือ มีการกิน การนอน การกลัว การสืบพันธุ์

ส่วน “มนุษย์” นั้นสูงกว่า “คน” เพราะมีธรรมของมนุษย์ คือมี “เบญจศีล เบญจธรรม” มนุษย์มีความหมาย 2 อย่าง คือ
   1. ผู้มีใจสูง (มโน อุสฺโส อัสฺสาติ, มนุสโส)
   2. ผู้รู้สิ่งที่เป็นประโยชน์และไม่เป็นประโยชน์ (หิตาหิตํ มนติชานาติ มนุสฺโส)
 
   ดังคำกลอนที่ว่า
  “เป็นมนุษย์ เป็นได้ เพราะใจสูง  เหมือนหนึ่งยูง มีดี ที่แววขน
   ถ้าใจต่ำ เป็นได้ แต่เพียงคน  ยอมเสียที ที่ตน ได้เกิดมา
   คิดดูเถิด ถ้าใคร ไม่อยากตก  จงรีบยก ใจตน รีบขวนขวาย
   ให้ใจสูง เสียได้ ก่อนตัวตาย  ก็สมหมาย ที่เกิดมา อย่าเชือนเอย”


@@@@@@@

“คนกับกรรม” : คนทำความดีได้ง่าย แต่ทำชั่วได้ยาก คนชั่วทำความชั่วได้ง่าย แต่กลับทำดีได้ยาก แต่ที่ได้กล่าวเบื้องต้นแล้วว่า “คนกับมนุษย์” นั้นต่างกัน

   ขอกล่าวซ้ำอีกครั้งหนึ่งที่ว่า มนุษย์ คือ สัตว์โลกที่มีจิตใจสูง มีเหตุผลมี “ศีลธรรม”
   ส่วนคน เป็นสัตว์โลกที่มีจิตใจต่ำ ไม่มีศีลธรรม ไม่มีเหตุผล
   คำว่า “มนุษยธรรม” จึงแปลว่า “ธรรมที่ทำคนให้เป็นมนุษย์” ที่สมบูรณ์ทั้งร่ายกายและจิตใจ เมื่อพัฒนาจิตใจจาก “คน” ขึ้นมาเป็น “มนุษย์” ได้ก็ถือเป็น “คนดี” นั่นเอง

คำว่า “กรรม” เป็นคำกลางๆ แปลว่า “การ กระทำ” ทำดี เรียกว่า “กรรมดี” หรือ “กุศลกรรม” ทำชั่ว เรียกว่า “กรรมชั่ว” หรือ “อกุศลกรรม” ทั้งกรรมดีและกรรมชั่วนี้ทำได้หรือเกิดได้ 3 ทาง คือ ทางกาย ทางวาจา ทางใจ (คิด)

ตัวอย่างง่ายๆ : เรารับประทานอาหาร เป็น “กรรม” กรรมอิ่มเป็นผลของกรรม คือ “วิบากของการรับประทาน” แล้วเราอิ่มก็เป็นของเรา คนอื่นจะอิ่มแทนเราไม่ได้ จึงเป็นกฎตายตัวเลยว่า ใครก็ตามที่ “ทำกรรม” แล้ว จะต้องเป็นผู้รับผลของกรรมเสมอ

พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้และให้คิดอยู่เสมอว่า “เรามีกรรมเป็นของของตน จะต้องเป็นผู้รับผลของกรรม มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย ใครทำกรรมอันใดไว้ จะดีหรือชั่วก็ตาม จะเป็นผู้รับผลของกรรมนั้นๆ”

หรืออาจกล่าวได้ว่า “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” นี้เป็นกฎความจริงธรรมดา ที่จะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ เราปลูกต้นมะม่วงก็จะออกผลมาเป็นมะม่วง จะเป็นผลทุเรียนไปไม่ได้

มีผู้คิดอย่างพาลว่า “ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป” นั้นอยากจะบอกว่านั่นไม่จริงหรอก คนที่พูดอย่างนี้ เพราะเขาทำความดีไม่เป็น ไม่เข้าใจว่าการทำดีนั้นจะต้องให้มี 3 ดี คือ “ถูกดี ถึงดี และพอดี”

ถูกดี : ก็คือ ทำดีให้ถูกกาลเทศะให้ถูกจังหวะ และพอเหมาะพอควร
ถึงดี : ก็คือ ทำดียังไม่ทันถึงดี ก็เบื่อหน่ายท้อแท้ เกียจคร้าน เลิกทำดีเสียแล้ว
พอดี : ก็คือ บางคนทำดีเกินพอดี ล้ำหน้าเพื่อนฝูง เอาเด่นเอาดังคนเดียว อย่างนี้จะดีได้อย่างไร หรือพูดง่ายๆ ก็คือ “ทำดีต้องใจบริสุทธิ์”




    ⦁ ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี ที่ได้โปรดชี้ธรรมไว้นิมิต หลังจากที่ท่านล่วงลับไปแล้วเมื่อ 100 ปีกว่า กล่าวว่า

     “ลูกเอ๋ย ก่อนจะเที่ยวไปขอบารมีหลวงพ่อองค์ใด เจ้าจะต้องมีทุนของตัวเอง คือ บารมีของตนลงทุนไปก่อนเมื่อบารมีของเจ้าไม่พอ จึงค่อยขอยืมบารมีคนอื่นมาช่วย มิฉะนั้นเจ้าเอาตัวไม่รอด
      เพราะหนี้สินในบุญบารมีที่เที่ยวไปขอยืมมาจนพ้นตัว เมื่อทำบุญทำกุศลได้ บารมีมาก็ต้องเอาไปผ่อนใช้หนี้เขาจนหมด ไม่มีอะไรเหลือติดตัว แล้วเจ้าจะมีอะไรไว้ภพหน้า
      หมั่นสร้างบารมีไว้ แล้วฟ้าดินจะช่วยเอง จงจำไว้นะ เมื่อยังไม่ถึงเวลา เทพเจ้าองค์ใดจะคิดช่วยเจ้าไม่ได้ ครั้นถึงเวลา ทั่วฟ้าจบดิน ก็ต้านเจ้าไม่อยู่ จงอย่าไปเร่งเทวดาฟ้าดิน เมื่อบุญเราไม่เคยสร้างไว้เลย จะมีใครที่ไหนมาช่วยเจ้า…”


นี่คือคำเทศน์ของท่านเจ้าประคุณสมเด็จพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี อันเป็นปฐมเหตุที่ต้องสร้างความดีอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

อนึ่ง เรามักจะได้ยินได้ฟังเสมอว่า การทำบุญให้ทานจะมีผลมาก มีอานิสงส์ไพศาล ถ้าประกอบด้วยองค์ 6 ประการ คือ

    1. ก่อนให้มีใจผ่องใสชื่นบาน
    2. เมื่อกำลังให้จิตใจผ่องใส
    3. เมื่อให้แล้วก็มีความยินดีไม่เสียดาย
    4. ผู้รับเป็นผู้ปราศจากราคะ หรือกำลังปฏิบัติเพื่อลดราคะ
    5. ผู้รับเป็นผู้ปราศจากโทสะ หรือกำลังปฏิบัติเพื่อลดโทสะ
    6. ผู้รับเป็นผู้ปราศจากโมหะ หรือกำลังปฏิบัติเพื่อลดโมหะ

นั่นคือ ถ้าหากเรา “คิด พูด ทำ” ด้วยการทำ “กรรมดี”
    ไม่ฆ่าสัตว์ คนอายุยืน
   “ไม่เบียดเบียนสัตว์” สุขภาพดี
   “อดทนไม่โกรธ” ผิวพรรณดี
   “ไม่ริษยาคนอื่น” มีเดชานุภาพมาก
   “บริจาคทาน” มีสมบัติมาก
   “อ่อนน้อม” มีตระกูลสูงศักดิ์
   “คบแต่บัณฑิต” มีปัญญามาก
“ผลการทำกรรมดี ย่อมได้ผลดีตามมา” นั่นคือ “สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม”

    @@@@@@@

ท้ายสุดขอฝากแฟนๆ มติชนทุกท่าน ด้วยการดูแลสุขภาพของตนเองและคนในครอบครัวให้ปลอดจากโรคไวรัสโควิด-19 ด้วยหลัก 5 ประการ คือ

    1. เร่งฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้ตัวเราเองให้ครบ อย่าลืม “3อ” ออกกำลังกาย ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ อารมณ์ดี 3ลด : ลดอ้วน ลดละเหล้า ลดละบุหรี่
    2. ใส่ Mask 100% ทุกที่ทุกเวลา
    3. กินร้อนช้อนส่วนตัว อาหารจานเดียว แยกกันทาน
    4. ล้างมือบ่อยๆ ด้วยสบู่ แอลกอฮอล์
    5. สังเกตตัวเอง ถ้ามีอาการไข้หวัด ไข้สูงมากกว่า 37.5 องศา หายใจขัด รีบไปพบแพทย์ทันทีเพื่อตรวจว่าติดเชื้อโควิด-19 หรือไม่ ไงเล่าครับ

                                            ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.นพ.วิชัย เทียนถาวร
                                                   อดีตปลัดกระทรวงสาธารณสุข






ขอบคุณที่มา : https://www.matichon.co.th/article/news_2905914
วันที่ 26 สิงหาคม 2564 -12:33 น. | ผู้เขียน : วิชัย เทียนถาวร
36  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / พระพรหมที่ยังมีลมหายใจ เมื่อ: พฤษภาคม 16, 2024, 06:46:00 am
.



พระพรหมที่ยังมีลมหายใจ
คอลัมน์ทำมาธรรมะ โดย ราชรามัญ

ผมเคยไปเป็นวิทยากรที่โรงเรียนวิถีพุทธปัญญาประทีป ในอำเภอปากช่องจังหวัดนครราชสีมา อยู่ติดกับสำนักสงฆ์บ้านไร่ทอสี พอทราบว่ามีพระเถระรูปสำคัญอย่างท่านเจ้าประคุณ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ประยุทธ ปยุตฺโต)​ และท่านพระอาจารย์ชยสาโร พำนักจำวัดอยู่ ยิ่งทำให้หัวใจพองโตยิ่งนัก

พระอาจารย์ชยสาโร เคยพบท่านครั้งแรกสมัยผมเป็นนักเขียนในนิตยสารโลกทิพย์ ไปกราบท่าน สนทนากับท่านที่วัดป่านานาชาติ เป็นวัดสาขาของวัดหนองป่าพง ที่อุบลราชธานี ขณะนั้นท่านเป็นประธานสงฆ์ หรือ เจ้าอาวาส ที่นั่นมีแต่พระภิกษุชาวยุโรป อเมริกา และทั่วโลกจำวัดศึกษาปฏิบัติธรรม จำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว...

วันนี้พระอาจารย์ชยสาโร พระป่าสายหลวงพ่อชา วัดหนองป่าพง ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯเป็นพระราชาคณะชั้นรอง ที่พระพรหมพัชรญาณมุนี ก็ต้องเรียกท่านด้วยความเคารพว่า ท่านเจ้าคุณ จึงเหมาะแก่กาลเทศะยิ่ง

ท่านเป็นพระที่มุ่งมั่นในการเผยแผ่ธรรม และมีปฏิปทาที่งดงามเพียบพร้อมศีลและธรรม ท่านอธิบาย เรื่องภาวะอารมณ์ของการปฏิบัติธรรม ในแต่ละช่วงแต่ละตอนได้อย่างละเอียดมากกว่าที่ตำราเขียนไว้ เพราะทุกถ้อยคำล้วนมาจากประสบการณ์จริงที่ท่านได้ปฏิบัติอย่างเคร่งครัด

@@@@@@@

ครั้งหนึ่งเคยกราบเรียนถามท่านว่า มาศึกษาธรรมะ นั่งสมาธิภาวนาแบบนี้ เคยพบเทวดาบ้างไหม ถามครั้งแรกท่านก็ยิ้มน้อยๆ แต่ไม่ตอบ ถามครั้งที่ 2 ท่านก็นิ่งเฉย พอถามครั้งที่ 3 ท่านก็เลยเบาๆว่า

"เป็นธรรมดาของนักปฏิบัติ"

การถาม เป็นการที่ผมอยากรู้จริงๆ ว่าเทวดาจะมาหาแต่พระไทยหรือไม่ ปรากฏว่า จากคำตอบของท่านก็ทำให้อนุมานทราบได้ว่า เทวดานั้น มิได้เลือก ว่าเป็นพระไทยหรือพระต่างประเทศ ถ้ามีปฏิปทางดงามยิ่ง ก็จะเกิดความเคารพศรัทธาคอยดูแลปกป้อง ให้รอดปลอดภัย ในการดำรงสมณะเพศ

อีกสิ่งหนึ่งที่ บรรดาศิษย์ยานุศิษย์ ต่างกล่าวเป็นเสียงเดียวกัน คือท่านเป็นพระที่มากด้วยความเมตตา ความกรุณาเต็มหัวใจ ท่านมองโลกมองบุคคลทั้งหลาย ด้วยพึงอาศัยหลักแห่งธรรมในเชิงกุศล หรือพูดง่ายๆ ว่าท่านเป็นคนที่มีแนวคิด ทัศนคติไปในเชิงบวก โดยมีหลักธรรมสอดแทรกในการพิจารณาอยู่ตลอดเวลา




แม้ว่าท่านจะได้รับการแต่งตั้งมีสมณศักดิ์ แต่ปฏิปทาในการปฏิบัติตามแนวทางวัดป่าของท่านนั้นก็ไม่เคยเปลี่ยน เคยฟังท่านอธิบายอารมณ์ภาวนาสมาธิ เรื่องฌาน 4 นี่ฟังเป็นของง่ายไปเลยแต่ความจริงต้องใช้ขันติบารมีในการปฏิบัติมากพอควร
 
แต่สิ่งหนึ่งที่ผมสัมผัสกับตนเอง เมื่อคราวพบท่านที่วัดป่านานาชาติครั้งนั้น นั่งใกล้ๆ ท่านแล้วสามารถสัมผัสกระแสไอเย็นปีติพัดผ่านทุกซอกของหัวใจได้อย่างชนิดที่มีน้ำตาซึมขณะได้ฟังธรรมร่วมกับญาติธรรมคนอื่นๆ

พอท่านนำภาวนาไปสัก 40 นาที เมื่อถึงเวลาพัก ครั้นพอท่านลืมตาขึ้น แววตาของท่านใสเป็นประกายดุจเพชรมีน้ำนัยตาเออใส คล้ายพระอริยสงฆ์เพิ่งออกจากสมาบัติธรรม 

จำได้ติดตากับภาพ... หลังท่านฉันกังหันแล้ว (ฉันข้าวมื้อเดียว) เป็นการฉันรวมในบาตร คือ เดินตักอาหารที่ญาติธรรมถวายตักใส่บาตร ทั้งคาวแลหวานและผลไม้รวมกันในบาตร เมื่อฉันแล้วล้างบาตรเอง เก็บผ้าปูอาสนะเอง มีผ้าขาวมาช่วยบางครั้ง

ผ้าขาว คือ ผู้ถือศีลแปดเป็นชาวต่างชาติ ก่อนจะบวชธรรมเนียมพระสายหลวงพ่อชาจะให้เป็นผ้าขาวก่อนเพื่อดูจริตนิสัย และฝึกฝนอบรมอุปนิสัยแห่งนักบวชก่อน ก่อนที่จะบวชให้
 
@@@@@@@

วันนี้ท่านเป็นพระราชาคณะที่รองสมเด็จ ราชทินนามว่า พระพรหมพัชรญาณมุนี ท่านเป็นดุจพระพรหมที่มีลมหายใจอันอุดมด้วย เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ตามคำสอนแห่งพรหมวิหารสี่ ขององค์พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ เป็นหน่อเนื้อแห่งโพธิธรรม ที่เกิดในแผ่นดินที่เจริญด้วยวัตถุ วิทยาศาสตร์ ในสหราชอาณาจักร แต่ทว่าจิตวิญญาณมุ่งมั่นในด้านพุทธธรรม นับได้ว่า วาสนาบารมีธรรมของท่านแต่เก่าก่อนย่อมพอดีพอธรรมอย่างสุดที่จะหาคำใดเทียบเคียงได้

ใครมีโอกาสได้กราบสักการะท่าน มักจะได้รับธรรมะสมควรแก่ตนเสมอ เพราะท่านมักซ่อนกายหลีกเร้นศึกษาปฏิบัติธรรม พระดีพระแท้แบบนี้นับวันจะหายากครับ





Thank to : https://www.thansettakij.com/blogs/lifestyle/horoscope/596120
16 พ.ค. 2567 | 04:30 น.
37  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เปิดประวัติ พระธรรมพัชรญาณมุนี (พระอาจารย์ชยสาโร) พระราชาคณะเจ้าคณะรองคนใหม่ เมื่อ: พฤษภาคม 16, 2024, 06:39:01 am

.



เปิดประวัติ พระธรรมพัชรญาณมุนี (พระอาจารย์ชยสาโร) พระราชาคณะเจ้าคณะรองคนใหม่

พระธรรมพัชรญาณมุนี หรือพระอาจารย์ชยสาโร ได้รับการประกาศสถาปนาสมณศักดิ์ จากพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ มหิศรภูมิพลราชวรางกูร กิติสิริสมบูรณอดุลยเดช สยามินทราธิเบศรราชวโรดม บรมนาถบพิตร พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม โปรดสถาปนาให้พระธรรมพัชรญาณมุนี ขึ้นเป็นพระราชาคณะเจ้าคณะรองคนใหม่ มีประวัติอย่างไร

@@@@@@@

ประวัติ พระธรรมพัชรญาณมุนี

พระธรรมพัชรญาณมุนี หรือพระอาจารย์ชยสาโร มีชื่อเดิมว่า ฌอน ไมเคิล ชิเวอร์ตัน เกิดบนเกาะไอล์ออฟไวท์ ประเทศอังกฤษ เมื่อปี 2501 ในปี 2521 ท่านได้ฝากตัวเป็นศิษย์กับหลวงพ่อชา (ชา สุภัทโท พระโพธิญาณเถร) ที่วัดหนองป่าพง จังหวัดอุบลราชธานี ในปี 2523 ท่านได้บรรพชาเป็นสามเณร และต่อมาในวันที่ 3 มิถุนายน 2523 ได้อุปสมบทโดยมีหลวงพ่อชาเป็นพระอุปัชฌาย์

เมื่อครบการฝึกตนเป็นพระนวกะ 5 พรรษาแล้ว พระอาจารย์ชยสาโรได้ออกธุดงค์และปลีกวิเวกจนถึงช่วงเข้าพรรษาปี 2529 ท่านจึงเดินทางกลับจังหวัดอุบลราชธานี หลังจากนั้นท่านอยู่ที่วัดป่านานาชาติเป็นส่วนใหญ่โดยรับหน้าที่เป็นรองเจ้าอาวาส

ตลอดระยะเวลาหลายปีหลังจากนั้น ท่านได้สลับหมุนเวียนระหว่างช่วงเวลาในการปลีกวิเวกและการปฏิบัติหน้าที่ตามตำแหน่งในคณะสงฆ์ ระหว่างนี้ท่านได้รับความไว้วางใจจากคณะสงฆ์อาวุโสในการเขียนเรียบเรียงชีวประวัติของหลวงพ่อชา ซึ่งท่านตั้งชื่อผลงานชิ้นนี้ว่า ‘อุปลมณี’ ในปี 2540 ท่านได้รับหน้าที่เป็นเจ้าอาวาสวัดป่านานาชาติจนถึงสิ้นปี 2545

ตั้งแต่ต้นปี 2546 พระอาจารย์ชยสาโรได้ปลีกวิเวกมาพำนักอยู่ที่อาศรมชนะมาร อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา และพร้อมไปกับการมุ่งต่อกิจส่วนตัวของท่าน พระอาจารย์ยังนำปฏิบัติธรรมให้ญาติโยมเป็นระยะๆ ที่สถานที่ปฏิบัติธรรมบ้านบุญ รวมถึงมีบทบาทในการนำหลักการพัฒนาชีวิตวิถีพุทธเข้าสู่ระบบการศึกษา

@@@@@@@

พระอาจารย์ชยสาโรได้เขียนหนังสือธรรมะทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษไว้มากมาย โดยจำนวนหนึ่งมีการนำไปแปลเป็นภาษาอื่นๆ งานเขียนภาษาอังกฤษชิ้นล่าสุดของท่าน คือ ‘Stillness Flowing’ เป็นงานชิ้นสำคัญซึ่งบันทึกชีวประวัติและคำสอนของหลวงพ่อชาโดยละเอียด

ในปี 2554 พระอาจารย์ชยสาโรได้รับมอบปริญญาเอกกิตติมศักดิ์ในสาขาวิชาธรรมนิเทศจากมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย และในปี 2562 ท่านได้รับพระราชทานแต่งตั้งสมณศักดิ์เป็น พระราชพัชรมานิต จากพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ต่อมาในปี 2563 ท่านได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็น พระเทพพัชรญาณมุนี และได้รับพระราชทานสัญชาติไทย ทั้งนี้ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป. อ. ปยุตโต) ได้เมตตาตั้งนามสกุลภาษาไทยให้ว่า 'โพธานุวัตน์' และในปี 2564 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็น พระธรรมพัชรญาณมุนี

ล่าสุด วันที่ 13 พ.ค. 2567 พระธรรมพัชรญาณมุนี ได้รับการโปรดสถปนาขึ้นเป็นพระราชาคณะเจ้าคณะรอง มีราชทินนามตามที่จารึก ในหิรัญบัฏว่า พระพรหมพัชรญาณมุนี ศรีวิปัสสนาธุราจารย์ ไพศาลวิเทศศาสนกิจ วิสิฐสีลาจารดิลก สาธกธรรมวิจิตร มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี สถิต ณ สถานพํานักสงฆ์บ้านไร่ทอสี จังหวัดนครราชสีมา มีฐานานุศักดิ์ตั้งฐานานุกรมได้ 8 รูป






Thank to : https://www.thairath.co.th/lifestyle/life/2785292
13 พ.ค. 2567 18:31 น. | ไลฟ์สไตล์ > ไลฟ์ > ไทยรัฐออนไลน์
ข้อมูลอ้างอิง : มูลนิธิปัญญาประทีป
38  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เปิดประวัติ หลวงปู่ศิลา ตำนานภาพปิดทองหลังพระของจริง เมื่อ: พฤษภาคม 15, 2024, 06:20:07 am
.



เปิดประวัติ หลวงปู่ศิลา ตำนานภาพปิดทองหลังพระของจริง

เปิดประวัติ หลวงปู่ศิลา ตำนานภาพปิดทองหลังพระของจริง ลูกศิษย์ลูกหาหลั่งไหลเข้ากราบวันละนับหมื่นคน

เฟซบุ๊กเพจ ศรัทธาบารมี หลวงปู่ศิลา สิริจันโท ได้แชร์เรื่องราวตำนานปิดทองหลังพระ โดยระบุว่า "ครั้งหนึ่งมีผู้ศรัทธาท่านหนึ่ง เห็นภาพหลวงปู่ศิลาในเฟซบุ๊ก ไม่รู้จักหลวงปู่มาก่อน คิดว่าหลวงปู่ท่านละสังขารแล้ว แต่เกิดปิติศรัทธา

จึงบนบานกับภาพในเฟซนั้นในสิ่งที่ตนทุกข์ใจอยู่ว่า หากสำเร็จจะไปปิดทองรูปเหมือนหลวงปู่ที่วัด ปรากฏว่า ทุกอย่างผ่านพ้นได้ตามคำบนประสงค์ จึงสุ่มเดามาที่วัด ซึ่งยุคนั้นที่วัดไม่มีรูปเหมือนหลวงปู่เลย มีแต่องค์จริงท่านนั่งอยู่บนกุฏิสองผัวเมียจึงขอโอกาสแก้บนโดยการปิดทอง หลวงปู่ก็เมตตา

ที่วัดพระธาตุหมื่นหินและธรรมอุทยาน จึงมีรูปหล่อหลวงปู่ไว้ให้ท่านปิดทอง เชิญทุกท่านกราบขอพร ปิดทองตามอัธยาศัย ขอบารมีหลวงปู่คุ้มครองให้ทุกท่านมีโชคลาภ อำนาจ วาสนา เจริญด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ ประสบสิ่งอันพึงปรารถนาทุกทิพาราตรีกาลเทอญ"

เรื่องนี้นับเป็นหนึ่งในเรื่องที่ลูกศิษย์ของหลวงปู่ศิลา หรือ หลวงปู่มหาศิลา แชร์ในเรื่องของความศรัทธา ปาฏิหาริย์ต่างๆ ซึ่งหลวงปู่มีเมตตากับประชาชนที่เข้ามากราบไหว้




โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 8 พ.ค.ที่ผ่านมา ที่ธรรมอุทยานหลวงปู่ศิลาสิริจันโทบ้านแกเปะ ต.เชียงเครือ อ.เมือง จ.กาฬสินธุ์ ศิษยานุศิษย์ พุทธศาสนิกชนได้เข้าร่วมพิธีถวายกุฏิพระราชวัชรธรรมโสภณ (หลวงปู่ศิลาสิริจันโท)

โดยมีนายสนั่น พงษ์อักษร ผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์เป็นประธานฝ่ายฆราวาส พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการจากหลายหน่วยงานร่วมจุดธูปเทียนบวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หลังจากนั้นพระสงฆ์ได้สวดเจริญพระพุทธมนต์และเจริญชัยมงคลคาถาเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ผู้เข้าร่วมงาน

โดยหลวงปู่ศิลาสิริจันโท ได้มอบให้พระครูปลัดวชิรโสภณญาณ (ชัยชุตินธโร) รักษาการเจ้าอาวาสวัดพระธาตุหมื่นหิน (ธ) เป็นตัวแทนกล่าวโอวาทธรรมเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ผู้เข้าร่วมงาน ซึ่งมีใจความหนึ่งว่า

“เกิดมาเป็นมนุษย์ก็ดีพอแฮงแล้วหละ ได้พบพระพุทธศาสนาก็เป็นของดีพอแฮงแล้วหละ ได้รู้แจ้งทางโลกทางพรหมโลกทางสวรรค์จนฮอดพระนิพพานพู้นหละกะ เป็นของดีแล้วหละ ให้ปฏิบัติเอาให้หมั่นทำบุญทำทาน ให้หมั่นสร้างบุญสร้างกุศล”

หลวงปู่ศิลาสิริจันโท ยังได้เป่าสังข์แสดงพลังว่ายังแข็งแรงดีอยู่ ทำให้ลูกศิษย์ต่างสาธุขอให้องค์หลวงปู่มีสุขภาพแข็งแรงอยู่เผยแผ่พุทธศาสนาและบารมีให้ลูกศิษย์ลูกหาได้พึ่งพาอาศัยบารมีหลวงปู่นานๆ ด้วย





ประวัติหลวงปู่มหาศิลา

หลวงปู่พระมหาศิลาสิริจันโทมีนามเดิมชื่อ ศิลา นิลจันทร์ เกิดเมื่อ 14 ตุลาคม พ.ศ.2488 ขึ้น 8 ค่ำ เดือน 11 ปีระกา ปัจจุบันอายุ 78 ปี เป็นบุตรของนายแก่น และนางน้อย นิลจันทร์ บรรพชาเป็นสามเณรเมื่อครั้งอายุ 15 ปี ณ วัดธาตุประทับ และอุปสมบทสังกัดมหานิกายเมื่อปี พ.ศ.2509 ณ วัดบูรพาภิราม จ.ร้อยเอ็ด โดยพระสิริวุฒิเมธี (เจ้าคณะ จ.ร้อยเอ็ด สมัยนั้น)

หลวงปู่พระมหาศิลาศึกษาปริยัติอย่างมุ่งมั่นจนสอบได้นักธรรมชั้นเอกและเปรียญธรรม 6 ประโยครับพัดเปรียญกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ร.9 เมื่อปี พ.ศ.2515 ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม และได้รับหน้าที่เป็นพระอาจารย์สอนที่ รร.วัดนิคมคณาราม จ.ร้อยเอ็ด และรับหน้าที่เป็นพระที่สวดปาฏิโมกข์ในการลงอุโบสถของคณะสงฆ์ตลอดมา

เมื่อแตกฉานด้านปริยัติแล้ว หลวงปู่พระมหาศิลาได้จาริกแสวงบุญปลีกวิเวกไปหลายจังหวัด เช่น จ.อุดรธานี จ.หนองคาย จ.ชัยภูมิ ได้เดินธุดงค์ป่า ณ ภูเขา อ.สังคม จ.หนองคาย สู่ภูเขาควาย สปป.ลาว ในปี พ.ศ.2517 เดินทางไปกับหลวงพ่อบ้านชาติ วัดบ้านชาติ จ.ร้อยเอ็ด (มรณภาพแล้ว) ได้พบกับครูบาอาจารย์มากมาย เช่น หลวงปู่ทองมาถาวโร, หลวงปู่มหาบุญมีสิรินธโร, หลวงปู่ลีกุสลธโร และเป็นสหธรรมมิกกับครูบาอาจารย์หลายรูป เช่น หลวงพ่อสมานธัมรักขิตโต, หลวงปู่หนูอินทวัณโณ, หลวงปู่สมสิทธิ์รักขิสีโล, หลวงปู่ล้อมสีลสังวโร




หลวงปู่พระมหาศิลาได้ร่ำเรียนวิปัสนาและเรียนอักษรธรรมลาว อ่านหนังสือจากใบลานอีสานได้อย่างแตกฉาน และได้ศึกษาคัมภีร์ใบลานสายสมเด็จลุนจาก สปป.ลาว หลายฉบับศึกษาจนแตกฉาน

ตั้งแต่ปี พ.ศ.2550 เป็นต้นมา หลวงปู่พระมหาศิลาได้ปลีกวิเวกหลายที่ ไม่ว่าจะเป็นป่าช้าร้างหลายแห่ง จนหลวงพ่อเจ้าอาวาสวัดโพธิ์ศรีสะอาดซึ่งเคารพนับถือท่านมากได้กราบนิมนต์ท่านมาจำพรรษาที่วัด โดยหลวงปู่ประสงค์จะปลีกวิเวก ณ สวนสงฆ์บ้านแกเปะ เหล่าศิษยานุศิษย์จึงร่วมกันสร้างกุฏิถวายหลวงปู่ศิลาได้จำพรรษาตลอดมา

พระธรรมรัตนดิลก เจ้าอาวาสวัดสุทัศน์เทพวราราม ได้มีความเลื่อมใสในองค์หลวงปู่ได้นิมนต์ท่านขึ้นไปร่วมงานพุทธาภิเษกพระกริ่งวัดสุทัศน์ฯ และหลายวัดในภาคอีสานจะกราบอาราธนาหลวงปู่ไปร่วมปรกแทบทุกงาน เนื่องจากเหล่าศิษยานุศิษย์ได้ประจักษ์แก่สายตาเรื่องพุทธาคมวัตรปฏิบัติ ความเมตตา ความสันโดษ และเรื่องญาณหยั่งรู้ที่ท่านสามารถล่วงรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าอย่างน่าอัศจรรย์






Thank to :-
ภาพจาก : facebook ศรัทธาบารมี หลวงปู่ศิลา สิริจันโท
URL : https://www.amarintv.com/article/detail/64721
Powered by amarintv | 14 พ.ค. 67
39  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ฤดูฝนนี้ไทยจะเป็นอย่างไร หากเอลนีโญกำลังจากไป และลานีญากำลังจะมาแทน เมื่อ: พฤษภาคม 14, 2024, 06:52:08 am
.



ฤดูฝนนี้ไทยจะเป็นอย่างไร หากเอลนีโญกำลังจากไป และลานีญากำลังจะมาแทน

Summary

  • โลกร้อนขึ้นจนหลายคนสัมผัสได้อย่างชัดเจนและกำลังมาพร้อมภัยธรรมชาติที่กำลังกระทบไปทั่วโลก
  • ปัจจุบันองค์การบริหารมหาสมุทรและชั้นบรรยากาศแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา (NOAA) คาดการณ์ว่าเอลนีโญจะสิ้นสุดในช่วงนี้จนถึงเดือนมิถุนายน และจะเปลี่ยนเป็นปรากฏการณ์ลานีญาระหว่างเดือนมิถุนายนถึงสิงหาคม
  • โอกาสที่ปรากฏการณ์ลานีญาเข้ามาแทนเอลนีโญจึงเป็นที่น่าเป็นห่วงว่ารัฐไทยจะมีแผนรับมืออย่างไรกับพายุฝนและน้ำท่วมที่อาจเกิดขึ้นต่อเนื่องในช่วงฤดูฝนที่กำลังใกล้เข้ามาในอีกไม่ช้า
   


 :96: :96: :96:

โลกร้อนขึ้นจนหลายคนสัมผัสได้อย่างชัดเจนและกำลังมาพร้อมภัยธรรมชาติที่กำลังกระทบไปทั่วโลก ซึ่งไม่กี่เดือนมานี้ หลายคนอาจเห็นข่าวคราวที่น่าผวากับภัยธรรมชาติในหลายประเทศ เช่น น้ำท่วมดูไบเพราะฝนตกหนักที่สุดในรอบ 75 ปี และเหตุการณ์ภูเขาไฟระเบิดที่อินโดนีเซียและคำเตือนว่าจะเกิดสึนามิ

หลังจากเมื่อปีที่แล้วสำนักอุตุนิยมวิทยาของออสเตรเลียคาดการณ์ว่าปรากฏการณ์เอลนีโญ (El Niño) จะมีความรุนแรงมากในช่วงสิงหาคม 2566-มีนาคม 2567 และจะลดลงไปสู่ระดับอ่อนถึงปานกลางในพฤษภาคม 2567 ซึ่งถ้าเอลนีโญปรับระดับเพิ่มขึ้นในครึ่งหลังของปี 2567 ก็อาจยาวนานยืดเยื้อไปถึงปี 2568

แต่ปัจจุบันองค์การบริหารมหาสมุทรและชั้นบรรยากาศแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา (NOAA) กลับคาดการณ์ว่าเอลนีโญจะสิ้นสุดในช่วงนี้จนถึงเดือนมิถุนายน และจะเปลี่ยนเป็นปรากฏการณ์ลานีญา (La Niña) ระหว่างเดือนมิถุนายนถึงสิงหาคม

หากใครยังจดจำกันได้ ลานีญา (La Niña) เคยเกิดขึ้นในไทยมาแล้ว และเป็นสาเหตุน้ำท่วมใหญ่ในปี 2011 ช่วงรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นและฝนตกหนัก




ส่วนเอลนีโญเป็นผลตรงกันข้ามคือทำให้ประเทศไทยขาดฝนและเกิดความแห้งแล้ง เนื่องจากทิศทางกระแสลมทำให้กระแสน้ำอุ่นไปทางฝั่งตะวันตกของมหาสมุทรแปซิฟิก ส่งผลให้ฝั่งอเมริกาใต้ฝนตกมากขึ้น ซึ่งความรุนแรงของเอลนีโญและลานีญาจะแตกต่างออกไปในแต่ละปี เช่น เมื่อปี 2020 ก็เกิดปรากฏการณ์ลานีญา แต่มีกำลังอ่อนทำให้ฝนตกหนักกว่าปี 2019 เท่านั้น

แต่เนื่องด้วยวิกฤติสภาพภูมิอากาศที่อุณหภูมิเฉลี่ยโลกเมื่อปี 2023 กลายเป็นปีที่ร้อนที่สุดนับตั้งแต่ปี 1850 และกลายเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้การพยากรณ์เป็นไปอย่างยากลำบาก อีกข้อสำคัญคือการพยากรณ์ปริมาณน้ำฝนและอุณหภูมิไม่ได้ขึ้นอยู่กับการพยากรณ์เอลนีโญและลานีญาทำให้การคาดเดาผลกระทบอาจเป็นไปได้ยากในสภาพอากาศที่แปรปรวนหนักขึ้นเรื่อยๆ

โอกาสที่ปรากฏการณ์ลานีญาจะเข้ามาแทนเอลนีโญจึงเป็นที่น่าเป็นห่วงว่ารัฐไทยจะมีแผนรับมืออย่างไรกับพายุฝนและน้ำท่วมที่อาจเกิดขึ้นต่อเนื่องในช่วงฤดูฝนที่กำลังใกล้เข้ามาในอีกไม่ช้า



ประเทศไทยจะกระทบหนักแค่ไหน.?

หากประเทศไทยเกิดลานีญาย่อมมีผลกระทบแน่นอน ซึ่งผลคาดการณ์เดือนเมษายน 2024 ของ กรมอุตุนิยมวิทยา คาดว่า ช่วงเดือนพฤษภาคมถึงกรกฎาคมอุณหภูมิสูงกว่าปกติ และปริมาณฝนมีค่าใกล้เคียงกับค่าปกติ แต่จะมีฝนตกชุกบริเวณภาคกลางตอนล่าง และฝั่งตะวันตกของภาคอีสาน

อีกทั้งยังคาดว่า จะเกิดปรากฏการณ์เอนโซ (ENSO : El Niño-Southern Oscillation) หรือสภาวะที่เป็นกลาง หมายความว่าเป็นช่วงที่ทั้งเอลนีโญและลานีญาไม่ได้มีพลังอยู่ ซึ่งก็คือในช่วงนี้ที่สภาวะเอลนีโญกำลังอ่อนลงและเปลี่ยนเข้าสู่สภาวะเป็นกลางในช่วงเดือนเมษายนถึงมิถุนายน หลังจากนั้นมีโอกาสถึง 60 เปอร์เซ็นต์ ที่จะเข้าสู่สภาวะลานีญาในช่วงเดือนมิถุนายนถึงสิงหาคม 2024




นอกจากนี้อุณหภูมิผิวน้ำทะเลในมหาสมุทรแปซิฟิกบริเวณเขตศูนย์สูตรก็เริ่มเย็นลงในเดือนที่ผ่านมา แต่ยังคงอุณหภูมิสูงกว่าปกติ เป็นผลต่อเนื่องจากเอลนีโญที่เกิดขึ้น

อย่างไรก็ตาม องค์กรทั่วโลกยังคงบอกว่าสถานการณ์ตอนนี้ยังคงต้องติดตามต่อเนื่องอย่างใกล้ชิด ซึ่งองค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) แนะนำว่าควรสังเกตการใช้แบบจำลองในการคาดการณ์ เพราะบางแบบจำลองตามฤดูกาลมีประสิทธิภาพต่ำ

สิ่งสำคัญคือ เอลนีโญและลานีญาไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่ส่งผลต่อสภาพภูมิอากาศโลกและท้องถิ่น การประเมินแนวโน้มต้องคำนึงถึงผลกระทบ และปัจจัยทางสภาพอากาศอื่นๆ ในท้องถิ่นนั้นๆ ด้วย

แม้พยากรณ์จากหลายสำนักจะคาดการณ์ไปในทิศทางเดียวกันในช่วงเวลาหนึ่ง แต่เรายังต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะเมื่อสภาพภูมิอากาศยากจะคาดเดาขึ้นเรื่อยๆ การเตรียมแผนรับมือจึงเป็นสิ่งที่ไม่ไกลตัวพวกเราทุกคน และความประมาทต่อสภาพภูมิอากาศในยุคโลกรวน อาจนำไปสู่หายนะที่ไร้หนทางแก้ก็เป็นได้






ขอขอบคุณ :-
อ้างอิง : thehill.com , climate.copernicus.eu , media.bom.gov.au
URL : https://plus.thairath.co.th/topic/naturematter/104388
Thairath Plus › Nature Matter › Environment | 25 เม.ย. 67 | creator : ณัฏฐ์นรี เฮงสาโรชัย 
40  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ที่เที่ยวสายบุญ Unseen ภูเก็ต วัดพระทอง ไหว้พระผุด หนึ่งเดียวของไทย เมื่อ: พฤษภาคม 14, 2024, 06:28:18 am



ที่เที่ยวสายบุญ Unseen ภูเก็ต วัดพระทอง ไหว้พระผุด หนึ่งเดียวของไทย

ที่เที่ยว ในภูเก็ต ไม่ได้มีแค่ทะเลและบรรดาเกาะที่สวยงาม ครั้งนี้เราพาขึ้นบก ไหว้พระผุด ที่วัดพระทอง ที่เที่ยวสายบุญ Unseen หนึ่งเดียวของไทยที่หลายคนยังไม่รู้จัก




วัดพระทอง หรือ วัดพระผุด ตั้งอยู่หมู่ที่ 7 ถนนเทพกระษัตรี ตำบลเทพกระษัตรี อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต มองภายนอกอาจดูเหมือนวัดพุทธทั่วไป แต่ภายในวัดมีพระพุทธรูปประดิษฐานในรูปแบบที่แตกต่างไปจากที่อื่น นั่นคือ พระผุด พระพุทธรูปองค์ใหญ่แต่โผล่พ้นผืนดินเพียงครึ่งองค์เท่านั้น ส่วนเรื่องราวความเป็นมานับว่าน่าสนใจมากทีเดียว






ประวัติวัดพระทอง

วัดพระทอง เดิมที่ตั้งวัดเป็นที่นา มีน้ำไหลผ่าน มีลำคลอง มีทุ่งหญ้าสำหรับเลี้ยงโด กระบือ ชาวเมืองถลางในสมัยนั้นเรียกทุ่งนี้ว่า "ทุ่งนาใน" น้ำในลำคลองไหลมาจากน้ำตกโตนไทรเทือกเขาพระแทว มีหมู่บ้านบ่อกรวดและหมู่บ้านนาใน อยู่สองข้างลำคลอง ต่อมาทุ่งนาในมีคนอยู่อาศัยมากขึ้น ชาวบ้านจึงเรียกบริเวณนี้ว่า "บ้านนาใน" จนถึงปัจจุบัน

วัดพระทองตั้งวัดเมื่อปี พ.ศ.2328 ต่อมาในปี พ.ศ.2452 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ขณะดำรงพระยศเป็นพระบรมโอรสาธิราช ได้พระราชทานนามวัดนี้ว่า "วัดพระทอง" วัดได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อวันที่ 27 ตุลาดม 2523 เขคพระราชทานวิสุงคามสีมา อยู่ระหว่างอุโบสถกับวิหารพระทอง(พระพุด) กว้าง 40 เมตร ยาว 80 เมตร วัดมีเนื้อที่ 35 ไร่ 68 ตารางวา









ประวัติหลวงพ่อพระทอง (พระผุด)

มีคำบอกเล่าจากผู้เฒ่าผู้แก่ที่เป็นคนไทยเชื้อสายจีน ในจังหวัดภูเก็ต เล่าว่า เมื่อสมัยสองพันปีเศษ ตระกูลเจ้าเมืองจีน (เซี่ยงไฮ้) ได้หล่อองค์พระด้วยทองคำ เดิมมีชื่อว่า "กิมมิ่นจ้อ" ต่อมาเซี่ยงไฮ้ได้พ่ายแพ้สงครามแก่ชนชาติทิเบต ชาวทิเบตจึงนำองค์หลวงพ่อลงเรือมาทางทะเลผ่านมาทางมหาสมุทรอินเดีย เพื่อนำกลับประเทศทิเบต ระหว่างการเดินทางเกิดพายุพัดทำให้เรือล่มบริเวณชายฝั่งแถบจังหวัดพังงาเรือและองค์หลวงพ่อจึงจมลงทะเล

ด้วยเวลาที่ยาวนานเกิดการเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลก ทำให้บริเวณที่เรือจมเกิดเป็นแผ่นดินขึ้น คือเกาะภูเก็ตในปัจจุบัน ต่อมาชั้นดินบริเวณองค์หลวงพ่อเกิดทรุดตัวลงเนื่องจากอยู่ใกล้ลำคลอง องค์หลวงพ่อจึงผุดขึ้นมาให้เห็นเพียงพระเกตุมาลา สูงประมาณ 1 ศอก คนจีนเรียกว่า "พู่ฮุก" ส่วนองค์พระนั้นยังดงอยู่ใต้ดินจนถึงปัจจุบัน ภายหลังจึงได้หล่อองค์พระพุทธรูปครึ่งองค์สวมองค์พระทอง (พระผุด) ไว้

@@@@@@@

ตำนานเรื่องเล่า พระผุดศักดิ์สิทธิ์

มีตำนานเล่าต่อกันมาด้วยว่า แต่เดิมบริเวณที่พบองค์หลวงพ่อพระทองที่เป็นทุ่งนานั้น ได้เกิดพายุพัด ฝนตก น้ำท่วม วันหนึ่งหลังจากฝนหยุดแล้ว ได้มีเด็กชายคนหนึ่งนำกระบือไปเลี้ยงยังทุ่งนาใน เด็กหาที่ผูกเชือกกระบือใกล้ริมลำคลองไม่ได้ แต่พบเห็นสิ่งหนึ่งลักษณะเหมือนไม้แก่นอยู่ใต้โคลนตม จึงได้นำเชือกกระบือไปผูกไว้ ต่อมาเด็กคนดังกล่าวกลับมาบ้านได้เกิดเจ็บป่วยเป็นลมลัมตายในเวลาเช้านั้นเอง และกระบือที่ผูกไว้ก็ตายไปเช่นเดียวกัน

พอตกกลางคืน พ่อของเด็กชายฝันว่าเด็กได้นำเชือกกระบือไปผูกไว้กับพระเกตุมาลาของพระพุทธรูปทองคำที่จมอยู่ในดิน เช้าวันต่อมาพ่อของเด็กและชาวบ้านจึงได้นำน้ำไปล้างขัดถู จึงพบว่าที่ผูกเชือกเป็นพระเกตุมาลาของพระพุทธรูป ชาวบ้านจึงได้แห่กันกราบไหว้บูชาและแจ้งให้เจ้าเมืองทราบ เจ้าเมืองได้สั่งการให้ขุดพระพุทธรูปขึ้นมาเพื่อบูชา แต่ขุดอย่างไรก็ไม่สำเร็จ ด้วยเกิดเหตุอาเพศ เช่น ตัวต่อ ตัวแตน มาทำร้ายผู้ชุด จึงได้สั่งให้จัดทำสถานที่กราบไหว้บูชาไว้แทน โดยมุงหลังดาเพื่อบังแดดบังลมไว้ก่อนที่จะมีการตั้งวัดขึ้นในเวลาต่อมา

ปัจจุบันพระผุดเป็นองค์พระพุทธรูปปิดทองเหลืองอร่ามสวยงาม แม้ผุดขึ้นมาจากพื้นเพียงครึ่งองค์ แต่เป็นที่เคารพของชาวพุทธในพื้นที่เป็นอย่างมาก

นอกจากการกราบสักการะพระผุดแล้ว ที่วัดแห่งนี้ยังมี พิพิธภัณฑสถานวัดพระทอง ที่เก็บรวบรวมข้าวของเครื่องใช้ของชาวภูเก็ตในยุคแรก ๆ ให้ชมอีกด้วย







วัดพระทอง หรือ วัดพระผุด

    ที่ตั้ง : หมู่ที่ 7 ถนนเทพกระษัตรี ตำบลเทพกระษัตรี อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต
    เวลาเปิด-ปิด : เปิดให้เข้าชม : 08.00-17.30 น.
    โทร : 076 274126
    พิกัด : https://maps.app.goo.gl/PjZGKNYAA1GZbKNy5

ชมภาพทั้งหมดได้ : https://www.sanook.com/travel/1447739/gallery/





Thank to : https://www.sanook.com/travel/1447739/
Uranee Th. : ผู้เขียน | 13 พ.ค. 67 (15:28 น.)
หน้า: [1] 2 3 ... 558