ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: การบรรลุธรรมและลาขันธ์ ของ...หลวงปู่ศรี มหาวีโร  (อ่าน 1838 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28446
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


การบรรลุธรรมและลาขันธ์ ของ...หลวงปู่ศรี มหาวีโร
โดย...ภัทระ คำพิทักษ์

ถ้าจะกล่าวถึงการบรรลุธรรมของหลวงปู่ศรี มหาวีโร พระอรหันต์แห่งป่ากุง ซึ่งสาธุชนจำนวนมหาศาลหลั่งไหลไปร่วมถวายเพลิงศพท่านเมื่อวานนี้ หรือวันที่ 14 ม.ค.ที่ผ่านมา ก็ต้องกล่าวถึงการบรรลุอรหันต์ของหลวงปู่บัว สิริปุณโณ พระอรหันต์แห่งวัดป่าหนองแซง ก่อนเป็นปฐม

หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ระบุว่า หลวงปู่บัว สิริปุณโณ บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันตั้งแต่เป็นฆราวาส


ก่อนหลวงปู่บัวจะสละโลกเข้าสู่สมณเพศ ท่านมีอาชีพเป็นช่างปลูกเรือน แต่หลังจากเลิกนับถือผีหันมาเจริญสติภาวนาตามอุบายของหลวงปู่เพ็ง พุทธธัมโม ซึ่งเป็นพระลูกชายอย่างเอาจริงเอาจัง

หลวงปู่บัวเป็นผู้บวชเมื่อแก่ แต่ได้มรรคผลเร็ว

แม้บรรลุพระโสดาบันตั้งแต่เป็นฆราวาส และสำเร็จมรรคผลเร็วแต่เรื่องราวระหว่างนั้น กลับเป็นว่า เมื่อท่านบรรลุพระโสดาบันแล้วกว่าจิตจะล่วงเข้าสู่วิถีแห่งความหลุดพ้นได้ก็เปะปะอยู่ จนกระทั่งได้รับการชี้แนะจาก พระอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน ที่วัดป่าแก้ว อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร ซึ่งหลวงปู่บัวเล่าในกาลต่อมาว่า เวลาฟังพระอาจารย์มหาบัวเทศน์อบรมแล้ว “เข้าจิตราวกับสายน้ำ”

หลังได้รับการชี้แนะในตอนเย็น รุ่งขึ้นหลวงปู่บัวก็ได้กราบเรียนหลวงตามหาบัวว่า

“ผมจับอุบายธรรมที่ท่านอาจารย์แนะนำให้พิจารณา จิตเข้าปุ๊บเลย...เพราะแต่ก่อนมัยไม่รู้เนี๊ย (เข้าใจว่าตนเองสำเร็จแล้ว) ได้แต่เฝ้ากันอยู่อย่างนั้นเสีย แสดงว่า ตนเองสำเร็จเสร็จสิ้นก็อยู่อย่างนั้นเสีย

พอเอาอุบายธรรมที่ท่านอาจารย์แนะนำเข้าใส่ ปุ๊บ โห ไม่นานเลย ปรากฏเหมือนกับคานกุฏิขาดยุบตูมลงพื้นทันที เหมือนกับว่าก้นกระแทกดินแต่ไม่เจ็บ ฮุบ ทีเดียวเลยแต่จิตมันไม่กังวล เพราะมันไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไร ในขณะนั้นพอจิตพึบลงทีเดียวเท่านั้น นิ่ง พอมันหายจากขณะนั้นแล้ว จิตก็รู้ตัว ออกมาข้างนอก มาก็รู้ว่า ที่ว่าคานกุฏิขาด คือ คานอวิชชาขาด โอ้โห เวลานั้น มันพูดไม่ถูก เหมือนกับว่าเป็นคนละโลก

ผมเลยไม่นอนทั้งคืน ผมกราบท่านอาจารย์ทั้งคืนเลย กราบพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ กราบท่านอาจารย์ตลอดทั้งคืนเลย ผมไม่นอนจนกระทั่งสว่าง ถ้าพูดแบบตามภาษาพระพุทธเจ้า ท่านเรียกเสวยมุติสุข อัศจรรย์ครูบาอาจารย์และพระธรรม เห็นคุณท่านอาจารย์ เห็นจริงๆ เด่นชัดจริงๆ ถ้าไม่ใช่ท่านอาจารย์ ไปไม่ถึงไหน เดชะจริงๆ”



เมื่อออกพรรษาปี 2506 หลวงปู่ศรีดำริว่า

“เราปรารถนาจะปลีกวิเวกตามสมณวิสัย เพื่อห่างไกลผู้คนและญาติโยม เนื่องจากได้สร้างวัดมาหลายวัดแล้ว เป็นภาระหนักอกอยู่ไม่สร่าง

จนกระทั่งจิตนี้ เข้าได้บ้างเข้าไม่ได้บ้าง เสื่อมถอยลงอย่างเห็นได้ชัด ใจที่เคยมีความสุขอันเลิศเลอ เคยกระหยิ่มยิ้มย่องด้วยธรรมข้างใน มาบัดนี้ได้เกิดความเสื่อมถอย คุณภาพจิตได้รับความทุกข์อยู่เต็มหัวใจ เหมือนคนมีสมบัติเป็นร้อยล้านพันล้าน แล้วสมบัตินั้นก็พลันมาฉิบหาย มลายไปต่อหน้าต่อตา กลายเป็นยาจก ทุคตะ เข็ญใจในทันใด บุคคลนั้นจะตั้งตัวรับและยืนหยัดได้อย่างไร?

ยิ่งธรรมสมบัติคือ สมาธิที่เคยได้ลิ้มรสอันเลิศค่าด้วยแล้ว มาบัดนี้เสื่อมถอยไปต่อหน้าต่อตา เสื่อมเพราะความไม่ถนอมรักษา ตายในว่านี้เป็นธรรม สมบัติอันจีรังมั่นคง จะสร้างความสุขให้แก่เราได้ตลอด อนันตกาลแต่ความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ เพราะจิตในขั้นนี้ยังไม่ใช่วิมุตติจิต

เร่งปฏิบัติภาวนาสักเท่าใด เพื่อให้สมาธิธรรมนั้นกลับคืนมา ก็หาได้อย่างเดิมไม่ จิตที่เคยคล่องปราดเปรียว เหมือนพญาเสือโคร่งตัวฉลาด ที่เคยล่าเหยื่อคือ กิเลสได้ทันท่วงทีมาบัดนี้เหมือนแมวตัวน้อยๆ”


ในภาวะนั้นท่านได้แต่อาศัยคำสั่งสอนของครูบาอาจารย์คือ หลวงปู่มั่นเป็นเครื่องพยุง ประคองสติปัญญาให้เกิดกำลังใจ

คำสอนนั้นมีว่า “...อย่าส่งไปข้างนอก อย่าส่งไปอดีต อย่าส่งไปอนาคต”

ณ ช่วงเวลานั้นท่านได้แต่หวนคิดถึงพระอาจารย์มั่นว่า ถ้าพระอาจารย์ยังอยู่ ท่านต้องช่วยแก้ไขปัญหาอันหนักอกนี้ให้เราได้เป็นแน่ แต่นี่ท่านนิพพานผ่านไปแล้ว ใครหนอจะพอช่วยเราได้บ้าง ก็นึกถึงแต่หลวงปู่บัว วัดป่าหนองแซง จ.อุดรธานี ขึ้นมา

เมื่อรู้ทิศแล้ว ท่านจึงออกจากนครพนมวิเวกมุ่งตรงไปที่วัดป่าหนองแซงทันที

จากนครพนม มา อ.นาแก จ.สกนคร มายังวัดป่าหนองแซง จ.อุดรธานี ในเวลานั้นใช้เวลานานนับเดือน

เมื่อพบกันนั้นหลวงปู่บัวเอ่ยถามขึ้นว่า“จิตของเราเอาได้ผ่านพ้นจากวัฏฏะทุกข์ไปแล้ว โดยอถุบายธรรมอันแยบคายของท่านพระอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน จิตของท่านศรีล่ะเป็นอย่างไร พอผ่านพ้นไปได้ในปัจจุบันชาติหรือไม่?”

หลวงปู่ศรีจึงกราบเรียนให้ท่านทราบถึงความผันผวนของจิตใจที่ท่านกำลังประสบอยู่

ผู้อยู่ในกาลนั้นระบุว่า หลังจากนั้นทั้งสองรูปได้สนทนากันด้วยภาษาธรรมตั้งแต่เช้ายันค่ำ

ก่อนจะยุติลงในที่สุดนั้น หลวงปู่บัวได้ย้ำว่า

“จิตเสื่อมแก้ยากนะท่านศรี สติ สมาธิ และปัญญามันก็เสื่อมไปด้วยกัน จิตวิ่งไปตามสัญญา ทีแรกก็เพียงปรุงสังขารไปต่างๆ ในที่สุดก็เป็นสัญญา ทำให้เกิดเพลิดเพลินเดี๋ยวไปเที่ยวนรกสวรรค์ ทำให้เจ้าของเสียสมาธิ เสียสติ เสียคุณธรรมในด้านภายใน แต่ในขณะเดียวกัน ก็คิดว่า ตัวเองได้คุณธรรมชั้นสูงแล้วตื่นเงาตัวเอง

คนที่จะแก้ไขจิตเสื่อมได้ต้องมีความเพียรกล้าที่สุด จิตเสื่อมนั้นเอาคืนยาก ต้องคุมให้ดี รักษาให้ดี อย่านอนใจ ต้องตั้งใจดีถึงจะได้ ให้ไปเร่งภาวนา ไม่เร่งไม่ได้

ต้องเร่งปฏิบัติ จิตเสื่อมนี้ต้องใช้เวลา และความตั้งใจอย่างจริงจัง ตัดความกังวล ตัดหมู่คณะให้หมด แล้วพากเพียร รวมจิตให้เป็นเอกจิตให้ได้

จิตนี้เสื่อมรอบลงได้เพราะความเพลิดเพลินในการงาน ความเพลิดเพลินในการคลุกคลี ความหลุดพ้นแห่งจิตมีอย่างไรไม่พิจารณาอย่างนั้น จิตเสื่อมเกิดได้ด้วยมูลเหตุข้างต้น

ยิ่งการเสื่อมครั้งนี้ของท่าน เป็นการเสื่อมจากธรรมที่เคยบรรลุ ยิ่งเป็นการยากลำบากเท่าทวีคูณ ...

ขอให้ท่านเด็ดเดี่ยว เอาอย่างพุทธสาวกในครั้งพุทธกาล เอาแบบฉบับของท่านพระอาจารย์มั่นมาสอนใจอยู่เสมอ ท่านจะแก้ไขจิตที่เสื่อมให้เจริญขึ้นได้อย่างแน่นอน...”


พระมหาเจดีย์ชัยมงคล (หลวงปู่ศรี มหาวีโร)
วัดผาน้ำทิพย์เทพประสิทธิ์วนาราม บ้านโคกกลาง ต.ผาน้ำย้อย อ.หนองพอก จ.ร้อยเอ็ด

หลวงปู่ศรีได้อยู่ปฏิบัติกับหลวงปู่บัว โดยได้รับอุบายเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาในการปฏิบัติให้ลุล่วงไป

ท่านเล่าว่าระหว่างปฏิบัติด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่งนั้น ความระมัดระวังได้ก่อให้เกิดความกังวล จากความกังวลก็กลายเป็นกลัว คือ กลัวว่า ทำโน่นจะผิด ทำนี่จะผิด

อยู่มาวันหนึ่งขณะเดินจงกรมอยู่ริมป่าติดทุ่งนา ระหว่างนั้นมีหญิงสาวชาวบ้านมาหาปู หาปลา ช้อนกุ้ง ส่งเสียงคุยกันบ้าง หยอกล้อกันบ้าง หัวเราะกันบ้าง เสียงของสตรีเหล่านั้นได้มากระทบจิตของท่านอย่างรุนแรง

จิตที่กำลังพิจารณาธรรมขั้นสูง ได้ประหวัดเอาเสียงนั้นเป็นนิมิต เสียงของสตรีเข้ามาถึงข้างใน ท่านตกใจกลัว เมื่อนำเรื่องนี้ไปเรียนปรึกษาหลวงปู่บัวก็ได้รับการชี้แนะมาว่า “ตอนนี้เสียงสตรีเข้ามาถึงจิตแล้ว ให้นั่งสมาธิแทน อย่าไปเดินจงกรม หยุดการเดินจงกรม นั่งสมาธิเพียงอย่างเดียว อย่ายุ่งเกี่ยวกับสิ่งใด ถ้าจะเดินจงกรมก็เดินเพื่อพักผ่อนอิริยาบถก็เพียงพอ”

เมื่อรับฟังโอวาทของหลวงปู่บัวแล้ว หลวงปู่ศรีจึงลงมือปฏิบัติโดยตั้งสัตย์อธิษฐานว่า “ถ้าจิตยังไม่บรรลุธรรมที่พึงประสงค์จะไม่ยอมลุกไปจากที่ เราจะยอมตายถวายชีวิตด้วยสัจบารมี”

ท่านนั่งสมาธิอยู่ 5 วัน 6 คืน โดย 12 ชั่วโมงจะเปลี่ยนอิริยาบถเพียงครั้งเดียว คือ เปลี่ยนขยับขายกขึ้นแล้วก็เอาลงเท่านั้น ขาหนึ่งก็เอาวางไว้อย่างเดิม แล้วนั่งต่อไปจนรุ่งสางจึงยกขาเปลี่ยนใหม่ รวม 24 ชั่วโมง ขยับขาเพียง 2 ครั้ง

ข้างกายมีกาน้ำเล็กๆ ใส่น้ำไว้จิบพอชุ่มคอเท่านั้น ท่านกล่าวถึงทุกขเวทนาที่เกิดขึ้นระหว่างนั้นว่า

“หมดทั้งแผ่นดินทุกขเวทนามารวมอยู่ที่ร่างกายเราคนเดียว ไม่มีทุกข์อะไรจะเทียบกับทุกขเวทนาในครั้งนี้ได้ ประหนึ่งว่า นรกทั้ง 8 ขุมมาเกิดรวมพร้อมกันที่กายใจของเรานี้ทั้งหมด ถึงขนาดที่ว่ามันดังสะเทือนไปทั่วสรรพางค์กาย มันร้อนรุ่ม เสียงดังตุ๊กๆ ตั๊กๆ เหมือนกับโรงสีไฟโรงสีข้าว มันวิ่งพล่านเร่าร้อนไปหมด ปรากฏว่า ที่น่องเท้าซ้ายทั้งที่มีเนื้อหนาๆ ซึ่งเอาขาขวาทับอยู่ข้างบน เกิดพุพองขึ้นเท่ากับหัวแม่มือ ร้อนคุกรุ่นเหมือนถูกไฟเผาลนอยู่อย่างนั้น ทุกข์ทรมานแสนสาหัส สุดเหลือที่จะกล่าวพรรณนาได้”

ความเป็นไปในช่วงวิกฤตนั้นปรากฏความอยู่ในหนังสือ หลวงปู่ศรี มหาวีโร พระผู้มากด้วยบารมี ว่า “พิจารณาอวิชชาซึ่งเป็นเชื้อของใจให้พาเกิดพาตายวุ่นวายอยู่ไม่หยุดหย่อน พิจารณาย้อนหน้าย้อนหลัง ข้างบนข้างล่าง ตั้งแต่ต้นจนรอบจิต ด้วยอาศัยสติปัญญาอันแหลมคมปราดเปรียวว่องไวกระฉับกระเฉง คอยทะลุทะลวงกิเลสซึ่งเป็นเสี้ยนหนามคอยทิ่มแทงจิตไม่รู้จบสิ้น

พิจารณาตั้งแต่เช้ายันดึก ตั้งแต่ดึกยันค่ำ จะกี่วันกี่เวลาไม่สนใจในข้าวปลาอาหารมากกว่าการได้คว่ำกิเลสตัวหลอกลวง อันเป็นวัฏจักรวัฏจิตซึ่งทำให้เจ็บแค้นฝังลึกบาดใจมาช้านานหาประมาณมิได้ กำลังกายและใจมีเท่าใด ความเพียรกล้ามีเท่าใดทุ่มลงไปจนหมด ตะลุมบอนกับข้าศึกสงคราม ภายในที่ยังมีเชื้อไฟคือ อวิชชา ถึงจะทุกข์ทรมานแสนสาหัสอย่างไรก็ตามก็ไม่ลดละการพิจารณาระหว่างอวิชชากับใจ เพื่อให้ปรากฏความจริงคือ อริยสัจธรรม อันไม่มีธุลี คือ กิเลสปลอมปน

ในที่สุดก็มายุติตรงที่ว่า อวิชชาดับ เกิดญาณหยั่งทราบแน่ชัดว่า จิตหมดการก่อกำเนิดในภพต่างๆ อย่างประจักษ์ใจ โลกธาตุหวั่นไหว ธาตุ 4 ขันธ์ 5 ต่างอันต่างเป็นอิสระ อินทรีย์ 5 อายตนะ 6 ทำงานตามหน้าที่ของตน ไม่กระทบกระเทือนให้เป็นทุกข์เหมือนดังแต่ก่อน ดับทุกข์ที่เผาลนจิตใจมาช้านานด้วยประการทั้งปวง เหลือแต่ดวงจิตบริสุทธิ์ล้วนๆ ...ถึงความเป็นอัตตมโนภิกขุ คือ ภิกษุผู้มีใจเป็นของตน ไม่ต้องพึ่งพาอาศัยอะไรอีกต่อไป”


รูปปั้นหลวงปู่ศรี มหาวีโร ผู้ก่อตั้งและให้สร้างพระมหาเจดีย์ชัยมงคล

หลวงปู่ศรี มหาวีโร ท่านเกิดในตระกูล “ปักกะสีนัง” เกิดเมื่อวันศุกร์ที่ 3 พ.ค. 2461 ณ บ้านขามป้อม ต.ขามป้อม อ.วาปีปทุม จ.มหาสารคาม เป็นบุตรนายอ่อนสี และนางทุมจ้อย ปักกะสีนัง มีพี่น้องรวมกัน 11 คน หลังจบมัธยมศึกษาปีที่ 3 จากโรงเรียนสารคามพิทยาคม ปี พ.ศ. 2480 ท่าน‌สอบบรรจุครูได้ เริ่มรับราชการครูในปี พ.ศ. 2481 ‌อุปสมบทเมื่อปี พ.ศ. 2488 เข้านมัสการฝากตัว‌เป็นศิษย์ใต้ร่มธรรมของพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ‌ในพรรษาที่ 5 เมื่อปี พ.ศ. 2492 ที่ วัดหนองผือ ‌ต.นาใน อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร

ได้รับการชี้แนะจากหลวงปู่บัวจนบรรลุธรรม‌เมื่อปี พ.ศ. 2506

ก่อตั้งวัดประชาคมวนาราม (ป่ากุง) บ้านศรี‌สมเด็จ ต.โพธิ์ทอง อ.ศรีสมเด็จ จ.ร้อยเอ็ด เป็น‌ศูนย์กลางโดยมีวัดในสาขาในประเทศไทยถึง 145 ‌สาขา

ท่านได้รับสถาปนาเป็น“พระเทพวิสุทธิมงคล”‌เมื่อวันที่ 5 ธ.ค. 2545

ในปีนั้นเองท่านเริ่มเทศนาและพูดจาน้อยลง ‌สัญญาขันธ์และกำลังกายก็เริ่มเสื่อมถอย ไม่‌สามารถควบคุมบังคับได้ตามปกติ

ปลายปี พ.ศ. 2549 เริ่มฉันภัตตาหารได้น้อย‌จนซูบผอม และได้เลิกเคี้ยวหมากตั้งแต่ต้นปี ‌2550 ต่อมาเกิดอาการสำลักจนต้องเข้า‌โรงพยาบาล หลังจากอาการดีขึ้นแล้วองค์ท่านก็‌กลับมาอยู่ที่วัดป่ากุง แต่สุขภาพขององค์ท่านก็‌อ่อนแอลงเรื่อยๆ จนแทบจะไม่พูดคุยอะไรกับพระ‌และญาติโยมผู้ที่คอยอุปัฏฐากอีกเลย


ท่านสละชีวิต ไม่หวั่นความตาย

ดึกเวลาประมาณ 4 ทุ่มของช่วงต้นปี พ.ศ. ‌2553 พระอุปัฏฐากได้เคยกราบเรียนถามองค์‌หลวงปู่ว่า

“หิวบ่?”ท่านก็ตอบว่า“บ่”

“หนาวบ่?”ท่านก็ตอบว่า“บ่”

“ล้าบ่?”ท่านก็ตอบว่า“ล้าอยู่ สังขารร่วงโรย‌มันก็ล้าเป็นธรรมดา ต้องล้า”

จากนั้นมาองค์หลวงปู่ก็ไม่ได้สนทนากับใคร‌นานๆ แบบนี้อีกเลย

28 มี.ค. 2554 ท่านต้องเข้ารับการรักษาตัวที่‌โรงพยาบาลอีกครั้งหนึ่งด้วยอาการติดเชื้อใน

ปอดทำให้ปอดบวม ปลายเดือน ก.ค. ระบบต่างๆ ‌ในร่างกายเริ่มหยุดการทำงานลง ไม่ว่าจะเป็น‌ระบบย่อยอาหาร ระบบขับถ่าย ระบบกรอง

ของเสีย ยกเว้นระบบประสาทการรับรู้และระบบ‌หายใจ ทางคณะสงฆ์และศิษยานุศิษย์จึงประชุม‌และตกลงที่จะนำองค์ท่านกลับมาที่วัดประชาคม‌วนาราม จ.ร้อยเอ็ด ในวันที่ 27 ก.ค. 2554

เมื่อกลับมายังกุฏิกลางน้ำที่ท่านเคยอยู่จำ‌พรรษามากว่า 40 พรรษา ดูเหมือนอาการของ‌องค์ท่านจะดีขึ้นในระยะแรกๆ แต่ก็กลับทรงและ‌ทรุดลงเรื่อยๆ จนถึงช่วงรุ่งสางของวันที่ 16 ส.ค. ‌ท่านเริ่มแสดงอาการลาขันธ์ ท่านอยู่ในท่านอนหงาย ลมหายใจอ่อนและละเอียดลงไปตามลำดับ จนหายเงียบไปอย่างละเอียดสุขุมในที่สุด ‌พระอุปัฏฐากที่นั่งคอยเฝ้าดูอยู่จึงถอดถ่านนาฬิกา‌ออกเมื่อเวลา 05.34 น. วันที่ 16 ส.ค. 2554สิริอายุ 93 ปี 3 เดือน 14 วัน 65 พรรษา


ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก
http://www.posttoday.com/ธรรมะ-จิตใจ/132066/การบรรลุธรรมและลาขันธ์-ของ-หลวงปู่ศรี-มหาวีโร
http://www.pupasoong.com/,http://www.watpa.com/,http://www.pantip.com/
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ