ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: เป็นชาวพุทธ ควรเชื่อเรื่อง เทวดา ผี วิญญาณ แบบไหนถึง จะถูกคะ  (อ่าน 4071 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ส้ม

  • ศิษย์ตรง
  • กำลังแหวกกระแส
  • *****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 184
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
เป็นชาวพุทธ ควรเชื่อเรื่อง เทวดา ผี วิญญาณ แบบไหนถึง จะถูกคะ

 เพราะเวลาคุยกับผู้ปฏิบัติธรรมด้วย กัน มักจะบอกว่า อย่าไปสนใจเรื่อง เทวดา ผี วิญญาณ กันเลยให้สนใจในปัจจุบัน ให้มาก บางท่านก็ปฏิเสธบอกว่า สิ่งเหล่านี้ไม่มีจริงเลยนะคะ

 เพื่อน ๆ คิดว่าเราควรจะเชื่อเรื่อง ของเทวดา นี้อย่างไรดีคะ

  :25: :c017:
บันทึกการเข้า
เส้นทางแสนเปรี้ยว จะมีสุขจริงบ้างหรือไม่ ?

PRAMOTE(aaaa)

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 3598
  • ความศรัทธาคือเชื่อเรื่องการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
เอาแบบนี้ก็ได้ จะได้อบอุ่นหน่อยไม่เคล้งคว้าง จงเชื่อว่า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มีจริง กฎแห่งกรรมมีจริง เกิดแก่เจ็บตายเรื่องจริง  31ภพมีจริง นรกมีจริง ผีเทวดามี ไปดูบทสวดธรรมจักร ในอนุสสติ7 ก็มีเทวตานุสสติ มรรคผลนิพพานคือของดี และยังมีครูผู้สอน คือพระอาจารย์กรรมฐาน ยังมีให้เห็นอยู่
กัลยาณมิตร ที่ควรเข้าหา ที่เป็น พระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบก็คือครูผู้สอน ก็ยังมีจริง
บันทึกการเข้า
การมีกัลยาณมิตร ครูบาอาจารย์ ที่สั่งสอนธรรม เป็นเรื่องที่ดี
..เชื่อเรื่องการตรัสรู้ธรรม ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
...และเชื่อในพระธรรมที่เป็นตัวแทนของพระศาสดา

chatchay

  • พอพึ่งพาได้
  • ***
  • ผลบุญ: +4/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 244
  • เกิดเป็นคนต้องมีดี บวชทั้งทีต้องสร้างดีให้กับตน
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
เป็นชาวพุทธ ควรเชื่อ ดังนี้ ครับ

  [181] ศรัทธา 4 (ความเชื่อ, ความเชื่อที่ประกอบด้วยเหตุผล - faith; belief; confidence)


       1. กัมมสัทธา (เชื่อกรรม, เชื่อกฎแห่งกรรม, เชื่อว่ากรรมมีอยู่จริง คือ เชื่อว่าเมื่อทำอะไรโดยมีเจตนา คือ จงใจทำทั้งรู้ ย่อมเป็นกรรม คือ เป็นความชั่วความดีมีขึ้นในตน เป็นเหตุปัจจัยก่อให้เกิดผลดีผลร้ายสืบเนื่องต่อไป การกระทำไม่ว่างเปล่าและเชื่อว่าผลที่ต้องการจะสำเร็จได้ด้วยการกระทำ มิใช่ด้วยอ้อนวอนหรือนอนคอยโชค เป็นต้น - belief in Karma; confidence in accordance with the law of action)

       2. วิปากสัทธา (เชื่อวิบาก, เชื่อผลของกรรม, เชื่อว่าผลของกรรมมีจริง คือ เชื่อว่ากรรมที่ทำแล้วต้องมีผล และผลต้องมีเหตุ ผลดีเกิดจากกรรมดี ผลชั่วเกิดจากกรรมชั่ว - belief in the consequences of actions)

       3. กัมมัสสกตาสัทธา (เชื่อความที่สัตว์มีกรรมเป็นของตน, เชื่อว่าแต่ละคนเป็นเจ้าของ จะต้องรับผิดชอบเสวยวิบากเป็นไปตามกรรมของตน - belief in the individual ownership of action)

       4. ตถาคตโพธิสัทธา (เชื่อความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า, มั่นใจในองค์พระตถาคต ว่าทรงเป็นพระสัมมาสัมพุทธะ ทรงพระคุณทั้ง 9 ประการ ตรัสธรรม บัญญัติวินัยไว้ด้วยดี ทรงเป็นผู้นำทางที่แสดงให้เห็นว่า มนุษย์คือเราทุกคนนี้ หากฝึกตนด้วยดี ก็สามารถเข้าถึงภูมิธรรมสูงสุด บริสุทธิ์หลุดพ้นได้ ดังที่พระองค์ได้ทรงบำเพ็ญไว้เป็นแบบอย่าง - confidence in the Enlightenment of the Buddha)

       ศรัทธา 4 อย่างนี้ มีมาในบาลีเฉพาะข้อที่ 4 อย่างเดียว (เช่น องฺ.สตฺตก. 23/4/3; A.III.3 เป็นต้น) ว่าโดยใจความ ศรัทธา 3 ข้อต้น ย่อมรวมลงในข้อที่ 4 ได้ทั้งหมด
       อนึ่ง ในข้อ 3 มีข้อธรรมที่มาในบาลีคล้ายกัน คือ กัมมัสสกตาญาณ (ปรีชาหยั่งรู้ความที่สัตว์มีกรรมเป็นของตน - knowledge that action is one's own possession) เช่น อภิ.วิ. 35/822/443; Vbh.328.



พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม พิมพ์ครั้งที่ ๑๒ พ.ศ. ๒๕๔๖
http://84000.org/tipitaka/dic/d_item.php?i=181

บันทึกการเข้า
ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
โทษอันใดที่ข้าพเจ้าล่วงเกินแล้วต่อพระรัตนตรัย ด้วย กาย ด้วยวาจา ด้วยใจ
ขอพระรัตนตรัย โปรดจงงดซึ่งโทษล่วงเกินนั้นแก่ข้าพเจ้า ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป ด้วยเทอญ

whuchi

  • ศิษย์ตรง
  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 80
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ภาพของนรก-สวรรค์ของแต่ละพื้นที่..แต่ละความเชื่อออกมาไม่เหมือนกันคงไม่แปลก
มันแปลกตรงที่..คนทั้งโลกแม้จะอยู่กลางป่าอเมซอนที่ติดต่อโลกภายนอกไม่ได้
ก็ยังมีความเชื่อในเรื่องนี้เหมือนกันหมด..

เคยไปนั่งคุยกับพรานป่าชาวกะเหรี่ยงแถวอำเภอสังขละบุรี..รับรองว่าใครได้ยินต้องด่าแกว่าบ้าแน่นอน
แกเล่าถึงอาถรรย์ของป่า...เสือสมิง..ผีโขมด..ปลาที่ส่งเสียงร้องได้เหมือนเด็ก
ผมฟังยังไม่เชื่อ..แต่มีตำรวจชายแดนเป็นคนยืนยัน..ก็เลยต้องเชื่อ
เพราะคนพวกนี้หากินอยู่กับป่ามาตลอดชีวิต..

เมื่อประมาณ 20 ปีมาแล้ว..ชนบทแถวบ้านผม
พระวัดใกล้บ้านเปิดไฟสว่างไสวทั้งวัด
เพราะถูกผีแม่ลูกอ่อนอุ้มลูกเดินไปเคาะประตูกุฏิทุกหลัง
แบบนี้ก็คงไม่แคล้วโดนข้อหาถูกสะกดจิตหมู่อีกตามเคย..

ของแบบนี้มันพิสูจน์กันได้ครับ..แถวอยุธยาหรือตามชนบทมีวัดเก่าแก่มากมายให้ลองพิสูจน์
ไปนั่งสมาธิคนเดียวทั้งคืนอาจจะได้ความรู้ในสิ่งที่สงสัยขึ้นมาบ้าง
แต่อย่าไปตั้งธงว่าผีมันจะต้องมาเป็นรูปร่างเหมือนคนแลบลิ้นปลิ้นตาเหมือนในหนัง
เก็บรายละเอียดให้หมด..ทั้งเสียง..กลิ่น..สัมผัสทางกาย..ดวงไฟ..หมอกควัน
แม้กระทั่งหากมองเห็นหมามานั่งจ้องหน้าเราโดยไม่ส่งเสียงเห่าก็อย่าไปเหมาว่ามันเป็นหมา
เพราะเราอาจเข้าใจผิด..???


จากคุณ    : อารยัน
บันทึกการเข้า

whuchi

  • ศิษย์ตรง
  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 80
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ในพระสูตร พระไตรปิฏก มีกล่าวเรื่องนี้ เยอะมาก

   1.พระพุทธเจ้า ผจญมาร
   2.พระพุทธเจ้า พรหมอาราธนา
   3.พระโพธิสัตว์ ออกอภิเนษกรม
   4.พระพุทธเจ้า เสด็จขึ้นโปรดพุทธมารดา
   5.พระพุทธเจ้า เปิดโลก

  และยังมีอีกมาก แต่คิดไป คิดมา เรื่องเล่านี้ ที่บรรดาผู้มีปัญญามักจะปฏิเสธกัน แต่การที่ยังทำบุญ สร้างกุศลนั้นก้เป็นเพราะว่า เชื่อ เรื่องผลบุญ เสบียงบุญ ชาติต่อไปหรือไม่ ?

  อันนี้ มันเป็นเรื่อง ที่ต้องทำความเข้าใจ กันอย่างมากนะคะ ไม่ใช่ ปฏิเสธ ว่าไม่มี ไม่มี


   :08:

บันทึกการเข้า

whuchi

  • ศิษย์ตรง
  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 80
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ถ้าเปรียบเทียบจำนวนคนที่มีประสบการณ์รู้เห็นนรกสวรรค์
กับจำนวนคนที่ที่รู้เห็นอนุภาคควากด้วยตนเองแล้ว

จากบันทึกรายงานของทั้งสองฝ่ายบอกได้เลยว่า
มันมีจำนวนที่ห่างไกลกันมากมายนักหรือจะเอาเทียบ

กับจำนวนของผู้ที่เคยไปถ่ายรูปโลกจากเขตอวกาศเพื่อพิสูจน์โลกกลม
มันก็ยังน้อยกว่าจำนวนผู้คนที่ได้รับรู้เรื่องความมีอยู่ของนรกสวรรค์

ซึ่งส่วนใหญ่จะบอกบรรยายลักษณะได้ใกล้เคียงกัน
การจะมาแย้งว่าทำไมนรกสวรรค์ของแต่ละศาสนาไม่เหมือนกัน

ก็เพราะว่าอาณาเขตของสวรรค์และนรกมันมีมากกว่าโลกเราเสียอีก
แต่ถ้ามาดูที่รายงานที่มีการทำวิจัยจดบันทึกประสบการณ์ชีวิตหลังความตาย

จากทุกสังคมศาสนาทั่วโลกจะพบว่านรกสวรรค์ของพวกเขาจะไม่ต่างกันมากนัก
คุณจขกท.ยังวนเวียนอยู่กับความไม่รู้ของตนเอง

โดยเอาความไม่รู้ของตนเองเป็นศูนย์กลาง
ไปตามทำนองว่าถ้าตนเองไม่รู้ไม่เห็นอะไรสิ่งนั้นก็ย่อมไม่มี

ถามหน่อยท่านไม่รำคาญความไม่รู้ของตนเองบ้างหรือไร
ถ้าผมบอกท่านว่าเทวดาผีเร่รอนผมเคยเห็นมาแล้ว

เหมือนกับคนจำนวนมากมายที่เขาเห็นกันจากบันทึกปากคำคนทั่วโลก
ซึ่งแน่นอนย่อมมีจำนวนคนเห็นผีเทวดานรกสวรรค์มากกว่าคนที่เห็นอนุภาคควากเสียอีก

และมากกว่าคนที่เห็นว่าโลกกลมด้วยตาตนเองเสียอีก
และในอนาคตผู้คนที่เห็นนรกสวรรค์ก็จะให้ปากคำเหมือนกับ

คำให้การของคนทุกยุคที่ผ่านมา นรกสวรรค์ไม่ใช่จินตนาการส่วนตัว
อนุภาคควากยังอยู่ในระดับที่ต้องใช้ตรรกและจินตนาการมากกว่า

การมีประสบการณ์ตรงด้วยตนเองในเรื่องการเห็นนรกสวรรค์เทวดาเสียอีกนะครับ
ท่านจขกท.ไม่น่าเอาจุดด้อยของตนเองมาเป็นจุดแข็งที่จะไปรื้อเรื่องสำคัญแบบนี้

จากคุณ    : คนกรุงธน



บันทึกการเข้า

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28446
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0

ฉลาดสุดสุด !!! ถึงพริกถึงขิง+++ สำหรับท่านที่ไม่เชื่อ นรก สวรรค์

เล่มที่ ๑๐ ชื่อทีฆนิกาย มหาวัคค์
เป็นพระสุตตันตปิฎก (เล่ม ๒)
ปายาสิราชัญญสูตร


สูตรว่าด้วยพระเจ้าปายาสิ
    เหตุการณ์เกิดขึ้นในแคว้นโกศล พระกุมารกัสสป พร้อมด้วยภิกษุสงส์หมู่ใหญ่ประมาณ ๕๐๐ รูป จาริกไปในแคว้นนั้น แวะพัก ณ ป่าไม้สีเสียด อันตั้งอยู่ทิศเหนือของเสตัพยนคร . สมัยนั้น พระเจ้าปายาสิ (เป็นเพียงราชัญญะ คือพระราชาที่มิได้อภิเษก) ได้รับพระราชทานจากพระเจ้าปเสนทิโกศลให้ครอบครองเสตัพยนคร.

    พระเจ้าปายาสิมีความเห็นผิดเกิดขึ้นว่า โลกอื่นไม่มี สัตว์เป็นอุปปาติกะ (เกิดใหญ่โตขึ้นทันที เช่น เทพ) ไม่มี ผลของกรรมดีกรรมชั่วไม่มี.

    เมื่อได้สดับกิตติศัพท์อันงามของพระกุมารกัสสป พราหมณ์คฤหบดีทั้งหลายก็พากันเดินทางไปหาเป็นกลุ่ม ๆ พระเจ้าปายาสิทอดพระเนตรเห็นเช่นนั้น ตรัสถามทราบความก็เสด็จไปด้วย เมื่อผู้ที่ไปกล่าวสัมโมทนียกถาปราศรัยตามสมควรแล้ว

พระเจ้าปายาสิก็ประกาศทิฏฐิของพระองค์ดังกล่าวแล้วแก่พระเถระ ซึ่งจะย่อคำโต้ตอบเป็นข้อ ๆ ดังต่อไปนี้:



พวกทำชั่วตายไปแล้ว ไม่มีใครมาบอกว่า “นรกมีจริง”
  ๑.พระเถระถามว่า ที่ทรงเห็นว่าโลกอื่นไม่มี เป็นต้นนั้น พระจันทร์พระอาทิตย์เป็นเทวดาหรือมนุษย์ ในโลกนี้หรือโลกอื่น. ตรัสตอบว่า พระจันทร์พระอาทิตย์อยู่ในโลกอื่น มิใช่เทวดาหรือมนุษย์ในโลกนี้.

     ตรัสเล่าว่า มีมิตรอำมาตย์ญาติสาโลหิตของพระองค์ที่ประพฤติชั่วมีประการต่าง ๆ เมื่อบุคคลเหล่านั้นเจ็บไข้ ซึ่งพระองค์เห็นว่าจะไม่หายแน่ ก็เสด็จไปหา และสั่งว่า

ถ้าไปตกนรก เพราะประพฤติชั่วตามคำของสมณพราหมณ์แล้ว ขอให้กลับมาบอก พวกเหล่านั้นรับคำแล้ว ก็ไม่มีใครมาบอกเลย. พระองค์จึงไม่เชื่อโลกอื่นมี.


   พระเถระกล่าวว่า เปรียบเหมือนโจรที่ทำผิดราชบุรุษจับได้
   ก็นำตระเวนไปสู่ที่ประหารชีวิต โจรเหล่านั้นจะขอผัดผ่อนให้ไปบอกพวกพ้องก่อนจะได้หรือไม่
   ตรัสตอบว่า ไม่ได้.
   พระเถระจึงกล่าวว่า พวกที่ทำชั่วก็เช่นกัน ถ้าไปตกนรก ก็คงไม่ได้รับอนุญาตจากนายนิรยบาลให้มาบอก.



พวกทำดีตายไปแล้ว ไม่มีใครมาบอกว่า “สวรรค์มีจริง”
๒.ตรัสเล่าว่า พระองค์เคยสั่งคนที่ทำความดีว่า ถ้าตายไปสู่สุคติโลกสวรรค์ เพราะประพฤติดีตามคำของพราหมณ์แล้ว ขอให้กลับมาบอก. พวกนั้นรับคำ ก็ไม่มีใครมาบอกเลย พระองค์จึงไม่เชื่อว่าโลกอื่นมี.

   พระเถระทูลว่า เปรียบเหมือนคนตกลงไปในหลุมอุจจาระมิดศีรษะ
   พระองค์สั่งให้ราชบุรุษช่วยยกขึ้นจากหลุมนั้น เอาซี่ไม้ไผ่ปาดอุจจาระออก
   ทำความสะอาดหมดจดแล้ว นำพวงมาลัยเครื่องลูบไล้และผ้ามีราคาแพงมาให้นุ่งห่ม
   พาขึ้นสู่ปราสาท บำเรอด้วยกามคุณ ๕ บุรุษนั้นจะอยากลงไปอยู่ในหลุมอุจจาระอีกหรือไม่.


   ตรัสตอบว่า ไม่อยาก.
   ถามว่าเพราะเหตุไร.
   ตรัสตอบว่า เพราะหลุมอุจจาระไม่สอาด มีกลิ่นเหม็น ปฏิกูล.
 
   พระเถระทูลว่า มนุษย์ก็เป็นผู้ไม่สะอาด มีกลิ่นเหม็น ปฏิกูล
   สำหรับเทวดาทั้งหลาย พวกทำความดีที่ไปสู่สุคติโลกสวรรค์ จะกลับมาบอกอย่างไร.



พวกทำดีตายไปแล้ว ไม่มีใครมาบอกว่า “อยู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์”
๓.ตรัสเล่าว่า พระองค์เคยสั่งคนที่ทำความดีว่า สมณพราหมณ์บางพวกกล่าวว่า ผู้ที่ทำความดีจะไปสู่สุคติโลกสวรรค์ ถึงความเป็นสหายของเทพชั้นดาวดึงส์ เมื่อท่านทั้งหลายไปเกิดเช่นนั้นแล้ว ขอให้กลับมาบอกด้วย พวกนั้นรับคำแล้ว ก็ไม่มีใครมาบอกเลย พระองค์จึงไม่เชื่อว่าโลกอื่นมี

    พระเถระทูลว่า ร้อยปีของมนุษย์เป็นคืนหนึ่งกับวันหนึ่งของชั้นเทพดาวดึงส์
    ๓๐ ราตรี เป็น ๑ เดือน , ๑๒ เดือน เป็น ๑ ปี , ๑ พันปีทิพย์เป็นประมาณแห่งอายุของเทพชั้นดาวดึงส์.
    ผู้ทำความดีที่ไปเกิดในที่นั้นคิดว่า อีกสัก ๒- ๓ วัน จะไปบอก พระเจ้าปายาสิ จะมาบอกได้หรือไม่.
[/color]

    ตรัสตอบว่า มาไม่ได้ เพราะข้าพเจ้าคงตายไปนานแล้ว
    แต่ก็ใครบอกแก่ท่านเล่าว่า เทพชั้นดาวดึงส์มีอายุยืนขนาดนั้น ข้าพเจ้าไม่เชื่อเลย.


    พระเถระทูลว่า เปรียบเหมือนคนที่เสียจักษุแต่กำเนิด มองไม่เห็นอะไรเลย
    จึงกล่าวว่า สีดำ ขาว เขียว เหลือง แดง แสดไม่มี คนที่เห็นสีเช่นนั้นก็ไม่มี
    ดวงดาว พระจันทร์ พระอาทิตย์ไม่มี ผู้เห็นดวงดาว พระจันทร์ พระอาทิตย์ก็ไม่มี
    เพราะข้าพเจ้าไม่รู้ไม่เห็น สิ่งนั้นจึงไม่มีดังนี้ ผู้นั้นจะชื่อว่ากล่าวชอบหรือไม่.

    ตรัสตอบว่า กล่าวไม่ชอบ.

    พระเถระจึงทูลว่า พระองค์ที่ปฏิเสธเรื่องเทพชั้นดาวดึงส์ก็เป็นเช่นนั้น.
     สมณพราหมณ์บางพวกที่เสพเสนาสนะป่าอันสงัด ไม่ประมาท ทำความเพียร ชำระทิพยจักษุ
     มองเห็นโลกนี้โลกอื่นและสัตว์อุปปาติกะด้วยจักษุอันเป็นทิยย์ เหนือจักษุของมนุษย์มีอยู่.
     เรื่องของปรโลกพึงเห็นอย่างนี้ ไม่พึงเข้าใจว่าจะได้เห็นได้ด้วยตาเนื้อนี้.



  สมณพราหมณ์ที่มีศีลมีธรรม ถ้าเชื่อว่าตายแล้วจะไปสู่โลกหน้าที่ดีกว่า ทำไมไม่ฆ่าตัวตายเสียเลยล่ะ
๔.ตรัสเล่าว่า พระองค์เคยเห็นสมณพราหมณ์ที่มีศีลมีธรรมอันงาม ใคร่มีชีวิต ไม่อยากตาย
ใคร่ความสุข เกลียดทุกข์ จึงทรงคิดว่า

    ถ้าสมณพราหมณ์ผู้มีศีลธรรมอันงามเหล่านี้ รู้ตัวว่าตายไปแล้ว จะดีกว่าชาตินี้ ก็ควรจะกินยาพิษ เชือดคอตาย ผูกคอตาย หรือโดดเหวตาย แต่เพราะไม่รู้ว่าตายไปแล้วจะดีกว่าชาตินี้ จึงรักชีวิต ไม่อยากตาย ใคร่ความสุข เกลียดทุกข์

   ข้อนี้เป็นเหตุให้พระองค์ไม่ทรงเชื่อว่าโลกอื่นมี
   สัตว์อุปปาติกะ(เกิดเติบโตขึ้นทันที)มี
   ผลแห่งกรรมดีกรรมชั่วมี.

   พระเถระทูลเปรียบเทียบถวายว่าพราหมณ์คนหนึ่งมีภริยา ๒ คน
    คนหนึ่งมีบุตรอายุ ๑๐ หรือ ๑๒ ปี อีกคนหนึ่งมีครรภ์จวนคลอด.
    พราหมณ์นั้นถึงแก่กรรม มาณพผู้เป็นบุตรจึงพูดกับมารดาเลี้ยงว่า
    ทรัพย์สมบัติทั้งปวงนี้ ตกเป็นของข้าพเจ้าทั้งหมด ของท่านไม่มีเลย
    ขอท่านจงมอบความเป็นทายาทของบิดาแก่ข้าพเจ้า.

   
   นางพราหมณีผู้เป็นมารดาเลี้ยงตอบว่า เจ้าจงรอก่อนจนกว่าเราจะคลอด
   ถ้าคลอดเป็นชาย ก็จะได้ส่วนแบ่งส่วนหนึ่ง ถ้าเป็นหญิง แม้น้องหญิงนั้นก็จะต้องตกเป็นของเจ้า. [๒]

   แต่มาณพนั้นก็เซ้าซี้อย่างเดิม แม้ครั้งที่ ๒ แม้ครั้งที่ ๓ นางพราหมณีจึงถือมีดเข้าไปในห้อง ผ่าท้องเพื่อจะรู้ว่าเด็กในท้องเป็นชายหรือหญิง เป็นการทำลายตัวเอง ทำลายชีวิต ทำลายเด็กในครรภ์ และทำลายทรัพย์สมบัติ เพราะเป็นผู้เขลา แสวงหาสมบัติโดยไม่แยบคาย จึงถึงความพินาศ.

    สมณพราหมณ์ผู้มีศีล มีธรรมอันดี ที่เป็นบัณฑิต ย่อมไม่ชิงสุกก่อนสุก ย่อมรอจนกว่าจะสุก สมณะพราหมณ์เหล่านี้ดำรงชีวิตอยู่นานเพียงใด ผู้อื่นก็ได้ประสบบุญมากเพียงนั้น และท่านก็ปฏิบัติเพื่อประโยชน์และความสุขแก่ชนเป็นอันมาก เพื่ออนุเคราะห์โลก เพื่อประโยชน์ เพื่อเกื้อกูล เพื่อความสุขแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย. ฯลฯ

(ยังมีข้อโต้แย้งอีก ๕ ข้อ แต่พระกุมารกัสสป ก็ยกอุปมามาอธิบายได้หมด)
+++++++++++++++++++++++

    พระองค์ก็เช่นเดียวกัน ทรงหาโลกอื่นโดยวิธีที่ไม่ถูก.
    ในที่สุดได้แนะนำให้พระเจ้าปายาสิทรงสละความเห็นผิดนั้นเสีย.

    แต่พระเจ้าปายาสิทรงอ้างว่า ทรงสละไม่ได้ เพราะพระเจ้าปเสนทิโกศล และพระราชาในรัฏฐะอื่น ๆ ก็ทรงทราบกันทั่วไปว่า พระองค์มีความเห็นอย่างนี้ ก็จะพากันติเตียนได้. พระกุมารกัสสปเถระจึงยกอุปมา เพื่อจูงใจให้ทรงละความเห็นผิดนั้น ๆ

    แต่เมื่อยังไม่ทรงยอม ก็ยกอุปมาอื่นอีก โดยนัยนี้เป็นอุปมา ๔ ข้อดังต่อไปนี้:-

    ๑.เปรียบเหมือนพ่อค้าเกวียนหมู่ใหญ่ เดินทางจากภาคตะวันออกไปตะวันตก แล้วได้แบ่งกองเกวียนออกเป็น ๒ กอง กองละประมาณ ๕๐๐ เล่ม ให้ขบวนหนึ่งล่วงหน้าไปก่อน อีกขบวนหนึ่งจะตามไปภายหลัง ขบวนที่ล่วงหน้าไปก่อนถูกคนเดินทางสวนหลอกให้ทิ้งหญ้าทิ้งน้ำ เล่าว่าข้างหน้าฝนตกในทางกันดาร พุ้มไม้, หญ้า , ไม้ , และน้ำบริบูรณ์

    หัวหน้ากองเกวียนหลงเชื่อจึงพาพวกไปตายหมดสิ้น เพราะทิ้งหญ้าทิ้งน้ำแล้วก็หาน้ำและหญ้าข้างหน้าไม่ได้ พวกไปทีหลังไม่ยอมเชื่อคนหลอก ไม่ยอมทิ้งหญ้าทิ้งน้ำ จึงเดินทางข้ามทางกันดารโดยสวัสดี. แล้วเปรียบว่าพระองค์แสวงหาโลกอื่นโดยไม่แยบคาย จะพลอยให้คนที่เชื่อถือพากันถึงความพินาศไปด้วย เหมื่อนนายกองเกวียนคณะแรก.

    ๒.เปรียบเหมือนชายเลี้ยงหมูคนหนึ่ง ไปสู่หมู่บ้านอื่น เห็นคูถ ( อุจจาระ ) แห้ง ที่เขาทิ้งไว้เป็นอันมากก็คลี่ผ้าห่มออก เอาคูถแห่งใส่แล้วห่อทูลเหนือศีรษะมา ในระหว่างทางฝนตก คูถนั้นก็ไหลเลอะเปรอะไป คนทั้งหลายจึงพากันติเตียนว่าเป็นบ้า หรือไปแบกห่อคูถมาทำไม. เขาตอบกลับว่า ท่านต่างหากเป็นบ้าเพราะของที่แบกมานี่เป็นอาหารของหมู. พระองค์ก็เปรียบเหมือนอย่างนั้น ขอจงทรงสละความคิดเห็นผิดนั้นเสียเถิด.

      ๓.เปรียบเหมือนนักเลงสกา ๒ คนเล่นสกากัน คนหนึ่งย่อมกลืนลูกโทษที่มาถึงตัว [๔] .     (หมายถึงลูกสกาที่จะทำให้แพ้ ). อีกคนหนึ่งงบอกว่า ท่านชนะเรื่อยข้างเดียว ขอลูกสกาให้ข้าพเจ้าทำพิธีบ้าง . คนชนะจึงส่งให้ไป. นักเลงคนที่ ๒ จึงเอายาพิษทาลูกสกา. เมื่อเล่นครั้งที่ ๒ นักเลงสกาคนแรกก็กลืนลูกโทษที่มาถึงนั้นอีก ( และตายเพราะกลืนยาพิษเข้าไปด้วย) . พระองค์ก็เปรียบเหมือนนักเลงสกา ( ที่กลืนยาพิษไปกับลูกสกาด้วย) ของจงทรงสละความเห็นผิดนั้นเสียเถิด.

     ๔.เปรียบเหมือนชาย ๒ คนชวนกันไปยังชนบทเพื่อหาทรัพย์ ไปพบป่านในระหว่างทางก็ห่อป่านเดินทางไป ครั้นไปพบด้ายที่ทอจากป่าน คนหนึ่งเห็นด้ายมีราคากว่าก็ทิ้งป่านห่อด้ายไป อีกคนหนึ่งไม่ยอมทิ้ง ด้วยถือว่าแบกมาไกลแล้ว ผูกรัดไว้ดีแล้ว. โดยนัยนี้ไปพบผ้าเปลือกไม้. ผ้าฝ้าย , เหล็ก , โลหะ , ดีบุก ตะกั่ว, เงิน, ทอง คนหนึ่งทิ้งของเก่าถือเอาของใหม่ที่มีราคากว่า

     แต่อีกคนหนึ่งไม่ยอมทิ้ง ถือว่าแบกมาไกลแล้วผูกรัดไว้ดีแล้ว เมื่อกลับไปถึงบ้าน บุตร ภริยา เพื่อนฝูงแบกห่อป่าน ก็ไม่ชื่นชม แต่บุตร จริยาเพื่อนฝูงของผู้แบกห่อทองกลับมา ต่างชื่นชม. พระองค์จะเป็นอย่างผู้แบกห่อป่าน ขอจงสละความเห็นผิดนั้นสียเถิด.


      พระเจ้าปายาสิทรงเลื่อมใสในพระกุมารกัสสปเถระ สรรเสริญภาษิต ประกาศพระองค์เป็นอุบาสกถึงพระรัตนตรัยเป็รนสรณะตลอดพระชนมชีพ แล้วทรงถามถึงวิธีบูชายัญ ซึ่งพระเถระก็ถวายคำแนะนำให้บูชาโดยไม่มีการฆ่าสัตว์ พระเจ้าปายาสิก็ทรงปฏิบัติตาม โดยให้มีการแจกทาน ( ทำงานสังคมสงเคราะห์) แล้วเพิ่มของที่ให้ดีขึ้นโดยลำดับ.



[๒.] พึงสังเกตว่า วัฒธรรมเกี่ยวกับการจัดมรดกตามคตินี้ หญิงไม่มีสิทธิอะไรในทรัพย์สินของบิดาเลย สุดแต่ชายผู้เป็นพี่จะจัด เพราะตัวเองตกอยู่ในฐานะที่พี่ชายจะใช้สอย หรือถือเอาเป็นภริยาได้ ( ถ้าเป็นน้องต่างมารดา)
[๔.]   แสดงว่าลูกสกาเป็นแบบลูกเต๋า ในอรรถกถาแก้ว่า เล่นด้วยลูกสี่เหลี่ยม ( ลูกเต่า ) ก็มี เล่นด้วยลูกขลุบ หรือลูกคลี ( คุล ) ก็มี การกลืนลูกสกา อาจเป็นเคล็ดให้ได้ชัยชนะเรื่อย ๆ


ที่มา หนังสือ "พระไตรปิฎก ฉบับสำหรับประชาชน ย่อความจากประไตรปิฎกฉบับภาษาบาลี ๔๕ เล่ม" โดยคุณสุชีพ ปุญญานุภาพ
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ